- สภาพความเสื่อมไปแห่งกัมมัฏฐานนั้น จิตคุณจะฟุ้งซ่านมากขึ้น มีความปรุงแต่งมากขึ้น เกิดความพอใจยินดี(โสมนัส) และ ความไม่พอใจยินดี(โทมนัส) มากขึ้น เข้าสมาธิยาก้พราะไม่มีจิตนิ่งจดจ่อพอที่จะควรแก่งาน ความสงบ อบอุ่น ผ่องใส ปิติอิ่มเอมแห่งจิตจะหายไป ด้วยเหตุข้างต้นจิตคุณจะยังรั้งอยู่แค่ขนิกสมาธิ คือ สมาธิทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถจะหยั่งเข้าสู่ อารมณ์สมถะ ได้
- ถ้าหากไม่อยากให้เสื่อมคงต้องปาดคอตายเสียกระมังครับ แบบพระเถระท่านนี้
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=15&A=3885&Z=3951 แต่ผมไม่แนะนำนะครับ เพราะหากทำไปอย่างเราๆก็คงตายเปล่าแถมบาปอีกต่างหากไม่ได้ทดแทนคุณบุพการีด้วย ตายเพราะตัณหาแค่นั้นกระมังสำหรับเราๆ- ผมขอถามอย่างหนึ่งนะครับ ผิวคุณเวลามีขี้ไคลหลุดออกมา คุณคิดอะไรไหมครับ ทุกข์ใจไหมครับ หรือ เกิดความเสียดายไหมครับ ทั้งๆที่ขี้ไคลนั้นคือหนังกำพร้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในร่างกาย คุณไม่คิดเสียดายหรือทุกข์ใจอะไรใช่ไหมครับ ที่คุณไม่คิดเสียดายนั่นก็เพราะว่าคุณรู้ว่ามันเป็นหนังกำพร้าที่เสื่อมโทรม มันก็หลุดไป มันก็สร้างหนังใหม่ขึ้นมาใช่ไหมครับ ดังนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป วนเวียนอยู่อย่างนี้สืบไปใช่ไหมครับ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาเราจะล่วงพ้นสิ่งนี้ไปไม่ได้ เราทั้งหลายต้องมีความพรัดพรากจากของรักของจำเริญใจทั้งหลายเป็นที่สุด แล้วนับปะสาอะไรกับสิ่งที่มองไม่เห็นใช่ไหมครับ
- ทีนี้มาดูว่าคุณกัมมัฏฐานเพื่อสิ่งใดครับ
1. เพื่ออยากมีปิติ ฌาณ ญาณ อภิญญา
2. เพื่อรู้จักตัวทุกข์ เพื่อรู้เหตุแห่งทุกข์ เพื่อทำให้ทุกข์เบาบางลง จนถึงที่สุดแห่งทองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
หากคุณปฏิบัติตามข้อที่ 1 ผมคงไม่สามารถช่วยคุณได้ เพราะพุทธเจ้าของผมไม่เคยสอนให้ปฏิบัติเพื่อเจตนาเช่นนี้
หากคุณปฏิบัติตามข้อที่ 2 ก็ให้ละความติดข้องใจจากการกล่าวใดๆนั้นทิ้งเสีย เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ใดๆแก่คุณ รังแต่จะทำให้เกิดทุกข์ ทีนี้คุณเข้าใจความทุกข์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ไหมครับ ว่าเพราะคุณได้ยินมีคนทักมาเช่นนั้นแล้วเกิดความติดข้องใจส่งต่อไปเกิดเป็นเวทนาเสพย์ความไม่ใคร่พอใจยินดี เกิดหวั่นกลัวเพราะมันเป็นสิ่งที่คุณไม่ต้องการอยากจะผลักให้ไกลตน แล้วเกิดทุกข์ใช่ไหมครับ ดังนั้นดับที่เหตุของทุกข์นั้นคือความติดข้องใจเสพย์ความไม่พอใจยินดี โดยเข้าใจในสัจธรรมที่ว่า เรานั้นมีความพรัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นที่ธรรมดา ไม่ได้ตามปารถนาใคร่ได้ไปทุกย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างมันเสื่อมคลายเป็นธรรมดา แล้วเลิกเอาจิตไปติดข้องใจในความรู้สึกและความจำได้จำไว้จากสิ่งที่ได้ยินนั้น คุณจะเกิดเข้าสู่อุเบกขาจิต หากยังมีความขัดข้องฝืนใจอยู่ให้พึงระลึกรู้ว่าขณะนั้นความไม่พอใจยินดีคุณยังมีมากอยู่จึงเกิดเป็น โทสะมูลจิต ให้พิจารณาเช่นๆเป็นเบื้องต้นจนกว่าจะเข้าสู่อุเบกขาจิตได้ วิธ๊คืนการหันหน้าเข้าตรงๆแล้วดับที่เหตุ ไม่ใช่การย้ายจิตไปติดที่ลมหายใจหรือไปสนใจสิ่งอื่นแทน หากดับทุกข์จากความไม่พอใจยินดี(โทมนัส)ในครั้งนี้ได้ สภาพจิตคุณก็จะแกร่งขึ้น จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน มันเป็นทุกข์ มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าติดข้องใจใดๆ เพราะติดข้องใจไปก็เป็นทุกข์ แล้วอุเบกขาจิตจะเกิดกับคุณบ่อยขึ้นด้วยกุศลจิต และ สมาธิคุณก็จะควรแก่การทำงานมากขึ้นเรียกว่า สัมมาสมาธิ
- ดังนั้นคุณควรกัมมัฏฐานต่อไปโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใดๆ ไม่เอาสิ่งใดมาตั้งเป็นอารมณ์แล้วปรุงแต่งสมมติจนเสพย์ความรู้สึกใน โสมนัส และ โทมนัส ให้ปารถนาเพียงให้เห็นทางพ้นทุกข์เป็นพอไม่ต้องสนใจสิ่งใดๆ
- คุณลองทบทวนตรึกตรองในสิ่งที่ผมบอกคุณดูแล้วกันครับว่ามันมีค่าสำหรับคุณไหมในตอนนี้ หากมันมีค่าให้คุณรู้ไว้ว่าพระตถาคตสอนผมให้รู้ทางพ้นทุกข์ ไม่ได้สอนให้ติดกับอัตตา อุปาทานในสิ่งใดๆ ธรรมทั้งหลายวิถีทั้งหลายนั้นเป็นของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วแสดงสั่งสอนสืบมาจนถึงที่ผมบอกแก่คุณนี้ แม้คุณได้ฌาณ ได้ญาณ ได้อภิญญาไปก็มีเสื่อมและไม่เห็นทางพ้นทุกข์ใดๆถ้าหากไม่ปฏิบัติเพื่อให้เห็นทางพ้นทุกข์
- พระพุทธเจ้าตรัสบอกทุกคนที่เข้ามาเป็นสาวกแห่งพระพุทธศาสนาว่า
"เธอจงปฏิบัติเพื่อทำให้ถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นที่เทอญ" ไม่เคยสอนว่า เธอจงปฏิบัติเพื่อมีฌาณ-ญาณเทอญ เธอจงปฏิบัติเพื่อมีอภิญญาเทอญ ดังนั้นคุณควรกัมมัฏฐานเพื่อความถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้เถอะครับ อย่าไปติดข้องใจกับสิ่งใดๆที่ไม่เกิดประโยชน์แก่ตนเองและคนอื่นด้วยความเป็นกุศลเลย