สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)
วัดมหาธาตุ
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๐ ฉบับที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๙
.....สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ ๑ ปีกับ ๑๐ เดือน ก็สิ้นพระชนม์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๖๕ มีพระชนม์มายุได้ ๘๙ โดยปี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ทรงพระศพ เมื่อตั้งที่พระเมรุท้องสนามหลวง
พระโกศองค์นี้ นอกจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่พระเกียรติยศสูงบางพระองค์ มีปรากฏว่าได้ทรงแต่พระศพสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้พระองค์เดียว (๒๗) นับเป็นการถวายพระเกียรติอย่างสูงด้วยเหตุที่ทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือ อย่างยิ่งนั้นเอง ส่วนการพระเมรุนั้นโปรดให้ทำเมรุผ้าขาวที่ท้องสนามหลวง พระราชทานเพลิงพระศพเมื่อเดือน ๑๒ พ.ศ. ๒๓๖๕ นั้น (๒๘)
ครั้นพระราชทานเพลิงพระศพแล้ว ได้โปรดให้ปั้นพระรูปบรรจุพระอัฐิ ประดิษฐานไว้ในกุฏิกรรมฐานหลังหนึ่ง บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม เพื่อเป็นที่ทรงสักการบูชาตลอดจนสานุศิษย์และผู้เคารพนับถือ สืบมาจนกระทั่งทุกวันนี้.
ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้ช่างหล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ขนาดย่อมขึ้นอีก ประดิษฐานไว้ในหอพระนาก พร้อมกันกับรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) วัดโมลีโลกยาราม ซึ่งเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ของพระองค์
ในปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๘๗ ได้โปรดให้หล่อพระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) อีกองค์หนึ่งขนาดเท่าพระองค์จริง, พระราชดำริเดิม เข้าใจว่าคงจะทรงสร้างขึ้นสำหรับประดิษฐานไว้ ณ วัดมหาธาตุ อันเป็นที่สถิตของพระองค์เมื่อทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช, แต่ยังไม่ทันได้เชิญไปประดิษฐาน เพราะการบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดมหาธาตุยังไม่แล้วเสร็จบริบูรณ์ พระองค์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน, พระรูปสมเด็จพระสังฆราช (สุก) องค์ดังกล่าวนี้ จึงค้างอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้แห่ไปประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุ (๒๙) ปรากฏตามหมายรับสั่งในรัชกาลที่ ๔ ว่า โปรดให้เชิญไปเมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ ปีชวด จัตวาศก จ.ศ. ๑๒๑๔ พ.ศ. ๒๓๙๕ (๓๐)
และโปรดให้สร้างแท่นจำหลักมีลวดลายเป็นรูปไก่เถื่อนเป็นที่รองรับพระรูปเพิ่มเติมขึ้น และยังคงสถิตอยู่ในพระวิหารวัดมหาธาตุมาจนบัดนี้.(๓๑)อ้างอิง
(๒๗) เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ฯ อ้างแล้ว หน้า ๘๔
(๒๘) พระราชพงศาวดารฯ รัชกาลที่ ๑-๒ อ้างแล้ว หน้า ๖๙๐
(๒๙) ตามที่กล่าวไว้ในหนังสือ เรื่องประวัติวัดราชสิทธาราม (ฉบับกรมศิลปากร) อ้างแล้ว หน้า ๕๒ ว่า “ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้แห่ไปประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ ” นั้น ผิดพลาด เพราะ พ.ศ. นั้นยังเป็นรัชกาลที่ ๔ อยู่ ทั้งมีหมายรับสั่งในรัชกาลที่ ๔ ยืนยันอยู่ด้วย ดังอ้างไว้แล้วในที่นี้.
(๓๐) ประวัติวัดราชสิทธาราม อ้างแล้ว. หน้า ๑๔๑
(๓๑) เรื่องเดียวกัน หน้า ๕๑-๕๒
ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/monk-raja/monk-raja-04-hist.htmขอบคุณภาพจาก
http://province.m-culture.go.th/
จากประวัติสมเด็จสุกข้างต้น จะเห็นว่า ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ระหว่างรัชกาลที่ ๒ ถึง รัชกาลที่ ๔ ได้มีการหล่อรูปสมเด็จสุก ทั้งหมด ๓ องค์ กระจายไปอยู่สามวัด คือ
๑. วัดราชสิทธาราม
๒. วัดมหาธาตุฯ
๓. วัดพระแก้ว อยู่ที่หอพระนากหอพระนาก
หอพระนาก มีความสำคัญคือ เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อและแผลงด้วยนาก ซึ่งอัญเชิญมาจากพระนครศรีอยุธยา และถือพระนากเป็นพระประธานในการ “เปตพลี” (การอุทิศกุศลแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว) และใช้เป็นที่เก็บพระอัฐิของพระราชวงศ์พระวิหารยอด
พระวิหารยอด ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระนาก ซึ่งคงจะย้ายมาจากหอพระนากอีกที แต่จะเป็นด้วยเหตุใดก็ไม่มีหลักฐานบอกไว้แผนผังวัดพระแก้ว
๑. พระอุโบสถ
๒. ศาลาราย ๑๒ หลัง
๓. หอพระคันธารราษฎร์
๔. หอระฆัง
๕. หอราชพงศานุสร
๖. หอพระโพธิธาตุพิมาน
๗. หอราชกรมานุสร
๘. รูปฤษีนั่ง
๙ .ปราสาทพระเทพบิดร
๑๐. พระเจดีย์ ๒ องค์
๑๑. พระมณฑป
๑๒. พระศรีรัตนเจดีย์
๑๓. รูปจำลองปราสาทนครวัด
๑๔. พระราชานุเสาวรีย์ที่ ๑,๒,๓
๑๕. พระราชานุเสาวรียที่ ๔
๑๖. พระราชานุเสาวรีย์ที่ ๕
๑๗. พระราชานุเสาวรีย์ที่ ๖,๗,๘,๙
๑๘. หอพระมณเฑียรธรรม
๑๙. วิหารยอด
๒๐. หอพระนาก
๒๑. พระปรางค์ ๘ องค์
๒๒. พระระเบียง รูปหล่อสมเด็จสุกที่วัดพระแก้ว ผมไม่เคยเห็น เท่าที่ค้นข้อมูลได้ อาจจะถูกย้ายมาที่วิหารยอด เรื่องนี้ผมเดาเอาเองนะครับ อย่าซีเรียส ใครมีข้อมูลอย่างไร ช่วยแถลงด้วยครับ
องค์นี้อยู่ที่วัดราชสิทธาราม
องค์นี้อยู่ที่วัดมหาธาตุฯ
องค์นี้อยู่วัดหนองบัวหิ่ง อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี
องค์นี้อยู่วัดแก่งขนุน สระบุรี