ผ้ายันต์ ก็ไม่ต่างอะไรไปกับวัตถุมงคลอื่นๆ เพียงแค่ทำลงไว้กับผ้า อาจจะเป็นการง่ายในส่วนของการหาวัสดุที่จะนำมาใช้ และมีความคงทนของสะภาพได้ยาวนานในระดับหนึ่งที่เดียว
ชายไทยในสมัยโบราณก็มักจะทำใช้(เสก)กันเองราวกับว่าทำกันเองเป็นแทบทุกคน จะเห็นได้จากตำรามหายันต์ทั้งหลาย อย่างเช่น
ยันต์แหวนพิรอด
เอาผ้าลง แล้วจึงเสกด้วยพระเจ้า ๕ องค์ เมื่อจะเข้าการรณรงค์สงคราม เสกด้วย พระคาถานี้ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ เสก ๑๐๘ คาบ ทำแล้ว เผาไฟ ถ้าไฟ ไม่ไหม้ เอาแล ฯ เอาแหวนใส่มือแล้วบริกรรมด้วยคาถานี้ มะ อะ อุ ฯ ภาวนาไปจนกว่าจะเลิกการรณรงค์สงคราม บริกรรมด้วยพระคาถานี้ ฯ วะมะยะระวะพะกะสะ ฯ ตรีนิสิงเห อย่าว่าแต่ศึกมนุษย์เลย ให้เหาะมาก็อย่าได้กลัว เสกตามตัวนั้นเถิด
จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า ง่ายต่อการหา เพื่อนำมาใช้(ในอดีต) คือให้เอาผ้ามา ลงทำยันต์ แล้วม้วนเหมือนตะกรุต แล้วผูกเป็นแหวนไว้ที่นิ้ว ในการรณรงค์ ออก ทำสงคราม(ในอดีต)
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่สะภาพจิตของผู้ที่ปลุกเสกทำกันด้วย จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า ชายไทยเราสามารถทำกันเองได้ ไม่ต้องไปให้ใครทำให้ และถ้าการทำการเสกได้ผลแสดงให้เห็นได้ว่าในสมัยก่อนนั้น ชาวบ้านได้มีการปฏิบัติธรรมกันมาก มีผู้สำเร็จวิชาจริง มีผู้ได้ญาณได้สมาธิจิตเป็นจำนวนมาก สังเกตุเห็นได้จาก การที่พอมีการณรรงค์สงครามเกิดขึ้น ชายไทยเราก็จะหาจะทำจะเสกวัตถุมงคลกันแบบของใครของมัน ทำกันได้เอง ในทันที พร้อมที่จะรบกันเลย
ก็นาคิดอยู่เพราะสมัยก่อน โรงหนัง ห้าง ที่เที่ยวสวนสนุก อะไรๆ ก็ยังไม่มี แม้นกระทั้งทีวี จะมีแต่ก็วัด ที่เดียวเท่านั้น ค่ำก็เข้านอน หนุ่มสาวจะเจอจะไปจีบกันได้ก็ที่งานวัดเท่านั้น เป็นจุดศูนย์รวมของผู้คนในอดีต จึงทำให้สิ่งรบเร้ารบกวนจิตใจไม่ได้มีมากเหมือนในอุคนี้ แถมยังมีความเคารพกันสูง พูดอะไรก็รักษาจาวาสัจ จึงไม่แปลกที่ผู้คนในอดีตจะสามารถทำกันได้