ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - Mahajaroon
หน้า: 1 [2]
41  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: คนทำบุญ จนจริง หรือไม่ ? เมื่อ: กันยายน 12, 2011, 02:50:19 pm
เรื่องทำบุญแล้วจนเห็นมาเยอะเหมือนกัน ตัวเองก็เป็นด้วย แต่ก็ยังอยากทำอีก(บ้าบุญ)



เรื่องทำบุญ เป็นกรรมที่ดี  เพราะบุญเป็นตัวนำสุขมาให้ สมกับคำบาลีที่ว่า
สุโข  ปุญฺญสฺส   อุจฺจโย    แปลว่า  การสั่งสมบุญย่อมมีความสุข
คนมีบุญไปไหนใครๆก็รัก พวกบัณฑิตผู้รู้ย่อมคบหา
คนใจบุญย่อมเป็นที่รัก ที่ชอบใจของมนุษย์และเทวดา

บริจาคทาน  ต้องได้บุญ
รักษาศีล     ต้องได้บุญ
เจริญจิตภาวนา  ต้องได้บญ
ช่องทางทั้ง ๓ นี้ เป็นปัจจัยให้ผู้กระทำได้รับอริยทรัพย์ ซึ่งเป็นทรัพย์ภายใน
อริยทรัพย์เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดโภคสมบัติ ซึ่งเป็นทรัพย์ภายนอก

ทายกผู้ฉลาดในทานไม่พูดว่า ผมจนเพราะทำบุญ และไม่สงสัยว่าหากเราทำบุญจะได้บุญหรือเปล่า
เพราะการทำบุญต้องมีใจศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาเสมอ หากยังลังเลถึงทำไปก็ไม่เป็นบุญ

คนทำบุญ จนจริง หรือไม่ ?
ตอบว่ามีจริง  สมัยพุทธกาลแต่ก่อนก็ยังมี ให้ไปศึกษาชีวิตของอนาถปิณฑิกเศรษฐี
เศรษฐีท่านนี้ทำบุญจนตนเอง ไม่มีอะไรจะกิน แต่เขาก็ไม่กลัวความจน ยังทำบุญทุกวัน

ขอตอบนะครับว่า คนทำบุญจนไม่จริง เจริญพร ครับ    :13:

การทำบุญรู้ได้ไงว่าทำแล้วจะได้บุญ ? 
ขอตอบนะครับ

๑ ทำแล้วสบายใจ 
๒ ไม่คิดอาลัยกับของที่ทำไป
๓ คิดถึงการกระทำของเราเมื่อไรปลื้มใจเมื่อนั้น

คนมีเงินก็ใช่ว่ามีความสุขเสมอไป
คนรำรวยเงินทอง แต่จนความสุข
คนจนมีคุณธรรม หาความสุขได้ในครอบครัว
แต่หากทุกคนอยู่อย่างมีความสุขรวยหรือจนไม่สำคัญปล่อยวางเสียบ้าง

ปล่อยวาง (ท่องจำ)

หน้าที่   เป็นเรื่องภายนอก
การปล่อยวาง   เป็นเรื่องภายใน
มีปัญหา    ต้องแก้ไข
แก้ได้หรือไม่ได้   ใจก็ต้องปล่อยวาง


42  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พัดลมไร้ใบ เทคโนโลยีที่ให้ด้านความปลอดภัย และ เซฟพลังงาน ( เปลี่ยนบรรยากาศ ) เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 04:02:51 pm
คุณธรรมเด่น เนนวิปัสสนาการ  ด้านเทคโนโลยี

(รายงานโดย: พิเชษฐ เมฆขาว )

เข้าไปดูสิค้าแล้ว ก็น่าสนใจ พัดลมตัวเดิมพังไปคงจะได้ทดลองใช้
ทันสมัยจริง
43  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / Re: งาน PART TIME ทำที่บ้าน 2-3 ชม. ( ขอความกรุณาอย่าโพสต์โฆษณา ครับ ) เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 03:49:51 pm
ครับ...ผมเขามารับทราบเรื่องราว ในฐานะเป็นพุทธบริษัทคนหนึ่ง 
หากทำอะไรผิดผลาดต้องกล่าวคำว่าขอและบิณฑบาต อภัยโทษล่วงหน้า   :character0029:     
44  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: เห็นการเกิดดับชั่วขณะ ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 03:36:05 pm
อนุโมทนา ครับ ตามอ่านอยู่ครับ

 :25: :25: :25:


อ้างที่มาครับ
http://www.watbencha.com/webboard/index.php/topic,706.msg1696.html


อรรถกถาพระสูตรกล่าวถึงบุคคลผู้ทำอาสวักขยญาณให้แจ้งหรือบรรลุนิพพาน แยกเป็น  ๒ ประเภทใหญ่ ๆ  คือ สมถยานิก  และ วิปัสสนายานิก
    ๑)  สมถยานิก  คือ ผู้เจริญสมาธิมาก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนา  ตามความหมายอย่างกว้างคือ ได้สมาธิระดับอุปจารสมาธิก่อน ความหมายอย่างแคบคือ ได้ฌานตั้งแต่ปฐมฌาน จนถึงนิโรธสมาบัติ (รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธหรือนิโรธสมาบัติ )
    สมถสมาธิ   ได้แก่อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ   เพ่งอยู่แต่อารมณ์บัญญัติอย่างเดี่ยวโดยไม่ให้ย้ายอารมณ์  ถ้าย้ายไปก็เสียสมาธิ   
           ๒) วิปัสสนายานิก  คือ ผู้เจริญวิปัสสนาก่อนได้สมาธิภายหลังพร้อมกับการบรรลุอาสวักขยญาณ)  แต่อย่างน้อยจะต้องมีสมาธิระดับขณิกสมาธิ เพื่อใช้ในการพิจารณา เมื่อพิจารณาจนวิปัสนาญาณสูงขึ้น และเมื่อขณะบรรลุอาสวักขยญาณ สมาธิเต็มเปี่ยมได้ฌานที่ ๑ เป็นอย่างน้อย วิปัสสนาขณิกสมาธิ มีอารมณ์เป็นปรมัตถ์(รูป,นาม) ตั้งสติกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏชัดในขณะปัจจุบัน  เช่น การเห็น การได้ยิน การเจ็บ การปวด การคิด การนึก เป็นต้น  อารมณ์ใดปรากฏชัดเจน ก็ตั้งสติกำหนดอารมณ์นั้นจนได้สมาธิชั่วขณะหนึ่ง  สมาธิชั่วขณะนี้แหละเรียกว่า ขณิกสมาธิ

                                       
                                       :08:
45  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: สมบัติของมนุษย์ เมื่อ: กันยายน 06, 2011, 02:55:34 pm
ปัญหาแม้ว่าจะดูง่าย แต่ปฏิบัติลองดูซิครับ
หากปัญหายากไปคงตอบไม่ถูก เรื่องปฏิบัติไม่ต้อเอ๋ยถึงหรอกครับ
คนไหนเป็นมนุษย์ คือผู้มีใจสูงคงรู้แล้วว่าข้อไหนถูก เลยตอบไปอย่างมั่นใจ
ส่วนพรหมและเทวดาคงไม่ลงมาตอบหรอกครับ  และที่เหลือคงไม่มีโอกาสมารับรู้เรื่องนี้



                                                                    :08:
46  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เห็นการเกิดดับชั่วขณะ ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เมื่อ: กันยายน 05, 2011, 07:56:43 pm
              สมาธิมี  ๓  อย่าง

๑   อุปจารสมาธิ
๒   อัปปนาสมาธิ
๓   ขณิกสมาธิ

     ตอบว่า สมาธิชั่ว "ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น"  จัดเป็น ขณิกสมาธิ ครับ เพราะมีความหมายอย่างนี้ว่า  ความที่จิตระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์(คือรู้รูปนาม)ที่กำลัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป    ทีละขณะๆ  ตั้งมั่นต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ตราบเท่าทีจิตยังรับรู้อารมณ์อยู่  ท่านเรียกว่า  ขณิกสมาธิ
 
ยังมีต่อนะ   เจริญพร                                           :s_laugh:         
47  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: สมบัติของมนุษย์ เมื่อ: กันยายน 05, 2011, 07:15:21 pm
ประการที่ ๒ สวรรค์สมบัติ ได้แก่ สมบัติในสวรรค์ หรือทิพยสมบัติ คือ สมบัติที่มีความสุข
กายสบายใจ อันละเอียด ประณีต วิจิตรตระการตากว่ามนุษย์สมบัติมากมาย ซึ่งผู้ที่จะประสบสวรรค์สมบัติได้นั้น จะต้องประกอบด้วยความไม่ประมาทในคุณธรรม ๔ ประการ คือ
๑. ถึงพร้อมด้วยศรัทธา คือ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เช่น เชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
๒. ถึงพร้อมด้วยศีล คือ การรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย
๓. ถึงพร้อมด้วยการบริจาคทาน คือ การเสียสละแบ่งปัน
๔. ถึงพร้อมด้วยปัญญา คือ รู้จักความดี ความชั่ว เป็นต้น
มีเรื่องเล่าเป็นอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งว่า อุบาสกคนหนึ่ง ชื่อว่านันทิยะ เป็นผู้มีศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธศาสนา ได้ให้ทาน รักษาศีล และทำอุโบสถกรรมเป็นประจำ ต่อมาได้สร้างศาลาจัตุรมุขขึ้นหลังหนึ่ง ถวายไว้ในพระพุทธศาสนา ซึ่งในที่สุดแห่งการทำอนุโมทนาของพระพุทธเจ้า วิมานจัตุรมุขก็ได้ผุดขึ้นในเทวโลกเพื่อต้อนรับอุบาสกนั้น พระมหาโมคคัลลานะได้ไปเยี่ยมเทวโลก เห็นวิมานนั้นว่างเปล่า ไม่มีเทพบุตรหรือเทพธิดาประจำอยู่ จึงไต่ถามกับเทพบุตรในวิมานใกล้เคียงก็ทราบว่า เป็นวิมานที่ผุดขึ้นเพื่อต้อนรับนันทิยอุบาสก ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ พระมหาโมคคัลลานะจึงนำข่าวมาแจ้งแก่นันทิยอุบาสก เมื่อเขาได้ฟังแล้วก็เกิดปีติยินดีเป็นอย่างมาก ได้สละทรัพย์บำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนาอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อเขาสิ้นชีวิตแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในวิมานนั้น


 ประการที่ ๓ นิพพานสมบัติ ได้แก่ สมบัติคือพระนิพพาน คือการดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวง คนผู้ถึงพระนิพพาน ย่อมไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอีกต่อไป เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม ไม่มีความสุขอื่นยิ่งไปกว่า สมตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสเอาไว้ว่า "นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง" ซึ่งแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ถึงพระนิพพานนั้น ก็ได้แก่
บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ คือ
๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน   
๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญจิตตภาวนา     
  (บุญกิริยาอย่างหนาต้อง ๑๐  ประการแล)
ดังนั้น ผู้ที่ปรารถนาสมบัติ คือ ความถึงพร้อมทั้ง ๓ ประการนี้ ควรที่ปฏิบัติตน ประพฤติตามหลักธรรมดังที่กล่าวมา อันจักทำให้ได้รับสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง สมตามความปรารถนาแล

จิตเกษมชั่วคราวเราทำได้
เจริญสติรู้กายใจคลายโมหันต์
จิตผ่องใสชั่วขณะรู้ปัจจุบัน
จิตอรหันต์เกษมสุขทุกเวลา

ใครมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมบัติอีกไหมครับ  ?  เชิญได้ทางนี้เลยครับ
48  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: สติปัฏฐาน สี่ที่ท่านอาจารย์ลงพิมพ์ในหนังสือ เมื่อ: สิงหาคม 18, 2011, 08:47:44 pm
สาธุ ขออนุโมทนา....
..........ฯลฯ
ผู้ที่ถึงพร้อมด้วย โพธิปักขิยธรรม 37 ประการนี้ ย่อมถึงซึ่งการสิ้นไปแห่ง อาสวะ 4
อาสวักขยญาณ
1.กามาสวะ ล่วงพ้นจาก โลก ธรรม ทั้ง 8
2.ภวาสวะ ล่วงพ้นจากภาวะอันเป็นภพ
3.ทิฏฐาสวะ ล่วงพ้นจากมิจฉาทิฏฐิ
4.อวิชาชาสวะ หลุดพ้นจากอวิชชา 8

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับกระทู้นี้


49  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ปฏิบัติ อานาปานสติ มาก่อนหลายปีแล้ว ฝึกอานาปานสติ ในกรรมฐาน มัชฌิมา ได้หรือไม่.. เมื่อ: สิงหาคม 17, 2011, 09:51:27 am
คุณฝึก อานาปานสติแล้ว ก็ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ
ฝึกได้ถึงขี้นแปดแล้ว แสดงว่า ถึงสุขสมาธิแล้ว นะครับ หายใจเข้า หายใจออก ระงับซึ่ง จิตตสังขาร

เห็นด้วยกับคุณ  VongoleX   ครับ

อุปมา เปรียบเสมือนบุรุษ ต้องการน้ำแล้ว  ขุดบ่อ  เมื่อขุดไปใกล้จะถึงตาน้ำ ละความเพียรหยุดพัก
ไม่ขุดต่อขึ้นมาบนปากบ่อ มีคนเดินมาบอกว่าตรงโน้นหญ้าเขียวขจี มีน้ำแน่นอน มาเถิดเราไปช่วยขุดกัน
ช่วยกันขุดไปได้ครู่ใหญ่ทั้งสองเจอน้ำ  แต่คิดกันว่าบ่อนี้ตั้งอยู่ห่างไกลที่พักเหลือเกินอย่ากระนั้นเลยพวกเราขุดบ่อลูกใหม่ดีกว่า สรุปว่าพวกเขายังไม่ได้ดื่มน้ำ การปฏืบัติก็เฉกเช่นเดียวกัน จุดมุงหมายของการปฏิบัติคือการหลุดพ้น เช่นกัน
50  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สมบัติของมนุษย์ เมื่อ: สิงหาคม 17, 2011, 09:05:10 am
               สมบัติ คือ ความสมบูรณ์แห่งผลสำเร็จที่ให้ได้สมความปรารถนา
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ว่ามีอยู่ด้วยกัน ๓ ประการ คือ
๑. มนุษย์สมบัติ  ๒. สวรรค์สมบัติ  ๓. นิพพานสมบัติ
ประการที่ ๑ มนุษย์สมบัติ ได้แก่ การมีทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์ การยกย่องและความสุขกายสบายใจ คนผู้ที่จะได้มนุษย์สมบัตินี้จะต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในคุณธรรม ๔ประการ คือ
๑.ด้วยความหมั่น พยายามไม่ให้เป็นอันตราย
๒.รักษาการงานที่ได้ทำไว้ไม่ให้เสื่อมเสียไป
๓. ความมีเพื่อนเป็นคนดี คือ การรู้จักคบคนดีเป็นเพื่อน เลือกคบหา เสวนากับคนที่สามารถแนะนำในสิ่งที่ถูกที่ควรได้
๔. ความเลี้ยงชีวิตตามสมควร คือ รู้จักเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ ไม่ให้ฝืดเคือง ไม่ให้ฟุ่มเฟือยจนเกินไป
            มีเรื่องเล่าในอดีตเป็นตัวอย่างว่า คนรับใช้ของเศรษฐีคนหนึ่ง ทำการค้าขายครั้งแรกด้วยการลงทุนด้วยหนูตายเพียงตัวเดียว ได้ทรัพย์สินเงินทองมากมาย คือ ครั้งแรก เขาขายหนูตายนั้นแล้วได้เงินมาจำนวนหนึ่ง จึงนำเงินนั้นไปซื้อดอกไม้มาขาย นำกำไรที่ขายดอกไม้ได้ไปซื้อไม้แล้วนำไปขายให้กับคนเผาภาชนะดิน นำผลกำไรที่ได้เพิ่มขึ้นอีก ไปซื้อหญ้าแล้วนำไปขายให้คนเลี้ยงม้า ได้เงินมาแล้วก็นำไปเก็บรักษาไว้ ต่อมาได้ทำการค้าขายทางเรือกับพวกพ่อค้า ได้เงินทองมากขึ้นตามลำดับ ต่อมาระลึกถึงเศรษฐีที่เคยมีอุปการะแก่ตนมาก่อน ด้วยความกตัญญู จึงนำทรัพย์สินเงินทองครึ่งหนึ่งที่ตนหามาได้มอบให้แก่เศรษฐี ท่านเศรษฐีคิดว่า คนที่ฉลาด ขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ ไม่สมควรที่จะเป็นคนรับใช้ของเรา จึงได้ยกธิดาคนหนึ่งให้และมอบเงินทองให้อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งต่อมาเมื่อเศรษฐีล่วงลับไปแล้ว เขาก็ได้รับตำแหน่งเศรษฐีต่อไป
 
    :25:   ยังมีต่อครับ      :s_laugh:
หน้า: 1 [2]