การฝึกสมาธินั้น หวังผล ที่ อุปจาระสมาธิ ก็คือ สุขสมาธิ เป็นเบื้องต้น
แต่เมื่อจิตเข้าอยู่ในความสุข แล้ว จิตจะละเอียดและสงบลงรวมเป็น อุเบกขา
ส่วนใหญ่ผู้ฝึกก็จะต้องผ่านไปตามลำดับขั้นตอนของจิตอยู่แล้ว
ดังนั้นผลของสมาธิ คือ การละนิวรณ์ เมื่อจิตปราศจากนิวรณ์แบบพุทธ เพราะฝึกกรรมฐานพุทธ จึงไม่ต้อง
กลัวว่าจะไปติดสุข ถ้าติดสุขจริงของกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแล้ว พระองค์จะไม่สอนไว้ดังนั้นพวกที่
ฝึกมาไม่ได้ส่วนมากก็จะพูดอย่างนี้ 100% ที่พบนั่งกรรมฐานหลับทั้งนั้น เจริญสติไม่ได้จริง เพราะถ้าเจริญ
สติได้จริง สติก็จะพัฒนาให้เป็นสมาธิด้วยองค์วิปัสสนาเช่นเดียวกัน
ที่นี้การเจริญวิปัสสนา ก็ต้องเข้าใจ วิปัสสนูกิเลส ด้วย
ทั้งหมดก็ควรจะต้องเรียนกรรมฐาน และฝึกไปตามลำดับของจิต
สมาธิ ถ้าไม่มีความสำคัญจะไม่มีชื่อในอริยมรรค ในคุณธรรมอริยมรรค ที่ฝึกได้ยากที่สุดก็คือ สมาธิ
ปัญญา ที่คนเข้าใจกันทุกวันนี้ ยังไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะเข้าใจอริยสัจจะ 4 เรียนท่อง
จำได้ หมายรู้ แต่ก็ยังไม่เรียกว่าปัญญา เป็นเพียงแต่พัฒนาทิฏฐิ ให้เข้าทางมรรคเท่านั้น ปัญญาแท้พ้นจาก
ขอบเขตสังขาร ( การปรุงแต่ง ) ต้องเป็น ญาณทัศนะ คือ เห็นตามความเป็นจริงด้วยใจ ธรรมะ นั้นต้องใช้
ใจเรียน ต้องใช้ใจเข้าไปสัมผัส ถ้าปัญญานั้นยังเป็นสังขารอยู่ ก็ยังอยู่ในกรอบของปฏิจจสมุบบาทฝ่ายอวิชชา
ในอริยะมรรคทั้ง 8 นั้นในปัจจุบันพุทธศาสนิกชนขาด ข้อที่ 8 ส่วน อริยมรรค 7 ข้อมีอยู่แล้ว
ดังนั้นพอท่านทั้งหลายพัฒนาสมาธิ ได้จึงบรรลุธรรม ตรวจสอบได้ที่สังโยชน์ 10 ประการ
สำหรับพระฝ่าย วิปัสสก อาศัยเวทนา คือ ทุกข์ เป็นองค์ วิปัสสนา
สำหรับพระฝ่าย อภิญญา อาศัยเวทนา คือ สุข และ อทุกขมสุข เป็นองค์ วิปัสสนา
ทั้งหมดก็คือ เวทนากำหนดได้ มีสติรู้ชัด ตามความเป็นจริง ก็เรียกว่า ปฏิบัติในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เจริญธรรมไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน
Aeva Debug: 0.0005 seconds.