หัวข้อ: #การสอบบาลี ตั้งแต่แรกเริ่มในอดีตจนถึงปัจจุบัน เรามีการสอบกันอย่างไร เริ่มหัวข้อโดย: supranee sabugueiro ที่ ตุลาคม 23, 2019, 12:50:28 pm ๑.การศึกษาสมัยพุทธกาล
การศึกษาของคณะสงฆ์สมัยพุทธกาลศึกษาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงบ้าง จากพระอรหันตสาวกบ้าง แล้วท่องจำไว้ด้วยปาก (มุขปาฐะ) นี้เป็นการเรียนหลักธรรมเรียกว่า คันถธุระ เรียนแล้วนำไปปฏิบัติเรียกว่า วิปัสสนาธุระ ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จดับขันปรินิพพานแล้ว พระสงสาวกได้ประชุมกันทำสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยไว้เป็นหมวดหมู่ มี ๓ หมวด คือ ๑.หมวดพระสูตร เรียกว่า พระสุตันตปิฎก ๒.หมวดพระวินัย เรียกว่า พระวินัยปิฎก ๓.หมวดพระอภิธรรม เรียกว่า พระอภิธรรมปิฎก ทั้งหมดรวมเรียกว่า “พระไตรปิฎก” พระสงฆ์สาวกสมัยนั้นก็ศึกษากันด้วยปากเป็นคณะๆ คณะละหมวดหนึ่งบ้าง สองหมวดบ้าง ต่อมาเมื่อพระพุทธพจน์หรือพระไตรปิฎกได้จารึกเป็นมคธ หรือที่เรียกว่า ภาษาบาลี พระภิกษุสงฆ์ได้ศึกษาทั้งหลักภาษาและเนื้อหาธรรมะไปในตัว ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายไปในนานาประเทศ บางประเทศก็ยังยึดหลักของภาษาบาลี ได้รักษาพระไตรปิฎกไว้ในรูปของภาษาบาลี แต่บางประเทศก็ปริวรรตเป็นภาษาในประเทศของตน ก็ย่อมมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง นานเข้าก็มีความคิดแตกต่าง กลายเป็นนิกายฝ่ายเหนือ-ฝ่ายใต้ ประเทศไทยของเราสืบทอดมาจากนิกายฝ่ายใต้ ที่เรียกกันว่า ฝ่ายหินยานหรือฝ่ายเถรวาท เมื่อประมาณ พ.ศ. ๓๖๐ พระพุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่สุวรรณภูมิ โดยการนำของพระเถร ๒ รูป คือ พระโสณะกับพระอุตตระ จนกระทั่งมารุ่งเรืองขึ้นในสมัยลานนาไทย การศึกษาเจริญก้าวหน้ามาก ปรากฏว่ามีพระเถระหลายรูปที่ศึกษาอยู่ในระดับแตกฉานสามารถแต่งตำราอธิบายธรรมะเป็นภาษาบาลีได้อย่างเชี่ยวชาญ. ๒.การศึกษาสมัยล้านนาไทยและสุโขทัย การศึกษาสมัยนี้ พระภิกษุเป็นผู้บริหารและจัดการศึกษา คือเป็นครูผู้สอนกันเอง สมัยพ่อขุนรามคำแหง การปกครองคณะสงฆ์แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายคามวาสีและฝ่ายอรัญญวาสี ทรงส่งเสริมให้มีการศึกษาพระพุทธศาสนาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก แม้พระองเองก็ทรงสั่งสอนประชาชนตามหลักธรรมเช่นกัน สถานศึกษา สถานศึกษาในสมัยลานนาไทยและกรุงสุโขทัยใช้วัดและวังเป็นศูนย์กลาง โดยวัดเป็นสถานศึกษาของบุตรหลานขุนนางและราษฎรทั่วไป มีพระภิกษุเป็นผู้สอน ส่วนวังเป็นสำนักราชบัณฑิตสอนเฉพาะเจ้านาย ข้าราชการ และเป็นสถานที่ศึกษาธรรมของพระภิกษุสงฆ์เท่านั้น หลักสูตรการศึกษา การศึกษาสมัยนี้ ยังยึดหลักภาษาบาลีศึกษาในเชิงหลักภาษา และเนื้อหาธรรมะจากพระไตรปิฎก โดยแบ่งเป็นตอนๆ อันดับแรกศึกษาพระสุตตันตปิฎก เมื่อจบแล้วก็ศึกษาพระวินัยปิฎก และพระอภิธรรมปิฎกตามลำดับ การวัดผลการศึกษา การวัดผลการศึกษาใสมัยลานาไทยและสมัยสุโขทัย ยังไม่เด่นชัด เป็นแต่การวัดผลจากวามทรงจำ และความสามารถของพระภิกษุสงฆ์เป็นพื้น. ๓.การศึกษาสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี การศึกษาในยุคนี้ แรกๆ ถูกปล่อยปละละเลย ต่อมาถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเห็นพระพุทธศาสนาถูกลัทธิภายนอกย่ำยีประชาชนมัวเมาหลงใหลเห็นผิดเป็นชอบจึงทรงรับอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา ทรงโปรดจัดการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นเหมือนครั้งสุโขทัย ให้มีการสอบไล่พระปริยัติธรรม นับว่าเป็นการสอบไล่ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ต่อมากรุงศรีอยุธยาแตกพ่าย ถูกพม่าทำลายวัดวาอารามและเผาคัมภีร์พระไตรปิฎกไปด้วย พระภิกษุสงฆ์แตกกระจัดกระจายหนีภัยสงคราม ภายหลังเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชครองกรุงธนบุรีแล้ว ทรงใส่พระทัยพัฒนาการพระพุทธศาสนา รวบรวมอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ให้ให้มาอยู่รวมกันอีกครั้งหนึ่ง ทรงแต่งตั้งสมณศักดิ์ แลสถาปนาพระอารามขึ้นหลายแห่ง ให้พระภิกษุสงฆ์ศึกษาเล่าเรียนคันถธุระ และวิปัสสนาธุระพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกวาระหนึ่ง หลักสูตรการศึกษา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้คณะสงฆ์อาภารธุระในการเรียนการสอนอย่างจริงจัง โดยกำหนดหลักสูตร เวลาเรียน การประเมินผล และฐานะของผู้สอบไล่ได้อย่างชัดเจน ได้ใช้พระไตรปิฎกภาษาบาลีเป็นหลักสูตร โดยแบ่งชั้นเรียนออกเป็น ๓ ชั้น หรือ ๓ ประโยค ดังนี้ บาเรียนตรี ต้องแปลจบพระสูตร บาเรียนโท ต้องแปลจบพระสูตรและพระวินัย บาเรียนเอก ต้องแปลจบพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม ผู้เรียนจบบาเรียน ตรี-โท-เอก “มหาบาเรียนบาลี” โดยใช้อักษรย่อ บ.บ. สถานศึกษา ในสมัยกรุงศรีอยุธยานี้ การเรียนการสอนพระปริยัติธรรม ใช้บริเวณพระบรมมาราชวังเป็นหลัก ส่วนวัดต่างๆ ได้แก่ พระมาหากษัตริย์บ้างราชบัณฑิตบ้าง พระเถระผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกบ้าง การวัดผลการศึกษา เริ่มแรกผู้เรียนคัมภีร์มูลกัจจายน์ (หลักของภาษา) ใช้เวลาประมาณ ๒-๓ ปี จึงเรียนแปลพระไตรปิฎกที่จารึกในใบลานเป็นหนังสือแบบเรียน เมื่อมีความรู้ความสามารถในการแปลได้ดีแล้ว ครูบาอาจารย์และเจ้าสำนักก็จะกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงกราบ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศการสอบไล่ความรู้ของพระภิกษุสามเณร เรียกว่า “สอบสนามหลวง” แปลว่าเป็นการสอบในพระบรมราชูปถัมภ์ ทรงยกย่องผู้สอบได้ให้มีสมณศักดิ์ “มหา” นำหน้าชื่อ แล้วพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระราชาคณะ เป็นเกียรติแก่พระพุทธศาสนาสืบไป สถานที่สอบใช้พระบรมมหาราชวังเป็นที่สอบและใช้ระยะเวลาเรียน ๓ ปี จึงมีการสอบ ๑ ครั้ง วิธีสอบ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงประกาศให้มีการสอบพระปริยัติธรรมขึ้นแล้ว พระมหาเถระและราชบัณฑิตทั้งหลายก็แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นโดยมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นประธาน การสอบแปลผู้สอบต้องต้องจับสลากตามที่คณะกรรมการกำหนดให้ถ้าจับได้ผูกใดก็แปลผูกนั้น โดยเริ่มจากพระสูตรก่อน ต้องแปลปากเปล่าต่อหน้าคณะกรรมการผิดศัพท์หรือประโยชน์ได้เพียง ๓ ครั้ง ถ้ากรรมการทักท้วงเกิน ๓ ครั้ง ถือว่าตก ถ้าแปลได้คล่องเป็นที่พอใจไม่มีการทักท้วงถือว่าสอบได้ในประโยคนั้นๆ เมื่อผ่านพระสูตร ก็ให้เกียรติคุณเป็น “บาเรียนตรี” เรียนพระวินัยปิฎกต่อไปอีก ๓ ปี สอบผ่านก็เป็น “บาเรียนโท” จากนั้นศึกษาพระอภิธรรมปิฎกอีก ๓ ปี สอบผ่านก็ได้เป็น “บาเรียนเอก” ๔.การศึกษาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ยุครัชกาลที่ ๑-๔ หลังจากสร้างกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์แล้ว พระมหากษัตริย์ก็ทรงใส่พระทัยถึงการพระศาสนา ทรงแก้ไขปัญหาต่างๆเรื่อยมา จนถึงปี พ.ศ.๒๓๓๑ ทรงปรารภที่จะสังคายนาพระไตรปิฎก จึงทรงอาราธนาพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ และราชบัณฑิตเป็นกรรมการชำระพระไตรปิฎก จารึกเป็นอักษรขอมขึ้น ใช้เวลา ๕ เดือนจึงเสร็จสมบูรณ์ เป็นจำนวน ๕๓๔ คัมภีร์ คือ พระวินัย ๘๑ คัมภีร์ พระสูตร ๑๑๐ คัมภีร์ พระอภิธรรม ๖๑ คัมภีร์ และสัททวิเสส ๕๐ คัมภีร์ เป็นหนังสือใบลาน ๓๖๘๖ ผูก เรียกชื่อว่า ฉบับทองใหญ่ ต่อมาทรงโปรดให้สร้างอีก ๒ ฉบับ คือ ฉบับรองทรง มีจำนวน ๓๐๕ คัมภีร์ เป็นหนังสือใบลาน ๓,๖๔๙ ผูก และฉบับทองชุบ มีเพียง ๓๕ คัมภีร์ ทั้ง ๓ ฉบับเป็นแม่แบบในการพิมพ์ครั้งต่อมา หลักสูตรการศึกษา ในยุคแรกเริ่มต้น หลักสูตรยังใช้พระไตรปิฎก เรียน ๓ ปีต่อการสอบ ๑ ครั้งเหมือนเดิมและแบ่งชั้นดังนี้ บาเรียนตรี ใช้พระสูตรเป็นในการเรียนการสอน บาเรียนโท ใช้พระสูตรและพระวินัย บาเรียนเอก ใช้พระสูตร พระวินัยและพระอภิธรรม ตั้งแต่ยุคราชกาลที่ ๒ เป็นต้นมาได้มีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นใหม่โดยอาศัยหลัก ๒ ประการ คือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ประกอบด้วยองค์ ๙ คือ สุตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ พระธรรมคำสอนอันเป็นโลกุตตรธรรมมี ๙ อย่าง คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ดังนั้นจึงจัดหลักสูตรแบ่งเป็น ๙ ชั้นดังนี้ ๑.ประโยค ๑-๒-๓ ใช้คัมภีร์อรรถกถาธรรมบทเป็นแบบเรียน (แปลคราวเดียวกัน ๓ ประโยคจึงเป็นบาเรียน) ๒.ประโยค ๔ ใช้คัมภีร์มังคลัตถทีปนีภาคแรก (ภายหลังใช้ ๒ ภาค) ๓.ประโยค ๕ ใช้คัมภีร์บาลีมุตตกะ (แล้วเปลี่ยนเป็นคัมภีร์สารัตถสังคหะ ภายหลังเปลี่ยนเป็นบาลีมุตตกะเหมือนเดิม) ๔.ประโยค ๖ ใช้คัมภีร์มังครัตถทีปนีภาค ๒ ๕.ประโยค ๗ ใช้คัมภีร์อรรถกถาวินัยสมันตปาสาทิกา ๖.ประโยค ๘ ใช้คัมภีร์ปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรค ๗.ประโยค ๙ ใช้คัมภีร์กาสารัตถทีปนี (ภายหลังเปลี่ยนเป็นฎีกาอภิธัมมัตถวิภาวินี) สำหรับประโยค ๗ -๘-๙ เรียกว่าบาเรียนเอก โดยเรียนย่อยดังนี้ว่า ประโยค ๗ เรียกว่า เอกสามัญ (เอก ส.) ประโยค ๘ เรียกว่า เอกมัธยม (เอก ม.) ประโยค ๙ เรียกว่า เอกอุดม (เอก อ.) สถานศึกษา ยุคราชกาลที่ ๑ โปรดเกล้า ฯ ให้ใช้พระที่นั่งมณเฑียรธรรมในวัดพระศรี รัตนศาสดารามข้างท้องพระโรงบ้าง สร้างศาลาต่างหากบ้าง หรือบางทีใช้บ้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและ เจ้านาย ส่วนข้าราชการชั้นผู้น้อยให้ไปศึกษาตามวัดต่างๆ ยุครัชการที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ใช้อารามบ้าง ทรงให้สร้างเก๋งบริเวณพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ภายในพระบรมมหาราชวัง เป็นสถานศึกษาเล่าเรียน โปรดให้เลี้ยงเพลพระภิกษุและพระราชทานรางวัลด้วย ภายหลังสถานที่ไม่เพียงพอ จึงโปรดให้ใช้พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ยุครัชการที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเก๋งขึ้น ๔ หลัง ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อใช้เป็นสถานศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติม การวัดผลการศึกษา ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ การสอบพระปริยัติธรรมยังเหมือนปลายกรุงศรีอยุธยา ๓ ปีต่อการสอบ ๑ ครั้ง ต่อมายุครัชการที่ ๓ เมื่อนักเรียนคนใดจะสอบ ต้องผ่านการจับสลากถูกซองไหนก็แปลซองนั้น ก่อนแปลกรรมการจะให้เวลาเล็กน้อยให้หายตื่นเต้น แล้วจึงเรียกเข้าไปแปลหน้าต่อไป ต้องแปลครั้งเดียวให้ผ่าน ๓ ประโยคจึงจะเป็น “บาเรียน” ผ่านเพียง ๒ ครั้งถือว่าตก หรือคณะกรรมการทักท้วงเกิน ๓ ครั้งนับว่าตก พระภิกษุสามเณรที่เรียนเก่งก็สามารถแปลสอบตั้งแต่ประโยค ๑-๙ รวดเดียวได้ สถานที่และวันเวลาในการสอบ การสอบพระปริยัติธรรมพระภิกษุสามเณร นับเป็นราชการแผ่นดินประเภทหนึ่งเพราะอยู่ในพระราชกรณียกิจของพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นศาสนูปถัมภก ดังนั้นส่วนใหญ่จึงใช้สถานที่พระบรมมหาราชวังเป็นหลัก การสอบในสมัยนั้นเริ่มประมาณ ๑๕.๐๐ น. ทุกวัน เว้นเฉพาะวันโกนกับวันพระ เวลาในการสอบนั้นไม่มีกำหนด แล้วแต่ผู้ที่แปลได้เร็วหรือช้าแต่โดยปกติให้เลิกประมาณ ๑๙.๐๐ น. หรือ ๒.๐๐ น. การสอบแต่ละครั้งตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น ใช้เวลา ใช้เวลาประมาณ ๒ เดือนเศษ ยุครัชกาลที่ ๕-๗ ในยุครัชกาลที่ ๕ พระมหากษัตริย์ทรงเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ จึงทรงสนับสนุนการศึกษาทั่วไป สำหรับพระภิกษุได้ศึกษาเล่าเรียนทั้งด้านพระปริยัติธรรมและวิชาการสมัยแผนกธรรมขึ้นควบคู่กับแผนกบาลี (ฝ่ายเปรียญ) เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๔ เป็นครั้งแรก และจัดครบหลักสูตรในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ แต่ยังเป็นการศึกษาเฉพาะฝ่ายสงฆ์อย่างเดียว ครั้นสมัยรัชกาลที่ ๗ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๐ จึงเปิดโอกาสให้ ฆราวาสชายหญิงเรียนด้วยโดยแยกแผนกธรรมออก สำหรับพระภิกษุสามเณรเรียกว่า “นักธรรมศึกษา” สำหรับฆราวาสเรียนเรียกว่า “ธรรมศึกษา” นักธรรมชั้นต่างๆ ยังมีความสำคัญต่อการสอบเปรียญด้วย คือ ผู้สอบประโยค ๑-๒-๓ ต้องผ่านนักธรรมชั้นตรี ผู้สอบประโยค ๔-๕-๖ ต้องผ่านนักธรรมชั้นโท ผู้สอบประโยค ๗-๘-๙ ต้องผ่านนักธรรมชั้นเอก ดังนั้นจึงรวมเรียกว่า “เปรียญธรรม” ใช้อักษรย่อว่า “ป.ธ.” ข้อสังเกต คำว่า “เปรียญ” เข้าใจว่าเพิ่งนำมาใช้ระหว่างรัชกาลที่ ๕-๖ เพราะในยุคแรกยังใช้คำว่า “บาเรียน” อยู่ หลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ในยุคนี้มีหลักสูตรวิชาแปลดังนี้ ๑.ประโยค ๑-๒-๓ ใช้คัมภีร์ธัมมปทัฎฐกถา ๒.ประโยค ๔ ใช้คัมภีร์มังคลัตถทีปนีภาคแรก ๓.ประโยค ๕ ใช้คัมภีร์สารัตถสังคหะ ๔.ประโยค ๖ ใช้คัมภีร์มังคลัตถทีปนี ๕.ประโยค ๗ ใช้คัมภีร์ปฐมสมันตปาสาทิกา ๖.ประโยค ๘ ใช้คัมภีร์วิสุทธิมรรค ๗.ประโยค ๙ ใช้คัมภีร์สารัตถทีปนี (ฎีกาวินัย) สถานศึกษา เดิมทีใช้บริเวณวิหารคดรอบพระอุโบสถและตามพระอารามต่างๆ เป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนต่อมาเมื่อสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นแล้ว ก็ให้พระภิกษุสงฆ์ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมและวิชาการชั้นสูงในมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งนั้น การวัดผลการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ยุคแรกการสอบพระปริยัติธรรมยังเป็นไปเหมือนเดิม คือ ๓ ปีสอบ ๑ ครั้ง ต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้กำหนดให้สอบปีละ ๑ ครั้งตลอดมา วิธีสอบพระปริยัติธรรมในสมัยรัชกาลที่ ๕ คงใช้วิธีสอบแบบเก่าๆ คือแปลสอบด้วยปาก ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้เปลี่ยนแปลงมาสอบด้วยวิธีเขียนเฉพาะประโยค ๑ และประโยค ๒ ส่วนประโยค ๓ ขึ้นไปสอบแปลด้วยปากตามแบบเดิม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๙ จึงให้ยกเลิกการสอบแปลด้วยปาก เปลี่ยนมาสอบด้วยวิธีเขียนแทนทุกชั้นประโยค อนึ่ง การสอบพระปริยัติธรรมนั้น ตามประเพณีเดิมไม่ได้กำหนดด้วยนาฬิกา แต่ใช้เทียนเป็นสัญญาณกำหนด คือเมื่อเริ่มแปลเวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ไปจนกระทั่งค่ำ แล้วจุดเทียนตั้งไว้จนกว่าจะหมดก็เป็นอันเลิกสอบในวันนั้น ถ้ายังแปลค้างอยู่ก็เป็นอันตกหมด ต่อมาจึงเลิกการใช้เทียนเป็นสัญญาณ แต่ใช้นาฬิกาแทน และกำหนดเวลาให้นักเรียนที่แปลธรรมบทรูปละ ๖๐ นาที ให้แปลหนังสือ ๓ ใบลาน คือ ๓๐ บรรทัด ภายหลังเห็นว่ายากไปไม่ทันเวลาจึงลดลงเหลือ ๒๐ บรรทัด ประโยคสูง ๙๐ นาที บางทีถ้าประโยคยากก็เพิ่มให้อีก ๓๐ นาที เป็นกรณีพิเศษ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๙๑ มีจำนวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้น การสอบพร้อมกันไม่สะดวก จึงแบ่งการสอบออกเป็น ๒ ภาค ดังนี้ ภาคแรก ป.ธ.๖-๗-๘-๙ สอบในวันขึ้น ๒-๓-๔-๕ ค่ำเดือน ๓ ของทุกปี ภาคที่สอง ป.๑-๒, ป.ธ. ๓-๔-๕ สอบในวันแรม ๑๐-๑๑-๑๒ ค่ำเดือน ๓ ของทุกปี สนามสอบส่วนกลาง ปี พ.ศ. ๒๔๕๕ – ๒๔๘๕ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดเบญจมบพิตรฯ วัดบวรนิเวศวิหาร วัดมหาธาตุฯ วัดเทพศิรินทราวาส วัดพระเชตุพนฯ วัดอนงคาราม ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๖ ได้มีการจัดให้สอบตามมณฑลต่างๆขึ้น ๕.การศึกษายุคปัจจุบัน ปัจจุบันการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี มีแม่กองบาลีสนามหลวงเป็นผู้รับผิดชอบแบ่งเป็น ๙ ชั้น เหมือนครั้งตั้งแต่รัชกาลที่ ๒ เป็นต้นมา และจะถือว่าเป็น “เปรียญธรรม” ได้ก็ตั้งแต่เปรียญธรรม ๓ ประโยค ถึง ๙ ประโยค และผู้ที่สอบได้ ถ้าเป็นพระก็ได้เป็นมหาให้เรียกคำว่า “พระมหา” นำหน้าชื่อ สมัยก่อนผู้สอบได้ ป.ธ. ๓ พระมหากษัตริย์พระราชทานพัดยศเอง แต่ปัจจุบันพระราชทานเฉพาะ ป.ธ. ๖ และ ป.ธ. ๙ ส่วนป.ธ. ๓ ทรงมอบให้สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งพัดยศแทน การศึกษาทั้ง ๙ ชั้นนี้ จัดรวมเป็น ๓ ชั้นคือ ประโยค๑-๒, ป.ธ. ๓ เป็นเปรียญธรรมตรี ประโยค ป.ธ. ๔-๕-๖ เป็นเปรียญธรรมโท ประโยค ป.ธ. ๗-๘-๙ เป็นเปรียญธรรมเอก หลักสูตรการเรียนการสอน ประโยค ๑-๒ วิชาไวยากรณ์ ใช้หนังสือไวยากรณ์ ๔ เล่ม วิชาแปลมคธเป็นไทย ใช้หนังสือธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๑-๔ เปรียญธรรม ๓ ประโยค วิชาไวยากรณ์ ใช้หนังสือไวยากรณ์ ๔ เล่ม วิชาสัมพันธ์ ใช้หนังสือคู่มือหลักสัมพันธ์ไทย วิชาแปลมคธเป็นไทย ใช้หนังสือธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๕-๘ วิชาบุรพภาค ใช้แบบหอร์มจดหมายราชการ เปรียญธรรม ๔ ประโยค วิชาแปลไทยเป็นมคธ ใช้หนังสือธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๑ วิชาแปลมคธเป็นไทย ใช้หนังสือมังคลัตถทีปนี ภาค ๑ เปรียญธรรม ๕ ประโยค วิชาแปลไทยเป็นมคธ ใช้หนังสือธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๒,๓,๔ วิชาแปลมคธเป็นไทย ใชั้หนังสือมังคลัตถทีปนี ภาค ๒ เปรียญธรรม ๖ ประโยค วิชาแปลไทยเป็นมคธ ใช้หนังสือธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๕,๖,๗,๘ วิชาแปลมคธเป็นไทย ใช้หนังสือสมันตปาสาทิกา ภาค ๓,๔,๕ เปรียญธรรม ๗ ประโยค วิชาแปลไทยเป็นมคธ ใช้หนังสือมังคลัตถทีปนี ภาค ๑ วิชาแปลมคธเป็นไทย ใช้หนังสือสมันตปาสาทิกา ภาค ๑-๒ เปรียญธรรม ๘ ประโยค วิชาแปลไทยเป็นมคธ ใช้หนังสือสมันตปาสาทิกา ภาค ๑-๒ วิชาแปลมคธเป็นไทย ใช้หนังสือวิสุทธิมรรค ภาค ๑-๒ วิชาแต่งฉันท์มคธ กรรมการกำหนดข้อความให้ เปรียญธรรม ๙ ประโยค วิชาแต่งภาษามคธ กรรมการกำหนดข้อความให้ วิชาแปลไทยเป็นมคธ ใช้หนังสือวิสุทธิมรรค ภาค ๑-๒ วิชาแปลมคธเป็นไทย ใช้หนังสืออภิธัมมัตถวิภาวินี หนังสืออ้างอิง : ประวัติการศึกษาคณะสงฆ์ ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ พิมพ์เมื่อ ปีพ.ศ.๒๕๒๗ ans1 ans1 ans1 ans1 หัวข้อ: Re: #การสอบบาลี ตั้งแต่แรกเริ่มในอดีตจนถึงปัจจุบัน เรามีการสอบกันอย่างไร เริ่มหัวข้อโดย: ปัญญสโก ภิกขุ ที่ ตุลาคม 23, 2019, 12:57:08 pm สาธุ st11
|