สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: vijitchai ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 10:04:55 am



หัวข้อ: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: vijitchai ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 10:04:55 am
ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
  ในยุคสมัยนี้ จิตใจเด็ก แตกต่างจากเราเมื่อครั้งเป็นเด็กมากนะครับ เพราะเด็กสมัยนี้ ฉลาดมาก ๆ จนผมคิดไม่ถึงเลยครับว่า เขาสามารถหลอกเราได้อย่างเหลือเชื่อจริง ๆ ไม่เหมือนสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นอาศัยความซื่อ เป็นหลัก แต่อย่างไร เรื่องที่หลอก นั้นไม่ใช่เรื่องจริง สักวันหนึ่งเราก็ต้องรู้ความจริง ตอนนั้นเราควรจะทำอย่างไร ดีครับ เมื่อเรารู้ความจริงว่า เราถูกหลอก สารพัดเรื่อง จากลูกของเรา ไม่ว่าเรื่องเรียน เรื่องงาน เป็นต้น

 คุณจะทำอย่างไร ครับ เมื่อ ความจริงถูกเปิดเผยด้วยตัวคุณเอง .....

  :'( :c017:


หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sivaroj ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 07:12:15 pm
ฐานะผมเป็นพ่อลูกสาวอายุ 13 แล้วนะ พอมีประสบการ์ณเรื่องนี้เล็กน้อย

เรื่องเรียน
ตอนลูกสาวเรียน ป.6 ผมถูกคุณครูโทรมาบอกว่าลูกไม่ส่งการงานหลายวิชา จะไม่ให้เข้าสอบ ถ้าจะให้ลูกสอบให้ส่งงานให้ทันอีก 3 วัน
ตายเลย ผมถามลูกๆ อยู่บ่อยๆ ว่ามีอะไรค้างมั๊ย เธอก็โกหกบอกว่าส่งแล้วๆ ไม่มีงานค้าง เป็นอย่างนี้เสมอๆ

ทีแรกผมโมโห มาก  ว่าไปด่าไป ขนาดน้ำตาผมร่วงเองเลย ไม่ต้องพูดถึงลูก เอาแต่ร้องให้ อย่างเดียวอย่างอื่นคงฟังแล้วไม่เข้าใจตอนนี้แน่ๆ
แต่ด้วยความรักที่มีให้เขา รู้ว่าโมโหไปมันก็ไม่ดี แต่กลับโทษตัวเองที่สอนเขาไม่ดี ดูไม่ละเอียดปล่อยให้ไม่ส่งงาน

กลับกันคิดว่าถ้ามัวแต่โมโห แล้วตีลูกจะได้อะไรดีขึ้นหรือเปล่า พอคิดได้ ก็เปลี่ยนวิธี
พอคุยกับเขาดีๆ ถามว่าทำไมถึงโกหก แล้วทำไมไม่บอกความจริง
เธอมองหน้าแบบไร้เดียงสา ว่าหนูไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยสอนเขา มีอะไรก็ขอให้บอกความจริง
แล้วก็ช่วยกันปั่นงานที่ค้างส่ง ให้ทัน ผลก็คือส่งทันได้เข้าสอบ แล้วก็สอบขึ้นชั้นได้ แถมเขาไปสอบเข้าโรงเรียนรัฐ ก็สอบติดอีก

ม.1 ทะเลาะกับเพื่อน
มี message เข้าโทรศัพท์ลูก พอดีเธอไม่อยู่ ผมเลยแอบอ่าน (นิสัยไม่ดีเลย) ก็มีข้อความ หยายคายมากๆ
มาต่อว่าลูกผม ข้อความที่ไม่น่าจะเป็นเด็กนักเรียน ม.1 เลย
ผมโทรศัพท์กลับไปเจ้าของเบอร์ เป็นเสียงเด็กผู้หญิงรับสาย ก็เลยถามไปว่าหนูส่งข้อความมาเบอร์นี้หรือเปล่า
เธอปฏิเสธและจะวางหู ผมเลยพูดกับเธอดีๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ใส่อารมณ์ บอกว่าไม่ได้โทรมาจะว่าจะด่า แต่อยากรู้ว่าทำไมส่งข้อความ หากมีเรื่องอะไรทะเลาะกัน พ่อก็จะพูดคุยให้เข้าใจกัน
สุดท้ายเธอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง มีการทะเลาะกันจริงๆ สาเหตุแบบเด็กๆ ทะเลาะกัน

สุดท้ายผมก็สอนทั้งเพื่อน ทั้งลูก ให้คืนดีกัน เป็นเพื่อนกันดีกว่าทะเลาะกัน

 
ม.2 เรื่อง ติดเพื่อนและไม่บอกความจริง
พอเริ่มวัยนี้ เขาเริ่มมีร่างกายเปลี่ยนไปตามวัยแล้ว ก็เริ่มมีความคิดว่าเพื่อนคือสิ่งที่ไกล้ชิดที่สุดและสนุกที่สุดของเขา เขามักจะขอไปบ้านเพื่อนบ่อยๆ ผมก็อนุญาติเสมอ แต่มีข้อแม้ว่าผมไปส่งและรับกลับตรงเวลา
มีครั้งหนึ่งไปเข้าค่าย เนตรนารี 3 วัน พอวันกลับผมก็ไปรอรับ ตั้งแต่ บ่าย 2 เพราะหมายกำหนดการจะมาถึง ร.ร. เวลานี้ (รอที่ทำงาน ปรกติ เธอเลิกเรียนแล้วจะเดินมาหาที่ทำงานเพราะไกล้กัน)
รอจน บ่าย 4 ก็ไม่มา โทรก็ไม่โทรมาบอก โทรกลับก็ไม่ติด
เริ่มกระวนกระวาย เดินไปที่โรงเรียน คุณครูบอกว่าเด็กกลับบ้านหมดแล้ว ลูกผมก็เซ็นต์ชื่อออกไปแล้ว
ตายเลย แล้วไปใหนล่ะนี่ ผมเดินวนเป็นหนูติดจั่น ระหว่าง ที่ทำงาน ร.ร. และสถานที่รอบๆ โรงเรียน ที่คิดว่าลูกจะไป จน 6 โมง ลูกถึงโทรศัพท์มา บอกว่าตอนนี้อยู่บ้านเพื่อน เท่านั้นแหละผมก็ระเบิดอารมณ์ ใส่เธอเลย

พอไปรับเธอ กลับ ก็ยังด่าอีก ด้วยความโมโห
แต่ เกิดคิดได้ว่า แก้ปัญหาด้วยโมโห ใส่เธอคงไม่ใช่วิธีที่ดีและถูกต้องแน่ๆ
เลยลดอารมณ์โมโหลงแบบทันทีทันใด แล้วพูดกับเธอแบบน้ำเสียง "พ่อที่ควรพูดกับลูกแบบรักลูก" อย่างที่เคยเป็นสอบถามก็ได้ความว่า อยากมาบ้านเพื่อน แต่ไม่โทรบอก เพราะกลัวพ่อไม่ให้มา และแบตโทร เพื่อนก็หมด
ผมก็ฟังและอธิบาย ไปว่า พ่อไม่เคยไม่ฟังลูกสักครั้ง พ่อฟังเสมอ และมีเหตุผลพอเสมอ แล้วรู้ได้อย่างไรว่า ถ้าบอกพ่อตรงๆ แล้วพ่อจะไม่ให้ เคยลองแล้วเหรอ
ทำโทษด้วยการลดเงินค่าขนมลง ให้เธอรู้ว่าผิดก็ต้องถูกลงโทษ แต่ไม่ทำร้ายร่างกายและจิตใจเธอ

ตอนนี้เธอก็ยังเป็นเด็กที่สดใสน่ารักในสายตาผมเสมอ ระยะหลังมานี้เธอมีอะไรก็จะเล่าให้ผมฟังเสมอๆ ทุกเรื่อง
(ที่คิดว่าเธอไม่ปิด) คงมีบางเรื่องแหละที่เธอไม่เล่า ก็คิดว่าเธอก็โตขึ้นทุกวันโลกส่วนตัวเธอก็มี ก็ปล่อยๆ เธอบ้างชีวิตของเธอเราเป็นเพียงผู้ดู และผู้พายเรือส่งให้ถึงฝั่ง

ผมได้ความรู้จากลูกสาวผมเพิ่มเติมดังนี้
1. ไม่ใช้อารมณ์แก้ปัญหา โดยเฉพาะความโมโห เพราะมันจะปิดบังความคิดเรา
2. พยายามปลูกฝังให้เขาไว้ใจและพูดคุยกับเรา และให้รู้ว่าเราจะฟังเขาเสมอ
3. ยอมรับและให้อภัยในสิ่งที่เขาทำไปแล้ว ผิดก็ต้องทำโทษ (พอประมาณให้รู้) แต่ไม่ทำร้ายร่างกายและจิตใจ
4. ยอมรับความคิดของเขาอาจไม่ตรงใจไม่ถูกใจเรา หากมันไม่ดีมากๆ ก็ต้องยกเหตุผลอธิบายหักร้าง
5. เข้าใจวัยของเขาในแต่ละวัย ว่าแต่ละวัยของเขาจะมีอะไรบ้าง เช่น วัยนี้จะเริ่มมีเพื่อน อยากแสดงออก อยากให้คนอื่นยอมรับ อะไรทำนองนี้
6. สอดแทรกอะไรบางอย่างทำร่วมกัน เช่นตอนนี้ ผมชอบนั่งสมาธิ แต่ก่อน ผมกลัวคนอื่นจะว่าผมแปลกๆ หลบๆ ซ่อนๆ ในห้องมิดชิด (หามุมสงบ) ตอนนี้ผมบอกเธอตรงๆ เลย นั่งแล้วดีนะ สมองดี ความจำดี และชวนนั่งสมาธิด้วยกัน
7.  สนับสนุนให้เขาได้แสดงออกในสิ่งที่เขาชอบ เช่น เขาอยากร้องเพลงชอบร้องเพลง ก็ให้เขาไปเรียน (ทำเท่าที่เรามีกำลัง) เขาจะได้มีอะไรที่เขาชอบทำและแสดงออก

สำหรับผมแค่นี้ครับ


หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: Skydragon ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 07:50:12 pm
อนุโมทนา กับคุณ SIVAROJ นะครับ โพสต์ตอบได้ดีครับ แต่ คุณ SIVAROJ ชื่อเหมือนผู้หญิง หรือ ว่าเป็นคุณพ่อครับ
 :c017: :25:


หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sivaroj ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 08:29:43 pm
sivaroj เป็นผู้ชายครับ เป็นพ่อของลูก 2 คนครับ



หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: intro ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 08:49:46 pm
อนุโมทนา ที่คุณพ่อลูกสองมาให้คำแนะนำ เรื่องนี้ครับ สำหรับคนไม่มีลูก นี้คงจะตอบให้ยากนะครับ ต้องคนมีลูกถึงจะตอบได้ดี อ่านข้อแนะนำของคุณ sivaroj แล้ว ประทับใจครับ

   ที่สำคัญ ชือ sivaroj  ศิวโรจน์ เจ้าของสะกดอย่างนี้นะครับ
   ตอนแรกผมก็อ่านเป็น ศิวรจน์ เหมือนกันครับ

  :25: :c017:


หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 09:20:45 pm
        เราก็เคย  เป็น    อย่างที่เขา  เป็น
        เราก็เคย  พูด    อย่างที่เขา  พูด
        เราก็เคย  ทำ     อย่างที่เขา  ทำ
        เราก็เคย  คิด    อย่างที่เขา   คิด

ในบทสวดมนต์ทำวัตเข้า
ในส่วนของ ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา คาถานอบน้อบแด่พระรัตนตรัย  และการพิจารณาธรรมสังเวช
ที่ขึ้นต้นว่า "พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว   โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน"
จนถึงตรงที่ว่า
     "โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ  ทุกขา,
       แม้ความโศก  ความร่ำไรรำพัน,  ความไม่สบายกาย  ความไม่สบายใจ
       ความคับแค้นใจ  ก็เป็นทุกข์;

       อัปปิเยหิ  สัมปะโยโค  ทุกโข
       ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ  ก็เป็นทุกข์;
   
       ปิเยหิ  วิปปะโยโค  ทุกโข,
       ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจ  ก็เป็นทุกข์;

       ยัมปิจฉัง  นะ ละภะติ  ตัมปิ  ทุกขัง
       มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น  นั่นก็เป็นทุกข์; "

   ก็สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการ  ทั้งเรา ทั้งเด็ก(ลูกเรา) จึงทำการป้องกัน เท่าที่ตัวเองจะทำได้

   สิ่งที่รักที่พอใจในช่วงวัย ตอนนี้จะเป็นเพื่อนๆ เสียมากกว่า ที่จะเป็นจากเราที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง
ก็ลองนึกถึงเราในช่วงวัยนั้นๆดู ว่ารักเพื่อนตามเพื่อนมากแค่ไหน เราก็เหมือนกัน เขาก็เหมือนกัน
ถ้าเกิดการทำร้ายจิตใจกันเกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่ไม่อยากจะโดนทำร้ายอีก จึงต้องทำการปกป้อง ป้องกันตัวเอง อาจจะเป็นการโกหก เพียงเพื่อจะให้ได้มาซึ้ง สิ่งที่ปรารถนา ที่ตนปรารถนา เพียงเพื่อไม่ให้ทุกข์ในใจของเขาเกิด เพราะเขายังอ่อนต่อโลก และระดับจิตใจที่ยังอ่อนแอ จึงเกิดทุกข์ที่ตรงนี้(ตรงจุดนี้การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้มีจิตที่เข็มแข่งขึ้นได้ ด้วยการฝึกจิต)

    โดยอย่างยิ่ง เวลาที่เขาได้บอกกับคน  ที่เขาคิดว่ารักเขา เข้าใจเขา (อย่างเรา ผู้เป็นพ่อ ผู้เป็นแม่ หรือผู้ปกครอง) แต่คนเหล่านั้นกลับให้ความทุกข์กับเขาเพิ่ม เช่น การดุ ดา ว่ากล่าว อาจจะเพราะ ด้วยความหวังดี ด้วยความถูกต้อง  แต่สิ่งแรกที่คนเราทุกคนต้องการนะเวลานั้นคือกำลังใจ ที่พึง ที่เราจะสามารถพึงได้จริงๆ ที่จะไม่ทำร้ายเราไม่ทำร้ายจิตใจเรา (แล้วมีหรือเปล่า) ที่จะทำให้เราสบายใจ  ไม่ทุกข์  ผู้เขียนเองเห็นจะมีก็เพียงแต่พระพุทธองค์  ธรรมะคำสอนของพระพุทธองค์  ที่ไม่เคยจะทำร้ายใคร ลองนึกดูเรา ก็เคยทำร้ายผู้อื่น อย่างน้อยก็ด้วยหอก คือปากที่พูดทิ่มแทงจิตใจกัน  นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาต้องโกหก ก็เพราะความจริงมันทำให้เขาต้องเจ็บปวดใจ เขาเลยต้องยอมก้าวเข้าสู่โลกที่ไม่จริง คืิอการโกหก หรือหลอกตัวเอง เราเองก็มี ที่หลอกตัวเราเอง โกหกตัวเราเอง ก็เช่นกัน

  "และเมื่อความจริงถูกเปิดเผย"

   ก็คงต้องหันมาดูมายอมรับกันว่า ความผิดส่วนหนึ่งก็เป็นที่เราด้วยเพราะแม้เราเองก็ยังเป็นปุถุชน หลายๆครังก็ไม่มีสติรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ บางครั้งเราก็อ่อนแอ่ ยอมแพ้ให้กับกิเลส เขาก็เหมือนเรา  ก็คงต้องเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ไม่ว่าจะต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งกันไหม่ซักกี่ครั้ง  ที่จะทำได้ก็คงต้องไปปรับความคิด ให้ถูกต้อง ให้คิดถูก คิดชอบ อย่างที่มีกล่าวไว้ใน อริยมรรค มีองค์แปด ในข้อแรก คือ สัมมาทิฏฐิ  ความเห็นชอบ และข้ออื่นๆจนครบทั้งแปดข้อ นี้เป็นข้อ ที่พอจะแนะนำท่านได้ 


หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: Goodbye ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 10:28:13 pm
มูลเหตุ ของการโกหก ปกปิด พ่อแม่ ก็เพราะอยากให้พ่อแม่ สบายใจ ไม่อยากให้โกรธ
ความคิดแบบเด็ก็เป็นอย่างนี้ นะจ๊ะ

 แต่เมื่อความจริง ที่ปกครองรู้โดย ที่เด็กไม่บอกแ้ล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือ ระงับความโกรธ และ ย้อนกลับไปทำความเข้าใจกับเด็ก และ ใช้ธรรมะข่มกลั้น พยามยามมองให้เห็นปัญหาแท้จริง อย่างที่คุณ ศิวโรจน์ ตอบคือ แทนที่โกรธ แต่มาแก้ปัญหาก่อนดีกว่า

  :88: :25: :49:


หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: sivaroj ที่ พฤศจิกายน 10, 2012, 10:31:58 pm
"ธรรมะ ปุจฉา"
อนุโมธนา สาธุ ได้คติธรรมดีๆ อีกแล้ว

ขอเสริมข้อสุดท้าย
เรื่อง ความฟุ้งเฟ้อ เมื่อลูกสาวอยากได้ IPhone

ถึงวัยจะเด็กๆ ก็มีความฟุ้งเฟ้อต่างๆ อยากได้ อยากมี โดยเฉพาะถ้าเพื่อนมี เขาไม่มี เขาก็อยากได้เป็นธรรมดา
ผมให้เขาใช้โทรศัพท์เก่าๆ รุ่นโบราณ เป็นของเก่าที่ผมยกให้ สังเกตุ เขาไม่ค่อยใช้โทรศัพท์ต่อหน้าคนอื่น
คงอายเพื่อน เพราะเคยตะล่อมถาม บอกเพื่อนใช้ Iphone กัน

เขาเคยมาขอผมตรงๆ (ไม่นานนี้เอง) ว่าเป็นไปได้มั๊ยอยากได้ Iphone บ้าง
ผมบอกว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าจะซื้อเลยตอนนี้คงไม่ง่ายนะ
เก็บเงินเองส่วนหนึ่ง ทำความดีอีกส่วนหนึ่ง พ่อออกให้ส่วนหนึ่ง คงพอซื้อได้
ผมไม่อยากปฏิเสธเธอทันที เพราะตัวเองก็เป็น อยากได้อยากมี มาก่อน
เหมือนท่าน ธรรมะ ปุจฉา อธิบายไว้ข้างต้น


จนกระทั่ง ลูกชายต้องใช้ Note book ตัวใหม่สำหรับเรียน (เรียน ออกแบบ อยู่ มหาวิทยาลัย ปีสองแล้ว จำเป็นต้องใช้ )

ผมก็พาไปเลือกซื้อ (ก่อนเปิดเทอมนี้) พาไปกันหมด ทั้ง 3 คน
บอกลูกสาว ว่า ที่ซื้อให้พี่ เพราะจำเป็น พี่เขาใช้ในการเรียน และจะเป็นอาชีพของพี่ในอนาคต
อิจฉามั๊ย ถ้าอิจฉา จะพาไปซื้อโทรศัพท์ให้
แล้วก็พาไปดู Galaxy SIII 2x,xxx ก็บอกเขาตรงๆ (ทั้งลูกชาย และลูกสาว)
ว่า พ่อ มีรายได้เท่านี้ ดูเหมือนเยอะ แต่พ่อก็มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ต้องเก็บอะไรบ้าง เหลือเท่าไร
และถ้าพ่อซื้อให้สองคน พ่อต้องอด ต้องงดอะไรบ้าง

ลูกสาวบอกว่า "หนูไม่เอาแล้ว แพงก็แพง กลัวพ่อเหนื่อย" แต่ยังบอกว่า  ไว้เก็บเงินเองรอซื้อ IPhone 10 แล้วกัน

ความฟุ้งเฟ้อ อยากได้อยากมี มันเป็นกิเลส สำหรับทุกคนไม่ว่าวัยใหน หวังว่าถึงเวลา ลูกสาวจะลดละได้บ้าง




หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: บุญเอก ที่ พฤศจิกายน 11, 2012, 12:38:20 am
สาธุ ครับ
มีประโยชน์ นะครับ เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวนะครับ

  :25: :25: :25:


หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: Admax ที่ พฤศจิกายน 11, 2012, 04:41:38 am
สาธุกับคำตอบของพระอาจารย์และทุกๆท่านครับ

ผมขอเสริมนิดหนึ่งนะครับ ซึ่งผมเองก็ได้พบเจอเช่นกันครับ แต่เราเป็นผู้ปกครองเขาอายุมากกว่าเขา ให้เราเข้าไปถึงสภาพจิตใจเขาก่อนน่ะครับ อาจจะเรียกว่าจิตวิทยาของบุพการรีที่มีต่อบุตรก็ว่าได้ โดยสื่อเข้าไปในความรู้สึก ความต้องการ ความกลัวของเขาก่อน โดยที่เด็กเขาโกหกนั้นมีเหตุผลหลักๆดังนี้ครับ
1. เมื่อทำผิดแล้วโกหก ไม่ว่าจะเป้นเรื่องเรียน เรื่องกิน ฯลฯ เพราะกลัวจะโดนเราดุด่าว่ากล่าว หรือ ถูกตี (นี่ทั้งเด็กเล็กและเด็กโตเลยนะครับ)
2. โกหกเพราะว่าอยากจะได้จะมีในสิ่งที่เขาต้องการ โดยเขานั้นอาจจะมองว่าเพื่อนๆเขาก็มี แต่เขาไม่มี โดยเขาอาจจะเคยขอให้เราซื้อให้เขาทำให้เขา หรือ เขาไม่กล้าจะขอหรือบอกเราโดยตรงจึงเกิดการลักขโมยบ้าง แอบโกหกเรื่องค่าเทอม ค่าเล่าเรียนบ้าง เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในสิ่งที่เขาต้องการ
3. โกหกเพราะรู้สึกผิดต่อผู้ปกครอง เพราะรู้ว่าตนเองผิดหากพูดจาสิ่งใดตรงๆไปกลัวเราเสียใจ ผิดหวังในตัวเขาเป็นต้น


ด้วย 3 เหตุผลนี้น่ะครับสิ่งแรกที่จะทำให้เข้าถึงตัวเขาได้ คือ

1. ความมีเมตตาจิต ด้วยใจที่อ่อนโยนและปารถนาดีต่อเขา โดยไม่ตั้งความหวังไม่คาดหวัง ไม่ติดข้องใจใดๆกับเขา ปารถนาให้เขามีชีวิตที่ดี เดินในทางที่ดีงามถูกต้อง(แต่บางครั้งความถูกต้องของเรา อาจจะหนักและขัดใจเด็กหรือกดดันเขาก็ได้ครับ จุดนี้ให้สร้างอุบายมองดูเห็นเขาเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่ไม่ปะสีปะสาอะไหร จิตใจเราจะอ่อนโยนต่อเขามากขึ้น)
2. เมื่อมีจิตที่อ่อนโยนและปารถนาดีเช่นนี้ๆแก่เขาแล้ว ให้คุณตั้งมั่นในกรุณาจิต นั่นคือ มีความสงสาร สงสารทางธรรมนี้คือรู้ว่าลูกๆของคุณประสบปัญหาอยู่ กำลังดำรงชีวิตอยู่ในทางอันล่อแฟลมผิดพลั้ง เขาควรได้รับความเอื้ออนุเคราะห์ แบ่งปันในสิ่งที่ดีๆที่ถูกต้องแก่เขา
3. เมื่อเกิดจิตปารถนาดีและเอื้อเฟื้ออนุเคราะฟ์แก่เขาแล้ว จิตใจคุณย่อมเกิดการให้ขึ้นมา การให้นี้เรียกว่าทาน ทานที่พ่อ-แม่-บุพการีมีให้ต่อบุตร-หลาน ซึ่งเป็นการให้โดยไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทน นอกจากใจที่ต้องการให้เขาได้นำสิ่งที่เราให้ที่ได้แบ่งปันอนุเคราะห์ด้วยความเอื้อเฟื้อนี้ไปใช้ประโยชน์สุข จนถึงการให้ที่เป็นการอดเสียซึ่งโทษใดๆแก่เขา ให้ด้วยอยากให้เขาไม่เกิดความอึดอัดทรมานมีอิสระสุขยินดี นั่นคือ อภัยทาน สิ่งนี้จำเป็นยิ่งในการสื่อถึงใจเขา
4. เมื่อคุณสามารถเข้าถึงใจตนเองก่อนดั่งข้อที่ 1-3 ข้างต้นนี้แล้ว จากนั้นให้ลองพูดคุยกับเขาดีๆให้เขารับรู้ถึงความห่วงใยอบอุ่นที่คุณมีให้แก่เขา อาจจะบอกว่าลูกมีอะไรที่อยากจะคุยกับคุณไหม บอกว่าคุณรักเขาเลี้ยงดูเขามาด้วยความรักแหวังดีมาตลอด มีเรื่องอะไรพูดคุยตรงๆกับคุณได้ คุณไม่โกรธ ไม่ด่าไม่ว่าอะไรหรอก แค่ได้พูดบอกกับคุณตรงๆคุณก็ดีใจแล้วที่เขาไม่โกหก และ พูดตรงๆ เพราะหากมีอะไรหนักอึ้งจนเกินไปคุณจะได้ช่วยเขาแก้ไขได้บ้าง มีอะไรขาดเกินสำหรับเขาที่คุณพอช่วยได้บ้างไหม ให้พูดกันได้ทุกเมื่อไม่ต้องปิดบังอะไร หากมาพูดเมื่อสายที่จะแก้ไขช่วยเหลือแล้วมันจะไม่สามารถแก้ไขใดๆได้ ยิ่งจะเกิดเรื่องร้ายๆตามมาได้
5. หากเกิดการโต้ตอบใน 2 ประเด็นดังนี้คือ
     5.1 หากลูกไม่ยอมเปิดใจรับและพูดคุยด้วย คุณต้องอดทน อย่าโมโหเอะอะโวยวายเด็ดขาดเพราะจะยิ่งซ้ำให้เขาไม่ยอมพูดคุย แต่คุณอาจจะชวนลูกไปเดินเล่น ไปกินข้าวกับครอบครัว หรือ พูดคุยเล่นสนุกสนานกับเขามันจะเกิดความใกล้ชิดกับเขาให้กล้าเปิดใจมากกว่าเดิม แล้วก็ค่อยๆถามเขาเช่นมีอะไรอยากได้ไหม สิ่งไหนที่พ่อและแม่จะให้ลูกได้บ้าง หากไม่เกินกำลังจะหาให้ โดยอย่าพูดซ้ำจุดเดิมที่จะกดดันเหมือนเราจ้องจับผิดเขาอยู่ หากที่สุดแล้วเขาไม่ยอมพูดจริงๆก็รอให้เวลาผ่านไปซักพักเสียก่อนซักชั่วระยะเวลาหนึ่ง ให้เขาได้คิดทบกวนแล้วถามเขาอีกครั้ง หากยังเหมือนเดิมก็คือ การปล่อยวางเสีย เพราะไม่มีสิ่งของอันใด บุคคลใด เป็นของเราอันที่เราจะไปบังคับยึดถือให้มันเป็นดั่งในเราได้ เรายังบังคับเราไม่ให้โกรธเขาไม่ได้เลย แล้วจะไปบังคับเขาให้เป็นดั่งใจเราได้อย่างไร ที่ทำได้คือค่อยๆประครองให้เขาเดินไม่ผิดทาง เป็นห่วงดูแลอยู่ห่างๆเท่านั้น เด็กก็โตขึ้นทุกวันเขาก็มีความคิดเป็นของตนเอง สักวันหนึ่งสิ่งนี้จะเป็นประสบการณ์ชีวิตที่สอนเขาต่อไป
     5.2 หากลูกยอมเปิดใจคุยด้วย ตัวคุณเองที่ต้องมี ขันติให้มาก ต้องทำใจยอมรับความจริงให้ได้ โดยอาศัย เมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา เพื่อก่อเกิดเป็นขันติและการวางใจไว้กลางๆไม่จับเอาความพอใจยินดีและความไม่พอใจยินดีมาตั้งเป้นอารมณ์แห่งตน แล้วค่อยๆพูดคุยด้วยความห่วงใจเอื้อเฟื้อแก่เขา เช่น
          5.2.1 หากเรื่องเรียนเขาโกหกเรื่องเกรดและคะแนน ก็บอกเขาว่าไม่เป็นไรหรอกลูก คนเราไม่สมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง ขอแค่เราตั้งใจที่จะทำอย่างเต็มที่ก็ดีแล้ว ผิดพลาดหรือล้มก็ลุกขึ้นสู้ใหม่ แค่ลูกมาบอกพ่อกับแม่ตรงๆไม่ปิดบังพ่อแม่ก็ดีใจพร้อมเข้าใจและหาทางช่วยเหลือแล้ว เช่น อาจจะช่วยหาข้อมูลการเรียนเพิ่มเติม หรือ ช่วยให้เขาผ่อนคลายเวลาเคลียนเพราะมุ่งมั่นเรื่องเรียนจนสุดโต่งเกิดความพอดี อาจจะพากินเข้าอร่อยๆ หรือ ซื้อของบำรุงให้เขาบ้าง ไม่ต้องไปบังคับใดๆเขา แล้วเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่คุณทำให้เขาในวันนี้เขาจะได้นำไปใช้เป็นบทเรียนที่พ่อแม่สอนให้เขาในฐานะพ่อและแม่
          5.2.2 หากเรื่องงานเขาโกหกว่าทำงานที่ดีๆ ไม่ได้ทำงานที่คุณไม่ชอบใจหรือห้าม คุณก็ควรพูดกับเขาว่า งานนี้ก็ไม่ได้ผิดกฏหมายอะไร ก็ทำงานนี้ๆไปก่อน หากมีโอกาสเราก็ค่อยๆขยับขยายหรือเปลี่ยนให้มันดีขึ้นและมั่นคงกว่านี้ หรือ หากงานนี้เป็นงานที่เขาชอบและอยากจะทำแต่คุณไม่ชอบแล้วห้ามไม่ให้เขาทำ คุณก็ควรเปิดใจยอมรับเขาบ้างแล้วคอยดูเขาห่างๆเขาอาจจะได้ดีก็ได้ แต่คุณอาจจะบอกเขาเพิ่มเติมว่า งานในส่วนนี้มันมีข้อเสียอย่างไรบ้าง ไม่มั่นคงยังไง มีข้อด้อยตรงไหนบ้าง พ่อและแม่จึงอยากให้ลูกได้ทำงานอะไรที่ดีๆและดูมั่นคงไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่ออนาคตของเขาเองแต่หากเขาพอใจในงานแบบนี้ก็ลองทำดูแต่เวลาที่จะทดลองกับงานมันไม่รอเราเพราะอายุเราก็มากขึ้นๆทุกวัน หากเก็บเกี่ยวได้เป็นกาลอันควรแล้วก็ลองมองอนาคตในภายหน้าต่อไป เป็นต้น
       

ส่วนอื่นๆคุณก็ลองพลิกแพลงด้วยสติและจิตที่เจริญในพรหมวิหาร๔ดูครับ มันจะดีกว่าเราไปฟาดฟันธงบังคับเขา มันจะเป็นบทเรียนการสอนลูกหลานของเจามในอนาคตภายหน้าต่อไปครับ

ทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีที่จะสอนเขาให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีโตมามีเหตุผล หากใช้อารมณ์ความพอใจส่วนตัวสอนจะเกิดโทษมากกว่าคุณประโยชน์

สุดท้ายนี้ ด้วยเดขแห่งพระพุทธเจ้า ด้วยเดชแห่งพระธรรม ด้วยเดชแห่งพระสงฆ์ ก็ขอให้ครอบครัวคุณลงเอยด้วยดีนะครับ สำเร็จในสิ่งที่ดีงามโดยพลัน และ ขอให้คุณเข้าถึงสภาพจิตในพรหมวิหาร๔ได้โดยง่ายเพื่อความเป็นแบบอย่างให้แก่ลูกในภายหน้าต่อไปครับ สาธุ สาธุ สาธุ


หัวข้อ: Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ?
เริ่มหัวข้อโดย: malee ที่ พฤศจิกายน 12, 2012, 03:42:33 pm
มีความเห็นที่มีประโยชน์ มากคะ ขึ้นชื่อว่า ลูก ไม่ว่าจะเป็นลูกชาย หรือ ลูกสาว ก็มีปัญหา ได้เช่นกันคะเมื่อก่อนดิฉันได้รับฟังมาว่า มีลูกชายไม่มีปัญหา แต่พอมีจริงปัญหามันก็มีเยอะ จะเริ่มมีตอนอายุ 13 ปี ตอนที่เขาเริ่มจะเป็นหนุ่ม การตีกรอบป้องกันสำหรับผู้หญิงทำงานอย่างดิฉัน คือ ขึ้นเวรดึกบ้าง ค่ำบ้าง เช้าบ้าง จึงไม่มีโอกาสเข้าไปดูแลเขาได้อย่างจริงจัง คะ จึงทำให้เกิดป้ญหา คือ ไม่มีคุณพ่อมาช่วยดูแล หย่าร้างกัน จึงทำมีปัญหามาก

   ดังนั้น การที่เราจะถามเอาความจริง จากเขา หรือไปรู้ความจริงมาว่าเขาโกหก เรา ตรงนี้จะสายเกินไป มีประสบการณ์แล้ว คะ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เราต้องทุกข์ใจในระยะยาว ต้องยอมทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ฝืนกายสังขารบ้างเพื่อที่จะได้เป็นเพื่อนลูกคะ

   อย่างน้อยเราต้องโทษ ตัวเราด้วย ที่ดูแลเขาไม่ดี นะคะ
   อย่าพึ่งไปโทษเด็ก เขาว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น การที่เด็กมีอุปนิสัยอย่างที่เราคิดไม่ถึงก็นั่นมาจากอุปนิสัย ที่เรามอบให้ไว้ คะ

   เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่มีลูกคะ

    :58: :c017: