เรื่องทั่วไป > เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม

บันทึกการภาวนา พุทโธ

<< < (2/6) > >>

นิรนาม_พุทโธ:
บทที่ 3 เมื่อใจถึงธรรม ก็ทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง

หลังจากคืนนั้นผ่านมา ทุกวันอาตมา ก็จะพยายามฝึกกรรมฐาน ในท่านอน เมื่อนอนก็พยายามจำอารมณ์ไว้ว่า
ไม่ยินดี ที่จะได้ ไม่ยินร้าย ที่จะไม่ได้ วางใจให้เป็นกลาง เพื่อกำหนดรู้ ตอนนั้นก็รู้ว่า พุทโธ เิริ่มสถิตที่กลางใจ

ในช่วงนี้ ชีวิืตของอาตมาก็เริ่ม ที่จะเปลี่ยนไม่เหมือนคนอื่นๆ แล้วคือเมื่อมีเวลาว่างก็ชอบนอน เพราะนอนแล้วกำหนด
พุทโธได้ สิ่ง ต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวนั้น ได้ยิน หลับตา แต่ได้ยิน ได้ยิ้นแม้กระทั่งเสียงหัวใจ เสียงลมหายใจของตนเอง

ในช่วงนี้ ใจเริ่มยอมรับว่า ธรรมะ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความสุข

เริ่มไปวัดทำบุญ ตักบาตร ตอนเช้า

เริ่มสนใจอ่านหนังสือธรรมะ

เริ่มละการไปเที่ยว กลางคืน

เริ่มไม่สุงสิงกับเพื่อนที่ประพฤติผิดศีล

เริ่มจะนั่งกรรมฐาน

และการเริ่มทำบุญนี้เอง เป็นคนชอบทำบุญ ทำจริง ๆ ทำจนแทบจะไม่มีเงินติดตัวเลย

แต่ทำแล้วก็ไม่หมด เหมือนผลบุญก็กลับมาตอบแทนตัวเราตลอดเวลา

ยกตัวอย่าง มีอยู่วันหนึ่ง ตั้งใจจะไปร่วม ปิดทองฝังลูกนิมิต แต่มีเงินอยู่น้อยใจก็อยากทำบุญ
อยู่ ๆ ก็มีคนมาว่าจ้างไปทำงาน จ๊อบได้เงินมาพอทำบุญ

หรือบางวัน ก็มีคนมาช่วยเหลือ เหมือนเทวดา รู้ใจ จริง ๆ

นับว่าช่วงนี้เป็นช่วง ที่ใคร ๆ ก็มักพูดว่า อาตมา ทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง
คนเราจะดีไม่ได้เชียวหรือนี่ ต้องทำตัวเหลวไหล ตลอดอย่างนั้นหรือ

อืม......



อ่านไปกันเรื่อย ๆ นะครับ ช่วงนี้มีเสียงด้วย  น่าสนใจมาก ๆ ครับ
 :welcome: :s_good:

นิรนาม_พุทโธ:
บทที่ 4 คนในอยากนอก คนนอกอยากเข้า

==========================================

ตั้งแต่วันนั้นมา อาตมา ก็พยายามปฏิบัติ ภาวนามากขึ้น ชีวิตก็อยู่กับส่วนการทำบุญมากขึ้น
ในใจก็ตั้งความปรารถนา ในใจว่า จะบวช และช่วงนี้ก็ไปตามวัดต่าง ๆ เพื่อจะสรรหาที่บวชที่เหมาะสม

เพราะใจ มันคิดแต่จะบวช อย่างเดียว...

เพราะใจ มุ่งแต่ปฏิบัติ ....

เหมือนคนที่ต้องการทิ้งโลก ไปอยู่ทางธรรม....

ขณะนั้นก็วางแผนไว้ในใจ ว่า ต้องบวชให้ได้ ...


วันหนึ่งก็นึกถึงเพื่อนพระด้วยกัน สมัยบวชเป็นพระนวกะด้วยกันขณะนั้น ตอนนี้ท่านยังไม่สึก และได้เป็นเจ้าสำนักด้วย ๆ ความคิดถึงท่านดังนั้น จึงไปพบท่านแต่การไปพบของผม กับต้องแปลกใจ


เพราะท่่านกำลังทำในสิ่งที่ผมไม่ได้ คิดไว้ไปก่อน

ท่านกำลังจะไปจะจากสำนักสงฆ์แห่งนั้น

ด้วยความสงสัย ผมจึงเข้าไปสนทนาถามท่าน ก็ได้รับคำตอบว่า ที่ทนอยู่ในเ้พศบรรพชิตนี้ก็เพราะว่าท่าน ต้องการเรียนหนังสือ เพราะลำพังจะให้ท่านหาเงินเรียนนั้น ทางบ้านก็อยากจน ( ท่านเป็นคนศรีษะเกษ ) ตอนนี้ท่านก็เรียนจบปริญญาตรี แล้ว และก็ได้ติดต่องานแล้ว โดยมีสีกาคนหนึ่งที่ท่านกำลังจะไปสร้างเป็นครอบครัวกับสีกาผู้นี้ หลังจากลาสิกขาบถ ผมมองหน้า บรรดาญาตพี่น้อง ของท่าน ที่นำรถ 6 ล้อมาขนของจากกุฏิท่าน ผมมองแล้วก็คิดว่า

พระนักศึกษา ระดับเจ้าสำนัก เวลาลาสิกขาบถ สมบัติทำไมเยอะขนาดนี้ ถึงขนาดต้องใช้ รถ 6 ล้อ 3 คัน พี่น้องมาจาก ศรีษะเกษ มาช่วยขนกันไม่ต่ำกว่า 15 คน

อาตมามองเขาขนของ ลงมาทีละชิ้น

ทีวี

เครื่องเสียง ลำโพงตัวใหญ่

คอมพิวเตอร์

โชฟา

ตู้

โต๊ะ

เตียง

ที่นอนฟูก 5 x 6 x 5

หมอนข้าง

โคมไฟ

พัดลม

มีช่างมารื้อแอร์คอนดิชั่น ด้วย

กล่องกระดาษที่บรรจุ ตำรับ ตำรา

กล่องที่บรรจุุ แฟ๊บ สบู่ เครื่องใช้ ที่มาจากสังฆทาน

อะไรกันนี่ พระคุณเจ้า ที่ตั้่งใจบวชมาทำความเพียร เพื่อความไม่มี ทำไมถึง มีมากมาย ขนาดนี้
ทุกอย่างถูกเตรียมการไว้เป็นอย่างดี

อาตมา ตอนนั้นที่เป็นฆราวาส กำลังแสวงหาการบวช กับนึกอนาถในใจว่า

" เราสู้อุตส่าห์ เดินทางมาหาท่าน หวังจะเป็นที่พึ่งในตอนบวช เดินทางมาตั้ง 1,300 กม. จากสุราษ ฯ มา ลพบุรี "

แต่สิ่งที่เราเห็น ที่เรารู้สัมผัสตอนนี้ เหมือนทำให้ใจมองเห็นกระจ่างในความจริงว่า แท้ที่จริงการบวชนั้นยังไม่ได้แก้ปัญหา อะไรเลย ถ้าเรายังไม่มั่นใจในการภาวนาของตนเอง แล้วเราจะยังไม่บวช

นี่แหละหนา ที่โบราณ ท่านว่า

" คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า "
เท่านี้ก่อนนะครับ

นิรนาม_พุทโธ:
บทที่ 5 พระอรหันต์ไม่มีอยู่จริง ในโลกนี้

หลังจากได้ผ่านกับเหตุการณ์ ส่งพระเพื่อนลาสิกขาแล้ว อาตมาก็กลับไปที่ทำงานใช้ชีวิตอย่างข่มความต้องการการบวช ช่วงนี้มองเห็นอะไรก็เลยเบื่อ ๆ  เห็น กิจกรรม ที่ดำเนินชีวิตในที่ทำงานเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเห็นความต้องการทางโลกธรรมของคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแก่งแย่งตำแหน่ง การซุปซิบ นินทา หรือ ให้ร้ายโดยตรง การคบชู้ สู่ชาย และการปล่อยชีวิตให้เป็นตามอำนาจกิเลสตัณหา

อาตมาทำงานอยู่ที่นั้นได้เพียงปีกว่า ๆ ก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งงาน

ได้เงินก้อนกับมาจำนวนหนึ่งซึ่งก็ไม่มาก กับคนที่ทำงานมาร่วม 16 ปี

จึงได้เดินทางกลับมาอยู่ที่บ้าน เมืองลพบุรีอาศัยเปิดร้านซ่อม อุปกรณ์ไฟฟ้า เล็ก ๆ แต่ก็พอมีรายได้ วันไหนอยากทำก็ทำ วันไหนอยากปฏิบัติธรรม ก็ไป ก็พออยู่ได้

ในช่วงนี้ก็ได้เืิดินทางไปตามวัดต่าง ๆ ที่มีประกาศ ปฏิบัติธรรม ภาวนา
อาตมาได้สั่งสมความรู้ ทางธรรม และ เริ่มมีฝีปาก ทางธรรมเพิ่มขึ้น

ญาติธรรมส่วนใหญ่ ก็ชอบพูดเรื่องธรรมะ กันนัดกันไป ปฏิบัติกันที่นั่น ที่นี่ แต่ไปที่ไหน ๆ
ก็มีแต่อุบาสิกา เยอะ มาก ๆ ส่วนพวก อุบาสกด้วยกัน รวมตัวได้จริง ๆถูกคอก็มีเพียง 2 - 3 คน

เราไปปฏิบัติธรรมที่ไหน ก็ตั้งความปรารถนา ว่าอยากพบพระอรหันต์ มาเป็นผู้สอน แนะนำธรรมะให้
แต่ทุกครั้งที่ไป ก็ไม่พบ พระอรห้นต์สักองค์

ที่ไหนมีข่าว ของพระอรหันต์ อาตมาก็สืบเสาะไป
จนในใจตอนนั้นคิดว่า

พระอรหันต์ไม่มีอยู่จริง ในโลกนี้ ซะกระมังจึงหายากปานนี้

แต่เพราะยังเชื่อมั่นใน พระพุทธพจน์ว่า

" ตราบใดที่มีผู้ปฏิบัติธรรม ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ "

จึงได้อดทนและตามติด ข่าวคราวและฟังข่าว ของพระอรหันต์ ว่ามีที่ไหนบ้างในประเทศไทย

ในใจตอนนั้นบางครั้ง ก็อ่อนล้่าลง ด้วยความคิดที่ว่า

เรากำลังทำอะไรอยู่ .......

ทั้งชีวิตของเรากำลังทำอะไรกันนี่......

กำลังปล่อยเวลาให้ไปอยากไร้ ประโยชน์......

ขณะเดียวกัน ทางบ้านอาตมา ก็เริ่มมองเห็นว่า อาตมา เป็นคนบ้า เพี้ยน เป็นพวกสุดโต่ง

โลกนี้ช่างเป็นเหมือนละคร จริง ๆ บทบาทแตกต่างกันไป

พระอรหันต์ พระอรหันต์ พระอรหันต์ !!!!!!????? ท่านอยู่ที่ไหน ?




นิรนาม_พุทโธ:
บทที่ 6 ของแท้ไม่มีโฆษณา ของปลอมมีโฆษณามากมาย

เนื่องด้วยใจที่ร่ำร้อง ถึงพระอรหันต์ ที่เป็น ๆ สักรูป สักองค์ จึงทำให้การแสวงหาของอาตมา
ยิ่งเพิ่้มทวี ขึ้น ที่ไหนที่ร่ำลือ กันว่า ครูบาอาจารย์รูปนี้เป็นพระอรหันต์ แล้วก็รีบเดินทางไปทันที

เดินทางไปทุกครั้งที่ได้ ก็คือไม่ได้
เพราะไปแล้ว ก็รู้ด้วยใจ ว่า ไม่ใช่ พระอรหันต์

ตอนนี้ อาตมาวาดภาพ พระอรหันต์ไว้มากมาย ก็คงไม่ต่างอะไรจากท่านทั้งหลาย ที่วาดภาพพระอรหันต์ไว้
ว่า พระอรหันต์ท่านจะต้อง นั่งเข้านิโรธสมาบัติ สัญญาเวทยิตนิโรธ ให้ดูสัก 7 วัน

แต่เวลาที่ อาตมา ไปที่ไหน ๆ นั้น ก็ไม่มีพระที่คุณสมบัติแบบนี้ ให้ดู ให้รู้ ให้เห็น สักองค์ อย่างมากท่านก็นั่่งกรรมฐาน ให้รู้ ให้ทราบ ให้เห็น ก็แค่คืนเดียวเท่านั้น

ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น อาตมาจึงไม่พบพระอรหันต์เลยสักรูป สักองค์

จนคืนหนึ่ง ขณะที่นอนหลับลงไป ก็ได้ฝันว่า เข้าไปในสถานที่เดิมอีกคร้้ง

คำถามที่พรั่งพรู ว่าจะถามก็หายไปอีกเหมือนทุกครั้ง คือนึกคำถามอะไรไม่ออก

ขณะที่กำลังคิดว่าจะถามอะไร ?

ก็ได้ยินเสียงที่นุ่มนวล พูดขึ้นว่า

    "พระอรหันต์ที่เธอหานั้น หาแบบเธอไม่เจอหรอก เพราะพระอรหันต์ ไม่มีใครบอกว่าเป็น แต่ที่บอกว่าเป็นแบบที่เธอทราบ นั้นก็ไม่ใช่ ดังนั้นอย่ามัวหาพระอรหันต์ ข้างนอกเลย จงหาพระอรหันต์ที่เป็นอยู่ในใจของเธอ เสียเถิด"

    "หาอย่างไร ครับ"

    "หาด้วยคุณธรรม โครงข่ายแห่งธรรมทั้ง 37 ประการ"

    "อะไรเรียกว่า โครงข่ายแห่งธรรมทั้ง 37 ประการครับ"

    "อภิญญาเทสิตธรรม หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ นั่นอย่างไรละ"

   "จงหาธรรมจากด้านในของเธอ อย่ามัวแต่หาด้านนอก"

   "ครับ" ผมก้มกราบลง

   ก็ปรากฏว่าเป็นเวลา ตี 5 เสียแล้ว จึงลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ตอนเช้า

   และก็มานั่งลำดับ การกระทำที่ผ่านมา และคำเตือนที่ได้รับการบอกมาจากในฝัน
จึงพอจะเข้าใจ ได้นิดหน่อยถึงแม้จะไม่มากก็ตาม ก็พอจะเข้าใจได้นิดหนึ่งว่า เราทำอะไรไม่เข้าท่าคงไม่มีใคร
พยายามทำอย่างเรา หรือที่พยายามทำอยู่ ก็ไม่ควรทำ

   ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ก็ตราบใด ที่ยังมีผู้ปฏิบัติตามธรรม ตราบนั้นโลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์

คิดดังนั้น ก็มาลำดับดูความรู้ของตัวเองในการภาวนานั้นเพียงพอหรือยัง เพื่อที่จะได้ภาวนาจริง ๆ เสียที


นิรนาม_พุทโธ:
บทที่ 7 เมื่อเราภาวนามากขึ้นก็จะเป็นคนบ้า.....

หลังจากค่ำคืนนั้นมา ใจอาตมา ก็เริ่มสงบลงจากการหาพระอรหันต์ ตั้งแต่วันนั้นมาก็กลับมาพึ่งตำรา

เหมือนเดิม คราวนี้กลับมาด้วยใจที่ต้องการศึกษาตัวเราเองเพิ่มขึ้น การงานก็พอดำรงอยู่ได้ ถึงแม้จะไม่รวยแต่ก็

พออยู่รอด ในขณะเดียวกัน บรรดาญาติ พี่น้อง ตลอดถึงแม่ เริ่มมอง ว่าอาตมาเป็นคนที่คิดไม่เป็น ใช้ชีวิตไปกับ

เรื่องไร้สาระ เช่นการทำบุญจะทำไปทำไม ตั้งมากมาย มีอยู่วันหนึ่ง อาตมาได้รับปากที่วัดแห่งหนึ่งจะทำบุญสร้าง

เสนาสนะ ตนเองก็ได้เริ่มรวบรวมเงินเท่าที่จะหาได้ในขณะนั้น ก็ร่วมแสน ได้จัดเป็นผ้าป่าไป นัดญาติ พี่น้อง แม่

ไปทำบุญกัน โดยไม่บอกจำนวนเงินที่จะทำกับญาติ แต่พอคณะกรรมการได้นับยอดเสร็จปรากฏว่าไ้ด้ยอด ราว ๆ

สามแสนกว่าบาท

แม่อาตมา ก็มาถามว่า เอาเงินจากไหนตั้งมากมายไปถวาย ไม่เห็นแจกซอง หรือ รับเงิน จากญาติพี่น้อง เลย

อาตมาก็เลยตอบไปว่า เป็นเงินก้อนที่ลาออกจาก บริษัทมาประมาณ 6 แสนเหลืออยู่ไม่มาก ใจอยากสร้างเสนสนะ

โดยเฉพาะกุฏิ ที่เป็นทั้งศาลา และที่ภาวนาของญาติธรรม หลายท่าน


แม่อาตมา ก็แค่นเสียงว่า ไม่เก็บไว้ตอนแก่เลยนะ รู้หรือป่าว พี่น้องมอง เอ็งยังไง ตอนนี้


บ้า ไปกันใหญ่แล้ว ทำไมต้องไปทุ่มทำอะไรกับศาสนา ขนาดนี้ ทำบุญใส่บาตร เล็ก ๆ น้อย ๆ ใส่ซอง กฐิน ผ้าป่า

อย่างแม่ นี่น่าจะดีกว่า นะ

อาตมาก็สงบปากลง หยุดนิ่งฟัง แม่บ่น แต่สุดท้าย ก็พูดขึ้นว่า

  หนูอยากให้แม่ ได้บุญในการทำครั้งนี้ด้วย แม่อนุโมทนาบุญก่อนนะ


แม่อาตมา มีอาการสงบนิ่ง แล้วมองหน้า สักครู่จึงพูดขึ้นว่า

  บุญมันก็ของแก นี่ ตังค์มันก็ของแกนี่ ขอให้ได้บุญมาก ๆ นะ แม่ เอ็งเกิดมายังไม่เคยได้รับเงินขนาดนี้เลย

คราวหลังมาทำกับแม่บ้างนะ

จากวันนั้นมา บรรดาญาติ พี่น้อง พอเจอหน้า อาตมา ก็จะพากันเดินหนี ไม่มีใครคุยด้วย

มี อาเจ่ก ซึ่งเป็นน้องพ่อ อยู่คนหนึ่ง พูดขึ้นว่า

  ไอ้นี่ มันบ้ามาก ๆ แล้ว อนาคตดี ๆ มันไม่เอา มันทำอะไร หาสาระแก่นสารไม่ได้ ใครอยู่กับมัน มีแต่อดตาย

อยู่กับ ไอ้นี่ ไร้อนาคต ดู ๆๆ พี่น้องของมัน ได้ดีกันหมด คนนั้นก็เป็นผู้จัดการ คนนั้นก็ทำงานมีเกรีิยติ มีแต่มันที่

ทำงานเปิดร้านซ่อมไฟฟ้า ที่อด ๆ  อยาก ๆ ตัวเองก็แย่อยู่แล้ว มันยังทำเป็นอวดทำบุญมากมาย

  สันดานนี่มันแก้ยาก ไอ้นี่ อนาคต กู บอก ได้เลยว่า อดตาย ใครคบกับมัน ก็มีแต่ตกต่ำ

ตอนนั้น อาตมาก็ได้แต่ นั่งทำงานฟัง เสียง ที่ดังมาจากร้านกาแฟ ข้างร้าน ที่จงใจพูดให้ได้ยิน

ที่จริง ก็เข้าใจ ว่าเป็นห่วง จึงยอมออกมาพูด กระทบกระเทียบ อย่างนี้ทุกวัน

อาเจ่กคนนี้ มาที่ร้านกาแฟ ก็มาพูดอย่างนี้ ทุกวันเกือบเดือน ก็ฟังทุกวัน .... จนใจเริ่มชาชิน แล้วว่า บรรดา

พี่น้อง แม่ และ ญาติ มองเราอย่างไร ถ้าไปพูดเรื่องเงิน จะขอพึ่งพากับ บรรดาญาติ แล้ว ก็จะถูก ยกเรื่อง ผ้าป่า

ครั้งนั้น ขึ้นมาเป็นเหตุว่า

   คิด ๆ ไปแล้ว เราทำบุญ ก็อยากให้พี่น้อง ได้ร่วมกุศล และอยากให้ได้อนุโมทนากุศล ร่วมกันเป็นอนุสรณ์

ว่า ตระกูลของเรา เป็นผู้ได้รับใช้ ศาสนา เหมือนกัน เพราะเวลาไปที่วัด ที่อาตมามองไปที่ศาลาหลังนี้ ก็จะสลัก

นามสกุล ของตระกูล ว่าเป็นผู้มาบริจาค ร่วมสร้าง

  การทำบุญ ทำให้ใหญ่ ก็มีครั้งนี้ครั้งเดียว ค่าของเงินแสน โยมลองคิดดูสิ สมัยที่ซื้อ หนังสือพิมพ์ฉบับ ละ 1 บาท นะ สามแสนบาท นี่ เยอะไหม บอกได้เลย ว่าเยอะมาก ๆ ขนาดซื้อ บ้าน 100 ตารางวา สองชั้นในเมืองที่ราคา ร่วม สามล้านในปัจจุบันได้เลยนะในสมัยนั้น

  พอเวลาผ่านพ้นไป ถึงปัจจุบันนี่ ลูก หลาน ที่มาทำบุญ ก็ได้รับชื่อเสียงกัน เพราะที่ศาลาการเปรียญ หลังนั้นยัง
โชว์นามสกุล ตระกูลของพวกเขาอยู่ ทำให้ตระกูลในครั้งนั้น มีคนเกรงใจ พอสมควร

  หลังจาก อาเจ่ก มานั่งค่อนคอด แวะมาว่าอยู่ได้ร่วมเดือน อาเจ่ก ก็ได้จากไปในอาการสงบ แบบที่ไม่มีใครเชื่อ

เลยว่า คนอายุ 41 ปี ที่แข็งแรง ขนาดนั้น จะมาด่วนจากไป ด้วยอาการนอนไม่ตื่น ทำให้่ญาติ พี่น้อง เศร้า ไป

ตาม ๆ กัน อาตมาเองก็นึกเสียดายที่คนอย่างอาเจ่ก ที่อุตส่าห์มาเป็นทัพหน้า เข้ามาคุยกับเรา จากบรรดาญาติทั้ง

หลายที่ไม่มีใครมาคุยด้วย หรือ ด่า หรือว่า ตอนนี้ ก็เหมือน ญาติ พี่น้อง นั้น ถูกตัดขาด กันหมด


หลังจาก งานศพ ผ่านไป ใจอาตมา ก็เริ่มสงบลง อีกมาก เพราะที่จริง การที่เราเห็นคนที่จากเราไปนั้่น ก็เป็นส่วน

หนึ่งที่ทำให้อาตมาเห็น ความเป็นจริง อย่างนี้ว่า ชีวิตเราหาสาระ อะไรกันแน่ การเวียนว่ายตายเกิด ของเรามีมา

เพื่อสิ่งใดกันแน่ อะไรเป็นเป้าหมาย ที่แท้จริง

  มองออกไป บรรดา เพื่อน ๆ ที่บอก ว่ามีความสำเร็จ ในครอบครัวในหน้าที่การงาน ทุกวันเขาก็อยู่กันอย่าง

ไม่ใช่ มีความสุขสงบ อำนาจของพระธรรม คุณของพระพุทธเจ้า ช่างเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสียนี่กระไร

  ดังนั้นถึงแม้ บรรดาญาติ พี่น้อง และ แม่ ของอาตมา จะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของอาตมา ที่ออกมาเป็น

พวกแนวธรรมะ ตอนนั้น อาตมาก็ดูเหมือนคนบ้าจริง ๆ เริ่มไว้ผมยาว แต่ไม่ไว้หนวด ใส่เสื้อผ้า อยู่สองสีคือ

สีดำ และ สีขาว ทุกวันจะเปิดร้านซ่อม เวลา 9.00 น ปิด ร้าน 15.00 น. ไม่รับงานซ่อมที่ด่วนจะเอาให้ได้ใน

เวลา ไปวัดคุยสนทนา กับพระ ในช่วงเวลาเย็น ๆ

  ช่างมันเถิด ช่างหัวมัน ฉันไม่แคร์ กับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ที่จะขัดขวาง หรือไม่สนับสนุนการภาวนา ของฉัน

  นี่ความคิด ตอนนั้น มันอย่างนี้ เพราะมานั่งนึก ลำดับแล้ว

  บรรดาพี่น้อง ทั้งหลาย เหล่านี้ ตั้งแต่เกิดมา ก็ไม่เคยได้ช่วยอะไรเราอยู่แล้ว

  แต่อย่างไรเสีย ต้องทิ้ง แม่ ไว้คนหนึ่ง ที่จะพยายามชวน ให้ไปทางธรรมให้ได้......



เท่านี้ก่อนนะครับตอนนี้ ค่อนข้างจะยาว เพราะหลวงพ่อท่าน จะเน้น ความคิด ของญาติพี่น้องค่อนข้างมาก

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว