ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ในสมัยครั้ง พุทธกาล มีตัวอย่างพระอรหันต์ ทำผิดวินัยมีบ้างหรือไม่ครับ  (อ่าน 6852 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

The-ring

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 116
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ในสมัยครั้ง พุทธกาล มีตัวอย่างพระอรหันต์ ทำผิดวินัยมีบ้างหรือไม่ครับ

คือได้คุยกับเพื่อน ๆ กันแล้วไม่ได้ข้อยุติ เพราะเพื่อนผมได้พูดขึ้นว่า พระอรหันต์ ไม่กระทำอะไรผิดวินัยแน่นอน

แต่ผมแย้งไป ยังไม่มีหลักฐาน อ้างอิง ครับ

  วอนท่านผู้รุ้ ช่วยชี้แนะด้วยครับ

   :s_hi: :c017:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


มหากิริยาจิต

            มหากิริยาจิต เป็นจิตของพระอรหันต์ผู้หมดจดจากกิเลสแล้ว แต่ก็ยังต้องรับรู้อารมณ์ เพราะยังมีชีวิตอยู่ ความเป็นอยู่ของพระอรหันต์ จึงยังมีจิตที่ยังเกี่ยวข้องกับอารมณ์อยู่เสมอ แต่จิตที่เกี่ยวข้อง กับอารมณ์ของ พระอรหันต์นั้น ไม่มีผลเป็นวิบาก นำเกิดในภพใหม่ ชาติใหม่อีกต่อไป จิตประเภทนี้ชื่อว่า มหากิริยาจิต
 
          โดยปกติจิตที่ทำหน้าที่คิด นึก หรือรู้สึก ของปุถุชนและพระเสกขบุคคล จะมีอยู่ ๒ ประเภทคือ อกุศลจิต และกุศลจิต ทั้งอกุศลจิต และกุศลจิต เมื่อเกิดขึ้นเสพอารมณ์ คือทำหน้าที่ชวนะแล้ว จะเป็นเหตุให้เกิดวิบาก (ผล) ขึ้นในอนาคต หากเป็นวิบากของอกุศล ก็จะนำเกิดใน อบายภูมิ ๔ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน หากเป็นวิบากของกุศล ก็จะนำเกิดในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์ เทวดา รูปพรหม หรืออรูปพรหม ตามประเภทของกุศลกรรม
 
          สำหรับพระอรหันต์ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการเสพอารมณ์ หรือชวนะ ของพระอรหันต์ ไม่ใช่จิตที่เป็นอกุศลหรือกุศล แต่เป็นจิต ที่ปราศจากผลแล้ว ชื่อว่า มหากิริยาจิต จิตประเภทนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป โดยปราศจากผลใดๆ ความเป็นอยู่ของพระอรหันต์ ไม่มีจิตที่เป็นกุศล หรืออกุศล มีแต่มหากิริยาจิตที่เป็นไป เพื่อการอนุเคราะห์แก่มนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย หรือเพื่อที่จะเทศนาสั่งสอน สืบทอดพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเป็นเนื้อนาบุญ อันประเสริฐ แก่ผู้ทำบุญกับท่านอีกด้วย

          ภารกิจของพระอรหันต์บางอย่าง ก็ต้องใช้ปัญญา เช่นการแสดงธรรม แต่บางอย่างที่ได้กระทำ จนเกิดความเคยชิน ก็ไม่ต้องใช้ปัญญา เช่น การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย มีการยืน เดิน นั่ง นอน เป็นต้น จิตของพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ใช่ว่าจะรับรู้ แต่เฉพาะนิพพานอารมณ์อย่างเดียว ย่อมรับกามอารมณ์ มหัคคตอารมณ์ และบัญญัติอารมณ์ได้ทั้งสิ้น แต่จิตใจของพระอรหันต์ ที่รับอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น หาได้เป็นไปกับอาสวกิเลสทั้งหลาย ไม่เพราะท่านได้ทำลายอาสวกิเลส ด้วยปัญญาในอรหัตตมรรค โดยสิ้นเชิงแล้ว
 
          สรุปแล้ว สภาวจิตของพระอรหันต์ เป็นจิตที่ดีงาม เช่นเดียวกับ มหากุศลจิต จะต่างกันก็ตรงที่ มหากุศลจิต เกิดขึ้นกับปุถุชน และพระเสกขบุคคล เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็มีวิบากทำให้มีภพใหม่ชาติใหม่ต่อไป
 
          ส่วน มหากิริยาจิต ซึ่งเป็นจิตของพระอรหันต์ เกิดขึ้นกับพระอรหันต์เท่านั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีผล หรือไม่มีวิบาก ที่จะทำให้เกิดภพใหม่ ชาติใหม่ อีกต่อไป


อ้างอิง
บทเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ ชุดที่ ๓ ประเภทของจิต
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
http://www.buddhism-online.org/web/
ขอบคุณภาพจากwww.dhammajak.net



วาสนา อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมมาเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็ว หรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น

       ท่านขยายความว่า วาสนา ที่เป็นกุศล ก็มี เป็นอกุศล ก็มี เป็นอัพยากฤต คือ เป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว ก็มี
       ที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ


       แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้น แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ
        ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบาย กับ
        ส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ
        ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้
        แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้


       จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้ พร้อมทั้งวาสนา;
       ในภาษาไทย คำว่า วาสนา มีความหมายเพี้ยนไป กลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกุศลที่ทำให้ได้รับลาภยศ


อ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2011, 10:42:34 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 

    พระปิลินทวัจฉเถระ
    เอตทัคคะในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดา


    พระปิลินทวัจฉะ เป็นบุตรของพราหมณ์ ตระกูลวัจฉโคตร เดิมชื่อว่า “ปิลินทะ” แต่
    คนทั่วไปมักเรียกว่า “ปิลินทวัจฉะ” ตามชื่อตระกูลของท่านเมื่อเจริญวัยได้รับการศึกษาจบไตร
    เพทตามลัทธินิยม

    เบื่อโลกจึงออกบวช
    ต่อมาเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตการครองเรือน จึงออกบวชเป็นปริพาชกเที่ยวแสวงหา
    สำนักอาจารย์เพื่อศึกษาศิลปวิทยาขั้นสูง ๆ ต่อไป และได้ศึกษาวิชา จูฬคันธาระ ในสำนักของ
    อาจารย์แห่งหนึ่ง จนสำเร็จสามารถแสดงฤทธิ์เหาะได้ และสามารถล่วงรู้ความ รู้สึกนึกคิดจิตใจ


    ของผู้อื่นได้ด้วย ทำให้ชื่อเสียงของท่านร่ำลือระบือปรากฏไปทั่งกรุงสาวัตถีบ้านเกิดของท่าน ลาภ
    สักการะก็เกิดขึ้นมากมาย แต่วิชานี้มีข้อจำกัดว่า ถ้าเข้าไปในเขตแดนที่มีวิชา มหาคันธาระ อยู่
    ด้วย วิชาจูฬคันธาระ นี้ก็จะเสื่อมลงไม่สามารถแสดงฤทธิ์เหาะได้ และไม่สามารถล่วงรู้จิตใจผู้
    อื่นได้

    ปิลินทวัจฉปริพาชก ท่องเที่ยวแสดงฤทธิ์ แสดงความสามารถแก่ประชาชนทั้งหลายไป
    ยังเมืองต่าง ๆ จนมาถึงเมืองราชคฤห์ ชาวเมืองให้ความเคารพยกย่องนับถือเป็นจำนวนมาก และ
    ท่านก็ได้พักอยู่ในเมืองราชคฤห์นั้น


    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทรงประกาศเผยแผ่หลักธรรมคำสอนไปยังคามนิคม
    ต่าง ๆ จนมาถึงเมืองราชคฤห์ จากนั้นวิชาจูฬคันธาระ ของปิลินทวัจฉะก็เสื่อมลง ท่านรู้ได้ทันที
    ว่าในเมืองนี้จะต้องมีวิชามหาคันธาระเกิดขึ้นแล้ว จึงสืบเสาะแสวงหาจนพบพระบรมศาสดา และ
    ทราบว่าพระองค์มีวิชามหาคันธาระ จึงกราบทูลขอศึกษาวิชานี้ พระผู้มีพระภาคก็ทรงยินดีที่จะ

    สอนให้ แต่ว่าผู้เรียนต้องบวชในพระพุทธศาสนาก่อน เพราะวิชานี้จะสอนให้เฉพาะผู้ที่บวชใน
    พระพุทธศาสนาเท่านั้น ท่านจึงกราบทูลขอบวชในวันนั้นเพื่อที่จะเรียนวิชามหาคันธาระตามที่
    ตนต้องการ


    เมื่อปิลินทวัจฉะ บวชแล้ว ได้พยายามศึกษาวิชามหาคันธาระ ตามที่พระบรมศาสดา
    ประทานสอนให้ โดยให้ท่านพิจารณาพระกรรมฐานตามสมควร แก่อัธยาศัย ท่านได้พยายามอยู่
    ไม่นานก็ได้สำเร็จวิชามหาคันธาระ ซึ่งก็นับว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา

    มีปกติเรียกคนอื่นว่า “คนถ่อย”
    พระปิลินทวัจฉะ เป็นผู้มีปกติเรียกภิกษุด้วยกัน และคฤหัสถ์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำว่า
    “วสละ” ซึ่งเป็นคำหยาบ หมายถึง “คนถ่อย” โดยมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้:-
    วันหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ เห็นชายคนหนึ่งถือถาดใส่ดีปรีเต็มถาด
    กำลังเข้าไปในเมือง ท่านจึงถามว่า


    “แนะเจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้นถืออะไร ?”
    ชายคนนั้นได้ฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที จึงตอบไปว่า
    “ขี้หนู ครับท่าน”
    พระปิลินทวัจฉะ ก็พูดเป็นการรับทราบตามคำของชายคนนั้นว่า
    “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นขี้หนู

    ด้วยอำนาจแห่งคุณความเป็นพระอรหันต์ของพระเถระ และคำพูดไม่ดีอันเกิดจากอกุศล
    จิตของชายคนนั้น ทำให้ดีปรีในถาดของเขากลายเป็นขี้หนูไปเสียทั้งหมด เขาตกใจมาก เพราะคิด
    ขึ้นได้ว่ายังมีดีปรีอยู่ในเกวียนนอกเมืองอีก เมื่อเขากลับไปดูก็พบว่าดีปรีกลายเป็นขี้หนูไปทั้งหมด
    จริง ๆ เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่งเพราะดีปรีเหล่านั้นเป็นของมีค่ามาก และเขาเตรียมเพื่อจะนำมาขาย
    ขณะที่เขาแสดงอาการเสียใจและกำลังโกรธพระเถระอยู่นั้น มีอุบาสกคนหนึ่งเดินผ่านมา สอบ
    ถามได้ทราบความแล้วก็เข้าใจเหตุการณ์โดยตลอด จึงแนะนำขึ้นว่า:-


    “ดูก่อนสหาย ท่านจงถือถาดขี้หนูนี้ไปยืนรอที่หนทาง ซึ่งพระเถระผ่านมา เมื่อพระเถระ
    ผ่านมาเห็นแล้วก็จะถามว่า “แน่เจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้นคืออะไร ?”
    ท่านก็จงตอบว่า “ดีปรี ครับท่าน”

    พระเถระก็จะกล่าวว่า “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นดีปรี”
    อย่างนี้แล้ว ท่านก็จะได้ดีปรีกลับคืนมา
    ชายคนนั้นทำตามคำแนะนำของอุบาสก และในที่สุดขี้หนูก็กลับกลายเป็นดีปรีดังเดิม


    พระเถระถูกเพื่อภิกษุฟ้องพระพุทธเจ้า
    สมัยหนึ่ง เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ภิกษุ
    ทั้งหลายพากันเข้าเฝ้าแล้วกราบทูลกล่าวโทษพระปิลินทวัจฉเถระว่า:-
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระปิลินทวัจฉเถระ มักเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยคำว่า วสละ พระ
    เจ้าข้า”

    พระบรมศาสดา จึงรับสั่งให้พระภิกษุรูปหนึ่งไปเรียกท่านมาแล้วตรัสถามว่า “ดูก่อนปิลิ
    นทวัจฉะ ได้ทราบว่าเธอมักเรียกภิกษุทั้งหลาย ด้วยคำว่า วสละ จริงหรือ ?”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นจริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า”
    พระบรมศาสดา ครั้นได้สดับแล้ว จึงตรัสเล่าถึงบุพกรรมในอดีตชาติอันยาวนานของ
    ท่านให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า


    “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าได้ถือโทษโกรธปิลินทวัจฉะเลย ท่านมิได้มีความโกรธแค้น
    ในตัวเธอทั้งหลายเลย แต่ที่ท่านมักเรียกพวกเธอว่า วสละ นั้น เป็นเพราะในอดีตชาติย้อนหลังไป
    ๕๐๐ ชาติ ท่านก็มักกล่าวอย่างนั้นมาตลอดกาลช้านาน คำนั้นจึงเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวท่านมาตั้งแต่
    อดีตชาติ”

    ได้รับยกย่องว่าเป็นที่รักของเทวดา
    พระปิลินทวัจฉเถระ นั้น เป็นผู้มีความสามารถแสดงธรรมแก่เทพยดา ทั้งหลาย ด้วยใน
    อดีตชาติท่านกับสหายเป็นจำนวนมาก ได้รักษาศีลปฏิบัติธรรมร่วมกัน เมื่อตายแล้วได้ไปเกิดใน
    สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนตัวท่านเมื่อสิ้นบุญจากสวรรค์แล้วได้จุติลงมาเกิดในอัตภาพนี้ ได้สำเร็จ
    เป็นพระอรหันต์เหล่าเทพยดาทั้งหลายผู้เป็นอดีตสหายก็พากันลงมาอาราธนาให้ท่านแสดงธรรม
    ให้ฟัง จนทำให้ท่านเป็นที่รักใคร่ของเทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึง
    ทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดา ฯ

   
    ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน


อ้างอิง http://www.84000.org/one/1/41.html
ขอบคุณภาพจากwww.bloggang.com
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
  พระอรหันต์ละวาสนาไม่ได้ อาจทำให้ปุถุชนเข้าใจผิดได้

  ดังตัวอย่าง "พระปิลินทวัจฉเถระ" ที่มีปรกติเรียกคนอื่นว่า "คนถ่อย"

  ผมไม่แน่ใจว่า การกล่าวคำหยาบของพระนั้น ผิดศีลรึเปล่า ที่แน่ๆไม่ใช่สัมมาวาจาแน่นอน



  แต่การกระทำของอรหันต์นั้นเกิดจากมหากิริยาจิต การกระทำใดๆก็แล้วแต่

  จะไม่มีผลหรือไม่มีวิบาก ที่จะทำให้เกิดภพใหม่ชาติใหม่ อีกต่อไป



  ดังนั้น ถึงแม้จะผิดศีล ก็ไม่ส่งผลกับตัวท่านแต่ประการใด

  ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ
:49: ;)

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2011, 11:12:30 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เรื่องพระจักขุปาลเถระ

ขณะที่พระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภพระจักขุปาลเถระผู้ตาบอด ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 1 นี้

ครั้งหนึ่ง พระจักขุปาลเถระเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาที่วัดพระเชตวัน ในคืนหนึ่งขณะที่ท่านเดินจงกรมอยู่นั้น พระเถระก็ได้เหยียบแมลง(เม่า)ตายโดยไม่มีเจตนา ในตอนเช้าพวกพระภิกษุที่ไปเยี่ยมพระเถระพบแมลงที่ตายนั้นเข้า มีความคิดว่าพระเถระทำสัตว์ให้ตายโดยเจตนา

จึงนำความขึ้นทูลพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า เห็นพระเถระฆ่าแมงเหล่านั้นโดยเจตนาหรือไม่ เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เห็น ตรัสว่า “พวกเธอไม่เห็นจักขุปาลฆ่าสัตว์ฉันใด จักขุปาลก็ไม่เห็นแมลงเหล่านั้นฉันนั้น

นอกจากนั้นแล้ว พระจักขุปาลนี้ก็เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์และเป็นผู้บริสุทธิ์” เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า พระจักขุปาลเถระนี้เป็นถึงพระอรหันต์แต่เพราะเหตุใดจึงตาบอด พระศาสดาได้นำเรื่องในอดีตชาติของท่านมาตรัสเล่าว่า

ในอดีตชาติพระ จักขุปาลเป็นแพทย์ ครั้งหนึ่งไปรักษาตาให้แก่คนไข้หญิงคนหนึ่ง คนไข้หญิงคนนี้ได้ให้สัญญากับนายแพทย์ว่านางกับลูกๆจะยอมเป็นข้าทาสรับใช้ หากว่าดวงตาที่บอดทั้งสองข้างของนางสามารถรักษาให้หายได้ แต่ต่อมานางกลัวว่านางพร้อมกับลูกๆจะต้องตกเป็นทาสของนายแพทย์จริงๆ


จึงได้พูดโกหกนายแพทย์ไปว่าดวงตาทั้งสองข้างของนางมีอาการแย่ไปกว่าเดิม ทั้งๆที่ได้รับการบำบัดหายขาดไปแล้ว ข้างนายแพทย์ก็รู้ว่าคนไข้ของเขาหลอกลวงจึงได้แก้เผ็ดด้วยการผสมสารพิษลงใน ยาหลอดยาให้คนไข้นางนั้นหยอด พอนางหยอดเข้าไปก็เลยทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง เพราะผลของอกุศลกรรมในครั้งนั้นทำให้นายแพทย์ต้องตาบอดหลายครั้งในภพชาติ ต่างๆ

จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสความในพระคาถาที่ 1 นี้ว่า

มโนปุพพงฺคมา ธมฺมา

มโนเสฏฺฐา มโนมยา

มนสา เจ ปทุฏเฐน

ภาสติ วา กโรติ วา

ตโต นํ ทุกฺขมนฺวติ

จกฺกํ ว วหโต ปทํฯ

ทุกสิ่งทุกอย่างมีใจนำ มีใจเป็นใหญ่

สำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าคนเรามีใจชั่วเสียแล้ว

จะพูดจะกระทำก็พลอยชั่วไปด้วย

เพราะการพูดชั่วกระทำชั่วนั้น

ทุกข์ย่อมตามสนองเขา

เหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าโค.


เมื่อ พระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุ 30000 รูปได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา พระธรรมเทศนามีประโยชน์ มีผล แก่พุทธบริษัทที่มาประชุมกันแล้ว.


อ้างอิง
http://pnb.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=208:2010-02-11-07-17-53&catid=68:2010-02-11-07-13-54&Itemid=130



กรณีของพระจักขุบาลเถระ เห็นได้ัชัดเจนว่า ทำผิดศีล แต่ท่านไม่ได้เจตนา



ดูคลิป นิทานธรรมบท เรื่องที่ 1 พระจักขุบาลเถระ ได้ที่

หรืออ่านเรื่องเต็มๆได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=11&p=1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 22, 2011, 12:14:47 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ