สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 03, 2015, 08:07:20 pm



หัวข้อ: ตาที่สาม ตาบอดก็บรรลุธรรมได้
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 03, 2015, 08:07:20 pm
 
(http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/12/02/kb7ckkgbe8jjak5bdddci.jpg)

ตาที่สาม ตาบอดก็บรรลุธรรมได้
วิปัสสนาบนหน้าข่าว พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

ในวาระดิถีกำลังจะขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๙ ในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนข้างหน้า ตามไทม์ไลน์สิ่งสมมุติ ที่มนุษย์กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมา ขอโอกาสน้อมนำข้อธรรมที่ท่านอาจารย์พุทธทาส เปรียบให้เป็นดั่งเพชรเม็ดงามในพระไตรปิฏก “อตัมมยตา” ซึ่งท่านเคยให้อุปมาอุปไมย ไว้ว่า .... คือสภาวะที่ กูไม่เอากับมึงอีกแล้วโว้ย นั่นเอง

พระอาจารย์และสหายธรรมทุกท่านผู้ติดตามอ่านคอลัมน์วันพระในคมชัดลึก เห็นด้วยกับผมไหมครับ ว่าทุกวันนี้จิตคนเราหยาบช้ามากขึ้นเป็นทวี ถึงขนาดฆ่ากันตาย ยิงกราด ก่อการร้ายข้ามชาติ พรากผลาญชีวิตคนบริสุทธิ์ ได้ลงคอทั้งๆที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป สมาชิกขบวนการก่อการร้ายบางสำนัก ก็ตู่แอบอ้างเอาพระเจ้า หรือพระศาสดาในลัทธิตน ศาสนาของตน หน้าตาเฉย ...ไม่มีศาสดาหรือพระเจ้าองค์ใดในจักรวาลหรอกครับ ที่สนับสนุนการฆ่าแกง เพื่อเอาชีวิตต่อกัน ไม่ว่าชีวิตนั้นจะเป็นสัตว์หรือเป็นคนก็ตาม

 :25: :25: :25: :25:

อย่างไรก็ตาม โลกจะว้าวุ่นเพียงใด คนจะโหดร้าย เห็นแก่ตัวกันแค่ไหน ต่างก็ล้วนเป็นเหตุปัจจัยภายนอก (External factors) ทั้งสิ้น ทุกข์ใจไปก็ไลฟ์บอย เพราะล้วนแต่เป็นสิ่งเหนือการควบคุมของเราทั้งเพ หันกลับมาหาด้านในของตัวเรา ตามเสียงก้องของบทสวดพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งเช้า-เย็น เถิด ... ที่ว่า

สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา

ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์

หากเรามีความยึดถือมั่น ในขันธ์ ๕ (รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) เมื่อใด ทุกข์ก็จะเกิดขึ้นเมื่อนั้น ในเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสชี้ทางไว้เช่นนั้น เราก็พึงสังวร ละการเพ่ง (focus) ไปด้านนอก (โลก อารมณ์ภายนอก หรือคนอื่น) แล้วย้อนกลับสู่การสร้างความสงบด้านใน เพื่อพิจารณาจิตกันดีกว่าหรือไม่?

 st12 st12 st12 st12

เรื่องแบบนี้ อยู่ที่วาสนาบารมี ของใครของมันนะครับ ใครเห็นถูก เห็นชอบ มีสัมมาทิฐิไว ก็ได้เปรียบ ส่วนใครที่ยังคงประมาทอยู่ ก็ต้องสุดแล้วแต่เวรกรรม ของอย่างนี้ไม่รู้จะวัดกันที่ตรงไหน ว่าใครจะได้เปรียบเสียเปรียบในการปฏิบัติธรรม มันพูดยากจริงๆครับ ผมขออนุญาตเล่าสู่กันฟังเรื่องหนึ่ง

ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปสนทนาธรรมที่วัดพระราม ๙ ตามวาระพิเศษ และคณะที่เข้าฟัง เป็นคณะที่น่าสนใจมากๆ คือเป็นผู้พิการทางสายตา หลายคนในกลุ่นนั้น ตาบอดสนิทมาตั้งแต่กำเนิดเลยทีเดียว! ผมตั้งใจเตรียมหัวข้อบรรยายเป็นกรณีพิเศษ ยิงตรงประเด็นเดียวเลยครับ ... คือเรื่อง “ตาที่สาม” (ตาบอดก็บรรลุธรรมได้) เพื่อหวังจะยืนยันและให้กำลังใจผู้สนใจธรรมที่ตาบอดทุกท่าน ที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ก็คือตอนเริ่มบรรยาย ผมถามทั้งกลุ่มว่า ...

ใครคิดว่าคนตาบอดก็สามารถบรรลุธรรมได้ ให้ยกมือขึ้น?

ปรากฏว่าทั้งคณะทั้งคนตาบอดและไม่บอด (มีเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลคนตาบอดเข้าร่วมด้วย) ยกมือกันเป็นเอกฉันท์ ๑๐๐% เลย โดยเฉพาะผู้ชายที่ตาบอดสนิทคนหนึ่ง ยกมือตรงแหน่ว แทบจะทันทีที่ผมถามจบ!

 st11 st11 st11 st11 st11

อดคิดไม่ได้ว่าผมเคยถามคำถามลักษณะนี้กับคนปกติ สายตาดี (เชื่อไหมว่า ทุกท่านที่มีสายตาปกติ สามารถบรรลุธรรมได้) แต่พวกเขา ไม่เคยยกมือขึ้นโดยพร้อมเพรียงแบบนั้นเลย หรือคนตาบอดจะมองเห็นสัจธรรม (ด้วยตาใน) มากกว่า คือ กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย ตาบอดก็ไม่เอา ตาดีก็ไม่เอา ในขณะที่คนตาดี ส่วนใหญ่ ยังมีท่าทีลังเลอยู่ แบบว่า ... ตาบอด ยังไงก็ไม่เอา แต่ตาดี น่ะ… เอา !??
           
ไอ้ตัวกิเลสที่คิดแต่จะเอา หรือบางทีก็จะเลือกเอาแต่เรื่องถูกใจสบายใจ (ร่ำรวยเงินทองยศศักดิ์) และเลือกไม่เอา สิ่งที่ไม่ถูกใจไม่สบายใจ (ความจน ความซวย โรคร้ายรุมเร้า) ไอ้ความรู้สึก เดี๋ยวจะเอา เดี๋ยวจะไม่เอา นี่แหละครับ เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง ให้จิตเราไม่อาจหลุดพ้นจากวังวนแห่งความทุกข์ ไปได้เสียที

ให้แน่จริง มันต้องไม่เอาอะไรสักอย่าง ...

รวย ก็ไม่เอา -จนก็ไม่เอา, สวยก็ไม่เอา-ขี้เหร่ ก็ไม่เอา, สุขก็ไม่เอา – ทุกข์ ก็ไม่เอา, แข็งแรงก็ไม่เอา – โรคภัยไข้เจ็บ-ก็ไม่เอา, สังสารวัฏ ก็ไม่เอา-นิพพาน ก็ไม่เอา ฯลฯ อยู่อย่างไม่เอาอะไรสักอย่าง (คือมีได้ แต่ปราศจากการหมายมั่นว่าเป็น ตัวตน ของตน) อะไรผ่านเข้ามาทาง ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ก็ได้แต่ สักว่าๆ ผ่านไปที กระทบอายตนะตามหน้าที่ของมัน หาได้กระเทือนไม่ (กระทบ-แต่ไม่กระเทือน หรือหวั่นไหว) เราก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไป เพราะธรรมะคือหน้าที่ เพราะการทำงานคือการปฏิบัติธรรม แต่จิตลึกๆแล้ว ไม่ปรารถนาจะเอาอะไรสักอย่าง

ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

หากมีสิ่งยั่วยุกิเลส สิ่งเร้า หลงเข้ามาทดสอบจิตใจ ก็จะถูกปล่อยผ่าน เพิกเฉยไป เพราะภายในมันเห็นแจ้งชัดในไตรลักษณ์แล้ว จนสามารถสบถได้ทุกคราว่า …

             กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย!
             กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย!
             กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย! (มาทางไหน ไปทางนั้นเลย)           
             เมื่อไร้ปรารถนาใดๆ ในดวงจิต
             เหลือชีวิต เพียงสืบต่อ โดยหน้าที่
             เหตุ-ปัจจัย ใดในโลก อันมากมี
             ไม่อาจที่ จะปรุงแต่ง จิตเราได้
             รวยหรือจน แม้ลาภผล จะไปมา
             หาใช่ว่า กระเพื่อมจิต ให้หวั่นไหว
             มะเร็งร้าย จะโรคา พยาธิใด
             สักแต่ว่า เป็นไป ใช่จะเอา
             เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ตามกระแส
             จะเกิดแก่ เจ็บหรือตาย ก็ไม่เขลา
             เพราะจิตเข้า ถึงความ ที่ไม่เอา
             จึงเลิกเขลา เลิกโศกเศร้า ทุกข์ดับพลันฯ
             เมื่อไม่เอา กับมึง อีกแล้วโว้ย
             เลิกโอดโอย เลิกตีโพย เลิกหุนหัน
             จึงสงบ เกิดปัญญา ว่างโดยพลัน
             ภาวะนั้น คือนิพพาน ของทุกคนฯ (อตัมมยตาสภาวะ)

ขอบคุณบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151203/217935.html (http://www.komchadluek.net/detail/20151203/217935.html)


หัวข้อ: Re: ตาที่สาม ตาบอดก็บรรลุธรรมได้
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ ธันวาคม 03, 2015, 10:35:48 pm

    สาธุ สาธุ


หัวข้อ: Re: ตาที่สาม ตาบอดก็บรรลุธรรมได้
เริ่มหัวข้อโดย: nirvanar55 ที่ ธันวาคม 03, 2015, 10:57:45 pm
 st11 st12 st12 like1


หัวข้อ: Re: ตาที่สาม ตาบอดก็บรรลุธรรมได้
เริ่มหัวข้อโดย: modtanoy ที่ ธันวาคม 03, 2015, 10:59:07 pm
 like1 like1 like1

 :25: :25: :25:

 เข้าใจง่าย กว่า นั่งกรรมฐาน อีก
  st12


หัวข้อ: Re: ตาที่สาม ตาบอดก็บรรลุธรรมได้
เริ่มหัวข้อโดย: kindman ที่ ธันวาคม 04, 2015, 09:52:00 am
ก็ดีนะ อตัมยตา  ไม่เอากะมึงแล้ว

   >:(