ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำรากรรมฐานแก้กรรมรักษาโรค ตำราเก่าแก่ของไทย สมเด็จพระสังฆราชสุกได้มาจากนิมิต  (อ่าน 2382 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28496
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

เผยตำรากรรมฐานแก้กรรมรักษาโรค ตำราเก่าแก่ของไทย ที่สมเด็จพระสังฆราชสุกได้มาจากนิมิต #หายป่วยด้วยอำนาจสมาธิ ใช้จิตรักษากาย.!!

ฝึกกรรมฐานรักษาอาการป่วยตนเองด้วยเดินนวหรคุณ

นวหรคุณ ในการแก้รักษาโรคนั้น มีปรากฏข้อความในหนังสือ ของ หลวงพ่อพระครูสิทธิสังวร(พระอ.วีระ) เรื่อง กรรมฐานแก้กรรม รักษาโรค คือการฝึกเดินธาตุภายในค่ะ มีการสับธาตุด้วย จะเห็นได้ว่า การสัมปยุตจิต ลงศูนย์นาภี นั้นมีความสำคัญมาก เพราะประชุมรักษาธาตุ แก้ธาตุกำเริบได้

ผู้ฝึกในห้องพระพุทธคุณ ก็สามารถฝึกได้ ถ้าพลังจิตเพียงพอแล้ว มีความชำนาญในการฝึก อนุโลม ปฏิโลม ก็สามารถ รวมธาตุ ที่นาภีได้เช่นกัน

ส่วนนี้เราๆ ชาวบ้านควรเรียนรู้ไว้เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเอง ส่วนท่านที่มีความสนใจ สามารถศึกษาเพิ่มได้ทั้งจากหนังสือและที่วัดราชสิทธาราม

@@@@@@

เมือต้องการใช้กรรมฐานแก้อาพาธ ต่าง ๆ นั้น พึงจดจำ ฐานทั้ง ๙ ไว้ให้ขึ้นใจ เพราะเป็นที่ตั้งในการเดินจิตต่าง ๆ พระนวหรคุณที่ตั้ง มี ๙ ที่
    ๑. อัชชดากาษเบื้องต่ำ(สะดือ)
    ๒. บนนาภี นิ้วหนึ่ง
    ๓. ห้องหทัยวัตถุ
    ๔. ห้องสุดคอกลวง
    ๕. โคตรภูท้ายทอย
    ๖. อัชชดากาษเบื้องบน(กระหม่อม)
    ๗. ทิพยสูญหว่างคิ้ว
    ๘. มหาสูญหว่างจักษุ
    ๙. จุลสูญน้อยปลายนาสิก

 

ส่วนนี้เป็นที่ตั้งและ อานุภาพ ของฐานที่ใช้ ซึ่งควรจดจำไว้
    ที่ ๑. เป็นที่ระงับเวทนาทั้งปวงแล
    ที่ ๒. เป็นที่เกิดแห่งบาปธรรมทั้งปวง ตั้งที่ ๒ ที่ ๓ เกิดกำลังนัก อันห้องพระพุทธคุณนั้น คือระหว่างที่ ๓ มาถึงที่ ๒ นั้นเป็นชุมนุมธาตุ
    ที่ ๓. เป็นที่ปฏิสนธิ กุศล และ อกุศลสัมปยุตธาตุ
    ที่ ๔. เป็นที่หลับ ที่ขาดรส ที่ภังคะ ที่นิโรธสัจ ร่วมกัน
    ที่ ๕. เป็นที่ซ่อนเวทนาทั้งปวง ทั้งขาดบาปธรรม เมื่อจะอาสันนกรรม ดับพิษงู ฝีทั้งปวง
    ที่ ๖. เป็นที่อดใจ เป็นขันติ ความอดทน โสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม
    ที่ ๗. เป็นที่ประหารแห่งโทษทั้งปวง เป็นตบะเดชะด้วย
    ที่ ๘. เป็นที่เกิดปัญญาเห็นโทษ
    ที่ ๙. เป็นที่นำแห่งความยินดีทั้งปวง และนำปฏิสนธิแห่งสัตว์

 
@@@@@@

พระอาจารย์สุกพระองค์ท่าน ทรงออกจากสมาธิแล้ว ทรงทบทวนการตัดขันธ์ทบทวนโพชฌงค์ ๗ ทบทวนวิชาสยบทุกข์เวทนา เป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทุกวันในพรรษานี้ พระองค์ท่านก็สามารถตัดทุกขเวทนาได้ และชำนาญใน พระคัมภีร์โพชฌงค์ ๗ อีกด้วย

คืนต่อมาในพรรษานั้น พระอริยเถราจารย์ องค์ที่สอนพระอาจารย์สุก เรื่องการตัดขันธ์ อันประกอบด้วยโพชฌงค์ ๗ ประการ ได้มาบอกท่านในสมาธิอีกว่า ข้าฯจะ สอนวิชาโพชฌงค์ ๗ เป็นวิชา "โลกุดร สยบมาร"

ท่านกล่าวอีกว่า มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร เทวปุตมาร และมัจจุมาร ท่านบอกนอกจากจะสยบมารทั้งห้าแล้ว ยังใช้รักษาโรคกาย โรคจิต ให้แก่ตัวเอง และผู้อื่นได้อีกด้วย

@@@@@@

ต่อมาท่านจึงบอกวิธีทำ ฌานโลกุดรสยบมาร(โพชฌงค์) ดังนี้
    ๑. ท่านให้ตั้งสติสัมโพชฌงค์ ที่กลางสะดือ องค์ธรรมนาภี จุดชุมนุมธาตุ
    ๒. ให้ตั้งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ที่จุดเหนือสะดือ หนึ่งนิ้ว จุดธาตุดิน
    ๓. ตั้งวิริยสัมโพชฌงค์ ที่จุดหทัย จุดองค์ธรรม พระพุทโธ
    ๔. ตั้งปีติสัมโพชฌงค์ ที่จุดคอกลวง องค์ธรรม ของพระปีติ
    ๕. ตั้งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่โคตรภูมิท้ายทอย องค์ธรรมนิโรธ ธาตุลม
    ๖. ตั้งสมาธิสัมโพชฌงค์ ที่กลางกระหม่อม องค์ธรรมของพระพุทธเจ้า
    ๗. ตั้งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ที่หว่างคิ้ว องค์ธรรมของพระสังฆราชา
    เมื่อจิตมีกำลังปราณีตดีแล้ว ตรงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ให้เปลี่ยนคำภาวนาเป็น "โลกุตตะรัง ฌานัง" อันเป็นไปเพื่อจิตหลุดพ้น


    ในกาลต่อมาพระอาจารย์สุก พระองค์ท่านก็ทรงนำวิชาโลกุดร สยบมาร มาสั่งสอนศิษย์ มากมายในกรุงรัตนโกสินทร์ มีชื่อเสียงโด่งดังมากมายหลายองค์

@@@@@@

ประโยชน์ของวิชาโลกุดรสยบมาร
    ๑. แผ่ให้ผู้ที่ลำบาก
    ๒. แผ่บารมีให้มาร
    ๓. ทำจิตให้หลุดพ้น
    ๔. บูชาคุณครูบาอาจารย์
    ๕. เมตตา
    ๖. ปราบมาร
    ๗. มีความเพียร
    ๘. ปราบคนทุศีล
    ๙. รักษาโรคกาย โรคจิต ตนเองและผู้อื่น



อ้างอิงข้อมูลจาก : คุณปณิตา ถนอมวงษ์
ที่มา ตำรากรรมฐานวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ)
เรียบเรียงโดย กิตติ จิตรพรหม
http://www.tnews.co.th/contents/405988
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 25, 2018, 08:16:19 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ