แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - raponsan
|
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 708
|
241
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รู้หรือไม่.? ปีชงแบบจีน มีแต่ “ชงตรง-ชงเฉียด” และไม่มี “แก้ชง”
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2024, 07:38:54 am
|
วัดมังกรกมลาวาส หรือ "เล่งเน่ยยี่" เป็นวัดจีนที่คนนิยมมาแก้ชงรู้หรือไม่.? ปีชงแบบจีน มีแต่ “ชงตรง-ชงเฉียด” และไม่มี “แก้ชง”หลายปีมานี้ กระแส “ปีชง” มาแรงในสังคมไทย มีการแบ่งว่าปีไหนชง 25% 50% 75% ไปจนถึงชงเต็มๆ แบบ 100% จนต้องไป “แก้ชง” ทั้งที่จริงแล้ว ตามความเชื่อแบบจีน ไม่มีการแบ่งว่าชงมากหรือชงน้อย และไม่มีการแก้ชง
เรื่องนี้ สมชาย แซ่จิว ผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมจีน เจ้าของหนังสือ “พลิกสุสานอ่านจิ๋นซี” (สำนักพิมพ์มติชน) เล่าว่า “ปีชง” ไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นเรื่องดวงดาวและสถิติ ในความเชื่อจีนมี “ไท้ส่วยเอี๊ย” เทพเจ้าจีนที่ดูแลคุ้มครองดวงชะตา มีทั้งหมด 60 องค์ มนุษย์แต่ละคนจะมีไท้ส่วยเอี๊ยประจำ และมีไท้ส่วยเอี๊ยที่จรมาในแต่ละปี ซึ่งปี 2567 นี้ ไท้ส่วยเอี๊ยคือ “หลีเซ้งไต่เจียงกุง”
“คนจีนถึงมี ‘แซยิด’ เมื่ออายุถึง 60 ปี ในแง่หนึ่งคือเก่งมากที่ฝ่าไท้ส่วยเอี๊ยมาได้ถึง 60 องค์” สมชาย อธิบาย
ส่วนที่บอกกันว่า “ปีชง” มีทั้งชงมาก-ชงน้อย กูรูวัฒนธรรมจีนยืนยันว่า ไม่มี! เพราะตามความเชื่อจีนมีแต่ “ชงตรง” และ “ชงเฉียด” เท่านั้น
ปี 2567 ปีที่ชงตรงคือ ปีจอ ส่วนปีที่ชงเฉียดคือ ปีมังกร ปีฉลู และ ปีเถาะ และแม้จะมีความเชื่อเรื่องปีชง แต่จีนก็ไม่มีเรื่อง “แก้ชง” แต่อย่างใด
“เราแก้ชงไม่ได้ แต่เรากันชงได้ คือหลีกเลี่ยง สำรวม และระวัง เช่น ปีจอ ที่ชงโดยตรง พลังชี่เราจะอ่อน ดังนั้นก็อาจเลี่ยงด้วยการไม่ไปงานอวมงคลต่างๆ เลี่ยงงานศพ และอีกทางก็ปฏิบัติอย่างที่อาจารย์ถาวร สิกขโกศล กล่าวไว้ คือ ทำตัวให้มีคุณภาพและมีคุณธรรม ก็จะเป็นการแก้ชงที่ดีที่สุด ส่วนการแก้ชงโดยไปที่วัด เป็นการทำเพื่อความสบายใจ แต่วิธีที่ดีสุดคือปัดอวิชชาออกไป”
อ่านเพิ่มเติม :-
• มูสายมังกร “แก้ชง” ไม่ทำเมื่อขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม เพราะอะไร? • “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้” ประโยคสุดฮิตในเทศกาลตรุษจีน แท้จริงแล้วใช้อย่างไร? • เช็กลิสต์ “ข้อควรทำ-ข้อห้าม” วันตรุษจีน ทำแบบไหนดวงถึงจะรุ่ง?
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ : เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_127005อ้างอิง : สมชาย แซ่จิว ในงานทอล์ก “BAOBOOK: เมาท์เรื่องมู ปีมังกรทอง” จัดโดยสำนักพิมพ์มติชน ร่วมกับ ซีเจ มอร์ ที่บาว คาเฟ่ สีลมซอย 7 เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567
|
|
|
242
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เช็กลิสต์ “ข้อควรทำ-ข้อห้าม” วันตรุษจีน ทำแบบไหนดวงถึงจะรุ่ง.?
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2024, 07:32:35 am
|
(ภาพถ่ายโดย 熊大 旅遊趣: https://www.pexels.com/th-th/photo/6854919/)เช็กลิสต์ “ข้อควรทำ-ข้อห้าม” วันตรุษจีน ทำแบบไหนดวงถึงจะรุ่ง.?“ตรุษจีน” เป็นเทศกาลสำคัญของคนจีน ทั้งที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่และที่กระจายตัวไปตั้งรกรากอยู่ทั่วโลก ซึ่งใน “วันตรุษจีน” (ปี 2567 ตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์) ชาวจีนก็มีความเชื่อเรื่อง “ข้อควรทำ” และ “ข้อห้าม” มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง.?
@@@@@@@
3 ข้อควรทำ วันตรุษจีน
สมชาย แซ่จิว กูรูประวัติศาสตร์จีน เจ้าของผลงาน “พลิกสุสานอ่านจิ๋นซี” (สำนักพิมพ์มติชน) เล่าไว้ในงานทอล์ก “BAOBOOK: เมาท์เรื่องมู ปีมังกรทอง” จัดโดยสำนักพิมพ์มติชน ร่วมกับ ซีเจ มอร์ ว่า
วันตรุษจีน สิ่งที่ชาวจีนนิยมทำ และถือว่า “ควรทำ” ก็คือ การประดับ “ชุนเหลียน” (ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า ตุ้ยเลี้ยง) เป็นกลอนคู่ มีถ้อยคำมงคลรับฤดูใบไม้ผลิ สมัยโบราณจะสลักลงบน “เถาฝู” คือป้ายที่ทำจากไม้ต้นท้อ เชื่อว่าเป็นการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ต่อมาสมัยราชวงศ์ซ่ง จึงเปลี่ยนมาเป็นชุนเหลียนกระดาษแดง หาซื้อกันได้ที่เยาวราช และหากต้องการให้ขลังขึ้น จะเอาชุนเหลียนไปปลุกเสกที่ศาลเจ้าก็ได้ตามสะดวก
ต่อมา คือการไหว้ “ไฉเสิน” หรือที่รู้จักกันว่า “ไฉ่ซิงเอี๊ย” เทพแห่งทรัพย์สินเงินทอง ฤกษ์งามยามดีในการไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยในปี 2567 คือ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 23.00-01.00 น. ในการไหว้ให้หันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ของที่ใช้ไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย สมชายบอกว่าได้หมด แต่ส่วนใหญ่นิยมไหว้ของเจ 5 อย่าง เช่น วุ้นเส้น ขนมอี๋ ธูป 5 ดอก เทียน ฯลฯ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบ้าน ไม่มีข้อบังคับเคร่งครัดแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ในการไหว้เทพเจ้าจีนแต่ละองค์ สมชายแนะว่า อย่าบน แต่ให้ใช้ “การขอ” แทน หากเทพเจ้าอำนวยพรแล้วก็ค่อยกลับไปขอบคุณเทพเจ้า
นอกจากนี้ สิ่งที่ควรทำในวันตรุษจีนอีกอย่างก็คือ กินอาหารมงคล 7 อย่าง ได้แก่ ปลา หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง, เกี๊ยว หมายถึงความมั่งคั่งมั่งมี, ปอเปี๊ยะหรือชุนเปี๊ยะ หมายถึงความมั่งคั่งมั่งมีเช่นกัน, ส้ม ผลไม้มงคลทุกเทศกาล, บัวลอย หมายถึงครอบครัวมีความสุข, เหนียนเกาหรือขนมเข่ง มีความหมายถึงการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และอาหารมงคลอย่างที่ 7 คือ เส้นหมี่หรือบะหมี่ ที่มีนัยถึงการมีอายุยืน
@@@@@@@
7 ข้อห้าม ควรหลีกเลี่ยง
ส่วน “ข้อห้าม” ที่ชาวจีนถือกันว่าไม่ควรทำในวันตรุษจีน สมชายเล่าว่ามี 7 ข้อด้วยกัน
1. ต้อง “ไม่กริ้ว” ไม่โกรธใครในวันตรุษจีน ไม่เช่นนั้นอาจมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่นตลอดปี 2. ไม่ใช้มีด กรรไกร เข็ม เพราะถือว่าตัดโชคลาภ 3. ไม่สระผม เพราะถือว่าชะล้างโชคดีออกไป 4. อย่างีบกลางวัน เพราะจะขี้เกียจตลอดปี 5. ไม่กินโจ๊กหรือข้าวต้มมื้อเช้า เพราะคนจีนที่ฐานะยากจนสมัยก่อนกินอาหารเหล่านี้ เชื่อว่าหากกินโจ๊กหรือข้าวต้มในมื้อเช้า ชีวิตจะยากจนตลอดปี 6. อย่าให้ใครหยิบอะไรจากกระเป๋าสตางค์ของเรา 7. ไม่ให้แต๊ะเอียใครเป็นจำนวนเงินเลขคี่
เหล่านี้เป็นความเชื่อ “วันตรุษจีน” ที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติม :-
• วันจ่าย วันไหว้ วันถือ ในเทศกาล “ตรุษจีน” เป็นวันไหน ทำอะไร • “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้” ประโยคสุดฮิตในเทศกาลตรุษจีน แท้จริงแล้วใช้อย่างไร? • “ไฉ่ซิงเอี๊ย” จากไม่อยู่ในสารบบ สู่เทพเจ้าที่คนเซ่นไหว้มากสุดในเทศกาลตรุษจีนขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์ เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_126959อ้างอิง : สมชาย แซ่จิว ในงานทอล์ก “BAOBOOK: เมาท์เรื่องมู ปีมังกรทอง” จัดโดยสำนักพิมพ์มติชน ร่วมกับ ซีเจ มอร์ ที่บาว คาเฟ่ สีลมซอย 7 เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567
|
|
|
243
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปีใหม่มี “เคานต์ดาวน์” ตรุษจีนมี “เฝ้าปี” กิจกรรมที่เกิดจากความเชื่อ ความกตัญญู
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2024, 07:25:36 am
|
. (ภาพจาก Eka P. Amdela - unsplash.com)ปีใหม่มี “เคานต์ดาวน์” ตรุษจีนมี “เฝ้าปี” กิจกรรมที่เกิดจากความเชื่อ และความกตัญญู เคานต์ดาวน์ หรือการนับเวลาถอยหลัง ทั่วไปมักนับเวลา 10 วินาทีสุดท้าย ก่อนจะถึงเหตุที่เฝ้าคอย เคานต์ดาวน์ยอดนิยมที่เห็นกันบ่อยๆ ก็คือ เคานต์ดาวน์คืนวันที่ 31 ธันวาคม เพื่อต้อนรับปีใหม่ (สากล) ในเทศกาลตรุษจีนหรือปีใหม่จีนก็มีกิจกรรมคล้ายๆ “เคานต์ดาวน์” เช่นกัน ที่เรียกว่า “เฝ้าปี”
เพราะ “เคานต์ดาวน์” และ “เฝ้าปี” ก็ต้องอดหลับ อดนอน รอให้ถึงเวลาเที่ยงคืน เพื่อจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่เหมือนกัน เพียงแต่เหตุผลต่างกัน
การเคานต์ดาวน์ หรือ เฝ้าปี ในเทศกาลตรุษจีน มีมานานกว่า 1,600 ปี การเฝ้าปีปรากฏหลักฐานครั้งแรกในหนังสือภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณี ของ โจวชู่ บุคคลสมัยราชวงศ์จิ้น (พ.ศ. 807-963) ว่า “ไม่นอนตลอดคืน รออยู่จนฟ้าสาง เรียกว่าเฝ้าปี”
ธรรมเนียมเก่าหลังจากกิน “อาหารค่ำประจําปี” แล้ว เด็กๆ จะเข้าแถวกันไปอวยพรผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็จะอวยพรตอบและแจกเงิน “แตะเอีย” แต่บางคน บางบ้านอาจเอาไปสอดไว้ใต้หมอนตอนเด็กๆ หลับ หรือมีวิธีแจกแตกต่างไปจากนี้อีกหลายวิธี
ส่วนผู้ใหญ่นั้นไม่นอนตลอดคืน เพราะจะต้องอยู่ “เฝ้าปีเก่า รับปีใหม่”
@@@@@@@
การ “เฝ้าปี” มีสาระสําคัญให้เห็นคุณค่าของวันเวลาซึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว สําหรับผู้สูงอายุเป็นอนุสติให้คิดถึงวัยชราที่ค่อยๆ มาถึง สําหรับเด็กเน้นให้กระตือรือร้นใช้วันเวลาให้มีคุณค่า จึงต้องอยู่เฝ้าปีให้ต่อเนื่องกัน
แล้วอะไรเป็นเหตุผลของการ “เฝ้าปี” หรือ “เคานต์ดาวน์” ของคนจีน
หนึ่งคือ คําว่า “นอนหลับ (困 Kun)” ในภาษาจีนโบราณมีอีกความหมายหนึ่งว่า “ลําบาก ยากจน” การไม่นอนในคืนสิ้นปี ก็เพื่อเอาเคล็ดหนีความลําบากยากจน ด้วยการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
หนึ่งคือ ความเชื่อที่ว่า การอยู่เฝ้าปีในคืนตรุษจีนจะเจริญอายุและสุขภาพแก่พ่อแม่ ดังนั้นผู้ที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ จึงมักจะค่อนข้างเคร่งครัดกิจกรรมนี้ กลายเป็นธรรมเนียมนิยมสืบกันมา
หนึ่งคือ เกิดจากตํานานเล่าว่า ในอดีตกาลมีสัตว์ร้ายตัวหนึ่งชื่อว่า “เหนียน” ซึ่งแปลว่า “ปี” พอถึงปลายฤดูหนาว เจ้าตัวปีนี้จะออกมาจับคนและสัตว์เลี้ยงกินเป็นอาหารเสมอ การเฝ้าปีก็เพื่อจับเหนียนที่ปีแล้วปีเล่าออกอาละวาด
ในที่สุดมนุษย์ก็พบว่า เหนียนกลัวของอยู่ 3 อย่าง คือ เสียงดัง, สีแดง, และแสงไฟ ดังนั้นพอถึงวันสิ้นปี อันเป็นกำหนดที่สัตว์ร้ายตัวนี้ออกมาหาเหยื่อในหมู่บ้าน ผู้คนก็พากันเอาไม้ท้อทาสีแดงแขวนไว้ที่ประตู ก่อไฟไว้หน้าบ้าน จุดประทัดและตีเกราะเคาะไม้ให้มีเสียงดังตลอดคืนโดยไม่หลับนอน เมื่อเจ้าตัวปีออกมาเห็นแสงสี และได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกใจกลัววิ่งหนีไป
@@@@@@@
ค่ำคืนการเฝ้าปี โดยทั่วไปทุกคนในครอบครัวจะอยู่พร้อมหน้ากัน มีกิจกรรมบันเทิงแก้ง่วง ผู้ใหญ่บางคนอาจเล่นไฟ บางคนเล่านิทานให้ลูกหลานฟัง หรือตั้งปัญหาให้ทายเล่นลองปัญญา มีน้ำชาและของว่างกินกันไม่ขาดปาก ถ้าเด็กๆ ง่วงก็ให้นอนอยู่รอบตลอดทั้งคืน นอกจากนี้แต่ละท้องถิ่นก็มีกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป
คืน 30 ค่ำ เดือน 12 (ตามจันทรคติจีน) มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ฉูซี่ (ภาษาแต้จิ๋วว่า ตื่อเส็ก) แปลว่า “คืนตัด (ปี)” หมายถึงปีเก่าสิ้นสุด หรือถูกตัดลงในตอนเที่ยงของคืนนี้
ช่วงเวลาพิเศษที่ “คืนเดียวมี 2 ปี” ที่คนในครอบครัวนั่งทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ถ้าเป็นสมัยก่อนได้ยินเสียงประทัดดังขึ้นก็รู้ว่า “เฝ้าปี” จนปีใหม่มาถึงแล้ว ปัจจุบันก่อนจะถึงเวลานั้นก็ “เคานต์ดาวน์” กันเหมือนร่วมกัน อวยพรกันสักหน่อย แล้วแยกย้ายไปนอนเถอะ นอนดึกไม่ดีกับสุขภาพ
คลิกอ่านเพิ่ม :-
• วันจ่าย วันไหว้ วันถือ ในเทศกาล “ตรุษจีน” เป็นวันไหน ทำอะไร • ระฆังหย่งเล่อ ระฆังโบราณ น้ำหนัก 46.5 ตัน ที่เสียงดังไกลกว่า 40 กม. • ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ประโยคสุดฮิตในเทศกาลตรุษจีน
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเก็บความจาก ถาวร สิกขโกศล. เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้, สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2557.ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : วิภา จิรภาไพศาล เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_126993
|
|
|
244
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “อีสานใต้” เบ้าหลอมทางวัฒนธรรม “ทวารวดี-เขมรโบราณ”
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2024, 07:14:42 am
|
. จารึกอักษรปัลลวะ บนฐานรูปเคารพ พบที่แหล่งโบราณคดีดอนขุมเงิน จังหวัดร้อยเอ็ด (ภาพจาก เว็บไซต์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด)“อีสานใต้” เบ้าหลอมทางวัฒนธรรม “ทวารวดี-เขมรโบราณ” ดินแดน “อีสานใต้” แหล่งกำเนิด Golden Boy เบ้าหลอมทางวัฒนธรรม “ทวารวดี–เขมรโบราณ”
บริเวณ “อีสานใต้” ของประเทศไทย พบร่องรอยความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับบริเวณทะเลสาบเขมรค่อนข้างเด่นชัด นั่นคือ ปราสาทหิน ตลอดจนโบราณสถาน-วัตถุ เนื่องในวัฒนธรรมเขมรโบราณมากมาย
ขณะเดียวกันยังมีร่องรอยวัฒนธรรม “ทวารวดี” จากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาปรากฏให้เห็นเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่า ในยุคโบราณ พื้นที่อีสานใต้ คือ “เบ้าหลอม” ทางวัฒนธรรม คือมีทั้งวัฒนธรรมทวารวดีและเขมรโบราณ ผสมปนเปกัน และพัฒนาคลี่คลายเป็นวัฒนธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำมูล แหล่งกำเนิดประติมากรรม “โกลเด้นบอย” (Golden Boy) ที่พิพิธภัณฑ์ The MET สหรัฐอเมริกา กำลังจะส่งคืนไทยในเดือนพฤษภาคมนี้
“ศิลปวัฒนธรรม” ร่วมกับ รศ. ดร. ศานติ ภักดีคำ ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกและประวัติศาสตร์กัมพูชา ชวนแกะรอย “โกลเด้นบอย” โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องวัฒนธรรมแรกเริ่มในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง หรือ “อีสานใต้” แหล่งกำเนิดประติมากรรมสำริด “โกลเด้นบอย” ตลอดจนจารึกที่สัมพันธ์กับพื้นที่ดังกล่าว ในฐานะถิ่นฐานของกษัตริย์ราชวงศ์มหิธรปุระ ที่มีบทบาทในการสถาปนาปราสาทสำคัญมากมายในอีสานใต้และที่ลุ่มทะเลสาบเขมร
อาจารย์ศานติเล่าว่า อีสานใต้มีหลักฐานทางโบราณคดี และลายลักษณ์อักษร ที่ชี้ให้เห็นถึงวัฒนธรรมของอาณาจักรเจนละในพื้นที่แถบนี้ โดยเฉพาะศิลาจารึกของพระเจ้าจิตรเสนมเหนทรวรมัน และศิลาจารึกของพระเจ้าภววรมันที่ 2 กษัตริย์อาณาจักรเจนละ ที่มีอายุอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 อาจอนุมานได้ว่า ภาคอีสานเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเจนละมาก่อน
ซึ่งนั่นหมายรวมถึงบริเวณปราสาทบ้านยางโป่งสะเดา อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ จุดที่พิสูจน์ทราบว่าคือที่ตั้งของ “โกลเด้นบอย” ประติมากรรมสำริด ที่สร้างขึ้นในอีกหลายร้อยปีให้หลัง คือพุทธศตวรรษที่ 16
@@@@@@@
อาจารย์ศานติชี้ให้เห็นว่า ร่องรอยของ อาณาจักรเจนละ โดยเฉพาะการพบจารึกอักษรปัลลวะในอีสานใต้ ถือเป็นรากฐานสำคัญของวัฒนธรรมต้นกำเนิดในพื้นที่แถบนี้ ทั้งนี้ ในยุคโบราณภาคอีสานมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าดินแดนอื่น ๆ เพราะเป็นแหล่งเกลือ และเหล็ก ซึ่งถือเป็นสินค้าสำคัญของโลกยุคโบราณ
กระทั่งต้นพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรเจนละแตกออกเป็น 2 ส่วน คือ เจนละบก กับเจนละน้ำ เชื่อว่าบริเวณอีสานใต้คือส่วนหนึ่งของเจนละบก กินอาณาบริเวณตั้งแต่ลาวใต้มาถึงอีสานใต้ มีแคว้นสำคัญคือ “ภวปุระ” ส่วนเจนละน้ำ คือบริเวณลุ่มทะเลสาบเขมรไปจนถึงปากแม่น้ำโขง ได้พัฒนาเป็นอาณาจักรเขมรโบราณสมัยพระนคร ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14-15
แต่เจนละบกแตกต่างออกไป อาจารย์ศานติอธิบายว่า ดินแดนเจนละบกในพื้นที่อีสานใต้ไม่มีผู้ปกครองที่มีอำนาจมาก หรือสามารถรวมตัวกันเป็นอาณาจักรรวมศูนย์ ช่วงเวลานี้เองเริ่มมีวัฒนธรรมทวารวดีจากภาคกลางของไทยแพร่เข้ามา ดังปรากฏหลักฐาน เช่น เมืองเสมา ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา พบร่องรอยของวัฒนธรรมทวารวดีค่อนข้างเด่นชัด โดยนักวิชาการหลายท่านเชื่อว่า นี่คือเป็นศูนย์กลางรัฐโบราณที่ชื่อ “ศรีจนาศะ”
ทั้งนี้ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 นี่เอง อาณาจักรเขมรโบราณสมัยพระนครได้แผ่อำนาจขึ้นมายังพื้นที่อีสานใต้อีกครั้ง วัฒนธรรมเขมรโบราณจึงแผ่กลับเข้ามาทับซ้อนกับวัฒนธรรมทวารวดีในพื้นที่ดังกล่าว เมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยุคนั้นจึงมีทั้งวัฒนธรรมทวารวดี และวัฒนธรรมเขมรโบราณ
@@@@@@@
อย่างไรก็ดี เมืองเสมาถือว่าตนเองเป็นรัฐอิสระ เพราะระบุในจารึกชัดเจนว่าตนอยู่นอก “กัมพุชเทศ” หรืออยู่นอกเขตของกัมพูชาโบราณ
กระทั่งสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 แห่งอาณาจักรเขมรโบราณสมัยพระนคร จึงพบหลักฐานการทับซ้อนทางวัฒนธรรมอย่างเด่นชัดในพื้นที่เมืองเสมา คือ จารึกเมืองเสมา ที่กล่าวถึงพราหมณ์ยัชญวราหะ ราชครูในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ได้เข้ามาสร้างและดูแลศาสนสถานในพื้นที่แล้วก็ทำจารึกต่าง ๆ เอาไว้
อิทธิพลทางวัฒนธรรมเขมรโบราณในอีสานใต้หยั่งรากลึกยิ่งขึ้น ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ดังจะเห็นได้จากการสร้าง “ปราสาทพระวิหาร” ของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1
ติดตามเรื่องราวแบบเต็ม ๆ ได้ใน SILPA PODCAST GOLDEN BOY EP.1 “เขมรโบราณ” ถิ่นอีสานใต้ แหล่งกำเนิด “Golden Boy” โดย รศ. ดร. ศานติ ภักดีคำ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 20.00 น. ที่ YouTube : Silpawattanatham
อ่านเพิ่มเติม :-
• ใครคือ “Golden Boy” ? รู้จักพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ต้นวงศ์มหิธรปุระแห่งพิมาย • แกะรอยที่มา “Golden Boy” แบบสืบถึงฐานประติมากรรม ไขตัวตนรูป “พระเชษฐบิดร” แห่งอีสานใต้? • “Golden Boy” รูปพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ประติมากรรมสำริด ศิลปะเขมรแบบพิมาย ที่ไทย (เพิ่ง) ได้คืนจากสหรัฐ!ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน: กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 3 กุภาพันธ์ 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_126662
|
|
|
245
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แกะรอยที่มา “Golden Boy” แบบสืบถึงฐานประติมากรรม.! ไขตัวตนรูป “พระเชษฐบิดร”
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2024, 07:05:01 am
|
. แกะรอยที่มา “Golden Boy” แบบสืบถึงฐานประติมากรรม.! ไขตัวตนรูป “พระเชษฐบิดร” แห่งอีสานใต้.?เพราะการได้ประติมากรรมทรงคุณค่าอย่าง โกลเด้นบอย (Golden Boy) คืนมายังประเทศไทย ไม่ใช่แค่การมีโบราณวัตถุเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น และสร้างความปิติยินดีให้กับสังคมไทยเท่านั้น ทว่ามีผลต่อการศึกษาและต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่วงการประวัติศาสตร์และโบราณคดีในปัจจุบัน อันจะสืบเนื่องไปยังอนาคต
วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2567 เวลา 13.00-16.00 น. ที่หอประชุม อาคารข่าวสด “ศิลปวัฒนธรรม” ในเครือมติชน จัดใหญ่! สโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา “ตามหา ‘Golden Boy’ เทพแห่งที่ราบสูง?” มีวิทยากรได้แก่ ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ และ ดร. ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ โดยมี เอกภัทร์ เชิดธรรมธร เป็นผู้ดำเนินรายการ
สโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา “ตามหา ‘Golden Boy’ เทพแห่งที่ราบสูง?” จัดเต็มข้อมูลเด็ดเกี่ยวกับประติมากรรม โกลเด้นบอย มากมาย หลายประเด็นไม่เคยเปิดเผยที่ใดมาก่อน โดยนักวิชาการชั้นนำระดับประเทศ ผู้รู้ลึก รู้จริง ทั้งมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการติดตามทวงคืนโบราณวัตถุ สมบัติชาติหลายชิ้นในต่างแดน วิทยากรทั้งสองยังแชร์ความรู้ มุมมองต่าง ๆ มากมาย เรียกว่า “ไม่มีกั๊ก” ไล่เรียงตั้งแต่ต้นตอการกำเนิด โกลเด้นบอย ความเกี่ยวข้องกับ “ราชวงศ์มหิธรปุระ” ของเขมรโบราณ จนถึงประสบการณ์โชกโชนด้านการทวงคืนมรดกไทย และการพิสูจน์ว่าประติมากรรม โกลเด้นบอย พบในประเทศไทยจริง ๆ
@@@@@@@
เยือนบ้านยางโป่งสะเดา พิสูจน์ที่ตั้ง “โกลเด้นบอย”
ดร. ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ นักวิชาการอิสระด้านโบราณคดี เริ่มด้วยการแนะนำว่า โกลเด้นบอย (Golden Boy) คือ ประติมากรรมสำริด กะไหล่ทอง แห่งกรุประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ไทยได้คืนจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้การครอบครองของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ เมโทรโปลิทัน (The Metropolitan Museum of Art หรือ The MET) ก่อนหน้านั้น ป้ายอธิบาย โกลเด้นบอย ระบุว่าเป็น “พระศิวะยืน” จากนครวัด เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ก่อนจะพิสูจน์ทราบกันภายหลังว่า แท้จริงพบที่ประเทศไทย และถูกจำหน่ายไปตั้งแต่ พ.ศ. 2531
ดร. ทนงศักดิ์ กล่าวว่า “ในพิพิธภัณฑ์ MET เขาเขียนว่า ‘อังกอร์ (นครวัด) เสียมเรียบ’ ให้รายละเอียดครบถ้วน จึงไม่เคยต้องสงสัยเลยว่าเป็นของไทยมาก่อน กระทั่งเราพบว่ามีเอกสารของ ดักลาส แลตช์ฟอร์ด ระบุว่า ‘มีประติมากรรมสำคัญพบในประเทศไทย เป็นแบบบาปวน กะไหล่ทอง อยู่ที่ Metropolitan’ อ้างอิงของเอกสารนี้บอกว่า เจอที่บ้านยาง อ. ละหาน และยังมีส่วนฐานหินปรากฏให้เห็นอยู่ ไม่ได้อยู่ในกัมพูชา แปลว่าต้องเป็นของประเทศไทยแน่ ๆ”
ก่อนจะไล่เรียงให้ทราบว่า เราพิสูจน์ได้อย่างไรว่า นี่คือโบราณวัตถุของไทยจริง ๆดร. ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ ใน สโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา “ตามหา ‘Golden Boy’ เทพแห่งที่ราบสูง?”การติดตามหาฐานประติมากรรม โกลเด้นบอย นั้น ดร. ทนงศักดิ์ ค้นคว้าจากหลักฐานมากมาย โดยเฉพาะหนังสืออ้างอิงบันทึกการค้า-ขาย ประติมากรรมชิ้นนี้ มีหลักฐานสำคัญ คือ เอกสารของ ดักลาส แลตช์ฟอร์ด (Douglas A.J. Latchford) นายหน้าค้าโบราณวัตถุ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำประติมากรรมชิ้นนี้ส่งออกนอกประเทศ ทำให้ติดตามจนได้ไปพบปราสาทบ้านยางโป่งสะเดา อ. ละหานทราย จ. บุรีรัมย์
ดร. ทนงศักดิ์ เผยว่า แม้ ดักลาส แลตช์ฟอร์ด จะมีส่วนทำให้มรดกไทยถูกส่งออกไปต่างประเทศจำนวนมาก แต่คุณูปการสำคัญของแลตช์ฟอร์ดคือบันทึกการซื้อ-ขายของเขา กลายเป็นหลักฐานสำคัญในการติดตามที่มาของ โกลเด้นบอย เพราะมีระบุชัด ทั้งที่ตั้ง แหล่งที่พบ ราคาซื้อ ราคาขาย คือมีข้อมูลเกือบทั้งหมดที่เป็นประโยชน์ต่อการติดตาม และเป็นหลักฐานฟ้องร้องดำเนินคดี เพื่อการส่งคืนโบราณวัตถุชิ้นนี้
ที่บ้านยางโป่งสะเดา ดร. ทนงศักดิ์ ได้พบร่องรอยฐานของซากปราสาท รวมถึงร่องรอยฐานหินที่เชื่อว่าเคยเป็นฐานของประติมากรรมมาก่อน มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เซนติเมตร ดร. ทนงศักดิ์ ได้พูดคุยสอบถาม ครอบครัวคุณเสถียร ชาวบ้านยางโป่งสะเดา ซึ่งคุณเสถียรให้ข้อมูลว่า คุณพ่อของเขาคือคนที่เคยติดต่อกับแลตช์ฟอร์ด และเป็นผู้อนุญาตให้แลตช์ฟอร์ดเช่าบ้านทำเป็นสำนักงานซื้อ-ขายประติมากรรมกรุประโคนชัย
ดร. ทนงศักดิ์ ชี้ว่า เหตุการณ์ที่ทำให้ข้อมูลจากคุณเสถียรมีความน่าเชื่อถือคือ เมื่อเปิดภาพ โกลเด้นบอย ให้เขาดู คุณเสถียรเอ่ยขึ้นทันทีว่า ประติมากรรมนี้มีความสูงราว ๆ 110 ซม. ซึ่งใกล้เคียงกับข้อมูลในหนังสือของแลตช์ฟอร์ดมาก นั่นคือ 105 ซม.
ด้านลูกสาวของคุณเสถียรให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า จำประติมากรรมนี้ได้ดี เพราะเป็นคนล้างทำความสะอาดเอง และยังเผลอทำประติมากรรมชำรุดก่อนซ่อมแซมแล้วส่งขาย รวมถึงชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็ช่วยยืนยันข้อมูลที่ตรงกัน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ประจำหมู่บ้าน คือพบแล้วขายเลยในคืนเดียว ในสนนราคา 1 ล้านบาท ก่อนจะมีการจัดมหรสพเฉลิมฉลองกันในหมู่บ้านอย่างยิ่งใหญ่ เหล่านี้คือสิ่งยืนยันว่า โกลเด้นบอย พบในไทย ที่บ้านยางโป่งสะเดานี่แหละ!
สำหรับทฤษฎีที่ว่า โกลเด้นบอยไม่น่าและไม่ควรเป็น “พระศิวะ” ตามป้ายกำกับของ The MET ดร. ทนงศักดิ์ ชี้แจงว่า ตัวโกลเด้นบอย ไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ บ่งบอกว่าเป็นพระศิวะเลย และไม่น่าใช่เทพทวารบาลด้วย น่าจะเป็น พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 มากกว่า
การศึกษาตัวตนของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 แห่งวงศ์มหิธรปุระ มีจารึกจำนวนหนึ่งที่เอ่ยถึงพระองค์ เช่น จารึก K384 ที่กล่าวถึงบรรพบุรุษของพระองค์ว่า อยู่ที่ กษิตินทราคราม (บ้างสะกด กษิตินทราคาม) ซึ่งนักวิชาการค้นหากันมานานแล้วว่าอยู่ที่ไหน หากโกลเด้นบอย คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 จึงเป็นไปได้ว่า ปราสาทบ้านยางโป่งสะเดา คือกษิตินทราคราม
รวมถึงจารึกที่พนมซ็อนดอก ที่เล่าถึงเมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 เสด็จขึ้นครองราชย์ โดยมีราชครูศรีทิวากรบัณฑิตเป็นผู้ประกอบพิธีราชาภิเษก ช่วยยืนยันว่า พระองค์มีตัวตนอยู่จริง และมีพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1 ครองราชย์ต่อจากพระองค์ จากนั้นจึงเป็นพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างปราสาทพนมรุ้งกับปราสาทนครวัด ทั้งหมดล้วนเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์มหิธรปุระ วงศ์วานของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6
ดร. ทนงศักดิ์ ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ความโดดเด่นของโกลเด้นบอยและปราสาทพิมาย ล้วนเป็นตัวแทนของศิลปะเฉพาะตัว ที่ไม่ใช่ทั้งศิลปะแบบบาปวนและศิลปะแบบนครวัด คือเป็น “ศิลปะแบบพิมาย” จากหลักฐานทางศิลปกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะผังปราสาท ที่ศาสตราจารย์ฌ็อง บัวเซอลีเยร์ เคยให้ข้อสังเกตไว้ว่าเป็นต้นแบบก่อนการสร้าง “ปราสาทนครวัด” ด้วย
@@@@@@@
“โกลเด้นบอย” ผีบรรพชนแห่งกษิตินทราคราม
ก่อนที่ ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์และโบราณคดี จะเริ่มพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับ โกลเด้นบอย ว่าเป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 จริงหรือ ในเรื่องนี้เขายืนยันว่า “จริงแท้แน่นอน”
ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้เกริ่นถึงเรื่องราวต้นกำเนิดของ โกลเด้นบอย ก่อนว่า ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นพระเชษฐบิดรของราชวงศ์มหิธรปุระ หรือแปลง่าย ๆ คือ ผีบรรพชน สิ่งที่สามารถบอกได้ว่า ประติมากรรมล้ำค่าชิ้นนี้เป็น “พระเจ้าชัยวรมันที่ 6” มีเหตุผลหลัก ๆ 3 ประการ ได้แก่
ประการแรกคือ “รูปแบบที่ตั้ง” จะเห็นว่าสถานที่ค้นพบ โกลเด้นบอย คือ ปราสาทบ้านยางโป่งสะเดา อ. ละหานทราย จ. บุรีรัมย์ มีการสันนิษฐานว่า พื้นที่แถบนี้เป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์มหิธรปุระ ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ก็เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ ทั้งอาณาบริเวณดังกล่าว ยังปรากฏประติมากรรมมากมาย ที่อยู่ในกลุ่มประติมากรรมสำริดแบบ “ประโคนชัย” โดยได้รับอิทธิพลแบบพุทธมหายาน เช่น ปราสาทเขาปลายบัดที่ 2 ซึ่งห่างกันเพียงแค่ 5 กิโลเมตร โดยเจอประติมากรรมรูปแบบเดียวกันกว่า 100 ชิ้น
หากเชื่อมโยงกับเหตุผลที่ 2 คือ “รูปแบบศาสนา” พื้นที่ตรงนั้นได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธมหายานอย่างมาก มีมาก่อนโกลเด้นบอยและราชวงศ์มหิธรปุระด้วยซ้ำ โดยศิริพจน์ได้ยกหลักฐานบันทึกของภิกษุ ที่อินเดีย โดยอดีตเป็นเจ้าชายมาออกบวช ในบันทึกเขาเรียกตัวเองว่า ปุณโยทยะ ซึ่งบันทึกดังกล่าวอยู่ในช่วงเดียวกับพระถังซัมจั๋ง ในช่วงนั้นพระพุทธศาสนากำลังแพร่หลายและมีหลากนิกายมาก
ภิกษุรูปนี้ก็ได้นำนิกายที่ตนเองนับถือ นั่นคือ นิกายโยคาจาร ไปแพร่หลายที่จีน เนื่องจากตอนนั้นจีนก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่พระพุทธศาสนาได้รับความนิยม โดยเฉพาะนิกายมหายาน แต่ขณะที่จะไปถึงจุดหมายเขาได้หยุดพักที่ “เจนละบก” หรือปัจจุบันคืออีสานใต้ และถ่ายทอดนิกายของตนเอง ก่อนที่จะเดินทางไปยังจีนต่อ
ทว่าการเผยแพร่ศาสนาพุทธ นิกายดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จในจีน เขาจึงเดินทางกลับมายังเจนละบกอีกครั้ง และพบว่าพระพุทธศาสนานิกายโยคาจารได้รับความนิยมอย่างมาก
ตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีได้เพิ่มเติมไว้ว่า คนที่รับพุทธศาสนาดังกล่าว ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป เพราะชาวบ้านยังคงหาเลี้ยงชีพตามปกติ แต่คนที่รับและเรียนรู้แนวคิดดังกล่าว น่าจะเป็นกลุ่มนักเรียนสงฆ์ในวิทยาลัย
เพราะในศรีเทพ ซึ่งเป็นหนึ่งเส้นทางที่เกี่ยวข้องและมีเครือข่ายกับแถวอีสานใต้ก็ปรากฏ “เขาคลังใน” ที่นักวิชาการคาดว่า อาจเป็นวิทยาลัยสงฆ์ เหมือนกับที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ประเทศอินเดีย แสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนา แบบมหายาน เจริญรุ่งเรืองในพื้นที่แถบนั้นมาก
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานด้านศาสนา ที่สามารถเชื่อมโยงได้ว่า “โกลเด้นบอย” คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 เพราะพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์มหิธรปุระนั้นเต็มไปด้วยความเลื่อมใสเกี่ยวกับพุทธศาสนา แบบมหายาน ซึ่งเชื่อมโยงกับประติมากรรมแบบประโคนชัย ที่แสดงให้เห็นถึงนิกายดังกล่าว ทั้งยังมีหลักฐานที่อาจบอกได้ว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 นับถือนิกายดังกล่าว จากจารึกหลักหนึ่ง ซึ่งศิริพจน์กล่าวไว้ว่า
“…มันมีจารึก ที่ตัวของ พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 นับถือศาสนาพุทธแบบมหายาน…”ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ ใน สโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา “ตามหา ‘Golden Boy’ เทพแห่งที่ราบสูง?”อย่างสุดท้ายที่สามารถบอกได้ว่า ประติมากรรมอันงดงามนี้ เป็นรูปแทนกษัตริย์แห่งลุ่มแม่น้ำมูล คือ เทคโนโลยีและรูปแบบการผลิต เพราะเมื่อเทียบกับประติมากรรมชิ้นอื่น ๆ ในกลุ่มประโคนชัย ที่พบในแถบใกล้ ๆ กัน จะเห็นว่ามีการหล่อด้วยเทคนิคแบบเดียวกัน ซึ่งเป็นแบบพิเศษเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ก่อนที่ศิริพจน์จะพูดถึง ความสำคัญของ “โกลเด้นบอย” โดยเขาเชื่อว่าประติมากรรมชิ้นนี้เชื่อมโยงกับความเชื่อ “พระเชษฐบิดร” หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ผีบรรพชน” ซึ่งมีความสำคัญมาก ๆ และแสดงให้เห็นถึงนัยยะสำคัญบางอย่าง โดยเฉพาะเมื่อเราได้ทราบว่าเดิมถูกตั้งไว้ที่ “ปราสาทบ้านยาง” ดังที่กล่าวไว้ว่า
“ในโลกโบราณของ Southeast Asia เราไม่ทำรูปเหมือนบุคคล…นึกถึงสมัยปลาย ร.3 กล้องถ่ายรูปเข้ามาในสยามใช่ไหมครับ คนไม่กล้าถ่ายรูป เพราะว่าถ่ายออกมามันเหมือนเกินไป วิญญาณมันโดนดูด เพราะฉะนั้นจึงไม่ทำรูปเหมือนกันในโลกโบราณ
การทำรูปเหมือนจึงเพื่อให้วิญญาณหรือว่าพลังงานในตัวของคนไปสถิตในนั้น ก็คือพลังของกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ ก็จะไปสถิตตรงนี้ กลายมาเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า ‘พระเชษฐบิดร’ คือผีบรรพชน แล้วตามคติโบราณ…พระเชษฐบิดรรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ได้เป็นปัจเจก
เพราะฉะนั้น การเจอรูปบุคคลที่น่าจะเป็นกษัตริย์ อยู่ที่ปราสาทตรงนี้ มันเลยน่าสนใจ”
ซึ่งความเชื่อนี้ก็ได้เชื่อมโยงไปถึงเหตุที่หลายคนสงสัยกันว่าทำไม “โกลเด้นบอย” ถึงได้มาประดิษฐานที่ปราสาทบ้านยางโป่งสะเดา โดยศิริพจน์ก็ให้เหตุผลว่า เหตุที่ทำให้ประติมากรรมชิ้นนี้อยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ เนื่องจากเขาสันนิษฐานว่า ปราสาทบ้านยางเป็นกษิตินทราคราม กล่าวคือเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6
เมื่อต้องการให้พื้นที่นี้มีความสำคัญ จึงต้องนำรูปสนองพระองค์ของบรรพชนมาตั้งไว้ตรงนี้ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก็ปรากฏอยู่ในหลายที่ เช่น ที่วัดพุทไธศวรรย์ จ. พระนครศรีอยุธยา ปราสาทพระเทพบิดร กรุงเทพฯ เป็นต้น
และสรุปประเด็นนี้ไว้สั้น ๆ แต่น่าสนใจว่า “เพราะฉะนั้นการที่เขาทำรูปโกลเด้นบอย ไปตั้งอยู่ที่บ้านยาง เพราะว่ามันเป็นกษิตินทราคราม คือถิ่นฐานดั้งเดิมของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6…การประดิษฐานรูปไหนไว้ตรงไหนมันมีนัยยะของตัวมันเอง นี่จึงเป็นสิ่งที่อยากเสนอว่าโกลเด้นบอยสำคัญมาก…แปลว่านี่คือรูปเชษฐบิดรของราชวงศ์ที่ไปสร้าง 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก อย่าง นครวัด นี่คือต้นวงศ์ของคนที่ไปสร้างตัวของเมืองนครธม ก็คือ เมืองนครหลวงที่เจ้าสามพระยาไปตี ซึ่งมันคือปราสาท 2 หลังที่ใหญ่ที่สุดของวัฒนธรรมเขมรโบราณ”
@@@@@@@
สังคมไทย ได้อะไรจาก “โกลเด้นบอย”
หลังจากพูดคุยกันมาอย่างจุใจ ก็ถึงเวลาที่จะต้องเข้าคำถามสุดท้าย โดย เอกภัทร์ เชิดธรรมธร ได้ถามไว้ว่า หลังจากที่ประเทศไทยได้ประติมากรรมชิ้นนี้กลับมา เราได้อะไรจากประติมากรรมชิ้นนี้ และควรจะจัดการอย่างไรเพื่อแสดงออกถึงคุณค่าในการกลับมาครั้งนี้บ้าง
ดร. ทนงศักดิ์ ให้ความเห็นเรื่องคุณค่าของโกลเด้นบอย ว่า
“หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ (ไทย-กัมพูชา) ที่แบ่งพรมแดนแล้ว ได้ค่อนข้างดีมาก เป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าวัฒนธรรมเขมรในอดีตมีพัฒนาการทางสังคมยังไง มันเกิดขึ้นในที่ราบสูงโคราช ก่อนแผ่ลงไปทางที่ลุ่มโตนเลสาบ เราเรียนวัฒนธรรมเขมรมักจะถูกสอนว่าวัฒนธรรมเขมรแผ่จากข้างล่างขึ้นมาข้างบนเสมอ เราไม่เคยนึกเลยว่าครั้งหนึ่งความยิ่งใหญ่ของตัววัฒนธรรมจะเกิดขึ้นบนที่ราบสูงแล้วแผ่ลงข้างล่าง ซึ่งหลักฐานนี้ (โกลเด้นบอย และปราสาทพิมาย) เป็นตัวยืนยันที่ดีมาก”
ส่วนศิริพจน์ให้ความเห็นเรื่องการสานต่อประติมากรรมชิ้นนี้ ว่า
“อย่างแรกคือ เวลาที่เราได้โบราณวัตถุ ไม่ใช่การจัดแสดงอย่างเดียว สิ่งที่มันสำคัญกว่าคือการผลิตชุดความรู้ แล้วก็เผยแพร่ออกไป การผลิตชุดความรู้ในที่นี้สามารถทำได้หลายอย่าง ไม่ใช่แค่จัดเสวนา ทุกวันนี้โลกอินเทอร์เน็ตไปถึงไหนแล้ว ทำอะไรที่คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ๆ แล้วก็เผยแพร่ไป อาจจะพ่วงเรื่องเศรษฐกิจเข้ามา ในเมื่อมันมาจากบ้านยาง…มันทำอะไรจากตรงนี้ได้…เราควรที่จะผลิตคอนเทนต์มา และหาวิธีในการจัดการคอนเทนต์นั้น ทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ชุมชนรอบ ๆ”
ชมย้อนหลัง สโมสรศิลปวัฒนธรรมเสวนา “ตามหา ‘Golden Boy’ เทพแห่งที่ราบสูง?” เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2567 แบบเต็มอิ่มกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ณ หอประชุม อาคารข่าวสด ได้ที่นี่ :- https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=714225144023023&t=17
อ่านเพิ่มเติม :-
• ปริศนา “ประติมากรรมสตรี” พนมมือไหว้ใคร เกี่ยวข้องกับ “Golden Boy” หรือไม่!? • ของหายต้องได้คืน! ประเทศไทยเคยได้โบราณวัตถุชิ้นไหนคืนอีกบ้าง นอกจาก “Golden Boy”? • “Golden Boy” รูปพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ประติมากรรมสำริด ศิลปะเขมรแบบพิมาย ที่ไทย (เพิ่ง) ได้คืนจากสหรัฐ!ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : ธนกฤต ก้องเวหา และ ปดิวลดา บวรศักดิ์ เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 25 มกราคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 25 มกราคม 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/on-view/art-and-culture-club/article_126137
|
|
|
246
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กาฬสินธุ์ พร้อมจัดเต็ม ประเพณีเทศกาลมาฆปูรณมีบูชา ทะเลธุงอีสาน
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2024, 06:29:18 am
|
. กาฬสินธุ์ พร้อมจัดเต็ม ประเพณีเทศกาลมาฆปูรณมีบูชา ทะเลธุงอีสานจังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงข่าวความพร้อมจัดใหญ่ จัดเต็มงานประเพณีเทศกาลมาฆปูรณมีบูชา ทะเลธุงอีสาน ประจำปี 2567 เดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเมืองฟ้าแดดสงยาง สืบสานประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้สู่ชุมชน
ที่โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นประธานการแถลงข่าวความพร้อมการจัดงานประเพณีเทศกาลมาฆปูรณมีบูชา ทะเลธุงอีสาน จ.กาฬสินธุ์ ประจำปี 2567
โดยมีนายธวัชชัย รอดงาม นายธนภัทร ณ ระนอง นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์, นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ ปลัด จ.กาฬสินธุ์, นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายก อบจ.กาฬสินธุ์, นางศิรดา มะลาสาย วัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์, พ.จ.ต.สำเนียง หวังเจริญ ท้องถิ่น จ.กาฬสินธุ์, นายพุทธภูมิ นาชัยเริ่ม นายอำเภอกมลาไสย, นางไคริกา ศิรประภาเดโช ประชาสัมพันธ์ จ.กาฬสินธุ์, หัวหน้าส่วนราชการ และสื่อมวลชน มาร่วมงานด้วยสำหรับงานประเพณีเทศกาลมาฆปูรณมีบูชา ทะเลธุงอีสาน จ.กาฬสินธุ์ ประจำปี 2567 ครั้งนี้ จ.กาฬสินธุ์ร่วมกับทุกภาคส่วนจัดขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ส่งเสริมเทศกาลงานประเพณีของจังหวัด สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ให้กับชุมชน และสร้างความร่วมมือส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระหว่างจังหวัดกาฬสินธุ์กับจังหวัดใกล้เคียงได้ร่วมอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
โดยปีนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่บริเวณโบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ในงานมีกิจกรรม พิธีอัญเชิญพระอุปคุต, พิธีบวงสรวงพระธาตุยาคู, การรำบูชาพระธาตุยาคู, ขบวนแห่สักการะพระธาตุยาคู, กิจกรรมทะเลธุง, สาธิตการทำธุง, การแสดงแสง สี เสียง มินิไลต์แอนด์ซาวด์, การแสดงแบบผ้าไทย, การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน, พิธีทำบุญตักบาตร เวียนเทียน, ตลาดนัดโบราณ และเฮือนโบราณ 18 หลัง เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมาทั้งนี้จะมีความพิเศษตรงที่ได้มีการเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนได้ร่วมถวายธุง เพื่อสักการะแด่องค์พระธาตุยาคู และการจัดทะเลธุงในปีนี้ จะมีการนำต้นธุงที่เป็นสีเหลือง ซึ่งเป็นสีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเรียงกันเป็นเลข 10 และนำต้นธุงที่เป็นสีม่วง ซึ่งเป็นสีของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มาเรียงไว้รอบๆ ส่วนบริเวณรอบนอกไปกว่านั้น จะเป็นธุงหลากสี ตามความชอบและความสะดวกของผู้มีจิตศรัทธาที่มาร่วมถวายธุงนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า พระธาตุยาคูเป็นเหมือนศูนย์รวมใจของชาวกาฬสินธุ์ หรือจะเรียกว่าศูนย์รวมใจของชาวอีสานก็ว่าได้ พวกเราชาวกาฬสินธุ์จึงรวมใจเป็นหนึ่งเดียวในการทำพิธีเพื่อสักการบูชาองค์พระธาตุยาคู และธุงก็มีความเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติในพุทธกาล จึงอยากจะเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านมาร่วมสักการบูชา และร่วมรับชมความงดงามของทะเลธุงที่กำลังจะจัดขึ้นในครั้งนี้Thank to : https://www.dailynews.co.th/news/3144226/4 กุมภาพันธ์ 2567 > 15:50 น. > ท้องถิ่น
|
|
|
247
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผ่าความคิดพวก "คบซ้อน" จิตแพทย์ เผย สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนๆ กัน
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2024, 06:23:54 am
|
, ผ่าความคิดพวก "คบซ้อน" จิตแพทย์ เผย สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนๆ กันคบซ้อน นอกใจ โลกหลายใบ กลุ่มคนที่มีลักษณะพฤติกรรมแบบนี้เกิดจากสาเหตุใดในมุมมองของจิตแพทย์ สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนๆ กัน
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เคยเผยถึงความนึกคิดของกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมการ คบซ้อน ว่า
คนเราเวลามีสัมพันธภาพกับใคร ต้องการให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน หากเราต้องการได้รับสิ่งเหล่านี้ก็ต้องทำในสิ่งเดียวกัน โดยต้องรู้จักใช้ สมองส่วนคิด ควบคุมความอยาก
การคบกันเราสามารถจะมีใจไขว้เขวได้จาก สมองส่วนอยาก แต่เราสามารถยับยั้งพฤติกรรมเหล่านี้ได้ด้วยการใช้สมองส่วนคิด รู้สึกได้แต่ไม่ทำ เพราะสมองส่วนคิดมีความเข้มแข็งมากกว่า
@@@@@@@
อย่างไรตาม การที่เกิดเหตุการณ์การ คบซ้อน เป็นเพราะเราใช้แต่สมองส่วนอยาก ไม่ได้มีการใคร่ครวญ ผู้ที่ทำเพราะคิดว่าตัวเองมีสิทธิ แต่ลืมคิดว่าหากเป็นตัวเอง อยากให้การคบโดยคบเราเป็นทางเลือก หรือไม่?
"การที่ใช้ความคิดตามใจเราเอง มันก็จะมีปัญหาได้ ถึงแม้จะคบเป็น 10 ปีก็มีปัญหาได้ เพราะไม่มีความลับในโลก ความรักนั้นไม่ได้รักกันเพียงปีหรือ 2 ปี แต่เป็นสัมพันธภาพที่ยืนยาวซึ่งไม่ได้อยู่ที่ความหวานชื่น แต่ตัวที่สำคัญ คือ มีความผูกพัน และมีความรับผิดชอบ แต่ความรู้สึกที่พิศวาสความรักหวานชื่นเป็นความรักส่วนอยาก แต่ความยั่งยืน คือ ความรักที่ทุกคนใฝ่ฝัน ซึ่งจะมาจากความผูกพันและความรับผิดชอบ ที่ต้องมาจากสมองส่วนคิดเป็นหลัก รู้จักมองใจเขาใจเรา มองระยะยาว ก็จะได้ข้อคิดสำหรับตัวเองมากขึ้น"
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
• รู้จักกฎหมายฟ้องชู้ เปิด 10 หลักเกณฑ์พิจารณาการเรียกค่าทดแทนThank to : https://www.amarintv.com/article/detail/591834 ก.พ. 67 | Powered by สุขภาพและความงาม
|
|
|
248
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บ้านนอกคอกนา หรือ บ้านนอกขอกนา? “ขอก” หรือ “คอก” กันแน่!?
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2024, 06:17:06 am
|
. ภาพถ่ายหน้าโรงเรียนประชาบาลตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เมื่อ ค.ศ. 1936 (ภาพจาก University of Wisconsin-Milwaukee Libraries)บ้านนอกคอกนา หรือ บ้านนอกขอกนา “ขอก” หรือ “คอก” กันแน่.!?เมื่อชูชกถูกเหล่าหมาของเจตบุตรไล่ขึ้นไปอยู่บนคาคบไม้ และเกลี้ยกล่อมจนเห็นเจตบุตรลังเลไม่ลั่นหน้าไม้แน่แล้ว จึงร้องสำทับไปว่า “เฮ้ย ๆ อ้ายชาวป่าหน้าบ้านนอก กูจะบอกคดี…”
ข้อความนี้ได้สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของชาวเมือง ที่มีต่อชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลเป็นอย่างดี และไม่เท่านั้น แม้ในระหว่างชนชั้นปกครองกันเอง ก็ยังมีความรู้สึกหยามเหยียดกันตามอำนาจหรืออิทธิพลที่ต่างคิดว่าตนมี ดังเช่นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ เมื่อทรงทราบถึงท่าทีของชาติตะวันตก มีความตอนหนึ่งว่า
“ทั้งนี้ก็เพราะมันไม่ได้นับถือเรา ว่าเป็นมนุษย์เหมือนตัวมันพวกมัน…ทั้งฝรั่งเศสแลอังกฤษ ก็คงคิดว่าเราเป็นสัตว์ สำหรับพวกมันจะแทะและแล่เถือ หรือหลอกใช้แรงดังโคกระบือ…การที่แหลมมาเป็นคำอังกฤษว่า new situation of your majesty’s kingdom นี้ว่ากระไร ดูเหมือนจะว่า จะต้องจัดเขตแดนแผ่นดินสยามเสียใหม่มิใช่หรือ…ล้วนเป็นแต่ท่วงทีมนุษย์ทำแก่สัตว์ดิรัจฉาน หรือสำนวนชาวเมืองชาวบ้าน พูดแก่คนเถื่อนคนป่า“
สำนวน “ชาวเมืองชาวบ้านพูดแก่คนเถื่อนคนป่า” เป็นเรื่องความรู้สึกที่ออกมาเป็นคำพูด เป็นลักษณะดูถูกหรือดูหมิ่นหยามกันทางฐานะและความใกล้ชิดศูนย์อำนาจ คือเห็นว่าคนบ้านนอกขัดหูขัดตาน่ารำคาญ
ความรู้สึกทำนองนี้คงจะมีกันในทุกชาติ ทุกภาษา บางสังคมถึงกับแยกชนชั้นกันทางสายเลือดก็ยังมี ว่าจำเพาะในสังคมไทย มีสำนวนภาษาอยู่จำนวนหนึ่ง ที่เห็นร่องรอยลักษณะดังกล่าวนี้
@@@@@@@
ที่ชัดเจนหมดจดจริง ๆ คือสำนวน “บ้านนอกขอกนา” อันเป็นสำนวนสี่คำที่สัมผัสคู่กลาง อาจใช้ได้ทั้งในความหมายเหยียดหยันและเห็นอกเห็นใจ
ขอกนั้นแปลว่าเขต ว่าริม เคยใช้กันอย่างแพร่หลายในสังคมคนไทย ดังเช่นในบทละครนอกเรื่องสังข์ทอง ตอนพระสังข์เลียบเมือง เมื่อเสด็จเข้ามาใกล้ท้าวยศวิมลและนางจันท์เทวี ซึ่งแปลงเป็นชาวบ้าน “ลืมตัว กลัวเกรงภูวไนย ลุกยืนขึ้นได้ตั้งใจดู” พวกเกณฑ์ตกใจ รีบกรูเข้าเงื้อง่าหวายหมายจะเฆี่ยนตี พระสังข์ตรัสห้ามว่า
ช่างเถิดเสนาอย่าวุ่นวาย ตายายชาวบ้านนอกขอกนา
ในนิราศพระประธมของท่าสุนทรภู่ ตอนเดินทางถึงบ้านโพเตี้ย กล่าวถึงศาลเจ้าที่มีคนทรงชักจูงให้ชาวบ้านลุ่มหลงเพราะอยู่ห่างไกลเจ้านายว่า
แต่บ้านนอกขอกนาอยู่ป่าเขา ไม่มีเจ้านายจึงต้องพึ่งผี
ครับ มันเป็นอย่างนี้ คำว่า ขอก ทั้งเสียงและความหมาย ใกล้เคียงกับคำว่า คอก ที่คนไทยรู้จักกันดี และมีลักษณะเป็นรูปธรรมให้เห็นได้ สำนวนนี้จึงกลายเป็น “บ้านนอกคอกนา” ดังเช่นในเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระพิจิตรต่อว่าไวยที่ทุบตีศรีมาลา ความว่า
แต่แรกเริ่มเดิมนั้นได้สัญญา ว่าลูกข้ามันไม่สู้รู้อะไร ด้วยเป็นชาวบ้านนอกคอกนา กิริยาพาทีหาดีไม่
เป็นอันว่า โดยคำแล้วสำนวนนี้มีทั้ง “ขอก” และ “คอก”
@@@@@@@
อ่านเพิ่มเติม :-
• อัตลักษณ์ราษฎร ในทัศนะของกรมพระยาดำรงฯ • ภาพของ “เมือง” ในวรรณกรรมหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง
หมายเหตุ : คัดลอกเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ“บ้านนอกขอกนา กะลาเลี่ยมทอง”เขียนโดย ล้อม เพ็งแก้ว ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2546ขอขอบคุณ :- ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม 2546 ผู้เขียน : ล้อม เพ็งแก้ว เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 18 กันยายน 2561 URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_20376?utm_source=msn_news&utm_medium=footer_click
|
|
|
249
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โคทัตตเถรคาถา
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2024, 08:50:37 am
|
. พระโคทัตตเถระว่าด้วย : ผู้ไม่ติดอยู่ในโลก เหตุการณ์ : บุพกรรมและคาถาสุภาษิตของพระโคทัตตเถระ
ท่านพระโคทัตตเถระได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานในภพนั้น ๆ ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก
ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลแห่งพ่อค้าเกวียนในกรุงสาวัตถี ชื่อว่าโคทัตตะ เมื่อท่านเจริญวัยแล้ว บิดาของท่านตายลง ท่านจึงรวบรวมทรัพย์เอาเกวียน ๕๐๐ เล่มบรรทุกสินค้า ท่องเที่ยวไป ๆ มา ๆ เลี้ยงชีพด้วยการค้าขาย กระทำบุญตามกำลังสมบัติ
วันหนึ่ง เมื่อโคที่เทียมแอกไว้ไม่สามารถลากเกวียนไปได้ ท่านจึงแทงโคนั้นที่หางอย่างแรง โคนั้นโกรธ กล่าวว่าโคลากเกวียนของท่านไปอย่างเต็มกำลังตลอดมา แต่วันนี้ท่านทำร้ายอย่างรุนแรง เพราะเหตุที่โคไม่อาจลากเกวียนนี้ไปได้ ถ้าโคตายจากอัตภาพนี้แล้ว จะขอตามเบียดเบียนท่านในอัตภาพหน้า เมื่อโคทัตตะได้ฟังจึงคิดว่าการเลี้ยงชีพด้วยการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรท่านเกิดความสังเวช ละสมบัติทั้งหมด บวชในสำนักของพระมหาเถระรูปหนึ่ง บำเพ็ญวิปัสสนากรรม ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต ยับยั้งอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่สมาบัติ
วันหนึ่งจึงปรารภโลกธรรมของหมู่พระอริยะ ผู้เป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต ผู้มายังสำนักของตน เมื่อจะแสดงธรรม จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
@@@@@@@
โคทัตตเถรคาถา คาถาสุภาษิตของพระโคทัตตเถระ
โคอาชาไนยที่ดีอันเขาเทียมแล้วที่แอกเกวียน ไปได้ไม่ย่อท้อต่อภาระอันหนัก ไม่ทอดทิ้งเกวียนอันเขาเทียมแล้ว แม้ฉันใด บุคคลเหล่าใดบริบูรณ์ด้วยปัญญา เหมือนมหาสมุทรอันเต็มด้วยน้ำ บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ดูหมิ่นผู้อื่น ฉันนั้น ย่อมเป็นดังอริยธรรมของสัตว์ทั้งหลาย
นรชนผู้ตกอยู่ในอำนาจของเวลา ตกอยู่ในอำนาจของภพน้อยภพใหญ่ ย่อมเข้าถึงความทุกข์และต้องเศร้าโศก
คนพาลไม่พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง ย่อมเดือดร้อนด้วยเหตุ ๒ อย่าง คือ มีใจฟูขึ้นเพราะเหตุแห่งสุข ๑ มีใจฟุบลง เพราะเหตุแห่งทุกข์ ๑
ชนเหล่าใดก้าวล่วงตัณหาเครื่องร้อยรัดในทุกขเวทนา ในสุขเวทนา และในอทุกขมสุขเวทนา ชนเหล่านั้นเป็นผู้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเหมือนเสาเขื่อน เป็นผู้ไม่ฟูขึ้นและฟุบลง ชนเหล่านั้นย่อมไม่ติดอยู่ในลาภ ความเสื่อมลาภ ในยศ การเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุขและทุกข์ทั้งหมด ดังหยาดน้ำไม่ติดอยู่บนใบบัว ฉะนั้น
• นักปราชญ์ทั้งหลายมีความสุข และได้ชัยชนะในที่ทุกแห่งไป การไม่ได้ลาภโดยชอบธรรมกับการได้ลาภโดยไม่ชอบธรรม ทั้งสองอย่างนี้ การไม่ได้ลาภอันชอบธรรมประเสริฐกว่า การได้ลาภอันไม่ชอบธรรมจะประเสริฐอะไร
• คนไม่มีความรู้ มียศ กับคนมีความรู้ แต่ไม่มียศ คนมีความรู้ไม่มียศประเสริฐกว่า คนไม่มีความรู้มียศจะประเสริฐอะไร
• การสรรเสริญจากคนพาล กับการติเตียนจากนักปราชญ์ การติเตียนจากนักปราชญ์ประเสริฐกว่า การสรรเสริญจากคนพาลจะประเสริฐอะไร
• ความสุขอันเกิดจากกามคุณ กับความทุกข์อันเกิดจากวิเวก ความทุกข์อันเกิดจากวิเวกประเสริฐกว่า ความสุขอันเกิดจากกามคุณจะประเสริฐอะไร
• ความเป็นอยู่โดยไม่ชอบธรรม กับความตายโดยธรรม ความตายโดยธรรมประเสริฐกว่า ความเป็นอยู่โดยไม่ชอบธรรมจะประเสริฐอะไร
@@@@@@@
ชนเหล่าใดละกามและความโกรธได้แล้ว มีจิตสงบระงับเที่ยวไป ในภพน้อยภพใหญ่ ไม่ติดอยู่ในโลก ชนเหล่านั้นไม่มีความรักความชัง
บุคคลเจริญโพชฌงค์ ๗ อินทรีย์ ๕ และพละ ๕ แล้วบรรลุถึงความสงบอันยอดเยี่ยม หาอาสวะมิได้ ย่อมปรินิพพาน ขอขอบคุณ :- ที่มา : แสงธรรมแห่งพระไตรปิฎก อ้างอิง : โคทัตตเถรคาถา พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๖ ข้อที่ ๓๘๒ URL : https://uttayarndham.org/node/5048image by : https://uttayarndham.org/dhama-daily
|
|
|
252
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทุ สะ นะ โส - บุญมี บาปมี นรกมี สวรรค์มี
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2024, 08:01:01 am
|
. ทุ สะ นะ โส สัมมาทิฏฐิ หมายถึงความเห็นชอบ ว่าบุญมี บาปมี นรกมี สวรรค์มี เรียกว่ารู้ดี พอมีสัมมาทิฏฐิ คือรู้ดีอย่างนี้แล้ว การพูดดี ทำดี คิดดี ก็จะตามมา ตรงกันข้าม คนที่มีมิจฉาทิฏฐิ รู้ผิดก็จะทำความดีไม่ได้
ดังมีเรื่องเล่าในสมัยพระพุทธเจ้า ว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลบรรทมหลับแล้วทรงสุบินคือฝันว่าได้ยินเสียงเปรตร้องส่งเสียงดักกึกก้องว่า ทุ สะ นะ โส อยู่ในโสตประสาทตกพระทัยสะดุ้งตื่นจากบรรทม จึงรับสั่งให้ไปตามพราหมณ์ปุโรหิตมาเฝ้าทำนายฝัน
พราหมณ์ปุโรหิตพวกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ต่างทูลว่า จักเป็นลางร้ายต่อราชสมบัติของพระองค์ พวกเขากราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลว่าต้องทำบูชายัญด้วยการฆ่าม้า ช้าง แกะ แพะ อย่างละ ๕๐๐ ตัว รวมทั้งฆ่ามนุษย์ที่เป็นทาสกรรมกรอีก ๕๐๐ คนด้วย
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเชื่อคำของพวกเขาแล้วรับสั่งให้จับคนและสัตว์เหล่านั้นมากักขังไว้ เพื่อเตรียมฆ่าบูชายัญ มีเสียงร้องระงมไปทั่ววัง พระไปบิณฑบาตได้ยินเสียงร้องจึงถามว่า เสียงอะไรอึกทึกคึกโครม ได้รับคำตอบว่าพระเจ้าแผ่นดินกำลังเคราะห์ร้าย ทรงได้ยินเสียงเปรตนรกพูดว่า ทุ สะ นะ โส ต้องฆ่าสัตว์บูชายัญอย่างละ ๕๐๐
ฝ่ายที่เป็นสัมมาทิฏฐิไปกราบทูลแนะนำพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ให้เสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลถามว่า ที่ทรงได้ยินเสียงว่า หมายถึงอะไร.?
@@@@@@@
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลถามปัญหานี้ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
แต่กาลก่อนในพระนครนี้ มีบุตรเศรษฐี ๔ คน ทำความผิดต่อภรรยาคนอื่นตายไปเกิดในโลหกุมภีนรกจมลง ๖๐,๐๐๐ ปี ดำผุดดำว่ายอยู่ในนรกนั้นลงไปถึงก้นนรกแล้วผุดขึ้นมา เปรตตนที่หนึ่งพูดได้คำเดียวว่า ทุ แล้วก็จมลงไป เปรตตนที่สองพูดได้คำเดียวว่า สะ แล้วก็จมลงไป เปรตตนที่สามพูดได้คำเดียวว่า นะ แล้วก็จมลงไป เปรตตนที่สี่พูดได้คำเดียวว่า โส แล้วก็จมลงไป
- คำว่า ทุ มาจากคำว่า ทุชฺชีวิตมฺชีวมฺหา เป็นต้น แปลความว่า เราเมื่อมีโภคสมบัติอยู่ ไม่ได้ให้ทานเลย ไม่ได้ทำที่พึ่งสำหรับตนเลย จัดว่ามีชีวิตอยู่ชั่วช้า - คำว่า สะ มาจากคำว่า สฏฺฐิวสฺสสหสฺสานิ เป็นต้น แปลความว่า เราไหม้อยู่ในนรกตั่ง ๖๐,๐๐๐ ปี เมื่อไรจักสิ้นสุดกันเสียที - คำว่า นะ มาจากคำว่า นตฺถิ อนฺโต กุโต อนฺโต เป็นต้น แปลความว่า ไม่มีที่สิ้นสุด จะสิ้นสุดได้แต่ที่ไหน ความสิ้นสุดไม่ปรากฏเลย พวกเราเอ๋ย เพราะข้ากับเจ้าทำบาปกรรมไว้มากในครั้งนั้น - คำว่า โส มาจากคำว่า โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา เป็นต้น แปลความว่า เราพ้นไปจากโลหกุมภีนี้แล้ว ได้เกิดเป็นมนุษย์รู้ถ้อยคำของพวกยาจก มีศีลสมบูรณ์ จักต้องสร้างกุศลไว้ให้มากเป็นแน่แท้
@@@@@@@
พระเจ้าปเสนทิโกศลพอได้สดับคำอรรถาธิบายของพระพุทธเจ้าอย่างนั้น ทรงรับสั่งให้เลิกบูชายัญ ปล่อยสัตว์ทั้งหลายเป็นอิสระ ทรงถวายทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
นี่แสดงว่า เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้สดับคำอรรถาธิบายของพระพุทธเจ้าแล้วได้สัมมาทิฏฐิ คือ ความรู้ดี จึงเกิดสัมมาสังกัปปะ คือ คิดดี มีเมตตา กรุณาต่อสัตว์ที่ถูกจับเพื่อบูชายัญ และทำดีด้วยการไว้ชีวิตสัตว์เหล่านั้นขอขอบคุณ :- ข้อธรรม : บันทึกจากเจ้าอาวาส ลำดับที่ ๑๐๑ , จากพระธรรมเทศนา ๕๗ กัณฑ์ เรื่องสัมมาทิฏฐิกถา ว่าด้วยเรื่องความเห็นชอบ , สมัยดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙.,Ph.D) , แสดงในพระอุโบสถวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร , เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ Image by : https://www.pinterest.ca/pin/16255248648897859/URL : https://www.watprayoon.com/main.php?url=about1&code=content139&id=150
|
|
|
254
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ประวัติ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม พระดังจังหวัดชัยนาท
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2024, 07:27:16 am
|
. ประวัติ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม พระดังจังหวัดชัยนาทหลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดโฆสิตาราม จังหวัดชัยนาท พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในจังหวัดชัยนาทและทั่วประเทศ เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก และเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนมากมาย วัตถุมงคลของท่านยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันหลวงพ่อกวย ภาพจากเฟซบุ๊ก วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร อย่างเป็นทางการประวัติหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร มีนามเดิมว่า กวย ปั้นสน เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2448 ปีมะเส็ง ที่หมู่บ้านแค หมู่ 9 ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีพี่น้องรวมกัน 5 คน
ในวัยเด็กได้มีโอกาสเรียนหนังสือขอมและบาลีจนเชี่ยวชาญ ต่อมาได้อุปสมบทขณะอายุ 20 ปี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2467 เวลา 15.17 น. ที่ พระอุโบสถวัดโบสถ์ ต.โพธิ์งาม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท โดยมี พระชัยนาทมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อปา วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เเละพระอาจารย์หริ่ง เป็นอนุสาวนาจารย์ ซึ่งหลวงพ่อกวยได้รับฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า ผู้ตัดซึ่งกิเลส
หลังบวช หลวงพ่อกวย ได้จำพรรษาอยูที่วัดบ้านแค (วัดโฆสิตารามในปัจจุบัน) โดยได้ศึกษา หัดเทศน์เวสสันชาดก ฝึกวิชาแหล่-เทศน์ ซึ่งมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ ยังมีบันทึกด้วยว่าหลวงพ่อกวยได้ศึกษาวิชาแพทย์โบราณกับ หมอเขียน เพื่อเรียนวิชารักษาโรคระบาด หรือโรคห่าเเละ โรคไข้ทรพิษด้วย
นอกจากนี้ หลวงพ่อกวย ยังได้ศึกษาวิชาอาคม การทำยันต์ เครื่องรางของขลัง โดยได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์พระชื่อดัง อาทิ หลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ได้วิชายันต์ และคาถานะโมตาบอดจาก หลวงพ่อศรี
อีกหนึ่งวิชาของหลวงพ่อกวยที่มีชื่อเสียงโด่งดังการการสักยันต์ มีศิษย์เดินทางมาให้หลวงพ่อสักยันต์มากมาย ทั้งกลางวัน กลางคืน จนเมื่อเมื่อถึงแก่เวลาหลวงพ่อจึงได้หยุดสักยันต์ และได้ทำพระ และเครื่องรางของขลังแจกลูกศิษย์ และผู้ที่ศรัทธา เช่น ตะกรุด มีดหมอ แหวน
ในช่วงปี 2521 หลวงพ่อเดิมได้ล้มป่วย และได้เข้ารับการรักษา โดยหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคขาดสารอาหาร หลวงพ่อกวยอยู่โรงพยาบาลไม่นานก็กลับวัด และหลวงพ่อกวยท่านได้มรณภาพในวันที่ 12 เมษายน 2522 สิริอายุ 74 ปี 54 พรรษาหลังมรณภาพ จนถึงปัจจุบัน หลวงพ่อกวย ยังคงเป็นที่เคารพศรัทธา มีลูกศิษย์เดินทางจากหลากหลายที่เดินทางไปกราบไหว้หลวงพ่อกวยอย่างไม่ขาดสาย ด้วยเชื่อว่าหลวงพ่อกวยจะช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย เจริญรุ่งเรือง การงานดี
• คาถาหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม คาถาโชคลาภ การงานสำเร็จดั่งหวังขอขอบคุณ :- ภาพ : วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร อย่างเป็นทางการ S! Horoscope : สนับสนุนเนื้อหา | 29 ม.ค. 67 (14:16 น.) URL : https://www.sanook.com/horoscope/271603/
|
|
|
255
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สายมูต้องรู้ ปิดทองพระ ปิดตำแหน่งไหนดีเพราะอะไร
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2024, 07:12:40 am
|
. สายมูต้องรู้ ปิดทองพระ ปิดตำแหน่งไหนดีเพราะอะไร”ปิดทองพระตำแหน่งไหนดี วันนี้รายการปาฏิหาริย์ ช่วง คณัสว่าดี มีทริคดีๆ มาฝากทุกคนค่ะ ใกล้เทศกาลวันพระสำคัญแล้ว มาดูทริคที่สายมูต้องรู้ ปิดทองพระ ปิดตำแหน่งไหนดีเพราะอะไร
สำหรับ ปิดทองพระตำแหน่งไหนดี ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ การปิดทองพระปิดได้ทุกตำแหน่งเลยค่ะ ตำแหน่งไหนก็ดีทั้งดีขอให้เรามีใจที่บริสุทธิ์ก็ดีแล้วค่ะไม่ว่าจะปิดทองในตำแหน่งไหน แต่วันนี้เราจะพาไปดู ความเชื่อโบราณ ปิดทองพระ ปิดตำแหน่งไหนดีเพราะอะไร ปิดทองตำแหน่งไหนดี สำหรับ บทความนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ มาเริ่มกันที่ ตำแหน่งที่ 1
1. พระเศียร (ศรีษะ) มีสติปัญญาแหลมคม มีความจำเป็นเลิศ ฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ ได้ด้วยสติปัญญา ทำงานฉับไว ความคิดโลดแล่นไม่ติดขัด 2. พระพักตร์ (ใบหน้า) ชีวิตก้าวหน้าทั้งด้านการงาน การเงิน คิดทำสิ่งใดจะประสบความสำเร็จในชีวิต ทำอะไรก็เจริญรุ่งเรือง 3. พระอุระ (หน้าอก) เสริมสง่าราศีในตัวเอง เป็นที่รักของผู้คน ใครเห็นต่างก็รักและชื่นชม 4. พระหัตถ์ (มือ) เป็นที่เคารพยกย่องของผู้ที่พบเห็น เสริมบารมี อำนาจ จับอะไรเป็นเงินเป็นทอง 5. พระอุทร (ท้อง) มีกินมีใช้ไม่ขัดสน ไม่อดยาก ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง 6. พระนาที (สะดือ) ชีวิตจะไม่พบเจอกับความอดอยาก มีเงินทองใช้คล่องมือ 7. พระบาท (เท้า) มีความเป็นอยู่ที่ดี ชีวิตจะเจอแต่ความราบรื่น ความสมบูรณ์ ไปที่ไหนก็ไม่ลำบากมีคนคอยช่วยเหลือ 8. ฐานรองพระองค์ หน้าที่การงานมั่งคง ประสบความสำเร็จในอาชีพที่ใฝ่ฝัน 9. หลังองค์พระพุทธรูป (ด้านหลัง) การปิดทององค์พระให้สมบูรณ์ต้องปิดทองด้านหลังด้วย ช่วยเสริมความดีงาม เสริมบารมี ทำดีไม่สูญเปล่า เกิดชาติหน้าจะมีผิวพรรณที่ดี งดงาม มีสง่าราศรีคำอธิษฐานเวลาปิดทองพระ
เมื่อเลือกตำแหน่งที่จะปิดทองได้แล้วให้กล่าวตามนี้ค่ะ "ด้วยอานิสงส์แห่งการปิดทองนี้ ขอให้ข้าพเจ้าเติมเต็มสิ่งดีๆ ที่ยังไม่เต็มอยู่ให้บริบูรณ์"
แต่ถ้าเกิดไปพบพระพุทธรูปที่มีคนปิดทองเต็มองค์ ชนิดแน่นแล้ว ก็ปิดทองลงไปทับทองของคนอื่นนั่นแหละ แล้วอธิษฐานว่า "การใดที่เป็นสิ่งดีงาม ที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ก็ขอให้ข้าพเจ้าทำให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไปอีกเถิด"
กล่าวแบบรวบยอด "ถ้าขาด ก็ทำให้เต็ม ถ้าเต็มอยู่แล้ว อย่างน้อยรักษาไว้ หรือทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก"Thank to : https://www.thainewsonline.co/belief/belief/86645902 กุมภาพันธ์ 2567
|
|
|
256
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โซเมีย และคน ‘ไม่ไทย’
|
เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2024, 10:17:33 am
|
. โซเมีย และคน ‘ไม่ไทย’ ประวัติศาสตร์ไทย คือเรื่องราวความเป็นมาของดินแดน (หรือพื้นที่) และผู้คน (หรือประชากร) ในประเทศไทยปัจจุบัน อันเป็นส่วนหนึ่งที่แยกไม่ได้จากเรื่องราวความเป็นมาของดินแดนและผู้คนบนโซเมียในสุวรรณภูมิและอุษาคเนย์
นิยามและคำอธิบายเรื่องโซเมียต่อไปนี้เรียบเรียงจากข้อเขียน (พบในคอมพ์) และงานค้นคว้าที่พิมพ์เผยแพร่ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ (นักปราชญ์ร่วมสมัย) ดังต่อไปนี้
โซเมีย (Zomia) เป็นชื่อเรียกบริเวณที่สูงอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งเอเชีย อันประกอบด้วยทิวเขาสลับซับซ้อนและสูงลิ่ว สลับกับที่ราบลุ่มน้ำหลายขนาดมีเล็กบ้างใหญ่บ้าง ตั้งแต่จีนตอนใต้ลงไปครอบคลุมถึงไทย ดังนี้
1. จีนตอนใต้ บริเวณทางใต้แม่น้ำแยงชี ครอบคลุมพื้นที่ซึ่งแผ่ไป 2 ทิศทาง ได้แก่ ทางตะวันตก ถึงที่ราบสูงทิเบต, เทือกเขาหิมาลัย ทางตะวันออก ถึงเทือกเขา (ตะวันตก) ในเวียดนาม, ลาว พม่า (ตอนเหนือ) และไทย
2. ครอบคลุมถึงไทย (ไม่นับภาคกลางตอนล่าง และคาบสมุทรมลายู) ได้แก่ ภาคเหนือ ลุ่มน้ำกก, อิง, ปิง, วัง, ยม, น่าน ภาคกลางตอนบน บริเวณลุ่มน้ำยม-น่าน เป็นชายขอบโซเมีย ภาคอีสาน อยู่ส่วนปลายของโซเมีย รัฐที่ใช้ภาษาไท-ไตในที่ราบสูงอีสานล้วนตั้งบนส่วนหนึ่งของโซเมีย
ไตยวน, ไตลื้อ, ไตเขิน, ไตโหลง (หลวง), ไตแข่ (แขก), ไตอาหม, ผู้ไท (ไทดำ, ไทขาว, ไทแดง), ตลอดไปถึงไทลาย, ผู้ญัย, ไทโท้ (โถ่, ถู่) ในตอนเหนือสุดของเวียดนามและบางส่วนของกวางสี, รวมทั้งจ้วง และคนไท-ไตอีกมากมายที่อยู่ปะปนกับคนในกลุ่มชาติพันธุ์อื่นในหลายชุมชนทางตอนใต้ของจีน คนเหล่านี้ล้วนมีชีวิตอยู่บนโซเมีย รวมทั้งหากยังจดจำอดีตของตนได้ก็เป็นเรื่องราวเกิดขึ้นบนโซเมียทั้งสิ้น
[เรียบเรียงใหม่จากข้อมูลที่พบในคอมพ์ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์]
@@@@@@@
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก่อนหน้านี้บอกว่าโซเมียคือ “ที่สูงแห่งเอเชีย” เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มิทิวเขาสลับซับซ้อนกลางทวีปเอเชียค่อนลงทางใต้ จากเวียดนามไปทางตะวันตก (และย้อยลงไปในกัมพูชา) จนถึงด้านตะวันออกของอินเดีย รวมรัฐเล็กรัฐน้อยในเทือกเขาหิมาลัย มีพื้นที่มากกว่า 2.5 ล้านตารางกิโลเมตร ความสูงประมาณ 300 เมตรขึ้นไปเหนือระดับน้ำทะเล (กรณีกล่าวถึงผู้คนบน “ที่สูงแห่งเอเชีย” นี้ มักไม่นับรวมเสฉวน ซึ่งถูกผนวกเข้าไปในจักรวรรดิจีนมานานแล้ว และไม่รวมรัฐในเทือกเขาหิมาลัย เพราะไม่มีประวัติสัมพันธ์เชื่อมโยงกับผู้คนบนโซเมียอื่นๆ)
บริเวณโซเมียมีที่ราบในหุบเขากระจายอยู่ทั่วไปทั้งขนาดใหญ่และน้อยอันเป็นที่ตั้งของชุมชนเมือง ซึ่งบางแห่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐใหญ่อื่น บางแห่งเป็นอิสระในตัวเอง บางแห่งแม้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐใหญ่ในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติกลับมีอิสระปกครองและดำเนินความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านด้วยตนเอง
ลักษณะภูมิประเทศของโซเมียเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน ทำให้การเดินทางระหว่างหุบเขาเป็นไปได้ยาก ส่วนเส้นทางน้ำหลายสายซึ่งมีแหล่งกำเนิดบนโซเมีย ได้แก่ พรหมบุตร, อิรวดี, สาละวิน, โขง, เจ้าพระยา, น้ำดำ-น้ำแดง ก็ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมไม่ดีนัก เพราะเขตต้นน้ำมีเกาะแก่งมาก หรือน้ำไหลเชี่ยวจนเกินกว่าจะใช้เดินเรือ
“ที่สูงแห่งเอเชีย” ซึ่งวิลเลม ฟาน สเคนเดิล (Willem van Schendle) ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์) สมมุติชื่อเรียกโซเมีย-Zomia มาจากตระกูลภาษาทิเบต-พม่า ว่า Zomi แปลว่า ประชากรบนที่สูง
[สรุปจากคำอธิบายหลายเวลาและสถานที่ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้แก่ จากหนังสือ ความไม่ไทยของคนไทย (พ.ศ.2559), จากเอกสารประกอบรายการ ทอดน่องท่องเที่ยว ของมติชน (พ.ศ.2563), จากคำนำเสนอ ในหนังสือ กาดก่อเมือง (พ.ศ.2564)]แผนที่แสดงบริเวณที่สูงแห่งเอเชียหรือโซเมีย และพื้นที่โดยรวมทางใต้ของจีนอันเป็นหลักแหล่งของคนพื้นเมืองที่ “ไม่จีนไม่ฮั่น” โดยมีบรรพชนพูดภาษาไทยรวมอยู่ด้วย (ปรับปรุงจากต้นแบบตามคำแนะนำของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ อยู่ในเอกสารประกอบบรรยายรายการทอดน่องท่องเที่ยว ของมติชนทีวี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม 2563)ผู้คนบนโซเมียซึ่งจีนเรียกรวมๆ ว่าเยว่ มีหลายชาติพันธุ์นับไม่ถ้วน
เยว่ (ออกเสียงคล้ายเยวี่ย, เหวียด, เหยอะ, แหยะ, แย้, อวด ฯลฯ) เป็นชื่อรวมๆ ที่จีนเรียกคนหลายชาติพันธุ์ (บางครั้งจีนเรียก “ไป่เยว่” หมายถึงเยว่ ร้อยเผ่า, เยว่ร้อยจำพวก) ประกอบด้วยคนต่างภาษาที่พูดตระกูลภาษาต่างๆ ตามชื่อสมมุติที่ถูกสร้างใหม่ ได้แก่ จีน-ทิเบต, พม่า-ทิเบต, ม้ง-เมี่ยน, มอญ-เขมร, ชวา-มลายู, ไท-ไต หรือ ไท-กะได เป็นต้น
[เยว่ร้อยเผ่า หรือเยว่ร้อยจำพวก เป็นพวก “ไม่ฮั่น” อยู่บริเวณที่ราบในหุบเขาสูงทางตอนใต้ของจีน หรือทางใต้แม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นหลักแหล่งกว้างขวางของกลุ่มชนหลากหลายชาติพันธุ์ที่ถูกเรียกรวมๆ อย่างเหยียดๆ ด้วยถ้อยคำของฮั่น (ซึ่งมีหลักแหล่งอยู่ทางเหนือขึ้นไป) ว่าเป็นพวกป่าเถื่อนเรียก เยว่, ฮวน, หมาน เป็นต้น พบหลักฐานสนับสนุนหลายอย่าง ได้แก่ เอกสาร, เครื่องมือเครื่องใช้ทำจากทองสำริด, พิธีกรรมความเชื่อจากภาพเขียนบนเพิงผาและอื่นๆ
แต่จำเพาะเอกสารจีนโบราณชื่อ “หมานซู” (แต่งเป็นภาษาจีน พ.ศ.1410) บอกเล่าว่า คนพื้นเมืองป่าเถื่อนหลายจำพวกซึ่งไม่ใช่ฮั่นอยู่ทางใต้ของจีน ตั้งแต่ทางใต้แม่น้ำแยงซีถึงฝั่งทะเลสมุทร (จากหนังสือ หมานซู (จดหมายเหตุพวกหมาน) ของ ฝันฉัว กรมศิลปากรให้ผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนโบราณแปลเป็นภาษาไทยแล้วพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2512) เท่ากับเป็นที่รู้กันนับพันปีแล้วว่า ทางใต้ของจีนล้วน “ไม่ฮั่น” หมายถึง หลักแหล่งของคนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ซึ่งล้วนไม่ใช่จีน]
“เยว่ร้อยจำพวก” มีกลุ่มไท-ไต รวมอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่คนไทย (ขอย้ำว่าไท-ไต ไม่เรียกตนเองว่าไทย หรือคนไทย) ดังคำอธิบายต่อไปนี้
ไท-ไต หรือ ไท-กะได ชื่อสมมุติเรียกตระกูลภาษา ซึ่งเป็นต้นตอหรือรากเหง้าภาษาไทย (ในประเทศไทยทุกวันนี้) มีข้อมูลเกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
@@@@@@@
1. ตระกูลภาษาไท-ไต หรือ ไท-กะได มีอายุเก่าสุดราว 3,000 ปีมาแล้ว
2. แหล่งเก่าสุดของตระกูลภาษาไท-ไต หรือ ไท-กะได อยู่ในโซเมีย (ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจีน) บริเวณที่ปัจจุบันเป็นมณฑลกวางสี-กวางตุ้ง กับทางเหนือของเวียดนาม (เป็นพื้นที่เดียวกัน ยังไม่มีเส้นกั้นอาณาเขตแบ่งประเทศ) หลักแหล่งดั้งเดิมของจ้วง-ผู้ไท (จ้วงเป็นชื่อรวมของคนไท-ไตในกวางสี ส่วนผู้ไทเป็นชื่อรวมของคนไท-ไตในเวียดนาม)
3. คนตั้งหลักแหล่งทางใต้ของมณฑลกวางสี-กวางตุ้งในจีน กับทางเหนือของเวียดนาม เป็นพวกถูกฮั่นเรียก เยว่ มีหลายชาติพันธุ์อยู่ปนกัน ได้แก่ คนพูดตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน, จีน-ทิเบต, ไท-ไต เป็นต้น โดยมีภาษาไท-ไตเป็นภาษากลางการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
ต่อไปข้างหน้ามีการค้าระยะไกล ภาษาไท-ไตจะเป็นภาษากลางทางการค้าของดินแดนภายในภาคพื้นทวีปซึ่งอยู่ทางใต้ของจีน ครั้นมีอำนาจทางการเมืองก็ค่อยๆ แผ่ขยายลงไปถึงลุ่มน้ำโขง, ลุ่มน้ำสาละวิน, ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และคาบสมุทร
สำเนียงพูดสมัยเริ่มแรกของคนพูดภาษาตระกูลไท-ไต ไม่พบหลักฐาน แต่คาดเดาเทียบเคียงแล้วไม่ตรงกับสำเนียงมาตรฐานของคนพูดภาษาไทยในประเทศไทยปัจจุบัน
4. สมัยนั้นคนพูดภาษาตระกูลไท-ไตทางตอนใต้ของจีนบริเวณโซเมีย ไม่เรียกตนเองว่าไทย แต่เรียกตนเองตามชื่อทางวัฒนธรรมเป็นกลุ่มๆ ตามที่เลือกสรรกันเอง ได้แก่ ต้ง, จ้วง, นุง, สุ่ย, หลี, ปู้ยี, มู่หล่าว, เหมาหนาน, ผู้ไท เป็นต้น
ส่วนคำว่า ไท หรือ ไต แปลว่า คน หรือ ชาว เช่น ไทพวน แปลว่า คนพวน หรือ ชาวพวน, ไตลื้อ แปลว่า คนลื้อ หรือ ชาวลื้อ (ข้อมูลรายละเอียดมีอีกมากในหนังสือ ความเป็นมาของคำสยามฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2519) คำว่า ไต มีใช้ในภาษาเขมร พบในจารึกพิมายแปลว่าคน แต่มีฐานะทางสังคมต่ำลงหมายถึงคนที่เป็นทาส
5. คนพูดภาษาตระกูลไท-ไต และคนหลากหลายชาติพันธุ์บริเวณโซเมีย ต่อไปข้างหน้าจะมีความเคลื่อนไหวโยกย้ายไปมาหลายทิศทางตามเส้นทางการค้าภายใน กระทั่งลงไปตั้งหลักแหล่งมีอำนาจทางภาษาและวัฒนธรรมอยู่ร่วมกับคนในตระกูลภาษาอื่นๆ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น ชวา-มลายู, มอญ-เขมร, ทิเบต-พม่า เป็นต้น แล้วรับภาษาและวัฒนธรรมเหล่านั้นรวมกับภาษาและวัฒนธรรมจากจีน, อินเดีย, เปอร์เซีย (อิหร่าน) ฯลฯ ครั้นนานไปได้กลายตนแล้วเรียกตนเองด้วยชื่อสมมุติใหม่ว่าไทย ซึ่งล้วนเป็นบรรพชนคนไทยปัจจุบัน
คนไทยเริ่มแรกพบบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา (ไม่พบที่อื่น) ระหว่าง พ.ศ.1600-1700 แต่บรรพชนคนไทยอยู่โซเมียราว 3,000 ปีมาแล้ว • ขอขอบคุณ :- ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2567 คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ.2567 URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_742393
|
|
|
262
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ส่องโมเดลนำร่อง..ตั้งศูนย์กฎหมายเพื่อคณะสงฆ์.!!
|
เมื่อ: มกราคม 31, 2024, 07:51:32 am
|
. ส่องโมเดลนำร่อง..ตั้งศูนย์กฎหมายเพื่อคณะสงฆ์.!! การจัดตั้ง “ศูนย์พระวินยาธิการระดับอำเภอ” ศูนย์กฏหมายเพื่อคณะสงฆ์ หรือ ศูนย์คุ้มครองพระสงฆ์ แล้วแต่จะเรียก ถือว่าเป็นการดำเนินการนำร่องของคณะสงฆ์ เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีเขตปกครองคณะสงฆ์ภาคใด ได้ดำเนินการอย่างที่คณะสงฆ์ภาค 6 ทำ การจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวกำหนดให้ทุกจังหวัด ทุกเขตอำเภอ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 6 ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2567
ซึ่งในขณะนี้ มีจังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการจัดตั้งครบทุกอำเภอแล้ว การจัดตั้งนี้ก็เพื่อเป็นการสนองนโยบายมหาเถรสมาคมและดำเนินการตามแผนพัฒนากิจการคณะสงฆ์ฉบับที่ 2 (2565-2569) อีกด้วย ซึ่งหวังว่าการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวจะแก้ปัญหาด้านกฎหมาย ข้อพิพาทของคณะสงฆ์และชุมชนได้ระดับหนึ่ง ”
กิจกรรมนี้นี้ถือว่าเป็น “ความก้าวหน้า” ประการหนึ่งของคณะสงฆ์ภาค 6 ภายใต้การบังคับบัญชาการของ “พระเทพเวที” หรือ “เจ้าคุณพล”
โครงการจัดตั้ง “ศูนย์พระวินยาธิการระดับอำเภอ” หรือ “ศูนย์กฎหมายเพื่อคณะสงฆ์” นี้ ภาคอื่น ๆ ที่เหลือ อีก 17 ภาค ทั้งคณะสงฆ์มหานิกายและคณะธรรมยุต ควรนำไปเป็นแบบอย่าง เพราะหากพระคุณเจ้า จะรอให้รัฐบาลชุดนี้หรือชุดหน้าหรือชาติหน้า คลอด พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนานั่น..ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
ทางออกมีทางเดียว..เป็นทางสายเอกคือ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน จับมือกันแล้วเดินไปด้วยกันอย่างที่ภาค 6 นำโดย พระเทพเวที หรือ “เจ้าคุณพล” ทำ
@@@@@@@
“เปรียญสิบ”เคยได้ยินแว่วๆเมื่อหลายเดือนก่อนว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะจับมือกับสภาทนายความ จัดอบรมถวายความรู้เรื่องกฎหมายให้กับคณะสงฆ์ และจะทำในลักษณะคล้ายกับคณะสงฆ์ภาค 6 ทำนี้
แต่!! แล้วกระแสนี้ก็ “จ่างหาย”ไป เมื่อเจอนโยบายเร่งด่วนของ “รัฐมนตรีแจ๋น” เข้าไป
หลายปีมานี้ “สังคมสงฆ์” มีข่าวเสื่อมเสียมากมายทั้งจากจากภายในคณะสงฆ์เองและภัยที่มาจากภัยนอก..ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างสู้ ใครอ่อนแอก็แพ้ไป ใครมีทุน มีเครือข่ายหน่อยก็พอ..ก้มหน้าอยู่ต่อได้
โดยเฉพาะพระสงฆ์ต่างจังหวัด เจ้าอาวาสต่างจังหวัด หลายวัดประสบกับปัญหาด้านกฎหมายทั้งเรื่อง “คนหัวดำอยากเทศน์” อยากคุมวัด ทั้งเรื่องที่ดินวัด ทั้งเรื่องเงินกฐินผ้าป่า พระสงฆ์ถูกใส่ร้ายจากคนไม่ชอบพอกันก็มีมาก ไม่รู้จะไปพึ่งใคร จะวิ่งหา “ทนายความ” บางคนก็เรียกแพง ซ้ำบางคนเลี้ยงคดี หลายรูปเสียเงินเป็นแสน เป็นล้าน กับคนพวกนี้
@@@@@@@
“ศูนย์กฎหมายเพื่อคณะสงฆ์” เป็นเรื่องที่ “มหาเถรสมาคม” ควรขบคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีกระจายไปครบทุกภาค ทุกจังหวัด เหมือนอย่างที่คณะสงฆ์ภาค 6 เขาทำ และศูนย์กฎหมายแบบนี้ควรมีไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั่น..แม้ต่างประเทศที่มีวัดไทยจำนวน 10 -20 วัดขึ้นไปก็ควรมี เพราะสถานการณ์วัดและพระธรรมทูตไทยในต่างแดนหลายแห่งก็มีปัญหาด้านกฎหมาย
ซึ่งหาก “มหาเถรสมาคม” พยักหน้าคิดว่า คนทำงานและเงินทุนคงหาได้ไม่ยาก ส่วนรูปแบบการจัดตั้งก็มีโมเดลภาค 6 นำร่องให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว
“เปรียญสิบ” ขอชื่นชมคณะสงฆ์ภาค 6 ที่พวกพระคุณเจ้ากล้าคิด กล้าทำ กล้าดึงเครือข่าย ซึ่งมีทั้งทหาร ตำรวจ ปกครอง ท้องถิ่น ชาวบ้านมาร่วมเป็นทีมงาน
ในขณะที่มหาเถรสมาคมและสงฆ์ภาคอื่นยังหลับไม่ตื่น.!!ขอขอบคุณ :- คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง URL : https://thebuddh.com/?p=76988
|
|
|
263
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เช็ค.! รายชื่อ มติ มส.แต่งตั้งพระสังฆาธิการ หลายรูป
|
เมื่อ: มกราคม 31, 2024, 07:45:12 am
|
. เช็ค.! รายชื่อ มติ มส.แต่งตั้งพระสังฆาธิการ หลายรูป – ตั้ง รก.เจ้าอาวาสวัดมหาพฤฒาราม กรุงเทพฯวันอังคารที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๗ เมื่อเวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระธีรญาณมุนี เป็นประธานในการประชุมมหาเถรสมาคม ซึ่งก่อนเริ่มการประชุมมหาเถรสมาคม นายอินทพร จั่นเอี่ยม รองผู้อำนวยการ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้เชิญปฏิทินหลวง พุทธศักราช ๒๕๖๗ ถวายแด่กรรมการมหาเถรสมาคมที่เข้าร่วมประชุม และกราบทูลถวายเปิดการประชุม พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
โดยหลังการประชุมเสร็จสิ้น คณะโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้แถลงข่าวการประชุมมหาเถรสมาคม ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ โดยมีวาระการประชุมมหาเถรสมาคมเฉพาะการแต่งตั้งพระสังฆาธิการทั่วประเทศมีรายละเอียดดังนี้
@@@@@@@@
๑. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร จำนวน ๑ ตำแหน่ง ดังนี้ - พระครูกิตติธรรมนิวิฐ (ณรงค์ศักดิ์) ฉายา ฐิตธมฺโม อายุ ๖๕ พรรษา ๕๕ วัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธาตุเชิงชุม วรวิหาร และเจ้าคณะอำเภอโพนนาแก้ว ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดสกลนคร เป็นรูปที่ ๓
๒. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม จำนวน ๓ ตำแหน่ง ดังนี้ - พระครูพิศาลโพธิธรรม (อภิชาติ) ฉายา อภิชาโต อายุ ๕๕ พรรษา ๓๑ วัดศรีมหาโพธิ์ ตำบลคันธารราษฎร์ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดศรีมหาโพธิ์ และเจ้าคณะอำเภอกันทรวิชัย ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม เป็นรูปที่ ๓ - พระครูสารกิจประยุต (กาบ) ฉายา ฐานทตฺโต อายุ ๖๖ พรรษา ๔๕ วัดธัญญาวาส ตำบลลาด อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดธัญญาวาส และรองเจ้าคณะอำเภอเมืองมหาสารคาม ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม เป็นรูปที่ ๔ - พระมหาอรรถพงษ์ ฉายา สิริโสภโณ อายุ ๓๗ พรรษา ๑๗ วัดมหาชัย พระอารามหลวง ตำบลตลาด อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาชัย พระอารามหลวง ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม ที่กำกับดูแลที่พักสงฆ์
๓. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดยโสธร จำนวน ๑ รูป ดังนี้ - พระครูอนุรักษ์วรดิตถ์ (จินดา) ฉายา จินฺตมโย อายุ ๖๖ พรรษา ๔๔ วัดสิงห์ท่า ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดสิงห์ท่า และเจ้าคณะอำเภอเมืองยโสธร ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดยโสธร
@@@@@@@
๔. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๗ รูป ดังนี้ - พระโสภณปริยัติวิธาน (สนั่น) ฉายา รตนโชโต วัดสะแก ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดสะแก พระอารามหลวง และเจ้าคณะอำเภอเมืองนครราชสีมา ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เป็นรูปที่ ๓ - พระเมธีสุตาภรณ์ (เหมือน) ฉายา อุปมงฺกโร อายุ ๖๔ พรรษา ๔๔ วัดคีรีวันต์ ตำบลปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดคีรีวันต์ และเจ้าคณะอำเภอปากช่อง ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เป็นรูปที่ ๔ - พระศรีวชิรานุวัตร (พงษ์เชฏฐ์) ฉายา ธีรวํโส อายุ ๕๒ พรรษา ๓๑ วัดพายัพ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดพายัพ พระอารามหลวง ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เป็นรูปที่ ๕ - พระมหาวิเชียร ฉายา กลฺยาโณ อายุ ๕๙ พรรษา ๓๙ วัดหนองเข้ ตำบลสุขไพบูลย์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองเข้ และเจ้าคณะอำเภอเสิงสาง ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เป็นรูปที่ ๖ - พระครูโกวิทกิตติสาร (ธนเกียรติ) ฉายา โกวิโท อายุ ๖๑ พรรษา ๔๑ วัดโนนหมัน ตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดโนนหมัน และเจ้าคณะอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เป็นรูปที่ ๗ - พระครูปริยัติสีมาภรณ์ (สมคิด) ฉายา ปคุโณ อายุ ๖๐ พรรษา ๒๗ วัดบึง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบึง พระอารามหลวง เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา และรองเจ้าคณะอำเภอจักราช ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เป็นรูปที่ ๘ - พระครูปริยัติธรรมภาณี (สุรวุฒิ) ฉายา ปิยภาณี อายุ ๕๘ พรรษา ๓๘ วัดดอนขวาง ตำบลหัวทะเล อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวันครราชสีมา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดอนขวาง ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานคณะสงฆ์ภาค ๑๑ และรองเจ้าคณะอำเภอเมืองนครราชสีมา ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ที่กำกับดูแลที่พักสงฆ์
๕. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน ๓ รูป ดังนี้ - พระมงคลสุตกิจ (บุญถิ่น) ฉายา ปุญฺญสิริ อายุ ๕๕ พรรษา ๓๕ วัดกลาง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกลาง พระอารามหลวง เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ และเจ้าคณะอำเภอห้วยราช ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นรูปที่ ๓ - พระวชิรกิตติบัณฑิต (ทองขาว) ฉายา กิตฺติธโร อายุ ๖๖ พรรษา ๔๖ วัดนายาว ตำบลเสาเดียว อำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดนายาว และรองเจ้าคณะอำเภอหนองหงส์ ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นรูปที่ ๔ - พระครูสิริคณารักษ์ (ผล) ฉายา ปิยธมฺโม อายุ ๕๘ พรรษา ๓๙ วัดจำปา ตำบลประโคนชัย อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดจำปา และเจ้าคณะอำเภอประโคนชัย ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ ที่กำกับดูแลที่พักสงฆ์๖. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๓ รูป ดังนี้ - พระปริยัติกิจวิธาน (สมวงษ์) ฉายา สีลภูสิโต อายุ ๗๓ พรรษา ๕๑ วัดชัยภูมิวนาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิจังหวัดชัยภูมิ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดชัยภูมิวนาราม และเจ้าคณะอำเภอเมืองชัยภูมิ ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ - พระครูสิริวชิรากร (สมพร) ฉายา อริยปญฺโญ อายุ ๗๒ พรรษา ๔๙ วัดวิเชียรธรรมาราม ตำบลบ้านแท่น อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดวิเชียรธรรมาราม และเจ้าคณะอำเภอบ้านแท่น ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ เป็นรูปที่ ๓ - พระครูพิทักษ์ชยานุกิจ (กิตติพศ) ฉายา สุมโน อายุ ๖๖ พรรษา ๓๔ วัดชัยภูมิพิทักษ์ ตำบลกุดชุมแสง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเกษตรสมบูรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ที่กำกับดูแลที่พักสงฆ์
๗. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง ขอเสนอแต่งตั้งที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๙ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น และที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอชนบท รวมจำนวน ๖ รูป ดังนี้ - พระครูปริยัติสารโกศล (สอน) ฉายา รวิวณฺโณ อายุ ๙๐ พรรษา ๗๐ เจ้าอาวาสวัดสระแก้ว ตำบลเก่างิ้ว อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๙ - พระครูศรีวิสุทธิสารเมธี (ปาน) ฉายา สุขจิตฺโต อายุ ๘๙ พรรษา ๖๘ เจ้าอาวาสวัดดงกลาง ตำบลบ้านโต้น อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอพระยืน ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น - พระครูรัตนทีปาภิบาล (บัวลา) ฉายา พุทฺธวโร อายุ ๘๔ พรรษา ๖๓ เจ้าอาวาสวัดเกาะแก้ว ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอบ้านฝาง ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น - พระครูมงคลสารกิจ (ทองหลาง) ฉายา ฉินฺนาลโย อายุ ๘๐ พรรษา ๖๐ เจ้าอาวาสวัดศิริชัยมงคล ตำบลป่าปอ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น - พระครูมัชฌิมธรรมโสภณ (วุฒิพัน) ฉายา โสภโณ อายุ ๖๗ พรรษา ๔๗ เจ้าอาวาสวัดกลาง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เจ้าคณะตำบลในเมือง เขต ๑ ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น - พระครูวิบูลสารโสภณ (บุญเต็ม) ฉายา ชนาสโภ อายุ ๘๓ พรรษา ๔๕ เจ้าอาวาสวัดศรีภูบาล ตำบลห้วยแก อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลห้วยแก ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอชนบท
๘. มติมหาเถรสมาคมรับทราบ เรื่อง รายงานการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ดังนี้ - พระธรรมสุธี (นรินทร์) ฉายา นรินฺโท อายุ ๘๐ พรรษา ๖๐ วัดหัวลำโพง พระอารามหลวง แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง พระอารามหลวง และที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดมหาพฤฒาราม วรวิหาร กรุงเทพมหานคร
@@@@@@@
๙. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง เสนอขอแต่งตั้งพระสังฆาธิการขึ้นเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะ ดังนี้ - พระครูสุทธิสารนันท์ (เผชิญ) ฉายา นนฺทิสาโร อายุ ๘๖ พรรษา ๖๖ วัดท่าสุทธาวาส ตำบลบางเสด็จ อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าสุทธาวาส และที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอป่าโมก ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง - พระเทพสุวรรณนี (ประถม) ฉายา กนฺตสีโล อายุ ๗๗ พรรษา ๕๕ วัดต้นสน ตำบลตลาดหลวง อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดต้นสน และเจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๒ - พระครูพิศาลประชานุกิจ (ดำรงค์) ฉายา จกฺกวโร อายุ ๘๐ พรรษา ๕๘ วัดหนองใหญ่ศิริธรรม ตำบลหนองใหญ่ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองใหญ่ศิริธรรม และเจ้าคณะอำเภอหนองใหญ่ ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอหนองใหญ่
๑๐. มติมหาเถรสมาคมอนุมัติ เรื่อง การเสนอขอแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนเหนือ จำนวน ๔ รูป ดังนี้ - พระมหาทองกอ สิริธมฺโม อายุ ๕๖ พรรษา ๓๑ วัดพระบรมธาตุ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุ พระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิด สามัญ ในหน้าที่ฝ่ายการศึกษาสงเคราะห์ - พระมหาพิจิตร ธมฺมวิจิตฺโต อายุ ๓๒ พรรษา ๑๒ วัดท่าหลวง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง พระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิด สามัญ ในหน้าที่ฝ่ายการศึกษา - พระครูสมุห์โกเมนทร์ คุณวีโร อายุ ๔๕ พรรษา ๒๓ วัดสวนดอก ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิด สามัญ ในหน้าที่ฝ่ายการเผยแผ่ - พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ชยาภินนฺโท อายุ ๔๓ พรรษา ๒๑ วัดสวนดอก ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิด สามัญ ในหน้าที่ฝ่ายการปกครอง
๑๑. มติมหาเถรสมาคมเห็นชอบ เรื่อง ขอยกพระสังมาธิการขึ้นเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส จำนวน ๒ รูป ดังนี้ - พระครูปัญญาประยุต อายุ ๗๙ พรรษา ๕๙ เจ้าอาวาสวัดราษฎร์สโมสร อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส และเจ้าคณะอำเภอรือเสาะ – ศรีสาคร ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส - พระครูการุณยนิวิฐ อายุ ๗๙ พรรษา ๕๖ เจ้าอาวาสวัดตันหยงมัส อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาสและเจ้าคณะอำเภอระเงะ – จะแนะ – เจาะไอร้อง ให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนราธิวาสThank to : https://thebuddh.com/?p=77006ภาพ/ข่าว : กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
|
|
|
266
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘วัดพระรามอโยธยา’ ปมขัดแย้ง 2 ศาสนา สู่นัยทางการเมืองอินเดีย
|
เมื่อ: มกราคม 29, 2024, 07:46:44 am
|
. AP‘วัดพระรามอโยธยา’ ปมขัดแย้ง 2 ศาสนา สู่นัยทางการเมืองอินเดียเมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูนับหลายพันคนได้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานการเปิด “วัดพระรามอโยธยา” ในเมืองอโยธยา รัฐอุตตรประเทศของอินเดีย โดยมีนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย เป็นประธานในพิธี วัดดังกล่าวเป็นโบสถ์พราหมณ์ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่พระราม เทพที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในศาสนาฮินดู อย่างไรก็ตาม ประวัติที่มาของวัดแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งทางศาสนา ความเชื่อ และนัยทางการเมือง ก่อนหน้าที่การเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียจะมีขึ้นภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ที่นายกรัฐมนตรีโมดีของอินเดียหวังที่จะสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2014
ที่ดินพิพาท รอยร้าว ‘ฮินดู-อิสลาม’ สู่จุดแตกหักนองเลือด
มหากาพย์ รามายณะ ของอินเดีย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ รามเกียรติ์ ได้ระบุว่าเมืองอโยธยา ในรัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย เป็นสถานที่ประสูติของพระราม ปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาสนาฮินดูและอิสลามเกี่ยวกับวัดแห่งนี้เริ่มขึ้นเมื่อจักรพรรดิบาบูร์ จักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโมกุล ที่นับถือศาสนาอิสลามได้เข้ารุกรานเมืองอโยธยาและรื้อถอนวัดพระรามที่ตั้งอยู่ก่อนหน้า และสร้างมัสยิดบาบรีขึ้นแทนที่วัดดังกล่าว ในปี 1528 ในจุดที่ชาวฮินดูเชื่อว่าเป็นตำแหน่งที่ประสูติของพระรามเมื่อกว่า 7,000 ปีก่อน ต่อมาในเดือนธันวาคม 1949 ทางการอินเดียได้เข้ายึดมัสยิดดังกล่าวหลังนักเคลื่อนไหวชาวฮินดูได้นำเทวรูปของพระรามไปตั้งอยู่ภายในมัสยิดบาบรี ต่อมา ศาลอินเดียได้มีคำสั่งห้ามไม่ให้เคลื่อนย้ายเทวรูปพระรามดังกล่าว ทำให้มัสยิดบาบรีไม่สามารถใช้ประกอบพิธีในศาสนาอิสลามได้อีกต่อไป
ทั้งกลุ่มชาวฮินดูและอิสลามต่างฝ่ายต่างยื่นการอ้างสิทธิเป็นเจ้าของมัสยิดและที่ดินที่ตั้งของมัสยิดดังกล่าว และศาลสูงสุดของอินเดียได้ตัดสินให้มีการรักษาสถานะเดิมของมัสยิดบาบรีไปก่อนในปี 1989 กลุ่มของทั้งสองศาสนาพยายามที่จะคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างกันโดยใช้การเจรจาพูดคุย แต่ความพยายามกลับไม่เป็นผล ในปี 1990 พรรคภารติยะชนตะ (BJP) พรรคชาตินิยมฮินดูของนายโมดี ได้เริ่มการรณรงค์ทั่วประเทศให้มีการสร้างวัดพระรามของฮินดูขึ้นอีกครั้ง
นายลัล กฤษณะ อัดวานี (Lal Krishna Advani) ประธานของพรรค BJP ในขณะนั้นได้ลงทุนขึ้นท้ายรถบรรทุกที่ตกแต่งให้มีลักษณะคล้ายกับรถม้าโบราณเพื่อรณรงค์ทั่วประเทศ ปลุกกระแสชาวฮินดูขึ้นมา และส่งให้พรรคก้าวขึ้นมามีบทบาทในสนามการเมืองอินเดียมากขึ้น แต่ก็ได้สร้างรอยร้าวที่ลึกขึ้นระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมในอินเดีย
การรณรงค์ของพรรค BJP ได้พุ่งแตะจุดเดือดในวันที่ 6 ธันวาคม 1992 เมื่อกลุ่มผู้ประท้วงชาวฮินดูได้บุกเข้าไปในมัสยิดบาบรี พร้อมกับใช้ขวานและค้อนทุบทำลายโดมของมัสยิดดังกล่าวจนพังเสียหายทั้งหลัง ปลุกให้เกิดการจลาจลระหว่าง 2 ศาสนาในหลายพื้นที่ทั่วอินเดีย จนมีผู้เสียชีวิตราว 2,000 คน โดยจำนวนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ถือเป็นเหตุจลาจลทางศาสนาที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย นับตั้งแต่ที่อินเดียประกาศเอกราชจากอังกฤษ
การต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างชาวฮินดูและมุสลิมได้ยุติลงในปี 2019 หลังศาลสูงสุดของอินเดียได้มอบที่ดินผืนดังกล่าวให้แก่ชาวฮินดูและจัดสรรที่ดินอีกผืนให้แก่ชาวมุสลิมเพื่อก่อสร้างมัสยิดแห่งใหม่ วัดพระรามอโยธยา จึงเริ่มการก่อสร้างในปี 2020 โดยมีนายกรัฐมนตรีโมดีเป็นผู้วางศิลาฤกษ์ วัดแห่งนี้มีขนาดราว 18.2 ไร่ ในที่ดินขนาดทั้งสิ้น 177 ไร่ มีมูลค่าในการก่อสร้างราว 217 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเป็นเงินไทยราว 7,730 ล้านบาท โดยเงินจำนวนดังกล่าวได้มาจากการบริจาค วัดแห่งนี้มีขนาดความสูงเทียบเท่ากับตึก 3 ชั้น ถูกสร้างด้วยหินทรายสีชมพู แกะสลักด้วยลวดลายสลับซับซ้อน และจะมีประตูทั้งสิ้น 46 บาน ในจำนวนดังกล่าว 42 บานจะตกแต่งด้วยทอง รวมถึงภายในวัดจะมีรูปปั้นพระรามที่ทำจากหินสีดำขนาดความสูง 130 เซนติเมตรอีกด้วย
วัดใหม่กับวาระซ่อนเร้นทางการเมือง
พิธีเปิดในวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา เป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ และมีผู้คนเกือบ 7,500 คน ตั้งแต่นักการเมืองขาใหญ่ นักธุรกิจผู้ร่ำรวย และดาราคนดัง ร่วมพิธีเปิดที่บริเวณด้านนอกของวัด พรรค BJP ของนายโมดีและกลุ่มชาตินิยมฮินดูอื่นๆ พยายามฉายภาพการเปิดวัดพระรามอโยธยาให้เป็นศูนย์กลางของวิสัยทัศน์ในการฟื้นคืนความภาคภูมิใจของชาวฮินดู ที่พวกเขามองว่าหายไปในช่วงที่จักรวรรดิโมกุลและช่วงที่อินเดียอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ เมืองอโยธยาก็มีการพัฒนาปรับปรุงเมืองครั้งใหญ่ก่อนหน้าพิธีเปิด มีการขยายถนนที่นำทางไปสู่วัดดังกล่าว มีการสร้างสนามบิน สถานีรถไฟ และโรงแรมแห่งใหม่เพื่อรองรับผู้แสวงบุญที่จะหลั่งไหลกันมาที่วัดแห่งนี้ Press Information Bureau via APด้านรัฐบาลของนายโมดีพยายามทำให้พิธีเปิดดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติ มีการตั้งจอยักษ์ฉายพิธีเปิดทั่วประเทศ ติดธงสีเหลืองอมส้ม (Saffron) ซึ่งเป็นสีของศาสนาฮินดู ตามท้องถนนทั่วอินเดีย สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ถ่ายทอดสดเกาะติดพิธีดังกล่าว และตลาดหุ้นอินเดียปิดทำการในวันงานอีกด้วย
นักวิเคราะห์และนักวิจารณ์มองว่าความพยายามทั้งหมดนี้ มีขึ้นเพื่อหวังจะช่วยส่งให้นายโมดีชนะการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียต่อเป็นสมัยที่ 3 และพิธีเปิดวัดพระรามอโยธยา ทั้งที่ยังสร้างไม่เสร็จจะช่วยปลุกคะแนนความนิยมให้แก่นายโมดีในหมู่ชาวฮินดูและถือเป็นการเริ่มต้นการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในประเทศอินเดียที่ประชาชน 80% เป็นชาวฮินดู
นิลันจัน มุกโภทัย ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับชาตินิยมฮินดูและผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีโมดีของอินเดีย กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีอินเดียคนก่อนหน้าโมดีเคยไปวัดอื่นๆ มาก่อน แต่พวกเขาไปในฐานะผู้นับถือศาสนา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่โมดีไปวัดในฐานะคนประกอบพิธีทางศาสนา”
นอกจากนั้นแล้ว แม้ชาวอินเดียจำนวนมากต่างออกมาแสดงความดีใจกับการเปิดวัดพระรามอโยธยาและคาดว่าจะมีชาวฮินดูมากถึง 150,000 คนเดินทางมาที่วัดแห่งนี้ต่อวัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยินดีกับพิธีเปิดวัดพระรามอโยธยา เช่น หน่วยงานหลักด้านศาสนาฮินดู 4 แห่ง ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในพิธีเปิด โดยให้เหตุผลว่าการเปิดวัดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ขัดกับหลักพระคัมภีร์ฮินดู และบอกว่าโมดีไม่ได้เป็นผู้นำทางศาสนา ทำให้เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำพิธีเปิดได้ ขณะที่บรรดาผู้นำพรรคฝ่ายค้านหลักของพรรครัฐบาลอย่าง BJP บอยคอตพิธีเปิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม และหลายคนกล่าวหาโมดีว่านำพิธีเปิดวัดพระรามอโยธยามาเรียกคะแนนเสียงทางการเมืองในอินเดียที่ระบุตามรัฐธรรมนูญว่าเป็นประเทศฆราวาส
สำหรับชาวมุสลิมแล้ว พิธีเปิดของวัดพระรามอโยธยาได้ปลุกความกังวลและความทรงจำที่แสนเจ็บปวดให้กลับมาอีกครั้ง ประเทศเพื่อนบ้านของอินเดียอย่าง ปากีสถาน ที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ให้ความเห็นว่าการสร้างวัดในจุดที่มัสยิดเคยถูกทำลายยังคงเป็นรอยด่างพร้อยบนความเป็นประชาธิปไตยของอินเดีย กระทรวงต่างประเทศปากีสถานระบุในแถลงการณ์ว่า มีมัสยิดในอินเดียจำนวนมากขึ้นที่กำลังเจอกับภัยคุกคามที่คล้ายคลึงกันว่าจะเกิดการดูหมิ่นและถูกทำลาย หลังจากที่กลุ่มชาตินิยมฮินดูได้ยื่นฟ้องต่อศาลอินเดียเพื่อหวังที่จะเข้ามามีสิทธิเป็นเจ้าของมัสยิดโบราณหลายร้อยแห่งในอินเดีย รวมถึงข้อพิพาทที่กลุ่มชาวฮินดูอ้างว่ามีมัสยิดโบราณอย่างน้อย 3 แห่งทางตอนเหนือของอินเดีย สร้างบนพื้นที่ที่เคยเป็นโบสถ์พราหมณ์ในอดีต
ด้านกระทรวงต่างประเทศปากีสถานยังเรียกร้องให้ประชาคมโลกช่วยกันรักษาโบราณสถานของศาสนาอิสลามในประเทศอินเดียจาก “กลุ่มหัวรุนแรง” และทำให้มั่นใจว่าจะมีการปกป้องสิทธิของชาวอิสลาม ที่เป็นประชากรส่วนน้อยในอินเดีย
ทุกคนคงทราบดีว่าประเด็นทางศาสนาถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องระมัดระวังมาก แต่ความขัดแย้งก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ท่ามกลางความหลากหลายทางศาสนา หากทุกฝ่ายสามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและแก้ปัญหาด้วยการเจรจาพูดคุยให้สำเร็จ การนองเลือดอย่างเช่นในปี 1992 อาจไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยและทุกฝ่ายคงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติขอขอบคุณ :- ที่มา : นสพ. มติชนรายวัน ผู้เขียน : ศุภวิชญ์ เจียรรุ่งแสง เผยแพร่ : วันที่ 28 มกราคม 2567 ปริทรรศน์โลก | โฟกัสโลกรอบสัปดาห์ | วันที่ 29 มกราคม 2567 - 06:30 น. URL : https://www.matichon.co.th/foreign/indepth/news_4396019?utm_source=msn_news&utm_medium=footer_click
|
|
|
268
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กองทัพมองโกล 20,000 นาย บุก “ล้านนา” ทำไม?
|
เมื่อ: มกราคม 28, 2024, 07:07:37 am
|
. ภาพวาดกองทัพมองโกลกองทัพมองโกล 20,000 นาย บุก “ล้านนา” ทำไม.? มองโกล ได้ชื่อว่ามีนักรบบนหลังม้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จักรวรรดิมองโกลขึ้นชื่อว่าเป็นจักรวรรดิที่แผ่อำนาจปกครองดินแดนไปกว่าค่อนโลก
ผู้นำคนสำคัญของมอลโกลอย่าง เจงกิสข่าน ที่เป็นนักการทหารที่ประสบความสำเร็จในการพิชิตอาณาจักรน้อยใหญ่ แผ่อำนาจตั้งแต่แม่น้ำฮวงโหในจีน ไปจรดแม่น้ำดานูบในยุโรป หากเทียบกับแผนที่ยุคปัจจุบันกองทัพมองโกลเคยเหยียบย่ำไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น คือ อาณาจักรล้านนา ทางตอนเหนือของไทย
เรื่องนี้ดังกล่าวนี้ โจวปี้เผิง เรียบเรียงไว้ใน “ล้านนาสวามิภักดิ์” (มติชน, 2565) ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยผู้เขียน)
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 กองทัพมองโกลยกทัพจากภาคเหนือของจีนแผ่ขยายอำนาจไปในดินแดนชายขอบ ส่วนในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน กองทัพมองโกลเข้าไปรุกรานยูนนาน พม่า และอันนัม (ไดเวียด) หลังจากยึดครองราชวงศ์ซ่งใต้ได้สำเร็จจึงสร้างราชวงศ์หยวน อันเป็นอาณาจักรที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อน และก่อนหน้าที่ราชวงศ์หยวนจะสามารถยึดครองเมืองต้าหลี่และปกครองเชอหลี่ จีนและล้านนายังไม่มีดินแดนติดต่อกัน
ราชวงศ์หยวนได้ตั้งสำนักปกครองกองทัพที่ยูนนาน เพื่อปกป้องความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน และมีนโยบายขยายอำนาจไปสู่พื้นที่ตอนบนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงพม่า ปาไป่สีฟู่ (ล้านนา) อันนัม และลาว
ในเวลาเดียวกัน พระญามังรายได้ขยายอำนาจจากเมืองเชียงรายลงไปยังเมืองฝาง ทรงรวบรวมเมืองหริภุญชัยไว้ในอำนาจได้สำเร็จ จึงสร้างเมืองเชียงใหม่และสถาปนาอาณาจักรล้านนา การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับล้านนาจึงเริ่มพบในสถานภาพการขยายอำนาจของราชวงศ์หยวนและราชวงศ์มังราย
@@@@@@@
การปกครองยูนนานเป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้หากจะขยายอำนาจไปถึงพม่า ล้านนา และลาว ใน ค.ศ. 1253 ฮูปเล่อข่าน (忽必烈-จักรพรรดิหยวนซื่อจู่) ยึดครองเมืองต้าหลี่ได้สำเร็จ ราชวงศ์หยวนจึงเริ่มตั้งหน่วยงานของตนเอง และปรับระบบการปกครองของยูนนาน ให้อู้เหลียงเหอไท้ (兀良合台) ปกป้องชายแดนและโจมตีพวกหมานที่ยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ [1] ตั้งหลิวสีจง (刘时中) เป็นเซวียนผู้สื่อ (宣抚使) [2] ร่วมมือปกครองเมืองต้าหลีกับตระกูลต้วน [3]
กองทัพของเมืองต้าหลี่จึงอยู่ภายใต้อำนาจของราชวงศ์หยวน และได้ตั้งหยวนไซว่ฝู่ (元帅府) [4] ที่เมืองต้าหลี่ใน ค.ศ. 1263 และใน ค.ศ. 1271 ได้ปรับเปลี่ยน 37 ภูมิภาคของเมืองต้าหลี่เป็น 3 ลู่ ( 路-ลู่เป็นหน่วยงานการปกครองระดับที่หนึ่งภายใต้ซินเสินหรือว่ามณฑล) ด้วยนโยบายดังกล่าวทำให้ราชวงศ์หยวนสามารถปกครองเมืองต้าหลี่ได้ค่อนข้างมั่นคง [5]
ราชวงศ์หยวนรักษากองทัพไว้ที่ยูนนาน และขยายอำนาจต่อไปโดยรุกรานภาคเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่าง ค.ศ. 1280-1300 ราชวงศ์หยวนยกทัพโจมตีเหมียนก๊ก (缅国- อาณาจักรพุกาม) และอันนัม ทั้งยังวางแผนจะยึดครองปาไป่สีฟู่ (ล้านนา) ด้วย
ใน ค.ศ. 1284 ราชวงศ์หยวนให้ปู้หลู่เหอต๋า [6] ไปตีปาไป่สีฟู่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จะไปโจมตี แต่เมื่อเดินทางถึงเชอหลี่ (คาดว่าเชอหลี่เป็นสถานที่ที่อยู่ของเจ้าเมือง) กองทัพราชวงศ์หยวนยังขาดความรู้เกี่ยวกับปาไป่สีฟู่ ซึ่งมีหลักฐานที่ว่า “เจ้าพระยานามว่าโคว่โค่วให้ปู้หลู่เหอต๋านำทหารม้าสามร้อยคนไปเกลี้ยกล่อม (ล้านนา) ให้สวามิภักดิ์ แต่เจ้าเมืองไม่ยินยอม จึงยกกำลังทัพเข้าตี โฮ่วเจิ่ง ผู้มีตำแหน่งเป็นตูเจิ้นฝู่เสียชีวิต ปู้หลู่เหอต๋าทำลายประตูด้านทิศเหนือแล้วรุกเข้ายึดค่าย เชอหลี่จึงสงบราบคาบลงทั้งหมด” [7]
@@@@@@@
ในช่วงเดียวกัน พระญามังรายก็ขยายอำนาจไปเมืองเชียงราย และเมืองฝาง เนื่องจากได้พบการขยายอำนาจของราชวงศ์หยวนทางตอนเหนือ พระญามังรายจำเป็นต้องขยายอำนาจสู่ทางใต้ และยึดครองเมืองหริภุญชัยได้สำเร็จในราว ค.ศ. 1292 โดยร่วมมือกับพระญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในปีเดียวกัน (ค.ศ. 1292) ราชวงศ์หยวนก็ได้วางแผนจะส่งกองทัพไปโจมตีปาไป่สีฟู่ [7]
ทว่ากุบไลข่านสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1294 เตมูร์ข่านได้ขึ้นปกครองต่อ ในรัชกาลของพระองค์ทรงหยุดทำสงครามขยายอำนาจ แต่กลับสร้างสันติภาพกับรัฐเพื่อนบ้าน เช่น ไดเวียด จามปา เป็นต้น พระองค์ทรงมุ่งเน้นปรับการปกครองทางด้านการทหารและการเมือง ถึงแม้พื้นที่ยูนนานส่วนใหญ่จะยอมการปกครองของราชวงศ์หยวนแล้ว
แต่เมืองเล็กที่อยู่ชายแดนและถูกปกครองโดยชนเผ่าต่างๆ อย่างเชอหลี่ยังควบคุมไม่ได้เต็มที่ ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้เป็นเขตสำคัญที่ติดต่อกับปาไป่สีฟู่และพม่า เป็นรัฐที่ราชวงศ์หยวนต้องการให้อยู่ภายใต้อำนาจของตนเอง ในช่วง ค.ศ. 1296 ราชวงศ์หยวนตั้งเชอหลี่จวินหมินจงก่วน (彻里军民总管府-เมืองปกครองทหารและราษฎรสิบสองปันนา) [8] เพื่อปกครองเมืองเชอหลี่อย่างใกล้ชิดและตั้งกองทัพที่นั่น
ในปีเดียวกันนั้น พระญามังรายได้ย้ายไปสร้างเมืองเชียงใหม่ หลังจากนี้ ดินแดนที่พระญามังรายทรงปกครองค่อยก่อรูปเป็นอาณาจักรล้านนา (ปาไป่สีฟู่) มีพื้นที่ตั้งอยู่ในทิศตะวันออกของพม่า ทิศตะวันตกของลาว ทิศใต้ของเชอหลี่ (สิบสองปันนา) และทิศเหนือของปอเล่อ (สุโขทัย)
พระญามังรายพยายามปกป้องรัฐของตนเองโดยร่วมมือกับเมืองที่อยู่ใกล้เพื่อต่อสู้กับราชวงศ์หยวน “ค.ศ. 1297 ปาไป่สีฟู่เป็นกบฏและเข้าไปตีเชอหลี่ ราชวงศ์หยวนให้เหย่เซียนปู้ฮัว (也先不花) นำทหารไปปราบปรามปาไป่สีฟู่” 2-3 ปีต่อมา ปาไปสีฟู่ยั่วยุชายแดนจีนหลายครั้ง ทำให้ราชวงศ์หยวนส่งหลิวเซินนำกองทัพไปปราบปราม ถึงแม้มีขุนนางเสนอว่า ปาไปสีฟู่เป็นพวกหมานอี๋อยู่ในดินแดนที่ห่างไกล สามารถใช้คนไปเกลี้ยกล่อมได้ ไม่ควรสร้างความลำบากให้แก่จีน [9] แต่จักรพรรดิไม่รับฟัง
@@@@@@@
ดังนั้น ใน ค.ศ. 1301 ราชวงศ์หยวนเตรียมตัวยกทัพโดยจัดตั้งกองทหารปราบปาไป่สีฟู่เฉพาะที่รวมทหารมองโกลและทหารท้องถิ่นของยูนนาน จักรพรรดิ “ส่งหลิวเซิน เหอล่าไต้ เจิ้งโย่วนำทหารสองหมื่นนายไปปราบปาไป่สีฟู่” “ส่งทหารยูนนานตีปาไป่สีฟู่” “ส่งนักโทษจากเสฉวนและยูนนานมาเป็นทหารในกองทัพ” และ “ตั้งกองพลปราบปาไป่สีฟูว่านฮู่ฝู่ (八百媳妇万户府-เมืองหมื่นครัว เรือนสนมแปดร้อย) 2 กอง ตั้งผู้บัญชาการ 4 นาย” “ตั้งหลิวเซิน (刘深) และเหอล่าไต้ (合剌带) เป็นจงซูโย่วเฉิง (中书右丞-รองเสนาบดีขวา) เจิ้งโย่ว (郑祐) เป็นชานจือเจิ้งซื่อ (参知政事-รองเสนาบดี) ให้ถือตราพยัคฆ์ทั้งสิ้น” นอกจากนี้ยัง “ให้ม้าห้าตัวต่อทหารสิบนาย หากไม่พอให้เสริมแทนด้วยวัวควาย” “ให้เงินแก่ทหารปราบปาไป่สีฟู่ รวมทั้งสิ้นเก้าหมื่นสองพันก้อนเศษ” [10]
แต่ในขณะที่ราชวงศ์หยวนส่งกองทัพไปปราบปรามปาไป่สีฟู่ ระหว่างนั้นเกิดกบฏในท้องที่ยูนนานและมีการทำสงครามกับพม่า จีนสูญเสียกำลังทัพจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบถึงสงครามปราบปาไป่สีฟู่ เมื่อหลิวเซิน ผู้เป็นจงซูโย่วเฉิง (เสนาบดีขวา) แห่งมณฑลยูนนาน จะไปปราบปรามปาไป่สีฟู่ นำทหารเข้าไปทางซุ่นหยวน [11] และได้เกณฑ์ราษฎรท้องถิ่นมารบ ถู่กวนซ่งหลงจี้ (ข้าหลวงท้องที่ยูนนาน) จึงเป็นผู้นำกบฏโดยขู่ว่า “ทางการเกณฑ์กำลังพวกท่าน ต้องตัดผมสักหน้าเป็นทหาร พลีกายในการศึก ลูกเมียต้องตกเป็นเชลย” [12] ทำให้ราษฎรท้องถิ่นไม่ยอมรับใช้ราชวงศ์หยวน
ราชวงศ์หยวน “ให้มณฑลยูนนานรับสมัครทหารอาสา 2,000 นายเพื่อตีปาไป่สีฟู่ ให้เบี้ยคนละ 60 พวง” และ “บัญชาการให้มณฑลยูนนานแบ่งมือธนูมองโกลไปตีปาไป่สีฟู่” ถึงเดือนกันยายน “กองทัพที่ยกไปตีพม่ากลับมาถูกจินฉือ (金齿-ฟันทอง) สกัดไว้ ทหารตายในการศึกมาก จากนั้นปาไป่สีฟู่กั่ว (อาณาจักรสนมแปดร้อย) และแคว้นหมานทั้งหลายก็พากันไม่จ่ายภาษีอากร โจรฆ่าขุนนาง และเจ้าหน้าที่จึงยกทัพไปปราบ” [13] ผลกระทบเหล่านี้ทำให้ราชวงศ์หยวนลำบากยิ่งขึ้น
@@@@@@@
ราชวงศ์หยวนทุ่มเทกำลังทหารอย่างน้อย 2-3 หมื่นคนเพื่อไปตีปาไป่สีฟู่ แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ ทำให้ราชวงศ์หยวนเสียหายอย่างหนัก ทั้งคน ม้า และเงิน ในอีกด้านหนึ่งยังทำให้เมืองต่างๆ ในชายแดน เกิดความวุ่นวาย จึงมีขุนนางเสนอว่า “หลิวเซินเดินทัพไกลไปตีปาไป่สีฟู่กั๋ว เป็นการศึกซึ่งไม่ยุติ ทำให้ราษฎรเดือดร้อนและเกิดจลาจล ในระหว่างทางหลิวเซินปราบการกบฏไม่ได้ ยังทิ้งทหารหลบหนี ใน ค.ศ. 1302 เดือนมีนาคม จักรพรรดิปลดหลิวเซินและขุนนางทั้งหลายที่ไปปราบปาไป่สีฟู่ และปีต่อไป หลิวเซิน และขุนนางอีกสองคนถูกประหารชีวิต เนื่องจากแพ้ศึกและเสียไพร่พลในการปราบปาไป่สีฟู่” [14] สุดท้าย การใช้กำลังทหารบังคับล้านนาให้ยอมรับอำนาจของราชวงศ์หยวนจึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ในความคิดของชาวฮั่น ดินแดนพวกหมานอี๋ไม่มีประโยชน์ต่อประเทศ ถึงแม้ยึดครองดินแดนได้ทั้งหมด แต่ความคิดของชาวมองโกลในราชวงศ์หยวนยังต้องการยึดเอาล้านนาไว้ใต้อำนาจด้วย เพราะเหตุที่ราชวงศ์หยวนยังป้องกันชายแดนให้สงบและดึงอำนาจจากพม่าและลาว แต่พระญามังรายไม่ยอมสวามิภักดิ์และต่อสู้กับราชวงศ์หยวน ด้วยพระญามังรายกำลังขยายอำนาจและสถาปนาอาณาจักรของตนเอง จึงไม่ยอมให้อาณาจักรของตนเองตกในอำนาจของจักรพรรดิอื่น
เนื่องจากล้านนาอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของราชวงศ์หยวน และลักษณะทางภูมิศาสตร์ ในตอนเหนือของล้านนามีความซับซ้อนด้วยพื้นที่เป็นป่าและมีภูเขาสูงการทำสงครามต้องพึ่งพากองทัพท้องถิ่นของยูนนาน แต่การปกครองบริเวณชายขอบยูนนานยังไม่ค่อยสงบ ผู้ปกครองท้องถิ่น (土官-ถู่กวน) ยังก่อการกบฏบ่อยครั้ง นอกจากนี้ ขุนนางบางคนของยูนนานยังติดสินบนกับผู้ปกครองท้องถิ่น ดังนั้น การใช้กำลังทหารบังคับและปราบปรามให้ล้านนายอมรับอำนาจของราชวงศ์หยวนจึงไม่สำเร็จ
@@@@@@@
หลังจากการขยายอำนาจและทำสงครามกับรัฐต่างๆ ติดต่อกันหลายปี กองทัพและงบประมาณของราชวงศ์หยวนเสียหายหนักขึ้น ทั้งยังมีการแย่งชิงอำนาจภายใน เนื่องจากเฉิงจองเถี่ยมู่เอ่อร์ (成宗铁穆耳) สิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1307 ทำให้การปกครองของราชวงศ์หยวนไม่ค่อยมั่นคง ราชวงศ์หยวนจึงเริ่มปรับวิธีเชื่อมต่อกับปาไป่สีฟู่ และเมืองต่างๆ ในชายแดน
เมื่อ ค.ศ. 1309 ปาไปสีฟู่ เชอหลี่ใหญ่ และเชอหลี่น้อยก่อกบฏอีกครั้ง ราชวงศ์หยวนส่งซ่วนจือเอ๋อร์เวย (算只儿威) ผู้ดำรงตำแหน่งจงซูโย่วเฉิง (เสนาบดีขวา) แห่งมณฑลยูนนานไปเกลี้ยกล่อม แต่ปาไป่สีฟู่ไม่ยอม กลับมาร่วมมือกับเชอหลี่ใหญ่และเชอหลี่น้อยบุกชายแดนของราชวงศ์หยวนอีกครั้งใน ค.ศ. 1311 เพื่อป้องกันชายแดนของตนเองและช่วยเชอหลี่ใหญ่และเชอหลี่น้อยซึ่งเป็น “ประตูกั้นทาง” ระหว่างปาไป่สีฝู่กับราชวงศ์หยวน ดังนั้น จักรพรรดิจึงให้ “อ๋องแห่งยูนนานและโย่วเฉิงแห่งยูนนานไปปราบกบฏปาไป่สีฟู่ [14]
ทว่ายังไม่ถึงขั้นทำสงคราม สถานการณ์การเมืองของทั้ง 2 รัฐ เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง ทำให้ความสัมพันธ์ปรับเปลี่ยนไป ใน ค.ศ. 1311 ราชวงศ์หยวนเปลี่ยนรัชกาลจากอู่จง (武宗) ขึ้นปกครอง ค.ศ. 1307-1311 เป็นเหรินจง (仁宗) ขึ้นปกครอง ค.ศ. 1311-1320 ซึ่งช่วงนี้การเมืองภายในราชวงศ์หยวนไม่มั่นคงเช่นกัน ใน ค.ศ. 1312 “วันที่ 13 เดือนที่ 2 รัชศกหวงซิ่ง (21 มีนาคม ค.ศ. 1312) ปาไป่สีฟู่มาถวายช้างที่ฝึกแล้วสองเชือก” [15] เป็นการถวายบรรณาการแก่ราชวงศ์หยวนครั้งแรกของปาไป่สีฟู่ตามที่หยวนสื่อบันทึกไว้
@@@@@@@
ในเดือนกันยายน ราชวงศ์หยวนยังเตรียมกองทัพมองโกล ตามกองทัพยูนนานไปปราบปาไป่สีฟู่ แม้ในสถานการณ์นี้ล้านนาจะเริ่มถวายบรรณาการแก่จีน แต่ยูนนานยังคงต้องการส่งกองทัพไปตีล้านนา อาจเพราะความสัมพันธ์ในระดับท้องถิ่นไม่ราบรื่น และราชสำนักได้รับการชักจูงจากกรมการยูนนานให้ไปโจมตีปาไป่สีฟู่ ซึ่งได้เชอหลี่ใหญ่กลับคืนในการปกครองไปแล้ว [16]
จึงแสดงให้เห็นว่าในความจริง จักรพรรดิยังหวังว่าจะปราบล้านนาไว้ใต้การปกครองโดยใช้กำลังทหาร แต่ถูกบังคับโดยสถานภาพของราชวงศ์หยวน ไม่ควรทำสงครามอีก ซึ่งก่อนกองทัพจะเคลื่อนพลมีขุนนางกราบบังคมทูลว่า “เรื่องของหมานอี๋นั้นเน้นการผูกพัน มิควรที่จะต้องไปปราบปรามให้ทหารล้มตายและสูญเสียมาก อีกทั้งประหารขุนนางในท้องถิ่น” [17]
อ่านเพิ่มเติม :-
• อ่านล้านนาจากหลักฐานจีน เรียกอาณาจักร “สนมแปดร้อย” และธนูอาบยาพิษของพระนางจามเทวี • การทำบุญของคนล้านนาเมื่อ 500 ปีก่อน ภาพสะท้อนถึงความมั่งคั่ง
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : คนไกล วงนอก เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 6 กรกฎาคม 2565 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_89353?utm_source=msn_news&utm_medium=footer_clickเชิงอรรถ :- [1] 李云泉,万邦来朝 朝贡制度史论(新华岀版社,2014)p.157 [2] 宋濂,元史(中华书局,1976)p.47 [3] เซวียนฝู่สื่อ ตำแหน่งที่ปกครองท้องถิ่น [4] ตระกูลต้วน (大理段民) เป็นตระกูลกษัตริย์ที่ปกครองรัฐต้าหลี่ [5] หยวนไซว่ผู้เป็นหน่วยงานกํากับทหาร [6] 杨长玉,“元代车里行政区划的设置及相关问题考论”, 西南古籍研究 ( 云南大学岀版社,2011) : 230. [6] ปู้หลู่เหอต๋า เป็นชื่อตำแหน่งแม่ทัพ [7] วินัย พงศ์ศรีเพียร และคณะกรรมการสืบค้นประวัติศาสตร์ไทยในเอกสารภาษาจีน, ปาไป่สีฟู่-ปาไป่ต้าเตี้ยน (กรุงเทพฯ: รุ่งแสงการพิมพ์, 2539), น. 166. [8] 宋濂,元史(中华书局,1976)p.366 [9] Ibid., p. 407. [10] วินัย พงศ์ศรีเพียร และคณะกรรมการสืบค้นประวัติศาสตร์ไทยใน เอกสารภาษาจีน, ปาไป่สีฟู่-ปาไป่ต้าเตี้ยน, น. 166. [11] 宋濂,元史(中华书局,1976)p.433-434 [12] ซุ่นหยวน คือพื้นที่เมืองกุ้ยหยางมณฑลกุ้ยโจวในปัจจุบัน [13] กนกพร นุ่มทอง, “หลักฐานล้านนาในเอกสารโบราณจีน: บันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรสนมแปดร้อยในเอกสารโบราณสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง,” วารสารจีนศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 13, 2 (2563): 209. [14] เรื่องเดียวกัน, น. 179 [15] เรื่องเดียวกัน, น. 180. [16] เรื่องเดียวกัน, น. 182. [17] 宋濂,元史(中华书局,1976)p.550
|
|
|
269
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แก้เกมเด็กติดถ่าย TikTok โดดเรียนถี่ 9 ครั้งต่อวัน รร.ถอดกระจกห้องน้ำเกลี้ยง
|
เมื่อ: มกราคม 28, 2024, 06:43:01 am
|
แก้เกมเด็กติดถ่าย TikTok โดดเรียนถี่ 9 ครั้งต่อวัน รร.ถอดกระจกห้องน้ำเกลี้ยงโรงเรียนถอดกระจกในห้องน้ำออกทั้งหมด แก้ปัญหานักเรียนโดดเรียน ซ่อนในห้องน้ำเพื่อถ่ายคลิป เพราะติด TikTok อย่างหนัก!
ระบบโรงเรียน Alamance-Burlington ในสหรัฐอเมริกา เพิ่งตัดสินใจถอดกระจกในห้องน้ำออกทั้งหมด หลังจากจับได้หลายครั้งว่านักเรียนแอบโดดเรียนไปซ่อนอยู่ที่นั่นเพื่อถ่าย TikTok นักเรียนบางคนถูกจับได้ว่าเข้าห้องน้ำมากถึง 9 ครั้งต่อวัน เพราะพวกเขาติดถ่ายคอนเทนต์มาก
นายแอตกินส์ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของ Alamance-Burlington School System กล่าวว่า กระจกในห้องน้ำโรงเรียน ปรากฏบ่อยครั้งในวิดีโอที่นักเรียนมัธยมปลายโพสต์บน TikTok นอกจากนี้ โรงเรียนยังได้ใช้ระบบดิจิทัลเพื่อให้นักเรียนเช็คอินเข้าชั้นเรียน ช่วยให้สามารถติดตามว่าใช้เวลาในชั้นเรียนนานเท่าใด
@@@@@@@
ซึ่งหลังจากกระจกถูกถอดออกพบว่า นักเรียนเข้าห้องน้ำน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำน้อยลง “เรากำลังพยายามให้ความรู้แก่นักเรียนว่า ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือแล้ว และคุณต้องเรียนรู้วิธีใช้อย่างถูกต้อง โดยรู้ว่าเมื่อใดควรวางลง ” นายแอตกินส์กล่าว
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นโดยเพียงไม่กี่เดือนหลังจากผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชาวอเมริกันหลายคนเตือนว่า Gen Z จะติดและพึ่งพา TikTok มากขึ้น อย่างไรก็ดี การตัดสินใจของโรงเรียนครั้งนี้ ต้องเผชิญกับการต่อต้านเนื่องจากส่งผลกระทบต่อนักเรียนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ละเมิดกฎ
จากข้อมูลของสถาบันวิจัย Pew วัยรุ่น 1 ใน 6 ในสหรัฐอเมริกากล่าวว่าพวกเขาใช้ TikTok และ YouTube "เกือบตลอดเวลา" ซึ่งการติด TikTok ทำให้นักเรียนหลายคนลดความสนใจในการเรียนทุกวัน โรงเรียนหลายแห่งทั่วสหรัฐอเมริกาพยายามค้นหาวิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนติดหรือเสียสมาธิไปกับ TikTok ขอขอบคุณ ข้อมูล : vtc.vn | 27 ม.ค. 67 (13:15 น.) S! News (Rewrite) : สนับสนุนเนื้อหา URL : https://www.sanook.com/news/9198214/
|
|
|
270
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชี้เป้า 5 เกจิอาจารย์ ที่ช่วยแก้กรรมลดเคราะห์ ให้ชีวิตดีขึ้นได้
|
เมื่อ: มกราคม 28, 2024, 06:38:53 am
|
ชี้เป้า 5 เกจิอาจารย์ ที่ช่วยแก้กรรมลดเคราะห์ ให้ชีวิตดีขึ้นได้หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินคำว่า “เกจิอาจารย์” กัน แต่แอดเชื่อว่ามีหลายคนที่ยังไม่ทราบถึงความหมายของคำๆ นี้ค่ะ คำว่า เกจิ แปลว่า บางพวกหรือบางกลุ่ม เมื่อนำมารวมกับคำว่าอาจารย์แล้ว จะมีความหมายว่า อาจารย์บางพวกหรืออาจารย์บางกลุ่ม ที่มีวิชาอาคมแก่กล้า มีความชำนาญ ศักดิ์สิทธิ์ น่าเลื่อมใสและศรัทธา ซึ่งวันนี้แอดจะมาแนะนำ เกจิอาจารย์ที่ครั้งหนึ่งในชีวิต หากมีโอกาสควรไปกราบไหว้ขอพร เพื่อเสริมมงคลชีวิตให้ดีขึ้น พร้อมแล้วไปดูกันเลยค้า
@@@@@@@
1. หลวงพ่อเลิศ (พระครูปราโมทย์ปัญญาวัฒน์) เป็นเจ้าอาวาสวัดปราโมทย์ซึ่งมีความสามารถเรื่อง “พิธีตัดกรรมแบบโบราณ” จะทำบ่อยครั้งแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ละครั้งใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง คนที่จะมาร่วมพิธีตัดกรรม จะได้รับ “ศีล” คือการทำบุญอย่างหนึ่ง, “ถวายสังฆทาน” คือ บุญชนิดหนึ่ง, เวลาสวดก็นั่ง “กรรมฐาน” คือ ภาวนาก็เป็นบุญชนิดหนึ่ง รวมแล้วก็จะเป็นบุญครบ 3 ชนิด ทานมัย ศีลมัย และภาวนามัย สมบูรณ์แบบ
2. ครูบาน้อย เตชปญฺโญ วัดศรีดอนมูล จ.เชียงใหม่ “ครูบาน้อย” เป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังจากแดนล้านนา ที่มีชื่อเสียงและมีผู้คนเคารพนับถือเลื่อมใสกันเป็นอย่างมาก โดยครูบาน้อยได้รับฉายาว่า “เตชปญฺโญ” ซึ่งแปลว่าผู้มีปัญญาเป็นเดช ท่านสามารถปะพรมน้ำมนต์ในการทำตะกรุด ทำเทียนสะเดาะห์เคราะห์ เทียนสืบชะตา และอื่นๆ
3. ครูบาชัยยาปัถพี ชยฺยรตฺนจิตฺโต แห่งสถานธรรมดอยแก้วสัพพัญญู ต.เวียงกาหลง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ซึ่งครูบาท่านนี้ ได้รับคำกล่าว จาก ครูบาบุญชุ่มว่า "นี่เณรน้อยรูปนี้ไม่ธรรมดา ท่านผู้นี้อีกหน่อยจะได้เป็นกำลังของพระศาสนา จะได้เป็นที่พึ่งของศรัทธาแน่นอนในอนาคต" และยังได้รับการยกย่อง เรียกว่าเป็น ครูบา มาตั้งแต่เป็นสามเณร และว่ากันว่า ครูบารูปนี้ เป็นตนบุญผู้สืบทอดวิชาเก่าแก่ของล้านนา
ท่านเคยทำเทียนมงคลต่างๆ ที่มีผู้ไปใช้แล้วเห็นผล การทำวัตถุมงคล ตะกรุตเครื่องราง ก็มีประสบการณ์มากมายเป็นที่กล่าวขาน และที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยนั้นก็คือ ยันต์นกยูงทองที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของครูบาชัยยาปัถพี ท่านใช้ยันต์นี้ทั้งเจิมบ้าน บริษัท ห้างร้าน เจิมรถ และเป็นยันต์ในวัตถุมงคลต่างๆ ซึ่งเกิดสิริมงคลแก่ผู้บูชาทั้งหลายให้เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยเงินทอง มีเสน่ห์เมตตามหานิยม และเเคล้วคลาดปลอดภัย
4. หลวงปู่แผ้ว ปวโร วัดรางหมัน นครปฐม พระเถราจารย์ชื่อดังแห่งวัดประชาราษฎร์บำรุง (วัดรางหมัน) ต.รางพิกุล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ปัจจุบันอายุ กว่า 101 ปี ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเมืองกำแพงแสน ท่านไม่ปรารถนายศตำแหน่งใดๆ ในทางปกครองของคณะสงฆ์เลย และยังใช้ชีวิตด้วยความสมถะ เรียบง่าย เคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงทำให้ท่านเป็นที่เคารพนับถือของบรรดาลูกศิษย์ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไป
นอกจากนี้วัตถุมงคลของท่านยังมีชื่อเสียงและมีความขลังมาก จนผู้ที่ได้ไปบูชานั้นต่างกล่าวขานร่ำลือกันว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่แพ้วนั้นมีพุทธคุณเข้มขลังที่สุด โด่งดังมากที่สุด หากมีโอกาสแนะนำให้ไปกราบท่านเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
5. พระครูบาบุญชุ่ม “ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร” เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอนเรือง เมืองพง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมาร์ เป็นพระเกจิที่เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะในแถบภาคเหนือ ประเทศลาว ประเทศพม่า รวมทั้งสมาชิกพระราชวงศ์ภูฏานด้วย ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาท่านมุ่งมั่นแน่วแน่ในการศึกษาปฏิบัติธรรมและได้สร้างธรรมนุสรณ์จากการอนุโมทนาบุญโดยพุทธศาสนิกชนหลายแห่ง เช่น พระธาตุดอยเวียงแก้ว ที่วัดพระธาตุดอยวังแก้ว ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน และอื่นๆ อีกมากมาย
@@@@@@@@
สุดท้ายนี้ สิ่งที่จะทำให้เราพ้นเคราะห์หรือหมดกรรมได้นั้นอยู่ที่การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติธรรมภาวนาเพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเป็นหลัก การทำพิธีหรือพกเครื่องรางต่างๆ ก็เพื่อความสบายใจและดึงสิ่งดีๆ เข้ามาให้เราได้เลือกทำให้ชีวิตดีขึ้นเหมือนคำกล่าวที่ว่า คิดดี ทำดี ได้ดี ก็ให้ทุกท่านพบเจอแต่สิ่งที่ดีตลอดปี และตลอดไปนะคะThank to : https://www.sanook.com/horoscope/271371/27 ม.ค. 67 (13:30 น.) | Horosociety199 : สนับสนุนเนื้อหา
|
|
|
272
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดหลักสี่ฯ อ.บ้านแพ้ว ร่วมกับมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ตรวจสุขภาพพระภิกษุฟรี
|
เมื่อ: มกราคม 27, 2024, 08:05:17 am
|
. วันอาทิตย์นี้ “วัดหลักสี่ ฯ” อำเภอบ้านแพ้ว ร่วมกับมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ตรวจสุขภาพพระภิกษุฟรี เพื่อถวายพระกุศลแด่ “สมเด็จพระสังฆราช”วันที่ 25 ม.ค. 2567 แหล่งข่าวจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรสาคร แจ้งว่า ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ พระมงคลพัฒนาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าอาวาสวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ร่วมกับมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์ สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 10
จะจัดโครงการหน่วยแพทย์อาสาถวายพระกุศล แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2567 ณ วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ตั้งแต่เวลา 08.30-12.00 น. เพื่อถวายการตรวจสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ที่ได้สำรวจล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ประมาณ 400 รูป โดยจะทำการตรวจ 11 ชนิด อาทิ เลือด คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ฟัน ปอด ตา หู จมูก และ กระดูกข้อ รวมทั้งโรคผิวหนัง และมีคลินิคแพทย์แผนจีน คลินิกแพทยแผนไทย เป็นต้นขอบคุณ : https://thebuddh.com/?p=76918
|
|
|
273
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 เรื่องเกี่ยวกับ ความคิด ที่สำคัญสุดๆ แต่แทบไม่มีใครรู้.!!
|
เมื่อ: มกราคม 27, 2024, 07:38:53 am
|
. 10 เรื่องเกี่ยวกับ ความคิด ที่สำคัญสุดๆ แต่แทบไม่มีใครรู้.!! โดยคุณพศิน อินทรวงค์1. ความคิด และจิต ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
แต่มีส่วนสัมพันธ์กัน ความคิดคือจิตสำนึก อุปนิสัยและการตอบสนองคือสิ่งที่ถูกส่งมาจากจิตใต้สำนึก ส่วนธรรมชาติของจิตเดิมแท้นั้นอยู่ลึกลงไปกว่าจิตสำนึก จิตใต้สำนึก และเป็นยิ่งกว่าจิตไร้สำนึก แท้จริงแล้ว เราไม่ใช่ความคิด และความคิดก็ไม่ใช่เรา
2. ความคิด และอุปนิสัยของคนเรานั้น เกิดจากการสะสมสัญญาหมายจำหลายภพชาติ
ไม่ได้เกิดจากประสบการณ์ชาตินี้เพียงชาติเดียว การแก้ปัญหาความคิดโดยการพยายามคิดดีเพียงอย่างเดียวจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะธรรมชาติของจิตย่อมมีการปรุงแต่งทั้งความคิดดีและร้ายสลับกันไปมา พระพุทธเจ้าจึงนำเสนอหนทางใหม่ที่ดีกว่า “การควบคุมความคิด” นั่นคือ “การเห็นความคิด” เมื่อเราคิด เราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ ต่อเมื่อเราเห็นความคิด เราจะหลุดออกจากสถานการณ์ เมื่อเห็นความคิดแล้ว จะนำไปสู่ความรู้ที่ว่าความคิดไม่ใช่เรา เมื่อรู้ว่าความคิดไม่ใช่เราแล้วจะนำไปสู่การไม่ยึดติดความคิด จึงเป็นการแก้ไขปัญหาความคิดที่ได้ผลถาวร
3. สิ่งที่เราเรียกว่าการใช้ความคิดของคนส่วนใหญ่
ไม่ใช่การใช้ความคิด…แต่เป็นแค่การปรุงแต่ง และความฟุ่งซ่าน เป็นแค่ความกังวลไร้ประโยชน์ที่ผุดขึ้นมาระหว่างกำลังเผลอเรอ ถ้าเป็นการใช้ความคิดจริง จะไม่ก่อให้เกิดโทษและความทุกข์ตามมา การใช้ความคิดที่แท้จริงจะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อเรามีสมาธิพุ่งเป้าไปสู่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นการขับเคลื่อนชีวิตโดยใช้กำลังแห่งปัจจุบันขณะไปเรื่อยๆ โดยไม่มีความคิดอดีต และอนาคตเข้ามาเกี่ยวข้อง
@@@@@@@
4. ทุกข์ทั้งหมด ล้วนเกิดจากความคิดปรุงแต่ง
ไม่ว่าจะเรียกมันว่า ทุกข์เพราะอะไร แต่รากก็มาจากสิ่งเดียวกัน นั่นคือความคิด ถ้าใครแก้ปัญหาความคิดได้ บุคคลผู้นั้นก็จะไม่มีความทุกข์เลยชั่วชีวิต
5. การยุติความทุกข์ให้เหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์
เป็นสิ่งที่ทำได้จริง ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง หรือเรื่องอุปมาอุปไมย
6. ทุกจุดที่มนุษย์ทุกคนยืนอยู่ ล้วนมีทั้งสุข และทุกข์
ไม่มีใครมีความสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา การที่คนเราจะพบความสุขที่แท้จริงได้ จึงไม่ใช่เรื่องที่ว่า เราเป็นใคร มีฐานะอย่างไร มีการศึกษาแค่ไหน แต่เป็นเรื่องที่ว่า เราสามารถเท่าทันความคิดของเราได้แค่ไหน คิดเก่ง ไม่ได้แปลว่าเท่าทันความคิด และเท่าทันความคิด ก็ไม่จำเป็นต้องคิดเก่ง หากแต่ต้องมีความสามารถใช้ความคิดได้ในเวลาที่เหมาะสม เป็นนายของความคิด ไม่ใช่เป็นทาสที่ถูกความคิดลากจูงไปสู่หนทางแห่งความทุกข์
7. สติคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนเรา
เพราะสติคือตัวควบคุมความคิด และการควบคุมสติ ไม่ใช่เรื่องของความรู้ แต่เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนทำอย่างต่อเนื่องจนเกิดความชำนาญ การอ่าน การฟัง จึงไม่สามารถทำให้คนเรามีสติที่แข็งแกร่งได้ เป็นแต่เพียงการทำความเข้าใจเบื้องต้น เพื่อเข้าสู่กระบวนการฝึกฝนทางจิตที่ถูกต้องเท่านั้น
@@@@@@@
8. โหมดของความคิดนั้นมีด้วยกันห้าโหมด
หนึ่ง. คิดร้ายอันได้แก่คิดปรุงแต่งหรืออกุศลทั้งหลาย สอง. คิดดีหรือคิดเป็นกุศล คิดในลักษณะเมตตา หรือคิดในการทำหน้าที่อย่างไร้กังวล สาม. ดับความคิด หรือทำงานด้วยจิตว่าง หรืออยู่ในฌานสมาธิทั้งแปดระดับ สี่. เห็นความคิด นั่นคือ เห็นการเคลื่อนไหวของร่างกาย ความรู้สึก เห็นการปรุงแต่งของความคิด เห็นความจริงแห่งการเกิดดับของสิ่งต่างๆ ห้า. เห็นว่า ความคิดไม่ใช่ตัวตน เห็นว่า แม้แต่จิตก็ไม่ใช่เรา
9. ปกติแล้วคนเราจะมีความคิดอยู่ในโหมดคิดร้ายมากที่สุด
ถ้ามีสติขึ้นหน่อยก็จะสามารถประคับประคองตนเองให้อยู่ในโหมดคิดดีได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่นานก็จะย้ายความคิดไปอยู่ในโหมดคิดร้ายอีก สลับไปมาอยู่อย่างนั้น ส่วนโหมดดับความคิดจะต้องมีการฝึกฝนสมาธิเข้ามาเกี่ยวข้อง และถ้าจะเข้าสู่การเห็นความคิด และรู้ว่าความคิดไม่ใช่ตัวตน ก็จำเป็นต้องฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐานควบคู่ไปด้วย
10.ใครก็ตามที่เห็นการทำงานของความคิดบ่อยๆ
ความคิด และจิตจะแยกออกจากกัน จากนั้นความคิดที่ขึ้นๆ ลงๆ ดีๆ ร้ายๆ สุขๆ ทุกข์ๆ จะเข้าสู่ภาวะความเป็นกลางมากขึ้นโดยไม่ต้องควบคุม สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปโดยธรรมชาติ ส่งผลให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นคนที่มีความสงบนิ่ง สุขุม มีปัญญาเฉียมคม ไม่ตกเป็นทาสของความต้องการชนิดต่างๆ ต่อเมื่อจิตเห็นการทำงานของความคิดบ่อยเข้าๆ ก็จะเห็นว่าแม้แต่ตัวจิตเองก็มีลักษณะเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าจิตมีลักษณะเกิดดับแล้ว กระบวนการที่จิตจะเข้าไปสำคัญมั่นหมายว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของเราจะถูกทำลาย ความยึดมั่นถือมั่นจึงถูกทำลายลงไปด้วย สิ่งนี้เองคือจุดมุ่งหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นการทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
@@@@@@@
สิ่งเหล่านี้สามาถทำได้จริง เพียงแค่ตั้งใจจริง ฝึกฝนจริง ก็จะได้สิ่งที่เป็นของจริง ซึ่งคู่ควรกับผู้ที่เป็นคนจริงเท่านั้นขอขอบคุณ :- เรื่องโดย : พศิน อินทรวงค์ URL : https://cheewajit.com/healthy-mind/79076.htmlสุขใจ | January 17, 2024 | cheewajitmedia
|
|
|
274
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พาลูก 5 ขวบ ลงแช่แม่น้ำคงคา เชื่อช่วยรักษามะเร็ง-ยืดอายุ แต่ผลลัพธ์ช็อกใจสลาย
|
เมื่อ: มกราคม 27, 2024, 07:25:32 am
|
. พาลูก 5 ขวบ ลงแช่แม่น้ำคงคา เชื่อช่วยรักษามะเร็ง-ยืดอายุ แต่ผลลัพธ์ช็อกใจสลายครอบครัวพาเด็กชายวัย 5 ขวบ ลงแม่น้ำคงคา เชื่อช่วยรักษามะเร็ง-ยืดอายุ แต่ผลลัพธ์ตรงกันข้าม กลายเป็นช็อกใจสลาย
เว็บไซต์ CTWANT รายงานเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในครอบครัวที่มาจากความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย เมื่อครอบครัวหนึ่งซึ่งอาศัยในเมืองเดลี พาลูกชายวัย 5 ขวบ ซึ่งป่วยด้วยโรคร้ายนั่งรถไปไกลกว่า 370 กิโลเมตร เพื่อมาแช่น้ำคงคา เพราะเชื่อว่าจะรักษาและยืดอายุของเด็กน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กับตรงกันข้าม
ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น NDTV เผยว่า เด็กชายวัย 5 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดระยะสุดท้าย แพทย์วินิจฉัยว่าเขาไม่สามารถรักษาได้ แต่ทางครอบครัวไม่ยอมแพ้ เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 09.00 น. พวกเขาได้พาลูกชายที่กำลังป่วยนั่งแท็กซี่ออกจากเมืองเดลี เดินทางไปยังแม่น้ำคงคา ที่เมืองหริทวาร ของรัฐอุตตราขัณฑ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
ครอบครัวของเด็กชายเชื่อว่าแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์จะช่วยรักษาเยียวยาลูกชายได้ เมื่อไปถึงก็จัดการทำพิธีกรรม ทางพ่อแม่ของเด็กชายได้สวดมนต์อยู่บนฝั่ง ในขณะที่ผู้เป็นป้าของเด็กชายได้พาหลานลงไปจุ่มใต้น้ำ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ และน้ำในแม่น้ำเย็นเฉียบกระทั่งผู้คนที่อยู่รอบ ๆ สังเกตว่า เด็กชายอยู่ในน้ำนานเกินไป จึงบอกให้ทางครอบครัวหยุด แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อ พลเมืองดีที่จะเข้าไปช่วยดึงตัวเด็กชายขึ้นมาจากน้ำ ยังถูกป้าของเด็กชายขัดขืน และถึงขั้นจะทำร้ายพวกเขาที่เข้าขัดขวาง
กระทั่งเมื่อเด็กชายถูกพาขึ้นมาจากน้ำก็พบว่าเขาแน่นิ่งไม่ได้สติ แม้ขณะนั้นป้าของเด็กชายยังนั่งเฉยข้างร่างของหลาน โดยเชื่อว่าเด็กชายจะฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ในที่สุดมีคนแจ้งหน่วยฉุกเฉิน นำตัวเด็กชายส่งโรงพยาบาล แต่แพทย์ไม่สามารถช่วยยื้อชีวิตได้ เด็กชายเสียชีวิตไประยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำ
ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่จึงได้เข้ามาควบคุมตัวพ่อและแม่ของเด็กชาย รวมทั้งป้าของเขาไปสอบสวนเพื่อดำเนินการทางกฎหมายแล้ว
ด้าน คนขับแท็กซี่ที่พาครอบครัวนี้มาส่ง เล่าว่า ตอนนั้นเด็กชายป่วยหนักอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะได้ทราบจากครอบครัวว่าเด็กป่วยด้วยโรคร้าย แต่เขาก็ยังใจสู้นั่งรถระยะทางกว่า 370 กิโลเมตร ไม่คาดคิดว่าเด็กชายจะจมน้ำทั้งเป็นด้วยฝีมือของครอบครัวของเขาจากเหตุการณ์นี้
ชมภาพทั้งหมดได้ที่ : https://www.sanook.com/news/9196114/gallery/ขอขอบคุณ ข้อมูล : CTWANT,NDTV Annika K. : ผู้เขียน: 27 ม.ค. 67 (06:00 น.) URL : https://www.sanook.com/news/9196114/
|
|
|
276
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ถวายสังฆทานให้ถูกวิธี
|
เมื่อ: มกราคม 25, 2024, 11:18:49 am
|
. ๑๒. ถวายสังฆทานเวลาไหน
ขอย้ำว่าสังฆทานมิได้ขึ้นอยู่กับสิ่งของที่จะถวาย แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาในการถวายว่า จะถวายเป็นของสงฆ์ แต่เมื่อถามว่า จะถวายสังฆทานเวลาไหนได้บ้าง ก็ต้องดูกันที่ของถวายว่า เป็นของประเภทไหน ซึ่งมีหลักง่ายๆ อยู่ว่า ถ้าเป็นของใช้ ถวายได้ตลอดวัน ถ้าเป็นของฉัน(คือของกิน) ต้องถวายก่อนเที่ยง ที่ว่าของกินต้องถวายก่อนเที่ยง ก็เพราะพระสงฆ์จะรับประเคนของกินได้เฉพาะเวลาก่อนเที่ยงเท่านั้น เนื่องจากหลังเที่ยงไปแล้วพระสงฆ์จะฉันอาหารมิได้ จนกว่าจะถึงเวลาอรุณขึ้นในวันใหม่
ของกินที่ว่านี้ไม่ว่าจะเป็นของสด คือ อาหารหวานคาวที่กินได้เลย หรือของแห้ง คือ อาหารที่เก็บไว้กินได้หลายวัน พระสงฆ์จะรับประเคนหลังเที่ยงไม่ได้ทั้งนั้น ดังเป็นที่รู้เข้าใจกันทั่วไปอยู่แล้วว่า หลังเที่ยงไปแล้วจะเอาอาหารไปถวายพระไม่ได้
ปัญหาที่พบเสมอก็คือ ของที่จัดไปถวายสังฆทานมักมีของแห้ง เช่น ปลากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง รวมอยู่ด้วยกับของใช้ เมื่อกล่าวคำถวายแล้ว ผู้ถวายก็ยกประเคนพระ ฝ่ายพระก็รับประเคนง่ายๆ จะเป็นด้วยต้องการรักษาศรัทธาญาติโยม หรือเพราะไม่ตระหนักในวินัย อย่างใดอย่างหนึ่ง กลายเป็นทำบุญผิดวิธี แทนที่จะได้บุญบริสุทธิ์ กลับมีโทษติดอยู่ด้วย
เรื่องนี้มีคำแนะนำดังนี้
๑. ควรแยกของกินออกจากของใช้ให้เด็ดขาดกันไป อย่าเอามารวมกัน ๒. ถ้าถวายก่อนเที่ยง ก็ถวายได้ทั้งของกินของใช้ เฉพาะของกินควรมีอาหารคาวหวานที่พร้อมจะรับประทานได้ทันทีเป็นหลัก ของอื่นเป็นบริวาร ๓. ถ้าถวายหลังเที่ยง ก็ถวายเฉพาะของใช้ ๔. ของกินที่เป็นอาหารสด ไม่ถวายหลังเที่ยงเด็ดขาด ๕. ถ้าถวายหลังเที่ยง และมีของแห้งรวมอยู่ด้วย ต้องแยกออกไว้ต่างหาก และประเคนเฉพาะของใช้ ส่วนของแห้งไม่ต้องประเคน
@@@@@@@
๑๓. วิธีถวายสังฆทาน
การถวายสังฆทานทำได้ ๒ วิธี คือ
๑. ถวายแบบไม่ต้องมีพิธี การถวายแบบนี้ก็คือ มีของที่จะถวาย มีเจตนาที่ตั้งใจจะถวายเป็นสังฆทาน (ตามความหมายที่พูดมาแล้ว) เมื่อพร้อมแล้วก็นำของนั้นไปที่วัด หรือจะนิมนต์พระไปที่บ้านก็แล้วแต่จะสะดวก แล้วก็บอกกล่าวแก่พระสงฆ์ให้เข้าใจเจตนาของผู้ถวายว่า ขอถวายของสิ่งนี้ๆให้เป็นของสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์รับรู้รับทราบและรับสิ่งของนั้นไปแล้ว ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์เป็นสังฆทานทันที วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบทำอะไรเอาแต่สาระ ไม่ชอบพิธีรีตอง
๒. ถวายแบบมีพิธี ปฏิบัติดังนี้ - เตรียมของถวาย - เตรียมจัดสถานที่ คือจัดที่บูชา ตั้งพระพุทธรูป มีดอกไม้ธูปเทียนสำหรับสักการะ และจัดอาสนะสาหรับพระสงฆ์ - นิมนต์พระสงฆ์ตามจำนวนที่ต้องการ (ไม่ต้องระบุตัว) - เมื่อพร้อมแล้ว คือ พระสงฆ์มาพร้อมแล้ว ยกของถวายไปตั้งวางตรงหน้าพระสงฆ์ จุดธูปเทียน กล่าวำคำบูชาพระรัตนตรัย แล้วอาราธนาศีล - พระสงฆ์ให้ศีล - จบแล้ว กล่าวคำถวายสังฆทาน (ตามแบบเก่านิยมตั้งนะโม ๓ จบ แล้วสวดสังฆคุณ จบแล้วกล่าวคำถวายสังฆทานเป็นภาษาบาลี ต่อด้วยคาแปล) - ประเคนของถวายที่สมควรจะประเคน - พระสงฆ์อุปโลกน์ (ถ้าในที่นั้นมีพระภิกษุครบองค์สงฆ์ และต้องการแจกของกันให้เสร็จสิ้นไปเลย) - พระสงฆ์อนุโมทนา ผู้ถวายกรวดน้ำ เป็นอันเสร็จพิธี
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ชอบทำอะไรตามแบบแผน ผลดีของวิธีนี้คือ นอกจากจะได้ทำบุญด้วยวิธีถวายทานแล้ว ยังได้สมาทานศีลเป็นการย้ำเตือนให้งดเว้นบาป ชื่อว่าได้ทำบุญด้วยวิธีรักษาศีลอีกทางหนึ่ง ทั้งยังเป็นการรักษาแบบแผนประเพณีไว้อีกด้วยหน้า ๒๒-๒๕ ๑๔. คำถวายสังฆทาน
ขอกล่าวซ้ำอีกทีว่า สังฆทานเป็นชื่อของเจตนาที่จะถวายสิ่งของให้เป็นของสงฆ์ ไม่ใช่เป็นชื่อสิ่งของที่จะถวาย ขอให้สังเกตคำถวายสังฆทานที่รู้กันโดยทั่วไป คือ
อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ…. ซึ่งแปลว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ซี่งภัตตาหารพร้อมทั้งของบริวารทั้งหลายเหล่านี้……
คำถวายนี้ที่จริงแล้ว ก็คือคำถวายภัตตาหารนั่นเอง ไม่มีคำว่า สังฆทาน อยู่ด้วยเลย แต่เมื่อตั้งเจตนากล่าวคำถวายเช่นนี้แล้ว ภัตตาหารที่ถวายนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นสังฆทาน
เพราะฉะนั้น คำถวายสังฆทานจึงขึ้นอยู่กับว่า จะถวายอะไร เช่น ถ้าถวายภัตตาหาร ก็ระบุว่า ขอน้อมถวายซึ่งภัตตาหาร กรณีนี้ภัตตาหารก็เป็นสังฆทานไป ถ้าถวายจีวรก็ระบุว่า ขอน้อมถวายซึ่งผ้าจีวร กรณีนี้ผ้าจีวรก็เป็นสังฆทานไป ถ้าถวายกุฏิก็ระบุว่า ขอน้อมถวายซึ่งกุฏิ กรณีนี้กุฏิก็เป็นสังฆทานไป ถ้าถวายยารักษาโรคก็ระบุว่า ขอน้อมถวายซึ่งยารักษาโรค กรณีนี้ยารักษาโรคก็เป็นสังฆทานไป
เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ถ้าจะพูดให้ถูก เราต้องพูดว่า "ถวายสิ่งของนั้นๆให้เป็นสังฆทาน ไม่ใช่ถวายสังฆทาน" แต่เวลาพูด เราพูดกันสั้นๆว่าถวายสังฆทาน คือ พูดละไว้ในฐานที่เข้าใจกัน แต่เมื่อพูดกันไปพูดกันมา ก็ทำท่าจะเข้าใจไขว้เขว คือ เข้าใจกันว่าสังฆทานเป็นสิ่งของอะไรชนิดหนึ่ง จึงปรากฏว่ามีผู้ผูกคำถวายสังฆทานขึ้นมาใหม่ คือเปลี่ยนคำว่า ภัตตานิ เป็น สังฆะทานิ อย่างนี้ก็มี
สรุปความเข้าใจไขว้เขวในคำถวายสังฆทาน ก็มีดังนี้
๑. เข้าใจว่าถ้าจะถวายสังฆทาน ไม่ว่าของที่ถวายจะเป็นอะไรก็ตาม และไม่ว่าจะถวายเวลาไหนก็ตาม คำถวายก็มีอยู่อย่างเดียวคือ อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ….. พวกนี้คือไม่รับรู้ว่า ภัตตานิ แปลว่าอะไร จึงฝังใจอยู่แต่ว่า ถ้าจะถวายสังฆทานก็ต้อง…..ภัตตานิ แม้ของถวายจะไม่ใช่ อาหาร ก็ยัง ภัตตานิ และแม้จะถวายหลังเที่ยงซึ่งพระสงฆ์รับ อาหารไม่ได้ ก็ยังคง ภัตตานิ อยู่นั่นเอง (แต่พอถึงคำแปลก็ไม่แปลว่า ซึ่งภัตตาหาร ตามศัพท์ แต่ไพล่ไปแปลว่า ซึ่งสังฆทาน)
๒. พวกที่พอจะรู้อยู่บ้างว่า ภัตตานิ แปลว่า ภัตตาหาร ซึ่งหลังเที่ยงแล้วพระรับไม่ได้ รับได้เฉพาะก่อนเที่ยง เมื่อถวายก่อนเที่ยงก็ยังใช้คำว่า ภัตตานิ แม้ของถวายจะไม่ใช่อาหารหรือไม่มีของกินรวมอยู่ด้วยเลย (คือเข้าใจเหมือนกับในข้อ ๑ ว่า ถ้าถวายสังฆทานก็ต้องใช้คำว่า ภัตตานิ เสมอ) แต่เมื่อถวายหลังเที่ยงก็เลี่ยงคำว่า ภัตตานิ เสีย ผูกศัพท์ขึ้นใหม่ โดยเอาคำว่า สังฆทานที่พูดกันจนคุ้นปากแล้วนั่นเอง มาเทียบกับคำว่า ภัตตานิ เห็นมีคำ ว่า นิ ลงท้าย จึงผูกศัพท์เป็น สังฆะทานิ ซึ่งไม่ถูกตามหลักไวยากรณ์
ถ้าจะให้ถูกต้องเป็น สังฆะทานัง หรือ สังฆะทานานิ แต่แม้จะประกอบศัพท์เป็น สังฆะทานานิ ถูกตามหลักไวยากรณ์ ก็ยังคลาดเคลื่อนจากแบบแผนของการถวายทาน ตามหลักที่ว่า เราถวายของสิ่งนี้ๆ ให้เป็นสังฆทาน เมื่อกล่าวคำถวายตามพิธีการ ก็ต้องระบุลงไปว่า ของสิ่งนั้นคืออะไร เช่น เป็นภัตตาหาร เป็นจีวร เป็นกุฏิ เป็นยารักษาโรค เป็นร่ม เป็นรองเท้า ฯลฯ
แต่สิ่งของที่มีชื่อเฉพาะว่าสังฆทานนั้นไม่มี การใช้คำว่า สังฆะทานานิ ในคำถวาย จึงไม่รู้ว่าถวายอะไร คำว่า สังฆะทานัง หรือ สังฆะทานานิ แปลตามศัพท์ว่า ทานเพื่อสงฆ์, ให้เป็นของสงฆ์, ของที่ให้เป็นของสงฆ์ ตามศัพท์เท่านี้ ก็ไม่รู้ว่าของที่ให้เป็นของสงฆ์ นั้นคืออะไร อยู่นั่นเอง
เนื่องจากคำถวายขึ้นอยู่กับสิ่งของที่จะถวาย จึงขอแยกเพื่อให้เห็นชัดเจน ดังนี้
๑. ถวายเฉพาะอาหาร ไม่มีของอื่นประกอบ (ต้องถวายก่อนเที่ยง) คำถวายว่า อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ ภิกขุสังฆัสสะ… (…ซึ่งภัตตาหารเหล่านี้)
๒. ถวายอาหาร มีของอื่นประกอบด้ว (ต้องถวายก่อนเที่ยง) คำถวายว่า อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ.... (…ซึ่งภัตตาหาร พร้อมทั้งของบริวารทั้งหลายเหล่านี้) (แบบนี้เป็นคำถวายที่ใช้กันทั่วไป แต่ก็เป็นคำถวายอาหารนั่นเอง)
๓. ถวายสิ่งของเพียงชิ้นเดียว (เช่น ร่มคันเดียว รองเท้าคู่เดียว เก้าอี้ตัวเดียว) ไม่มีของอื่นประกอบ คำถวายว่า อิมัง มะยัง ภันเต (ต่อจากนี้เป็นศัพท์ภาษาบาลีที่ระบุชื่อของสิ่งนั้น ผูกเป็นรูปเอกพจน์ ทุติยาวิภัตติ) ภิกขุสังฆัสสะ… (คำแปลก็ระบุลงไปว่าขอน้อมถวาย ซึ่งอะไร)
๔. ถวายสิ่งของชิ้นเดียว มีของอื่นประกอบ คำถวายว่า อิมัง มะยัง ภันเต (ศัพท์ภาษาบาลีระบุชื่อของสิ่งนั้นผูกเป็น รูปเอกพจน์ ทุติยาวิภัตติ) สะปะริวารัง ภิกขุสังฆัสสะ…
๕. ถวายสิ่งของชนิดเดียว แต่มีหลายชิ้น (เช่น ถวายร่มเพียงอย่างเดียว แต่มีหลายคัน) ไม่มีของอื่นประกอบ
๖. ถวายสิ่งของชนิดเดียว มีหลายชิ้น และมีของอื่นประกอบด้วยในข้อ ๕ และ ๖ นี้ ต้องดูว่าของสิ่งนั้นคืออะไร ศัพท์ภาษาบาลีจะใช้คำว่าอะไร แล้วประกอบศัพท์นาม สรรพนาม และคาขยาย ของคำนั้นๆ ให้ถูกตามหลักไวยากรณ์ เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องนี้ จึงมีผู้รู้จัดทำคำถวายทานต่างๆ ขึ้น ผู้ต้องการจะกล่าวคำถวาย ให้ถูกต้องพึงแสวงหามาใช้เป็นคู่มือเถิด
๗. ถวายสิ่งของ(ของใช้) หลายชนิด ไม่อาจแยกแยะระบุชื่อได้ หรือแม้จะแยกแยะได้ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะใช้คำศัพท์บาลีเรียกของสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่าอย่างไร อีกทั้งรวมกันอยู่หลายอย่าง (ของถวายสังฆทานที่เห็นอยู่ทุกวันนี้มักมีลักษณะเช่นนี้) กรณีเช่นนี้ มีคำที่ใช้เรียกสิ่งของเหล่านั้นอยู่ว่า กัปปิยะภัณฑะ แปลว่า “สิ่งของอันสมควรแก่สมณบริโภค” เรียกทับศัพท์ว่า กัปปิยภัณฑ์ ตามปกติเมื่อเป็นของหลายๆ อย่างเช่นนี้ย่อมไม่อาจระบุได้ว่า ของสิ่งใดเป็นหลัก ของสิ่งใดเป็นของประกอบ(ของบริวาร) ในคำถวายจึงไม่ควรมีคำศัพท์ว่า สะปะริวารานิ คำถวายกัปปิยภัณฑ์ให้เป็นสังฆทานว่า อิมานิ มะยัง ภันเต กัปปิยะภัณฑานิ ภิกขุสังฆัสสะ…
๘. ถวายสิ่งของให้เป็นสังฆทานเพื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านให้เติมคำว่า "มะตะกะ" ซึ่งแปลว่า “ผู้ตาย” เข้าข้างหน้าชื่อของที่ถวาย เช่น มะตะกะภัตตานิ (ภัตตาหารเพื่อผู้ตาย) มะตะกะ จีวะรานิ (จีวรเพื่อผู้ตาย) และให้เติมศัพท์ว่า กาละกะ ตานัง ญาตะกานัง เข้าในท่อนท้ายของคำถวายด้วย (แปลว่า-แก่ญาติทั้งหลาย ผู้ล่วงลับไปแล้ว) ในข้อนี้มีแนวปฏิบัติอยู่ว่า โดยปกติชาวพุทธเรา เมื่อทำบุญอย่างใดๆ แล้ว นิยมอุทิศส่วนบุญหรือแบ่งส่วนบุญให้แก่ผู้อื่นด้วย เพราะถือว่าได้บุญอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้น เมื่อถวายทานเพื่อตัวเองแล้ว ก็ควรมีคำที่แสดงเจตนาแบ่งส่วนบุญให้ผู้อื่นด้วยเสมอไป
@@@@@@@
เท่าที่แยกไว้นี้ เพียงเพื่อให้เห็นว่าการถวายทานนั้นมีหลายกรณี คำถวายจึงต้องแยกไปตามกรณีนั้นๆ แต่ความเป็นจริงอาจไม่เกิดขึ้นทุกกรณีไป ในที่นี้ จึงจะขอแสดงคำกล่าวถวายทานเต็มๆ ไว้เป็นแบบแผนเพียง ๒ แบบที่มักทำกันบ่อย คือ ถวายภัตตาหารมีของอื่นประกอบ และถวายสิ่งของหลายชนิด ไม่อาจแยกแยะได้ (คือที่กล่าวถึงในหมายเลข ๒ และ ๗ ในหัวข้อนี้)
คำถวายสังฆทานแบบมีภัตตาหารเป็นหลัก(ถวายก่อนเที่ยง)
อิมานิ มะยัง ภันเต/ ภัตตานิ/ สะปะริวารานิ/ ภิกขุสังฆัสสะ/ โอโณชะยามะ/ สาธุ โน ภันเต/ ภิกขุสังโฆ/ อิมา นิ/ ภัตตานิ/ สะปะริวารานิ/ ปะฏิคคัณหาตุ/ อัมหากัญเจวะ/ มาตาปิตุ/ อาทีนัญจะ/ ญาตะกานัง/ ทีฆะรัตตัง/ หิตายะ/ สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ/ ข้าพเจ้าทั้งหลาย/ ขอน้อมถวาย/ ซึ่งภัตตาหาร/ พร้อมทั้งของบริวารทั้งหลายเหล่านี้/ แด่พระภิกษุสงฆ์/ ขอพระภิกษุสงฆ์/ จงรับ/ ซึ่งภัตตาหาร/ พร้อมทั้งของบริวารทั้งหลายเหล่านี้/ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย/ เพื่อประโยชน์/ เพื่อความสุข/ แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย/ และแก่ญาติทั้งหลาย/ มีมารดาบิดาเป็น ต้น/ ตลอดกาลนาน เทอญ
คำถวายสังฆทานแบบมีเฉพาะของใช้หลายชนิด(ถวายได้ตลอดวัน)
อิมานิ มะยัง ภันเต/ กัปปิยะภัณฑานิ/ ภิกขุสังฆัสสะ/ โอโณชะยามะ/ สาธุ โน ภันเต/ ภิกขุสังโฆ/ อิมานิ/กัปปิยะภัณฑานิ/ ปะฏิคคัณหาตุ/ อัมหากัญเจวะ/ มาตา-ปิตุ/ อาทีนัญจะ/ ญาตะกานัง/ ทีฆะรัตตัง/ หิตายะ/ สุขายะ
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ/ ข้าพเจ้าทั้งหลาย/ ขอน้อมถวาย/ ซึ่งกัปปิยภัณฑ์เหล่านี้/ แด่พระภิกษุสงฆ์/ ขอ พระภิกษุสงฆ์/ จงรับ/ ซึ่งกัปปิยภัณฑ์เหล่านี้/ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย/ เพื่อประโยชน์/ เพื่อความสุข/ แก่ข้าพเจ้า ทั้งหลาย/ และแก่ญาติทั้งหลาย/ มีมารดาบิดาเป็นต้น/ ตลอดกาลนาน เทอญ
มีคำแนะนำดังนี้
- ผู้ถวายควรกล่าวด้วยตนเอง - ถ้าว่าไม่ได้ ควรขอให้ผู้ที่ว่าได้มากล่าวนำ - ในที่นี้ได้ทำเครื่องหมาย / ไว้ แสดงว่า ถ้ามีการกล่าวนำ ให้หยุดเป็นวรรคๆ ตามเครื่องหมาย - ไม่ควรให้พระสงฆ์เป็นผู้กล่าวนำหน้า ๒๕-๓๒ @@@@@@@
๑๕. องค์ประกอบที่เป็นเหตุให้การถวายทานได้อานิสงส์เลิศ
ทานที่บริจาคแล้ว จะเป็นทานอันยอดเยี่ยม มีผลมาก มีอานิสงส์มาก อาจเห็นผลทันตา ต้องประกอบด้วยความสมบูรณ์พรั่งพร้อม ที่เรียกว่า สัมปทา ๔ อย่าง คือ
๑. วัตถุสัมปทา ถึงพร้อมด้วยวัตถุ คือ ปฏิคาหกผู้รับทานเป็นผู้ทรงคุณธรรม เช่น เป็นพระอรหันต์ หรือพระอนาคามี ผู้เข้านิโรธสมาบัติได้
๒. ปัจจยสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัจจัย คือ สิ่งที่จะให้ที่จะถวายเป็นของบริสุทธ์ ได้มาโดยชอบธรรม
๓. เจตนาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยเจตนา คือ มีเจตนาในการให้ สมบูรณ์ครบทั้ง ๓ กาล ทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้ จิตโสมนัส ประกอบด้วยปัญญา
๔. คุณาติเรกสัมปทา ถึงพร้อมด้วยคุณส่วนพิเศษ คือ ปฏิคาหกเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ออกจากนิโรธ-สมาบัติใหม่ๆ
@@@@@@@
๑๖. คำขอร้อง
ในที่สุดนี้ ขอฝากคำขอร้องไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถวายสังฆทานดังนี้
• สำหรับวัดหรือสงฆ์ ขอร้องว่า อย่าทำให้การถวายสังฆทานเบี่ยงเบนไปเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาหรือเสริมสิริมงคล แม้แต่จะอ้างว่าเป็นอุบายชักจูงให้คนทำบุญ เพราะการล่อให้คนทำบุญด้วยความหลงอยู่แค่นั้น ไม่ใช่วิถีทางของพระพุทธศาสนา ควรกำหนดนโยบายที่แน่นอนและถูกต้องตามพระธรรมวินัยว่า ของที่รับสังฆทานมาแล้วนั้น จะนำไปใช้เพื่อการอันใด อย่าเห็นแก่ลาภและมุ่งแต่จะหาเงิน โดยละเลยหรือหลีกเลี่ยงหลักการของสังฆทาน ตรงกันข้าม ควรจะเผยแพร่หลักการของสังฆทานที่ถูกต้อง ให้ประชาชนได้รู้ได้เข้าใจ ประชาชนจะได้เข้าใจเรื่องสังฆทานและปฏิบัติได้ถูกต้อง วัดหรือสงฆ์ไม่ควรเป็นตัวการทำให้เรื่องสังฆทานเลอะเลือน คลาดเคลื่อนไขว้เขวออกไปจากหลักการที่ถูกต้องเสียเอง
• สำหรับตัวพระภิกษุผู้รับสังฆทาน ขอร้องว่า ควรศึกษาหลักการของสังฆทานให้เข้าใจถูกต้องถ่องแท้ ควรรู้วิธีการว่า เมื่อจะไปเป็นผู้รับสังฆทานนั้นต้องเตรียมตัวอย่างไร และเมื่อรับของสังฆทานแล้ว ต้องนำไปทำอย่างไร จึงจะถูกต้องตามพระธรรมวินัย ไม่ควรทาให้ผิดพลาดคลาดเคลื่อน อันจะเป็นเหตุให้เจตนาในการถวายสังฆทานของญาติโยมต้องเป็นหมันไป
• สำหรับเจ้าภาพผู้ถวายสังฆทาน ขอร้องว่า ควรศึกษาไว้ให้พอสมควร ว่าของสิ่งใดควรหรือไม่ควรแก่สมณบริโภค ถวายเวลาไหน ควรจะมีหรือไม่ควรมีของสิ่งใดบ้าง ตลอดจนฉลาดเลือกของที่มีคุณภาพและคุณประโยชน์ อย่าหลงไปตามพ่อค้าที่เขามุ่งประโยชน์ในทางพาณิชย์ อนึ่ง ถ้าจะทาพิธีถวายสังฆทาน ก็ควรจะมีความรู้ในขั้นตอนของพิธีไว้บ้าง เช่น ไหว้พระ บูชาพระว่าอย่างไร รับศีลว่าอย่างไร คำถวายว่าอย่างไร หากไม่มีมรรคนายกเป็นผู้นำ ก็อย่าถึงกับต้องให้พระสงฆ์ว่านำให้ทุกอย่าง ที่สำคัญที่สุดคืออย่าหลงไปตามคำล่อว่า การถวายสังฆทานเป็นวิธีสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เสริมสิริมงคล เพราะการทำบุญด้วยศรัทธาที่ขาดปัญญานั้น มิใช่วิถีของชาวพุทธเลย
• สำหรับมรรคนายกหรือผู้ทำพิธี ขอร้องว่า ควรศึกษาขั้นตอนของพิธีให้ถูกต้องถ่องแท้ กล่าวคำถวายให้ถูกต้องตามหลักภาษาและถูกต้องตามชนิดของสิ่งที่ถวาย อย่าทำอย่ากล่าวตามๆ กันไปส่งเดช โดยเข้าใจเอาเองว่าถูก เพราะการนำไปในทางผิดพลาด ย่อมทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนเลือนหลงไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดโทษอย่างมหันต์
• สำหรับร้านค้า ขอร้องว่า อย่าฉวยโอกาสเอาความไม่รู้ของประชาชนเป็นเหยื่อขายสินค้าโดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด อย่าอำนวยความสะดวกในทางที่ผิดพลาด เช่นเอาของกินปนไปในเครื่องสังฆทานที่ถวายหลังเที่ยง อย่าเห็นแก่ตัว อย่ามุ่งแต่จะขายสินค้า ด้วยการเอาสินค้าที่หมดอายุแล้ว หรือเสื่อมคุณภาพบรรจุลงในภาชนะหีบห่อที่อ้างว่าเป็น “เครื่องสังฆทาน” ข้อสำคัญ อย่าแนะนำประชาชนผิดๆว่า ถ้าจะถวายสังฆทานก็ต้องซื้อของอย่างนี้ๆ ถ้าไม่มีของสิ่งนี้ๆ จะไม่เป็นสังฆทาน เพียงเพื่อว่าจะได้ขายของ เพราะนั่นเป็นการหลอกลวงที่น่าละอายที่สุด
และสุดท้าย ขออนุโมทนาคารวะต่อผู้ที่ปฏิบัติอย่างถูกต้องในเรื่องสังฆทาน สาธุ สาธุ อะนุโมทามิหน้า ๓๓-๓๖
|
|
|
277
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระเขี้ยวแก้ว
|
เมื่อ: มกราคม 25, 2024, 08:25:43 am
|
. พระเขี้ยวแก้วที่วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา ขอบคุณภาพจาก : https://www.thaipbs.or.th/news/content/255922พระเขี้ยวแก้วพระธาตุเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า มีอยู่ ๔ องค์ด้วยกัน แต่ที่อยู่ในโลกมนุษย์ในปัจจุบันมีเพียง ๒ องค์หรือ ๒ ชิ้น เท่านั้น คือ
๑. อยู่ที่วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา ๒. อยู่ที่วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
พระธาตุองค์ที่อยู่วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณประชาชนจีน เคยนำมาให้คนไทยได้กราบไหว้หลายปีมาแล้วที่พุทธมณฑล คนไปกราบ ไปไหว้ เป็นแสน เป็นล้านคน แต่พระธาตุเขี้ยวแก้วที่กรุงแคนดี ประเทศศรีลังกา ไม่เคยนำออกนอกประเทศ เพราะต้องการรักษาความปลอดภัย รักษายิ่งชีวิตทีเดียว
การรักษาพระธาตุเขี้ยวแก้วนั้น ผู้ถือกุญแจที่จะเปิดสถูป หรือเจดีย์ทองคำที่ครอบพระธาตุเขี้ยวแก้วนี้มีอยู่สามท่านด้วยกัน ทางมหานายกะ หรือพระสังฆราชของศรีลังกา ได้นิมนต์พระผู้นำทั่วโลกหลายสิบประเทศไปร่วมประชุม แล้วเปิดแสดงพระธาตุเขี้ยวแก้วเฉพาะชาวต่างประเทศ ถ้าจะเปิดให้คนศรีลังกาชมต้องครบ ๕ ปีก่อน คนไทยที่ไปชมเข้าแถวรอชมยาวตั้ง ๓ กิโลเมตรพระเขี้ยวแก้วที่วัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ขอบคุณภาพจาก : dhamdeetour.com/shop/the-best-of-china-ครั้งหนึ่งในชีวิต-กร/ ประชุมพุทธชยันตี แปลว่า ฉลองวันเกิดพระพุทธเจ้าช่วงวิสาขบูชาที่ผ่านมาถึงวันวิสาขบูชาที่ประเทศศรีลังกานั้น เขานับ พ.ศ.ใหม่ทันที เป็นพ.ศ. ๒๕๕๐ ประเทศเรายังเป็น พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ว่าประเทศศรีลังกาเปลี่ยน พ.ศ. ตรงกับวันวิสาขบูชา ฉลองกันใหญ่ นิมนต์พระผู้ใหญ่จากทั่วโลกไปร่วมงาน แล้วเปิดพระธาตุเขี้ยวแก้วให้กราบไหว้สักการะ
เมื่อเข้าไปข้างในนั้น ก็ได้เห็นการถอดของมีค่าออกทีละชิ้นๆ เช่น สังวาลย์ทองคำ เป็นรูปอินทรีย์ มีเพชรนิลจินดาประดับยกออกมาทีละชิ้นๆ ที่วางไว้ครอบยอดพระสถูปทองคำที่สูงประมาณ ๒ ศอก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเอาลงมาหมด ใส่ถาดเก็บไว้ทีละชิ้นๆ มีสักขีพยานดูว่าต้องครบทุกชิ้น
บางชิ้นพระสังฆราชอธิบายว่า ของสิ่งนี้เป็นสังวาลย์ที่พระเจ้ากีรติราชสิงหะ เมื่อ ๒๕๐ ปีมาแล้วทรงสวมเมื่อขึ้นครองราชย์ เสร็จแล้วนำมาถวายพระธาตุเขี้ยวแก้ว แต่ละชิ้นมีประวัติยาวนานเป็น ๑๐๐ ปี นี่แค่ของที่มาบูชา พอใส่ถาดต้องยกกันหลายคน ถึงจะยกขึ้น เฉพาะทองคำเพชรนิลจินดามากชิ้น จากนั้นก็ถึงเวลาเปิดผอบทองคำ สถูปทองคำ มี ๗ ชั้นด้วยกัน ห้ามถ่ายรูป เพื่อรักษาความปลอดภัยขอขอบคุณ :- ข้อธรรม : บันทึกจากเจ้าอาวาส ลำดับที่ ๑๑๖ , จากพระธรรมเทศนา ๕๗ กัณฑ์ เรื่องอัปปมาทกถา ว่าด้วยความไม่ประมาท , สมัยดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙.,Ph.D) แสดงในวันธรรมสวนะณ พระอุโบสถวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร , เมื่อวันอังคารที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ URL : https://www.watprayoon.com/main.php?url=about1&code=content154&id=165
|
|
|
278
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระพุทธเจ้า ทรงสอนเรื่องใด มากที่สุด.?
|
เมื่อ: มกราคม 25, 2024, 07:57:39 am
|
. พระพุทธเจ้า ทรงสอนเรื่องใด มากที่สุด.?เคยมีคนถามพระอานนท์ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องใดมากที่สุด พระอานนท์ตอบว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเรื่องไตรสิกขามากที่สุด ไตรสิกขาประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นเรื่องกว้าง ๆ เกี่ยวข้องกับการละเว้นความชั่ว การทำความดี การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ซึ่งเหมาะกับคนทุกระดับ และสามารถนำไปสู่การหลุดพ้นได้
พระธรรมอันทรงแสดงนั้นมีทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์ ซึ่งนับว่ามากมายมหาศาล จึงมีคนสงสัยมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลว่า ในจำนวน 84,000 พระธรรมขันธ์นั้น ถ้าจะรู้เพียงเรื่องเดียวควรรู้อะไร ซึ่งคำถามนี้ หลวงปู่ขาว อนาลโย เคยเทศน์สอนไว้ว่า
“โดยทำนองเดียวกันที่รอยเท้าของบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ อาจจะรวมลงไปในรอยเท้าของช้าง พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ก็อาจรวมลงได้ในธรรมข้อเดียวคือ สติ”
เพราะสติเป็นเครื่องกั้นความเศร้าหมอง กั้นกิเลส คนเราจะทำพลาดทำชั่วก็เริ่มที่การขาดสติ เพราะฉะนั้นจึงต้องหันมาฝึกสติให้มาก
อย่างไรก็ดี นอกจากชาวพุทธจะเข้าใจพุทธศาสนาจากพระธรรมคำสอนแล้ว หากดูพระพุทธองค์เป็นแบบอย่าง ก็สามารถเรียนรู้ธรรมได้เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่เข้าใจได้ทันทีคือ ด้วยอัตภาพของความเป็นมนุษย์ ก็เพียงพอที่จะทำให้เราหลุดพ้นได้ เพราะพระพุทธองค์ก็ทรงแสวงหาในแบบที่มนุษย์ทั่วไปแสวงหา ทรงใช้วิธีที่มนุษย์คนใดก็ทำได้ และทรงประสบกับความทุกข์ความลำบากไม่ยิ่งหย่อนกว่าใครทั้งสิ้น
@@@@@@@
ยกตัวอย่างเรื่องการทรงงาน เนื่องจากทรงรู้ด้วยญาณว่าพระองค์จะมีเวลาเผยแผ่พระธรรมเพียงแค่ 45 ปี จึงทรงงานอย่างหนัก พุทธกิจประจำวันของพระพุทธเจ้าตลอด 45 ปีมีดังนี้
เช้า : เสด็จออกบิณฑบาต (โปรดสัตว์) เย็น : ทรงแสดงธรรม ค่ำ : ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย เที่ยงคืน : แก้ปัญหาของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ใกล้รุ่ง : ทอดพระเนตรดูสัตว์ที่ควรโปรดและไม่ควรโปรด เช่น ตอนที่ทอดพระเนตรเห็นว่าองคุลิมาลเป็นผู้ที่สามารถฝึกได้ แต่ถ้าพลั้งมือสังหารมารดาของตนจะต้องรับกรรมหนัก ก็เสด็จไปโปรดองคุลิมาลทันที
พระพุทธเจ้าทรงงานหนักมาก และมีเวลาพักผ่อนเพียงน้อยนิด ซึ่งตลอดเวลา 45 ปีนั้น พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงมีชีวิตที่ราบรื่นเสมอไป บางครั้งทรงบิณฑบาตไม่ได้ ต้องเสวยข้าวแดงนาน 3 เดือน บางเวลาต้องเสวยอาหารอย่างสุนัขกิน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในขณะที่พระพุทธองค์ยังไม่ตรัสรู้ แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนที่พระองค์สำเร็จอรหัตผลบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังทรงพระประชวร มีโรค “ปักขันทิกาพาธ” (โรคท้องร่วง) เป็นโรคประจำพระองค์ อันเป็นผลจากการบำเพ็ญทุกรกิริยาตั้งแต่วัยหนุ่ม
@@@@@@@
นอกจากเรื่องทางพระวรกายแล้ว พระพุทธเจ้ายังต้องทรงเผชิญกับความบีบคั้นทางใจหลายประการ เช่น การที่พระบิดา พระมเหสี พระญาติ อำมาตย์ และประชาชนไม่เห็นด้วยในการออกบวชช่วงแรก ๆ ทรงมีศัตรูผู้คอยจองล้างจองผลาญพระองค์ตลอดเวลา คือ พระเทวทัต ซึ่งที่จริงเป็นพระญาติที่ใกล้ชิดอย่างยิ่ง และทรงต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เหล่าพระญาติสังหารกันเองจนมีผู้ล้มตายจำนวนมหาศาล โดยที่ไม่อาจทัดทานได้
ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็คือเรื่องของ เจ้าชายวิฑูฑภะ พระโอรสของ พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งกรุงสาวัตถีกับ นางวาสภขัตติยา ธิดาของพระญาติฝ่ายศากยวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ที่เกิดจากมารดาซึ่งเป็นนางทาสี วันหนึ่งเจ้าชายวิฑูฑภะเสด็จไปเยี่ยมพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ และทรงทราบว่า หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว พระญาติเหล่านั้นได้สั่งให้นางทาสีใช้น้ำผสมน้ำนมมาล้างกระดานทุกแผ่นที่เจ้าชายประทับ ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำชนิดนี้จะล้างความเป็นกาลกิณีได้ พระองค์กริ้วมาก
ภายหลังจึงทรงยกทัพมาสังหารพระญาติเหล่านี้ แม้แต่เด็กทารกก็ไม่ทรงละเว้น แล้วรับสั่งให้เอาโลหิตจากพระศอของพระญาติมาล้างแผ่นกระดานที่พระองค์เคยประทับ เหตุการณ์นี้พระพุทธองค์เสด็จมาเตือนสติเจ้าชายถึง 3 ครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจยับยั้งได้
@@@@@@@
หรือแม้แต่ในหมู่สงฆ์เอง ในพรรษาที่ 9 หลังจากตรัสรู้ ก็เกิดความแตกแยกในหมู่ภิกษุในเมืองโกสัมพีขึ้น ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทแล้วก็ยังดื้อดึงตกลงกันไม่ได้ ความขัดแย้งบานปลายจนถึงขั้นต้องแบ่งแยกกันทำอุโบสถ ฝ่ายหนึ่งทำอุโบสถสังฆกรรมภายในสีมา แต่อีกฝ่ายหนึ่งออกไปทำอุโบสถสังฆกรรมภายนอกสีมา การแตกแยกกันถึงขั้นนี้เรียกว่า “สังฆเภท”
ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงปลีกพระองค์ไปประทับอยู่ที่ตำบลปาริเลยยกะ ซึ่งเป็นดินแดนที่เงียบสงบแต่เพียงองค์เดียว โดยมีพญาช้างปาริเลยยกะคอยอุปัฏฐาก
“การพ้นทุกข์” ของพระพุทธองค์จึงไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจอทุกข์อีกเลย แต่หมายถึงการอยู่กับทุกข์โดยไม่ทุกข์ ดังที่ทรงกระทำให้เห็นมาตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ขอขอบคุณ :- ที่มา : พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ – กองบรรณาธิการนิตยสาร Secret สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ URL : https://cheewajit.com/healthy-mind/119820.htmlOctober 22, 2018 | cheewajitmedia | Secret Magazine (Thailand) photo by terimakasih0 on pixabay
|
|
|
279
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “วัดเจดีย์เจ็ดแถว” ที่ศรีสัชนาลัย หลายคนนับไม่ได้ 7 แถว แต่ทำไมคนไทยเรียกชื่อนี้
|
เมื่อ: มกราคม 25, 2024, 07:46:13 am
|
. หนึ่งในเจดีย์ราย ที่ วัดเจดีย์เจ็ดแถว อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย (ภาพ : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร)“วัดเจดีย์เจ็ดแถว” ที่ ศรีสัชนาลัย หลายคนนับไม่ได้ 7 แถว แต่ทำไม คนไทยเรียกชื่อนี้.? “วัดเจดีย์เจ็ดแถว” เป็นศาสนสถาน ตั้งอยู่ใน อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย ซึ่งในวัดมีโบราณสถานสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เจดีย์ประธานรูปดอกบัวตูมด้านหลังพระวิหาร, เจดีย์ราย รวมไปถึงนานาอาคารขนาดเล็กใหญ่ที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปถึง 33 องค์
ทว่าเมื่อหลายคนไปเยี่ยมชม อาจสงสัยว่าเพราะเหตุใดถึงเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “วัดเจดีย์เจ็ดแถว” ทั้งที่หลายคนอาจจะนับไม่ได้ 7 แถวอย่างที่ว่า
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า วัดเจดีย์เจ็ดแถวตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย อ. ศรีสัชนาลัย จ. สุโขทัย เต็มไปด้วยโบราณสถานมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ “เจดีย์ประธาน” ที่มีทรงยอดดอกบัวตูม ทั้งยังรายล้อมไปด้วยเจดีย์เล็กใหญ่มากมาย อย่าง เจดีย์ประจำมุม ประจำทิศ เจดีย์ราย ซึ่งจะแทรกอยู่ระหว่างเจดีย์ประจำทิศ
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความสวยงามที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวตามแบบแผนปราสาทเขมร ศิลปะพุกาม ทรงปราสาทยอดฉบับล้านนา รวมไปถึงปลีกย่อย และเจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูมของศิลปะสุโขทัย (มีบางข้อมูลกล่าวว่า อาจได้รับอิทธิพลมาจากลังกาและศรีวิชัยด้วย)
ว่ากันว่า วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยคราวที่พญาลิไทเป็นอุปราชครองอยู่ ก่อนจะเสด็จไปขึ้นครองราชย์ที่สุโขทัย ซึ่งเหตุที่ทำให้พญาลิไททรงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น อาจเป็นเพราะพระองค์ทรงต้องการแสดงว่าทรงรู้เห็นศิลปะและวัฒนธรรมของเมืองต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
ต่อมา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สันนิษฐานว่า วัดแห่งนี้น่าจะเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิของราชวงศ์สุโขทัย
@@@@@@@
แล้วเหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึงได้ชื่อว่า “วัดเจดีย์เจ็ดแถว” เรื่องนี้มีหลายคนตั้งข้อสมมติฐานไว้มากมาย หากเป็นหลักฐานลายพระหัตถ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ หรือ “สมเด็จครู” ที่บันทึกไว้คราวเสด็จมาสำรวจวัดนี้ เมื่อก่อน พ.ศ. 2506 จะปรากฏไว้ว่า “ชื่อวัดเจดีย์เจ็ดแถวคงเกิดจากคนแรกเรียกชื่อ เห็นว่ามีเจดีย์เป็นแถวแนวจำนวนมาก จำนวนเจ็ดคนไทยนับว่าเป็นมงคล แต่พระองค์นับอย่างไรก็ไม่ได้จำนวนเจ็ด”
ด้านหนังสือ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดสุโขทัย ได้อธิบายไว้ว่า เหตุที่ทำให้ชื่อวัดเจดีย์เจ็ดแถวเป็นเพราะ “วัดเจดีย์เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลังโดยราษฎรในท้องถิ่น สาเหตุที่เรียกเนื่องจากพบเจดีย์จำนวนรมากมายหลายแถวภายในวัด”
ส่วนวิธีการนับอย่างไรให้ได้เจ็ดแถวเหมือนชื่อนั้น ยังไม่พบปรากฏหลักฐานชัดเจน
อ่านเพิ่มเติม :-
• จังหวัดนครปฐมมาจากไหน พระปฐมเจดีย์มีที่มาอย่างไร • “วัดเจดีย์หลวง” จ. เชียงใหม่ วัดกลางเมืองสำคัญที่ “ครูบาศรีวิชัย” ไม่เลือกบูรณะ • เจดีย์ทรงระฆัง-ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์-ทรงปรางค์ มาจากไหน อย่างไร • เจดีย์ที่ไม่มีใครรู้จัก กลายเป็น “เจดีย์ยุทธหัตถี” เพราะ “รีบสรุป” ก่อนศึกษาขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : ปดิวลดา บวรศักดิ์ เผยแพร่ : วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 24 ธันวาคม 2567 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_126094?utm_source=msn_news&utm_medium=footer_clickอ้างอิง :- - สันติ เล็กสุขุม. โบราณกาลปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : มติชน, 2566. - คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัด สุโขทัย. กรมศิลปากร : กรุงเทพฯ, 2544.
|
|
|
280
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ถวายสังฆทานให้ถูกวิธี
|
เมื่อ: มกราคม 24, 2024, 12:00:22 pm
|
. ถวายสังฆทานให้ถูกวิธีโดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ป.ธ. ๙, ร.บ. ,อนุศาสนาจารย์กองทัพเรือ สพฺพทาน ธมฺมทาน ชินาติ - การให้ธรรมชนะการให้ทั้งปวง (พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ห้ามจำหน่าย)
ถวายสังฆทานให้ถูกวิธี โดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ISBN 974-87114-5-5 พิมพ์ครั้งที่ ๓ ธันวาคม ๑,๐๐๐ เล่ม ปก : วัดพระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร , โดย ธีรภาพ โลหิตกุล
คำนำ
ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระเทพเวที(ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้นิยาม"สังฆทาน" ว่า ทานเพื่อสังฆ์, การถวายแก่สงฆ์ คือ ถวายเป็นกลางๆ ไม่จำเพราะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง สังฆทาน ได้ชื่อว่าเป็นยอดแห่งทาน มีอานิสงส์มาก
ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา ได้ตรัสแนะให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีถวายผ้าห่ม ซึ่งพระนางได่ทรงทอด้วยตนเองนั้น แก่สงฆ์ว่า อย่าได้ถวายเจาะจงแก่พระพุทธองค์เลย เพราะเมื่อพระนางถวายผ้าห่มนั้นแก่สงฆ์ ก็เท่ากับว่าพระนางได้บูชาทั้งพระพุทธองค์และพระสงฆ์ด้วย
หนังสือถวายสังฆทานให้ถูกวิธีนี้ เหมาะที่สาธุชนพึงมีไว้ เป็นคู่มือในการทำบุญส่วนที่เกี่ยวกับสังฆทาน อันได้ชื่อว่าเป็นยอดของทานนี้ได้เป็นอย่างดี
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย อนุศาสนาจารย์กองทัพเรือ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๔
สารบัญ (เรื่อง - หน้า)
ความเข้าใจหลายหลากเกี่ยวกับการถวายสังฆทาน - ๑ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสังฆทาน - ๓ วิธีทำบุญ - ๔ ประเภทของทาน - ๕ สังฆทานคืออะไร - ๖ ทำไมต้องสังฆทาน - ๖ หลักการที่ถูกต้องของสังฆทาน - ๑๐ ผู้เกี่ยวข้องในการบำเพ็ญทาน - ๑๒ จำนวนพระสงฆ์ที่รับสังฆทาน - ๑๓ ถวายสังฆทานเวลาไหน - ๒๒ เครื่องสังฆทาน - ๑๙ การอุปโลกน์ - ๑๖ วิธีถวายสังฆทาน - ๒๕ คำถวายสังฆทาน - ๒๕ องค์ประกอบที่เป็นเหตุให้การถวายทานได้อานิสงส์เลิศ - ๓๓ คำขอร้อง - ๓๓ บทความเรื่อง “วิธีทำบุญ” - ๓๗ ๑. ความเข้าใจหลายหลากเกี่ยวกับการถวายสังฆทาน
การถวายสังฆทานที่ทำๆกันอยู่ทุกวันนี้ ดูเหมือนจะมีหลายวิธี เช่น
- จัดของถวายพระแล้วไปที่วัด บอกแก่พระหรือคนวัดว่า จะมาถวายสังฆทาน ขอให้จัดพระมาให้เท่านั้นเท่านี้รูป แล้วก็ทำพิธีถวายกันไป
- เตรียมของสำหรับตักบาตร แล้วออกมาดักรอพระที่ออกบิณฑบาต เห็นพระรูปไหนผ่านมา ก็นิมนต์ให้ท่านเข้าไปในบ้านบอกว่าจะถวายสังฆทาน แล้วก็ทำพิธีถวาย
- ซื้อของตามร้านค้าที่เขาจัดไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอ้างว่าเป็นเครื่องสังฆทาน นำไปถวายพระที่วัด เสร็จแล้วก็เข้าใจกันว่า ได้ถวายสังฆทานแล้ว
- บางวัดอำนวยความสะดวกให้แก่ญาติโยม ด้วยการจัดเตรียมของถวายแบบสาเร็จรูปเป็นถังพลาสติกสีเหลืองไว้ให้ใครอยากถวายสังฆทาน ก็เพียงแต่ไปติดต่อพระหรือคนวัดที่เป็นเจ้าหน้าที่ แล้วจ่ายเงินตามอัตราที่กำหนดหรือตามศรัทธา (ซึ่งไม่ควรจะน้อยนัก) ทางวัดก็จะจัดพระมาให้ญาติโยมทาพิธีถวาย ได้ปัจจัยเข้าวัดหรือเป็นอติเรกลาภของพระท่าน ส่วนของถวายนั้นก็เอามาให้หมุนเวียนถวายสังฆทานกันไปเรื่อย ๆ
- บางท่านเข้าใจว่า หลักสำคัญของการถวายสังฆทานอยู่ที่ต้องเขียนชื่อผู้ตายลงบนแผ่นกระดาษ แล้วกรวดน้ำพร้อมกับเผากระดาษอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ตาย จึงจะเป็นสังฆทาน
- บางท่านก็ยืนยันว่า จะเป็นสังฆทานได้ ต้องถวายแก่พระภิกษุอย่างน้อย ๔ รูป ถ้าน้อยกว่านี้ไม่เป็นสังฆทาน
- บางท่านว่าสังฆทานต้องถวายก่อนเที่ยง หลังเที่ยงไปแล้วห้ามถวาย แต่บางท่านก็ว่า ถวายได้ตลอดวัน
- บางท่านว่า จะเป็นสังฆทานได้ พระสงฆ์จะต้องทำ "อปโลกนกรรม" (คือที่เราเรียกกันว่า อุปโลกน์ ถ้าไม่อุปโลกน์ ไม่เป็นสังฆทาน ฯลฯ
@@@@@@@
๒. ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสังฆทาน
ก. ฝ่ายผู้ถวาย - เข้าใจว่าของถวายสังฆทานต้องใส่ถังพลาสติกสีเหลืองตามแบบที่ร้านค้าจัดไว้จำหน่าย ถ้าไม่มีถังเช่นว่านี้ ไม่เป็นสังฆทาน - เข้าใจว่าสังฆทานนั้นถวายเมื่อมีผู้รู้ทางดวงชะตาทำนายทายทักว่า ดวงไม่ดีควรถวายสังฆทานเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เสริมสิริมงคล - เข้าใจว่าเครื่องสังฆทานทั้งหมดถวายได้ทุกเวลา
ข. ฝ่ายผู้รับ - พระสงฆ์ที่รับสังฆทาน ต้องมีจำนวน ๔ รูปขึ้นไป น้อยกว่านี้รับไม่ได้ - รับสังฆทานแล้วต้องอุปโลกน์ ถ้าไม่อุปโลกน์ สังฆทานไม่สมบูรณ์ - รับแล้ว นำของถวายนั้นไปเป็นของส่วนตัวได้เลย
ค. ฝ่ายร้านค้า (พยายามสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ซื้อว่า) - สังฆทาน คือ ของที่จัดใส่ถังพลาสติกสีเหลือง - ไทยทาน คือ ของที่จัดเป็นห่อๆ (เป็นการนำเอาคำสองคำมาเข้าคู่กัน)
หน้า ๑-๒-๓ @@@@@@@
๓. วิธีทำบุญ
การจะเข้าใจเรื่องสังฆทานได้ดี ควรเข้าใจเรื่องวิธีทำบุญก่อน วิธีทำบุญสาหรับชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์ ท่านวางหลักไว้ ๓ ขั้น เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ คือ ทาน ให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่น ศีล รักษาการกระทำและคำพูดให้เรียบร้อย ภาวนา อบรมบ่มจิตใจให้สงบและรู้แจ้งเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง
จะเห็นว่า ทานเป็นบันไดขั้นต้นเท่านั้น ของการบำเพ็ญบุญ ยังมีบันไดขั้นสูงต่อไปอีก ที่จะต้องดำเนิน คือ ศีล และภาวนา
อนึ่งวิธีทำบุญดังกล่าวนี้ ท่านยังแจกแจงเพิ่มออกไปอีก ๗ วิธี รวมกับของเดิม ๓ วิธี เป็น ๑๐ วิธี เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ กล่าว คือ เพิ่ม
อปจายนะ การอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ รู้จักเคารพกราบไหว้ เวยยาวัจจะ การช่วยขวนขวายรับเป็นภาระธุระในกิจการที่ถูกที่ชอบ ปัตติทาน การให้ส่วนบุญ คือเฉลี่ยส่วนแห่งความดี ให้แก่ผู้อื่น ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาส่วนบุญ คือยินดีในความดีของผู้อื่น ธัมมัสสวนะ การฟังธรรมคาสั่งสอน ศึกษาหาความรู้ในทางความดี ธัมมเทสนา การแสดงธรรม สั่งสอนธรรม ให้วิชาความรู้ ทิฏฐุชุกรรม การทำความคิดความเห็นให้ถูกให้ตรง ไม่เห็นผิดเป็นชอบ
@@@@@@@
๔. ประเภทของทาน
ทาน แปลว่า การให้ โดยทั่วไปแบ่งเป็น ๒ คู่ คือ คู่ที่ ๑. มุ่งถึงสิ่งที่จะให้ ได้แก่ อามิสทาน ให้สิ่งของ และธรรมทาน ให้ธรรม (ให้คำแนะนา อบรมสั่งสอน ให้วิชาความรู้ เป็นต้น) คู่ที่ ๒. มุ่งถึงเจตนาในการให้ ได้แก่ ปาฏิบุคลิกทาน ให้เจาะจงแก่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ และ สังฆทาน ให้แก่สงฆ์ คือ ให้เป็นของส่วนรวม
นอกจากนี้ยังมีทานอีกประเภทหนึ่ง คือ อภัยทาน ให้ความไม่มีภัย ให้อภัย ไม่ทำร้าย ไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่เอาผิดกันอีกต่อไป
@@@@@@@
๕. สังฆทานคืออะไร
ทานในบุญกิริยาวัตถุหรือวิธีทำบุญนั้น ท่านหมายเอาอามิสทาน คือการให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่น การให้อามิสทานนั้น มี ๒ ลักษณะตามเจตนาของการให้ คือ ๑. ให้เป็นของเฉพาะตัวหรือเจาะจงตัวผู้รับ (ปาฏิบุคลิกทาน) ๒. ให้เป็นของส่วนรวม ไม่เจาะจงตัวผู้รับ (สังฆทาน)
เพราะฉะนั้น ความหมายของสังฆทาน ก็คือการให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่นโดยไม่เฉพาะเจาะจงตัว แต่ให้เป็นของส่วนรวม หรือให้เป็นของส่วนกลาง หรือให้เป็นสาธารณประโยชน์ เพื่อให้ผู้รับได้ใช้หรือได้รับประโยชน์โดยทั่วกัน
ขอได้โปรดจำความหมายที่ถูกต้องนี้ไว้ให้ดี ความหมายอื่นๆที่มิได้เป็นไปตามนัยที่กล่าวนี้ คือความหมายที่คลาดเคลื่อน เป็นความหมายที่พูดกันเอาเอง เข้าใจกันเอาเองทั้งนั้น
@@@@@@@
๖. ทำไมต้องสังฆทาน
โปรดเข้าใจให้ถูกต้องว่า สังฆทานไม่ใช่พิธีกรรมที่ทำขึ้นเพื่อความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่พิธีกรรมหรือวิธีการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ล้างบาปล้างซวย ไม่ใช่พิธีกรรมเพื่อเสริมสิริมงคลให้เกิดลาภผลถูกโฉลกโชคดี ไม่ใช่พิธีกรรมเพื่อปัดรังควานป้องกันภัยพิบัติอุปัทวันตราย มิใช่พิธีกรรมเพื่อติดต่อขอร้องเจ้ากรรมนายเวรมิให้มาเบียดเบียน ฯลฯ
ตามที่มักจะมีผู้เชื่อและสนับสนุนให้เชื่อ การเชื่อเช่นนั้นเป็นเรื่องที่เชื่อกันเองทั้งสิ้น โปรดจำไว้ว่า สังฆทาน ก็คือวิธีทำบุญ ๑ ใน ๓ หรือ ๑ ใน ๑๐ วิธีเท่านั้นเอง
กล่าวคือ วิธีทำบุญที่ท่านเรียกว่า ทานมัย = บุญที่สาเร็จด้วยการให้ปันสิ่งของของตนแก่คนอื่น ถึงจะไม่ทำบุญด้วยวิธีทานมัย ก็ยังสามารถทำบุญด้วยวิธีอื่นๆ ได้อีกหลายวิธี ทานเป็นเพียงบันไดขั้นต้นของการทำบุญหรือทำความดี อันที่จริงควรจะบอกกันว่า อย่าเพียงแต่ทำสังฆทานอย่างเดียว ควรจะพัฒนาต่อไปด้วยการรักษาศีล บำเพ็ญจิตภาวนา และทำบุญกิริยาวัตถุอื่นๆ อีกด้วย
เหตุที่สังฆทานมีความหมายพิเศษ ก็มีแต่เพียงว่า เป็นการให้ปันที่แสดงออกถึงน้ำใจที่กว้างขวาง ถ้าใช้คำว่า รัก แทนก็เท่ากับพูดว่า “มิใช่รักเฉพาะพ่อแม่ ลูกเมียของตัวเอง แต่รักเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งโลก”
สังฆทาน ก็คือ มิใช่ให้เฉพาะคนนั้นคนนี้ แต่ให้แก่ส่วนรวมทั้งหมด-นั่นเอง หัวใจของสังฆทานอยู่ตรงนี้ แม้ปากจะพูดว่าถวายสังฆทาน และใจก็ตั้งเจตนาจะถวายสังฆทาน แต่ไปเจาะจงว่าอยากถวายแก่พระภิกษุรูปนั้นรูปนี้ อย่างนี้ก็หาใช่สังฆทานไม่ กลายเป็นอยากถวายสังฆทาน แต่ไม่เข้าใจเรื่องสังฆทานไปหน้า ๔-๕-๖-๗ อันที่จริง การให้ทานหรือถวายทานนั้น ก็มิได้มีข้อกำหนดตายตัวว่าต้องถวายแก่พระพุทธเจ้า หรือแก่พระสาวก หรือถวายแก่พระวัดนั้นวัดนี้ หรือรูปนั้นรูปนี้ หรือจะต้องให้ต้องถวายแก่ใครคนไหนจึงจะได้บุญ แต่สำหรับชาวพุทธเรา ถือว่าพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ (คือเปรียบการทำบุญด้วยวิธีให้ทานว่า เหมือนการทำนา ถ้าที่นาดี ข้าวที่หว่านดำลงไปก็จะงอกงามได้ผลดี ถ้าผู้รับทานเป็นคนดี ทานที่ทำลงไปก็จะมีผลดี)
ชาวพุทธถือว่าพระสงฆ์เป็นบุญเขต คือเป็นผู้ควรรองรับการทำบุญ เราจึงนิยมทำบุญถวายทานแก่พระสงฆ์ ทั้งในแบบถวายเจาะจงแก่พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะ (ปาฏิบุคลิกทาน) และแบบถวายเป็นของสงฆ์หรือถวายเพื่อส่วนรวม (สังฆทาน) แต่กระนั้นก็นิยมกันว่า สังฆทานมีอานิสงส์มากกว่า ดังที่ตรัสไว้ในทักขิณาวิภังคสูตร (พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ วิภังควรรค พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ ข้อ ๗๐๖) ซึ่งสรุปความได้ดังนี้
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้ทรงประกาศพระธรรมคาสั่งสอนของพระองค์จนมีผู้เลื่อมใสเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุ และได้บรรลุธรรมเป็นพุทธสาวกเป็นจำนวนมาก สมัยหนึ่งก็ได้เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพระประยูรญาติ และประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ซึ่งพวกเจ้าศากยะสร้างถวาย
ครั้งนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตมี ผู้เป็นพระน้านาง และได้เคยบริบาลพระพุทธองค์มาตั้งแต่เพิ่งประสูติได้เพียง ๗ วัน ทรงมีศรัทธาทอผ้าเนื้อดีด้วยพระองค์เอง แล้วนำไปถวายแก่พระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ไม่ทรงรับ แต่ตรัสแนะนำให้ถวายแก่สงฆ์แทน และตรัสว่า ทานที่ถวายแก่สงฆ์ (สังฆทาน) มีอานิสงส์มากกว่าทานที่ถวายเจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง(ปาฏิบุคลิกทาน) ครั้นแล้วได้ตรัสถึง บุคคลผู้รับทานแบบปาฏิบุคลิกทาน ๑๔ จำพวก และผู้รับทานแบบสังฆทาน ๗ จำพวก
@@@@@@@
ต่อจากนั้นได้ทรงแสดงอานิสงส์ของทานไว้ว่า
- ให้ทานแก่ สัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเป็นปฏิคาหกชั้นต่ำสุด ได้อานิสงส์ร้อยเท่า(หมายความว่า ได้อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ อย่างละร้อยชาติ) - ให้ทานแก่คนไร้ศีลธรรมได้อานิสงส์พันเท่า - ให้ทานแก่กัลยาณปุถุชน ได้อานิสงส์แสนเท่า - ให้ทานแก่คนนอกพระพุทธศาสนาที่ปราศจากความกำหนัดในกาม ได้อานิสงส์แสนโกฏิเท่า - ให้ทานแก่ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระโสดาบันได้อานิสงส์นับไม่ถ้วน - อานิสงส์ที่นับไม่ถ้วนนี้ จะทวีขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงให้ทานแก่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นปฏิคาหกชั้นสุดยอด ก็จะยิ่งนับไม่ถ้วนมากที่สุด
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีอานิสงส์ไม่เท่าสังฆทานชั้นต่ำสุด (ปฏิคาหกของสังฆทานชั้นต่ำสุด คือ ภิกษุณีในฐานะเป็นตัวแทนของภิกษุณีสงฆ์)
พระพุทธเจ้ายังตรัสในเชิงพยากรณ์ด้วยว่า ในอนาคตกาลนักบวชในพระพุทธศาสนา จะมีแต่เพียงผ้าเหลืองผูกคอเป็นสัญลักษณ์ ส่วนความประพฤติจะเลวทรามต่ำช้า มีครอบครัวบุตรภรรยา ประกอบอาชีพเยี่ยงชาวบ้าน แม้ถึงอย่างนั้น การถวายสังฆทานแก่นักบวชประเภทผ้าเหลืองผูกคอ แต่เป็นตัวแทนของสงฆ์ ก็ยังมีอานิสงส์มากกว่าปาฏิบุคลิกทาน แม้ที่ถวายแก่พระอรหันต์
เหตุผลในข้อนี้ก็คือ ปาฏิบุคลิกทานนั้นเจตนาของผู้ถวายยังคับแคบอยู่ ทั้งผลประโยชน์จากทานก็ตกเป็นของส่วนตัวของบุคคลเท่านั้น ส่วนสังฆทานนั้น เจตนากว้างขวางกว่าผลประโยชน์ก็ตกอยู่แก่ส่วนรวม เผื่อแผ่ไปถึงคนหมู่มาก
คนโบราณในเมืองไทยนี้ท่านนิยมบริจาคทานและอุดหนุนกิจที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น ขุดบ่อ ขุดสระ สร้างศาลาที่พักริมทาง สร้างสะพาน สร้างทาง ฯลฯ และที่เรายังได้เห็นสืบเนื่องมาจนถึงคนในสมัยปัจจุบันก็มีหลายอย่าง เช่น สร้างโรงเรียนสร้างโรงพยาบาล เป็นต้น
กิจเหล่านี้โดยเนื้อแท้แล้วคือ สังฆทานนั่นเอง มิใช่อย่างอื่นเลย สังฆทานจึงมีอานิสงส์มากด้วยประการฉะนี้
@@@@@@@
๗. หลักการที่ถูกต้องของสังฆทาน
เบื้องต้นต้องเข้าใจก่อนว่า หลักการของสังฆทานก็คือ ต้องถวายแก่สงฆ์ คือถวายเป็นของส่วนรวม หรือเป็นส่วนกลางของสงฆ์ ไม่ใช่ถวายเป็นสิทธิ์ขาดส่วนตัวแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ของที่ถวายเป็นสังฆทานนั้น เมื่อถวายแล้วจะต้องตกเป็นของส่วนกลางของวัด โดยคณะสงฆ์ในวัดนั้นจะประชุมพิจารณาเพื่อตกลงกันว่า จะนำสิ่งของนั้นไปใช้ในเรื่องไหน หรือว่าจะยินยอมพร้อมใจยกให้แก่ใคร
ว่าโดยเจตนา คือ ความตั้งใจที่จะให้เป็นสังฆทานบริสุทธิ์ ก็คือการไม่เจาะจงตัวบุคคล บางท่านตั้งเจตนากว้างถึงกับไม่เจาะจงวัดด้วย เพราะการเลือกว่าจะต้องไปถวายที่วัดนั้นวัดนี้ ก็ยังมีลักษณะเจาะจงอยู่นั่นเอง จึงตัดความเจาะจงเสียตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว ตั้งจิตให้เป็นกุศลอย่างแน่วแน่ว่า จะถวายเป็นของสงฆ์เป็นของส่วนรวมจริงๆ วัดไหนก็ได้ พระภิกษุรูปไหนจะมารับก็ได้ ไม่มีอาการเลือกที่รักผลักที่ชัง
เมื่อหลักการมีอยู่เช่นนี้ เวลาจะถวายสังฆทานจึงต้องตั้งเจตนาให้ตรงตามหลักการ และจะต้องดำเนินกรรมวิธีใน การถวายให้เป็นที่เข้าใจได้ชัดเจนว่า พระภิกษุหรือสามเณรที่เป็นตัวแทนสงฆ์มารับของถวายไปนั้น จะรับไปเป็นของส่วนตัวไม่ได้ แต่ต้องรับไปเป็นของส่วนรวม คือเป็นของวัดหรือของสงฆ์
ถึงตรงนี้ ควรทำความเข้าใจด้วยว่า คณะสงฆ์หรือวัดนั้นเป็นสถาบันหรือองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ เพื่อควา มสุข เพื่อสงเคราะห์อนุเคราะห์ประชาชนในสังคม นี่เป็นหลักการดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ดังนั้น การอุปถัมภ์บำรุงสนับสนุนคณะสงฆ์ ที่เรียกโดยชื่อว่า “ถวายสังฆทาน จึงถือว่าได้บุญหรืออานิสงส์มาก เพราะผลที่ได้นั้นจะไปตกแก่ส่วนรวมในที่สุดหน้า ๘-๙-๑๐-๑๑ ดังคำที่ว่า พะหุชะนะ หิตายะ พะหุชะนะสุขายะ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่สังคมส่วนรวมมากที่สุด มิใช่เป็นศาสนาที่เห็นแก่ตัว หรือสอนให้คนเอาตัวรอดไปคนเดียว ดังที่ผู้รู้ไม่จริงทั้งหลายชอบกระแนะกระแหน
@@@@@@@
๘. ผู้เกี่ยวข้องในการบาเพ็ญทาน
ในการบำเพ็ญทานนี้ จะมีผู้เกี่ยวข้องสำคัญอยู่ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ให้ เรียกว่า ทายก และฝ่ายผู้รับ เรียกว่า ปฏิคาหก ปฏิคาหกนั้นท่านจำแนกไว้ถึง ๑๔ ชั้น หรือ ๑๔ กลุ่ม ตามคุณสมบัติจากสูงไปหาต่ำ ดังนี้
๑. พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า ๓. พระอรหันตสาวก ๔. ท่านผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุอรหัตผล (ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระอรหันต์) ๕. พระอนาคามี ๖. ท่านผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุอนาคามิผล (ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระอนาคามี) ๗. พระสกทาคามี ๘. ท่านผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุสกทาคามิผล (ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระสกทาคามี) ๙. พระโสดาบัน ๑๐. ท่านผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล (ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระโสดาบัน) ๑๑. คนนอกพระพุทธศาสนา ที่ปราศจากความกำหนัดในกาม (ผู้ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่มีกิเลสเบาบาง) ๑๒. กัลยาณปุถุชน (คนธรรมดาทั่วไปที่ยังมีโลภโกรธหลง แต่มีศีลธรรมดำรงชีวิตอยู่ตามปกติ) ๑๓. คนที่ไร้ศีลไร้ธรรม (คนชั่วช้าเลวทรามทั้งหลาย) ๑๔. สัตว์เดรัจฉาน
ทานแต่ละชั้น มีผลลดหลั่นกันไป ตามคุณสมบัติของปฏิคาหก
@@@@@@@
๙. จำนวนพระสงฆ์ที่รับสังฆทาน
พุทธศาสนิกนั้นมี ๒ ประเภท คือ บรรพชิตและคฤหัสถ์ ในส่วนบรรพชิตนั้นมีอุดมการณ์อยู่ว่า บวชเพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง บวชเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ คือ ถ้าเป็นปุถุชนก็อยู่ในกลุ่มผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผลเป็นอย่างต่ำ (กลุ่มหมายเลข ๑๐ ขึ้นไป) ชาวพุทธจึงถือว่า พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก คือ เป็นผู้ที่ควรรับการถวายทานนั่นเอง
ท่านจำแนกผู้ที่จะรับสังฆทานไว้ ๗ กลุ่ม กล่าวคือ
๑. ภิกษุพร้อมทั้งภิกษุณีสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๒. ภิกษุพร้อมทั้งภิกษุณีสงฆ์ ๓. ภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียว ๔. ภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเดียว ๕. ภิกษุและภิกษุณี ในฐานะเป็นตัวแทนของสงฆ์ทั้งสองฝ่าย ๖. ภิกษุเป็นฐานะเป็นตัวแทนของภิกษุสงฆ์ ๗. ภิกษุณีในฐานะเป็นตัวแทนของภิกษุณีสงฆ์
ปัจจุบันนี้ผู้รับสังฆทานกลุ่มที่ ๑ ไม่มีแล้ว เพราะพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว กลุ่มที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ และที่ ๗ ว่าตามหลักของพระพุทธศาสนาสายเถรวาท ก็ไม่มีแล้ว เพราะภิกษุณีสูญไปแล้ว ยังคงเหลือแต่กลุ่มที่ ๓ คือภิกษุสงฆ์ และกลุ่มที่ ๖ คือ ภิกษุในฐานะเป็นตัวแทนของภิกษุสงฆ์
@@@@@@@
เพราะฉะนั้น จึงยุติได้ว่า จำนวนพระสงฆ์ที่จะรับสังฆทานเป็นคณะภิกษุสงฆ์ กล่าวคือ ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ก็ได้ ถ้าครบ ๔ รูปขึ้นไปเช่นนี้ ก็รับในฐานะเป็นสงฆ์ได้เลยทีเดียว หรือจะไม่ครบ ๔ รูป คือ ๓ รูป ๒ รูป หรือรูปเดียวก็ได้ ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้ก็เข้าลักษณะกลุ่มที่ ๖ คือ รับในฐานะเป็นตัวแทนของสงฆ์
การรับในฐานะเป็นสงฆ์ได้เลยทีเดียว หมายความว่า เมื่อทายกถวายแล้ว พระสงฆ์ในที่นั้นสามารถตกลงกันได้เลยว่า ของที่รับไว้นั้น จะทำอย่างไรกัน คือจะเอาไปทำอะไร หรือจะให้แก่ใครหรือจะไม่ให้แก่ใคร โดยจะเก็บไว้เป็นของส่วนรวมส่วนกลางต่อไป ก็สามารถตกลงกันได้เลย
การรับในฐานะเป็นตัวแทนของสงฆ์ ก็หมายความว่า จำนวนภิกษุที่รับสังฆทานนั้นไม่ครบองค์สงฆ์ (องค์สงฆ์ หมายถึงจำนวนภิกษุอย่างต่ำที่ต้องมีในการทำกิจต่างๆ ของสงฆ์ ซึ่งกิจแต่ละอย่างได้กำหนดจานวนภิกษุไว้ชัดเจน แต่อย่างน้อยที่สุดต้องไม่ต่ำกว่า ๔ รูป ในกรณีการตกลงใจเรื่องสังฆทานนี้ ท่านกำหนจำนวนภิกษุไว้ต่ำสุดคือ อย่างน้อย ๔ รูป)
เมื่อไม่ครบองค์สงฆ์ภิกษุที่รับสังฆทานนั้น จึงต้องรับในฐานะเป็นตัวแทนของสงฆ์ หมายความว่า ต้องนำของที่รับนั้นไปเข้าที่ประชุมสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง จะนำไปเป็นของส่วนตัวไม่ได้ ในทางปฏิบัติคือ ต้องหาภิกษุมาให้ครบองค์สงฆ์ แล้วตกลงกันว่า ของที่รับไว้นั้นจะทำอย่างไรกันต่อไป ถ้าไม่ได้ดำเนินการดังว่านี้ ของนั้นก็ยังคงเป็นของสงฆ์คือของส่วนกลางต่อไปหน้า ๑๒-๑๓-๑๔-๑๕. @@@@@@@
๑๐. การอุปโลกน์
การพิจารณาตกลงกันในท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ ว่าจะทำอย่างไรกับของที่รับสังฆทานมานั้น นี่แหละ เรียกเป็นศัพท์ทางศาสนาว่า อุปโลกน์ (อ่านว่า อุ-ปะ-โหลก ศัพท์เดิมว่า อปโลกน์)
การอุปโลกน์ หรือ อปโลกน์ นั้น เป็นรูปแบบสังฆกรรมอย่างหนึ่งมีขั้นตอน มีคำกล่าวที่กำหนดไว้เป็นแบบแผน จะเรียกว่าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง หรือ “ทำพอเป็นพิธี” ก็ได้ แต่โดยเนื้อหาสาระก็คือ เป็นการลงมติของที่ประชุมสงฆ์ หรือเป็นนโยบายของสงฆ์หรือของวัดนั้นๆ ว่าจะทำอย่างไรกับของที่รับสังฆทาน เมื่อตกลงกันว่าอย่างไร หรือนโยบายวางไว้อย่างไร ก็ต้องดำเนินการไปตามนั้น
หลักสำคัญมีเพียงว่า ข้อตกลงหรือนโยบายนั้นๆ เป็นความเห็นของสงฆ์ คือ เห็นร่วมกันพร้อมใจกันเป็นเอกฉันท์ ไม่มีเสียงคัดค้านเป็นอย่างอื่น บางกรณีแม้ไม่ทำพิธีอุปโลกน์ ก็ถือว่าเป็นสังฆทานแล้ว ตัวอย่างเช่น วัดแห่งหนึ่งตกลงกันว่า เมื่อญาติโยมมาทำบุญที่วัดในวันพระ อาหารที่ถวายเป็นสังฆทานแล้วนั้น เมื่อพระฉันแล้ว ให้ญาติโยมรับประทานกันต่อไป เหลือจากรับประทานแล้ว ก็ให้แจกจ่ายในหมู่ญาติโยมต่อไป กรณีอย่างนี้ แม้จะไม่อุปโลกน์ตอนถวายสังฆทาน หรือแม้จะอุปโลกน์โดยไม่ได้ระบุ
ย้ำว่า…ส่วนที่เหลือจากพระฉันแล้ว ให้เป็นของญาติโยมอุบาสอุบาสิกา…(อย่างที่บางวัดนิยมอุปโลกน์ระบุชัดเจนเช่นว่านี้) ก็คงถือว่าสำเร็จเป็นสังฆทานสมบูรณ์แล้ว และญาติโยมสามารถรับประทานอาหารนั้นได้โดยไม่เป็นบาป (ตามที่บางคนคิด) เพราะสงฆ์ได้ตกลงเป็นหลักการไว้เช่นนั้นแล้ว เว้นแต่สงฆ์หรือทางวัดไม่ได้กำหนดนโยบายไว้ และเมื่อรับสังฆทานแต่ละครั้ง ต้องการจะแจกจ่ายให้เป็นของส่วนตัวของพระภิกษุแต่ละรูป อย่างนี้ต้องอุปโลกน์ก่อนจึงจะถือเอาเป็นส่วนตัวได้
@@@@@@@
สรุปหลักการของสังฆทานที่ถวายแล้ว คือ
๑. ตามปกติของที่ถวายสังฆทาน เมื่อถวายแล้วรับแล้ว ต้องตกเป็นของส่วนรวม หรือเป็นของส่วนกลาง ที่เรียกว่า “ของสงฆ์” จะถือเอาเป็นของส่วนตัวของภิกษุผู้รับไม่ได้
๒. ถ้าต้องการจะแจกแบ่งของสังฆทานนั้น เพื่อยกให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง หรือหลายรูป (ตามจำนวนสิ่งของ) ต้องประชุมสงฆ์คือภิกษุอย่างน้อย ๔ รูป แล้วทำความตกลงกันตามรูปแบบที่กำหนดซึ่งเรียกว่า “อุปโลกน์” มติที่ประชุมต้องเป็นเอกฉันท์
๓. ถ้าสงฆ์ในวัดนั้นๆ มีหลักการหรือนโยบายชัดเจนอยู่แล้วว่า ของที่รับสังฆทานแล้วให้นำไปทำอย่างนั้น ๆ (ซึ่งไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย) แม้จะไม่ทำพิธีอุปโลกน์ ก็ถือว่าเป็นสังฆทานสมบูรณ์ (คือมิใช่ว่าเป็นสังฆทานตรงที่อุปโลกน์)
ในที่นี้ขอแสดงคำอุปโลกน์ไว้ เพื่อให้เรื่องนี้สมบูรณ์ ดังนี้
คำอุปโลกน์เพื่อแจกของสังฆทาน
(พระภิกษุรูปที่ ๒ เป็นผู้กล่าว) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สามจบ)
อะยัง ปะฐะมะภาโค เถรัสสะ ปาปุณาติ, อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณันติ ทุติยัมปิ อะยัง ปะฐะมะภาโค เถรัสสะ ปาปุณาติ, อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณันติ ตะติยัมปิ อะยัง ปะฐะมะภาโค เถรัสสะ ปาปุณาติ, อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณันติ
(พระสงฆ์ทั้งหมดเปล่งเสียงพร้อมกันว่า สาธุ เป็นอันเสร็จพิธี)
ความหมายในคำอุปโลกน์นั้นมีอยู่ว่า สิ่งของส่วนแรกนี้ถึงแก่พระเถระ (คือพระภิกษุที่เป็นประธานอยู่ในที่ประชุมนี้) ส่วนที่เหลือถึงแก่พวกเราทั้งหลาย
@@@@@@@
๑๑. เครื่องสังฆทาน
ทุกวันนี้ เริ่มจะมีผู้เข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า ของถวายสังฆทานจะต้องจัดใส่ถังพลาสติกสีเหลือง มีพลาสติกใสหุ้มปิดปากถัง ถ้าไม่มีถังเช่นว่านี้ไม่ใช่สังฆทาน เมื่อไปเห็นถังมีลักษณะ เช่นว่านี้ตามร้านค้า ก็เลยเข้าใจกันว่า เป็นเครื่องสังฆทาน แม้ทางร้านค้าเองก็มีการพยายามเรียกของถวายพระให้ต่างกัน คือ ถ้าจัดใส่ถังพลาสติกสีเหลือง หรืออาจจะจัดเป็นภาชนะรูปแบบอื่นก็ตามเรียกว่า สังฆทาน ถ้าจัดไว้เป็นห่อกระดาษแก้วสีเหลือง หรือเป็นถาด มีพลาสติกใสหุ้ม เรียกว่า ไทยทาน
ความจริงการจัดของถวายพระใส่ถังพลาสติกสีเหลืองก็ดี จัดเป็นห่อหรือเป็นถาดก็ดี หรือจะจัดทำภาชนะบรรจุเป็นรูปแบบอื่นใดอีกก็ดี เป็นเพียงศิลปะหรือวิธีการ หรือที่นิยมเรียกเป็นคำฝรั่งว่า เป็นเทคนิคของร้านค้า ที่จะจูงใจลูกค้าโดยวิธีอำนวยความสะดวกให้ แต่พร้อมกันนั้นก็เป็นการบังคับขายไปในตัว เพราะลูกค้าไม่ค่อยมีโอกาสเลือกหรือพิสูจน์ก่อนว่า ของที่จัดไว้นั้นมีคุณภาพดีเลวอย่างไร เป็นสินค้าที่หมดอายุแล้วหรือเปล่า เป็นต้น
โปรดเข้าใจว่า ว่าโดยหลักวิชาการแล้ว ท่านไม่ได้แยกของถวายพระออกเป็นสังฆทานอย่างหนึ่ง และไทยทานอีกอย่างหนึ่ง ตามที่ร้านค้าพยายามเรียกแยกเช่นนั้น โปรดจำไว้ให้มั่นว่า สังฆทาน หมายถึง เจตนาที่มุ่งให้ทานโดยไม่จำเพาะเจาะจงแก่ผู้ใด แต่มุ่งให้เป็นของส่วนรวม หรือเป็นของส่วนกลาง หรือเป็นสาธารณประโยชน์
ไม่จำเป็นจะต้องมีถังสีเหลือง หรือต้องมีภาชนะบรรจุของกินของใช้สำหรับจะเอาไปถวายพระ ตามที่ทางร้านค้าจัดทำขึ้นแต่อย่างใดเลย ของถวายนั้นจะบรรจุภาชนะหีบห่ออะไรอย่างไรก็ได้ ยิ่งเป็นของที่ได้เลือกคัดจัดหามาด้วยตัวเองก็ยิ่งดี เพราะได้รู้ได้เห็นเองว่าอะไรเป็นอะไร
@@@@@@@
คำว่า สังฆทาน ควรคู่กับ ปาฏิปุคลิกทาน ซึ่งหมายถึง เจตนาที่มุ่งให้แก่บุคคลเป็นการเฉพาะเจาะจงตัว ไม่ใช่นำมาเรียกขานคู่กับคำว่า ไทยทาน
คำว่า ไทยทาน (ไท-ยะ-ทาน) แปลตามตัวว่า “สิ่งของที่ควรให้” หมายถึง ของที่เหมาะสมแก่การที่จะนำไปถวายพระ มีคำเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไทยธรรม (ไท-ยะ-ทา) แปลว่า สิ่งของที่ควรให้เช่นกัน และมีคำใช้เรียกรวมๆกัน อีกคำหนึ่งว่า ทานวัตถุ แปลว่า สิ่งของสำหรับให้
ไทยทาน ไทยธรรม และทานวัตถุเหล่านี้ มีความหมายอย่างเดียวกัน
โบราณท่านกำหนดรายการไว้ ๑๐ อย่าง ตามคำบาลีที่ว่า
อันนัง ปานัง วัตถัง ยานัง มาลา คันธัง วิเลปะนัง เสยยาวะสะถัง ปะทีเปยยัง ทานะวัตถู อิเม ทะสะ
มีคำอธิบายว่า ทานวัตถุมี ๑๐ อย่าง ดังต่อไปนี้ คือ
๑. อันนะ คือ อาหารหรือของกินทุกชนิด ๒. ปานะ คือ เครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มหรือน้ำผลไม้ รวมทั้งเครื่องประกอบที่ใช้ปรุงเป็นเครื่องดื่มต่างๆ ๓. วัตถะ คือ เครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งเครื่องใช้จำพวกผ้าทุกชนิด ๔. ยานะ คือ ยวดยานพาหนะต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องช่วยให้ไปมาสะดวก แม้กระทั่งรองเท้าและร่มก็รวมอยู่ในประเภทนี้ ๕. มาลา คือ ดอกไม้ทั้งที่ร้อยเป็นพวง หรือจัดให้สวยงาม หรือดอกไม้ธรรมดาๆ ๖. คันธะ คือ เครื่องหอม แต่มุ่งถึงเครื่องหอมประเภทสมุนไพร ที่มีผลในทางเป็นยา ไม่ใช่เครื่องหอมประเภทเครื่องสาอาง (ธูป ก็น่าจะสงเคราะห์เข้าในประเภทนี้) ๗. วิเลปนะ คือ เครื่องทา มุ่งถึงเครื่องทาประเภทยาเช่นกัน เป็นต้นว่าน้ำมันทานวดเส้นแก้ปวดเมื่อย ไม่ใช่เครื่องทาประเภทประเทืองผิว ๘. เสยยะ คือ เครื่องนอน รวมไปถึงโต๊ะ เก้าอี้ เตียงตั่ง เครื่องปูลาดทั้งปวง ๙. อาวสถะ คือ ที่พักอาศัย รวมตลอดถึงกุฏิ วิหาร อาคารสถานที่ทั้งปวง ๑๐. ปทีเปยยะ คือ เครื่องไฟแสงสว่าง รวมตลอดทั้งเทียนตะเกียง น้ำมันเติมตะเกียง ปัจจุบันนี้ก็รวมอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่าง(และอาจจะรวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายเข้าด้วย)
รายการทานวัตถุเหล่านี้ เป็นของเก่าที่มีอยู่ในสมัยโบราณ ปัจจุบันอาจจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบหลายร้อย แต่ถึงกระนั้นก็อาจจัดเป็นประเภทได้เพียง ๒ ประเภทคือ ของฉันคือของกิน กับของใช้ และมีหลักอยู่ว่า ต้องเป็นของที่สมควรแก่สมณบริโภค คือ เหมาะแก่การที่พระสงฆ์จะฉันจะใช้ ไม่ผิดวินัยสงฆ์ และไม่ก่อให้เกิดข้อตำหนิติเตียนหน้า ๑๖-๑๗-๑๘-๑๙-๒๐-๒๑-(๒๒)
|
|
|
|