ถ้ามี บุญญฤทธิ์ บารมีมาก็ไม่ต้องใช้คำบริกรรมในการภาวนาใด ๆ ทั้งสิ้น ก็สามารถบรรลุธรรมได้
เพียงให้จิต ที่เป็นสมาธิด้วยบุญญฤทธิ์ เห็นตามความเป็นจริง
เห็นอะไร ? ..... ก็บอกไม่ได้ นะจ๊ะ ส่วนนี้เป็น ปัจจัตตัง รู้แท้เฉพาะตน
เช่น สามเณร สังกิจจะ ปลงผมครั้งที่ 1 เป็นพระโสดาบัน 2 เป็นพระสกิทาคามี 3 เป็นพระอนาคา 4 เป็นพระอรหันต์ เห็นอะไรก็ไม่รู้ เป็นส่วนตัวของท่าน เราวิจารณ์กันไป ก็ไม่รู้ภาวะท่านหรอก มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น
เพราะการบรรลุคุณธรรม ไม่ได้ใช้เวลาอะไรมาก เพียงชั่วแว่บเดียว ปัญญา ก็มองเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ
ดับไปเป็น ล้าน ๆ ขณะ
ที่กล่าวเป็นตัวอย่าง เป็นต้นนะ
ดังนั้น สมมุติบัญญัติ มีความจำเป็นเพราะเป็นการสื่อสารระหว่างเรา กับ คนอื่น อ่านให้ดี ๆ นะตรงนี้
ส่วน สภาวะธรรม ที่สื่อสารกับจิตนั้น มีแต่เราเท่านั้นที่รู้ ดังนั้นวิปัสสนาอย่า พยายามถอดออกเพืื่่อสื่อสาร
ให้คนอื่นรู้ แต่จงให้ใจของเรารู้
ระดับการใช้ บัญญัต นั้นบางท่านคิดว่า มีอยู่ แค่ ฌาน 2 เพราะเชื่อว่า คำภาวนา คือ วิตก กับ วิจาร
อันนี้คือความเข้าใจผิด นะจ๊ะ เพราะิวิปัสสนาก็ต้องอาศัย บัญญัติด้วยใจ ด้วยอารมณ์ ก็ยังเป็น คำสมมุติบัญญัติทางใจ ที่เรารู้
แต่ วิตก วิจาร นั้นหมดที่ บัญญัติโลกียะเท่านั้น
ยกตัวอย่าง ผู้เจริญ ฌาน 3 ย่อมเจริญสุข สุขก็คือ บัญญัติ ปรมัตถ์บัญญัติทางจิต
ผู้เจริญ ฌาน 4 ย่อมเจริญสุข เอกัคคตา ๆ ก็คือ บัิญญัติ ปรมัตถ์บัญญัติทางจิต
ผู้เจริญ ปัญจมฌาน ย่อมเจริญ อุเบกขา ๆ ก็คือ บัญญัติ แต่เป็น ปรมัตถ์บัญญัติทางจิต
ผู้เจริญ อากาสานัญจายตะูธาตุ ก็เจริญ ธาตุอัน อนันต์ หาที่สุดมิได้ เป็นอารมณ์ ก็เป็น บัญญัติอีก แต่เป็นปรมัตถ์ บัญญัติ
ดังนั้น ผู้ที่กล่าว วิตก วิจาร ดับ นั้นเป็น บัญญัตโลก ดับ ยังมี ปรมัตถ์บัญญัติด้วยใจอยู่ นะจ๊ะ
ถ้าจะกล่าวว่า บัญญัติดับทั้งหมด ต้องเป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ เท่านั้นที่ดับหมดจริง
จะเข้าใจหรือป่าวนี่ ทำความเข้าใจหน่อย เพราะเห็นถามเรื่อง บัญญัติโดยตรง
เจริญธรรม