ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระโพธิสัตว์ คือใคร.? และจะทำอย่างไร ให้เรามี "หัวใจโพธิสัตว์"  (อ่าน 588 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




พระโพธิสัตว์ คือใคร.? และจะทำอย่างไร ให้เรามี "หัวใจโพธิสัตว์"

ในคอร์สภาวนาที่ไร่เชิญตะวันนี้ เรามีบทสวดมนต์อยู่บทหนึ่ง ซึ่งจะสวดกันทุกวันทั้งเช้าและเย็นนั่นก็คือบทบารมี 30 ทัศบทบารมี 30 ทัศคือคุณสมบัติของ พระโพธิสัตว์ ตามคติเถรวาทซึ่งรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ศรีลังการวมทั้งบังกลาเทศ และตอนนี้ก็ถูกรื้อฟื้นคืนกลับมาใหม่ในประเทศอินเดีย

ประเทศในแถบที่เราเรียกกันว่าสุวรรณภูมิหรืออินโดจีน เป็นประเทศที่โอบกอดเอาพระพุทธศาสนาไว้หลังจากที่สูญหายไปจากผืนแผ่นดินมาตุภูมิ คือประเทศอินเดีย พระพุทธศาสนาที่รุ่งเรืองอยู่ในแถบเอเชียอาคเนย์ รวมทั้งประเทศไทยเรานี้ เป็นพระพุทธศาสนาสายเถรวาท และในคติแบบเถรวาท ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องผ่านการบำเพ็ญบารมี ซึ่งช่วงที่บำเพ็ญบารมีนั้นเราเรียกว่าเป็นพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์ แปลว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการตรัสรู้ ผู้ที่ตั้งปณิธานว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันหนึ่งข้างหน้า และทันทีที่ตั้งปณิธานและได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง จากนั้นเป็นต้นไปจนกระทั่งถึงนาทีก่อนตรัสรู้ เราเรียกท่านว่า “พระโพธิสัตว์”


@@@@@@

เมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ก็จะต้องมีจรรยาของพระโพธิสัตว์ อะไรคือจรรยาของพระโพธิสัตว์ คำตอบก็คือ บารมี 10 ทัศนั่นเอง

    บารมี 10 ทัศหรือบารมี 10 ประการนั้น แต่ละประการจะต้องบำเพ็ญ 3 ระดับ คือ
    ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูงสุด เช่น ทานบารมี ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมี

    - ทานบารมีหรือบารมีขั้นต้น เช่น ให้ข้าวให้ของ ให้เงินให้ทอง ให้เสื้อผ้า ให้ข้าวปลาอาหาร 
    - ทานอุปบารมี เช่น ให้อวัยวะ บริจาคดวงตา บริจาคเลือด บริจาคไตอุทิศร่างกายหลังจากตัวเองล่วงลับดับขันธ์
    - ทานปรมัตถบารมีเป็นบารมีขั้นอุกฤษฏ์หรือขั้นสูงสุด เช่น ให้ชีวิตเป็นทาน ได้แก่การยกชีวิตตัวเองให้เป็นทานเพื่อความอยู่รอดของคนอื่น ซึ่งทำได้ยากมาก เพราะต้องวางชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน

ฉะนั้น ในทุกภพทุกชาติที่พระโพธิสัตว์เสวยชาตินั้น ท่านก็จะบำเพ็ญบารมีเหล่านี้ จึงได้เห็นบางภพบางชาติที่ท่านอุทิศชีวิตของตัวเองเพื่อให้ผู้ที่ยังเหลือมีชีวิตรอด

@@@@@@

อาตมภาพขออธิบายเรื่องพระโพธิสัตว์ผ่านนิทานเรื่องหนึ่ง ดังนี้

พระชาติหนึ่งได้เสวยพระชาติเป็นพญาวานร ณ ที่แห่งนี้มีต้นมะม่วงอยู่ต้นหนึ่งในปีหนึ่งมะม่วงจะสุกหนึ่งครั้ง พญาวานรก็พาหมู่คณะขึ้นไปเด็ดมากิน อยู่มาวันหนึ่ง มะม่วงผลหนึ่งหลุดตกลงไปในลำธาร ไหลละล่องท่องน้ำไปจนถึงปลายน้ำ พระราชาสรงสนานอยู่กับข้าราชบริพาร ทรงพบเห็นมะม่วงจึงหยิบมาเสวยทันทีที่พระชิวหากระทบรสชาติของมะม่วงก็ถึงกับทรงรำพึงออกมาว่า “ทำไมช่างโอชารสถึงเพียงนี้” จึงมีรับสั่งให้เสนาอำมาตย์ข้าราชบริพารส่งจารบุรุษตามน้ำขึ้นไปจนถึงถิ่นของพญาวานร เมื่อเจอแล้วทรงยกกองทัพยาตราขึ้นไป เพื่อจะไปดูว่าต้มะม่วงที่มีผลแสนโอชารสนั้นอยู่ตรงไหน

เมื่อขึ้นไปถึง เหล่าวานรพากันแตกตื่นตกใจหนีไม่ทัน กองทัพของพระราชาแวดล้อมต้นมะม่วงไว้ เหล่านายทหารง้างคันศรปล่อยลูกธนูหลุดจากแล่งพุ่งไปทิ่มแทงวานรตายไปกว่าครึ่ง พระโพธิสัตว์ในพระชาตินั้นตัดสินใจบำเพ็ญปรมัตถบารมีให้ชีวิตเป็นทานเห็นว่า ถ้าปล่อยให้หนีกันตามสัญชาตญาณคงจะตายกันทั้งหมดเป็นแน่ พระโพธิสัตว์จึงทรงตัดสินใจใช้พละกำลังของตัวเองกระโดดข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อจะขึงเถาวัลย์กับคาคบไม้ของฝั่งนั้น แต่ปรากฏว่าเถาวัลย์สั้นขึงไม่ถึง เหลืออีกประมาณสักหนึ่งช่วงตัวตีว่าหนึ่งวา 

พญาวานรก็เลยเอาตัวเองทำเป็นเชือกหนึ่งช่วงตัวนั้น โดยใช้ขาข้างหนึ่งเกาะกิ่งไม้ฝั่งโน้นไว้ และใช้มืออีกสองข้างขึงเชือกดึงจนตึงจนสุดศักยภาพของเชือกเส้นนั้น แล้วก็ร้องเรียกให้บริษัทบริวารห้อยโหนผ่านเส้นเชือกนั้นข้ามแม่น้ำจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง ทรงอุทิศตนด้วยการวางชีวิตเป็นเดิมพัน ให้บริษัทบริวารเหยียบตัวเองแทนเส้นเชือก


@@@@@@

ระหว่างนั้นพระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นความเสียสละของพระโพธิสัตว์ เกิดธรรมสังเวชอันใหญ่หลวงว่า “เราเป็นถึงพระราชาก็ยังไม่มีภาวะผู้นำถึงขนาดนี้ ดูพญาวานรตัวนี้สิ ยังมีภาวะผู้นำสูงกว่าเราซึ่งเป็นพระราชามหากษัตริย์เสียอีก” พระราชาทรงสลดพระทัยเหลือประมาณ จึงมีรับสั่งให้ข้าราชบริพารหยุดประหัตประหารพญาวานร และนี่ก็คือพระชาติหนึ่งที่พระโพธิสัตว์อุทิศชีวิตเป็นทานเรียกว่า บำเพ็ญปรมัตถบารมี

ฉะนั้น ที่เรามาสวดมนต์กันทุกเช้าทุกเย็นนี้ ถ้าเราทำความเข้าใจให้ดีและปฏิบัติให้เป็น เราทุกคนก็กำลังเดินอยู่บนหนทางของพระโพธิสัตว์แล้ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติบารมีครบทั้ง 10 ประการก็ได้ ปฏิบัติเพียงทานข้อเดียว ก็ทำให้ได้รับอานิสงส์กว้างไกลไพศาล

ทานในเบื้องต้นเป็นการกำจัดความตระหนี่ ในเบื้องกลางจะช่วยยกระดับคุณภาพจิต และในเบื้องสูงทำให้เราลอยพ้นจากการเห็นแก่ตัว การให้โดยไม่มีอัตตาของตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องในทุกมิตินับเป็นทานบารมีขั้นสูง เพราะเป็นการให้โดยไม่หวังว่าจะได้รับอะไรตอบแทน ดังหนึ่งต้นจันทน์หรือไม้จันทน์หอมนั่นเอง

@@@@@@

ไม้จันทน์หอมเป็นไม้มงคล ปราชญ์ท่านหนึ่งเขียนว่า อันธรรมดาของไม้จันทน์-หอมนั้น เมื่อยังยืนต้นเป็นไม้ใหญ่ไพรระหงก็ให้ร่มให้เงาแก่มนุษย์และนกหนูหูปีกที่ได้บินมาพึ่งพาอาศัย ครั้นใครคนใดคนหนึ่งที่ได้มาพึ่งพาร่มเงานั้นเกิดอึดอัดขัดเคืองมีความโกรธต่อต้นจันทน์ ยกขวานขึ้นมาจามสองสามฉับ แล้วแบกขวานหนีไปแทนที่ต้นจันทน์จะโกรธเคือง ก็ยังอุตส่าห์ให้กลิ่นหอมติดขวานไปอีก…นี่ละคือจรรยาของพระโพธิสัตว์

นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาท่านหนึ่งนิยามจรรยาของพระโพธิสัตว์เอาไว้ง่ายๆว่า อัชฌาศัยที่ทนไม่ได้เพราะกรุณา คือ ลักษณะของมหาบุรุษ ใครก็ตามที่เห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยากแล้วอดรนทนไม่ได้ ต้องลุขึ้นมาหาทางช่วยเหลือเกื้อกูลโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง คนคนนั้นเราเรียกว่ามีอัชฌาศัยของมหาบุรุษ มหาบุรุษก็คือคนที่เป็นมหาษัทมหาษัทก็คือผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์

เราทุกคนสามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้ในชีวิตนี้ ขอเพียงเรามีจิตวิญญาณของการเป็นพระโพธิสัตว์ นั่นคือ เห็นคนอื่นตกทุกข์ได้ยากแล้วอดรนทนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาช่วยเหลือตามแต่ศักยภาพของตัวเองจะทำได้ ที่เรามาสวดมนต์กันทุกเช้าทุกเย็นนี้ ถ้าเราทำความเข้าใจให้ดีและปฏิบัติให้เป็นเราทุกคนก็กำลังเดินอยู่บนหนทางของพระโพธิสัตว์แล้ว



เรื่อง : ว.วชิรเมธี
ขอบคุณเว็บไซต์ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/10416.html#cxrecs_s
By issara 15 December 2017
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ