ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากทราบชาดกเกี่ยวกับเรื่อง นกกระเรียนที่กินพลอยสีแดงเข้าไป  (อ่าน 7238 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

bomp

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 72
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อยากทราบชาดกเกี่ยวกับเรื่อง นกกระเรียนที่กินพลอยสีแดงเข้าไป แล้วโดนตีตายครับ  ว่าต้นฉบับจริงๆ มาจากพระไตรปิฎกส่วนไหน

เรื่องมีว่า มีช่างพลอยของกษัตริย์ ได้พลอยแดงมาไว้ที่บ้าน

มีพระมาเยี่ยมเพราะสนิทสนมกัน

ช่างเลยแวะไปเอาน้ำมาให้ แต่วางพลอยไว้

ช่างเลี้ยงนกกระเรียนไว้  นกเลยกินพลอยเข้าไป

ช่างออกมา เห็นพลอยหายไป คิดว่าพระขโมยครับ เลยตีพระ แต่พระก็ไม่กล้าบอก กลัวนกโดนผ่าท้องตาย

แล้วนกกระเรียนมาพัวพันนายช่างที่กำลังโมโห เลยโดนไปด้วย เลยตายครับ


ขอบคุณมากครับ

  :c017: :c017: :c017:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙
               
๑๐. เรื่องพระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว (๑-)[๑๐๔] 
           
             
               ข้อความเบื้องต้น               
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระชื่อติสสะ ผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ" เป็นต้น.

____________________________
(๑-) หมายความถึง ผู้สนิทสนมกับสกุล ได้รับอุปการะจากสกุลนั้น.


               พระเจ้าปเสนทิโกศลส่งแก้วให้นายช่างเจียระไน               
               ได้ยินว่า พระเถระนั้นฉัน (ภัต) อยู่ในสกุลของนายมณีการผู้หนึ่งสิ้น ๑๒ ปี. ภรรยาและสามีในสกุลนั้นตั้งอยู่ในฐานะเพียงมารดาและบิดา ปฏิบัติพระเถระแล้ว.

               อยู่มาวันหนึ่ง นายมณีการกำลังนั่งหั่นเนื้อข้างหน้าพระเถระ. ในขณะนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงส่งแก้วมณีดวงหนึ่งไป ด้วยรับสั่งว่า "นายช่างจงขัดและเจียระไนแก้วมณีนี้แล้วส่งมา." นายมณีการรับแก้วนั้น ด้วยมือทั้งเปื้อนโลหิต วางไว้บนเขียงแล้ว ก็เข้าไปข้างในเพื่อล้างมือ.



               แก้วมณีหายนายช่างสืบหาคนเอาไป               
               ก็ในเรือนนั้น นกกะเรียนที่เขาเลี้ยงไว้มีอยู่ นกนั้นกลืนกินแก้วมณีนั้น ด้วยสำคัญว่าเนื้อ เพราะกลิ่นโลหิต เมื่อพระเถระกำลังเห็นอยู่เทียว. นายมณีการมาแล้ว เมื่อไม่เห็นแก้วมณีจึงถามภริยา ธิดาและบุตร โดยลำดับว่า "พวกเจ้าเอาแก้วมณีไปหรือ?"

               เมื่อชนเหล่านั้นกล่าวว่า "มิได้เอาไป" จึงคิดว่า "(ชะรอย) พระเถระจักเอาไป" จึงปรึกษากับภริยาว่า "แก้วมณี (ชะรอย) พระเถระจักเอาไป"

               ภริยาบอกว่า "แน่ะนาย นายอย่ากล่าวอย่างนั้น, ดิฉันไม่เคยเห็นโทษอะไรๆ ของพระเถระเลยตลอดกาลประมาณเท่านี้ ท่านย่อมไม่ถือเอาแก้วมณี (แน่นอน)."
               นายมณีการถามพระเถระว่า "ท่านขอรับ ท่านเอาแก้วมณีในที่นี้ไปหรือ?"
               พระเถระ. เราไม่ได้ถือเอาดอก อุบาสก.
               นายมณีการ. ท่านขอรับ ในที่นี้ไม่มีคนอื่น ท่านต้องเอาไปเป็นแน่ ขอท่านจงให้แก้วมณีแก่ผมเถิด.


               เมื่อพระเถระนั้นไม่รับ, เขาจึงพูดกะภริยาว่า "พระเถระเอาแก้วมณีไปแน่ เราจักบีบคั้นถามท่าน."
               ภริยาตอบว่า "แน่ะนาย นายอย่าให้พวกเราฉิบหายเลย พวกเราเข้าถึงความเป็นทาสเสีย ยังประเสริฐกว่า ก็การกล่าวหาพระเถระผู้เห็นปานนี้ ไม่ประเสริฐเลย."



               ช่างแก้วทำโทษพระติสสเถระเพราะเข้าใจผิด               
               นายช่างแก้วนั้นกล่าวว่า "พวกเราทั้งหมดด้วยกันเข้าถึงความเป็นทาส ยังไม่เท่าค่าแก้วมณี" ดังนี้แล้ว จึงถือเอาเชือกพันศีรษะพระเถระ ขันด้วยท่อนไม้. โลหิตไหลออกจากศีรษะหูและจมูกของพระเถระ. หน่วยตาทั้งสองได้ถึงอาการทะเล้นออก ท่านเจ็บปวดมาก(๑-) ก็ล้มลง ณ ภาคพื้น. นกกะเรียนมาด้วยกลิ่นโลหิต ดื่มกินโลหิต.
____________________________
(๑-) เวทนาปฺปตฺโต ถึงซึ่งเวทนา.




              
               ช่างแก้วเตะนกกะเรียนตายแล้วจึงทราบความจริง               
               ขณะนั้น นายมณีการจึงเตะมันด้วยเท้า แล้วเขี่ยไปพลางกล่าวว่า "มึงจะทำอะไรหรือ?" ด้วยกำลังความโกรธที่เกิดขึ้นในพระเถระ. นกกะเรียนนั้นล้มกลิ้งตายด้วยการเตะทีเดียวเท่านั้น.

               พระเถระเห็นนกนั้น จึงกล่าวว่า "อุบาสก ท่านจงผ่อนเชือกพันศีรษะของเราให้หย่อนก่อนแล้ว จงพิจารณาดูนกกะเรียนนี้ (ว่า) มันตายแล้วหรือยัง?"

               ลำดับนั้น นายช่างแก้วจึงกล่าวกะท่านว่า "แม้ท่านก็จักตายเช่นนกนั่น."
               พระเถระตอบว่า "อุบาสก แก้วมณีนั้นอันนกนี้กลืนกินแล้ว หากนกนี้จักไม่ตายไซร้ ข้าพเจ้าแม้จะตาย ก็จักไม่บอกแก้วมณีแก่ท่าน."



               ช่างแก้วได้แก้วมณีคืนแล้วขอขมาพระติสสเถระ               
               เขาแหวะท้องนกนั้นพบแก้วมณีแล้ว งกงันอยู่ มีใจสลด หมอบลงใกล้เท้าของพระเถระ กล่าวว่า "ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอดโทษแก่ผม ผมไม่รู้อยู่ ทำไปแล้ว."
               พระเถระ. อุบาสก โทษของท่านไม่มี ของเราก็ไม่มี มีแต่โทษของวัฏฏะเท่านั้น เราอดโทษแก่ท่าน.
               นายมณีการ. ท่านขอรับ หากท่านอดโทษแก่ผมไซร้ ท่านจงนั่งรับภิกษาในเรือนของผมตามทำนองเถิด.



               พระเถระเห็นโทษของการเข้าชายคาเรือน               
               พระเถระกล่าวว่า "อุบาสก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจักไม่เข้าไปภายในชายคาเรือนของผู้อื่น เพราะว่านี้เป็นโทษแห่งการเข้าไปภายในเรือนโดยตรง ตั้งแต่นี้ไป เมื่อเท้าทั้งสองยังเดินไปได้ เราจักยืนที่ประตูเรือนเท่านั้น รับภิกษา"

               ดังนี้แล้ว สมาทานธุดงค์กล่าวคาถานี้ว่า
                                   ภัตในทุกสกุลๆ ละนิดหน่อย อันเขาหุงไว้เพื่อมุนี
                         เราจักเที่ยวไปด้วยปลีแข้ง กำลังแข้งของเรายังมีอยู่.
               ก็แล พระเถระ ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว ต่อกาลไม่นานนัก ก็ปรินิพพานด้วยพยาธินั้นนั่นเอง.


               คนทำบาปกับคนทำบุญมีคติต่างกัน               
               นกกะเรียนได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภริยาของนายช่างแก้ว. นายช่างแก้วทำกาละแล้ว ก็บังเกิดในนรก.
               ภริยาของนายช่างแก้วทำกาละแล้ว เกิดในเทวโลก เพราะความเป็นผู้มีจิตอ่อนโยนในพระเถระ.
               ภิกษุทั้งหลายทูลถามอภิสัมปรายภพของชนเหล่านั้นกะพระศาสดา.
               พระศาสดาตรัสว่า
                        "ภิกษุทั้งหลาย สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ ย่อมเกิดในครรภ์
                                   บางจำพวกทำกรรมลามก ย่อมเกิดในนรก
                                   บางจำพวกทำกรรมดีแล้ว ย่อมเกิดในเทวโลก
                                   ส่วนผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน"
ดังนี้แล้ว
                       
               เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
               ๑๐.    คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ       นิรยํ ปาปกมฺมิโน             
                  สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ       ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา.
                  ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ์, ผู้มีกรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก,
                  ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ ย่อมไปสวรรค์, ผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.


               แก้อรรถ               
               ในบทเหล่านั้น ครรภ์มนุษย์เทียว พระศาสดาทรงประสงค์เอาในบทว่า คพฺภํ นี้.
               คำที่เหลือในคาถานี้มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
               ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

               เรื่องพระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว จบ. 



ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=10
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=587&Z=617
ขอบคุณภาพจาก http://www.siamfreestyle.com/,http://sites.google.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 18, 2012, 01:10:37 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เรื่อง พระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว

ทำร้ายพระอรหันต์ เมื่อตายแล้วไปตกนรก
  กฎแห่งกรรม ในมิติของ อปราปริยเวทนียกรรม(กรรมให้ผลในภพต่อมา) ปรากฏให้เห็นเมื่อคราวที่พระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระชื่อติสสะ ผู้เข้าถึงสกุลช่างแก้ว(ใกล้ชิดกับสกุลช่างเจียรไนอัญมณี) ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยบาทพระคาถานี้ว่า คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ เป็นต้น

เรื่องนี้ พระพุทธโฆษาจารย์เล่าไว้ว่า ในกาลครั้งหนึ่ง ที่กรุงสาวัตถี มีนายช่างเจียระไนอัญมณีและภรรยาพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง และมีพระเถระรูปหนึ่งเป็นพระอหันต์ ได้เข้าไปรับอาหารบิณฑบาตจากสองสามีภรรยาเป็นประจำ

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นายช่างกำลังหั่นเนื้ออยู่นั้น ก็มีคนจากวังของพระเจ้าปเสนทิโกศลมาที่บ้านของนายช่าง พร้อมกับนำแก้วมณีก้อนหนึ่งมาส่งให้ แล้วบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้เจียระไนให้แล้วเสร็จแล้วส่งกลับไปถวาย นายช่างนำมือที่เปื้อนเลือดเนื้อสดๆออกรับแก้วมณีของพระราชาและนำไปวางไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง แล้วเข้าไปในเรือนเพื่อจะล้างมือ

นกกะเรียนที่ครอบครัวนั้นเลี้ยงไว้ในบ้านเห็นแก้วมณีที่เลือดและชิ้นเนื้อติดอยู่นั้นเข้าใจว่าเป็นชิ้นเนื้อ จึงจิกกลืนลงท้องไปต่อหน้าต่อตาของพระเถระ เมื่อนายช่างเดินกลับมาแล้วพบว่าแก้วมณีนั้นหายไป ก็ได้ถามภรรยาและบุตรว่าใครเอาแก้วมณีไป เมื่อคนทั้งสองปฏิเสธ นายช่างก็หันไปเรียนถามพระเถระว่าท่านเอาไปหรือไม่ พระเถระตอบว่าท่านก็ไม่ได้เอาไปเหมือนกัน



  แต่นายช่างไม่เชื่อ เพราะว่าในบ้านไม่มีใครอีกแล้ว นายช่างจึงปักใจเชื่อว่าต้องเป็นพระเถระเอาแก้วมณีอันล้ำค่าของพระราชาไปแน่ๆ เขาจึงปรึกษากับภรรยาว่าเขาต้องทรมานร่างกายของพระเถระเพื่อให้ท่านรับสารภาพให้ได้ แต่ฝ่ายไม่เห็นด้วย พยายามห้ามปรามสามีเพราะกลัวว่าจะเป็นบาปเป็นกรรม แต่สามีไม่ยอมได้ทำการทรมานร่างกายพระเถระด้วยการเอาเชือกพันรอบศีรษะแล้วใช้ไม้ขัน จนกระทั่งว่ามีโลหิตไหลออกมาจากศีรษะ หู และจมูก

พระเถระได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จนทรุดตัวลงนอนที่พื้นดิน ข้างนกกะเรียนได้กลิ่นเลือดจากกายของพระเถระ ก็ออกมาใช้งะงอยปากดูดกินโลหิตนั้น

นายช่างเห็นก็เลยใช้เท้าเตะไปที่นกกะเรียนอย่างรุนแรงด้วยอารมณ์โกรธ พลางปากก็สำรากถ้อยคำว่า “มึงจะทำอะไรหรือ?” ผลของการเตะทำให้นกกะเรียนเสียชีวิตในทันที พระเถระเห็นนกแน่นิ่งไปเช่นนั้น จึงกล่าวขึ้นว่า อุบาสก ท่านจงผ่อนเชือกพันศีรษะของอาตมาให้หย่อน แล้วไปดูสิว่า นกมันตายแล้วหรือยัง นายช่างได้ยินก็พูดสวนกลับว่า ท่านก็จะตายเหมือนนกนี้เหมือนกัน

พระเถระตอบว่า “ อุบาสก แก้วมณีนั้น นกนี้กลืนกินเข้าไปในท้อง หากนกนี้ยังไม่ตาย อาตมภาพแม้จะตาย ก็จะไม่บอกเรื่องนี้กับท่าน” นายช่างได้ใช้มีดแหวะท้องนกกะเรียนก็พบแก้วมณีอยู่ในนั้นจริงๆ เลยเกิดการช็อกสังเวชสลดใจ ก้มลงกราบพระเถระและกล่าวขอขมาลาโทษท่านว่า ขอพระคุณเจ้าจงยกโทษให้ผมด้วยเถิด ผมทำอะไรลงไปกับท่านด้วยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์



พระเถระตอบว่า อุบาสก ท่านไม่มีโทษหรอก อาตมาก็ไม่มีโทษเหมือนกัน มีแต่โทษของวัฏฏะ(เป็นเรื่องกรรมเวร) อาตมภาพยกโทษให้ท่าน นายช่างเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพูดว่า ท่านครับ เมื่อท่านยกโทษให้ผมแล้ว ก็ขอนิมนต์ท่านมารับบิณฑบาตในบ้านของผมเหมือนเดิมเถิด

พระเถระกล่าวว่าท่านจะไม่เข้ามารับบิณฑบาตในบ้านของนายช่างอีกต่อไป เพราะที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ด้วยสาเหตุท่านเข้ามารับบิณฑบาตในบ้านของชาวบ้าน ท่านมีใจแน่วแน่ที่จะสมาทานธุดงควัตรอย่างเคร่งครัดด้วยกล่าวปฏิญาณว่า “ตั้งแต่นี้ไป เมื่อเท้าทั้งสองยังเดินไปได้ เราจักยืนที่ประตูเรือนรับภิกษาเท่านั้น” ครั้นต่อมาไม่นาน พระเถระก็ปรินิพพาน(มรณภาพ) ด้วยพิษบาดแผลจากการถูกทรมานนั้น

ต่อมา พระภิกษุทั้งหลายได้ทูลถามถึงที่เกิดของบุคคลต่างๆในเรื่อง พระศาสดาตรัสถึง กฎแห่กรรม ที่จะตามสนองแต่ละชีวิตในเรื่องนี้ว่า “นกกะเรียนกลับมาเกิดเป็นบุตรชายของนายช่าง นายช่างไปเกิดในนรก ภรรยานายช่างตายแล้วไปเกิดในเทวโลก เพราะมีจิตใจอ่อนโยนในพระเถระ ส่วนพระเถระ เป็นพระอรหันต์ ก็ปรินิพพาน”


จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า

     คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ
     นิรยํ ปาปกมฺมิโน
     สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ
     ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา.


    (อ่านว่า)
    คับพะเมเก อุบปัดชันติ
    นิระยัง ปาปะกัมมิโน
    สักคัง สุคะติโน ยันติ
    ปะรินิบพันติ อะนาสะวา.

    (แปลว่า)
    ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ์(เกิดเป็นมนุษย์)
    ผู้มีกรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก
    ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ ย่อมไปสวรรค์
    ผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.


   เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น.


ที่มา http://sites.google.com/site/dhammatharn/km-mu-na-wt-ti-lo-ko/vvv
ขอบคุณภาพจาก http://buddha.dmc.tv/,http://www.oknation.net/,http://www.ilovetogo.com/,http://api.ning.com/


     เรื่องนี้ เป็นคาถาธรรมบท อยู่ใน
     อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙
     ชื่อเรื่องว่า "พระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว"

     http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=10

     อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙ นี้ประกอบอยู่ใน
     พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
     ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
     เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  บรรทัดที่ ๕๘๗ - ๖๑๗.  หน้าที่  ๒๖ - ๒๗.

     http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=587&Z=617&pagebreak=0

      :welcome: :49: :25: :s_good:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ