ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "กินเจแล้วได้บุญ" คำพูดนี้มาจากไหน.?  (อ่าน 2025 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28495
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
"กินเจแล้วได้บุญ" คำพูดนี้มาจากไหน.?
« เมื่อ: มกราคม 17, 2014, 10:51:02 am »
0


ลังกาวตารสูตร

ลังกาวตารสูตร เป็นคัมภีร์หลัก (Text) ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน. เป็นคัมภีร์หนึ่งในเก้าคัมภีร์ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญ ที่เรียกว่าสูตร สูตรหนึ่งนั้นมิใช่สั้นๆ เช่นที่เราเข้าใจกัน แต่เป็นหนังสือเล่มขนาดใหญ่ หรือคัมภีร์หนึ่งนั่นเอง. ลังกาวตารสูตรพิมพ์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต เมื่อ ค.ศ. 1922 โดยท่าน Bunyin Nangio, M.A.(oxon). D. Litt. Kyoto. สูตรนี้แปลเป็นภาษาจีนครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.443 โดยท่านคุณภัทรแห่งอินเดีย, เป็นครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ. 513 โดยท่านโพธรุจิ แห่งอินเดีย. และครั้งที่สามเมื่อ ค.ศ.700 โดยท่านศึกษานันทะ แห่งอินเดียเหมือนกัน. เป็นสูตรว่าด้วยศีลธรรมล้วน.


พุทธทาสภิกขุ : แปล


ข้อความในพระสูตรนั้น มีดั่งนี้ :-
"พระตถาคตเจ้าผู้ทรงอรหันต์ ได้ตรัสรู้อย่างถูกถ้วนแล้ว, และได้ตรัสความเป็นกุศลหรืออกุศลแห่งการบริโภคเนื้อสัตว์แก่เรา, เพื่อว่าเราและสาวกอื่นๆ ในพระพุทธศาสนา ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จะได้ประกาศสัจธรรมอันนี้ แก่เขาเหล่าโน้นผู้บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการทำลายความอยากในเนื้อสัตว์ของเขานั้นๆ เสีย."

"พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า : โอ, มหาบัณฑิต! ด้วยน้ำหนักแห่งเหตุผลอันมากมายเหลือจะประมวล บ่งแสดงว่าเนื้อทุกชนิดเป็นสิ่งที่ควรปฏิเสธโดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้มีใจเปี่ยมอยู่ด้วยความกรุณา. สำหรับเขาเหล่านั้น เราจักกล่าวแต่โดยย่อๆ.

โอ, มหาบัณฑิต! ในวัฏฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้ สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการว่ายเวียนในการเกิดอีกตายอีก. ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียว ที่ในบางสมัย ไม่เคยเป็น แม่ พ่อ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่นๆ แก่กัน. สัตว์ตัวเดียวกัน ย่อมถือปฏิสนธิในภพต่างๆ เป็นกวาง หรือสัตว์สี่เท้าอื่นๆ เป็นนก ฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง. สาวกแห่งพระพุทธศาสนา จะทำลงไปได้อย่างไรหนอ, จะเป็นผู้สำเร็จแล้ว หรือยังเป็นสาวกธรรมดาก็ตาม ผู้เห็นอยู่ว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด เป็นภราดรของตน, แล้วจะเชือดเถือเนื้อของมัน?

โอ. มหาบัณฑิต เรามิได้เคยบัญญัติเนื้อสัตว์ไว้ในสูตรใดๆ หรือกล่าวว่ามันเป็นของควรกิน  หรือนับมันเข้าในประเภทของดีที่ควรกิน...





โอ. มหาบัณฑิต  เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
เพราะว่า เนื้อย่อมเกิดจากเลือดและน้ำอสุจิ   ฉะนั้น มัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภคสำหรับสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์ต่อธรรมอันบริสุทธิ์...

โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
เพราะว่าบรรพชิตผู้ประสงค์มิตรภาพในเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ทุกถ้วนหน้า  ดั่งเช่น เมื่อสัตว์ได้เห็นนายพราน ชาวประมง หรือคน กินเนื้อเดินมาแม้ในระยะไกล  สัตว์ทั้งหลายก็สะดุ้งกลัวเสียแล้ว  ต่างพากันวิ่งหนีไปไกลพร้อมกับความรู้สึกอยู่ในใจว่า... “ เขาเหล่านั้นเป็น ผี  ยักษ์  อสุรกาย  ผู้ล้างผลาญ ”  นั่นเพราะความกลัวต่อ ความตายของมัน...
    ฉะนั้น เนื้อเป็นสิ่งที่ควรกินสำหรับผู้มีใจดำอำมหิต  เป็น ต้นเหตุแห่งความเสื่อมเสีย และเป็นสิ่งที่จะถูกห้ามกันโดยสัตบุรุษ

โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
เพราะว่า มีกลิ่นที่น่ารังเกียจ  ไม่น่าบริโภคอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่นเดียวกับกลิ่นศพ...
แม้เหตุผลมีเพียงเท่านี้  เนื้อก็เป็นสิ่งไม่ควรบริโภคสำหรับ พุทธศาสนิกชนอยู่แล้ว  ถ้าหากว่าศพถูกเผาและเนื้อสัตว์อย่างใด อย่างหนึ่งก็ถูกเผา  มันก็จะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจไม่แตกต่างกันเลย.





โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
เพราะว่า พุทธศาสนิกชนซึ่งเป็นผู้ที่ปรารถนาจะมีสาธุคุณ ในทางจิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น...
คนกินเนื้อย่อมเป็นเหยื่อแห่งโรคหลายชนิด เช่น โรคไส้ เดือน  โรคพยาธิ  โรคเรื้อน  โรคเจ็บในท้อง...
( ถ้านับโรคสมัยนี้ที่สองพันปีก่อนยังไม่มีคือ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ  โรคไขข้อ  โรคความดัน... ฯลฯ  ล้วนมาจากเชื้อโรค ในชิ้นเนื้อทั้งสิ้น )

โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
เพราะว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นการกินเนื้อบุตรของตนเองอยู่ ดั่งนี้แล้วจะกล่าวไปไยที่เราจะบัญญัติให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์  ซึ่งเป็นของจัดไว้ต้อนรับของพวกคนใจอำมหิต  เต็มไปด้วยมลทิน   ปราศจากคุณธรรมใดๆ ไม่เหมาะที่จะบริโภคสำหรับผู้บริสุทธิ์ และ เป็นของควรห้ามเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง...

โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
เพราะว่าเขาเหล่านั้นซึ่งเคยชินกับการกินเนื้อ สัตว์  เมื่อความอยากเป็นไปรุนแรงเข้าก็กินเนื้อคนได้
ย่อมจะเป็นผู้ละโมบในการกินและเป็นเหมือนยักษ์ ปีศาจร้าย...





ครั้นถึงอนาคตกาล  เพราะอำนาจจิตติดฝัง แน่นในการอยากกินเนื้อสัตว์  ย่อมตกไปสู่กำเนิด แหล่งสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ จระเข้ สุนัขจิ้งจอก  แมว  นกเค้าแมว ฯลฯ...

โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
เพราะว่า เขาผู้ฆ่าสัตว์ชนิดใดๆ ก็ตามเพื่อเงิน  และเขาผู้ซึ่งจ่ายเงินซื้อเนื้อนั้น  ทั้งสองพวกชื่อว่าเป็นผู้ประกอบอกุศลกรรม และจักจมสู่โรรุวะนรกและนรกอื่นๆ...

โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
ผู้ใดพูดว่าพระสมณโคดมตรัสว่า  ผู้บริสุทธิ์แห่งสมัยเพรงกาลย่อมกินอาหารเหมือนคนกินเนื้อ  ย่อมเที่ยวใส่ความทุกข์เจ็บ ปวดให้แก่สัตว์น้อยใหญ่ที่มีชีวิตอยู่บนท้องฟ้า บนบกและในน้ำ เที่ยวรบกวนรังควานมันอยู่เสมอ...

 ดังนี้ ผู้นั้นชื่อว่าไม่พูดตามที่เราพูด ทั้งกล่าวตู่เราด้วยคำ อันไม่ดีไม่เป็นจริง... สมณภาพของเขาถูกทำลายย่อยยับเสียแล้ว ถูกทำให้เศร้าหมองเสียแล้ว... คนชนิดนี้แหละที่กล่าวคำเท็จเทียม มากมายหลายชนิดแด่พระพุทธวจนะ..
.





โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
ในวัฏฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้  สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการเวียนว่ายแห่งการเกิดตาย ไม่มีสัตว์ แม้แต่ตัวเดียวไม่เคยเป็นพ่อ แม่ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย  ลูกหญิง หรือเครือญาติแก่กัน  สัตว์ตัวเดียวกันย่อมถือปฏิสนธิ ในภพต่างๆ เป็นสัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้า สัตว์เลื้อยคลาน เป็นนก   แมลง ฯลฯ  ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง...
   
ดูก่อน !  สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะทำลงไปได้อย่างไร หนอ  เธอทั้งหลายผู้เห็นอยู่ว่าสัตว์เหล่านี้ล้วนเป็นเครือญาติฉันพี่ น้องของตน  แล้วจะเชือดเนื้อเถือหนังของเขาอีกหรือ...





ต้นกำเนิดพระพุทธเจ้าไม่บริโภคเนื้อสัตว์

พระมหาเถระ อัมริตนันทะ...ผู้มีชื่อเสียงแห่งประเทศเนปาล  ซึ่งเป็นลูกหลานในตระกูล “ ศากยวงศ์ ” แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านก็ยืนยันให้โลกทราบว่าในราชวงศ์ของท่านนั้นนับตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครเสพเนื้อสัตว์เลย...

แท้จริงแล้ว พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายอุบัติมาเพื่อ โปรดสัตว์  แล้วพระองค์จะเอาชีวิตสัตว์มากินเสียเองได้อย่างไร...

ในพระคัมภีร์ ลังกาวตารสูตร พระพุทธเจ้าตรัสในเกาะ  ลังกาก็มีบอกไว้ชัดเจน แต่ศิษย์สาวกของท่านในยุคหลังๆ เขาอยากจะกินเนื้อสัตว์กันเอง เขาไปบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 900 เศษว่าพระองค์เองก็เสวยเนื้อสัตว์...


โอ!... บาปหนาเหลือเกิน...
คนในปัจจุบัน จึงบริโภคเนื้อสัตว์โดยไม่เกรงกลัวบาปกรรม เด็กที่เกิดมาใหม่ถูกปลูกฝังให้กินเนื้อสัตว์โดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดี พากันบริโภคอย่างคึกคะนอง เอาชีวิตสัตว์มาเป็นสินค้าซื้อขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทำลายเมตตาจิตขาดสะบั้น แล้วชีวิตจะอยู่ สงบสุขได้อย่างไร...


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
http://www.96rangjai.com/langka/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28495
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
แนะนำ "พระสูตรและพระวินัย" ว่าด้วยมังสวิรัติ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 18, 2014, 12:51:46 pm »
0


พระพุทธเจ้าห้ามสาวกกินเนื้อสัตว์หรือไม่
นานาปัญหา โดย คณะสหายธรรม

ถาม  พระพุทธเจ้าของเราห้ามภิกษุ พุทธสาวก พุทธบริษัท ฉันหรือกินเนื้อสัตว์หรือไม่ หรือว่าห้ามกินเนื้อบางชนิดเท่านั้น
ตอบ  พระพุทธเจ้ามิได้ทรงห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์เลย แม้พระองค์เองก็เสวยเนื้อสัตว์ที่มีผู้ปรุงถวาย แต่จะไม่เสวยและฉันเนื้อที่ไม่บริสุทธิ์โดยส่วน ๓ คือ ที่ได้เห็น ได้ยินและที่รังเกียจ กับเนื้อต้องห้าม ๑๐ อย่าง มีเนื้อมนุษย์เป็นต้น

    ตามที่ได้กล่าวแล้วในปัญหาข้อต้นๆ เพราะถ้าทรงห้ามแล้ว พระองค์ก็คงจะไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อตามที่พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการแล้ว นั่นคือ พระเทวทัตขอมิให้ภิกษุฉันปลาและเนื้อจนตลอดชีวิต แต่พระพุทธองค์มิได้ทรงอนุญาตตามที่ท่านพระเทวทัตขอ

    เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันว่า ภิกษุฉันปลาและเนื้อได้ หรือท่านใดไม่ฉันก็ได้ ใครพอใจอย่างใดก็ทำอย่างนั้น
    แม้พุทธบริษัท หรือใครก็ตาม พระองค์ก็มิได้ทรงห้ามการกินปลากินเนื้อ
    ทรงสอนแต่มิให้ฆ่าสัตว์เองหรือสั่งให้ผู้อื่นฆ่าเท่านั้น แต่มิได้ทรงห้ามไปถึงการกินปลากินเนื้อที่มิได้ฆ่าเอง หรือสั่งเขาฆ่าเพื่อตน เพราะการฆ่าหรือการสั่งให้เขาฆ่า ไม่ว่าจะเพื่อกินเองหรือเพื่อเอาไปทำบุญถวายพระ ก็เป็นบาปกรรมล่วงศีลข้อปาณาติบาตทั้งสิ้น

    ในอามคันธสูตร อรรถกถาก็ได้เล่าถึงดาบสพวกหนึ่งที่ถือว่า ปลาและเนื้อเป็นกลิ่นดิบ ไม่ควรบริโภค แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปลาและเนื้อไม่ใช่กลิ่นดิบ แต่กิเลสทั้งปวงที่เป็นบาปเป็นอกุศลต่างหาก ชื่อว่าเป็นกลิ่นดิบ


    สรุปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้ามการฉันปลาและเนื้อ ทั้งพระองค์และภิกษุก็ฉันปลาและเนื้อที่เป็นกัปปิยะ คือไม่ผิดวินัยบัญญัติ เป็นของสมควรบริโภค อันได้แก่ปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม อันได้กล่าวมาแล้ว กับไม่ฉันเนื้อที่ต้องห้าม ๑๐ ชนิด เว้นจากนี้แล้วก็ฉันได้ ไม่มีข้อขัดข้องประการใด

________________________________________
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=22

ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

(๑) อามคันธสูตร 
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต       
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=7747&Z=7809

(๒) เรื่องวัตถุ ๕ ประการ , พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการ , พระเทวทัตโฆษณาวัตถุ ๕ ประการ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒                                   
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=7&A=3770&Z=3863

(๓) พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์ เป็นต้น
พระไตรปิฏก เล่มที่ ๕  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค  ภาค ๒       
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=5&A=1372&Z=1508

(๔) เรื่องสีหะเสนาบดี ดำริเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=5&A=1924&Z=2100


บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ