ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : การเข้าถึงธรรมะนิพพานอย่างแท้จริง 2  (อ่าน 1205 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


สมาธิชาวบ้าน : การเข้าถึงธรรมะนิพพานอย่างแท้จริง 2

    การฝึกสมาธิมีหลายวิธี และถกเถียงกันว่าใครแบบไหนดีกว่า แท้จริงแล้วเป็นวิธีการไปถึงสมาธิเท่ากัน แต่ละวิธีเป็นการให้ จิตมีอุบายออกจากความคิดที่ครอบงำ ใครชำนาญแบบไหนก็ไปฝึกไปตามวิธีนั้นๆ ในที่สุดเมื่อเข้าถึงสมาธิได้บ่อยๆ ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้อุบายกรรมฐานใดๆ

    มีคำถามเกี่ยวกับสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ความจริงแล้วแยกไม่ได้หรอก เพราะเมื่อจิตมันสงบลงจะเข้าสู่ไปวิปัสสนาได้เอง จิตที่ยังไม่เข้าสู่ความเดิมแท้ เรียกว่ายังไม่เกิดวิปัสสนา เมื่อจิตนิ่งลงไปจะรู้ธรรมเห็นธรรม บางคนเพ่งในศีลมาก กายบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์มาก สามารถเข้าถึงธรรมะได้ละเอียดมาก ถ้าเราไม่มีศีลกำหนดในการทำดี มักทำอะไรไปตามกิเลส ถ้ารักษาศีลได้สม่ำเสมอเท่าไหร่ ไม่ล่วงละเมิดแม้แต่สิ่งเล็กน้อย จิตจะรับธรรมะได้ละเอียดมากขึ้น ทำให้รู้ธรรม เห็นธรรม ซึ่งทำได้ไม่ยาก


    st12 st12 st12 st12 st12

    สมาธิที่มีปัญญาจิตไม่ต้องเถียงกันเรื่องวิธีการทำสมาธิ ว่าวิธีไหนวิเศษหรือดีกว่า เมื่อเข้าใจวิธีเข้าสู่สมาธิ เราจะได้เรียนรู้อย่างอื่นต่อ ต้องฝึกฝนให้จิตหยุดคิด ฝึกให้คิดน้อยลงจนกระทั่งหยุดเหมือนเหยียบเบรก เหยียบสนิท มันว่างตอนที่ความคิดมันหยุดสนิท ความคิดไม่ได้หายไป แต่ความคิดมันไม่เคลื่อนไหว

    ขณะที่ความคิดหยุดมันจิตจะว่างทันที ว่างจากความคิด เพราะความคิดมันไม่ไหลต่อ เห็นจิตตัวเองคราวนี้ จิตมีปีติ มีความสุข มีความสว่าง มีอะไรต่างๆ อาการที่มันเกิดกับจิตดวงนี้ว่าอะไรที่ทำให้มันรู้จิตว่าง จิตดีใจ เสียใจ เป็นขั้นที่ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง คือสิ่งที่เราต้องเข้าไปถึงตอนที่จิตเบาลอย ในที่สุดเมื่อเจอแล้ว เข้าใจว่าคือ ตัวรู้ว่าคืออะไร ให้รู้ว่าจิตที่เราพูดๆ ถึงนั้นเป็นแค่อาการของจิต จะเบา จะลอย เห็นภาพนิมิต จะดีใจ เสียใจ มันเป็นอย่างนี้ เมื่อรู้ก็จัดการอาการรู้นั้นเสีย อย่าให้มันคงอยู่ ถ้าสลายได้เมื่อไหร่ก็เข้าสู่นิพพานทันที



    พระนิพพานสามารถเข้าถึงได้ โดยค่อยๆ ทำลายความเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ ดูหรือถอดความเป็นเจ้าของให้หมดไป ซึ่งมีวิธีการเข้าสู่พระนิพพานปฏิบัติได้หลายทางให้จิตภายในปล่อยว่างได้ ปล่อยวางเจ้าของไปได้ ไม่มีความเป็นเจ้าของจิต ปล่อยให้มันเป็นกลาง ไม่มีเจ้าของ ครั้งหนึ่งเคยมันก็เป็นอย่างนี้ เราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของของเรา มันก็เลยเป็นจิตของเรา วิญญาณของเรา สะสมกรรมดี-กรรมชั่วต่างๆ ก็จิตของเรา ขนาดเราปฏิบัติจริง รู้แจ้งเห็นจริงอะไรสารพัดไปหมด ไปถึงไหนๆ เข้าใจธรรมะสารพัดอย่าง แต่เราก็ยังยึดว่ามีจิตของเรา วิญญาณของเรา ทำไปก็มีจิตของเราอยู่ พอเข้าใจธรรมไปถึงตอนสำคัญที่จะปล่อยความเป็นเจ้าของ ดวงจิตวิญญาณยังปล่อยไม่ได้ มันก็เลยเป็นจิตของเรา

     ans1 ans1 ans1 ans1

    ปัญญาพระนิพพานเท่านั้นถึงจะปล่อยได้ พอปล่อยไปแล้วมันไม่ใช่จิตของเราอีกแล้ว เราก็จะไม่มีจิตของเรา จิตที่เราเคยหลงไปยึดมั่นถือมั่น คาดว่าเป็นจิตของเรา วิญญาณของเราหมดไป ซึ่งต้องเป็นปัญญาขั้นพระนิพพานถึงปล่อยได้ ที่สะสมมาทั้งกรรมดี-กรรมชั่วต่างๆ พอถึงที่มันจะปล่อยเป็นธรรมชาติ มันก็หมดไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีอะไรจะผ่านเป็นเจ้าของ เมื่อรู้จบแล้วมันก็ไม่มีอะไร หรือรู้โดนตัดสภาวะหมด รู้ก็เป็นพระนิพพานไปเอง อวิชชาหมดไม่มีจิต ไม่มีวิญญาณอะไรทั้งหลาย จิตวิญญาณต่างๆ คืนความเดิมแท้ไปหมด

    พระนิพพานเป็นภาวะที่จิตว่างอยู่อย่างนั้นตลอด ไม่มีอะไรให้รู้ไปหลงยึดมั่นถือมั่นและเป็นธาตุรู้ดิบลงไป ดิบลงไป จนไม่มีปรากฏ พระพุทธเจ้าเห็นว่า อาการแบบนี้เป็นอาการของจิตเดิมแท้ ที่ว่าจะปล่อยวาง อาการรู้ทั้งหมดจิตไปถึงอาการเดิมแท้.


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/021114/98391
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ