กถาว่าด้วยการบำรุงมารดาบิดา
มาตาปิตุอุปฏฺฐานคาถา สตรีผู้ยังบุตรให้เกิด ชื่อว่า มารดา.
บุรุษผู้ยังบุตรให้เกิด ชื่อว่า บิดา.
บรรดามารดาบิดาเหล่านั้น มารดาเท่านั้น เป็นผู้ทำกิจที่ทำได้ยาก; เพราะฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นดาบสชื่อโสณบัณฑิต
เมื่อจะประกาศความที่มารดาเป็นผู้ทำกิจที่ทำได้ยากแด่พระราชาชมพูทวีปทั้งสิ้น
จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ไว้ใน **โสณนันทชาดก สัตตินิบาตว่า
** โสณนันทชาดก >>
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=28&A=943&Z=1157&pagebreak=0
[อุปการคุณของมารดา]
"มารดาหวังผลคือบุตร จึงนอบน้อมแก่เทวดา และไต่ถามถึงฤกษ์ ฤดูและปีทั้งหลาย
เมื่อมารดานั้นมีระดู ความก้าวลงแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ก็ย่อมมี
เพราะสัตว์เกิดในครรภ์นั้นมารดาจึงแพ้ท้อง เพราะเหตุนั้นบัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่าเป็นผู้มีใจดี
มารดาบริหารครรภ์อยู่หนึ่งปีหรือหย่อนกว่าปีแล้วจึงคลอด เหตุนั้น
บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่าชนยนตีและชเนตตี ผู้ยังบุตรให้เกิด
มารดาย่อมปลอบบุตรผู้ร้องไห้อยู่ให้รื่นเริง ด้วยการให้ดื่มน้ำนมบ้าง
ด้วยการขับกล่อมบ้าง ด้วยการอุ้มแนบไว้กับอกบ้าง เหตุนั้น
บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ปลอบบุตรให้รื่นเริง ต่อแต่นั้น
มารดาเห็นบุตรผู้ยังเป็นเด็กอ่อน
ไม่รู้จักเดียงสาเล่นอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดดอันกล้าก็เข้ารับขวัญ
เพราะเหตุนั้นบัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า โปเสนตี ผู้เลี้ยงดูบุตร
มารดาย่อมคุ้มครองทรัพย์แม้ทั้งสองฝ่าย คือ
ทรัพย์ของมารดาและทรัพย์ของบิดาเพื่อบุตรนั้น ด้วยตั้งใจว่า
ทรัพย์ทั้งสองฝ่ายพึงเป็นของบุตรแห่งเรามารดายังบุตรให้ศึกษาดังนี้ว่า อย่างนี้ซิลูกอย่างโน้นซิลูก ย่อมลำบากเมื่อบุตรกำลังรุ่นหนุ่มคะนอง
มารดาย่อมคอยมองดูบุตรผู้หลงเพลิดเพลินในภรรยาผู้อื่น !
จนพลบค่ำก็ยังไม่กลับมา ย่อมเดือดร้อนด้วยประการฉะนี้...
[มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร]
อีกอย่างหนึ่ง มารดาบิดาทั้ง๒นั้น ท่านเรียกว่า "พรหมบุรพเทพ บุรพาจารย์
และอาหุไนยบุคคล"ของบุตร. เปรียบเหมือนท้าวมหาพรหม ย่อมไม่ละภาวนาทั้ง๔ในหมู่สัตว์
ฉันใด; มารดาบิดาก็มิได้ละภาวนาทั้ง๔ในหมู่สัตว์ฉันนั้น.
จริงอยู่เมื่อบุตรอยู่ในท้อง, มารดาบิดานั้น เกิดเมตตาจิตในบุตรว่า
"เมื่อไหร่หนอเราจึงจักเห็นลูกน้อย ไม่มีโรค ? "
อนึ่ง ในการใด บุตรนั้นยังอ่อน นอนหงายอยู่
ถูกสัตว์ทั้งหลายมีเล็นมเป็นต้นกัด หรือถูกการนอนเป็นทุกข์บีบคั้น ร้องไห้อยู่,
ในกาลนั้น ท่านทั้ง ๒ ก็เกิดความกรุณาขึ้น เพราะได้สดับเสียงบุตรนั้น. อนึ่ง
ในเวลาบุตรวิ่งมาวิ่งไปเล่นได้ก็ดี ในเวลาบุตรตั้งอยู่ในวัยงาม(น่าดูน่าชม)ก็ดี
ท่านทั้ง ๒ ก็มีิจิตอ่อนโยน บันเทิง เบิกบาน เพราะมองดูหน้าบุตรน้อย, ในกาล
ท่านทั้ง ๒ ย่อมบันเทิง(มุทิตา). อนึ่ง ในกาลใด บุตรนั้นทำการเลี้ยงภริยา แยกครองเรื่อนในกาลนั้น ท่านทั้ง ๒
ก็เกิดความมัธยัสถ์ขึ้นว่า "บัดนี้ ลูกน้อยของเรา
อาจจะเพื่อจะเีลี้ยง(ตน)ได้โดยธรรมดา(ตามลำพัง)ของตน," ในกาลนั้น
ท่านทั้งสองได้ความวางเฉยๆ(อุเบกขา).
มารดาบิดาทั้ง ๒ นั้น ท่านเรียกว่า พรหม เพราะท่านมีความประพฤติเช่นกับพรหม
เพราะได้พรหมวิหารทั้งหลายครบ ๔ อย่างตามกาล ด้วยประการฉะนี้.
[มารดาบิดาเป็นบุรพเทพบุตร]
เหมือนอย่างว่า วิสุทธิเทพกล่าวคือพระขีณาสพ ไม่คำนึงความผิดอันพวกชนพาลทำแล้ว
หวังแต่ความเสื่อมไปแห่งความพินาศและความเกิดขึ้นแห่งความเจริญ
ปฎิบัติเพื่อประโยชน์สุขแก่พวกเขาโดยส่วนเดียวแท้ๆ.
และย่อมทำความที่สักการะทั้งหลายของพวกเขามีผลอนิสงค์มาก เพราะเป็นทักษิไณยบุคคล ฉันใด; มารดาและบิดาแม้นั้น ก็ฉันนั้น
ไม่คำนึงถึงความผิดของบุตรทั้งหลายปฎิบัติเพื่อประโยชน์สุจแก่บุตรเหล่านั้นโดยส่วนเดียวเท่านั้น
เป็นผู้สมควรแก่ทักษิณา นำความที่สักการะของบุตรเหล่านั้นอันเขาทำแล้วในตน
มีผลอนิสงค์มาก; เพราะฉะนั้น ท่านทั้ง ๒ นั้นจึงชื่อว่า เทพ
เพราะเป็นผู้มีความประพฤติเช่นดัง เทพ.
อนึ่ง เพราะบุตรทั้งหลายรู้จักเทพเหล่าอื่น ด้วยสามารถท่านทั้ง ๒
นั้นก่อนแล้วปฎิบัติอยู่ ย่อมได้รับผลแห่งการปฎิบัติ; ฉะนั้นสมมติเทพ อุปัตติเทพ
และวิสุทธิเทพเหล่าอื่น จึงชื่อว่า ปัจฉาเทพ. ส่วนมารดาบิดา ท่านเรียกว่า บุรเทพ
เพราะท่านเป็นผู้มีอุปาการะก่อนกว่าเทพเหล่าอื่น. [มารดาบิดาเป็นบุรพาจารย์ของบุตร]
อนึ่ง เพราะมารดาและบิดาเหล่านั้น ยังบุตรให้ยึดถือ ให้สำเหนียกอยู่
จำเดิมแต่เวลาบุตรเกิด ด้วยนัยเป็นต้นว่า "จงนั่งอย่างนี้ , ยืนอย่างนี้" และว่า
"คนนี้ เจ้าควรเรียกว่า "พ่อ" ต่อมาภายหลัง
อาจารย์เหล่าอื่นจึงให้ศึกษาศิลปะทั้งหลายมีศิลปะในเพราะช้างเป็นต้น,
อาจารย์เหล่าอื่านให้สรณะและศีล, เหล่าอื่นให้บรรพชา
เหล่าอื่นให้เล่าเรียนพุทธวจนะ, เหล่าอื่นให้อุปสมบท, เหล่าอื่นให้บรรลุมรรคผล;
อาจารย์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่า ปัจฉาจารย์ ด้วยประการดังนี้; ฉะนั้น
มารดาบิดา ท่านจึงเรียกว่าบุรพาจารย์ เพราะเป็นอาจารย์ก่อนอาจารย์ทั้งหมด.
[มารดาบิดาเป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร]
อนึ่ง เพราะมารดาบิดานั้น
ควรซึ่งวัตถุมีข้าวและน้ำเป็นต้นอันบุตรทั้งหลาวนำมาบูชา ต้อนรับ จัดแต่ง
คือเป็นผู้สมควรเพื่ออันรับข่าวและน้ำเป็นต้นนั้น; ฉะนั้น มารดาบิดา
ท่านจึงเรียกว่าเป็น อาหุไนยบุคคล (ของบุตร). ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสไว้ใน **สพรหมสูตร ในติกนิบาต และ จตุกกนิบาต
อังคุตตรนิกาย ว่า "ภิกษุทั้งหลาย คำว่า พรหมนั่น เป็นชื่อของมารดาบิดา,
คำว่าบุรพเทพ...คำว่าบุรพาจารย์... คำว่า อาหุไนยบุคคลนั่น เป็นชื่อของมารดาบิดา,
ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร? ภิกษุทั้งหลาย เพราะมารดาบิดามีอุปาการะมาก บำรุงเลี้ยง
แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย. "
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสคำไวยากรณ์นี้, พระสุตตผู้พระศาสดา
ครั้นตรัสคำไวยากรณ์นี้แล้ว ภายหลังได้ตรัสคำนิคมนั่นอื่นอีกต่อไปว่า
"มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์ประชา (บุตร) ท่านเรียกวาพรหมบุรพาจารย์
และอาหุไนยบุคคลของบุตรทั้งหลาย. "
** สพรหมสูตร >>
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=1879&Z=1897&pagebreak=0
[เรื่องภิกษุเลี้ยงมารดา]
ดังได้สดับมา บุตรเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี ฟังเทศนาของพระศาสดาแล้ว
ได้บรรพชาอุปสมบท เล่าเรียนธรรมวินัยครบ ๕ ปีแล้ว
จึงเรียนเอากัมมัฎฐานในสำนักเรียนของพระอุปัชฌาชย์นั้นต่อ
ออกจากพระเชตวันไปยังปัจจันตคาม อาศัยบ้านนั้นอยู่ในป่า. ส่วนมารดาบิดาของเธอ
จำเดิมแต่เวลาที่เธอบวชแล้ว ทรัพย์สมบัติก็ร่อยหรอลงโดยลำดับ
ถึงความเป็นผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง มีมือถือภาชนะเที่ยวไปขอทาน
อาศัยฝาเรือนของชนอื่นอยู่.
ก็ในกาลต่อมา ภิกษุนั้น ได้สดับว่า มารดาบิดาของตนประสพทุกข์ จึงคิดว่า
"เราแม้พยายามอยู่ในป่าสิ้น ๑๒ ปี ก็ไม่อาจบรรลุมรรคและผลได้, เราเป็นคนอาภัพ,
เราจะต้องการอะไรด้วยการบรรพชา, เราเป็นคฤหัสถ์ เลี้ยงมารดาบิดาให้ทาน
ก็จักเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้" ดังนี้แล้ว ออกจากป่า
ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ คิดว่า "วันนี้
เราเฝ้าพระศาสดาฟังธรรมแล้วพรุ่งนี้จึงจักเยี่ยมมารดาบิดาแต่เช้าตรู่" ดังนี้แล้ว
เข้าไปยังพระเชตวัน ก็ในวันนั้น พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง
ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งปฐมมรรคของภิกษุนั้นแล้ว, เมื่อเธอมานั่งแล้ว
ทรงพรรณนาคุณของมารดาบิดาด้วย **มาตุโปสกสูตร. เธอฟังพระสูตรนั้นแล้ว คิดว่า
"เรามาด้วยตั้งใจว่า จักเป็นคฤหัสถ์เลี้ยงมารดาบิดาม, แต่พระศาสดาตรัสว่า
"บุคคลเป็นบรรพชิต ก็ชื่อว่าอุปการะมารดาบิดาได้;"
ถ้าเราไม่เฝ้าพระศาสดาแล้วไปเสีย พึงเสื่อมจากการบรรพชาเห็นปานนี้ ก็บัดนี้
เราจักเลี้ยงมารดาบิดานั้นทั้งบรรพชิต. " ** มาตุโปสกสูตร >>
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=5871&Z=5893
ในวันรุ่งขึ้น เธอถือสลากยาคูและสลากภัตอันถึงแล้วแก่ตนเข้าไปบ้าน
ถือเอายาคูและภัตให้แก่มารดาบิดาแล้ว ส่วนตนเที่ยวบิณฑบาต ทำคัตกิจแล้ว
ทำที่อยู่สำหรับมารดาบิดานั้น จำเดิมแต่นั้น ก็ปรนนิบัติมารดาบิดาเนืองนิตย์.
ก็เธอให้ปักขิกภัตเป็นต้น อันตนได้แล้วแก่มารดาบิดานั้นแล้ว
ส่วนตนเที่ยวบิณฑบาตเมื่อได้บิณฑบาตก็บริโภค, เมื่อไม่ได้ ก็ไม่บริโภค.
ก็วันที่ได้ภิกษาของท่าน มีน้อย, วันที่ไม่ได้ มีมากกว่า.
เธอได้ผ้าวัสสาวาสิก(ผ้าจำนำพรรษา) หรือผ้าชนิดใดชนิดหนึ่งแม้อื่น
ก็ให้แก่มารดาบิดานั้นนั่นแล ทำการปะผ้าท่อนเก่าที่มารดาบิดานั้นใช้สอยแล้ว
ย้อมใช้สอยเอง.
ทานถูกความกังวลในการบำรุงมารดาบิดาบีบคั้นอย่างนั้น ได้เป็นผู้ซูบผอม
มีผิวพรรณหม่นหมองแล้ว.
ภิกษุทั้งหลายพบเธอ จึงถาม สดับความนั้นแล้ว ติเตียนเธอแล้วทูลแด่พระศาสดา.
พระศาสดา รับสั่งให้เรียกเธอมาแล้ว ทั้งทรงทราบอยู่ ก็รับสั่งให้ทูลความนั้น
ประทานสาธุการ พระประสงค์จะทรงประกาศบุพพจริยาของพระองค์ จึงตรัสถามว่า "ภิกษุ
คนทั้งหลายที่เธอเลี้ยงเป็นอะไรแก่เธอ? " ภิกษุ ทูลว่า
"เป็นมารดาบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. " ทีนั้น พระศาสดา ประทานสาธุการ ๓ ครั้งแก่เธอว่า "สาธุ สาธุ สาธุ"
แล้วตรัสว่า "เธอตั้งอยู่ในมรรคาที่เราดำเนินแล้ว, แม้เราเมื่อประพฤติบุพพจริยา
ก็เลี้ยงดูมารดาบิดาแล้ว" ตรัส **สุวรรณสามชาดก ในมหานิบาตแล้ว ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า การเลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลาย"
ดังนี้แล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย
ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้น ได้เป็นพระโสดาบันแล้ว.
** สุวรรณสามชาดก >>
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=28&A=3201&Z=3441&pagebreak=0
"นรชนใด เลี้ยงมารดาหรือบิดาโดยธรรม,
แม้เทพยดาทั้งหลายก็ย่อมแก้ไขนรชนผู้เลี้ยงมารดาบิดานั้น.
นรชนใดเลี้ยงมารดาหรือบิดาโดยธรรม,
นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญนรชนนั้นในโลกนี้นี่เอง,
เขาละไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์." http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=28&item=522&items=1&preline=0
อ้างอิง
คัมภีร์ มังคลัตถทีปนี(พ.ศ. 2067) ผลงานรจนาของ พระสิริมังคลาจารย์ ปราชญ์แห่งล้านนา ผู้รจนา
จากกระทู้ ธรรมะ วันแม่แห่งชาติ กถาว่าด้วยการบำรุงมารดาบิดา โดย คุณสาราณียธรรม
เข้าอ่านทั้งหมดและร่วมแสดงความเห็น >>
http://larndham.net/index.php?showtopic=12637
ที่มา ก๊อป มาจาก 84000
ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=413&sid=1173ad0e95e9c4945bc45657f0390ee1