ทิฏฐิ ความเห็น, ทฤษฎี;
ความเห็นผิดมี ๒ คือ
๑. สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง, ความเห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยงแท้ยั่งยืนคงอยู่ตลอดไป
๒. อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ, ความเห็นว่าอัตตาและโลกซึ่งจักพินาศขาดสูญหมดสิ้นไป ;
อีกหมวดหนึ่ง มี ๓ คือ
๑. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำ, เห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจั
๒. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ, เห็นว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุปัจจัย
๓. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี เห็นว่าไม่มีการกระทำหรือสภาวะที่จะกำหนดเอาเป็นหลักได้ เช่น มารดาบิดาไม่มี เป็นต้น;
ในภาษาไทยมักหมายถึง การดื้อดึงในความเห็น
(พจนานุกรมเขียน ทิฐิ);
(ข้อ ๔ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ข้อ ๓ ในอนุสัย ๗)
มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิด, ความเห็นที่ผิดจากคลองธรรม เช่นเห็นว่าทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี มารดาบิดาไม่มี เป็นต้น และความเห็นที่ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
(พจนานุกรมเขียน มิจฉาทิฐิ);
(ข้อ ๑ ในมิจฉัตตะ ๑๐)ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
มหาวรรค ทิฐิกถา
[๓๓๕] สัสสตทิฐิมีสักกายทิฐิเป็นวัตถุ มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕ เป็นไฉน ฯ
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยะเจ้า ... ไม่ได้รับแนะนำ ในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมเห็นตนว่ามีรูปบ้าง เห็นรูปในตนบ้าง เห็นตนในรูปบ้าง เห็นตนว่ามีเวทนาบ้าง เห็นตนว่ามีสัญญาบ้าง เห็นตนว่ามีสังขารบ้าง เห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง เห็นวิญญาณในตนบ้าง เห็นตนในวิญญาณบ้าง ฯ
ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีรูปอย่างไร ฯ
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นี้แลเป็นตัวตนของเรา แต่ว่าตัวตนของเรานี้นั้นแล มีรูปด้วยรูปนี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นตนว่ามีรูป เปรียบเหมือนต้นไม้มีเงา บุรุษพึงพูดถึงต้นไม้นั้นอย่างนี้ว่า นี้ต้นไม้ นี้เงา ต้นไม้เป็นอย่างหนึ่ง เงาเป็นอย่างหนึ่ง แต่ว่าต้นไม้นี้นั้นแล มีเงาด้วยเงานี้ ดังนี้ ชื่อว่าย่อมเห็นต้นไม้ว่ามีเงา ฉันใด บุคคลบางคนในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเห็นเวทนา... โดยความเป็นตน
นี้เป็นสัสสตทิฐิอันมีสักกายทิฐิเป็นวัตถุที่ ๑ สัสสตทิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ ฯลฯ
เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่ไม่ใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นตนว่ามีรูปอย่างนี้ ฯลฯ
สัสสตทิฐิอันมีสักกายทิฐิเป็นวัตถุ มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕ เหล่านี้ ฯ
[๓๓๖] อุจเฉททิฐิอันมีสักกายเป็นวัตถุ มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕เป็นไฉน ฯ
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยะเจ้า ... ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน เห็นเวทนาโดยความเป็นตน เห็นสัญญาโดยความเป็นตน เห็นสังขารโดยความเป็นตน เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ฯ
ปุถุชนย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนอย่างไร ฯ
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเห็นปฐวีกสิณ ฯลฯ โอทาตกสิณโดยความเป็นตน คือ ย่อมเห็นโอทาตกสิณและตนไม่เป็นสองว่า โอทาตกสิณอันใด เราก็อันนั้น เราอันใด โอทาตกสิณก็อันนั้น เปรียบเหมือนเมื่อประทีปน้ำมันลุกโพลงอยู่ ฯลฯ
นี้เป็นอุจเฉททิฐิอันมีสักกายทิฐิเป็นวัตถุที่ ๑ อุจเฉททิฐิเป็นมิจฉาทิฐิฯลฯ
เหล่านี้เป็นสังโยชน์ แต่มิใช่ทิฐิ ปุถุชนย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตนอย่างนี้ ฯลฯ
อุจเฉททิฐิอันมีสักกายเป็นวัตถุ มีความถือผิดด้วยอาการ ๑๕ เหล่านี้ ฯอ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๓๓๓๒ - ๔๐๖๙. หน้าที่ ๑๓๗ - ๑๖๖.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=3332&Z=4069&pagebreak=0ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=294ขอบคุณภาพจาก
http://file.siam2web.com/
มิจฉาทิฏฐิทั้งสองข้อ ปุถุชนมีด้วยกันทุกคน ถึงแม้จะเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่จะถูกสังโยชน์บังไว้
อริยบุคคลเท่านั้น ที่จะละมิจฉาทิฏฐินี้ได้ เข้าใจว่าอย่างน้อยต้องเป็นโสดาบัน
คุณลำไยถามว่า ทำอย่างไรจะพ้นจากทิฏฐินี้ ก็ต้องตอบตามสูตรว่า "ต้องเจริญสมถะวิปัสสนา"ครับ