ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้ยกตัวอย่าง พระอริยะ ท่านก็ทำบุญ พร้อม เหตุผลว่า ทำไมต้องทำ ทำแล้วได้อะไร  (อ่าน 3250 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
 ask1

อยากให้ยกตัวอย่าง พระอริยะ ท่านก็ทำบุญ พร้อม เหตุผลว่า ทำไมต้องทำ ทำแล้วได้อะไร

  thk56
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

         รอซักหน่อย  รอท่านผู้รู้มาตอบนะครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระสารีบุตร "สร้างกุฎี ๔ หลัง" อุทิศให้..นางเปรตผู้เคยเป็นมารดา

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา


๒. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ
ว่าด้วยนางเปรตเคยเป็นมารดาพระสารีบุตร


พระสารีบุตรเถระถามหญิงเปรตตนหนึ่งว่า
[๙๙]    ดูกรนางเปรตผู้ผอมมีแต่ซี่โครง ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านเป็นใครหรือ มายืนอยู่ในที่นี้.?

นางเปรตนั้นตอบว่า
เมื่อก่อนดิฉันเป็นมารดาของท่าน ในชาติเหล่าอื่น ดิฉันเข้าถึงเปรตวิสัย เพรียบพร้อมไปด้วยความหิวและความกระหาย เมื่อถูกความหิวครอบงำแล้ว ย่อมกินน้ำลาย น้ำมูก เสมหะอันเขาถ่มทิ้งแล้ว และกินมันเหลวแห่งซากศพที่เขาเผาอยู่ที่เชิงตะกอน กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตรและโลหิตแห่งบุรุษทั้งหลายที่ถูกตัดมือ เท้า และศีรษะที่เป็นแผล กินเนื้อ เอ็น และข้อมือข้อเท้าเป็นต้นของชายหญิง กินหนองและเลือดแห่งปศุสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อยู่อาศัยนอนบนเตียงของผู้ตาย ซึ่งเขาทิ้งไว้ในป่าช้า

    "ลูกเอ๋ย ขอลูกจงให้ทานแล้วอุทิศส่วนบุญมาให้แม่บ้าง
     ไฉนหนอ แม่จึงจะพ้นจากการกินหนองและเลือด."


 :25: :25: :25: :25:

ท่านพระสารีบุตรเถระผู้มีจิตอนุเคราะห์ ได้ฟังคำของมารดาแล้ว จึงปรึกษากับท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ท่านพระอนุรุทธะ และท่านพระกัปปินะ แล้วให้สร้างกุฎี ๔ หลัง ในทิศทั้ง ๔ แล้วถวายกุฎีเหล่านั้น ข้าวและน้ำแก่สงฆ์ อุทิศส่วนกุศลไปให้มารดา

ในทันใดนั้นเอง ข้าว น้ำและผ้า ก็บังเกิดเป็นวิบาก นี้เป็นผลแห่งทักษิณา ภายหลังนางมีร่างกายบริสุทธิ์สะอาด นุ่งห่มผ้าอันมีค่ายิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี ประดับด้วยวัตถาภรณ์อันวิจิตร เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ.



ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระจึงถามว่า
ดูกรนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ สถิตอยู่ดุจดาวประกายพฤกษ์ ท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะกรรมอะไรอิฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้ เพราะกรรมอะไร และโภคะทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่รักแห่งใจ ย่อมบังเกิดแก่ท่านเพราะกรรมอะไร
     ดูกรนางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้
     อนึ่ง ท่านมีอานุภาพรุ่งเรืองและมีรัศมีกายสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร.?


 ans1 ans1 ans1 ans1

นางเทพธิดานั้นตอบว่า
เมื่อก่อน ดิฉันเป็นมารดาของท่านพระสารีบุตรเถระ ในชาติอื่นๆ เกิดในเปตวิสัย เพรียบพร้อมไปด้วยความหิวและความกระหาย เมื่อถูกความหิวครอบงำแล้ว จึงกินน้ำลาย น้ำมูก เสมหะอันเขาถ่มทิ้งไว้และกินมันเหลวแห่งซากศพที่เขาเผาอยู่บนเชิงตะกอน กินโลหิตของหญิงที่คลอดบุตรและโลหิตแห่งบุรุษทั้งหลายซึ่งถูกตัดมือ เท้า และศีรษะที่เป็นแผล กินเนื้อ เอ็น ข้อมือและข้อเท้าของชายหญิง กินหนองและเลือดของปศุสัตว์และมนุษย์ ดิฉันไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อยู่อาศัยนอนบนเตียงของคนตาย ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
    ดิฉันเป็นผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ บันเทิงอยู่ เพราะทานของท่านพระสารีบุตร
    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันมาครั้งนี้ เพื่อจะไหว้ท่านสารีบุตรผู้เป็นนักปราชญ์ มีความกรุณาในโลก.


    จบ สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุที่ ๒.


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ บรรทัดที่ ๓๓๑๙-๓๓๖๒. หน้าที่ ๑๓๖-๑๓๗.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=3319&Z=3362&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=99
ขอบคุณภาพจาก
http://www.weekendhobby.com/
http://www.watrungkayai.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระสารีบุตร ถวายสังฆทาน อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
(อรรถกถาสารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุที่ ๒)
           
     พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางเปรตผู้มารดาของท่านพระสารีบุตรเถระ โดยชาติที่ ๕ แต่ปัจจุบันชาตินี้ จึงตรัสคาถานี้

     วันหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระอนุรุทธะและท่านพระกัปปินะ ได้อยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลแต่กรุงราชคฤห์.

     ก็สมัยนั้นแล ในกรุงพาราณสีมีพราหมณ์คนหนึ่งเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก เป็นดุจบ่อที่ดื่มกินของสมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพกและยาจก ได้ให้สิ่งของมีข้าว น้ำ ผ้าและที่นอนเป็นต้น และเมื่อจะให้ ย่อมปฏิบัติตามความพอใจทุกอย่าง ตามลำดับของการให้มีน้ำล้างเท้าและผ้าเช็ดเท้าเป็นต้น ตามเวลาและตามความเหมาะสมแก่คนผู้มาถึงแล้วๆ.

      :96: :96: :96: :96: :96:

     ในเวลาก่อนอาหารได้อังคาสภิกษุทั้งหลายด้วยข้าวและน้ำเป็นต้นโดยเคารพ. เธอเมื่อจะไปถิ่นอื่นจึงกล่าวกะภรรยาว่า นางผู้เจริญ เธออย่าได้ทำทานวิธีนี้ตามที่บัญญัติให้เสื่อมเสีย จงหมั่นดำรงไว้โดยเคารพ.

     ภรรยารับคำแล้ว พอสามีหลีกไปเท่านั้น ก็ตัดขาดวิธีที่บัญญัติไว้เพื่อภิกษุทั้งหลาย เป็นอันดับแรก แต่เมื่อคนเดินทางเข้าไปเพื่ออยู่อาศัย ก็แสดงศาลาที่เก่าที่ทอดทิ้งไว้หลังเรือนด้วยคำว่า พวกท่านจงอยู่ที่ศาลานี้. เมื่อคนเดินทางมาในที่นั้นเพื่อต้องการข้าวและน้ำเป็นต้น จึงกล่าวว่า จงกินคูถ ดื่มมูตร ดื่มโลหิต กินมันสมองของมารดาท่าน แล้วจึงระบุชื่อของสิ่งที่ไม่สะอาด น่าเกลียด แล้วถ่มน้ำลาย.



      สมัยต่อมา นางทำกาละแล้ว อันอานุภาพกรรมซัดไป บังเกิดในกำเนิดเปรต เสวยทุกข์อันเหมาะสมแก่วจีทุจริตของตน หวนระลึกถึงความสัมพันธ์กันในชาติก่อน มีความประสงค์จะมายังสำนักของท่านพระสารีบุตร จึงถึงประตูวิหาร.
      เทวดาผู้สิงอยู่ที่ประตูวิหารของท่านพระสารีบุตรนั้น ห้ามเข้าวิหาร.

      ได้ยินว่า นางเปรตนั้นได้เคยเป็นมารดาของพระเถระ ในชาติที่ ๕ แต่ปัจจุบันชาตินี้. เพราะฉะนั้น เธอจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดิฉันเป็นมารดาของพระผู้เป็นเจ้าสารีบุตรเถระ ในชาติที่ ๕ แต่ปัจจุบันชาติ ขอท่านจงให้ดิฉันเข้าประตู เพื่อเยี่ยมพระเถระ.
      เทวดาได้ฟังดังนั้นจึงอนุญาตให้นางเข้าไป นางครั้นเข้าไปแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่สุดที่จงกรมแสดงตนแก่พระเถระ.

      :96: :96: :96: :96:

      พระเถระครั้นได้เห็นนางเปรตนั้น เป็นผู้มีใจอันความกรุณาตักเตือนจึงถามด้วยคาถาว่า
      ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูก่อนนางผู้ซูบผอม มีแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครหรือ จึงมายืนอยู่ในที่นี้.

      นางเปรตนั้นถูกพระเถระถาม เมื่อจะให้คำตอบจึงได้กล่าวคาถา ๕ คาถาความว่า
      เมื่อก่อนดิฉันเป็นมารดาของท่าน ในชาติอื่นๆ ดิฉันเข้าถึงเปตวิสัย เพียบพร้อมไปด้วยความหิวและความกระหาย เมื่อถูกความหิวครอบงำ ย่อมกินน้ำลาย น้ำมูก เสมหะที่เขาถ่มทิ้ง และกินมันเหลวของซากศพที่เขาเผาที่เชิงตะกอน กินโลหิตของพวกหญิงที่คลอดบุตร และโลหิตของพวกบุรุษที่ถูกตัดมือ เท้าและศีรษะที่เป็นแผล กินเนื้อ เอ็นและข้อมือข้อเท้าเป็นต้นของชายหญิง. กินหนองและเลือดของปศุสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีที่เร้น ไม่มีที่อยู่อาศัย นอนบนเตียงของคนตายที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
      ลูกเอ๋ย ขอลูกจงให้ทานแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เราบ้าง ไฉนหนอแม่จึงจะพ้นจากการกินหนองและเลือด.



       ท่านพระสารีบุตรเถระได้สดับดังนั้นแล้ว ในวันที่สองจึงเรียกพระเถระ ๓ รูปมีท่านพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นต้นมา พร้อมด้วยพระเถระเหล่านั้นเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ได้ไปถึงพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพิมพิสาร.
       พระราชาเห็นพระเถระแล้ว จึงถามถึงเหตุแห่งการมาว่า ท่านขอรับ ท่านมาทำไม?
       ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงได้ทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา
       พระราชาตรัสว่า โยมรู้แล้ว แล้วจึงละพระเถระ รับสั่งให้เรียกอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการ ทรงพระบัญชาว่า เธอจงสร้างกุฎี ๔ หลังในที่นี้อันสมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำอันวิจิตรไม่ไกลแต่เมือง และในภายในพระราชวังให้แบ่งเป็น ๓ ส่วน โดยที่มีความพิเศษเพียงพอแล้วให้รับกุฎี ๔ หลัง. และพระองค์เองก็ได้เสด็จไปในที่นั้น ได้ทรงกระทำพระราชกรณียกิจที่ควรทำ.

       st11 st11 st11 st11

      เมื่อกุฎีสำเร็จแล้วจึงให้ตระเตรียมพลีกรรมทั้งหมด เข้าไปตั้งข้าวน้ำและผ้า เป็นต้น และเครื่องบริขารทุกอย่างที่สมควรแก่ภิกษุสงฆ์ที่มาจากทิศทั้ง ๔ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วมอบถวายสิ่งทั้งหมดนั้นแด่ท่านพระสารีบุตรเถระ.

      ลำดับนั้น พระเถระได้ถวายสิ่งทั้งหมดนั้นแด่ภิกษุสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง ๔ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน อุทิศแก่นางเปรตนั้น.
      นางเปรตนั้นได้อนุโมทนาส่วนบุญนั้นแล้วบังเกิดในเทวโลก เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยสิ่งที่น่าปรารถนาทุกอย่าง. ในวันต่อมาก็ได้เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ไหว้แล้วยืนอยู่.



      พระเถระสอบถามนางเปรตนั้น.
      นางเปรตนั้นได้แจ้งเหตุที่ตนเข้าถึงความเป็นเปรต และเข้าถึงความเป็นเทวดาอีก.
      ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า :-
      ท่านพระสารีบุตรเถระผู้มีจิตอนุเคราะห์ได้ฟังคำของมารดาแล้ว จึงปรึกษากับท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระ ท่านพระอนุรุทธะและ ท่านพระกัปปินะ แล้วให้สร้างกุฎี ๔ หลัง ถวายกุฎีทั้งข้าวและน้ำแด่พระสงฆ์ผู้มาจากทิศทั้ง ๔ อุทิศส่วนกุศลไปให้แก่มารดา.

      ในทันใดนั้นเอง วิบากคือ ข้าวน้ำและผ้าก็เกิดขึ้น นี้เป็นผลแห่งทักษิณา ภายหลังนางมีร่างกายบริสุทธิ์สะอาด นุ่งห่มผ้าอันมีค่า ยิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี ประดับด้วยวัตถาภรณ์อันวิจิตร เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระ

       st12 st12 st12 st12

      ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะถามนางเปรตนั้นว่า
      ดูก่อนนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ส่องสว่างไสวไปทุกทิศ สถิตอยู่ ดุจดาวประกายพรึก. ท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะกรรมอะไร อิฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้ เพราะกรรมอะไร และโภคะทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่พอใจ ย่อมบังเกิดแก่ท่าน เพราะกรรมอะไร.

      ดูก่อนนางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมภาพขอถามท่าน เมื่อท่านเป็นมนุษย์ ได้ทำบุญอะไรไว้ อนึ่ง ท่านมีอานุภาพรุ่งเรืองและมีรัศมีกายสว่างไสวไปทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร.
      ลำดับนั้น นางเปรตจึงตอบโดยนัยมีอาทิว่า ดิฉันเป็นมารดาของท่านพระสารีบุตร.

      ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
      พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้เข้าถึงพร้อมแล้ว. เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชนฉะนั้นแล.

อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ อุพพรีวรรคที่ ๒ ๒. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ จบ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=99
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=3319&Z=3362       
ขอบคุณภาพจาก
http://2g.pantip.com/
http://www.montfort.ac.th/
https://lh5.googleusercontent.com/
http://upic.me/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
"โลสกติสสเถระ" เป็นพระไม่มีบุญ มีลาภน้อย
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2015, 11:55:24 am »
0



"โลสกติสสเถระ" เป็นพระไม่มีบุญ มีลาภน้อย.
(โลสกชาดก ว่าด้วยคนที่ต้องเศร้าโศก)
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก อัตถกามวรรค

     เอกนิบาตชาดก อรรถกถาอัตถกามวรรคที่ ๕ อรรถกถาโลสกชาดกที่ ๑
     พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระโลสกติสสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "โย อตฺถกามสฺส" ดังนี้.

     ก็พระเถระผู้มีชื่อว่า โลสกะ นี้คือใคร.? (มีประวัติเป็นมาอย่างไร)
     ท่านเป็นบุตรของชาวประมงคนหนึ่ง ในแคว้นโกศล เป็นผู้ทำลายตระกูลวงศ์ของตน ไม่มีลาภ มาบวชในหมู่ภิกษุ. ได้ยินมาว่า ท่านจุติจากที่ที่ท่านเกิดแล้ว ถือปฏิสนธิในท้องของหญิงชาวประมงนางหนึ่ง ณ หมู่บ้านชาวประมงตำบลหนึ่ง ซึ่งอยู่ร่วมกันถึงพันครอบครัว ในแคว้นโกศล.

     ในวันที่ท่านถือปฏิสนธิ ชาวประมงทั้งพันครอบครัวนั้นพากันถือข่ายเที่ยวหาปลา ในลำน้ำและบ่อบึง ไม่ได้แม้แต่ปลาตัวเล็กๆ สักตัวหนึ่ง.
      และนับแต่วันนั้นมา พวกชาวประมงเหล่านั้นก็พากันเสื่อมโทรมทีเดียว.
      เมื่ออยู่ในท้องมารดานั้นเล่า บ้านชาวประมงเหล่านั้นก็ถูกไฟไหม้ถึง ๗ ครั้ง ถูกพระราชาปรับสินไหมเจ็ดครั้ง.
      โดยนัยนี้ ชาวประมงเหล่านั้นจึงถึงความลำบากโดยลำดับ.




     พวกเขาคิดกันว่า เมื่อก่อนเรื่องทำนองนี้ ไม่เคยมีแก่พวกเราเลย แต่บัดนี้ พวกเราพากันย่ำแย่ ในระหว่างพวกเราต้องมีตัวกาลกรรณีคนหนึ่ง พวกเราจงแบ่งเป็นสองพวกเถิด.
      ดังนี้แล้ว แยกกันอยู่ฝ่ายละ ๕๐๐ ครอบครัว.
      แต่นั้น มารดาบิดาของเขาอยู่กลุ่มใด กลุ่มนั้นก็แย่ กลุ่มนอกนี้เจริญ.
      พวกที่แย่นั้น ก็แยกกลุ่มกันอีก โดยแยกกันออกเป็น ๒ กลุ่มอีก แยกกันไปโดยทำนองนี้ กระทั่งตระกูล (ของเขา) นั่นแหละ เหลือโดดเดี่ยว (เพียงตระกูลเดียว).
      เขาทั้งหลายจึงรู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นกาลกรรณี ก็รุมกันโบยตีไล่ออกไป.

     ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขาเลี้ยงชีพมาโดยแร้นแค้น พอท้องแก่ก็คลอด ณ ที่แห่งหนึ่ง. ธรรมดา ท่านผู้เป็นสัตว์เกิดมาในภพสุดท้าย ใครไม่อาจทำลายได้ เพราะมีอุปนิสัยแห่งอรหัตผลรุ่งเรืองอยู่ในหทัยของท่าน เหมือนดวงประทีปภายในหม้อ ฉะนั้น.
     มารดาเลี้ยงเขามาจนถึง ในเวลาที่เขาวิ่งเที่ยวไปมาได้ ก็เอากะโล่ดินเผาใบหนึ่งใส่มือให้ พลางเสือกไส ด้วยคำว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงไปสู่เรือนหลังนั้นเถิด ดังนี้แล้วหลบหนีไป.

      จำเดิมแต่นั้นมา เขาก็อยู่อย่างเดียวดาย เที่ยวหากินไปตามประสา หลับนอน ณ ที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ปรนนิบัติร่างกาย ดูเหมือนปีศาจคลุกฝุ่นเลี้ยงชีวิตมาได้โดยลำเค็ญ.
      เขามีอายุครบ ๗ ขวบ โดยลำดับ เลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ด เหมือนกาในที่สำหรับเทน้ำล้างหม้อ ใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง.





      ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในเมืองสาวัตถี เห็นแล้วรำพึงว่า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก เป็นชาวบ้านไหนหนอ แผ่เมตตาจิตไปในเขาเพิ่มยิ่งขึ้น จึงเรียกว่า มานี่เถิด เด็กน้อย.
      เขามาไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่.
      ลำดับนั้น พระเถระถามเขาว่า เจ้าเป็นชาวบ้านไหน พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน.?
      เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมไร้ที่พึ่ง พ่อแม่ของกระผม พูดว่า เพราะกระผมทำให้ท่านต้องลำบาก จึงทิ้งกระผมหนีไป.

      พระเถระถามว่า เออ ก็เจ้าจักบวชไหมละ.?
      เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมอยากบวชนัก แต่คนกำพร้าอย่างกระผม ใครจักบวชให้.
      พระเถระกล่าวว่า เราจักบวชให้.
      เขากล่าวว่า สาธุ ท่านขอรับ โปรดอนุเคราะห์ให้กระผมบวชเถิด.


      :25: :25: :25: :25:

     พระเถระจึงให้ของเคี้ยว ของบริโภคแก่เขา แล้วพาไปวิหาร อาบน้ำให้เอง ให้บรรพชา จนอายุครบ จึงให้อุปสมบท.
     ในตอนแก่ท่านมีชื่อว่า "โลสกติสสเถระ" เป็นพระไม่มีบุญ มีลาภน้อย.

     เล่ากันว่า แม้ในคราวอสทิสทาน ท่านก็ไม่เคยได้ฉันเต็มท้อง ได้ขบฉันเพียงพอจะสืบต่อชีวิตไปได้เท่านั้น เพราะเมื่อใครใส่บาตรท่านเพียงข้าวต้มกระบวยเดียว บาตรก็ปรากฏเหมือนเต็มเสมอขอบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น คนทั้งหลายก็สำคัญว่า บาตรของภิกษุรูปนี้เต็มแล้ว เลยถวายองค์หลังๆ.
     บางอาจารย์กล่าวว่า ในเวลาถวายยาคูในบาตรของท่าน ข้าวยาคูในภาชนะของคนทั้งหลาย ก็หายไป ดังนี้ก็มี.
     แม้ในปัจจัยอื่นมีของควรเคี้ยวเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
     โดยสมัยต่อมา ท่านเจริญวิปัสสนา แม้จะดำรงในพระอรหัตต์อันเป็นผลชั้นยอด ก็ยังคงมีลาภน้อย.
     ครั้นเมื่ออายุสังขารของท่านล่วงโรยทรุดโทรมลง โดยลำดับ ก็ถึงวันเป็นที่ปรินิพพาน.





    ท่านพระธรรมเสนาบดีคำนึงอยู่ ก็รู้ถึงการปรินิพพานของท่าน จึงดำริว่า วันนี้ พระโลสกติสสเถระนี้จักปรินิพพาน ในวันนี้ เราควรให้อาหารแก่เธอจนพอ ดังนี้
      แล้วพาท่านเข้าไปสู่เมืองสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต เพราะพาท่านไปด้วย พระเถระเลยไม่ได้ แม้เพียงการยกมือไหว้ ในเมืองสาวัตถี อันมีผู้คนมากมาย.

     พระเถระจึงกล่าวว่า อาวุโส เธอจงไปนั่งคอยอยู่ที่โรงฉันเถิด ดังนี้ แล้วส่งท่านกลับ.
     พอพระเถระมาจากที่นั้นเท่านั้น พวกมนุษย์ก็พูดกันว่า พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว นิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะ ให้ฉันภัตตาหาร.
     พระเถระก็ส่งอาหารที่ได้แล้วนั้นไป โดยกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า พวกเธอจงให้ภัตรนี้แก่พระโลสกติสสเถระ.
     คนที่รับภัตร์นั้นไป ก็ลืมพระโลสกติสสเถระ พากันกินเสียเรียบ.

     จนเวลาที่พระเถระเดินไปถึงวิหาร พระโลสกติสสเถระก็ไปนมัสการพระเถระ.
     พระเถระหันกลับมายืนถามว่า อาวุโส คุณได้อาหารแล้วหรือ?
     ท่านตอบว่า ไม่ได้ดอกครับ.





     พระเถระถึงความสลดใจ ดูเวลา กาลก็ยังไม่ล่วงเลย.
     พระเถระจึงกล่าวว่า ช่างเถิดผู้มีอายุ คุณจงนั่งอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ครั้นให้พระโลสกติสสเถระนั่งรอในโรงฉันแล้ว ก็ไปสู่พระราชวังของพระเจ้าโกศล.
     พระราชารับสั่งให้รับบาตรของพระเถระ ทรงกำหนดว่า มิใช่กาลแห่งภัตร จึงรับสั่งให้ถวายของหวาน ๔ อย่างจนเต็มบาตร.

     พระเถระรับบาตรกลับไปถึง จึงเรียกพระโลสกติสสเถระว่า มาเถิด ผู้มีอายุติสสะ ฉันของหวาน ๔ อย่างนี้เถิด แล้วถือบาตรยืนอยู่.
     ท่านพระโลสกติสสเถระยำเกรงพระเถระ จึงไม่ฉัน.
     ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะท่านว่า มาเถิดน่า ท่านผู้มีอายุติสสะ ผมจะยืนถือบาตรไว้ คุณจงนั่งฉัน ถ้าผมปล่อยบาตรจากมือ บาตรต้องไม่มีอะไร.

     ลำดับนั้น ท่านพระโลสกติสสเถระ เมื่อพระธรรมเสนาบดีผู้เป็นอัครสาวกยืนถือบาตรไว้ให้ จึงนั่งฉันของหวาน ๔ อย่าง.
     ของหวาน ๔ อย่างนั้นไม่ถึงความหมดสิ้น ด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ของพระเถระ.
     พระโลสกติสสเถระฉันจนเต็มความต้องการในเวลานั้น.





     ในวันนั้นเอง ท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับในสำนักของท่าน ทรงรับสั่งให้กระทำการปลงสรีระ เก็บเอาธาตุทั้งหลายก่อพระเจดีย์บรรจุไว้.

     ในเวลานั้น ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา นั่งสนทนากันว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ท่านพระโลสกติสสเถระมีบุญน้อย มีลาภน้อย อันผู้มีบุญน้อย มีลาภน้อย เห็นปานดังนี้ บรรลุอริยธรรมได้อย่างไร.
     พระบรมศาสดาเสด็จไปธรรมสภา มีพระดำรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้ พวกเธอประชุมกันด้วยเรื่องอะไรเล่า?

     เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว.
     จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย โลสกติสสะผู้นี้ได้ประกอบกรรม คือความเป็นผู้มีลาภน้อย และความเป็นผู้ได้อริยธรรมของตน ด้วยตนเอง เนื่องด้วย ครั้งก่อน เธอกระทำอันตรายลาภของผู้อื่น จึงเป็นผู้มีลาภน้อย แต่เป็นผู้บรรลุอริยธรรมได้ด้วยผลที่บำเพ็ญวิปัสสนา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดังนี้.


      ans1 ans1 ans1 ans1

     แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
     ในอดีตกาล ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ.....ฯลฯ........
     อ่านต่อได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=41&p=1



ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=41&p=1
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎกได้ที่
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=275&Z=281
ขอบคุณภาพจาก
https://i.ytimg.com/
http://www.dmc.tv/



 ans1 ans1 ans1 ans1

ฟังเรื่อง โลสกชาดก ได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=WOhn4xXMOew



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2015, 12:00:09 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อ้างถึง
ข้อความโดย: kittisak

ask1

อยากให้ยกตัวอย่าง พระอริยะ ท่านก็ทำบุญ พร้อม เหตุผลว่า ทำไมต้องทำ ทำแล้วได้อะไร

  thk56


ans1 ans1 ans1 ans1

     ผมยกตัวอย่าง กรณีของพระสารีบุตร ๒ เรื่อง
     - กรณีทำบุญให้เปรต เป็นเพราะเคยเป็นมารดามาก่อน
     - ส่วนกรณีของ"โลสกติสสเถระ" เป็นเพราะต้องการสงเคราะห์ลูกศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนละสังขารเข้านิพพาน
     - หากจะกล่าวถึงเหตุผลต่อไป ก็คงต้องบอกว่า เพราะเคยมีวาสนาต่อกัน เคยทำบุญร่วมกันมา
     - สุดท้าย..หากจะเดากันอีกต่อไป ก็ต้องบอกว่า ต้องการทำให้เป็นตัวอย่างต่ออริยชนรุ่นหลัง

      ส่วนที่ถามว่า ท่านทำแล้วได้อะไร.?
      ตอบว่า ไม่ได้อะไร การกระทำใดๆของพระอรหันต์เป็น "มหากิริยาจิต" ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล ไม่มีผลเป็นวิบาก ภพเบื้องหน้าไม่มี


       ในความเป็นจริงแล้ว คงไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงของพระสารีบุตร คนที่อ่านใจของพระสารีบุตรได้มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้น แม้แต่พระโมคคัลลานะก็อ่านใจของพระสารีบุตรไม่ได้ เรื่องอำนาจของเจโตปริยญาณนั้นเป็นไปตามระดับของบารมีธรรม พระสารีบุตรสามารถอ่านใจทุกคนได้ ยกเว้นพระพุทธเจ้าเท่านั้น
       กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้มีบารมีธรรมน้อยอ่านใจผู้มีบารมีธรรมสูงกว่าไม่ได้
       เรื่องเจโตปริยญาณนี้ ผมจะหาโอกาสนำเสนอในโอกาสต่อไป


        :welcome: :49: :25: :s_good:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2015, 12:32:44 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kittisak

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +42/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 653
  • พุทธัง อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
0
 st11 st12 st12
 ช่างน่าประหลาดใจ จริง ๆ ที่ได้คำตอบ อย่างไวมากและ มีเนื้อหา อ่านกันเป็นชั่วโมง เลย

 สำหรับเรื่องนี้ยังอ่านไม่จบ แต่ ขอขอบคุณไว้ก่อน
 ดีใจที่ ที่ห้องนี้ มีบัณฑิต ดูแล อยู่


  like1 like1 like1
บันทึกการเข้า
ความสุขอันเกิดจากการแบ่งปัน ดีกว่าความทุกข์ที่มีแต่จะเอา