กรรมฐาน มัชฌิมา > ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน

รวมข้อความสั้น จากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม บันทึกการภาวนาของธัมมะวังโส

(1/40) > >>

patra:


ถ้าไม่ใช่พระโสดาบันขึ้นไป วัตถุเหล่านี้ ยังมีประโยชน์ แก่ท่าน
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=15436.0

"วันนี้ฉันได้ขึ้นเขามาจาก สนส.แหลมสอ เห็นญาตโยมพากันขึ้นมาเพื่อมาสร้างพระพุทธรูป กันมาก มาช่วยกันเทปูน ผสมปูนและปั้นกัน เรากับคณะที่ไปเยี่ยมเห็นแล้วชื่นชม ก็เลยไปร่วมสวดมนต์ ให้พรแก่ญาตโยม ถึงแม้ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยคนของ สนส. แต่ก็เกี่ยวเนื่องด้วย ญาติธรรม ชาวพุทธ ที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เริ่มจากศรัทธา และก็แล้วแต่บุคคลจะภาวนา จนเข้าถึงและรู้จักพระพุทธเจ้า ที่เป็นคุณ กันได้ ตามสติปัญญาของตนเอง ตามวาสนา บารมี แต่เชื่ออย่างหนึ่ง วัตถุเหล่านี้เป็นสักขีพยาน ของ ศรัทธา แห่งชน ผู้ยังเคารพในพระพุทธเจ้าแน่นอน"

ข้อความส่วนหนึ่ง ในหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนา ของธัมมะวังโส ภิกขุ


เมื่อรวมจิต ประจักษ์แจ้ง พุทโธ ที่หทัยแล้ว นามกายเกิด อัตตาก็หายไป
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=15306.0

"ศรัทธา เป็นเหตุ ให้เกิดปีติ ปีติเป็นเหตุให้เกิดปราโมทย์ ปราโมทย์เป็นเหตุให้เกิด ในสุข สุขเป็นเหตุให้เกิดในสมาธิ สมาธิเป็นเหตุให้เกิด ยถาภูตญาณทัศศนะ ยถาภูตญาณทัศศนะเป็นเหตุให้เกิด นิพพิทา นิพพิทาเป็นเหตุให้เกิดวิราคะ วิราคะเป็นเหตุให้เกิดใน วิมุตติ และ วิมุตติเป็นเหตุให้เกิด นิพพพาน ท่านทั้งหลายที่ภาวนา ถ้านึกลำดับธรรม กรรมฐาน ภาวนา จิตก็จักก้าวย่างสู่ ตามลำดับภูมิจิต และ ภูมิธรรม อริยะมรรค แล อริยะัผล ก็ย่อมเกิดขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกัน ดังนั้นท่านทั้งหลาย โปรดอย่าลืม ลำดับพระกรรมฐาน เพราะพระกรรมฐาน เป็นลำดับอย่างนี้ เราจึงเรียกการภาวนาเช่นนี้ ตามครู ตามพระอาจารย์ ของ พระอาจารย์ว่า พระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เหตเพราะภาวนา ทางสายกลาง อย่างเป็นขั้น เป็นตอน ไม่โดดไป โดดมา ไปตามลำดับ เหมือนกับการบรรลุธรรม ที่เป็นไปตามลำดับ นั่นเอง"

ข้อความบางส่วนจาก หนังสือเพียงหยดแห่งพระธรรม
ธัมมะวังโส ภิกขุ

  รวมศูนย์จิต เป็นหนึ่งเดียวกัน ความสงสัยก็จักสิ้นไปเอง
 http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=15243.0
 เมื่อจิตไม่ใส่ใจในปีติ คงใส่ใจในการวางจิตให้นิ่ง ใน บริกรรม และ ฐานจิต ปีติ ย่อมค่อย ๆ ดับไป เมื่อปีติดับไป ก็จักทำให้ สุข ปรากฏเกิดขึ้น ซึ่งจะมีอาการครอบคลุม ทั้งกาย และ จิต คือ รู้สึกสบาย เย็น นิ่ง สุข ยินดี ในปีติที่ดับไป แต่ อุคคหนิมิต ก็จะหายไปอีกเช่นกัน เพราะจิต ยินดี ใน ความสบายนั้น ๆ ดังนั้น แม้อย่างนี้ ก็ต้องวางใจให้เป็นอุเบกขา คือ นิ่งเฉย อยู่ บริกรรม และ ฐานจิต เช่นเดิม อุคคหนิมิต จึงจักปรากฏชัด เจน แจ่มแจ้ง เป็นรางวัล แก่ผู้ภาวนา แท้ที่จริง อุปจาระสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ อาศัย อุคคหนิมิต ( คือนิมิตรวมศูนย์จิต ) ที่เกิดขึ้นเป็น องค์กำหนดใน ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และ จตุตถฌาน อีก ปัญจมฌาน ก็อาศัย ด้วยเช่นกัน

patra:


มารบังตา อย่าท้อถอย แผ่เมตตาให้มาร หรือ รำลึกถึงพระพุทธคุณเถิด
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=14968.0

"วันนี้ตั้งใจศึกษาพระไตรปิฏก เรื่อง สติปัฏฐาน แต่พอหยิบหนังสือมาเตรียมที่จะอ่านสายตาฉันมันกับมองไม่เห็นพล่าขึ้นมา เป็นเพราะอายุมากขึ้น สายตาเริ่มไม่ดี จึงควานหาแว่นตา ก็ไม่เจอ ฉันจึงเดินหาแว่นตา ตามที่คิดว่าจะอยู่ตรงนั้น ตรงนี้ ค้นอยู่อย่างนี้ ไปทั่ว กว่าชั่วโมงก็ไม่พบ จนใจทำไม ? เราจะอ่านพระธรรม ก็มีมารมาขวางเสียแล้ว พลันฉุกคิดได้ว่า หรือว่ามารมาบังตาจริง ๆ จึงหาแว่นตาไม่เจอ ตอนนั้นนึกได้อย่างนี้ก็เลยยกมือพนม จรดที่หน้าอก กล่าวคำอธิษฐานถึง พระพุทธเจ้า ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งอยู่ในความประมาท ต้องการศึกษาหลักธรรมเพื่อการภาวนา ขออย่าให้มีอะไรมาบังตาเลย และปัญญาของข้าพเจ้าด้วยเถิด จากนั้นก็สวดบทพุทธคุณแล้วหลับตาลง สวดคาถาพญาไก่เถื่อนอีก 9 จบ พอลืมตาขึ้นมา เหมือนปาฏิหาริย์ แว่นตาฉันที่เดินหากว่าชั่วโมง มันอยู่ตรงหน้า บนโต๊ะตรงที่หนังสือพระไตรปิฏก ที่วางอยู่ เออ แล้วทำไม ? ฉันจึงมองไม่เห็นนะ ทั้ง ๆ ที่มันก็อยู่ตรงหน้า แต่พอได้อธิษฐาน สวดบทพระพุทธคุณแว่นตาก็ปรากฏให้เห็น ฉันจึงบางอ้อ ... ว่า นี่มารมาบังตาจริง ๆ นะนี่ ทำให้มองไม่เห็นเสียตั้่งชั่วโมง แต่เพราะความตั้งใจ ไม่ท้อถอย ไม่ถอยหนี และรำลึก ถึงพระพุทธคุณ สิ่งบังตาจึงหมดไป เหมือนเส้นผมบังภูเขาจริง ๆ"

ข้อความบางส่วนจากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
จากบันทึกการภาวนาของ ธัมมะวังโส ภิกขุ



อยากเรียนธรรม แต่ไม่ต้องการเป็นศิษย์
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=14711.0
"ผู้ติดตามฉัน มักถามฉันเสมอว่า เวลาไปในที่ต่าง ทำไมฉันจึงไม่สอนกรรมฐาน หรือบอกกรรมฐาน กับผู้ที่สนทนาด้วย บางคนสนทนากับฉันไม่ต่ำกว่า 5 ชม. ก็มี แต่คนเหล่านั้นไม่เคยได้ยินเอ่ยเรื่องกรรมฐาน หรือแสดงยกตนว่า ฉันสอนกรรมฐานนะ

ฉันตอบผู้ติดตามเหล่านั้นว่า ก็ไม่เราไม่เป็นอะไรทั้งนั้นเป็น เพียงแต่ผู้ที่ชราและความตายรออยู่ เท่านั้น การสอนกรรมฐาน ต้องมีวาสนา ต้องถูกชะตา ทั้งผู้เรียน และผู้สอน การสอนและมัวแต่อยากสอน เป็นความฟุ้งซ่าน อย่างหนึ่ง สำหรับผู้มีความสงบแล้ว ก็อยู่เฉย ๆ นั่นแหละดี"

ข้อความบางส่วนจากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
จากบันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส ภิกขุ

ขั้นตอนของพระกรรมฐาน โปรดอย่าลืม อย่าหลง
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=14577.0
 "ในขณะที่ฉันนั่งด้วยความต้องการภาวนาอยู่นั้น ความรู้สึกของกรรมฐาน บรรดาสรรพวิชาที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่เล็ก วิธีการของพระกรรมฐานต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมามากมาย ทำให้ฉันลังเล ไม่รู้ว่าจะฝึกฝนด้วยกรรมฐานใด ฉันเสียเวลาอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน จนรู้สึกท้อแท้ และเหตุการณ์อย่างนี้ก็เกิดกับฉันบ่อยเสียเหลือเกิน หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ทั้ง ๆ ที่ฉันก็นั่งนอนอยู่ที่ถ้ำ แต่ฉันกับฝึกกรรมฐานไม่ได้ จนกระทั่ง วันนี้ฉันได้สวด บทพุทธคุณ หลายรอบสวดเป็น สิบๆ จบ แบบไม่ได้นับ สวดประชดตัวเองอย่างนั้น และฉันก็นึกถึงคำสอนของครูขึ้นมาได้ ด้วยวิธีการสำรวมจิตลงกรรมฐาน ด้วยการสัมปยุตธรรม ก่อน ฉันจึงทำตามขั้นตอนนั้น วันนั้นฉันฝึกกรรมฐาน เพียงกรรมฐานเดียว และเป็นกรรมฐานพื้น ๆ ที่ไม่ซับซ้อนใด ๆ แต่ผลของการฝึกวันนั้น ก็ล้างข้อผิดพลาด หนึ่งสัปดาห์ของฉันได้อย่างรวดเร็ว"

ข้อความบางส่วน จากบันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส
จากหนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม


 ใดใด ในโลก นี้ ล้วนแล้ว อนิจจัง อะไร คือ อนิจจัง
( สำหรับตอนนี้ เกี่ยวกับตอนที่ พระอาจารย์ เข้าป่า ลับแล นะครับ )
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=14699.0

"เมื่อฉันเดินเข้าไปสุดในถ้ำ ได้มองเห็นร่างอันไร้วิญญาณ ทีเป็นกระดูกท่านั่ง อันมีผ้าจีวรผุ ๆ หลุดร่วงอยู่ตรงนั้น ฉันจึงรู้ได้ว่า นี่คือร่างของพระผู้ที่ใฝ่ในการภาวนา มาเสียชีวิตในท่านั่ง ที่สุดถ้ำกลางป่าเขาที่ไม่มีใครจะมาเยี่ยม มีแต่เพียงพระธุดงค์ ที่แสวงหาที่สงัดเข้ามาเยี่ยมกัน หากเราไม่ได้เข้ามาดูโดยบังเอิญ ก็จักไม่เห็นร่างนี้เลย อนุโมทนา แด่ท่านที่เป็นผู้ใฝ่ในการภาวนา จนวินาที สุดท้าย

 เมื่อฉันก้มตัวลงกราบ ภาพโครงกระดูกที่เห็นกลับเป็นเพียงกองกระดูก ที่มีเศษผ้าจีวรเท่านั้น ฉันได้ขุดหลุมในถ้ำนั้นด้วยมือและฝังกองกระดูกนั้นในถ้ำนั้นนั่นเอง ขอบคุณอาจารย์ใหญ่ที่ชี้แนะให้ข้าพเจ้า มิต้องวุ่นวายกับการมุดถ้ำต่อไป เพราะจะนั่งนอกถ้ำ ในถ้ำ มันก็เหมือนกันเสียแล้ว คือมีความตายเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน"

(๕๒๗)  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว  ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง  สิ่งใดล่วงไปแล้วสิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว  และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง  ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น  ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆได้  บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ  ให้ปรุโปร่งเถิด  พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ  ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง  เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ


ข้อความบางส่วนจาก หนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส ภิกขุ


"วันนี้ฉันมานั่งอยู่ที่ชายฝั่ง ณ วัดหลวงพ่อแดง เกาะสมุย ฉันนั่งมองดวงอาทิตย์ในยามเย็น ที่ตกลงอย่างรวดเร็ว เพียงห้านาทีกว่า ๆ พระอาทิตย์ก็ลับตา ความสลัวก็เข้ามาเยี่ยมเยียนเรา ลมชายฝั่งพัดเบา ๆ ไม่มียุงอย่างที่คิด ฉันนั่งตรงพื้นทราย และมองออกไปที่ทะเล ซึ่งมีแต่ความมืดมิด และเสียงน้ำซัดชายฝั่ง ซ่า ซ่า ฉันยังไม่สามารถสะกดใจให้ ทำสมาธิได้ เพราะความระแวง ด้วยความหวาดกลัว ต่อความมืด ผ่านไปเนิ่นนานน่าจะเป็นชั่วโมง ฉันจึงตัดใจ อธิษฐาน กรรมฐาน เพื่อภาวนากรรมฐาน ฉันนั่งภาวนาอยู่ตรงนั้น ใกล้ ๆ กับอนุสาวรีย์หลวงพ่อแดง นึกถึงท่านอย่างมีกำลังใจ จึงภาวนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง พลันแสงสว่างก็ปรากฏรอบตัว เป็นเพียงแสงนวล ๆ เหมือนแสงจันทร์วันเพ็ญ ไม่ได้สว่างอะไรมากมายแต่พอจะทำให้ฉันเห็นตัวเองที่นั่งอยู่เท่านั้น เบื้องหน้ามีเพียงแสงสว่างที่ปรากฏอย่างชัดเจน ที่ฐานจิตที่ภาวนาฉันมองเห็นสีต่าง ๆ ที่ฐานนั้น ด้วยความเพลิดเพลิน มองดู จดจำลักษณะของแสงนั้น ครั้นพอฉันออกจากกรรมฐาน ก็เห็นพระที่ติดตามมาด้วยกันสองรูป ยืนอยู่ที่เจดีย์ ความสว่างของยามเช้าที่ปรากฏ ช่างเป็นภาพที่แจ่มใส เป็นอย่างมาก จากเวลาที่ฉันนั่งกรรมฐานที่ชายหาดนี้ตั้งแต่ ห้าโมงเย็น เมื่อออกจากกรรมฐาน กลายเป็นเวลา หกโมงเช้า เสียแล้ว วันนี้จึงเข้าใจคำว่า ฉันทะในสมาธิ จริง ๆ ก็วันนี้ นี่เอง"

ข้อความบางส่วนจาก หนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
จากบันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส ภิกขุ

patra:


ถ้าเห็นธรรมอันเกิดขึ้นในที่เฉพาะหน้านั้นอย่างแจ่มแจ้ง พึงพอกพูนธรรมนั้นไว้
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=14706.0

"ฉันมาเข้าใจคำว่า กายในภายใน เมื่อฉันประจักษ์ในกายในภายใน ซึ่งการเข้าไปประจักษ์ในครั้งนั้น ทำให้มองเห็นธรรม อย่างรวดเร็ว มีสภาวะที่สงบระงับ สภาวะเบา สภาวะอ่อนโยน สภาวะที่รู้ตัว สภาวะที่ตื่นอยู่ สภาวะที่เด็ดเดี่ยว ธรรมสภาวะทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ฉัน มีความสบายในภายในเป็นอย่างมาก อยากจะบอกว่า มันสุขจนไม่อยากออกจากกายนั้น มันสุขอย่างยิ่ง เพราะไม่มีความทุรนทุรายใด ๆ ให้ฉันไม่สบายใจเลย ในที่นั้นมีแต่คำว่า สบาย สบาย สบาย เท่านั้นเอง"

ข้อความบางส่วนจาก หนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนา ของ ธัมมะวังโส ภิกขุ


ในยามที่ฉันอาพาธ และ เมื่อทุเลาจากอาพาธ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=14640.0

พุทธัง วันทามิ
ธัมมัง วันทามิ
สังฆัง วันทามิ
อุปัชฌาครุอาจิยคุณัง วันทามิ
มาตาปิตุคุณัง วันทามิ

สินนิ้วนอบ น้อมเศียร กราบไตรรัตน์
คณานับ กอร์ปด้วยครู อาจารย์ฉัน
ทั้งคุณแม่ และคุณพ่อ คุณอนันต์
ทุกคืนวัน ด้วยสำนึก ในพระคุณ
บวชมาแล้ว ด้วยตั้งใจ หลายพรรษา
ดั้นด้นมา เพียรอยู่ เป็นนิสัย
ทั้งเรียนธรรม กรรมฐาน และวินัย
ด้วยตั้งใจ พ้นจาก สงสารพลัน
ทุกค่ำคืน ฉันเพียรเพ่ง ปฏิบัติ
เพื่อจะตัด ตัณหา พิศมัย
จึงเดินนั่ง ยืนนอน ภาวนาไป
เพื่อเสือกไส ตนรอด จากวังวน
ห้าพรรษา ที่ฉัน หลีกเร้นอยู่
ขรัวตาปู่ สอนธรรม ให้แก่ฉัน
สุญญตา อนัตตา เชื่อมต่อกัน
ทุกสิ่งสรร มีเหตุ เชื่อมกันมา
สว่างโพล่ง มาก่อน ประจักษ์เห็น
ทั้งกลายเป็น เกิดดับ นับไม่ไหว
จิตเชื่อมเห็น อยู่อย่างนี้ คืนวันไป
ใจผ่องใส่ วางลง ไม่เก็บมา
สรรพสิ่ง เป็นเหมือน มายาหมอก
เป็นตัวหลอก ให้จม ด้วยตัณหา
ทั้งกายนี้ จิตนี้ กรรมบังตา
ทั้งชรา ทั้งอาพาธ มากมายจริง
อันหัวโขน อันชน สมมุติขึ้น
เหมือนประหนึ่ง ยิ่งใหญ่ ทุกทิศา
ล้วนเหมือนควัน เกิดดับ ไร้ราคา
อันเวลา กัดกิน ชนยินดี
เมื่อเจริญ กรรมฐาน ยิ่งประจักษ์
ทั้งกองรูป กองนาม อันฉงน
ที่สงสัย ทำไมฉัน ยังงวยงง
ก็จบลง ตรงคำว่า อนัตตา
ธัมมะวังโส ภิกขุ
28 มิ.ย.57
ตา เป็นอนัตตา รูป เป็นอนัตตา วิญญาณที่รู้แจ้งรูปมากระทบตา เป็นอนัตตา
หู เป็นอนัตตา  เสียง เป็นอนัตตา วิญญาณที่รู้แจ้งเสียงมากระทบหู เป็นอนัตตา
จมูก เป็นอนัตตา กลิ่น เป็นอนัตตา วิญญาณที่รู้แจ้งกลิ่นมากระทบจมูก เป็นอนัตตา
ลิ้น เป็นอนัตตา รส เป็นอนัตตา วิญญาณที่รู้แจ้งรสมากระทบลิ้น เป็นอนัตตา
กาย เป็นอนัตตา สัมผัส เป็นอนัตตา วิญญาณที่รู้แจ้งสัมผัสต่างๆมากระทบกาย เป็นอนัตตา
ใจ เป็นอนัตตา อารมณ์ เป็นอนัตตา วิญญาณที่รู้แจ้งอารมณ์มากระทบใจ เป็นอนัตตา

   "ดูก่อน โมฆราช เธอจงมองโลกนี้ โดยความเป็นของว่างเถิด" ( พุทธภาษิต )
    เพราะทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนแล้วอยู่ภายใต้ กฏแห่งพระไตรลักษณ์ หาได้มีสิ่งใด เป็นสิ่งที่ยึดมั่น ถือมั่นได้ เพราะว่างเปล่าแล้ว จากความหมายแห่งคำว่า เรา ว่าของเรา ว่า ตัว ว่า ตน ของเรา เป็นเพียงความว่างเปล่า

   กาย ก็เป็นของว่างเปล่า จิต ก็เป็นของว่างเปล่า
   งาน ก็เป็นของว่างเปล่า  แม้ธรรม ก็เป็นของว่างเปล่า
   ธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง เป็น อนัตตา

   รูปที่หยาบ กลาง หรือ ประณีต ก็เป็นเพียงสักว่า รูป ว่างเปล่า จากความหมาย แห่งความเป็นตัว เป็นตน
   ตาที่มองเห็น ใจที่รับทราบ ก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดมากระทบ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะแล้ว ก็ดับไป หาใช่ตัว หาใช่ตน หาใช่ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัว เป็นตนของเรา

   รูปนี้ มีชราเป็นผู้นำไป มีอาพาธเป็นรางวัล มีความตายเป็นที่สุด แม้นี้ก็ประจักษ์ ว่างจากเรา ว่างของเรา ว่างจากตัว ว่างจากตนของเรา

   เสียงธรรม และสื่อนี้ ก็เป็นเพียงความว่าง แม้ใครใคร่อ่านเข้าใจ ก็อนุโมทนา ไม่เข้าใจก็อนุโมทนา ขอให้ท่านทั้งหลายจงเจริญ สุญญตา นี้เป็นที่พึ่งเถิด เพราะท่านจักละ อัสมิมานะ ว่าเป็นเราเป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา ไม่ตกเป็นทาสแห่งตัณหา ประจักษ์แจ้ง ในลักษณะ ของ อนัตตา อย่างแท้จริง


แสงสว่าง เป็นต้นทาง รัศมี
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=14607.0

โปรดอย่าลืม ว่า การกำหนด ปีติ เป็นคุณธรรม หนึ่ง ใน ขั้นตอน พระอานาปานสติ
พระยุคลธรรม เป็นส่วนหนึ่ง ของการกำหนด จิต คือ จิตตะสังขาร ระงับลง เป็นปัสสัทธิ ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งใน พระอานาปานสติ ซึ่งเป็นส่วนที่ พระพุทธเจ้า แนะนำว่า ควรเข้าไปศึกษา สำเหนียก เมื่อหายใจเข้า หายใจออก กำหนดรู้ สำเหนียก ในสภาวะ จิต นี้ การกำหนดได้ ส่งเสริม วิชชา คือ การรู้แจ้ง ถ้าไม่กำหนด ธรรมสภาวะ ก็ไม่มีการรู้แจ้ง ถ้ามีการเข้าไปกำหนด ธรรมสภาวะ จึงจักมีการรู้แจ้ง

   พระพุทธเจ้า สำเร็จธรรม แล้ว พระองค์ ทรงทำความรู้แจ้ง อย่างชัดเจน 7 สัปดาห์ หรือ 49 วัน หลังจาก ตรัสรู้ การตรัสรู้ ก็ธรรมสภาวะปรากฏ บรรลุธรรม 3 ระดับ ของ พระพุทธเจ้า มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เป็นต้น มีอาสวักขยญาณเป็นที่สุด แต่ถึงกระนั้น พระพุทธเจ้า ก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทำกำหนด รู้ธรรมสภาวะเป็นเวลา 49 วันหลังจากตรัสรู้ เมื่อพ้น 49 วัน พระองค์จึงได้ปฏิญาณพระองค์ ว่า เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง

   ท่านทั้งหลาย อย่าประมาท ในวิชากรรมฐาน อย่าคิดว่าเสียเวลา เมื่อภาวนากรรมฐาน ตามลำดับขั้นตอน แต่จงคิดและตำหนิตนเอง ว่าเสียเวลา ถ้าไม่ปฏิบัตในองค์กรรมฐานใดกรรมฐานหนึ่ง เสียมากกว่า

   ดังนั้นบางท่านอาจจะต้องฝึก พระธรรมปีติ เป็นปี สองปี พระยุคลธรรม เป็นปี สองปี หรือ น้อยวัน น้อยปี ตามบุญวาสนา บารมีที่สั่งสมมาด้วยเช่นกัน

patra:
กระทู้นี้ รวบรวมไว้เป็นตัวอย่างเพื่อ อ้างอิงกับโพลล์ ดังนั้นไม่อนุญาต การเพิ่มข้อความต่อไป ปิดกระทู้ไว้แต่เพียงแค่นี้ไว้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น


 ทีมงาน มัชฌิมา สระบุรี

ติดตามโพลล์ ได้ที่ลิงก์นี้ ครับ


หนังสือ เพียงหยดหนึ่งแห่ง พระธรรม อาจจะเปิดดาวน์โหลด เป็น PDF
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=15516

ธัมมะวังโส:



"หากวันหนึ่ง ที่ท่านทั้งหลาย จะต้องเข้าไปยุ่งกับเรื่องของชาวโลก แล้วละก็ ต้องระวังใจเป็นอย่างมาก เพราะชาวโลก ยึดถือความชอบความชัง เป็นหลักใหญ่ เหมือนของในตลาดนั่นแหละ ชอบก็เอา ไม่ชอบก็ทิ้ง ชอบแพงก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่ชอบถูกอย่างไรก็ไม่เอา นี่เป็นความคิดของชาวโลก และชาวโลกก็มีความคิดเป็นเช่นนี้ ดังนั้น หากจะอยู่กับชาวโลก ก็ต้องระวังใจ นึกถึงคำสอนหลวงปู่ ที่เป็น สโลแกน เรื่องการปิดหู ปิดตา ปิดปาก ที่ปรากฏข้อความในหนังสือประวัติหลวงปู่ โดยหลวงพ่อพระครูสิทธิสังวร ท่านเรียบเรียงไว้ ทำให้เห็นธรรม แบบง่าย ๆ ทันที เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมาก เวลาที่เราต้องยุ่งกับชาวโลก และสิ่งที่ต้องระวัง ก็คือ ใจของเราเอง เพราะชาวโลก ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะชาวโลก ยึดความชอบและชัง ดังนั้นอยากอยู่อย่างสงบ ก็ต้องยึดหลักธรรม คือ การไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไว้เป็นหลักแรก กล่าวคือการมีศีล เพราะอยู่กับชาวโลก สิ่งที่ต้องใช้ร่วมกัน ก็คือ ศีล ดังนั้น ศีลธรรม จึงเป็นสิ่งที่ชาวโลก ใช้อยู่คู่กัน ส่วนธรรมขั้นสูง เป็นธรรมภายใน อันนั้น ส่วนใจของเรา ดังนั้น ถ้าอยากอยู่อย่างสงบ ก็ต้อง อาศัยศีลเป็นเครื่องกั้น กาย วาจา ไว้ นั่นเอง"

ข้อความบางส่วน จากหนังสือเพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนาและการเดินทาง ของธัมมะวังโส

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป