ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ในมนุษยโลกและเทวโลก ภูมิไหนจะมีพระอริยบุคคลมากกว่ากัน  (อ่าน 3936 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28453
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ในมนุษยโลกและเทวโลก ภูมิไหนจะมีพระอริยบุคคลมากกว่ากัน


     ในเทวภูมิมีพระอริยบุคคลมากกว่ามนุษยภูมิ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อแสดงธรรมแต่ละครั้งมีเทวดาฟังธรรมและบรรลุเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเทวดาที่ฟังธรรมแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบันและพระสกทาคามี มีเป็นจำนวนมาก

     ส่วนที่บรรลุเป็นพระอนาคามีบุคคล เมื่อหมดอายุขัยจากเทวดาแล้วก็จะไปบังเกิดในพรหมภูมิ ส่วนที่บรรลุเป็นพระอรหันต์เมื่อหมดอายุขัยแล้วก็ปรินิพพานไม่มีการเกิดอีก

    การที่พระอริยบุคคลในมนุษยโลกมีน้อยกว่าในเทวโลก เพราะบุคคลที่นับถือพระพุทธศาสนาในมนุษยโลกนี้ มีความสนใจในการปฏิบัติวิปัสสนาน้อย และยิ่งในปัจจุบันมนุษยโลกเข้าสู่กลียุค คือ

     มีสัปบุรุษ (คนดี)อยู่เพียง ๑ใน ๔ ส่วน นอกนั้นเป็นอสัปบุรุษ (คนพาล) ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี ไม่สนใจเรื่องปริยัติและปฏิบัติ จึงขาดความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา ไม่อาจนำตนให้พ้นจากปุถุชนไปสู่อริยบุคคลได้
     ฉะนั้น การจะเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคล ต้องมีคุณธรรม ๗ ประการ คือ

๑. ต้องเป็นติเหตุกบุคคล(อ่านว่า ติ-เห-ตุ-กะ-บุค-คล) คือ บุคคลที่เกิดมาประกอบด้วยเหตุ ๓ คือ
- อโลภะ
- อโทสะ
- อโมหะ
อันเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมด้วยปัญญา


๒. เคยสร้างปัญญาบารมีในการเจริญวิปัสสนามาแต่ชาติก่อน

๓. ขวนขวายในการเจริญวิปัสสนาในปัจจุบันชาติ

๔. วิธีการเจริญวิปัสสนาถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้

๕. สถานที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติ

๖. ไม่มีความกังวลใดๆ ในปลิโพธิ ๑๐ ประการ คือ
- กังวลเรื่องที่อยู่
- กังวลเรื่องตระกูล
- กังวลเรื่องลาภสักการะ
- กังวลเรื่องหมู่คณะ
- กังวลเรื่องนวกรรม(งานก่อสร้าง)
- กังวลเรื่องการเดินทาง
- กังวลเรื่องญาติ
- กังวลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ
- กังวลเรื่องการเล่าเรียน
- กังวลเรื่องการแสดงอิทธิฤทธิ์


๗. มีเวลาในการปฏิบัติอันสมควร
 

ที่มา  บทเรียนชุดที่ ๖.๒ เรื่อง ภพภูมิ ๓๑
หนังสืออ้างอิง
๑. ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
๒. ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑ ; ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมมัตถสังคหฎีกา ; พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
http://www.abhidhamonline.org/

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

nongmai-new

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 73
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านเรื่องนี้แล้ว เหมือนจะยืนยันว่า เทวดานั้นบรรลุธรรม เป็นพระอริยะบุคคลมากมายจริง ๆ ว่าแต่ เทวดา ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ นั้นจำเป็นต้องบวชด้วยหรือไม่ครับ หรือเป็นบรรพชิต โดยธรรมชาติ

  ผมเองเคยคิดเหมือนกันว่า เมื่อเทวดาบรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วในเทวโลก ต้องกราบทูลขออุปสมบถกับพระพุทธเจ้าหรือไม่ หรือบรรลุแล้วจะทำอย่างไร นิพพานอย่างไร มีพระสูตรกล่าวเรื่องเทวดา บรรลุธรรมในเทวโลก
ต้องปฏิบัติอย่างไร ( อาจจะมองว่าถามไปทำไมไม่ได้เป็นเทวดากันจะรู้ไปทำไม ) ขอให้เป็น ธรรมสากัจฉา กัน
ดีกว่าครับ เผื่อใครจะมีความรู้หลักฐาน มุมมองตรงนี้ หรือรู้มาเล่าให้ทราบกันไว้ เพื่อพอกพูนศรัทธาในธรรม ให้มั่นคง ยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะครับ

   :25:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28453
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ภาพที่ ๖๓
แล้วเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระพุทธมารดา

   ภายหลังทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์เสร็จสิ้น    จนพวกเดียรถีย์ที่มาท้าแข่งพ่ายแพ้ไปแล้ว  พระ
พุทธเจ้าทรงมีพุทธดำริถึงจารีตธรรมเนียมของบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อนว่า    เมื่อทรงแสดง
ยมกปาฏิหาริย์แล้ว   เสด็จทรงจำพรรษา  ณ  ที่ใด  ก็ทรงทราบได้ด้วยพุทธญาณว่าทรงจำพรรษาที่สวรรค์
ชั้นดาวดึงส์


   ปฐมสมโพธิลำดับการเสด็จจำพรรษาของพระพุทธเจ้าไว้ว่า   ในพรรษาที่  ๗   (นับแต่ตรัสรู้
เป็นต้นมา)  ได้เสด็จจำพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

   ตามนิยายท้องเรื่องทั้งจากปฐมสมโพธิ   และข้อเขียนโดยนักเขียนทางศาสนาพุทธอื่นๆ   ยุค
หลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว  ที่เรียกกันว่า  'อรรถกถา'   กล่าวตรงกันว่า  เหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จจำพรร
ษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์   ก็เพราะทรงต้องการจะแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา  คือ   พระนางสิริมหามายา 
ซึ่งเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว  เสด็จบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต


   พระพุทธเจ้าเสด็จประทับจำพรรษาที่โคนต้นปาริฉัตร   ต้นไม้สวรรค์   มีผู้แปลกันว่า   ได้แก่ 
ต้นทองหลาง  ผิดถูกอย่างไรไม่ทราบ  ภายใต้ต้นไม้สวรรค์นี้มีแท่นแผ่นหิน ปูลาดด้วยผ้ากัมพลสีแดง  เรียก
ว่า  'บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์'

   พระอินทร์จอมเทพได้ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงจำพรรษาที่นี้     ก็ทรงป่าวประ
กาศหมู่เทพยดาในสรวงสวรรค์ให้มาร่วมชุมนุม  เพื่อฟังธรรมพระพุทธเจ้า  ปฐมสมโพธิว่า  เสียงป่าวประ
กาศของพระอินทร์นั้น  ดังปกแผ่ทั่วไปในสกลเทพยธานีทั้งหมื่นโยชน์  เทพเจ้าทั้งปวงได้สดับก็บังเกิดโสม
นัสพิศวง  ต่างองค์ร้องเรียกซึ่งกันและกันต่อๆ  กันไปจนตลอดถึงหมื่นจักรวาล


   แม้พระนางสิริมหามายาพุทธมารดา  ซึ่งทรงอยู่ในเพศเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิตก็ได้เสด็จ
มาฟังธรรมพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดาตลอดพรรษา   พุทธมารดาได้
สดับแล้วทรงบรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด    ส่วนเทพนอกนั้นอีกจำนวนมาก    ได้บรรลุมรรคผลตามสมควร
อุปนิสัยแห่งตน


ที่มา  http://www.84000.org/tipitaka/picture/f63.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28453
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านเรื่องนี้แล้ว เหมือนจะยืนยันว่า เทวดานั้นบรรลุธรรม เป็นพระอริยะบุคคลมากมายจริง ๆ ว่าแต่ เทวดา ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ นั้นจำเป็นต้องบวชด้วยหรือไม่ครับ หรือเป็นบรรพชิต โดยธรรมชาติ

  ผมเองเคยคิดเหมือนกันว่า เมื่อเทวดาบรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วในเทวโลก ต้องกราบทูลขออุปสมบถกับพระพุทธเจ้าหรือไม่ หรือบรรลุแล้วจะทำอย่างไร นิพพานอย่างไร มีพระสูตรกล่าวเรื่องเทวดา บรรลุธรรมในเทวโลก
ต้องปฏิบัติอย่างไร ( อาจจะมองว่าถามไปทำไมไม่ได้เป็นเทวดากันจะรู้ไปทำไม ) ขอให้เป็น ธรรมสากัจฉา กัน
ดีกว่าครับ เผื่อใครจะมีความรู้หลักฐาน มุมมองตรงนี้ หรือรู้มาเล่าให้ทราบกันไว้ เพื่อพอกพูนศรัทธาในธรรม ให้มั่นคง ยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะครับ

   :25:

เทวดา ที่บรรลุอรหัตผลแล้ว กายทิพย์จะเปลี่ยนเป็นสีแก้วใสระยิบระยับ จะมีวิมานอยู่ถัดจากพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ไม่สูญสลายหายไปไหนหรอกครับ

ลองเปรียบเทียบกับขันธ์ ๕ ของมนุษย์นะครับ ถ้าคิดว่าพระอรหันต์ตายแล้วขาดสูญ พอตายปั๊บ! จิตกายทิพย์ก็สูญหายไปเลย หมายความว่าพระอรหันต์จะมีกายทิพย์ไม่ได้ งั้น! เทวดาพรหมที่ไม่มีกายหยาบ พอบรรลุพระนิพพานแล้ว ก็จะไม่มีใครได้ชมโฉมของพระอรหันต์เลยครับ เพราะสูญไปเลยนี่ใช่ไหมครับ

ไม่มีอะไรที่จะทำให้จิตสูญไปได้หรอก เพราะจิตนั้นหลุดพ้นไปแล้ว

พระสารีบุตร:-ท่านยมกได้ยินว่าท่านกล่าวคำอันลากว่าพระอรหันต์ตายแล้วขาดสูญ หรือ? (http://board.palungjit.com/f4/พระสารีบุตร-ท่านยมกได้ยินว่าท่านกล่าวคำ อันลากว่าพระอรหันต์ตายแล้วขาดสูญหรือ-236671.html)

ที่มา  http://board.palungjit.com/archive/t-236679.html


การบรรลุพระอรหัตของเทวดา [อรรถกถาเตวิชชวัจฉสูตรที่ ๑]

     พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 445

              บทว่า     นตฺถิ  โข  วจฺฉ    ดูก่อนวัจฉะ    ไม่มีเลย     คือ        ผู้ยังไม่ละ

    คิหิสังโยชน์  ชื่อว่าจะทำที่สุดทุกข์ย่อมไม่มี.แม้บุคคลเหล่าใดดำรงเพศคฤหัสถ์

    คือ       สันตติมหาอำมาตย์    อุคคเสนะ    เศรษฐีบุตร   วีตโสกธารกะ   ก็บรรลุ

    พระอรหัตได้.      แม้บุคคลเหล่านั้น    ก็ยังความใคร่ในสังขารทั้งปวงให้แห้งไป

    ด้วยมรรคแล้วบรรลุได้.      แต่เมื่อบรรลุแล้วก็ไม่ตั้งอยู่ด้วยเพศนั้น.    ชื่อว่าเพศ

    คฤหัสถ์นี้เลว  ไม่สามารถทรงคุณอันสูงสุดไว้ได้.  เพราะฉะนั้น    ผู้ตั้งอยู่ในเพศ

    คฤหัสถ์นั้นบรรลุพระอรหัตแล้วย่อมบวช  หรือปรินิพพานในวันนั้นเอง


    แต่ภุมมเทวดายังดำรงอยู่ได้.      เพราะเหตุไร.  เพราะมีโอกาสที่จะแฝงตัวอยู่ได้.

            ในกามภพที่เหลือ พระอริยบุคคล ๓       จำพวกมีพระโสดาบันเป็นต้น ยัง

    ดำรงอยู่ได้ในมนุษยโลก. ในกามาวจรเทวโลก  พระโสดาบันและพระสกทาคามี

    ยังดำรงอยู่ได้.  แต่พระอนาคามีและพระขีณาสพจะดำรงอยู่ในกามาวจรเทวโลก

    นี้ไม่ได้. เพราะเหตุไร.   เพราะที่นั้นมิใช่เป็นที่อยู่ของชนผู้ละอายแล้ว.     และที่

    นั้นมิใช่เป็นที่ปกปิดที่สมควรแก่ วิเวกของพระขีณาสพเหล่านั้น.


ที่มา http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=13570


มนุษย์เวลาบรรลุอรหันต์ ต้องขอบวช ถ้าไม่บวช จะต้องปรินิพพานวันนั้นเลย

เทวดาไม่มีขันธ์อย่างมนุษย์ แต่มีกายทิพย์ เมื่อบรรลุอรหันต์ ไม่จำเป็นต้องขอบวชครับ


 ;) :s_good: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 08, 2011, 12:44:04 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ