ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 296 297 [298] 299 300 ... 708
11881  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อินโดนีเซีย เฆี่ยนคู่รักนักศึกษา - เหตุใกล้ชิดกันมากเกินไป เมื่อ: ธันวาคม 31, 2015, 09:19:50 am


อินโดนีเซีย เฆี่ยนคู่รักนักศึกษา - เหตุใกล้ชิดกันมากเกินไป

วันที่ 30 ธ.ค. เดลี่เมล์รายงานกระแสวิพากษ์วิจารณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในอินโดนีเซีย หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองบันดาร์อาเจะห์ เขตปกครองตนเองอาเจะห์ ลงโทษน.ส.นูร์ เอลิตา นักศึกษาสาววัย 20 ปี และแฟนหนุ่มเพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบัน วัย 23 ปี โดยใช้ไม้เรียวด้ามยาวฟาดอย่างแรงที่หลัง 5 ครั้งต่อหน้าสาธารณชนเพื่อให้อับอาย เพียงเพราะทั้งคู่แสดงความรัก ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมายชารีอะห์ จุดชนวนให้กลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่พอใจ และประณามการกระทำของทางการท้องถิ่น

เหตุดังกล่าวเกิดดขึ้นเมื่อ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา น.ส.นูร์ และแฟนหนุ่ม ถูกนำตัวไปยังลานหน้ามัสยิดไบตูร์ราฮิมเพื่อรับโทษ ระหว่างเจ้าหน้าที่ใช้ไม้เฆี่ยนน.ส.นูร์ ประชาชนซึ่งมุงดูอยู่ต่างส่งเสียงเชียร์ และถ่ายรูปอย่างสนุกสนานโดยไม่มีท่าทีเห็นใจหญิงสาวที่กำลังเจ็บปวด กระทั่งล้มฟุบลงกับพื้นหลังถุกฟาดครบ 5 ครั้ง ก่อนเจ้าหน้าที่หญิงในชุดเครื่องแบบจะนำตัวส่งโรงพยาบาล


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1451471372
11882  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮา ลูกหลานจัดงานศพ แจกหวยเกือบพันใบให้แขกร่วมงานลุ้นโชค เหตุพ่อชอบเล่น เมื่อ: ธันวาคม 31, 2015, 09:17:40 am


ฮือฮา ลูกหลานจัดงานศพ แจกหวยเกือบพันใบให้แขกร่วมงานลุ้นโชค เหตุพ่อชอบเล่น

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ที่เมรุวัดสระวารี บ้านพลจลก หมู่ 8 ต.มะค่า อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 ธันวาคม นายบุญถิ่น  ขอสินกลาง ลูกจ้างประจำ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ ฐานะลูกชายคนโต พร้อมพี่น้อง บุตรหลานและญาติๆ กำลังจัดเตรียมสิ่งของชำร่วยโดยเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 800 คู่ รวมทั้งพัดลมตั้งโต๊ะ หม้อหุงข้าว เครื่องนุ่งห่ม ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม และเครื่องใช้ในครัวเรือนกว่า 300 ชิ้น เพื่อแจกให้กับผู้มาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ (กรณีพิเศษ) นายสวัสดิ์  ขอสินกลาง อายุ 84 ปี อดีตกำนันตำบลมะค่า อ.โนนสูง ผู้เป็นพ่อ ซึ่งเสียชีวิตด้วยอาการติดเชื้อที่ปอดเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่ผ่านมา กำหนดเวลา 16.00 น.



นายบุญถิ่น ฯ เปิดเผยเหตุผลที่แจกสลาก ฯ ให้กับบรรดาแขกที่มาร่วมงานศพ เนื่องจากนายสวัสดิ์ ฯ ผู้ล่วงลับ ชอบเสี่ยงโชคซื้อสลาก ฯ เป็นประจำทุกงวด ๆ ละหลายพันบาท หลังลาออกจากตำแหน่งกำนัน ฯ ได้มาทำหน้าที่เป็นกรรมการสถานศึกษาและกรรมการวัดในตำบล

หลังพ่อเสียชีวิต บรรดาลูกๆและญาติๆ ได้หารือเกี่ยวกับของชำร่วย เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมงานศพได้รำลึกถึงคุณงามความดีของนายสวัสดิ์ ฯ จึงแจกสลาก ฯ โดยภายในถุงใส่ของชำร่วย ได้ทำสัญลักษณ์ให้กับผู้โชคดี ซึ่งจะได้รับสิ่งของอื่นๆ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน พวกเราตั้งใจจะซื้อสลาก ฯ 1 พันคู่ ตามที่คาดจะมีแขกมาร่วมงานนับพันคน แต่ติดขัดกับการจัดงานศพ จึงไปตระเวนหาซื้อทั่วเมืองได้เพียง 800 คู่ แม้นจะถึงเวลาออกสลาก ฯ แต่จะไม่ใครทราบในถุงใส่ของชำร่วย ซึ่งมีสลาก ฯ อยู่ด้านใน เป็นเลขอะไรบ้าง การแจกสลาก ฯ ไม่ได้หวังให้โด่งดัง และให้งมงายกับการเสี่ยงโชคด้วยสลาก ฯ ซึ่งถือเป็นการแจกทานและอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณพ่อ 





ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1451462943
11883  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เชิญพระอัฐิสังฆราช ประดิษฐาน วัดญาณฯ ชลบุรี เมื่อ: ธันวาคม 31, 2015, 09:13:11 am


เชิญพระอัฐิสังฆราช ประดิษฐาน วัดญาณฯ ชลบุรี

ในหลวง ทรงพระบรมราชานุญาตให้วัดบวรนิเวศวิหาร อัญเชิญพระอัฐิ สมเด็จพระสังฆราช ประดิษฐานยังวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรีแล้ว พร้อมเปิดให้ประชาชนได้สักการะตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่นี้

วันนี้( 30 ธ.ค.) เวลา 13.00น.ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้วัดบวรนิเวศวิหารอัญเชิญพระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายกไปประดิษฐานยังวัดญาณสังวรารามจังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นวัดที่พระองค์ทรงสร้างถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรีโดยสมเด็จพระวันรัต(จุนท์ พรหมคุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารเป็นประธานในพิธี ทอดผ้าไตร10 ไตร พระสงฆ์10 รูปสดับปกรณ์

หลังจากนั้นเจ้าพนักงานอัญเชิญพระเจดีย์พระอัฐิสู่ราชยานเชิญพระเจดีย์พระอัฐิเข้าสู่รถยนต์พระประเทียบออกจากวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อไปยังมณฑลพิธีหน้าศาลหลักเมืองจังหวัดชลบุรี ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดข้าราชการคณะสงฆ์และชาวจังหวัดชลบุรีเฝ้ารับพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช สำหรับพระเจดีย์พระอัฐิที่อัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดญาณสังวรารามจังหวัดชลบุรี นั้นสร้างด้วยหินอ่อนจากต่างประเทศสีขาวซึ่งเมื่อประกอบพิธีประดิษฐานพระอัฐิแล้วทางวัดจะเปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้าสักการะพระอัฐิของสมเด็จพระสังฆราชตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/370185
11884  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แห่เข้าวัดพระธาตุดอยสะเก็ด ร่วมพิธีสืบชะตา เสริมบารมีปีใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 31, 2015, 09:10:04 am


แห่เข้าวัดพระธาตุดอยสะเก็ด ร่วมพิธีสืบชะตา เสริมบารมีปีใหม่

วันที่ 30 ธันวาคม ที่วัดพระธาตุดอยสะเก็ด พระอารามหลวง ต.เชิงดอย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มีประชาชนและนักท่องเที่ยว เข้าทำบุญและทำพิธีสืบชะตาหลวงตามแบบล้านนา พร้อมสะเดาะเคราะห์ เสริมบารมี เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่  โดยมีพระโพธิรังษี เจ้าคณะอำเภอดอยสะเก็ด และเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสะเก็ด พร้อมพระสงฆ์ 9 รูปทำพิธี

พิธีดังกล่าว พระโพธิรังษี ได้จุดเทียนใส่ลงบาตรน้ำมนต์ พร้อมพรมน้ำมนต์ ผูกข้อมือ และให้พรแก่ผู้มาร่วมงาน เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนไปกราบไหว้พระเจดีย์ และรอยพระพุทธบาท อายุกว่า 1,300 ปี บนดอยรังษี ห่างจากวัด 500 เมตร  ซึ่งนักท่องเที่ยวบางราย ได้บูชาสังฆทานที่ทางวัดจัดไว้ เพื่อถวายพระสงฆ์ ชุดละ 49 บาท และบูชาวัตถุมงคลเป็นที่ระลึก



พระโพธิรังษี กล่าวว่า ช่วงปีใหม่ทางวัดมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ข้ามปี 2558-2559 มีพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ สวดชยันโต พระคาถาชินบัญชร เจริญภาวนา พร้อมตักบาตรทำบุญในวันขึ้นปีใหม่ เพื่อความเป็นสิริมงคล เสริมบารมี พร้อมอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้ว ช่วงกลางคืนมีโรงทานเลี้ยงซึ่งทางวัดจัดเตรียมสถานที่รองรับผู้มาร่วมงาน 2,000-3,000 คนแล้ว หากไม่สะดวกมาที่วัด ก็ไปทำบุญและสวดมนต์ที่วัดใกล้บ้านได้


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1451457415
11885  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โชว์พระปรางค์วัดอรุณ ชาวโลกสวดมนต์ข้ามปี เมื่อ: ธันวาคม 31, 2015, 09:07:05 am


โชว์พระปรางค์วัดอรุณ ชาวโลกสวดมนต์ข้ามปี

วัดอรุณฯชวนชาวพุทธสวดมนต์ข้ามปี น้อมนำหลักธรรมดำเนินชีวิต ขณะที่ททท.จัดแสง สี เสียง ถ่ายทอดความงดงามพระปรางค์วัดอรุณฯ สัญลักษณ์ประเทศไทยอวดสายตาชาวโลก ส่วนกรมศิลปากร ส่งวิศวกรตรวจพระปรางค์ยัน จุดพลุ จัดแสง สี เสียง ไม่มีผลกระทบต่อพระปรางค์ พร้อมวางมาตรการดูแลโบราณสถานแล้ว

วันนี้(30 ธ. ค.) พระศากยปุตติยวงศ์( ต่อศักดิ์สุนทรวาที) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามกล่าวว่าในปีนี้วัดอรุณราชวรารามร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดสวดมนต์ข้ามปี 2558 สู่ปี2559 เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมีสติในการดำเนินชีวิต ซึ่งการสวดมนต์ข้ามปีในครั้งนี้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย( ททท.) ได้ใช้พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามเป็นฉากหลังถ่ายทอดบรรยากาศการสวดมนต์ข้ามปีเน้นชูภาพลักษณ์ความเป็นไทยวิถีเมืองพุทธให้ชาวต่างชาติได้เห็นบรรยากาศความงดงามของประเทศไทย  โดยจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกดังนั้นทางวัดอรุณราชวรารามขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนมาสวดมนต์ข้ามปีโดยทางวัดได้เตรียมพระสีวลีจำนวน 30,000 องค์แจกให้แก่พุทธศาสนิกชน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีสวดมนต์ข้ามปีตั้งแต่วันที่ 1-4 ธ. ค. ด้วย


 :25: :25: :25: :25:

นอกจากนี้ในคืนสวดมนต์ข้ามปีทางองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ( ขสมก.) ยังได้จัดรถเมล์ฟรีบริการรับส่งมายังวัดอรุณราชวรารามและบริเวณโดยรอบจนถึงช่วงเวลา02.00 น. ในการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนอีกด้วย

    “มีหลายฝ่ายกังวลว่าทางททท. มาใช้พระปรางค์วัดอรุณจัดแสงสี เสียง การละเล่นแบบไทยมีการจุดพลุจะกระทบต่อโบราณสถานนั้นอาตมาทราบว่า ททท. ได้วางระบบความปลอดภัยรวมถึงการจุดพลุที่เสียงไม่ดังมากผสมผสานแสงสีเสียงช่วยโดยจะมีการจุดพลุบริเวณกลางแม่น้ำเจ้าพระยาห่างจากพระปรางค์ประมาณ200 เมตรซึ่งหลังจากมี แสง สี เสียงเสร็จแล้ว ในช่วงเวลา 22.30 น. จะเข้าสู่บรรยากาศแห่งสงบด้วยการเริ่มสวดมนต์ข้ามปี
    อย่างไรก็ตาม วัดได้หารือกับกรมศิลปากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางมาตรการดูแลความปลอดภัยของพระปรางค์ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติไว้แล้ว”
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามกล่าว

 st12 st12 st12 st12

นายอนันต์ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวว่า จากการหารือร่วมกับททท. กรมศิลปากรและททท. ได้เตรียมมาตราการเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพระปรางค์วัดอรุณไว้แล้วโดยกรมศิลปากรได้ส่งเจ้าหน้าที่ด้านวิศวสถาปัตยธรรมเข้าไปตรวจสอบวิศวกรรมโครงสร้างของพระปรางค์วัดอรุณก่อนที่จะมีการจุดพุล แสงสี เสียง เพื่อนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่บริเวณพระปรางค์วัดอรุณแล้วเชื่อว่าไม่น่ามีผลกระทบก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์พระปรางค์ได้แต่ทั้งนี้หลังเสร็จงานกรมศิลปากรจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในเชิงโครงสร้างอีกครั้งโดยเฉพาะในส่วนยอดของพระปรางค์


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/370165
11886  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จัดสวดมนต์อาเซียนครั้งแรก จับคู่ 14 จังหวัดของไทยกับ ปท.เพื่อนบ้าน′เขมร-พม่า-ลาว เมื่อ: ธันวาคม 31, 2015, 09:01:04 am


วธ.จัดสวดมนต์อาเซียนครั้งแรก จับคู่ 14 จังหวัดของไทยกับ ปท.เพื่อนบ้าน′เขมร-พม่า-ลาว′

นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ภายใต้โครงการส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่ วิถีพุทธ โดยกรมการศาสนา (ศน.) จัดทั้งในส่วนกลาง และภูมิภาค ในส่วนกลางจัดในวัดต่างๆ อาทิ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร วัดยานนาวา วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นต้น ถือว่าเป็นปีแรกที่ ศน.ขยายกิจกรรมดังกล่าวไปยังจังหวัดที่ติดชายแดนทั่วประเทศ โดยจัดกิจกรรม “สวดมนต์อาเซียน” เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านภายใต้ร่มประเพณีวัฒนธรรมในมิติทางศาสนา

 :25: :25: :25: :25:

นายวีระกล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมสวดมนต์อาเซียนจัดทั้งหมด 14 จังหวัด ได้แก่
1.จ.แม่ฮ่องสอน ร่วมกับเมืองดอยก่อ รัฐกะยา พม่า
2.จ.เชียงราย กับแขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
3.จ.ตาก กับ จ.เมียวดี พม่า
4.จ.เลย กับแขวงไชยะบุรี สปป.ลาว
5.จ.หนองคาย กับนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
6.จ.บึงกาฬ ประเทศไทย กับแขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว
7.จ.มุกดาหาร กับสะหวันนะเขต สปป.ลาว
8.จ.นครพนม กับแขวงคำม่วน สปป.ลาว
9.จ.อุบลราชธานี กับแขวงจำปาสัก สปป.ลาว
10.จ.ศรีสะเกษ กับ จ.อุดรมีชัย กัมพูชา
11.จ.สระแก้ว กับ จ.บันเตียเมียนเจย กัมพูชา
12.จ.สุรินทร์ กับ จ.อุดรมีชัย กัมพูชา
13.จ.ระนอง กับ จ.เกาะสอง พม่า และ
14.จ.สงขลา กับประเทศเพื่อนบ้านสมาชิกอาเซียน มาเลเซีย พม่า และกัมพูชา

ถือว่าการจัดกิจกรรมสวดมนต์อาเซียน นอกจากส่งเสริม และสืบทอดพระพุทธศาสนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยังสานสัมพันธ์ และกระชับสัมพันธ์กับสมาชิกอาเซียนด้วยมิติศาสนา ในการรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในอนาคตด้วย


ขอบคุณข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1451467915
11887  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เชียงราย พุทธศาสนิกชน 2 แผ่นดิน เตรียมแห่ข้ามโขง ร่วมสวดมนต์ข้ามปี เมื่อ: ธันวาคม 31, 2015, 08:33:42 am

ภาพจาก วัดพระธาตุผาเงา

เชียงราย พุทธศาสนิกชน 2 แผ่นดิน เตรียมแห่ข้ามโขง ร่วมสวดมนต์ข้ามปี

พุทธศาสนิกชน 2 แผ่นดิน เตรียมแห่ข้ามน้ำโขง ร่วมสวดมนต์ข้ามปี วัดพระธาตุผาเงา เชียงราย วันที่ 31 ธ.ค. 58-1 ม.ค. 59 เพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดทั้งปี

วันที่ 29 ธ.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะอำเภอเชียงแสน เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เผยว่า ทางวัดพระธาตุผาเงา จัดสวดมนต์ข้ามปี ภายใต้แนวคิดที่ว่า สวดมนต์ข้ามปี ชีวีสดใส ผาเงาร่วมใจ เทิดไท้ราชันย์


พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะอำเภอเชียงแสน และเจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา อ.เชียงแสน เชียงราย
จัดสวดมนต์ข้ามปี ภายใต้แนวคิด"สวดมนต์ข้ามปี ชีวีสดใส ผาเงาร่วมใจ เทิดไท้ราชันย์"

พระพุทธิญาณมุนี กล่าวว่า ในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2559 ทางวัดพระธาตุผาเงา จัดสวดมนต์ข้ามปี 2 ฝั่งโขง ซึ่งในวันที่ 31 ธันวาคม จะมีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทย ชาวลาว และนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาร่วมสวดมนต์ข้ามปี รับปีใหม่กันอย่างคึกคัก โดยมีพี่น้องชาวลาวจะข้ามแม่น้ำโขงมา ตั้งแต่เย็น วันที่ 31 ธันวาคม 2558 เพื่อมาร่วมสวดนพเคราะห์ ไปจนถึงเจริญพระพุทธมนต์รับปีใหม่ รุ่งเช้าวันที่ 1 มกราคม 2559 จะทำพิธีสืบชะตาภายในพระอุโบสถให้กับพุทธศาสนิกชน และร่วมทำบุญตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งทางวัดได้จัดตั้งเต็นท์เตรียมไว้นอกพระอุโบสถไว้ให้ชาวพุทธ และนักท่องเที่ยว ที่จะมาร่วมทำบุญได้นั่งสวดมนต์ข้ามปี เพราะทางวัดได้รับการติดต่อมาว่า จะมีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยว อำเภอเชียงแสน ในวันหยุดรับปีใหม่ จะมาทำบุญสวดมนต์ และเข้าพิธีสืบชะตาต่ออายุ เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตรับปีใหม่ ที่วัดพระธาตุผาเงา กันอย่างมาก

องค์พระสยามภูมิพิทักษ์เดชเทวาธิราช

พระพุทธิญาณมุนี กล่าวอีกว่า การสวดมนต์ข้ามปี จะเริ่มในคืนที่ 31 ธันวาคม เพราะช่วงเวลาดี ก็คือ ช่วงเวลาของศักราชใหม่ จึงถือได้ว่า เป็นสิริมงคลต่อการเริ่มศักราชใหม่ และถือว่า เป็นสิริมงคลไปตลอดทั้งปีอีกด้วย การสวดมนต์ข้ามปี ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม และเป็นสิ่งที่ควรปลูกฝังให้กับลูกหลานให้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพราะการสวดมนต์จะทำให้เจริญสติ ทำให้จิตเกิดสมาธิ จิตใจสงบเป็นสุข ด้วยเหตุนี้เอง การสวดมนต์ข้ามปีในวันขึ้นปีใหม่ ยังถือเป็นการทำความดีส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่อีกด้วย เพื่อความเป็นสิริมงคล แก่ผู้เข้าร่วมพิธี และแผ่กุศลแก่ชาติบ้านเมือง โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนเกิดความรักสามัคคีภายในชาติ

พุทธศาสนิกชน 1 ฝั่งลำโขง เตรียมมาร่วม สวดมนต์ข้ามปี เพื่อความเป็นสิริมงคล

นอกจากนี้ ภายในวัดพระธาตุผาเงา ยังมีแหล่งเรียนรู้ศึกษาพระธรรมวินัย เช่น หอพระไตรปิฎกนานาชาติ ตั้งอยู่กลางสระน้ำ เป็นที่เก็บรวบรวมพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาถึง 9 ประเทศ เมื่อพุทธศาสนิกชนมาสวดมนต์ข้ามปี ทำบุญสืบชะตาต่ออายุให้กับตนเองแล้ว ยังขึ้นไปกราบขอพรจากองค์พระสยามภูมิพิทักษ์เดชเทวาธิราช ซึ่งประดิษฐานบนยอดเขา อยู่ด้านล่างของพระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ และองค์พระสยามภูมิพิทักษ์ฯ เป็นองค์เดียวที่ตั้งอยู่เหนือสุดในแผ่นดินสยาม ที่จังหวัดเชียงราย และเป็นองค์พระสยามภูมิพิทักษ์ฯ ที่ส่วนราชการ พ่อค้า ประชาชน ได้ร่วมกันจัดสร้างขึ้น เพื่อให้เกิดความสงบสุขกับประชาชนและแผ่นดินไทย ซึ่งมี พลโทสมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธาน ทำพิธีสมโภช และเปิดองค์พระสยามภูมิพิทักษ์ฯ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ตรงที่ประดิษฐานองค์พระสยามภูมิฯ บริเวณนี้จะมองเห็นแม่น้ำโขงที่สวยงาม และดินแดนของ 3 ประเทศ ทั้งไทย ลาว และเมียนมา.

วัดพระธาตุผาเงา ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/556054
11888  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มส.มีมติทุกวัดที่จัดสวดมนต์ข้ามปี ให้เปิดโบสถ์-วิหาร ตลอด 24 ชม. เมื่อ: ธันวาคม 31, 2015, 08:28:50 am



มส.มีมติทุกวัดที่จัดสวดมนต์ข้ามปี ให้เปิดโบสถ์-วิหาร ตลอด 24 ชม.

มหาเถรสมาคม มีมติทุกวัดที่จัดสวดมนต์ข้ามปีให้เปิดโบสถ์-วิหาร ตลอด 24 ชม. วัดอรุณฯ จับมือก.ท่องเที่ยวฯ วธ. ททท.ถ่ายทอดสดสวดมนต์ข้ามปีไปทั่วโลก ส่วน วัดสระเกศฯ และ วัดเทวราชกุญชรฯ เตรียมพร้อมแจกวัตถุมงคลเสริมมงคลปีใหม่ 2559...

เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2558 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มอบโอวาทในการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีว่า "สวดมนต์ข้ามปี หลีกหนีภัยพาล ตั้งใจทำงาน สมานไมตรี" เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ เนื่องในการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ประจำปี 2558 ส่วนการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในคืนวันที่ 31 ธ.ค.2558 ถึงรุ่งเช้าวันที่ 1 ม.ค.2559 ตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศนั้น


 :96: :96: :96: :96: :96: :96:

น.ส.ประนอม คงพิกุล รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า มหาเถรสมาคม (มส.) มีมติให้วัดไทยทั่วโลกจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี โดยส่วนกลางจะมีศูนย์กลางที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พร้อมทั้งได้คัดเลือกวัดที่จะเป็นศูนย์กลางจัดกิจกรรมในแต่ละพื้นที่ของกรุงเทพฯ ประกอบด้วยวัดอรุณราชวรารามฯ วัดไตรมิตรวิทยารามฯ วัดสัมพันธวงศาราม วัดเทพศิรินทราวาส วัดพิชยญาติการาม วัดยานนาวา วัดประยุรวงศาวาส และวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ส่วนภูมิภาคให้เจ้าคณะจังหวัดคัดเลือกวัดที่จะเป็นศูนย์กลางจัดกิจกรรม ขณะที่วัดไทยในต่างประเทศทางกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศต่างๆ ให้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในวัดไทยแต่ละประเทศด้วย ที่สำคัญปีนี้เป็นปีแรกที่มหาเถรฯ มีมติให้วัดที่จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีเปิดโบสถ์ วิหาร ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด เพื่อความเป็นสิริมงคลรับปีใหม่ด้วย

พระศากยปุตติยวงศ์ (ต่อศักดิ์ สุนทรวาที) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณฯ กล่าวว่า ปีนี้วัดอรุณฯ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดสวดมนต์ข้ามปี 2558 สู่ปี 2559 เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมีสติในการดำเนินชีวิต ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ใช้พระปรางค์วัดอรุณฯ เป็นฉากหลังถ่ายทอดบรรยากาศการสวดมนต์ข้ามปี เน้นภาพลักษณ์ความเป็นไทย วิถีเมืองพุทธ ให้ชาวต่างชาติได้เห็นบรรยากาศความงดงามของประเทศไทย โดยจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ขณะเดียวกันทางวัดได้เตรียมพระสีวลี จำนวน 30,000 องค์ แจกให้แก่พุทธศาสนิกชนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีสวดมนต์ข้ามปีด้วย อีกทั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ยังได้จัดรถเมล์ฟรี บริการรับส่งมายังวัดอรุณฯ และบริเวณโดยรอบจนถึงช่วงเวลา 02.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาร่วมงานอีกด้วย

 :25: :25: :25: :25:

พระวิจิตรธรรมาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กล่าวว่า วัดสระเกศฯ จะเริ่มกิจกรรมตั้งแต่เวลา 20.00 น. วันที่ 31 ธ.ค. เป็นต้นไป จนถึงเวลา 07.00 น. วันที่ 1 ม.ค. 2559 โดยจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบนบรมบรรพต ภูเขาทอง มาประดิษฐานหน้าพระอุโบสถในเวลา 21.19 น. จากนั้นจะเริ่มเจริญพระพุทธมนต์จนเข้าสู่รุ่งเช้าของวันที่ 1 ม.ค.2559 ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมพิธีจะได้รับน้ำมนต์มหาสมัยสูตร ซึ่งเป็นน้ำมนต์ที่มีการปลุกเสกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ผ้ายันต์มงคล และพระพุทธมงคลปีใหม่ (หลวงพ่อดวงดี รุ่นปี 2559) กลับไปบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลรับปี 2559 ด้วย

ด้านพระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร กล่าวว่า ช่วงส่งท้ายปี 2558 นี้ วัดเทวราชฯ จะจัดพิธีบวงสรวงประติมากรรมเทวราชเนรมิต ซึ่งถือเป็นการจัดขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการนำประติมากรรมเทวราชเนรมิตมาประดิษฐานยังวัดเทวราชฯ ทั้งนี้ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าร่วมพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตต้อนรับปีใหม่ และในโอกาสนี้วัดเทวราชฯ ยังถือเป็นโอกาสพิเศษจัดสร้างเหรียญเทวราช เนรมิตเทพทันใจ ขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย โดยเชื่อกันว่าผู้ใดสักการบูชาเทวราชเนรมิตเทพทันใจ ย่อมสำเร็จทันใจสมปรารถนา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยกำหนดจัดพิธีดังกล่าววันที่ 31 ธ.ค.2558 เวลา 14.19 น. ที่พระอุโบสถวัดเทวราชฯ เขตดุสิต กรุงเทพฯ โทร.0-2281-2430.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/556358
11889  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / นิชฌัตติพะลา ปัณฑิตา : คนดีย่อมไม่คอยเพ่งโทษของคนอื่น เมื่อ: ธันวาคม 30, 2015, 10:07:01 am


เพียงสมมุติ : ธรรมะยู-เทิร์น โดยอิทธิโชโต

           นิชฺฌตฺติพลา ปณฺฑิตา
           คนดีย่อมไม่คอยเพ่งโทษของคนอื่น
.....พุทธพจน์

เมื่อไม่นานมานี้ ลูกศิษย์ถามเราว่า ทำไมบางคนจึงกล่าวว่า เถรวาท นั้นดีกว่ามหายาน และบางคนก็บอกว่า มหายานนั้นดีกว่า เถรวาท ?

แท้จริงแล้ว ทั้งเถรวาท และมหายาน เป็นเพียงชื่อสมมุติเท่านั้น ถ้าคนที่คิดว่า เถรวาทดีกว่ามหายาน หรือ คนไหนมองว่า มหายานดีกว่าเถรวาทก็ไม่ถูก ที่ถูกคือ ไม่ว่าจะเป็นเถรวาทหรือมหายานถ้าปฏิบัติดีก็ดี นี่แหละสำคัญ ก็เหมือนกันชื่อคน เช่น คนที่ชื่อ นายดี ถามว่า แล้วตัวเขาว่าดีจริงไหม หรือ นายบุญ ไปดูสิ ในคุกมีสักกี่คน ศาสนาก็เหมือนกัน ไม่เกี่ยวว่า มหายาน หรือเถรวาทอันไหนดีกว่ากัน ไม่ว่าใครปฏิบัติสายไหน ก็พร้อมที่จะดีได้ทุกคน พร้อมที่จะรับธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกคน


 :96: :96: :96: :96: :96:

ถามว่า เถรวาทในประเทศไทยที่ว่ามีกันอยู่ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ดีหมดไหม ก็ไม่ได้ดีหมด มหายานแหมือนกัน เขาดีหมดไหม ก็ไม่ดีหมด ที่ดี ก็คือว่า คนคนนั้น ปฏิบัติดีไหมต่างหาก

เหมือนคนในตระกูล ดีเหมือนกันหมดไหม ถ้าจะดี ก็ดีตามครรลองที่มันจะเป็น จะว่าดีเพราะตระกูลก็ไม่ใช่ ดีเพราะสายเลือดก็ไม่ใช่ คนจะดี ก็เพราะการกระทำของตัวเอง การกระทำที่ถูกทำนองคลองธรรมของตัวเอง จึงเรียกว่าดีได้ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเถรวาท เราจะดีหมดทุกคนไหม เราก็ไม่เห็นด้วย ก็เหมือนกับพระที่บวชมา ใช่ว่าจะดีเลยก็ไม่ใช่ ดีเพราะการฝึก ดีเพราะการปฏัติ ดีเพราะทำในสิ่ที่ดีงาม แต่ปุถุชนคนธรรมดา ไม่ว่านิกายไหน การทำดียังแอบแฝงอยู่ด้วยกิเลสเสมอกัน ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ พระพุทธเจ้าบอกว่า ดีไหนที่ดีเลิศ คือทำแล้วไม่มีโทษเลย นั่นคือ ดีเลิศ


 :25: :25: :25: :25: :25:

แต่ปุถุชนที่ทำดี ก็อาจจะยังไม่ดีเลิศ เช่นว่า ไปใส่บาตรดีไหม ดี แต่ถ้าใครมากระทบ ก็ทะเลาะเบาะแว้ง นี่เรียกว่า ยังไม่ดีเลิศ แต่ถ้าสิ่งที่เราทำเกิดประโยชน์ตนกับส่วนรวม ไม่มีโทษเลย นั่นแหละดีจริง

เช่นเดียวกับคนทำความดีเพื่อส่วนรวม เวลาเจออะไรมากระทบผ่านไปได้ไหม ถ้าผ่านได้ก็แสดงว่าดีเลิศ บางคนมาว่า เราทำเอาหน้า แล้วเราไม่พอใจ ความไม่พอใจนั่นแหละ คือ ไปรับคำตำหนิเขามา จึงไม่เกิดความดีเท่าที่ควร คือ ยังไม่ดีเลิศ


 ans1 ans1 ans1 ans1

การทำดีที่ดีเลิศ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนั้นคือ ทำแล้ว มีคุณสถานเดียว โทษไม่รับ คือ โทษที่เกิดจากคนอื่น เราไม่รับ คือ คนอื่นมาว่า เราไม่รับคำติชมของเขานี่แหละก็จะผ่าน นี่แหละดีเลิศ แต่ถ้าเขามาว่า แล้วเรายังไม่พอใจอยู่ นี่คือ ยังไม่ดีเลิศ ยังเป็นเพียงความดีพื้นๆ เท่านั้น แต่ธรรมของพระพุทธเจ้า คือเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ดีก็ไม่เอา ไม่ดีก็ไม่เอา นี่คือดีเลิศของพระพุทธเจ้า

ฉะนั้น เถรวาท และมหายานก็ต่างเผยแผ่ไป ถ้าเขามาดูถูกของเรา จะเป็นอย่างไร เช่นเดียวกัน ถ้าเราเคารพพระไตรปิฎกของเรา ก็อย่าไปล่วงเกินของเขา คำว่า ความเคารพ ความศรัทธา อิสลามก็นับถือของเขา คริสต์ก็นับถือของเขา คุณต้องเคารพกติกานี้ ถ้าคุณนับถือพระไตรปิฎก จริงๆ เพราะใครๆ เขาก็นับถือคัมภีร์ของเขาเช่นกัน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151218/218823.html
11890  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความสัมพันธ์ของครูและศิษย์เป็นแค่สมมุติ วันนี้ครูสอนศิษย์ วันหน้าศิษย์สอนครู เมื่อ: ธันวาคม 30, 2015, 09:49:40 am



ครูกับศิษย์
วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

ความสัมพันธ์ฉันครูและศิษย์ ในชีวิตจริง บางครั้งก็สลับกันได้ ...
 
ครู ก. จบ ปริญญาตรีมาใหม่ๆ ก็มาเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ นาย ข. ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมปลาย สอนเก่งจนนาย ข.ได้ดี สอบเอนท์ติดวิศวะ เรียนกระทั่งจบดอกเตอร์ บรรจุเป็นอาจารย์สอนปริญญาโท ซึ่งวันหนึ่งครู ก. เข้ามาเรียนต่อปริญญาโทในภาควิชาที่นาย ข. สอนพอดี .... หากรักใคร่กันดี ไม่มีอัตตาอะไรมากมาย ต่อไปนี้เวลานาย ก. และนาย ข. เจอกัน ต่างคนก็เลยต่างเรียกว่าอาจารย์ เหมือนกันทั้งคู่

เห็นไหมครับว่า โลกมันกลม (ฝรั่งว่า The world is small) ลูกศิษย์กับ อาจารย์ บางครั้งก็สลับกันไป สลับกันมา น่ารักดี …

 
 :25: :25: :25: :25:

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ก็ตกกรณีคล้ายๆ กัน เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่นั้น ก็มีพราหมณ์หัวก้าวหน้า (กล้าคิด กล้าทำนอกกรอบความเชื่ออย่างอนุรักษนิยม) อย่างท่านโกณฑัญญะ เป็นอาจารย์ทางด้านจิตวิญญาณ ตั้งแต่ประสูติกระทั่งเติบใหญ่วัย ๒๙ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะพร่ำเรียกหาแต่อาจารย์โกณฑัญญะ ให้ช่วยตอบคำถามแห่งชีวิตมากมาย ทั้งๆ ที่ยังทรงวัยเยาว์ แต่กลับมีหลายๆ คำถามที่พราหมณ์ไอคิวสูงยังตอบไม่ได้เลย
 
กระทั่งพระองค์ต้องเข้าป่าหาคำตอบด้วยตัวเอง กระทั่งตรัสรู้โพธิญาณ พบหนทาง ตัดรากถอนโคนกิเลสตัณหา หักโครงเรือนปฏิจจสมุปบาทสายเกิดทุกข์ได้อย่างสะบั้น ดับทุกข์สิ้นเชิง ในอีก ๖ ปีต่อมา
 
คราวนี้เมื่ออดีตอาจารย์โกณฑัญญะพบพระองค์ปีติล้นพ้น เต็มใจก้มกราบแทบพระบาท ผู้เคยเป็นอาจารย์กลายเป็นศิษย์ ส่วนผู้เป็นศิษย์กลับกลายเป็นอาจารย์ หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ตลอดกาลสำหรับท่านอัญญาโกณทัญญะ (หลังท่านบรรลุพระโสดาบันแล้ว พระพุทธองค์ ทรงเรียกเป็น อัญญาโกณฑัญญะ, ความหมายคือ โกณฑัญญะ รู้แล้วหนอๆ) เลยทีเดียว
 

 st12 st12 st12 st12

ผู้เป็นอาจารย์ ย่อมมีใจเมตตา สอนกันแบบเทวิชาให้ศิษย์อย่างหมดไส้หมดพุง ทั้งยังมีใจเป็นพรหมวิหาร คือแม้ศิษย์จะได้สภาวะจิต หรือสภาวธรรมที่ก้าวหน้าไปกว่าผู้เป็นอาจารย์ พวกท่านก็ล้วนแต่ยินดี มีแต่มุทิตาจิตให้ เพียงแต่ไม่สามารถแนะนำอะไรเพิ่มเติมได้มากกว่านั้น เพราะศิษย์ได้รู้ไปมากกว่าอาจารย์แล้ว ได้แต่ส่งเสริม อนุเคราะห์ เกื้อหนุนกันไป

อย่างเช่น พระป่าสมัยกึ่งพุทธกาล หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้ถ่ายทอดวิชากรรมฐานให้แก่หลวงปู่มั่นจนหมดภูมิ กระทั่งความก้าวหน้าในจิตตภาวนาของศิษย์ เขยิบไปไกลกว่าอาจารย์แล้ว

    วันหนึ่งหลวงปู่มั่นขอโอกาสถามเพิ่มเติม ก็ได้คำตอบจากท่านอาจารย์เสาร์ว่า ...
    “สมาธิท่านผาดโผน ขนาดไปเดินจงกรมในอากาศอย่างนั้น ใครจะไปแนะนำอะไรได้อีกเล่า.?”


 ask1 ans1 ask1 ans1


ความสัมพันธ์ของครูและศิษย์ บางครั้งก็ดุเดือด ...
 
อย่างเช่น ครูบาฮวงโป ... หลานศิษย์เซนฝ่ายบรรลุฉับพลัน (Sudden Knowledge) ของท่านเว่ยหลาง (สังฆปริณายกแห่งเซนองค์สุดท้ายของโลก) พำนักอยู่ฝ่ายใต้ ครั้งหนึ่งท่านครูบาได้เข้าร่วมในที่ประชุมแห่งหนึ่ง ที่สำนักงานข้าหลวงควบคุมเกลือแห่งพระจักรพรรดิ ซึ่งในการประชุมคราวนั้นมีจักรพรรดิ ไต้-ซุง ในขณะที่สมาทานศีลอย่างสามเณรรวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง

สามเณรได้สังเกตเห็นท่านครูบา เข้าไปในห้องโถงตั้งเครื่องบูชา และทำการหมอบกราบต่อพระพุทธรูปสามครั้ง
เนื่องจากเหตุนั้น สามเณรได้ถามท่านครูบาว่า
     "ถ้าเราไม่ต้องแสวงหาอะไรจากพุทธะ ธรรมะ หรือสังฆะแล้ว พระคุณเจ้าหมอบกราบสามครั้งเช่นนั้นเพื่อแสวงหาอะไร?

     ท่านครูบาตอบว่า
     “แม้ว่าเราไม่แสวงหาอะไรจากพุทธะ พระธรรม หรือพระสงฆ์ก็ตาม มันเป็นธรรมเนียมของเราที่จะต้องแสดงความเคารพโดยวิธีนี้”

     “แล้วการทำเช่นนั้น มันได้สนองเจตนาอะไรของเราให้สมประสงค์ได้บ้าง.?”
      สามเณรได้ขืนซักต่อไป จนทำให้ถูกตบโดยกะทันหันข้าครั้งหนึ่ง

      สามเณรได้ร้องขึ้นว่า “โอ ท่านนี่หยาบจริง!”
      ท่านครูบาได้ร้องขึ้นว่า “หยาบชนิดไหนกัน จงนึกว่าเป็นการทำให้เห็นความแตกต่าง ระหว่างละเอียดกับหยาบก็แล้วกัน”
      กล่าวดังนั้นแล้วก็ตบหน้าสามเณรเข้าอีกฉาดหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สามเณรเอง ต้องแจวอ้าวไปที่อื่น


 :96: :96: :96: :96: :96:

วิธีการที่ครูเซนสอนศิษย์นั้น ไม่แตกต่างจากพระป่าในประเทศไทยที่สอนศิษย์ และไม่แตกต่างจากพระบ้านที่ปฏิบัติเข้มสอนศิษย์ เช่นเดียวกับครูบาอาจารย์พระทุกนิกายที่สอนศิษย์ ทุกสำนัก ทุกนิกายที่สอนตรงทางเดียวกับพระพุทธเจ้า ต่างมีวิธีการสอนศิษย์ชนิดดุเดือดกันทั้งนั้น เพื่อให้ศิษย์ตื่นจากความฝัน หรือหลุดออกจากความยึดติด ไม่ก็ทำกระเทาะอัตตาตัวตนให้กระเด็นออก ด้วยวิธีจากจิตถึงจิต ที่ลอกเลียนกันไม่ได้

การสอนและการเรียนอย่างนี้ เกิดขึ้นตามสถานการณ์ที่กระทบในเวลานั้น คาดเดาไม่ได้ ครูจะทำให้ศิษย์โพล่ง หรือหลุดออกจากกับดักทีี่ติดอยู่ในในทันทีด้วยวิธีการที่คาดไม่ถึง และภาวะความเป็นครูกับศิษย์นี้ ลึกซึ้งนัก ไม่เพียงแต่การสอนที่่ดุเดือด แต่ความเมตตาก็เหลือประมาณด้วยเช่นกัน
     ครูบาเซน เวลาสอนศิษย์ก็จะไหว้ศิษย์ ให้เกียรติศิษย์มาก
     เพราะท่านรู้ว่า วันหนึ่ง ศิษย์ก็จะมาเป็นครู
     ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต.!


            st11 st11 st11 st11

           ศิษย์อาจารย์ ผันเปลี่ยน เวียนสลับ
           ชีวิตหนึ่ง อาจเปลี่ยนปรับ กันหลายหน
           ความสัมพันธ์ อันลึกซึ้ง ทั้งสองคน
           ล้วนส่งผล ต่อการ บรรลุธรรม

           ความก้าวหน้า ของธรรม อยู่ที่จิต
           อันพุทธะ คือจิต ที่ลึกล้ำ
           เมื่อลุถึง จิตจึง อยู่เหนือกรรม
           หมดสมมุติ ในความ สัมพันธ์เอยฯ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151218/218821.html
11891  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พลังจิตดิจิตอล : ทางเลือกของการสื่อสารด้วย คลื่นสมองแบบไร้สาย 1. เมื่อ: ธันวาคม 30, 2015, 09:24:20 am


พลังจิตดิจิตอล : ทางเลือกของการสื่อสารด้วย คลื่นสมองแบบไร้สาย 1.

อีกเพียงไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ปีใหม่ปี พ.ศ. 2559 แล้ว หลายท่านอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอปีใหม่ที่กำลังมาถึงนี้อย่างใจจดใจจ่อ ผมเลยขออวยพรคุณผู้อ่านประจำคอลัมน์วันพุธของผมทุกท่าน

อีกเพียงไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ปีใหม่ปี พ.ศ. 2559 แล้ว หลายท่านอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอปีใหม่ที่กำลังมาถึงนี้อย่างใจจดใจจ่อ ผมเลยขออวยพรคุณผู้อ่านประจำคอลัมน์วันพุธของผมทุกท่าน ว่าในวารดิถีขึ้นปีใหม่นี้ ขอให้อำนาจคุณพระรัตนตรัย ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ช่วยดลบันดาลให้คุณผู้อ่านพบแต่ความสุขทั้งสุขกายและสุขใจ สุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีความเจริญรุ่งเรืองเท่าทันกับโลกสารสนเทศสมัยใหม่ตลอดทั้งปีนะครับ


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ช่วงก่อนสิ้นปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้ ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานถึงกันมากที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่อง Star Wars: The force awakens นะครับ ซึ่งในหนังวิทยาศาสตร์ทำนองนี้ หรือแม้แต่ในหนังสือนิยายหรือการ์ตูน ความสามารถหนึ่งของตัวละครที่พบเห็นได้บ่อย ๆ คือ โทรจิต หรือ ความสามารถในการใช้จิตสื่อสารถึงกันได้โดยไร้คำพูด ไร้ท่าทางใด ๆ ภายนอก และไร้อุปกรณ์ต่อเชื่อม

แต่แม้โทรจิตจะมีให้เห็นอยู่ดาษดื่นในจอโทรทัศน์หรือหน้าหนังสือ ในชีวิตจริงของคุณผู้อ่านนั้น ผมเชื่อว่าโทรจิตคงไม่ใช่ความสามารถที่จะพบเห็นกันได้ตามท้องถนนใช่ไหมครับ ซึ่งถ้าไม่นับเรื่องเหลือเชื่อที่ยังไม่ถูกพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้ว คุณผู้อ่านทราบไหมครับว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเราได้กระเถิบเข้ามาใกล้จุดที่เสมือนจะเปลี่ยนให้ทั้งผมและคุณผู้อ่านกลายเป็นมนุษย์พลังจิตได้แล้วล่ะครับ


 :49: :49: :49: :49:

เทคโนโลยีที่ว่านี้ไม่ใช่การศึกษาว่าทำอย่างไรถึงจะเชื่อมจิตของมนุษย์เข้าด้วยกันได้นะครับ แต่เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และสมองของสิ่งมีชีวิต หรือที่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษว่า
    Brain–Computer
    Interface (BCI) หรือ Brain–Machine
    Interface (BMI) หรือ Mind-Machine Interface (MMI)
ซึ่งแม้ชื่อจะต่างกันบ้างแต่ทั้งหมดมีหลักการร่วมกัน คือ เป็นการใช้อุปกรณ์วัดคลื่นไฟฟ้าสมองหรือ Electroencephalogram (EEG) ที่แต่ก่อนมักใช้กันอยู่ในโรงพยาบาลเป็นหลัก มาทำหน้าที่วัดคลื่นไฟฟ้าที่ส่งออกมาจากสมองของมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์ โดยคลื่นไฟฟ้าสมองที่วัดได้จะถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อหาว่าตอนนี้เรามีอารมณ์หรือมีการกระทำอะไรอยู่ สุดท้ายผลการวิเคราะห์ที่ได้ก็จะถูกส่งต่อไปสั่งงานอุปกรณ์อื่น ๆ ให้ทำงานตามความต้องการของสมองต่ออีกทอดหนึ่ง

    ถึงตรงนี้คุณผู้อ่านหลายคนอาจนึกสงสัยนะครับว่า
    แล้วปัจจุบันงานทางด้าน Brain–Computer Interface นี้ทำไปถึงไหนแล้ว.?
    พวกเราใกล้จะสามารถใช้โทรจิตหรือสร้างปรากฏการณ์พลังจิตได้เหมือนกับฉากที่เห็นในหนังฮอลลีวูดได้แล้วหรือยัง.?
    ซึ่งคำตอบของผม ก็คือ ยังครับ แต่ถึงแม้จะยังห่างไกลจากพลังจิตในอุดมคติของพวกเราไปมาก แต่ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและกระเถิบเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเรื่อย ๆ ครับ


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

โดยมีงานวิจัยในปี 2014 ซึ่งเป็นงานวิจัยร่วมระหว่าง Prof.Alvaro Pascual-Leone จาก Harvard Medical School และทีมวิจัยจากสเปน (Starlab Barcelona) และจากฝรั่งเศส (Axilum Robotics) ได้รับการกล่าวว่าเป็นการทดลองแรกที่ประสบความสำเร็จในการส่งข้อความจากสมองของคน ๆ หนึ่งไปสู่สมองของคนอีกคนหนึ่งได้โดยตรง

งานวิจัยนี้จะเป็นอย่างไรและน่าสนใจขนาดไหน ไว้วันพุธหน้า (หรือปีหน้า) ผมมาเล่าให้ฟังต่อครับ.


ผศ.ดร.ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
chutisant.ker@nida.ac.th


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/it/369982
11892  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีแก้ง่วง…เวลาขับรถทางไกล เมื่อ: ธันวาคม 30, 2015, 09:02:02 am


วิธีแก้ง่วง…เวลาขับรถทางไกล

ใกล้เข้ามาแล้วกับเทศกาลแห่งความสุขกับช่วงปีใหม่วันหยุดยาวๆ หลายคนเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดออกไปเที่ยวรับลมหนาวหรือปราตี้ยันเช้า ยังไงก็แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนแต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมว่าเพื่อนๆ ต้องเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเวลาขับรถในระยะทางไกลๆ ถนนยาวๆ ตรงๆ เปิดแอร์เย็นๆ เพลงเพราะๆ แหมม!! มันช่างบิ้วอารมณ์….. ง่วงได้ดีเหลือเกิน

แล้วถ้าเกิดง่วงขึ้นมาเราจะมีวิธียังไงที่ช่วยให้หายง่วงได้ซักแปปนึงก็ยังดี อย่างน้อยก็ช่วยให้ขับได้ถึงปั๊มน้ำมันเพื่อจอดพักเราเลยขอเสนอวิธีการแก้ง่วงดังนี้

 :96: :96: :96: :96: :96: :96:

1. เรามาดูวิธีแรกกันเลย กระชากขนจมูกซักเส้นครับ ตาสว่างไปอย่างน้อยก็ ครึ่ง ชม. เลยแต่ถ้าง่วงมากๆ สงสัยขนจมูกคงหมดครับ ฮาฮา

2. สำหรับนักกีฬาวิธีนี้เลยเลยครับ หาที่สว่างๆ ปลอดภัยลงมาวิ่งรอบรถซัก 10 รอบ วิดพื้นอีกซัก 10 รับลองหายง่วงตาสว่างแถมร่างกายแข็งแรง

3. หรือจะลองวิธีนี้เอาน้ำแข็งถูขมับก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่อย่าถูส่วนอื่นนะยิ่งถ้าให้หญิงสาวข้างๆ ถูให้ด้วยละก็แน่นอนมันจะหายง่วง แต่มันจะเกิดอารมณ์อย่างอื่นเข้ามาแทนที่นะจ๊ะจะบอกให้

4. ก่อนออกจากบ้านควรพกวาซาบิหรือพริกขี้หนูไปด้วย 3-4 เม็ด ง่วงปุ๊ปกินปั๊ปรับลองหายง่วง แต่อย่าลืมพกน้ำติดไปด้วยนะครับ

5. ทำบรรยากาศในรถให้ดราม่าไว้ แต่วิธีนี้ต้องไปกับเมียหรือแฟน ชวนทะเลาะมันเลยแก้ง่วงได้ดีนักละ ข้อควรระวังในการใช้วิธีนี้ ระวังเมียไม่จบแล้วจะกลายเป็นงานยาวนะครับ

6. ให้คนข้างๆช่วย…….ตบซัก2-3ที หายง่วงเป็นปริดทิ้ง แต่ต้องแลกกับการที่คุณต้องเจ็บตัวนิดนึง รับลองเมียคุณชอบแน่นอนวิธีนี้

7. เวลาขับรถทางไกลๆ ลองหาลูกอมหรือขนมเปรี้ยวๆ เอาไว้อมหรือเคี้ยวเล่นน่าจะช่วยทำให้คุณตาสว่างขึ้นได้อยู่เหมือนกัน

8. วิธีนี้เค้าว่ากันว่าให้เอาเล็บจิกลงไปที่ปลายนิ้วก้อย เพราะตรงปลายนิ้วจะเป็นศูนย์รวมประสาททำให้คุณหายจากอาการง่วงนอนได้


 :49: :49: :49: :49:

สุดท้ายครับอันนี้เป็นวิธีเล็กๆ น้อยๆ อาจจะช่วยคุณได้ในเวลาที่เกิดฉุกเฉินง่วงมากๆ ก่อนที่จะหาจุดแวะพักล้างหน้าล้างตาหรืองีบหลับซัก 30 นาที ก่อนจะออกเดินทางต่อจำไว้นะครับว่าก่อนออกเดินทางไกลต้องพักผ่อนให้เพียงพอเตรียมร่างกายให้พร้อม เช็คสภาพรถยนต์ให้เรียบร้อย ที่สำคัญห้ามประมาทเด็ดขาดอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลา สุดท้ายขอให้ทุกท่านโชคดีปีใหม่ เดินทางกลับบ้านท่องเที่ยวปลอดภัยกันทุกคนนะครับ


ชมคลิปได้ที่
https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=kYABykpr4AU

เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์ / นันทพงศ์ ภักดีบุตร
ภาพ/ตัดต่อ : จิตรกร หลวงยศ
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.gpinews.com
ที่มา http://auto.sanook.com/45069/
11893  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สาวงาม 7 เผ่า โชว์รำบูชาพระธาตุพนมหนุนท่องเที่ยว เมื่อ: ธันวาคม 30, 2015, 08:32:04 am


สาวงาม 7 เผ่า โชว์รำบูชาพระธาตุพนมหนุนท่องเที่ยว

ดร.รัฐศาสตร์ กองสินแก้ว รอง ผอ.สนง.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 1นายไพจิต ศรีวรขาน อดีต ส.ส.นครพนม นายอติชาต อุณหเลขกะ นอภ.ธาตุพนม นายขจรศักดิ์ นิตชิน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลธาตุพนม ร่วมกับ ข้าราชการ ผู้บริหารท้องถิ่น และตัวแทนชุมชนหมู่บ้าน เปิดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตามโครงการ ท่องเที่ยววิถีไทย วิถีพุทธ บูชาองค์พระธาตุพนม โดยนำเอาพิธีศักดิ์สิทธิ์จัดรำบูชาพระธาตุพนมจากสาวงาม 7 ชนเผ่า ที่สืบทอดมาแต่โบราณนำมาเป็นจุดขายจัดโชว์ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และในโอกาสวันสำคัญที่วัด



พระธาตุพนมวรมหาวิหาร อ.ธาตุพนม จ.นครพนม เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวทำบุญในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ได้มีโอกาสชมพิธีรำบูชาองค์พระธาตุพนม ซึ่งปกติจะมีเฉพาะในช่วงวันออกพรรษาเท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาทำบุญต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว

เนื่องจาก อ.ธาตุพนม ถือเป็นอำเภอท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด สอดคล้องกับการพัฒนาตามยุทธศาสตร์เชิงรุกในการพัฒนาด้านการค้า เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว รองรับการพัฒนาเมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษ ควบคู่กับการวางแผนด้านการค้า การลงทุนให้เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดน ภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง รวมทั้งการจัดทำโครงการท่องเที่ยววิถีไทย วิถีพุทธ บูชาองค์พระธาตุพนม เป็นการสืบสานอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณ



นายไพจิต ศรีวรขาน อดีต ส.ส.นครพนม กล่าวว่า สำหรับพิธีรำบูชาพระธาตุพนม ถือเป็นประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของ จ.นครพนม ทาง จ.นครพนม รวมถึงหน่วยงานเกี่ยวข้องได้เล็งเห็น ความสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยว สอดคล้อง กับการพัฒนาเมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะต้องมีการพัฒนาเชิงรุก ในด้านการค้า การท่องเที่ยว ที่สร้างจุดขายจากประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่มากที่สุด มีเป้าหมายกำหนดจัดกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาในช่วงวันสำคัญต่างๆ รวมถึงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ให้ประชาชน นักท่องเที่ยวได้สัมผัสชื่นชม พร้อมจัดทำบุญตักบาตรเช้าด้วย

นอกจากนี้ได้เน้นการสร้างการมีส่วนร่วมให้ชุมชน หมู่บ้าน ลูกหลานเยาวชนได้มาร่วมรำบูชาพระธาตุพนม แบบผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ในอนาคตจะมีการพัฒนาต่อเนื่องให้ อ.ธาตุพนม เป็นอำเภอท่องเที่ยวเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญของ จ.นครพนม

อย่างไรก็ตาม ทางอำเภอธาตุพนม ได้ร่วมกับเทศบาลตำบลธาตุพนมและทุกภาคส่วนผลักดัน ในการจัดสรรงบประมาณ พัฒนาปรับปรุงพื้นที่บริเวณหน้าวัดพระ ธาตุพนม ให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ให้มีความสวยงาม รวมถึงเป็นที่ศึกษาประวัติความเป็นมาของพระธาตุพนม และเป็นที่ท่องเที่ยวพักผ่อนสำหรับผู้มาเยือน.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/555679
11894  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 9 ข้อควรรู้ก่อนโทร.สายด่วน 1669 (เจ็บป่วยฉุกเฉิน) เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 08:24:01 pm

9 ข้อควรรู้ก่อนโทร.สายด่วน 1669

สพฉ.จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ปีใหม่ รณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจการทำงานของสายด่วน 1669 และขั้นตอนการแยกอาการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ย้ำ 9 ข้อควรรู้ก่อนโทร.สายด่วน 1669
       
นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้นอกจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติจะออกมารณรงค์ให้ประชาชนเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย และรณรงค์ให้ประชาชนรับทราบขั้นตอนการใช้งานและการไม่โทรป่วนสายด่วน 1669 แล้วเรายังได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงการทำงานของระบบปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉินในรูปแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายด้วย
       
โดยสื่อประชาสัมพันธ์ที่เราได้จัดทำขึ้นนี้จะมีเนื้อหาในหลากหลายเรื่อง อาทิ การอธิบายถึงการช่วยชีวิตของประชาชนผ่านระบบปฏิบัติการการช่วยชีวิตการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเมื่อประชาชนเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือเกิดอุบัติให้รีบโทรขอรับบริการสายด่วน 1669 ซึ่งศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการประจำจังหวัดจะรีบประสานให้หน่วยกู้ชีพกู้ภัยตลอดจนเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้รีบเข้าให้การช่วยเหลือเพื่อนำผู้ป่วยส่งไปรักษายังโรงพยาบาลทันที



นอกจากนี้ ในสื่อประชาสัมพันธ์ยังได้อธิบายถึงการแยกอาการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่ส่งผลต่อชีวิตและอวัยวะสำคัญที่ต้องโทรขอรับบริการสายด่วน 1669 อย่างเร่งด่วน ซึ่งประกอบด้วยอาการต่างๆ เหล่านี้
     1. หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ไม่ตอบสนองต่อการเรียกหรือกระตุ้น ซึ่งอาหารเหล่านี้ต้องได้รับการกู้ชีพทันที
     2. การรับรู้สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดเฉียบพลัน
     3. ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤตอย่างน้อยสองข้อดังนี้ ตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกท่วมตัว หมดสติชั่ววูบหรือวูบเมื่อลุกขึ้นหรือยืน
     4. ระบบหายใจมีอาการวิกฤตดังนี้ ไม่สามารถหายใจได้ปรกติ หายใจเร็วแรงและลึก หายใจมีเสียงดังผิดปรกติ พูดได้แค่สั้นๆ หรือร้องไม่ออก หรือออกเสียงไม่ได้ สำลัก อุดทางเดินหายใจและมีอาการเขียวคล้ำ
     5.อวัยวะฉีกขาด เสียเลือดมากเสี่ยงพิการ
     6. อาการอื่น ๆ ที่มีภาวะเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่นเจ็บหน้าอกรุนแรง แขนขาอ่อนแรงทันทีทันใด หรือชักเกร็ง


        :96: :96: :96: :96: :96:

ทั้งนี้ สื่อประชาสัมพันธ์ชุดนี้ยังได้แนะนำถึง 9 ข้อควรรู้ก่อนโทรขอรับบริการสายด่วน 1669 ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
    1. เมื่อพบเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินให้ตั้งสติและโทรแจ้งสายด่วน 1669
    2.ให้ข้อมูลว่าเกิดเหตุอะไรมีผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บในลักษณะใด
    3. บอกสถานที่เกิดเหตุเส้นทางจุดเกิดเหตุให้ชัดเจน
    4. บอกเพศ ช่วงอายุ อาการจำนวนผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ
    5. บอกระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย
    6. บอกความเสี่ยงที่อาจเกิดซ้ำ เช่นอยู่กลางถนนหรือรถติดแก็ส
    7. บอกชื่อผู้แจ้งเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้
    8. ช่วยเหลือเบื้องต้นตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
    9. รอทีมกู้ชีพมารับผู้ป่วยเพื่อนำส่งโรงพยาบาล

       
 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

อย่างไรก็ตามสื่อประชาสัมพันธ์ชุดนี้ยังมีรายละเอียดในเรื่องการช่วยชีวิตฉุกเฉินอีกหลากหลายเรื่อง อาทิ เทคนิคการช่วยชีวิตฉุกเฉินเช่นการห้ามเลือด การแนะนำถึงการเตรียมกล่องปฐมพยาบาลฉุกเฉินที่จำเป็นจะต้องใช้เมื่อยามเดินทาง วิธีในการหลีกทางให้รถพยาบาลฉุกเฉิน การแนะนำถึงการใช้งานเครื่องกระตุกหัวใจด้วยคลื่นไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) การแนะนำถึงการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานซึ่งประชาชนที่สนใจสื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติชุดนี้สามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.niems.go.th


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000142409
11895  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระ (นารายณ์) มาโปรด เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 08:15:16 pm


พระ (นารายณ์) มาโปรด

มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พอจะยืนยันว่า คนอินเดียเมื่อราว พ.ศ.200 นับถือพระอิศวร และพระนารายณ์ ส่วนพระพรหมนั้น นับถือกันมาก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว (วิสุทธิ์นิพนธ์ รวมงานเขียนอาจารย์ วิสุทธิ์ บุษยกุล สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ พ.ศ.2520)

คัมภีร์ปุราณะมีหลายฉบับ บางฉบับนับถือพระอิศวร บางฉบับก็นับถือพระนารายณ์ แต่ฉบับหนึ่งออกไปทางสมานฉันท์ รวมพระพรหมเข้าไป นับถือทั้งสามพระองค์ แบ่งหน้าที่เป็นเทวะผู้สร้าง เทวะผู้รักษา และเทวะผู้ทำลาย เมื่อพระพรหมเทพเจ้าผู้สร้าง สร้างโลก ทวยเทพ คน และสัตว์แล้ว ก็เป็นอันหมดหน้าที่ จนกว่าโลกจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ พระนารายณ์ เทวะผู้รักษาก็จะอวตารมาปัดเป่า


 ans1 ans1 ans1 ans1

อาจารย์วิสุทธิ์ ดูจะตั้งใจเล่าเรื่องพระนารายณ์...ท่านเล่าว่า
เดิมทีพระนารายณ์มีนามว่า “วิษณุ” หรือ “พิษณุ” มาเปลี่ยนเป็น “นารายณ์” ในระยะหลัง ตามรูปเขียน พระนารายณ์เป็นบุรุษหนุ่ม กายสีนิลแก่ สวมเครื่องอย่างกษัตริย์ เสื้อทรงสีเหลือง มีสี่กร ทรงอาวุธสี่...ตรี คชา จักร และสังข์ นานๆเข้าก็ทรงเบื่อ เปลี่ยนเป็น ธนู ดอกบัว และพระขรรค์บ้างตามพระอัธยาศัย ไม่เพียงเปลี่ยนอาวุธ...สีกายพระนารายณ์ก็เปลี่ยน

ในกฤตยุค ยุคแรกของโลก คุณธรรมความดีของคนมีเต็มเปี่ยม สีกายพระนารายณ์สีขาว
ยุคที่สอง ไตรดายุค ธรรมะและคุณธรรมมนุษย์เหลือสามในสี่ สีกายพระนารายณ์สีแดง
ยุคที่สาม ทวาปรยุค คุณธรรมมนุษย์เหลือครึ่งเดียว สีกายเป็นสีเหลือง
ปัจจุบัน อยู่ในยุคที่สี่ กลียุค คุณธรรมมนุษย์ลดลงเหลือหนึ่งในสี่ สีกายพระนารายณ์ เปลี่ยนเป็นสีนิลแก่


 :96: :96: :96: :96: :96:

ปางอวตารพระนารายณ์มีมาก แต่ที่นิยมกันมีเพียงสิบปาง ปาง 1 เป็นปลา ปาง 2 เป็นเต่า ปาง 3 เป็นหมู ปาง 4 เป็นนรสิงห์ ปาง 5 เป็นคนแคระ ปาง 6 เป็นปรศุราม

ตั้งแต่ปางที่ 1 ถึงปางที่ 5 คนไทยคุ้นน้อยกว่าปางที่ 7 รามาวตาร พระนารายณ์อวตารเป็นพระราม ปราบทศกัณฐ์ ในเรื่องรามเกียรติ์ ปางที่ 8 กฤษณาวตาร อวตารเป็นพระกฤษณะ ปราบพญากงส์หรือพาณาสูร

ปางนี้คนอินเดียชอบมาก ตอนที่กล่าวถึงความรัก ระหว่างพระกฤษะและหญิงเลี้ยงวัวชื่อนางราธา

ปางที่ 9 พุทธวตาร ชาวฮินดูอาจเห็นว่า ศาสนาพุทธกำลังรุ่งเรือง จึงผูกเรื่องว่า พระนารายณ์อวตารเป็นพระพุทธเจ้า ลวงให้คนเลวหลงเชื่อเพื่อให้คนเลวไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ส่วนชาวฮินดูที่ไม่หลงเชื่อพระพุทธเจ้า คือชาวฮินดูแท้ จะได้ขึ้นสวรรค์

ปางที่ 10 กัลกยาวตาร...เมื่อความเลวทรามต่ำช้า อย่างในกลียุคนี้สิ้นสุดในโลกแล้ว พระนารายณ์อวตารเป็นมหาบุรุษ มาช่วยบันดาลให้โลกสงบสุข


 :25: :25: :25: :25:

ระหว่างที่รอ...พระนารายณ์มาโปรด ควรทำความรู้จักเจ้านายใหม่ เอาเรื่องหลังบ้านพระนารายณ์ก่อน คัมภีร์บางเล่มบอกว่า ทรงมีมเหสีถึงสามองค์ พระลักษมี พระสรัสวดี และพระคงคา แม้โบราณว่า เมียสองต้องห้าม เมียสามงามกว่า ก็เชื่อไม่ได้ เพราะมเหสีทั้งสามนั้น ต่างก็มีทิฐิไม่ยอมอ่อนน้อมต่อกัน

(นี่อาจเป็นที่มา ทำให้ต้องทรงเปลี่ยนจากวิมานบนฟ้า เสด็จไปสงบใจ ในพระที่นั่งไวกูณฐ์ กลางเกษียรสมุทร นอนกระดิกพระบาทเล่นในน้ำ ชื่อวิษณุ เปลี่ยนเป็นนารายณ์ น่าจะได้จากตอนนี้)

ระหว่างที่ทรงนอนกระดิกพระบาทในน้ำล่ะกระมัง จึงทรงได้พระสติ...ตัดสินพระทัย ยกพระสรัสวดี ให้เป็นชายาพระพรหม ยกพระคงคา ให้เป็นชายาพระอิศวร จึงทรงเหลือพระลักษมี เป็นมเหสีพระองค์เดียว นับแต่นั้น เรื่องร้อนหูร้อนใจที่เกิดขึ้นในวิมานก็หมดไป ทรงอยู่กับพระลักษมีเป็นสุขด้วยกันเรื่อยมา


 st12 st12 st12 st12

อ่านตามคัมภีร์ก็พอเห็นภาพ ตอนนี้พระนารายณ์กำลังทรงนอนพักชาร์จพระพลัง...รอเวลาสิ้นกลียุค ก็จะเสด็จมาโปรด เพื่อให้โลกสงบเย็นเป็นนิรันดร์ ในวันข้างหน้า...ซึ่งยังไม่รู้ว่านานแค่ไหน ข้อที่ต้องย้ำให้ชัดๆ ตอนนี่เรายังอยู่ใน “กลียุค” ปางกัลกยาวตาร เป็นปางที่ยังมาไม่ถึง จึงพอจะยืนยันได้ ใครที่ถือดาบขาววาววับขี่ม้าขาวมา ประกาศว่าจะมากอบกู้แผ่นดิน...เอ๊ย โลกนั้น...ยังไม่ใช่พระนารายณ์อวตารตัวจริง.


คอลัมน์ : ชักธงรบ โดย กิเลน ประลองเชิง
https://www.thairath.co.th/content/547053
11896  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผู้ว่าฯ ปทุมสั่งงด ธุดงค์ธรรมกาย เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 08:07:53 pm


ผู้ว่าฯ ปทุมสั่งงดธุดงค์ธรรมกาย ชาวบ้านลั่นทนมานาน 4 ปี
รับไม่ได้โปรยดอกดาวรวยวิถีธัมมชโย

MGR Online - ผู้ว่าฯ ปทุมธานีพร้อมสั่งระงับงานธุดงด์ธรรมชัยของวัดพระธรรมกายเดือนหน้าออกไปไม่มีกำหนด หลังชาวปทุมธานียื่นหนังสือต่อต้านกิจกรรมบุญตามวิถี “ธัมมชโย” จวกไม่สอดคล้องกับหลักพุทธศาสนา ผิดต่อหลักปฏิบัติธุดงควัตรที่เน้นความสมถะ สงบ หลีกเร้น เรียบง่าย
                     
       วันนี้ (29 ธ.ค. 58) กลุ่มพุทธศาสนิกชนปทุมธานี โดยนายอรรถพล อรุโนรส ผู้ประสานงานพุทธศาสนิกชนคนปทุมธานี และเครือข่ายสตรีปกป้องพระพุทธศาสนา ผู้ประสานงานหลวงปู่พทธะอิสระ และตัวแทนชาวพุทธ 8 จังหวัดรวมจำนวนกว่า 250 คน เดินทางโดยขบวนรถยนต์ และเปิดไฮด์ปาร์ก เพื่อยื่นหนังสือต่อนายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เพื่อยุติกิจกรรมธรรมยาตรา ธุดงค์ธรรมชัย เส้นทางพระผู้ปราบมาร พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร) ปีที่ 5 พระธรรมกาย ระหว่าง 2-31 มกราคมที่จะถึงนี้ซึ่งมีกิจกรรม ของโปรยดอกดาวเรืองต้อนรับพระภิกษุสงฆ์ 1,131 รูป ไปตามเส้นทางออกจากวัดพระธรรมกาย ผ่าน 7 จังหวัด ปทุมธานีปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม นนทบุรี สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร



       โดยต่อมานายสุรชัยได้ลุกออกจากห้องประชุมประจำเดือนหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดที่มาร่วมประชุมกว่า 100 คน บนศาลากลางจังหวัด เพื่อออกมารับหนังสือ และรับปากกับมวลชนผ่านเครื่องขยายเสียงว่าจะให้มีการเลื่อนการจัดงานธุดงค์ธรรมชัยออกไป พร้อมรับหนังสือเพื่อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา
       
       นายอรรถพลกล่าวว่า การเรียกร้องครั้งนี้จะขอให้ยุติกิจกรรมธุดงค์ธรรมชัยของวัดพระธรรมกายซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักพุทธศาสนา ผิดต่อหลักปฏิบัติธุดงควัตร ที่เน้นความสมถะ สงบ หลีกเร้น เรียบง่าย แต่ธุดงค์ธรรมชัยกลับถือปฏิบัติตรงกันข้าม บิดเบือนจากคำสอนธรรมวินัย จัดกิจกรรมที่มีการลงทุนอย่างเอิกเกริก เพื่อสร้างแรงศรัทธาแก่ผู้พบเห็น คือธุดงค์ในวิถีของ “ธัมมชโย” หาใช่ธุดงควัตร มีการปูเสื่อโรยด้วยดอกดาวเรืองตลอดสาย ทุกครั้งที่ผ่านมาการเดินธุดงค์ธรรมชัย เดินใน จ.ปทุมธานี การจราจรติดขัดสร้างความเดือดร้อนให้ชาวปทุมธานี วิธีการเดินธรรมชัยแล้วโรยด้วยดอกดาวโรยที่เขาเรียกว่าดอกดาวรวย ที่มีการแปลงทั้งหมดให้คนมีความรู้สึกว่ายิ่งโปรยเยอะยิ่งรวย เป็นการใช้จิตวิทยามวลชน การระดมหาทุนหาเงินเข้าวัด ชาวพุทธปทุมธานีทนมานานถึง 4 ปี และขออนุญาตจัดกิจกรรมปกป้องพระธรรมวินัย พร้อมทำกิจกรรมสวดมนต์เทิดพระเกียรติระหว่างวันที่ 2-3 มกราคมที่จะถึงนี้ในเขต อ.เมืองปทุมธานี

       

       ด้านนายสุรชัยกล่าวว่า จะรับเรื่องไว้เพื่อดำเนินการแจ้งให้ทางวัดพระธรรมกายเลื่อนการจัดงานออกไปโดยวันที่ 2 มกราคมที่จะถึงนี้ให้ยุติไว้ก่อน และจะหารือกับส่วนที่เกี่ยวข้อง และแนวทางปฏิบัติอีก 7 จังหวัดและองค์กรที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง เพื่อให้สะท้อนไปยังสำนักพุทธศาสนา และคณะสงฆ์ในจังหวัด รวมทั้งคณะสงฆ์ที่ดูแลพระสงฆ์ทั้งประเทศในภาพรวมที่มีผลกระทบในเส้นทางธุดงค์ธรรมชัย เพื่อประสานงานรับเรื่องไปดำเนินการต่อ เพราะลำพังผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีไม่มีอำนาจ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000142486
11897  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัญเชิญพระอัฐิ 'พระสังฆราช' ประดิษฐานวัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 08:03:32 pm



อัญเชิญพระอัฐิ 'พระสังฆราช' ประดิษฐานวัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี

อัญเชิญพระโกศพระอัฐิพระสังฆราช ขบวนประดิษฐานวัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี วัดแห่งแรกที่ทรงบรรพชาแล้ว ผู้ว่าฯ นำข้าราชการ ประชาชนจำนวนมากร่วมรับเสด็จในพระราชพิธี

เมื่อเวลา 15.15 น. วันที่ 29 ธ.ค. 58 ขบวนอัญเชิญพระโกศพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมี สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รวมทั้งคณะสงฆ์ของวัด และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง จากวัดบวรนิเวศวิหาร ถึงยังบริเวณมณฑลพิธีหน้าศาลหลักเมืองกาญจนบุรี โดยมี นายศักดิ์ สมบุญโต ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วยข้าราชการทุกหมู่เหล่า และชาวกาญจนบุรี ร่วมในพระราชพิธี โดยอัญเชิญพระโกศพระอัฐิสู่พระราชยานประกอบขบวนปี่กลองชนะ เครื่องสูง เคลื่อนขบวนไปตามถนนปากแพรกผ่าน "บ้านคชวัตร" ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติ


พระโกศพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ประดิษฐานภายในพระอุโบสถ วัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี

ระหว่างเส้นทางผ่านทั้ง 2 ฝั่งถนนปากแพรก มีประชาชน นักเรียน เป็นจำนวนมากไปจนถึงวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) พระอารามหลวง ต.บ้านเหนือ อ.เมืองกาญจนบุรี โดยมี พระกิตติสุวัฒนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม และคณะสงฆ์ ร่วมพระราชพิธี จากนั้นประกอบพระราชพิธีอัญเชิญพระโกศพระอัฐิ ประดิษฐานภายในพระอุโบสถ และคณะสงฆ์ ข้าราชการ ประชาชน ถวายสักการะพระอัฐิ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระอัฐิ ประดิษฐานภายในพระอุโบสถวัดเทวสังฆาราม ซึ่งเป็นวัดที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุเป็นแห่งแรก ทั้งนี้ ประชาชนชาวกาญจนบุรี ช่วยกันประดับตกแต่งพระอุโบสถด้วยดอกไม้อย่างสวยสดงดงาม.


พระโกศพระอัฐิพระสังฆราช เดินทางมาถึงวัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี วัดแห่งแรกที่ทรงบรรพชา

ขบวนอัญเชิญพระโกศพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ที่มาภาพจากประชาสัมพันธ์จังหวัดกาญจนบุรี
https://www.thairath.co.th/content/555974
11898  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ให้พรปีใหม่ 2559 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 07:59:30 pm

ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ให้พรปีใหม่ 2559

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ให้พรปี 2559 รักษาศีล 5 อานิสงส์ อายุยืน มีทรัพย์ ปัญญาเฉียบแหลม สมปรารถนาด้วยอำนาจของศีล 5 ขณะที่ มส.-พศ. ชวนพุทธศาสนิกชนสวดมนต์ข้ามปีวัดทั่วประเทศ พร้อมเปิดโบสถ์ วิหาร 24 ชั่วโมง เจริญสติรับมงคลปี 2559

วันนี้ (29 ธ.ค.) สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช อำนวยพรปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช 2559 ความว่า ขอเจริญพร พี่น้องชาวไทยทุกท่าน บัดนี้ ถึงวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ปีพุทธศักราช 2559 เป็นที่ยินดีชื่นใจของประชาชนคนทั้งหลายทั่วไป ที่ได้ดำเนินชีวิตมาโดยสวัสดีอีกปีหนึ่ง สิ่งที่บุคคลปรารถนา ประสงค์จะได้ในโลกนี้ 3 ประการ คือ
    1.มีอายุยืน
    2.มีทรัพย์สมบัติมาก และ
    3.มีปัญญาเฉียบแหลม

ดังนั้น ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจรักษาศีล 5 แล้วจะได้สิ่ง 3 ประการนี้ สมปรารถนา สมดังพระบาลีในขุททกนิกาย อปทาน ที่ว่า
     ปญจ สีลานิ โคเปตฺวา ตโย เหตู ลภามิหํ ทีฆายุโก มหาโภโต ติกฺชปญฺโญ ภวามิหํ
     แปลว่า ข้าพเจ้ารักษาศีล 5 แล้วได้เหตุ คือ อานิสงส์ 3 ประการ คือ
    1.เป็นผู้มีอายุยืน 2.เป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมาก 3.เป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ขออำนวยอวยพร โดยอ้างอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่ได้กระทำไว้ และอำนาจแห่งศีล 5 นี้ จงมาคุ้มครองปกปักรักษาให้ท่านทั้งหลายประสบสิ่งที่พึงปรารถนา พร้อมด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ คุณสารสมบัติ ตลอดปี 2559 นี้ และตลอดไปเทอญฯ



พระพรหมสิทธิ(ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) กล่าวว่า มหาเถรสมาคม(มส.) มีมติเห็นชอบให้วัดทั่วประเทศ และวัดไทยในต่างประเทศ จัดสวดมนต์ข้ามปี ประจำปี 2558 ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 2558- 1 ม.ค. 2559 โดยส่วนกลางมอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) จัดสวดมนต์ข้ามปีที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และวัดปากน้ำภาษีเจริญ ส่วนภูมิภาคให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.) จัดสวดมนต์ข้ามปีตามวัดสำคัญๆ ทั่วประเทศ เพื่อเปิดให้พุทธศาสนิกชนร่วมสวดมนต์ข้ามปี รักษาไว้ซึ่งประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม ดำเนินชีวิตโดยความไม่ประมาทตามวิถีของชาวพุทธ เริ่มชีวิตใหม่ด้วยความสุขสวัสดี และเป็นมงคลชีวิต อย่างแท้จริง ตลอดปี 2559

ส่วนที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้จัดสวดมนต์ข้ามปี รอบบรมบรรพต หรือภูเขาทอง ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้ทางวัดจะมอบพระหลวงพ่อดวงดี จำนวน 50,000 องค์ แผ่นยันต์ น้ำมนต์ให้แก่ผู้ที่มาร่วมเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในการดำเนินชีวิตด้วย


 st12 st12 st12 st12

นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มอบโอวาทในการสวดมนต์ข้ามปีว่า สวดมนต์ข้ามปี หลีกหนีภัยพาล ตั้งใจทำงาน สมานไมตรี เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ สำหรับการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในครั้งนี้ พศ. ได้ร่วมกับมหาเถรสมาคม (มส.) วัด และสำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ ระหว่างวันที่วันที่ 31 ธ.ค. 2558 - 1 ม.ค. 2559 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนลดละเลิกอบายมุข ถือศีลสวดมนต์ และเจริญจิตตภาวนา

โดยจัดกิจกรรมใน 3 ส่วน คือ ส่วนกลาง จัด ณ วัดปากน้ำภาษีเจริญ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีตั้งแต่เวลา 23.00 น. และที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม มีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นประธาน รวมถึงวัดสำคัญ ได้แก่ วัดสระเกศราชวรมหาวิหารวัดไตรมิตรวิทยาราม วัดสัมพันธวงศาราม วัดเทพศิรินทราวาส วัดพิชยญาติการาม วัดยานนาวา วัดประยุรวงศาวาส และวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ส่วนภูมิภาค จัดที่วัดกว่า 30,000 แห่ง และสำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ และวัดไทยในต่างประเทศกว่า500 แห่งทั่วโลก

 st11 st11 st11 st11

นายพนม กล่าวต่อไปว่า มส. ได้มีมติให้ทุกวัดทั่วประเทศเปิดพระอุโบสถ วิหาร และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนได้กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับสิริมงคลในเทศกาลปีใหม่ ขณะเดียวกัน พศ. ยังได้จัดพิมพ์หนังสือธรรมนูญชีวิต โดยพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) และน้ำพระพุทธมนต์ จำนวน 20,000 ชุด มอบให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ และพุทธมณฑล สำหรับผู้สนใจขอรับหนังสือธรรมนูญชีวิตไว้ใช้ศึกษาเป็นแนวทางดำเนินชีวิตในปีใหม่ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร 0-2441-4554 ดังนั้น พศ.จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศร่วมสวดมนต์ข้ามปี เพื่อรับมงคลแก่ชีวิต รวมทั้งเจริญสติ น้อมนำหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสู่การปฏิบัติตลอดปี 2559 ด้วย.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/370015
11899  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / อิ่มบุญ เพลินตา เจริญใจ ณ “วัดเบญจมบพิตรฯ” เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 09:36:14 am


พระอุโบสถหินอ่อนอันงดงาม ณ วัดเบญจมบพิตรฯ


อิ่มบุญ เพลินตา เจริญใจ ณ “วัดเบญจมบพิตรฯ”
โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
             
       “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร” หรือที่ใครหลายคนเรียกสั้นๆ ว่า “วัดเบญจมบพิตรฯ” เป็นหนึ่งในวัดที่ฉันคิดว่างดงามอย่างมีเอกลักษณ์ เนื่องจากมีพระอุโบสถหินอ่อน ที่ตั้งเด่นเป็นสง่างดงามงามอยู่ริมถนนศรีอยุธยา สามารถมองเห็นได้โดยง่าย ไม่เหมือนวัดไหนๆ อีกทั้งในปัจจุบันวัดแห่งนี้ยังได้รับการบูรณะใหม่จนงดงามอย่างเมื่อคครั้งอดีต สุดสัปดาห์นี้ฉันจึงตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวชมความงดงามภายในวัดเบญจมบพิตรฯ

พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ณ “ศาลาร้อยปี ปิยมหาราชอนุสรณ์”

        แต่ก่อนจะเที่ยวชมภายในวัดเบญจมบพิตรฯ กันนั้นฉันก็จะขอเล่าประวัติคร่าวๆ ให้ได้ฟังกันก่อน “วัดเบญจมบพิตรฯ เมื่อครั้งอดีตมีชื่อว่า "วัดแหลม" หรือ "วัดไทรทอง" ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างในสมัยใด จนเมื่อในปี พ.ศ.2369 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองนครเวียงจันทน์ได้ก่อการกบฎยกทัพมาตีไทย พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศิลา เป็นผู้บัญชาการกองทัพในส่วนการรักษาพระนคร โดยทรงตั้งกองบัญชาการอยู่ในบริเวณแห่งนี้

“พระพุทธชินราช” ภายในพระอุโบสถ

        เมื่อเสร็จสิ้นการปราบกบฏ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมด้วยพระเชษฐภคินี พระขนิษฐภคินี และพระกนิษฐภาดา ร่วมเจ้าจอมมารดาอีก 4 พระองค์ ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้น ครั้นถึงรัชสมัยรัชกาลที่ 4 จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดเบญจบพิตร” ซึ่งมีความหมายว่าเป็นวัดของเจ้านาย 5 พระองค์ ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้น ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างพระราชวังสวนดุสิตขึ้น และโปรดเกล้าฯ ทำผาติกรรมสถปนาวัดขึ้นใหม่ และได้พระราชทานชื่อวัดใหม่ว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม


ภาพจิตรกรรมฝาผนัง “พระธาตุพนม” อันงดงามภายในพระอุโบสถ

        เมื่อฉันเดินทางมาถึงวัดเบญจมบพิตรฯ สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดก็เห็นจะเป็น “พระอุโบสถหินอ่อน” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัดแห่งนี้มาอย่างยาวนาน พระอุโบสถแห่งนี้ เป็นพระอุโบสถเป็นแบบจตุรมุข ที่ถูกประดับประดาด้วยประดับด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลีทั้งหลัง และถูกออกแบบให้ไว้อย่างสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบไทยเมื่อฉันมองแล้วก็ช่างเป็นบุญจริงๆ ที่ประเทศไทยของเรานี้ มีโบราณสถานที่งดงามแบบนี้ ตั้งสง่าอวดนักท่อวงเที่ยวทั่วโลกให้ได้ชม

บรรยากาศ ณ กำแพงแก้ว ประดิษฐานพระพุทะรูปปางต่างๆ

        สำหรับภายในพระอุโบสถนั้นประดิษฐาน “พระพุทธชินราช” ที่จำลองมาจากพระพุทธชินราชองค์จริงที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลกและภายในยังมีภาพจิตรกรรมอันงดงาม โดยเฉพาะที่บริเวณช่องคูหาทั้ง 8 จะเป็นภาพสถูปเจดีย์ที่สำคัญทุกภาค อาทิ พระมหาธาตุ จ.ลพบุรี , พระธาตุพนม จ.นครพนม, พระมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช ที่ได้ถูกวาดไว้อย่างงดงามให้ได้ชม และที่บริเวณกำเเพงแก้วรอบพระอุโบสถก็ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ให้ได้เดินชมกันอีกด้วย

“พระที่นั่งทรงผนวช” อันงดงาม

        นอกจากพระอุโบสถอันดงามแล้ว ฉันขอบอกว่าภายในวัดเบญจมบพิตรแห่งนี้ ก็ยังเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสำคัญอื่นๆ ให้ได้ชมกันอีกด้วยนะ ที่แรกที่ฉันแนะนำก็คือ “พระที่นั่งทรงธรรม” พระที่นั่งแห่งนี้ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี ทรงสร้างอุทิศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร มีลักษณะเป็นตึกก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น และเมื่อ พ.ศ. 2445 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ใช้เป็นที่ประทับแรมเวลาทรงธรรมรักษาอุโบสถศีล

“พระที่นั่งทรงธรรม”

        และที่ฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นที่ตั้งของ “พระที่นั่งทรงผนวช” รัชกาลที่5 มรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อจากพุทธรัตนสถาน ที่สวนศิวาลัย ภายในพระบรมมหาราชวังมาไว้ที่นี่เพื่อเป็นกุฏิเจ้าอาวาส โดยยังรักษารูปแบบเดิมไว้ โดยภายในพระที่นั่งทรงผนวช มีพระแท่นบรรทม พระบรมรูปเมื่อทรงผนวช พระบรมรูปสลักหินอ่อน พระพุทธรูป พระเสลี่ยงน้อย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเพื่อเป็นธรรมาสน์แสดงธรรมและแสดงพระปาติโมกข์ครั้งแรกในวัดเบญจมบพิตร และภายในยังมีภาพเขียนเกี่ยวกับพระราชประวัติของรัชกาลที่ 5 ไว้ด้วย สำหรับพระที่นั่งองค์นี้จะเปิดให้เข้าชมก็เฉพาะวันสำคัญเท่านั้น
       
       และที่บริเวณสนามหญ้าใกล้ๆ กัน ก็เป็นที่ตั้งของ “หอระฆังบวรวงศ์” อันงดงาม หอระฆังแห่งนี้ เป็นหอระฆังทรงไทยประกอบหินอ่อน สร้างขึ้นโดยพระบรมวงศานุวงศ์ ฝ่ายพระราชวังบวร (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า)


“หอระฆังบวรวงศ์”

        หลังจากชมความงามของหอระฆังแล้ว เดินถัดมาไกลมากก็จะพบกับ “พระวิหารสมเด็จ” พระวิหารแห่งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ทรงบริจาคพระราชทรัพย์สร้างสำเร็จในปี พ.ศ.2445 ตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะให้เป็น "หอธรรม" หรือ "หอสมุด" ประจำวัด และที่วิหารแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปสำคัญ คือ “พระฝาง” โดยเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างกษัตริย์อันงดงาม ที่ประดิษฐานในบุษบกมุขหน้าชั้นบน ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากภายนอก ได้ชมแล้วงดงามยิ่งนัก

“พระวิหารสมเด็จ”

        และหากใครที่มาเที่ยววัดเบญจมบพิตรฯ แล้ว ก็อย่าลืมไปแวะสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 “ศาลาร้อยปี ปิยมหาราชอนุสรณ์” กันด้วยนะ และฉันอยากจะบอกไว้อีกว่า ในค่ำคืนของวันที่ 31 ธ.ค. 2558 ต่อเนื่องไปวันที่ 1 ม.ค. 2559 หรือที่เราเรียกว่าช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทางวัดเบญจมบพิตรฯ ได้มีการจัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ให้ได้มาร่วมสดมนต์เสริมบารมีรับพรปีใหม่กันด้วยนะ       

“พระฝาง” ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์อันงดงาม

        หลังจากอิ่มเอมกับการชมความงดงามภายในวัดแล้ว ฉันก็ขอบอกไว้เลยว่า วัดเบญจมบพิตรฯ เป็นอีกหนึ่งวัดที่ควรค่าแก่การมาเที่ยวชมจริงๆ เพราะนอกจากจะมีโบราณสถาน โบราณวัตถุอันงดงามหาที่เปรียบให้ได้ชมแล้ว บรรยากาศภายในวัดก็ยังร่มรื่นอีกด้วย ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องมายลวัดเบญจมบพิตรฯ สักครั้ง

บรรยากาศร่มรื่นภายใน “วัดเบญจมบพิตรฯ”

       
       การเดินทาง มีรถประจำทางสาย 5, 16, 23, 50, 70, 72, 99, 201, 3, 505, 509
 
ขอบคุณภาพและบทความจาก     
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000141206
11900  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / รวมสถานที่จัดงาน “สวดมนต์ข้ามปี 2559” ในเขตกรุงเทพมหานคร เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 09:22:42 am


รวมสถานที่จัดงาน “สวดมนต์ข้ามปี 2559” ในเขตกรุงเทพมหานคร

สำหรับชาวพุทธในเขตกรุงเทพมหานคร สามารถเข้าร่วมพิธี "สวดมนต์ข้ามปี 2559" ได้ที่วัดใกล้บ้าน กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลในชีวิต เตรียมต้อนรับสิ่งใหม่ๆในปี พ.ศ.2559 ที่กำลังจะมาถึงนี้ Sanook! Travel ได้ทำการรวบรวมสถานที่จัดพิธีสวดมนต์ข้ามปี 2559 เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครฯ มาฝากกันค่ะ ซึ่งกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีนั้น จะจัดขึ้นพร้อมเพรียงกันในช่วงระหว่างคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2558 ไปจนถึงช่วงเริ่มต้นวันใหม่ของ 1 ม.ค. 2559 ร่วมกันสืบสานพุทธศาสนา เจริญสติ สร้างสมาธิ และทำให้จิตใจสงบ พร้อมกันทั่วประเทศ

 :25: :25: :25: :25:

สถานที่จัดพิธี สวดมนต์ข้ามปี 2559 ในกรุงเทพมหานคร

    สนามหลวง
    วัดอรุณราชวราราม
    วัดเทพลีลา เขตบางกะปิ
    วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน
    วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
    วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร เขตดุสิต
    วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร
    วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์
    วัดยานนาวา เขตสาทร
    วัดบวรนิเวศวิหาร
    วัดราชนัดดาราม
    วัดชนะสงคราม
    วัดอินทรวิหาร
    วัดมหรรณพาราม
    วัดปรินายกวรวิหาร
    วัดราชบูรณะ
    วัดสุทัศนเทพวราราม
    วัดโสมนัสวิหาร
    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์
    วัดสามพระยา
    วัดเทพธิดาราม
    วัดเทพศิรินทราวาส
    วัดปทุมคงคา
    วัดบพิตรภิมุข
    วัดชัยชนะสงคราม
    วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
    วัดราชาธิวาสวิหาร
    วัดทุ่งเศรษฐี
    วัดใหม่ช่องลม
    วัดพลับพลาชัย
    วัดพระราม๙
    วัดหัวลำโพง
    วัดเสมียนนารี
    วัดหลักสี่
    วัดดอนเมือง
    วัดพรหมรังสี
    วัดเวฬุวนาราม(ไผ่เขียว)
    วัดสีกัน
    วัดเทวราชกุญชรฯ
    วัดใหม่อมตรส
    วัดสิตาราม
    วัดดิสานุการราม
    วัดพระพิเรนท์
    วัดคณิกาผล
    วัดกันตุยาราม
    วัดจักรวรรดิราชาวาส
    วัดปราสาทบุญญาวาส
    วัดสุคันธาราม
    วัดอัมพวัน
    วัดจันทรสโมสร
    วัดแก้วฟ้าจุฬามุนี
    วัดสวัสดิ์วารสีมาราม
    วัดน้อยนพคุณ
    วัดใหม่ทองเสน
    วัดธรรมาภิรตาราม
    วัดจอมสุดาราม
    วัดประชาระบือธรรม
    วัดโบสถ์สามเสน
    วัดเลียบราษฎร์บำรุง
    วัดเวตะวันธรรมาวาส
    วัดสร้อยทอง
    วัดมัชณันติการาม
    วัดจอมสุดาราม
    วัดไผ่ตัน
    วัดพรหมวงศาราม
    วัดทัศนารุณสุนทริการาม
    วัดปทุมวนาราม
    วัดมหาพฤฒาราม
    วัดแก้วแจ่มฟ้า
    วัดม่วงแค
    วัดยานนาวา
    วัดบรมสถล
    วัดสุทธิวราราม
    วัดลุ่มเจริญศรัทธา
    วัดคลองใหม่
    วัดปริวาศ
    วัดด่าน
    วัดทองบน
    วัดวรจรรยาวาส
    วัดไผ่เงินโชตนาราม
    วัดเรืองยศสุทธาราม
    วัดบางโคล่นอก
    วัดราชสิงขร
    วัดเทพลีลา
    วัดบึงทองหลาง
    วัดศรีบุญเรือง
    วัดคลองเตยใน
    วัดภาษี
    วัดบุญรอดธรรมาราม
    วัดวชิรธรรมสาธิต
    วัดบางนานอก
    วัดบางนาใน
    วัดศรีเอี่ยม
    วัดทุ่งลานนา
    วัดตะกล่ำ
    วัดลาดบัวขาว
    วัดกระทุ่ม
    วัดยางพระอารามหลวง
    วัดปากบ่อ
    วัดมหาบุศย์
    วัดเทพลีลา
    วัดทองใน
    วัดขจรศิริ
    วัดสายอำพันธ์เอมสาร
    วัดเทพนิมิตต์
    วัดคลองบ้านใหม่
    วัดไตรรัตนาราม
    วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต
    วัดพรพระร่วงประสิทธิ์
    วัดเกาะสุวรรณาราม
    อยู่ดีบำรุงธรรม
    หนองใหญ่
    วัดเจริญธรรมาราม
    วัดบุญศรีมุนีกรณ์
    วัดคู้บอน
    วัดทองสัมฤทธิ์
    วัดบำเพ็ญเหนือ
    วัดบางเพ็งใต้
    วัดแสนสุข
    วัดหนองจอก
    วัดประยงค์กิตติวนาราม
    วัดสีชมพู
    วัดใหม่เจริญราษฎร์
    วัดสามง่าม
    ทรัพย์สโมสรนิกรเกษม
    วัดกัลยาณมิตร
    วัดใหญ่ศรีสุพรรณ
    วัดเวฬุราชิน
    วัดอินทาราม
    วัดประยุรวงศาวาส
    วัดจันทาราม
    วัดราชคฤห์
    วัดกระจับพินิจ
    วัดดาวคะนอง
    วัดบุคลโล
    วัดสันติธรรมาราม
    วัดสุทธาวาส
    วัดกันตทาราราม
    วัดวรามาตยภัณฑสาราราม
    วัดพิชยญาติการาม
    วัดทองนพคุณ
    วัดเศวตฉัตร
    วัดทองเพลง
    วัดสุทธาราม
    วัดบางปะกอก
    วัดหลวงพ่อโอภาสี
    วัดพุทธบูชา
    วัดบางบอน
    วัดนินสุขาราม
    วัดพรหมรังสี
    วัดสะแกงาม
    วัดศรีษะกระบือ
    วัดราชโอรสาราม
    วัดนางนอง
    วัดอรุณราชวราราม
    วัดราชสิทธาราม
    วัดใหม่พิเรนทร์
    วัดดีดวด
    วัดท่าพระ
    วัดประดู่ฉิมพลี
    วัดเจ้ามูล
    วัดนาคกลาง
    วัดสังข์กระจาย
    วัดสุวรรณาราม
    วัดระฆังโฆสิตาราม
    วัดสุวรรณคีรี
    วัดฉิมทายาวาส
    วัดสีหไกรสร
    วัดเจ้าอาม
    วัดนายโรง
    วัดเชิงเลน
    วัดรวกสุทธาราม
    วัดบางเสาธง
    วัดเพลงวิปัสสนา
    วัดอมรทายิการาม
    วัดมะลิ
    วัดดาวดึงษาราม
    วัดอมรคีรี
    วัดภคินีนาถ
    วัดบวรมงคล
    วัดทอง
    วัดเทพนารี
    วัดรวกบางบำหรุ
    วัดชัยพฤกษมาลา
    วัดกาญจนสิงหาสน์
    วัดรัชาธิษฐาน
    วัดประสาท
    วัดเกาะ
    วัดทอง
    วัดพิกุล
    วัดจำปา
    วัดพุทธจักรมงคลชยาราม
    วัดกระจัง
    วัดช่างเหล็ก
    วัดเพลง
    วัดประดิษฐาราม
    วัดปากน้ำ
    วัดนวลนรดิศ
    วัดอัปสรสวรรค์
    วัดคูหาสวรรค์
    วัดนิมมานรดี
    วัดนาคปรก
    วัดโคนอน
    วัดเพลง
    วัดรางบัว
    วัดตะล่อม
    วัดอ่างแก้ว
    วัดจันทร์ประดิษฐาราม
    วัดบุณยประดิษฐ์
    วัดพรหมสุวรรณสามัคคี
    วัดม่วง
    วัดชัยฉิมพลี
    วัดนิมานรดี
    วัดปรุณาวาส
    วัดโกมุทพุทธรังสี
    วัดวิศิษฎ์บุญญาวาส
    วัดอุดมรังสี
    วัดวงษ์ลาภาราม
    วัดไผ่เลี้ยง
    วัดทองเนียม


ขอบคุณข้อมูล จาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย,กรมการศาสนา
ภาพและข่าวจาก http://travel.sanook.com/1397265/
11901  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผู้นำญี่ปุ่นยอมขอโทษ ชดใช้ทาสบำเรอกาม 300 ล้านบาท เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 09:18:16 am


ผู้นำญี่ปุ่นยอมขอโทษ ชดใช้ทาสบำเรอกาม

ผู้นำญี่ปุ่นขอโทษทาสบำเรอกามสงครามโลกเป็นครั้งแรก ชดใช้เงินหญิงเกาหลี 300 ล้าน

นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น ได้พลิกท่าทีของประเทศครั้งประวัติศาสตร์ โดยกล่าวขอโทษหญิงชาวเกาหลีใต้ที่ต้องตกเป็นทาสบำเรอกามให้กับกองทัพญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมตกลงที่จะจ่ายค่าชดเชยให้รวม 1,000 ล้านเยน (ราว 300 ล้านบาท)

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ตกลงกันแล้วว่า การขอโทษและชดใช้เงินดังกล่าวจะเป็นทางออกที่ทั้งสองฝ่ายจะไม่สามารถกลับคำได้อีก หลังจากที่ปัญหาดังกล่าวเรื้อรังและกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมานานหลายทศวรรษ


 :96: :96: :96: :96:

"นายกรัฐมนตรีอาเบะขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งอีกครั้ง ไปยังผู้หญิงทุกคนที่เผชิญประสบการณ์อันเจ็บปวดเหลือคณานับ ต้องทนทุกข์กับบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ไม่สามารถเยียวยาได้ ในฐานะหญิงบำเรอกาม" ฟูมิโอะ คิชิดะ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ถ่ายทอดสาสน์ของอาเบะ ระหว่างการแถลงข่าวร่วมในกรุงโซล เกาหลีใต้ พร้อมย้ำว่า รัฐบาลญี่ปุ่นตระหนักดีถึงความรับผิดชอบจากเรื่องดังกล่าว

ประธานาธิบดี ปาร์กกึนเฮ ของเกาหลีใต้ กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวอาจเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ในความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.posttoday.com/world/news/407249
11902  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไมม้าทรงจึงหางชี้.!! ที่อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่ เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 09:09:59 am


ม้าทรงยืนนิ่งแต่หางชี้ ที่พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินวงเวียนใหญ่

ทำไมม้าทรงจึงหางชี้.!! ที่อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่.!

        ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นวันที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชชาติไทยหลังจากเสียกรุงครั้งที่สอง ทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ ๒๘ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันถวายบังคมพระบรมราชาอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยจะมีพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณของพระองค์ ที่พระบรมราชานุสาวรีย์ วงเวียนใหญ่
       
       พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้ หลังจากทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๙๗ เป็นต้นมา หลายคนที่ผ่านไปมาก็เกิดข้อข้องใจ และวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันมากว่า
       
        “ทำไมหางม้า และขนหาง จึงชี้ตรงออกไป ทั้งๆที่ม้าไม่ได้วิ่ง!”
       
        เสียงวิพากษ์วิจารณ์นี้แพร่กระจายไปทั่ว จนศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ออกแบบอนุสาวรีย์นี้ให้ อาจารย์แสวง สงฆ์มั่งมี เป็นผู้ปั้น ก็ไม่อาจจะนิ่งเฉยอยู่ได้ และศิลปินผู้สร้างงานก็มีคำตอบทุกข้อสงสัย


        :96: :96: :96: :96: :96:

        ศาสตราจารย์ศิลป์บอกว่า ถ้าหางนี้อยู่ผิดลักษณะ ก็สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้โดยง่าย แค่ตัดมันออกแล้วต่อใหม่ให้ห้อยลงมาอย่างที่ต้องการก็สิ้นเรื่อง และสามารถทำม้าในท่าต่างๆให้ถูกใจคนวิจารณ์ได้มากมายหลายท่า แต่งานศิลปะทุกชิ้นขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของศิลปิน เป็นธรรมดาที่จะต้องทำไปตามความคิดเห็นของศิลปินผู้สร้างงาน จึงขออธิบายเรื่องนี้ว่า
       
        อันดับแรก เรื่องสัดส่วนของพระบรมรูปกับม้าทรง เพื่อให้สอดคล้องกับความจริงในประวัติศาสตร์ จึงทำให้ม้าทรงมีลักษณะเป็นม้าไทย ไม่ใช่ม้าเทศ แม้จะทำให้ค่อนข้างใหญ่กว่าม้าไทยธรรมดาแล้วก็ตาม แต่กระนั้นส่วนสัดของพระบรมรูปกับม้าทรงก็ยังไม่เหมือนกับส่วนสัดของอนุสาวรีย์ขี่ม้าในยุโรปและอเมริกา
       
       อากัปกิริยาของม้าก็เช่นกัน คนส่วนมากจะเห็นม้าในลักษณะที่กำลังยกขาขึ้นก้าวเดิน เหมือนกับม้าตามแบบฉบับของกรีกและโรมัน และย้ำอีกครั้งว่าศิลปินแต่ละคนก็มีความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งไม่เหมือนกับศิลปินคนอื่นๆ ถึงแม้จะคิดเรื่องเดียวกันก็ตาม ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงทำแบบพิมพ์ของรูปที่ถือเป็นแบบฉบับไว้ แล้วหล่อออกมาเหมือนกันทุกรูปต่อๆ ไป ไม่ต้องเสียเวลามาปั้นใหม่

        ans1 ans1 ans1 ans1

        “แต่นี่ข้าพเจ้าทำคิดทำอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินในลักษณะวีรบุรุษไทย มิใช่ในลักษณะของจักรพรรดิโรมัน ข้าพเจ้าคิดเห็นพระองค์ในการกระทำเพื่อมนุษยธรรมอย่างแท้จริงเพื่อกอบกู้อิสรภาพของชาติไทย ในยามที่ความหวังทั้งหลายดูเหมือนสูญสิ้นไปแล้วจากจิตใจของชาวไทยทั้งมวล ข้าพเจ้าคิดเห็นองค์วีรบุรุษของเราในขณะทำการปลุกใจทหารหาญให้เข้าโจมตีข้าศึกเพื่อชัยชนะ ดังนั้นในความรู้สึกที่แสดงออกในพระพระพักตร์จึงเต็มไปด้วยสมาธิในความคิดเห็น และเต็มไปด้วยลักษณะของชาติชาตรี”
       
        ทั้งพระเจ้าตากสินและม้าทรงต่างอยู่ในอาการตึงเครียด พระองค์กระชับบังเหียนเพื่อจะรุดไปข้างหน้า และม้าทรงก็ตื่นเต้นคึกคักที่จะพุ่งไปข้างหน้าเช่นกัน เมื่อเป็นดังนี้หูและหางที่ชันชี้ จึงสอดคล้องกับความตื่นคะนองของสัตว์
       
        ผู้วิจารณ์หลายคนบอกว่า ม้ากำลังตื่นคะนองจะยกหางขึ้นก็จริง แต่ก็ยกได้เพียงส่วนที่เป็นกระดูกเท่านั้น ขนยังต้องหอยลงมา


        :25: :25: :25: :25:

        อาจารย์ศิลป์ยอมรับว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตที่สมเหตุผล แต่อาจารย์เห็นว่าหางของสัตว์ใดๆ ก็ตามอาจยกขึ้นโดยแรงเหวี่ยงของกระดูก ซึ่งจะส่งผลถึงขนด้วย เหมือนม้าที่ถูกรบกวนจากแมลงแล้วสะบัดหางไปมา ความคิดที่ทำก็เพื่อเสริมความรู้สึกที่จะเคลื่อนไปข้างหน้า

        ยังมีประชาชนกล่าวอีกว่า ลักษณะการวางขาของม้าควรจะแตกต่างกัน อาจารย์ศิลป์ก็ว่าเป็นการง่ายที่จะปั้นขาหลังหรือขาหน้าให้อยู่ในท่าที่ไม่เหมือนกัน แต่ที่ไม่ทำเช่นนั้นก็เพราะคิดว่าม้าทรงถึงจุดสุดยอดของอาการที่จะพุ่งตัวออก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรึงกีบมั่นกับพื้น เพื่อให้มีพลังที่จะโผนไปข้างหน้า หากขาหนึ่งแปลกออกไป จะลดคุณค่าความเป็นจริงที่มุ่งหมาย และว่า
       
        “ข้าพเจ้าต้องการให้พระบรมรูปนี้แทนองค์วีรบุรุษในขณะประกอบวีรกรรม มิใช่อนุสาวรีย์ของนายทัพที่นั่งผึ่งผายอยู่บนหลังม้าเพื่อรับคำสรรเสริญอย่างกึกก้องจากฝูงชนที่คับคั่งตามท้องถนน โห่ร้องต้อนรับผู้มีชัย ซึ่งส่วนมากท่าทางของม้าที่ปั้นนั้นมีลักษณะเหมือนม้าที่สง่างามของละครสัตว์”

       
         :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

        อาจารย์ศิลป์ พีระศรียังอธิบายถึงความคิดของท่านในการออกแบบพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้อีกว่า
       
        “ผู้ชายจะปรากฏกำลังอำนาจของระบบกล้ามเนื้อและจะดุดันน่ากลัว ก็ในขณะที่เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ด้วยความตื่นเต้นอย่างรุนแรงมากกว่าเมื่อกำลังต่อสู้กัน เหมือนกับระบบกล้ามเนื้อของเสือที่กำลังจับเหยื่อ ในขณะที่มันพร้อมจะกระโจนออกย่อมมีความเกร็งแกร่งมากกว่าเมื่อมันตะปบเหยื่อได้แล้ว”


        :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

        อาจารย์ศิลป์ พีระศรีได้เปรียบเทียบพระบรมรูปและม้าทรงของพระเจ้าตากสิน กับพระบรมรูปของสมเด็จพระปิยมหาราชไว้ว่า
       
        “จะเห็นได้โดยชัดเจนว่า อนุสาวรีย์แรกเป็นอนุสาวรีย์แด่ชายชาตินักรบที่ออกศึกเพื่อกอบกู้อิสรภาพให้แก่ชาติ ส่วนอนุสาวรีย์หลังเป็นอนุสาวรีย์แด่องค์พระมหากษัตริย์ซึ่งพระราชกรณียกิจของพระองค์ได้อำนวยประศาสโนบายปกครองบ้านเมืองอย่างเลอเลิศ ด้วยเหตุฉะนั้นเองที่มีความสุขุมคัมภีรภาพและความสง่าผ่าเผย จึงปรากฏสมบูรณ์ในอนุสาวรีย์ของพระบรมรูปทรงม้าพระปิยมหาราช”


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000141841
11903  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บริการขนส่งสาธารณะสวดมนต์ข้ามปี เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 09:02:01 am


บริการขนส่งสาธารณะสวดมนต์ข้ามปี

กรมการศาสนา ประสาน ขสมก.-บีทีเอส-รถไฟใต้ดิน-แท็กซี่ ขยายเวลาให้บริการ รับ-ส่ง ประชาชน ถึง เวลา 02.00 น.ของวันที่ 1 ม.ค.2559

วันนี้ (28 ธ.ค.) นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ ปี 2559 ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค.2558 ถึง 1 ม.ค.2559 ว่า ขณะนี้ ศน.ได้จัดพิมพ์หนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ สำหรับแจกให้แก่พุทธศาสนิกชน โดยมอบให้วัดต่างๆที่เข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีทั่วประเทศกว่า 3 หมื่นวัดแล้ว

ซึ่งการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในปีนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการทำงานแบบบูรณาการการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนกว่า 23 แห่ง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร กรมเจ้าท่า เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่


 :25: :25: :25: :25:

อธิบดีศน.กล่าวต่อไปว่า สำหรับการเดินทางมาร่วมกิจกรรมในวัดเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ค่อนข้างเป็นปัญหานั้น ในปีนี้ ศน.ได้เตรียมแก้ปัญหาและวางแผนอำนวยความสะดวกในเบื้องต้นไว้แล้ว โดยได้ประสานงานกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)ในการจัดบริการรถเมล์สำหรับประชาชนอย่างเพียงพอ รวมถึงรถไฟฟ้าบีทีเอส และเอ็มอาร์ที ได้ขยายเวลาให้บริการจากเดิมปิดให้บริการเวลา 24.00 น. เลื่อนออกไปปิดให้บริการในเวลา 02.00 น.ของวันที่ 1 ม.ค. 2559 แทน

ตลอดจนได้ประสานกับสมาคมแท็กซี่ และสหกรณ์แท็กซี่ เพื่อจัดเตรียมรถแท็กซี่คอยรับส่งประชาชนตามวัดต่างๆด้วย ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือติดขัดปัญหาในการเข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ประสานงานและอำนวยความสะดวกของศน.ได้ 24 ชั่วโมง ที่ฮอตไลน์ โทร. 09-2446-8739 และ 09-2446-8038.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/369765
11904  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมศิลป์ติวพระอนุรักษ์ของเก่า เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 08:59:29 am



กรมศิลป์ติวพระอนุรักษ์ของเก่า

กรมศิลปากร ถวายความรู้พระสังฆาธิการและฆราวาสผู้สนับสนุนวัดที่มีโบราณสถาน สร้างความเข้าในการอนุรักษ์ พร้อมสร้างเครือข่ายดูแลทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ

วันนี้ ( 28ธ.ค.) นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม เปิดเผยว่า การดูแลทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ยังมีปัญหาในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ และความร่วมมือในการดูแล โดยเฉพาะในวัดต่างๆ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากร ดำเนินโครงการดูแลทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ

โดยจัดสัมมนาถวายความรู้แด่พระสังฆาธิการ และฆราวาสผู้สนับสนุนของวัดที่มีโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อแก้ปัญหาความเข้าใจผิดและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการอนุรักษ์และ สร้างความร่วมมือในการดูแลทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตลอดจนประเพณี ความเชื่อ ซึ่งมีพระสงฆ์และชาวบ้านเป็นผู้ดูแลรักษาทรัพย์สินทางศิลปวัฒนธรรมสืบต่อกัน มา

 :25: :25: :25: :25:

ด้านนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ กรมศิลปากรได้จัดสัมมนาถวายความรู้แด่พระสังฆาธิการ และฆราวาสผู้สนับสนุนของวัดที่มีโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลไป แล้ว โดยมีพระสงฆ์เข้าร่วมการสัมมนาประมาณ 300 รูป และฆราวาสผู้สนับสนุนวัดกว่า 100 คน ซึ่งตนมั่นใจว่าพระสงฆ์และฆราวาสกลุ่มนี้จะเป็นเครือข่ายสำคัญในการอนุรักษ์ มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติให้ยั่งยืน

ทั้งนี้ กรมศิลปากรจะนำผลที่ได้จากการสัมมนา ซึ่งมีทั้งการให้ความรู้ความเข้าใจในข้อกำหนด กฎหมาย และระเบียบต่างๆ ตลอดจนนโยบายและการดำเนินการในเรื่องของการดูแลรักษาโบราณสถาน และข้อเสนอแนะจากที่ประชุมมาใช้ต่อยอดในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/369769
11905  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เดินหน้าปฏิรูปพุทธ ตามโรดแมปรัฐ เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 08:55:17 am



เดินหน้าปฏิรูปพุทธ ตามโรดแมปรัฐ

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เร่งวิเคราะห์ผลประชุมระดมความคิดเห็น เพื่อจัดทำร่างแผนปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ตามโรดแมปรัฐบาล

วันนี้ (28 ธ.ค.) นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการร่างแผนปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ว่า พศ.ได้จัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการระดมความคิดเห็น เพื่อพัฒนาภารกิจงานคณะสงฆ์ในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ไปแล้ว 3 ครั้ง โดยหลังจากนี้จะนำผลสรุปจากการประชุมทั้ง 3 ครั้ง มาร่างแผนการดำเนินงานเพื่อปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ซึ่งจะต้องร่างแผนดังกล่าวให้เสร็จในเดือนมกราคม2559

อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้กำหนดให้ต้องมีการดำเนินการในแผนระยะแรก ในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือนก่อน ดังนั้น พศ.จะเสนอ 3 เรื่องที่ได้เริ่มดำเนินการมาแล้ว เพื่อนำเสนอเข้าสู่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) คือ
      1.ร่างพ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรม
      2.แนวทางการดำเนินงานพัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ซึ่งจะต้องมีการร่างแผนแม่บทในการพัฒนาพุทธมณฑลให้แล้วเสร็จในช่วงเดือน มกราคม2559 และ
      3.การนำเรื่องวิชาการพระพุทธศาสนาเข้าไปอยู่ในระบบการศึกษาทุกระดับ


 :25: :25: :25: :25:

ส่วนการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนานั้น มีเรื่องที่สามารถทำได้ทันที เช่น การจัดทำบัญชีทรัพย์สินของวัด การแก้ปัญหาพระสงฆ์ต่างชาติ เป็นต้น
     "สำหรับความคิดเห็นของการสัมมนาเชิงวิชาการทั้ง 2 ครั้ง คณะสงฆ์ และผู้เกี่ยวข้องมีความเห็นที่ตรงกัน ว่า ควรดูแลเรื่องการบริหารจัดการวัด พัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งระบบ คือ แผนกธรรม แผนกบาลี และแผนกสามัญศึกษา เพื่อสร้างศาสนทายาท ให้มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม
     ในขณะเดียวกันยังเห็นว่า ควรที่จะให้ความรู้พระภิกษุ สามเณรในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างเหมาะสมด้วย เนื่องจากหากใช้ไม่เหมาะสม ก็จะเกิดผลกระทบในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ซึ่ง พศ.จะวิเคราะห์ความเห็นต่างๆ มาจัดทำร่างแผนปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ระยะที่ 2 ต่อไป"
รองผอ.พศ.กล่าว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/369772
11906  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วงการสงฆ์ฉาวซ้ำ! พระเรี่ยไรเงินกลางเชียงใหม่ พอไม่ได้ “ชูนิ้วกลาง” เฉย เมื่อ: ธันวาคม 29, 2015, 08:50:55 am


วงการสงฆ์ฉาวซ้ำ! พระเรี่ยไรเงินกลางเชียงใหม่ พอไม่ได้ “ชูนิ้วกลาง” เฉย

เชียงใหม่ - แชร์กันว่อน ภาพพระสงฆ์ 4 รูปจากต่างถิ่นพากันเดินเรี่ยไรขอปัจจัยในตัวเมืองเชียงใหม่ พอไม่ได้กลับ “ชูนิ้วกลาง” ทำนองให้ของลับหน้าตาเฉย ชาวเน็ตวิจารณ์กันสนั่น
       
       วันนี้ (28 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Chayuti Janrakongtong ได้โพสต์ภาพพระสงฆ์ 4 รูป พร้อมระบุข้อความว่า “พระสงฆ์ต่างถิ่นมาเรี่ยไรเงิน ไม่ให้ชูนิ้วกลางให้ไม่เหมาะสม” จนมีการแชร์-แสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียกันอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง


         :96: :96: :96: :96:

       โดยในภาพมีพระสงฆ์จำนวน 4 รูป แต่มีรูปหนึ่งประพฤติปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมในฐานะบรรพชิต ด้วยการ “โชว์นิ้วกลาง” ลักษณะให้ของลับ จึงทำให้เรื่องดังกล่าวแชร์ไปอย่างกว้างขวาง และมีการโพสต์แสดงความคิดเห็นต่างๆ นานาว่าพระสงฆ์สามารถแสดงกิริยาท่าทางได้หรือไม่ ผิดกฎสงฆ์หรือไม่
       
       ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนดังกล่าวยังระบุด้วยว่า “เชียงใหม่มีพระต่างถิ่นเข้ามาไม่ทราบว่าจะมาทำกิจกรรมอะไร...แต่เดินมาขอเงิน...100฿บาท...เงียบละมองอย่างเวทนา...ฤดูการหากินของกลุ่มจะของจริงหรือของแท้ดูพฤติกรรมที่จะเห็นได้ ฝากระวังกันด้วย ฝากแชร์กัน พระกับการกระทำตามรูปใช้ความคิดก่อนตัดสินใจ...พระสงฆ์คือผู้ถ่ายทอดหลักธรรมคำสั่งสอน...มิใช่เดินขอเงินจากผู้คน...คิดว่าจะใช้จีวรมาหากิน...ช่วยกันระวัง...มารศาสนา”




       
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000142107
11907  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / รับโชครับชัย ปีใหม่ไหว้ 9 พระวังหน้า...พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน เมื่อ: ธันวาคม 28, 2015, 10:01:11 am


พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร


รับโชครับชัย ปีใหม่ไหว้ 9 พระวังหน้า...พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน

        ในช่วงวันปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2558 - 24 มกราคม 2559 มีกิจกรรมดีๆ ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากรได้จัดขึ้น คือกิจกรรมไหว้พระเนื่องในเทศกาลขึ้นปีใหม่ “ไหว้พระวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน” เพื่อความเป็นสิริมงคลในปีพุทธศักราช 2559 ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2558 - 24 มกราคม 2559 ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่ได้นำเอาพระพุทธรูปโบราณที่มีประวัติความเป็นมา และสร้างขึ้นตามคติอันเป็นมงคล ซึ่งพุทธศาสนิกชนไม่ค่อยได้มีโอกาสสักการะบูชาโดยทั่วไป จำนวน 9 องค์ ออกให้กราบบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล ประกอบด้วย


พระพุทธสิหิงค์

        1. พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) กราบบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลและช่วยให้ประเทศชาติผ่านพ้นอวมงคลการต่างๆ
       
       แบบศิลปะ : สุโขทัย-ล้านนา ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 20-21
       ชนิด : สำริด กะไหล่ทอง
       ประวัติ : สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้ารัชกาลที่ 1) ทรงอัญเชิญมาจากเมืองเชียงใหม่เมื่อประมาณ พ.ศ.2338
       สถานที่เก็บรักษา : ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพระที่นั่งพุทไธสวรรย์
       
       พระพุทธสิหิงค์ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์แสดงปางสมาธิ มีพระรัศมีคล้ายเปลวเพลิง สร้างขึ้นตามตำนานที่ปรากฏในนิทานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งแต่งเป็นภาษาบาลีโดยพระโพธิรังสี พระภิกษุชาวเชียงใหม่ ในระหว่าง พ.ศ. 1945-1985 พระพุทธสิหิงค์ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปตามหัวเมืองสำคัญต่างๆ หลายครั้ง
       
       แม้ตำนานจะกล่าวถึงพระพุทธสิหิงค์ว่ามีความเก่าแก่และได้รับเคารพนับถือสืบเนื่องมายาวนานตั้งแต่ พ.ศ. 700 แต่รูปแบบศิลปะที่ปรากฏน่าจะเป็นปั้น-หล่อขึ้นในช่วงปลายพุทธศววรรษที่ 20-21 (ประมาณ 500-600 ปีมาแล้ว) ในรูปแบบศิลปะสุโขทัย-ล้านนา การมีพระพุทธสิหิงค์ไว้เคารพบูชา ก็หมายถึงพระพุทธศาสนาได้เป็นที่เคารพบูชาในดินแดนแถบนั้น ดังความของพระโพธิรังสี กล่าวไว้ว่า "พระพุทธสิหิงค์เมื่อประทับอยู่ ณ ที่ใด ย่อมทรงทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรือง ดั่งดวงประทีปชัชวาล เหมือนหนึ่งว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่"



พระพุทธรูปทรงเครื่อง

        2. พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 มีความหมายถึงธรรมอันเป็นแก่นสารยิ่งกว่าอำนาจแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
       
       แบบศิลปะ : ล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21
       ชนิด : สำริด ปิดทอง
       ประวัติ : ของหลวงพระราชทาน มาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2469
       สถานที่เก็บรักษา : ห้องศิลปะล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
       
       พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 (ประมาณ 500 ปีมาแล้ว) สร้างขึ้นตามคติเรื่องชมพูบดีสูตร หรือพระพุทธเจ้าทรงทรมานพระยาชมพูบดี โดยทรงบันดาลพระเวฬุวันวิหารประดุจเมืองสวรรค์ และเนรมิตพระองค์ทรงเครื่องพระจักรพรรดิราช แสดงบุญญานุภาพเหนือพระยามหากษัตริย์ทั้งปวง เพื่อคลายทิฐิมานะแห่งพระยามหาชมพูกษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพ และทรงแสดงธรรมจนกระทั่งพระยามหาชมพูสิ้นมานะ ขอบวชเป็นพระสาวกในพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิจึงหมายถึงอำนาจ และธรรมอันเป็นแก่นสารยิ่งกว่าอำนาจแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหลาย พระพุทธรูปทรงเครื่องยังอาจหมายถึงพระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย พระอนาคตพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ในภัททกัลป์ ที่จะมาบังเกิดเมื่อสิ้นสุดยุคของพระพุทธเจ้าโคตม



พระชัยเมืองนครราชสีมา

        3. พระชัยเมืองนครราชสีมา พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ศิลปะอยุธยา ความหมายถึงชัยชนะ ขจัดอุปสรรคต่างๆ และอำนวยพรให้สำเร็จผล
       
       แบบศิลปะ : ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 20
       ชนิด : สำริด
       ประวัติ : ย้ายมาจากห้องกลางกระทรวงมหาดไทย
       สถานที่เก็บรักษา : ห้องศิลปะอยุธยา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
       
       พระพุทธรูปแสดงปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ลักษณะแบบศิลปะอู่ทอง 2 มีจารึกอักษรขอม ภาษาบาลี ที่องค์พระโดยรอบ อาทิ คาถากาสลัก หัวใจพระรัตนตรัย และคาถาพระเจ้า 5 พระองค์ เป็นต้น “พระชัย” หรือ “พระไชย” นี้ เป็นพระพุทธรูปสำคัญมาแต่บรรพกาล ปรากฏในพระราชพงศาวดารตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นต้นมา เพื่ออัญเชิญไปในกองทัพยามออกศึกสงครามเพื่อชัยชนะ ใช้เชิญไปในกระบวนเสด็จฯ เพื่อประทับแรมนอกพระนคร และอัญเชิญตั้งในการพระราชพิธีต่างๆ เรียกว่า พระชัยพิธี สำหรับขจัดอุปสรรคต่างๆ และอำนวยพรให้พิธีกรรมสำเร็จผล



พระพุทธรูปปางประทานธรรม

        4. พระพุทธรูปปางประทานธรรม ศิลปะอยุธยา หมายถึงการแสดงธรรม การหมุนวงล้อแห่งธรรม เพื่อเผยแผ่พระศาสนา อันเป็นพุทธกิจสำคัญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
       
       แบบศิลปะ : ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 21-22
       ชนิด : สำริด ปิดทอง
       ประวัติ : พบที่วัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ย้าย มาจากอยุธยาพิพิธภัณฑสถาน เมื่อ 4 พฤศจิกายน 2473
       สถานที่เก็บรักษา : คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
       
       พระพุทธรูปปางประทานธรรม พระพุทธรูปสำริดลงรักปิดทองทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ซ้ายทรงกำด้ามตาลปัตรโลหะขนาดเล็กที่พระเพลา พระหัตถ์ขวาทรงงอนิ้วพระหัตถ์จับขอบพัดด้านบนระดับพระอุระ คติการถือตาลปัตรแสดงธรรมนั้นสันนิษฐานกันว่ารับจากการแผ่พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ของลังกา ตั้งแต่ราวราวปลายพุทธศตวรรษที่ 19 - ต้น 20 หรือไม่ต่ำกว่า 600 ปีมาแล้ว
       
       พระพุทธรูปทรงตาลปัตรในศิลปะอยุธยาหลายองค์มีการประดับรูปจักรหรือธรรมจักรที่ฐาน ซึ่งตามปกติแล้วพระพุทธรูปทรงตาลปัตรย่อมหมายถึงพระพุทธรูปในอิริยาบถทรงแสดงธรรม แต่การประดับธรรมจักรที่ฐานจึงทำให้คิดไปได้ว่าผู้สร้างต้องการแสดงว่าคือพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา พระบรมศาสดาทรงแสดง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรให้เป็นไปหรือดำเนินไป คือการหมุนวงล้อแห่งธรรม เพื่อเผยแผ่พระศาสนา อันเป็นพุทธกิจสำคัญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์



พระพุทธรูปปางลองหนาว

        5. พระพุทธรูปปางลองหนาว พระพุทธรูปสำริดประทับนั่ง ศิลปะล้านนา บูชาเพื่อระลึกถึงการประมาณตน การกำหนดความพอเพียง รู้จักความพอดี
       
       แบบศิลปะ : ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 22-23
       ชนิด : สำริด
       ประวัติ : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2469
       สถานที่เก็บรักษา : คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น
       
       พระพุทธรูปปางลองหนาว พระพุทธรูปสำริดประทับนั่งทรงจีวรคลุมพระวรกายทดลองหนาว เพื่อจะได้ทรงทราบประมาณและประทานพระบรมพุทธานุญาตจีวรบริขารสำหรับภิกษุสงฆ์แต่พอดี
       
       เหตุการณ์พระบรมศาสดาทรงจีวรคลุมพระวรกายเพื่อทดลองความหนาวนี้ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค จีวรขันธกะ ได้ระบุว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพระดำเนินจากนครราชคฤห์ไปนครเวสาลี ระหว่างทางได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุหลายรูปหอบผ้าพะรุงพะรัง จึงทรงพระดำริว่าจะตั้งกฎในเรื่องผ้าแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยทรงทดลองห่มจีวรคลุมพระวรกายตลอดราตรีในฤดูหนาว ทรงจีวร 4 ผืนพอทนหนาวได้จนรุ่งสาง พระพุทธองค์ทรงพระดำริว่า “กุลบุตรในธรรมวินัยนี้ ที่เป็นคนขี้หนาว กลัวต่อความหนาว ก็อาจดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยผ้าสามผืน ไฉนหนอ เราจะพึงกั้นเขต ตั้งกฎในเรื่องผ้าแก่ภิกษุทั้งหลาย เราจะพึงอนุญาตไตรจีวร.” ซึ่งไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่ภิกษุสงฆ์นั้น ได้แก่ ผ้าสังฆาฏิ 2 ชั้น ผ้าอุตราสงค์ชั้นเดียว ผ้าอันตรวาสกชั้นเดียว



พระพุทธรูปปางฉันสมอ

        6. พระพุทธรูปปางฉันสมอ ศิลปะรัตนโกสินทร์ บูชาเพื่อให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
       
       แบบศิลปะ : ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 24
       ชนิด : ทองเหลืองกะไหล่ทอง ลงยาสี
       ประวัติ : เป็นของอยู่ในพระที่นั่งพุไธสวรรย์มาแต่เดิม
       สถานที่เก็บรักษา : ห้องศิลปะรัตนโกสินทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
       
       พระฉันสมอ พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวาวางคว่ำบนพระชานุ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายระหว่างพระบาททั้งสองข้าง แม้ว่าผลสมอที่เคยประดับในพระหัตถ์จะหายไปแล้ว แต่การทรงจีวรที่มีอิทธิพลจีนนี้สามารถเทียบเคียงได้กับ พระฉันสมอ พระพุทธรูปสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเจ้าจอมน้อย (สุหรานากง) ไปประดิษฐานที่วัดอัปสรสวรรค์
       
       เหตุการณ์สัปดาห์ที่ 7 ภายหลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พระพุทธองค์เสด็จมาประทับเสวยวิมุติสุขใต้ร่มไม้เกต (ราชายตนพฤกษ์) ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่าภายหลังจากที่สมเด็จพระบรมศาสดาประทับนั่งขัดสมาธิอย่างเดียวตลอด 7 วัน รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันขึ้น 6 ค่ำ เดือนอาสาฬหะ (เดือน 8) จะทรงมีพุทธกิจรับข้าวสัตตุผง สัตตุก้อน พระกระยาหารจากสองพ่อค้า ตปุสสะ และ ภัลลิกะ พระอินทร์ “จึงทรงน้อมถวายผลสมอเป็นพระโอสถในเวลาอรุณขึ้น ณ วันที่ทรงออกจากสมาธิทีเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยผลสมอพระโอสถนั้น พอเสวยเสร็จเท่านั้น ก็ได้มีกิจเนื่องด้วยพระสรีระ [ลงพระบังคนหนัก] ท้าวสักกะได้ถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบ้วนพระโอษฐ์แล้วประทับนั่งที่โคนต้นไม้นั้นนั่นแล...”
       
       จากเหตุการณ์นี้เอง พระพุทธรูปปางฉันสมอ จึงมีนัยสื่อถึงการรักษาโรคาพยาธิ เหตุด้วยผลสมอเป็นเภสัชที่ทรงมีพุทธานุญาตแก่ภิกษุสาวกที่อาพาธ พระฉันสมอจึงบูชาเพื่อความปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ



พระพุทธรูปปางโปรดมหิศรเทพบุตร

        7. พระพุทธรูปปางโปรดมหิศรเทพบุตร (พระศิวะ) เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติผู้ที่เคารพกราบไหว้ ไม่อยู่ในความประมาท ขจัดมิจฉาทิฐิ หรือความเห็นผิด
       
       แบบศิลปะ : ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 24
       ชนิด : ทองเหลืองรมดำ
       ประวัติ : สมบัติเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
       สถานที่เก็บรักษา : ห้องศิลปะล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
       
       พระพุทธรูปปางโปรดมหิศรเทพบุตร (พระศิวะ) สร้างตามคติพระพุทธองค์ทรงทรมานมหิศรเทพบุตร ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์สายโลกยศาสตร์ เช่น คัมภีร์โลกบัญญัติ คัมภีร์โลกสัณฐานโชตรตนคัณฐี และคัมภีร์ไตรโลกวินิจฉยกถา มีความกล่าวว่า มหิศรเทพบุตรมีความไม่พอใจที่เทวดาทั้งหลายไปนบนอบต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไปท้าประลองฤทธานุภาพด้วยการซ่อนหา มหิศรเทพบุตรแสดงฤทธิ์ซ่อนกายในที่ต่างๆ แต่ไม่อาจหลบซ่อนจากพระญาณของพระพุทธองค์ได้ ครั้นพระบรมศาสดาทรงแสดงฤทธิ์อันตรธานหายไป มหิศรเทพบุตรหาไม่พบ จึงยอมจำนน พระบรมศาสดาได้ตรัสเทศนาจนมหิศรเทพบุตรบรรลุธรรม ภายหลังพุทธปรินิพพาน มหิศรเทพบุตรได้เนรมิตพระพุทธปฏิมาเทินไว้เหนือเศียร อัญเชิญไปประดิษฐานยังพระมหาวิหารบนเขามันทคีรี มหิศรเทพบุตรจึงเป็นผู้ทรงพระพุทธองค์ไว้เหนือเศียรเกล้า
       
       พระพุทธรูปโปรดมหิศรเทพบุตร ศิลปะรัตนโกสินทร์ องค์นี้มีความพิเศษตามปกติรูปพระมหิศรเทพบุตร (พระศิวะ) มักจะมีหลายกรและแสดงมหิทธานุภาพโดยถือเทพอาวุธต่างๆ แต่องค์นี้มีสองกร และโคนนทิพาหนะของพระมหิศรเทพบุตร ประดับไว้ที่ฐานซึ่งหล่อเป็นโขดเขา เพื่อแสดงความเป็นเทพที่สถิตอยู่เหนือภูเขา แต่สิ่งที่เหมือนกับพระพุทธรูปโปรดมหิศรเทพบุตร องค์อื่นๆ ในศิลปะรัตนโกสินทร์ คือ มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่เหนือเศียร แสดงชัยชนะของพระพุทธองค์ต่อมหิศรเทพบุตร บูชาเพื่อขจัดมิจฉาทิฐิ หรือความเห็นผิด



พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์

        8. พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ บูชาเพื่อเตือนสติให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ มีขันติ ความอดกลั้น ปฏิบัติตามคำสอนและมีความเสงี่ยมเจียมตัว
       
       แบบศิลปะ : ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 25
       ชนิด : ทองเหลืองปิดทอง
       ประวัติ : สถานีตำรวจภูธรพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการยึดอายัด
       สถานที่เก็บรักษา : คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติง จังหวัดปทุมธานี
       
       พระพุทธองค์ประทับบนแท่นศิลา มีช้างถวายกระบอกน้ำและลิงถวายรวงผึ้ง แสดงถึงอุเบกขาบารมีของพระพุทธองค์ เรื่องราวมีกล่าวถึงตอนหนึ่งในพุทธประวัติว่าหลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ 10 พรรษา ได้พำนักกับภิกษุที่โฆสิตาราม กรุงโกสัมพี แต่เหล่าสงฆ์เกิดความแตกแยกกัน แม้จะทรงห้ามปรามหลายครั้งก็ยังไม่สามารถลดความบาดหมางได้ จึงทรงวางอุเบกขาออกไปหาความสงบ ณ ป่ารักขิตวัน โดยมีช้างปาลิไลยกะ เป็นผู้อุปัฏฐากคอยดูแลปัดกวาดที่ประทับด้วยกิ่งไม้ใบไม้หาน้ำและผลไม้ป่าต่างๆ มาถวายพระพุทธองค์ทุกวัน ยามค่ำคืนก็ใช้งวงนั้นถือท่อนไม้คอยระแวดระวังภัยมิให้ผู้ใดมากล้ำกราย
       
       วันหนึ่งมีพญาวานรผ่านมาและสังเกตเห็นว่า ช้างปาลิไลยกะได้ดูแลพระพุทธองค์อย่างดี จึงเกิดความเลื่อมใส พญาวานรจึงนำรวงผึ้งไปถวายพระพุทธองค์บ้าง ครั้งแรกทรงเฉยไม่รับรวงผึ้งนั้น พญาวานรพิจารณาดูจึงเห็นว่ายังมีตัวอ่อนของผึ้ง เมื่อได้ปัดตัวอ่อนนั้นไปเสีย พระพุทธองค์จึงรับรวงผึ้งนั้นไว้ ทำให้พญาวานรดีใจลิงโลดโหนไปตามยอดไม้จนพลัดตกลงมาถูกตอไม้แทงตาย แล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ด้วยผลบุญที่ได้กระทำไว้



พระพุทธรูปปางขอฝน

        9. พระพุทธรูปปางขอฝน ศิลปะรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่มีความสำคัญด้านศิลปกรรมและขนบประเพณี บูชาเพื่อความอุดมสมบูรณ์
       
       แบบศิลปะ : ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 25
       ชนิด : สำริด รมดำ
       ประวัติ : เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี ถวาย พร้อมทั้งตู้
       สถานที่เก็บรักษา : ห้องศิลปะรัตนโกสินทร์ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
       
       พระพุทธปฏิมาปางขอฝน สำหรับใช้ในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ (พรุณศาสตร์) และงานพระราชพิธีพืชมงคล พระราชพิธีสำคัญของบ้านเมือง อันเอื้ออำนวยความอุดมสมบูรณ์แก่พระราชอาณาจักร และอาณาประชาราษฎร์
       
       ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีการสร้างพระพุทธรูปขอฝนหลายองค์เพื่อใช้ประกอบในพระราชพิธี พระพุทธรูปขอฝนในอิริยาบถยืนองค์นี้ แสดงถึงกระแสความนิยมทางศิลปกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากแบบอุดมคติ เป็นแบบสัจนิยม มีความเสมือนจริงตามธรรมชาติ อาทิ เกล้าพระเกศารวบขึ้นเป็นพระเมาลีและไม่มีพระรัศมี ทรงครองผ้าอาบน้ำฝนบางแนบพระองค์และแสดงริ้วผ้าตามธรรมชาติ นับเป็นพระพุทธรูปที่มีความสำคัญด้านศิลปกรรม และขนบประเพณี


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000141495
11908  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มีเวลาเหลือไม่มากในแต่ละวัน ควรเลือกทำสมาธิ หรือสวดมนต์ เมื่อ: ธันวาคม 28, 2015, 09:50:45 am

ทำไมเราต้องปฏิบัติธรรม
ปุจฉา-วิสัชนา โดยพระไพศาล วิสาโล

ปุจฉา : กราบนมัสการพระคุณเจ้า กระผมมีคำถามที่สงสัยที่จะเรียนถามพระคุณเจ้า ทำไมเราต้องปฏิบัติธรรม การภาวนาเป็นอุบายที่เรานำไปใช้ช่วงจิตสุดท้าย กระผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ

วิสัชนา : การปฏิบัติธรรมนั้น ความหมายกว้างที่สุดคือ ทำดี ไม่ทำชั่ว และทำจิตให้ผ่องใส ทั้งหมดนี้ช่วยให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีเรื่องที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ บางทีก็จำแนกเป็น การให้ทาน การรักษาศีล และการภาวนา แต่ปัจจุบันการปฏิบัติธรรมมีความหมายแคบลง ผู้คนส่วนใหญ่มักนึกถึงการทำสมาธิภาวนา แต่ประโยชน์ก็ยังเหมือนเดิม นั่นคือ ช่วยให้อยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข นอกจากสงบเย็นแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย กล่าวคือ ช่วยให้จิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหวเมื่อมีอะไรมากระทบหรือประสบเหตุร้าย ขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเห็นแก่ตัว เพิ่มพูนเมตตากรุณา ทำให้อยากช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น

ทั้งหมดนี้ล้วนช่วยให้ “อยู่ดี” ขณะเดียวกันก็เป็นการเตรียมตัวเพื่อ “ตายดี” ด้วย คือเมื่อจะตาย ใจก็ไม่วิตกหวาดกลัว รู้จักปล่อยวางทั้งผู้คน สิ่งของ และอารมณ์อกุศลทั้งปวง และหากภาวนาถูกทาง ก็จะละวางแม้กระทั่งกายและใจ ช่วยให้ตายสงบ


ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20151218/218822.html
11909  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มีเวลาเหลือไม่มากในแต่ละวัน ควรเลือกทำสมาธิ หรือสวดมนต์ เมื่อ: ธันวาคม 28, 2015, 09:47:16 am



มีเวลาเหลือไม่มากในแต่ละวัน ควรเลือกทำสมาธิ หรือสวดมนต์
ปุจฉา-วิสัชนา โดยพระไพศาล วิสาโล

อาร์ต สปาย ปุจฉา : กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ ผมมีข้อสงสัยเรียนถามพระอาจารย์ ผมมีเวลาไม่มากในการสวดมนต์และนั่งสมาธิแต่ละครั้ง ผมเคยจับเวลาดู สวดมนต์ประมาณ ๒๐ นาที เวลาที่เหลือก็จะนั่งสมาธิ ๑๐ นาทีบ้าง ๒๐ นาทีบ้าง แล้วแต่เวลาที่มีครับ

ผมจึงมีเรื่องเรียนถามพระอาจารย์ว่า ตามจริงแล้วผมควรจะให้เวลาการนั่งสมาธิหรือการสวดมนต์มากกว่ากัน ด้วยความรู้สึกของผมเองคือ สวดมนต์ผมก็ไม่รู้คำแปล ถ้าจะอ่านคำแปลด้วยเวลายิ่งนานไปอีก ใจผมอยากจะนั่งสมาธิให้นานมากกว่า เช่นผมมีเวลา ๓๐ นาที อยากสวดมนต์แค่ ๕ นาที นั่งสมาธิ ๒๕ นาที แทน บางทีเวลาเราน้อย ก็สวดเร็ว ทำให้ผมรู้สึกว่าจิตเราไม่นิ่ง เราไปพะวักพะวงกับเวลาที่มีจำกัดของเรา บางทีสวดไปเวลาหมด ก็ไม่ได้นั่งสมาธิอีก

ในความเห็นของพระอาจารย์ สำหรับฆราวาสยุคใหม่ที่มีเวลาในการทำกิจกรรมนี้ไม่มากนัก พระอาจารย์คิดว่า เราควรให้ความสำคัญกับการสวดมนต์หรือนั่งสมาธิมากกว่ากัน จึงจะได้ประโยชน์สูงสุดครับ


 ans1 ans1 ans1 ans1

วิสัชนา : การนั่งสมาธิ หากทำถูกเป็นการฝึกจิตที่ดีกว่าการสวดมนต์ เพราะมุ่งขจัดกิเลสหรือความหลงโดยตรง เป็นทางตรงสู่การเสริมสร้างสติ สมาธิ และปัญญา หากคุณมีเวลาน้อยควรนั่งสมาธิหรือบำเพ็ญจิตตภาวนา แต่ก็อย่าทิ้งการสวดมนต์ไปเลย เพราะการสวดมนต์นั้นช่วยปลูกและเสริมสร้างศรัทธา

อย่างไรก็ตามควรตระหนักว่าจิตตภาวนานั้นทำได้หลายวิธี ไม่ใช่แค่นั่งสมาธิเท่านั้น แม้ทำงานหรืออยู่ท่ามกลางผู้คนก็บำเพ็ญจิตตภาวนาได้ โดยเฉพาะการเจริญสติ หมั่นรู้กายและรู้ใจอยู่เนือง ๆ


         
ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20151218/218822.html
11910  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ยึดมั่นใน ‘อุปาทาน ๔’ อาจตีกันตาย.? เมื่อ: ธันวาคม 28, 2015, 09:43:38 am


ยึดมั่นใน ‘อุปาทาน ๔’ อาจตีกันตาย.?
วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา เรื่อง กิตตินันท์ รอดสุพรรณ ภาพ

จะว่าไปแล้ว คำสอนในพระพุทธศาสนาเรานั้น มีมากที่สุดในเรื่องให้ละอัตตา ให้เลิกยึดมั่นถือมั่น แต่ไม่รู้เป็นไง ชาวพุทธจำนวนหนึ่ง ยิ่งเข้ามาศึกษาธรรม จนคิดว่าตนพอจะรู้ธรรมะบ้าง กลับเป็นคน ยิ่งยึดมั่น ยึดติด เสียเองซะงั้น? การผิดทิศผิดทาง จากคำสั่งสอนของพระศาสดาไปนั้น มีด้วยกันในหลายระดับ ไม่เพียงแต่เรื่องนี้เท่านั้น มันหมายถึงไปซะแทบทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ ประมาณว่า สอนอย่างทำอย่าง

อย่างเช่น บางคน... แต่ก่อนจะหันมาสนใจธรรมะ ก็ขยันทำแต่ความชั่ว เพราะ “กาม” เป็นเหตุ ยึดติดในกาม หาเงินได้มา ก็เอาไปลงขวด ลงยา ลงสถานบันเทิงหมด ครั้นพอมีสติ ได้กัลยาณมิตรชักจูงให้สนใจธรรม จึงได้ละชั่ว เลิกทำเรื่องไร้สาระ หันมาทำความดีตามความเชื่อของตน แต่ก็ดันไปยึดมั่นในความคาดหวังจากการทำดีนั้น (ติดดี) ไปเสียอีก ปรารถนาจะเกิดใหม่ชาติหน้า ได้เป็นนางฟ้า-เทวดา สิงสถิตอยู่บนสวรรค์ ตามคำโฆษณาของหลายๆ สำนัก ที่เขาโหมกระพือกัน ชีวิตจะสบาย อิ่มทิพย์ ไม่ต้องลำบากทำงานทำการกันอีกต่อไป


 :96: :96: :96: :96: :96:

หารู้ไม่ว่า ความดีที่ยึดนั้น คือ กลลวงของกิเลส ที่มันซ่อนอยู่ในจิตเรา ทำให้เราไม่หลุดจากการยึดติด “กาม” ไปได้ เพราะไม่ว่าจะเพลินต่อการทำชั่ว หรือติดดี จนสุขสบายหมายมั่นว่าได้ตักตวงบุญพอที่จะเดินทางไปเสพสุขในภพหน้าต่อนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น “กามุปาทาน” (ติดยึดมั่นในกาม) อยู่ดี ซึ่งเป็นอุปาทานตัวที่ ๑ ซึ่งเป็นระดับชาวบ้านทั่วไป ซึ่ง การติดดี จะดีอยู่ก็ตรงที่ไม่ติดชั่วแล้ว

แต่ชาวพุทธที่แท้ต้องพัฒนาจิตต่อไปเพื่อความไม่ประมาท ในระดับต่อไป จะต้องหมั่นเพียรบำเพ็ญจิตตภาวนาให้มากขึ้น พัฒนาตน พัฒนาจิต ไม่จมจ่อมอยู่แต่การทำทาน บริจาคเงิน หรือยึดติดอยู่กับการทำดีจนมองเห็นคนอื่นว่า ไม่ดีเท่าตัว หลายคนถือศีลกินเจ กินมังสวิรัติกันเลยทีเดียว ดูเผินๆ แล้ว ก็น่าอนุโมทนาสาธุด้วยจริงๆ การละวางการขบฉันเนื้อสัตว์ โดยธรรมชาติแล้ว จะช่วยให้ความปรารถนาทางกามลดลง ร่างกายเบา น่าจะเอื้อต่อการปฏิบัติธรรม แต่ไม่รู้เป็นยังไง คนบางคนที่ถือศีลกินเจได้แล้ว กลับตาลปัตร พาลคิดว่าตัวเองนั้นวิเศษวิโสเกินเพื่อนมนุษย์คนอื่นที่ยังกิน (ฉัน) เนื้อสัตว์อยู่ นานๆเข้า ก็กลายเป็นยกตนข่มท่านไปโดยปริยาย... แล้วก็คิดว่าแน่

 :25: :25: :25: :25:

บ้างก็มาข่มทับชาวพุทธที่กินเนื้ออยู่ว่า เธอยังกินหมูอยู่ จะบรรลุนิพพานได้อย่างไร? ใครยังเป็นแบบนี้อยู่ ก็เข้าข่าย การยึดติดในศีลของตน “สีลัพพตุปาทาน” เป็นการยึดติดมั่นตัวที่ ๓ (ส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่าอันตรายน้อยกว่า ตัวที่ ๒ จึงนำมาเขียนไว้เป็นลำดับก่อน)

ระดับถัดมา ส่วนใหญ่จะเป็นอาจงอาจารย์ เป็นถึงนักธรรมถึก คิดว่าตัวเองรู้มาก บางคนปรุงแต่งจนคิดว่าตนเป็นพหูสูตรแล้วก็มีถม ถามอะไรไป ท่านรู้หมด ตอบได้หมด (แต่ยังไม่เริ่มปฏิบัติจิตภาวนาของตนซะที) ชาวพุทธเหล่านี้ ท่านจะมีความเห็นชัดเจน จนผูกพันเป็นของตนเองไปอย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่เป็นคำสอนจากบรมครูพระศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น พระองค์ไม่เคยเก็บค่าลิขสิทธิ์จากใคร ไม่เคยตีตราเป็นเครื่องหมายการค้า เอาไว้ใช้สำหรับพระองค์ หรือพุทธบริษัทแต่อย่างเดียวเสียเมื่อไหร่


 st12 st12 st12 st12 st12

คำสอนของตถาคต เป็นสากล ข้ามพ้นเส้นแบ่งศาสนา เหนือกาลเวลาทั้งสิ้น แต่ครูบาอาจารย์ เปรียญ ๘ เปรียญ ๙ หลายท่าน กลับไปยึดติดมั่น เอาตัวอักษรเหล่านั้น มาฟัดฟาดใส่กัน แบ่งเขา แบ่งเรา ฝ่ายที่เชียร์มหายานก็อาจจะกล่าวอ้างว่า คณะฉันเป็นยานใหญ่ สามารถนำพาสัตว์โลกข้ามไปฝั่งโน้น (พระนิพพาน) ได้มากกว่า ส่วนฝ่ายที่เชียร์เถรวาท ก็ภาคภูมิใจจนคลั่งไคล้ว่า คำสอนเถรวาทนั่นแหละ ของจริง ไม่มีเครื่องเครารกรุงรัง ในตำราก็มุ่งเพื่อการหลุดพ้น เป็นวิมุตติธรรม (พระนิพพาน) โดยถ่ายเดียว... ใครเล่าที่ยังเป็นอย่างนี้อยู่ ก็ถือว่าเข้าข่าย ยึดติดมั่นในความคิด-ความเห็นของตนอย่างแน่นเหนียว ซึ่งถือว่าเป็นอุปาทานตัวที่ ๒ “ทิฏฐุปาทาน”… ความคิด ความเห็นอันเหนียวแน่นนี้ต่างหาก ที่จะพาเราจมปรัก รากงอกอยู่ในสังสารวัฏเสียเอง...

บางทีผมเองก็อดคิดไม่ได้นะครับว่า ชาวนาที่อ่านหนังสือก็ไม่ออก แต่ทั้งชีวิตขลุกเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับธรรมชาติ และพิจารณาเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิต จนน้อมใจ มีโอกาสรับฟังพระสัทธรรมไปนิดหน่อยแค่นั้น แต่เกิดซึ้งใจหันมาทำจิตภาวนาเป็นจริงเป็นจัง อาจมีโอกาสบรรลุ มากกว่า พระด็อกเตอร์ทั้งหลาย ที่กำลังถกเถียงกันในเชิงตัวอักษร อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำนะครับ

 st11 st11 st11 st11

และการยึดติดมั่นตัวสุดท้าย (ตัวที่ ๔) ที่มีกันได้ทุกชนชั้น ทุกหมู่เหล่า อันแกะให้หลุดได้ยากที่สุด คือความยึดมั่นในอัตตาตัวตน หรือที่ท่านอาจารย์พุทธทาสว่า “ตัวกู-ของกู” (อัตตวาทุปาทาน) ฝรั่งว่า การเห็นแก่ตัวเอง (Egoism) ที่มักคิดว่า ตัวเราเป็นใหญ่ ฉันเป็นคนมีชื่อเสียง ร่างกายเป็นของเรา มันจะยังคงทนอยู่อีกนาน เราคงยังไม่ตายภายใน ๑๐-๒๐ ปีนี้แน่นอน? ใครที่คิดแบบนี้ ก็ถือว่ายังประมาทอยู่โข

ยิ่งหลายคน ดันเอาอุปาทานทั้ง ๔ มาผสมรวมกันเป็นยำใหญ่ ยิ่งออกทะเลไปเลย จึงทำให้เดินหลุดออกนอกเส้นทางแห่งมรรคาไปมากมาย เพราะ “ยึดในความหลง” สถานเดียว... บ้างก็หันไปถือศาสนพิธีกรรม จะตัดกรรม หั่นเวร ด้วยเครื่องสแกนกรรม ฯลฯ ก็มี บ้างก็เทใจทั้งหมดให้กับ บางสำนัก บางลัทธิ เพ้อฝันไปว่าได้ถวายทองแท่งกับมือหลวงพ่อที่ตนรักใคร่บูชา ตื่นขึ้นมาก็ทุ่มทำบุญกันจนสุดโต่ง ถึงกับหมดตัวไปเลยก็มี บ้างก็พึงพอใจในคำสอนของพระอาจารย์ของกู จนใครไม่อาจแตะต้องหรือวิจารณ์ท่านได้ เข้าทำนอง อาจารย์ข้า ใครอย่าแตะ สุดท้ายก็กลายเป็นพระอาจารย์บังพระพุทธเจ้าซะมิด ก็มี


 :41: :41: :41: :41:

บางคนก็ผิดเพี้ยน มัวแต่ไปไล่ล่าหาพระอรหันต์ จนลืมคำสอนของพระพุทธองค์ไป พระอรหันต์ที่ไหนจะอุ้มท่านจนพ้นทุกข์สิ้นเชิงได้ ก็ขนาดแม้แต่พระตถาคตเจ้าเอง ยังทรงตรัส แม้พระองค์ก็เป็นเพียงผู้ชี้ทาง การเดินนั้นท่านต้องลงมือทำเอง

หากเราไม่ทำความเข้าใจ และ พิจารณาจิตเราเอง ว่ากำลังยึดติดมั่น อยู่ในอุปาทานทั้ง ๔ หรือตัวหนึ่งตัวใดนี้หรือไม่ อาจเผลอถกเถียง จนตีกันตายทางความคิดได้ เผลอไปสร้างเวรสร้างกรรม สร้างภพสร้างชาติขึ้นมาอีก แม้จะเริ่มต้นกันด้วยเจตนาดีก็ตาม ...

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

คิดไปคิดมาแล้ว สู้หันกลับสู่ด้านใน น้อมจิตสู่ความสงบ และมีสติในทุกขณะไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จนเห็น ‘ความคิด’ ว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เราก็จะเกิดปัญญาที่ไปพ้นลัทธิทั้งหลายทั้งปวง

หนทางนี้แล คือการเดินตามรอยพระพุทธบาททั้งสิ้น ไม่ว่าจะสายไหนก็ตาม และเส้นทางนี้เมื่อได้ก้าวเข้ามาแล้ว ก็มีแค่เพียงการเดิน เท่านั้น แต่หามี “ผู้เดิน” ไม่

ท่านผู้อ่านล่ะ เห็นอย่างไรครับ !     


    ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

   อุปาทาน ๔ มีไว้ ให้สังวร
   จิตมนุษย์ มันยอกย้อน อ่อนไหว
   เคลื่อนที่เร็ว กว่าแสง ช่างว่องไว
   จึงชอบจับ ยึดไว้ อุปาทาน

   บ้างยึด “กาม” สุขยิ่ง ทั้งดี-ชั่ว
   แต่กลับกลัว มีจิตว่าง เป็นวิหาร
   บ้างยึดมั่น ถือมั่น ใน “สีละ” (ศีล)
   ยกว่าข้า เหนือกว่าท่าน อยู่หลายชั้น

   บ้างยึดติด ฝังแน่น ทาง “ความคิด”
   คนอื่นผิด หากคิดเห็น ต่างกับฉัน
   บ้างยึดกู เป็น “อัตตา” บ้าพอกัน
   ๔ ยึดมั่น ทำลายฐาน แห่งมรรคาฯ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151210/218341.html
11911  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นำธาตุพุทธโลหะ อริยธาตุ(เหล็กไหล) มาเป็นสื่อให้มนุษย์มีศีลมีสัจจะ เมื่อ: ธันวาคม 28, 2015, 09:00:31 am


พระอาจารย์สมพร นำธาตุพุทธโลหะ อริยธาตุ (เหล็กไหล)
เป็นสื่อให้มนุษย์ยังไม่ถึงธรรม โยงเข้าให้มีศีลปรมัตถ์ยึดสัจจะ

เหล็กไหล เป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งในความเชื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ในมาเลเซียมีชื่อเรียกว่า บือซีรีเละ) มีมากมายหลายชนิดแต่ที่เชื่อกันแพร่หลายที่สุดนั้นจะฝังตัวอยู่ในถ้ำ มีลักษณะสีดำคล้ายนิล ลนไฟให้ยืดได้ เชื่อกันว่าในการไปเอาเหล็กไหลนั้นจะต้องใช้น้ำผึ้งชโลมก้อนเหล็กไหลแล้วใช้ไฟลนเหล็กไหลถึงจะยืดออกมากินน้ำผึ้งไปพร้อมกับเล่นไฟด้วย แล้วก็ลนไฟจนกระทั่งทั้งเหล็กไหลยืดออกมาเรื่อยๆ จนบางเท่าเส้นด้ายถึงจะตัดขาด

ทั้งนี้ในการไปตัดเหล็กไหลนั้นกล่าวกันว่าคนธรรมดานั้นไม่สามารถตัดเหล็กไหลเองได้เนื่องจากมีเทพเจ้า เจ้าป่า เจ้าเขา พญานาค หรือยักษ์รักษาอยู่และพร้อมจะเข้าทำร้ายผู้เข้าไปเอาได้ ถ้าผู้นั้นไม่ใช่คนดีมีบุญหรือมีวิชาอาคมแกร่งกล้าพอ และตัวเหล็กไหลนั้นก็มีฤทธิ์ขัดขืนคนที่เข้าไปเอาได้ด้วย (เคยมีคนเข้าไปตัดเหล็กไหลแล้วเอามือไปจับเหล็กไหลแล้วมีอาการคล้ายถูกฟ้าผ่าหรือถูกไฟฟ้าแรงสูงดูด เป็นต้น)
 

 :96: :96: :96: :96: :96:

เหล็กไหลที่ได้นี้มีความศักดิ์สิทธิ์มากมักฝังไว้ตามตัวผู้ที่ครอบครองกล่าวกันว่าจะไม่มีอะไรที่ทำร้ายผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลได้ ทั้งมีด ปืน หรือแม้กระทั่งระเบิด ดินปืนทุกชนิดไม่สามารถจุดติดได้ในอาณาเขตที่มีเหล็กไหลอยู่
 
ในความเชื่อนี้กล่าวอีกว่าเหล็กไหลยังแบ่งเป็นสามระดับหรือสามชนิด คือ ระดับแรก ตัวเหล็กไหลเอง แวววาว เป็นส่วนที่ลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่มีอิทธิฤทธิ์มากที่สุด เช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับหรือเหล็กไหลโกฐปี เหล็กไหลเงินยวงหรือเหล็กไหลชีปะขาว เหล็กไหลเพชรดำ เหล็กไหลท้องปลาไหล ระดับสอง รังเหล็กไหล มีลักษณะแวววาวรองจากตัวเหล็กไหล ไม่สามารถลนไฟให้ยืดได้ เป็นส่วนที่ห่อหุ้มตัวเหล็กไหลไว้เป็นฐานรองเหล็กไหลแข็งแน่นติดกับผนังถ้ำ เช่น โคตรเหล็กไหล แร่เกาะล้าน แร่เม็ดมะขาม เหล็กไหลทรหด และระดับสาม ขี้เหล็กไหล มีลักษณะคล้ายน้ำตาเทียน ดำด้าน แข็งแต่ทุบให้แตกได้ง่าย เกิดจากการที่เหล็กไหลเคลื่อนผ่านทางนั้นแล้วเกิดขี้เหล็กไหลขึ้นมากล่าวว่าแทบไม่มีฤทธิ์ใดๆ


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ในแง่วิทยาศาสตร์ เหล็กไหลก็คือโลหะหรือวัสดุอื่นที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติเช่นอุกกาบาตจากนอกโลก ซิลิเกตจากใต้โลก และที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น เช่นปรอท แกลเลียม ซึ่งสามารถหลอมเหลวได้ในอุณหภูมิห้อง หรือโลหะผสมอื่นๆ สีสันที่ดูเหมือนสีรุ้งเกิดขึ้นจากการแทรกสอดในฟิล์มบาง (thin-film interference) คือการแทรกสอดของแสงที่สะท้อนออกมาจากเนื้อวัตถุ
 
สำนักป่าพระธรรมญาณมุนี ตั้งอยู่ที่ ต.โพรงมะเดื่อ อ.เมือง จ.นครปฐม พระปลัดสมพร สมวโร (พระอาจารย์ใหญ่) แห่งสำนักป่าพระธรรมญาณมุนี ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในการอัญเชิญเหล็กไหล หลายคนอาจสงสัยว่าเหล็กไหลคืออะไร เหตุใดผู้คนพากันลุ่มหลง แสวงหา ติดตาม พระอาจารย์ใหญ่สมพร ได้กล่าวถึงเรื่องพุทธโลหะอริยธาตุ หรือเหล็กไหลไว้ว่า “เหล็กไหลนั้นก็ตกอยู่ภายใต้ของภาวะของความไม่เที่ยงเช่นกัน ไม่ได้อยู่ในภาวะของความถาวรยั่งยืน หรือทรงรูปแบบดั่งเดิม

อาตมาใช้เวลาในการเรียนรู้จากหลากหลายอาจารย์ หลายถ้ำ ในการอัญเชิญเหล็กไหลหรือแร่ธาตุกายสิทธิ์ ก็ได้เห็นภาวะของการเปลี่ยนแปลงของเหล็กไหลที่แตกต่างกันไป เปลี่ยนตามภูมิจิต ภูมิธรรม ภูมิประเทศ แล้วภูมิปัญญาของครูบาอาจารย์แต่ละรูปแต่ละนาม เหล็กไหลคือธาตุที่ตกมาเป็นรูปร่างโดยธรรมชาติ เป็นเหมือนกับก้อนแร่ จากก้อนแร่ก็วิวัฒนาการกลายเป็นเหมือนเมล็ดถั่ว จากรูปร่างเมล็ดถั่วก็ตกลงมาเป็นเขี้ยวเป็นงา เป็นแคปซูล จากธาตุต่างๆ ที่เป็นโลหะก็กลายเป็นแก้ว

 

อาตมาขอแบ่งว่าลักษณะการตกลงของเหล็กไหลก็ตกอยู่ภายใต้ของภาวะธาตุเช่นกัน คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ เพราะฉะนั้นที่ตกลงมาแรกๆ เป็นภาวะของธาตุดิน เป็นก้อนสีดำ เป็นทองเหลือง เป็นเงินยวง เป็นท้องปลาไหลฯ นี่คือตกอยู่ในภาวะของธาตุดินทั้งสิ้น ความไม่เที่ยงแท้ของรูปร่าง สีสัน ภูมิประเทศเลยทำให้เหล็กไหล แตกต่างวรรณะ สีสัน รวมถึงพิธีกรรมในการอัญเชิญ
 
ขอให้ญาติโยมทั้งหลายตั้งจิตไว้เป็นกลาง อย่าหมายมั่นปั้นมือว่าสิ่งนี้จะศักดิ์สิทธิ์มากมายเหลือเกินจนสุดคณานับ เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรเลยที่จะนำความสุข นำความทุกข์ให้เรา วัตถุภายนอกเป็นภาวะที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เป็นไปตามเหตุและปัจจัยของตัวเองเท่านั้น เปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยของภูมิประเทศ ตามกรรมวิบากของตัวเองเช่นกัน
 
วัตถุภายนอกไม่ได้นำความทุกข์ความสุขให้คนหรอก สิ่งที่นำความสุขความทุกข์ให้กับเราคือการใส่ความรู้สึก และใส่ค่าแห่งความรู้สึกนั้น บางคนบอกว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นไสยศาสตร์ฉบับพระอาจารย์สมพร ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เป็นภูมิความรู้จริง ไสยศาสตร์เป็นเรื่องของการบวงสรวงอ้อนวอน เสนอ ติดสินบน มีการบนว่าจะได้สมความปรารถนาถึงจะให้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ให้ แต่การกระทำตามพิธีการต่างๆ มันเป็นประเพณี เป็นรูปแบบ เป็นศาสนพิธีที่เราต้องทำ มีบายศรี ธูป เทียน รวมจิตกัน มีสมาทานศีล ให้ศีล แสดงธรรมในถ้ำเพื่อเทพ อาตมาเป็นผู้กระทำย่อมรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เราห้ามคนที่จะมองไม่ได้ แต่การกระทำของเราเราย่อมรู้ดีธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่า “เหล็กไหล” เป็นภาวะหรือเป็นวัตถุธาตุที่แทนดวงจิตของเทพ พรหม ทุกภพทุกภูมิที่จะให้กับสาธุชนทั้งหลาย”

 
 :25: :25: :25: :25:

เมื่ออาตมากล่าวคำอัญเชิญเทวดาและเทศนาโดยมุ่งให้เทพเทวดาที่เฝ้าธาตุกายสิทธิ์ให้เห็นธรรม ปล่อยวางด้วยหลักสติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต และธรรม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการอัญเชิญธาตุกายสิทธิ์จิตจะต้องเป็นกลางคือปราศจากความโลภโดย เทพเทวดาคงรู้ว่าผู้อัญเชิญมีจิตสะอาดปราศจากกิเลสอย่างหยาบเพียงใด ต่อมาเหล็กไหลก็ปรากฏรูปร่างให้เห็น โดยการระเบิดเป็นไฟก่อน

จากนั้นก็ยืดย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ การอัญเชิญเหล็กไหลแต่ละครั้งรูปร่างเหล็กไหลที่ยืดย้อยลงมานั้น มีลักษณะเป็นเส้นยาวๆ เหมือนกัน การปรากฏรูปร่างให้เห็นของเหล็กไหล ที่ไหลย้อยมานั้นเป็นการต้อนรับผู้ที่มาเยือน ส่วนจะยืดย้อยลงมายาวแค่ไหนนั้น แต่ละครั้งไม่เหมือนกัน เมื่อเหล็กไหลยืดย้อยปรากฏให้เห็นแล้ว ชิ้นเหล็กไหลก็จะเริ่มตกลงมาจากเพดานถ้ำมากมายราวกับเม็ดฝนที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า

หากอาตมาไม่ได้กำหนดจิตให้เหล็กไหลเป็นรูปทรงตกลงมา เหล็กไหลก็จะเป็นรูปทรงจากธรรมชาติ สิ่งที่อาตมาอัญเชิญไม่ตรงเป้าหมายของคนทั่วไป เป้าหมายของอาตมาอัญเชิญเพื่อประกาศธรรม เพื่อดำรงอยู่เพื่อธรรมะ เพื่อเป็นที่ดึงดูดของศรัทธาผู้ที่เป็นเหล่ากอแห่งเทวะ ซึ่งก็คือลูกหลานของเทวดา บุคคลใดที่เป็นลูกหลานของเทวดาบุคคลนั้นต้องมีหิริคือความละอายแก่ใจ โอตัปปะคือความเกรงกลัวต่อบาป พวกนี้เป็นลูกหลานของเทวดาทั้งนั้น การเข้ามาสนทนาธรรมกับอาตมาก็จะได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยฟัง ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ เป็นการทำความเห็นให้ถูกต้องได้ จึงเกิดสัมมาทิฐิ เกิดความศรัทธาความเชื่อ

 

อาตมาจะบอกเสมอว่า สิ่งที่อาตมาเชิญมาอย่าคิดว่า เป็นของวิเศษเลิศเลอในโลกนี้ มันไม่ใช่ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐสุด เพราะ ถ้าใครมีแล้วจะสงบทั้งกายและใจ แล้วสามารถข้ามสู่แดนวัฏฏสงสารได้ แต่เหล็กไหลข้ามแดนวัฏฏสงสารไม่ได้ เพราะสิ่งที่ญาติโยมเห็นคือสิ่งที่เทพทำขึ้นแล้วก็มีอานุภาพในส่วนหนึ่ง
 
ถ้าหากฝึกปฏิบัติจิตตามหลักขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โยมสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เหล็กไหลเป็นเพียงแค่เครื่องยึดเครื่องถือ เหมือนโยมจะพายเรือข้ามฝั่งก็ต้องอาศัยเรือข้ามไป ถ้าโยมมีธรรมะประเสริฐสุดแล้ว ถ้าโยมเห็นสัจธรรมถึงความไม่เที่ยง ความเป็นอนัตตาแล้วโยมจะไม่กลัวตายเลย และไม่ต้องมาหาอาตมาเลย แต่นี่เพราะโยมประหวั่นพรั่นพรึงในการพลัดพราก กลัวอันตรายทั้งหลายทั้งปวงที่จะมาทำร้ายชีวิต จึงเดินทางมาหาเหล็กไหลเพราะคิดว่าเหล็กไหลเก่งเหลือเกิน

 
 st12 st12 st12 st12

ผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลต้องมีศีลมีสัตย์ เรียกว่าขั้นปรมัตถ์ ใครผิดศีลธาตุกายสิทธิ์จะหายไป ปัจจัยต่างๆ จากผู้ที่มาทำบุญ อาตมานำไปสร้างวัดวาอาราม บำรุงและสืบทอดพระพุทธศาสนาเพื่อให้มั่นคงสถาพร
 
สิ่งลี้ลับทั้งหลายในโลกนี้ ที่มนุษย์ยังไม่รู้มีอีกมากมาย การปฏิเสธหรือยอมรับทันที โดยไม่พิจารณาอาจจะเข้าข่ายงมงายได้ ฉะนั้นควรวางจิตให้เป็นกลาง แล้วเข้าไปค้นหาพิสูจน์ก่อนจะเป็นสิ่งดีที่สุด กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ใหญ่สมพรที่ได้กรุณาเมตตาให้ข้อมูลเจ้าค่ะ

 
 
ภารดา/รายงาน
ขอบคุณภาพและบทความจาก http://www.banmuang.co.th/news/region/35627
11912  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักเที่ยวแห่สัมผัสอากาศเย็นที่สะพานมอญ สังขละ เทศบาลแปะคำเตือน เมื่อ: ธันวาคม 28, 2015, 08:44:35 am


นักเที่ยวแห่สัมผัสอากาศเย็นที่สะพานมอญ สังขละ เทศบาลแปะคำเตือน

บรรยากาศที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ช่วงเช้าของวันนี้ 27 ธ.ค. 58  อากาศเย็นสบาย และมีหมอกปกคลุมหนาทึบ ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากทัศนวิสัยการมองเห็นไม่ดี

อากาศที่เย็นลงส่งผลให้บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวที่สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือ สะพานมอญ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ทางเทศบาลตำบลวังกะต้องนำป้ายประชาสัมพันธ์มาติดตั้งเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับทราบถึงขีดจำกัดในการรับน้ำหนักของสะพาน

โดยขอให้เชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะนิยมเดินเที่ยวชมและสัมผัสบรรยากาศบนสะพานมอญในช่วงเวลาเดียวกันจำนวนมากๆจึงเกรงว่าจะเกิดอันตรายได้ แต่หลายฝ่ายยังคงมั่นใจในความมั่นคงแข็งแรงของสะพานไม้แห่งนี้ 


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1451208233
11913  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวบ้านหนองนกไข่ทำห่อข้าวต้มมัด 500 ก.ก.บวงสรวงสักการะดวงวิญญาณพระเจ้าตาก เมื่อ: ธันวาคม 28, 2015, 08:41:22 am


ชาวบ้านหนองนกไข่ทำห่อข้าวต้มมัด 500 ก.ก.บวงสรวงสักการะดวงวิญญาณพระเจ้าตาก

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่วัดหนองนกไข่ ต.หนองนกไข่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ชาวบ้านตำบลหนองนกไข่ และพื้นที่ใกล้เคียงกว่า 200 คน ช่วยกันกวนข้าวเหนียว และห่อข้าวต้มมัด เพื่อเอาไว้ใช้ในการประกอบพิธีบวงสรวงสักการะ เนื่องในวันคล้ายวันที่พระเจ้าตากสินมาหาราช ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ หรือ “วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน” ซึ่งที่วัดหนองนกไข่นี้ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีสืบต่อกันมากว่า 30 ปีแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชาวบ้านที่มาช่วยกันห่อข้าวต้มมัดนั้น ก็ได้แบ่งหน้าที่กันทำตามความถนัดทั้ง เจียนใบตอง ปลอกกล้วย ผัดข้าวเหนียว ห่อข้าวต้มมัด และบางคนก็สานตะกร้าเอาไว้ใส่ข้าวต้มมัดกับไข่ ส่วนวัตถุดิบที่นำมาใช้นั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากการบริจาคของญาติโยมที่ตั้งใจจะร่วมทำบุญ และสักการะองค์พระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ซึ่งในปีนี้ชาวบ้านได้ร่วมกันห่อข้ามต้มมัดโดยใช้ข้าวเหนียว 500 กิโลกรัม



พระครูคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดหนองนกไข่ เจ้าคณะตำบลบางยาง กล่าวว่า การห่อข้าวต้มมัดนี้ จัดเตรียมไว้เพื่อใช้ในพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณขององค์พระเจ้าตากสินมหาราช ที่ตรงกับวันที่ 28 ธ.ค. โดยเมื่อถึงวันที่ 27 ธ.ค. ของทุกปี ชาวบ้านจะมาช่วยกันห่อข้าวต้มมัดและต้มไข่ ซึ่งที่วัดหนองนกไข่นี้ จัดขึ้นมานานกว่า 30 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยพระอาจารย์คับ ปัญญาพโล หรือพระครูสาครปัญญาคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองนกไข่

อีกทั้งต่อมาเมื่อชาวบ้านที่ได้บนบานสานกล่าว ไว้สมดังหวังก็จะแก้บนด้วยการทำข้าวต้มมัด พร้อมทั้งไข่ต้มมาถวาย และชาวบ้านก็ได้มาช่วยกันห่อข้าวต้มมัดทำทุกปี จนกลายเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ชาวตำบลหนองนกไข่ยึดถือปฏิบัติ นอกจากนี้ การที่ชาวบ้านมาช่วยกันทำข้าวต้มมัดนั้น ยังเพื่อเป็นการสร้างความสามัคคีปรองดองกัน รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตลอดจนยังเป็นการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คนรุ่นหลังได้ยึดถือปฏิบัติตามด้วย เพราะแต่ละปีคนที่มาทำข้าวต้มมัดก็จะมีตังแต่เด็ก วัยรุ่นหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ จนถึงผู้สูงอายุ



ส่วนข้าวต้มมัดที่ห่อออกมานั้นก็จะมีหลายรูปแบบ ด้วยกันตามความถนัดของคนห่อ เช่น ห่อด้วยใบตอง หรือ ห่อด้วยใบตาลเป็นรูปสี่เหลี่ยม รูปหกเหลี่ยม หรือ บางคนก็ห่อเป็นรูปปลา กับ รูปนก แสดงออกถึงสัญลักษณ์ของตำบลหนองนกไข่ คือ ปลา เป็นตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ของหนองน้ำ

ส่วนนกก็เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ทางด้านการเกษตรของตำบลตามชื่อ หนองนกไข่นั่นเอง และพอหลังจากทำพิธีบวงสรวงเสร็จแล้ว ก็จะมีการแจกข้าวต้มมัดกับไข่ต้มให้ผู้ที่มาร่วมงานได้นำกลับไปรับประทานกัน ซึ่งบางคนก็เชื่อว่าเป็นยารักษาโรค


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1451210473
11914  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: แจ้งเลื่อนเวลา! อัญเชิญพระอัฐิ 'พระสังฆราช' มายังกาญจนบุรี เมื่อ: ธันวาคม 28, 2015, 08:37:06 am

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรอัญเชิญพระอัฐิสังฆราชประดิษฐาน
วัดเทวสังฆาราม เมืองกาญจน์-วัดญาณสังวรารามฯชลบุรี

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วัดบวรนิเวศวิหาร ได้เตรียมอัญเชิญพระเจดีย์ที่บรรจุพระอัฐิธาตุ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อีก 2 องค์ ไปประดิษฐาน ณ วัดเทวสังฆาราม พระอารามหลวง (วัดเหนือ) จ.กาญจนบุรี และวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี

โดยพระเจดีย์องค์ที่ 2 (องค์สีน้ำตาล) ซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่ทำด้วยศิลาจาก จ.กาญจนบุรี จะอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดเทวสังฆาราม พระอารามหลวง (วัดเหนือ) อ.เมือง จ.กาญจนบุรี อันเป็นสำนักเดิมของสมเด็จพระสังฆราช ในวันที่ 29 ธันวาคม

ส่วนพระเจดีย์องค์ที่ 3 (องค์สีขาว) ซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่ทำด้วยศิลาจาก จ.ชลบุรี จะอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ในวันที่ 30 ธันวาคม ที่วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นพระอารามที่สมเด็จพระสังฆราชทรงสร้างถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์


พระเจดีย์บรรจุพระอัฐิธาตุ

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1451204589
11915  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แจ้งเลื่อนเวลา! อัญเชิญพระอัฐิ 'พระสังฆราช' มายังกาญจนบุรี เมื่อ: ธันวาคม 28, 2015, 08:33:23 am


แจ้งเลื่อนเวลา! อัญเชิญพระอัฐิ 'พระสังฆราช' มายังกาญจนบุรี

จ.กาญจนบุรี เลื่อนกำหนดการพระราชพิธีอัญเชิญพระอัฐิ พระสังฆราช เดิม 29 ธ.ค. 2558 เคลื่อนออกจากวัดบวรฯ เวลา 08.30 น. เปลี่ยนเป็นเวลา 13.00 น. โดยจะถึงลานหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรี เวลา 15.00 น....

เมื่อเวลา 12.50 น. วันที่ 27 ธ.ค.2558 นายศักดิ์ สมบุญโต ผวจ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า หมายกำหนดการพระราชพิธีอัญเชิญพระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวันที่ 29 ธันวาคม 2558 เดิมทีริ้วขบวนแห่พระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะเคลื่อนออกจากวัดบวรนิเวศวิหาร ในเวลา 08.30 น. และมาถึงลานหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ถ.หลักเมือง เขตเทศบาลเมืองกาญจนบุรีในเวลา 10.30 น.

 :25: :25: :25: :25: :25:

นายศักดิ์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. จังหวัดกาญจนบุรีได้รับแจ้งด่วนจากสำนักพระราชวัง ว่าให้เปลี่ยนแปลงเวลาหมายกำหนดการพระราชพิธีอัญเชิญพระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวันที่ 29 ธันวาคม 2558 จากวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 13.00 น. และมาถึงลานหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจังหวัดกาญจนบุรี ในเวลา 15.00 น. จึงขอแจ้งเพื่อประชาสัมพันธ์ให้พุทธศาสนิกชน ชาวจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดใกล้เคียงรับทราบโดยทั่วกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการที่หมายการเคลื่อนขบวนจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรี และตั้งขบวนเดินเท้าเข้าสู่ถนนปากแพรกและผ่านบ้านคชวัตรที่เป็นบ้านของนายจำเนียร คชวัตร น้องชายของสมเด็จพระสังฆราชที่เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน ก็เสมือนกลับขบวนได้ผ่านบ้านเดิมของสมเด็จพระสังฆราช ทำให้ชาวกาญจนบุรีต่างรอชื่นชมและกราบไหว้พระอัฐิที่จะเคลื่อนขบวนผ่าน โดยน่าจะเฝ้ารออยู่ริมถนนปากแพรกทั้งสองฝั่งต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/555104
11916  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด จึงจะรู้ เมื่อ: ธันวาคม 27, 2015, 10:13:24 am


คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด จึงจะรู้

คำว่า “จิตไม่ว่าง” คือภาวะที่จิตใจของเรานั้น เต็มไปด้วยความคิด แม้ว่าเรานั่งเฉย ๆ ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งใด แต่สิ่งเร้าที่มากขึ้น

คนเราในยุคตรรกะครองเมือง ในยุคที่ชอบใช้วาทกรรมในการแสดงความคิดเห็นและแสดงจุดยืน เอาชนะคะคานกันด้วยตรรกะและความคิดด้วยการใช้เหตุใช้ผลนั้นในแง่หนึ่งดูแล้วเป็นเสมือน สังคมที่มีภูมิปัญญามากขึ้น และเป็นสังคมที่เปิดกว้างให้ความเห็นต่าง การมีจุด ยืนที่เหนือกว่าผู้อื่น ยิ่งมีโลกโซเชียลมีเดียด้วยแล้ว คนแต่ละคนจะ “คิดดังขึ้น” ความคิดแต่ละความคิดจะมีพื้นที่ให้ยืนมากขึ้น

 :96: :96: :96: :96:

ด้านหนึ่งเป็นแง่บวก เพราะทำให้คนเราใช้ความคิด มองมุมต่าง ๆ กันมากขึ้น และ มีการยอมรับความเห็นต่างของกันและกัน แต่อีกแง่หนึ่งคือ การใช้ความคิดเยอะ ๆ ยิ่งได้รับการต่อยอดว่าความคิดของเรา “มีตัวตน” และ “มีพื้นที่” อย่างน้อยก็ “พื้นที่ส่วนตัว” ที่น่าจะมีคนอื่นเข้ามารับฟัง และต่อยอด (ไม่งั้นจะเรียกว่า โซเชียลมีเดียทำไมหากว่ามันคิดอยู่แค่คนเดียว) เหล่านี้ทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “จิตไม่ว่าง”

คำว่า “จิตไม่ว่าง” คือภาวะที่จิตใจของเรานั้น เต็มไปด้วยความคิด แม้ว่าเรานั่งเฉย ๆ ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งใด แต่สิ่งเร้าที่มากขึ้น โดยเฉพาะความช่างคิด และความ “ซุกซนทางความคิด” ของเรานั้น มันทำให้ใจเราลอยไป ห่างจากภาวะความว่างทางจิตออกไปเรื่อย ๆ


 :25: :25: :25: :25:

แต่เดิม หากว่าเราไม่มีสิ่งเร้า หรือสิ่งเร้าน้อย และเราไม่พาตนเองไปยังสิ่งเร้าต่าง ๆ ทางความคิด เราก็อาจจะไม่ได้คิด แต่ปัจจุบันนั่งอยู่เฉย ๆ มี สมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องเห็นกระทู้ก็ต้องแสดงความคิดเห็นจุดยืน หรือบางทีเปิดกระทู้โพสต์เองรอคนมาแสดงความคิดเห็นและมีการปะทะสังสรรค์กันตามความคิด

ในด้านหนึ่งจิตใจคนเราไม่เหงาไม่ห่อเหี่ยว แต่อีกด้านปัจจุบันการที่คนเราจะตรึงใจของเราให้อยู่ กับปัจจุบันขณะนั้นมันยากยิ่งกว่าที่เคยผ่านมา คนเราทุรนทุรายมากหากว่าไม่ได้แสดงความคิดเห็นหรือว่ามีการบริโภคทางความคิด


 ans1 ans1 ans1 ans1

คำว่า “จิตว่าง” อันเป็นพื้นฐานของการเจริญสติให้อยู่กับ “ปัจจุบันขณะ” เป็นสิ่งที่มีความท้าทายมาก

แม้แต่ในเวลาที่มนุษย์ยุคดิจิตอล โซเชียลมีเดีย พยายามที่จะภาวนาเจริญสติ เราก็ยัง “คิด” ในจิตใจของเราหากไม่ส่งจิตออกนอกไปคิดถึงอดีต หรือลุ้นอนาคตก็จะต้องคิดกับปัจจุบัน ขณะถามตนเองตลอดว่า “อย่างนี้เรียกว่าใช่แล้วหรือไม่” กลายเป็นการนั่งภาวนาแบบส่งจิตไปเช็กสภาวะธรรมตนเองตลอดเวลาว่า “ตกลงแล้วใช่หรือไม่” เพราะเรา “หวังมรรคผลทางธรรม” อันจะเกิดขึ้นจากการนั่งปฏิบัติภาวนา

เคยฟังคำพระท่านสั่งสอนว่า “ถ้าลังเลสงสัย คือไม่ใช่” ไม่เคยเข้าใจครับ และอีกคำหนึ่ง “คิดเท่าไหร่ก็จะไม่รู้ หยุดคิดแล้วเมื่อนั้นแหละจะรู้”

สองคำนี้หากตีความกันพื้น ๆ คือ ว่าครั้งใดก็ตามที่เราใช้ความคิดเพื่อหาความสงบ มันไม่มีสงบ เพราะการคิด โดยเฉพาะการหวังผลทางธรรมไม่เคยนำสู่ความสงบ และการ “รับรู้ตามความจริง” หากหยุดคิด และรับรู้ตามธรรมชาติของมันไป โดยไม่มีอิทธิพลของความคิดมาเกี่ยวข้อง เท่านั้นแหละ “ความรู้ธรรม” นั้นจะเกิดขึ้น


 st12 st12 st12 st12

แต่ท่ามกลางสังคมแบบที่เร้าให้คนเรามีความคิด และการหวังผลตลอดเวลา เร้าให้เราใช้ความคิดเยอะ ๆ แสดงจุดยืนเยอะ ๆ คิดดัง ๆ ให้ทุกคนได้ยิน เหมือนเป็นอุปสรรคในการรู้ การสงบ และการอธิษฐานจิต เพื่อการเข้าสู่ปัจจุบันขณะกล่าวคือ “สติ” อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ดี มองอีกแง่หนึ่งจริง ๆ การเข้าถึงปัจจุบันไม่ได้ยากมาก เพียงแต่เราต้องปลดพันธนาการจาก “ความคิด” เท่านั้นเอง.


คอลัมน์ :จิตเหนืออารมณ์ โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน
ขอบคุณบทความ : http://www.dailynews.co.th/article/364359
11917  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / แนะนำสถานที่ สวดมนต์ข้ามปี 2559 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2015, 09:17:41 am

แนะนำสถานที่ สวดมนต์ข้ามปี 2559

ใกล้จะขึ้นสู่ปี 2559 แล้ว แต่ก่อนจะเข้าสู่ปีใหม่ Sanook! Horoscope มีสถานที่แนะนำสำหรับการสวดมนต์ข้ามปี เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิตตลอดปี

การสวดมนต์ข้ามปีมีประโยชน์มากนะคะ  ช่วยให้จิตเป็นสมาธิ เพราะขณะนั้นผู้สวดต้องสำรวมใจแน่วแน่ มิ เมื่อจิตเป็นสมาธิความสงบเยือกเย็นในจิตจะเกิดขึ้น เป็นการกระทำที่ได้ปัญญา ถ้าการสวดมนต์โดยรู้คำแปลรู้ความหมายก็ย่อมทำให้ผู้สวดได้ปัญญาความรู้

เป็นการตัดความเห็นแก่ตัว เพราะในขณะนั้นอารมณ์จะไปหน่วงอยู่ที่การสวดมนต์อย่างตั้งใจ เป็นสิริมงคล ทั้งแก่ชีวิตตน และ บริวารคนรอบตัว สามารถไล่ความขี้เกียจได้ เพราะขณะสวดมนต์ อารมณ์เบื่อ เซื่องซึม ง่วงนอน เกียจคร้านจะหมดไป เปรียบเสมือนการได้เฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะขณะนั้นผู้สวดมี กาย วาจา ปกติ (มีศีล) เท่ากับได้เฝ้าพระองค์ด้วยการ ปฏิบัติบูชา ครบไตรสิกขาอย่างแท้จริง

ซึ่งในปัจจุบันสถานที่ของการจัดงานสวดมนต์ข้ามปีก็ได้มีแพร่หลายทั้งในกรุงเทพฯ รวมไปถึงต่างจังหวัดด้วย ใครสะดวกที่ไหนก็เดินทางไปได้ Sanook! Horoscope ได้รวบรวมสถานที่จัดงานสวดมนต์ข้ามปีมาไว้ให้ได้ทราบกันแล้วที่นี่....สถานที่สวดมนต์ข้ามปี 2559 มีที่ไหนบ้างมาดูกัน


 ans1 ans1 ans1 ans1

สถานที่สวดมนต์ข้ามปี 2559 ภายในกรุงเทพ

โดยปีนี้ กทม. จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี 2559 ที่ท้องสนามหลวง วันที่ 31 ธ.ค. 58-1 ม.ค. 59 กำหนดการสวดมนต์ข้ามปี 2559 เริ่ม 18.30 น.

กำหนดการคือวันที่ 30 ธันวาคม เวลา 15.00 น. กทม. อัญเชิญพระพุทธนวราชบพิตร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำ กทม. มาประดิษฐาน ณ มณฑป มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อให้ประชาชนสักการะ ก่อนจะอัญเชิญกลับศาลาว่าการ กทม. วันที่ 1 มกราคม 2559 เวลา 16.00 น.

สำหรับกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในคืนวันที่ 31 ธันวาคม มีไว้ดังนี้
เวลา 18.30 น. ประธานในพิธีฝ่ายบรรพชิต และคณะสงฆ์เข้านั่งประจำที่เพื่อเตรียมประกอบศาสนพิธี
เวลา 20.00 น. จะมีการแสดงพระธรรมเทศนา โดยสมเด็จพระราชาคณะ
เวลา 20.40 น. พระสงฆ์จะนำสวดมนต์ตั้งจิต
เวลา 23.00 น. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ประธานในพิธีฝ่ายคฤหัสถ์ จุดธูปเทียนบูชาเครื่องนมัสการและเปิดกรวยถวายราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เวลา 23.15 น. ประธานในพิธีฝ่ายบรรพชิตแสดงพระธรรมเทศนา จากนั้นนำประชาชนเจริญพระพุทธมนต์และสวดมนต์ข้ามปี เพื่อความสุขสวัสดิมงคล

และวันที่ 1 มกราคม 2559 จะมีกิจกรรมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 189 รูป ตั้งแต่เวลา 07.00 น. โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นประธานในพิธี


ส่วนการสวดมนต์ข้ามปี 2559 ที่วัด มีสถานที่ดังนี้
- วัดศรีบุญเรือง บางกะปิ กรุงเทพฯ
วันที่ 31 ธันวาคม 2557 - 1 มกราคม 2558
- วัดสังข์กระจาย เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
วันที่ 31 ธันวาคม 2557 - 1 มกราคม 2558
- ยุวพุทธิกสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ เขตภาษีเจริญ จ.กรุงเทพฯ
วันที่ 31 ธันวาคม 2557 - 1 มกราคม 2558
- วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
วันที่ 31 ธันวาคม 2557 - 1 มกราคม 2558


รายชื่อวัดที่จัดงานเมื่อปีที่แล้วในเขตกรุงเทพ
1. วัดยานนาวา เขตสาทร
2. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบฯ
3. วัดภาษี เขตวัฒนา กทม.
4. วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เขตบางขุนเทียน
5. วัดชัยพฤกษ์มาลา เขตตลิ่งชัน
6. วัดสุวรรณประสิทธิ์ เขตบึงกุ่ม
7. สมาคมส่งเสริมความดีสากล
8. วัดทุ่งลานนา เขตประเวศ กทม.
9. วัดพรหมวงศาราม เขตดินแดง
10. วัดเทพลีลา เขตบางกะปิ
11. วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน
12. วัดเจริญธรรมาราม เขตสายไหม
13. วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร เขตดุสิต
14. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
15. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
16. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร
17. วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์
18. วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์
19. วัดบางเตย เขตบึงกุ่ม
20. วัดชัยชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
21. วัดมหรรณพารามวรวิหาร เขตดุสิต
22. วัดพิชัยญาติการามวรวิหาร เขตบางกอกน้อย
23. วัดอุดมรังสี เขตหนองแขม
24. วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เขตห้วยขวาง
25. วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบฯ ฯ
26. วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต เขตบางเขน
27. วัดราชสิงขร บางคอแหลม
28. วัดดาวดึงษ์ เขตบางพลัด
29. วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร เขตบางรัก
30. วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง
31. วัดหัวลำโพง เขตบางรัก
32. วัดบางโพโอมาวาส เขตบางซื่อ
33. วัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ
34. วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร
35. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร
36. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต
37. วัดประยุรวงศาวาส เขตธนบุรี
38. วัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี
39. วัดราชคฤห์ เขตธนบุรี
40. วัดจันทร์ประดิษฐาราม เขตตลิ่งชัน
41. วัดราชสิทธาราม เขตบางกอกใหญ่
42. วัดนาคกลาง เขตบางกอกใหญ่
43. วัดใหม่พิเรนท์ เขตบางกอกใหญ่
44. วัดสุวรรณคีรี เขตบางกอกน้อย
45. วัดเทพนารี เขตบางพลัด
46. วัดดอนเมือง เขตดอนเมือง
47. วัดเวฬุวนาราม เขตดอนเมือง
48. วัดราชโอรสาราม เขตจอมทอง
49. วัดนางนอง เขตจอมทอง
50. วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน
51. วัดอัปสรสวรรค์ เขตภาษีเจริญ
52. วัดอุดมรังสี เขตหนองแขม
53. วัดคู้บอน เขตคลองสามวา
54. วัดบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ
55. วัดบุณยประดิษฐ์ เขตบางแค
56. วัดหนองจอก เขตหนองจอก



 ask1 ans1 ask1 ans1 ask1 ans1

สถานที่จัดงานสวดมนต์ข้ามปี 2559 ที่ต่างจังหวัด

- ต้นบุญธรรมสถาณ จ.ชลบุรี
- วัดป่าปฐมชัย ต.หนองปากโลง อ.เมือง จ.นครปฐม
- สำนักปฎิบัติ แสงธรรมส่องชีวิต ต.โคกแย้ อ.หนองแค จ.สระบุรี
- วัดใหญ่ชัยมงคล จ.อยุธยา
- วัดปัญญานันทาราม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
- ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จ.ปทุมธานี


 :25: :25: :25: :25:

รายชื่อวัดที่จัดงานเมื่อปีที่แล้วในต่างจังหวัด(คาดว่าปีนี้น่าจะจัดอีก)

ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

อยุธยา
วัดใหญ่ชัยมงคล อ.พระนครศรีอยุธยา

ปทุมธานี
1. วัดปัญญานันทาราม อ.คลองหลวง
2. วัดสายไหม อ.ลำลูกกา
3. วัดโบสถ์ อ.สามโคก
4. ยุวพุทธิกสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ อ.คลองหลวง
5. องค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม
6. สมาคมวัฒนธรรมเพื่อความดีสากล

นนทบุรี
1. วัดไผ่เหลือง อ.บางบัวทอง
2. วัดเฉลิมพระเกียรติ อ.เมือง

ฉะเชิงเทรา
1. วัดบางแก้ว อ.เมือง
2. วัดหนองเสือ อ. พนมสารคาม
3. วัดโสธรวราราม อ.เมือง
4. วัดเขาดิน อ.บางปะกง

ชลบุรี
1. วัดเกาะแก้วคลองหลวง อ.พนัสนิคม
2. วัดบ้านในบน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
3. สวนธรรมนรารัตน์วันชัยขันติภาวนาบารมี อ.ศรีราชา
4. วัดเขาบ่อกวางทอง ม.4ต.บ่อกวางทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ราชบุรี
1. วัดหนองตาเนิด อ.จอมบึง
2. วัดหนองโพ อ.โพธาราม
3. วัดมหาธาตุวรวิหาร อ.เมือง

ปราจีนบุรี
1. วัดหลวงบดินทร์เดชา อ.กบินทร์บุรี
2. วัดหลวงบดินทร์เดชา อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
3. วัดป่ามะไฟ อ.เมือง
4. วัดมะกรูด อ.กบินทร์บุรี
5. วัดพันศรี อ.กบินทร์บุรี

สมุทรปราการ
1. วัดใหญ่ อ.พระสมุทรเจดีย์

สิงห์บุรี
1. วัดพระนอนจักรสีห์ อ.เมือง

สระบุรี
1. วัดศรีบุรีรัตนาราม อ.เมือง

อ่างทอง
1. วัดต้นสน อ.เมือง

ระยอง
1. วัดเนินพระ อ.เมือง

ตราด
1. วัดไผ่ล้อม อ.เมือง
2. วัดทุ่งไก่ดัก อ.เมือง

สุพรรณบุรี
1. วัดป่าเลไลยก์ อ.เมือง
2. วัดสองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง
3. วัดสามชุก อ.สามชุก

สมุทรสาคร
1. วัดปทุมทองรัตนาราม อ.บ้านแพ้ว
2. วัดป้อมวิเชียรโชติการาม อ.เมือง

เพชรบุรี
วัดเขื่อนเพชร อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี

กาญจนบุรี
วัดหนองอำเภอจีน อ.เลาขวัญ

นครปฐม
วัดพระปฐมเจดีย์ อ.เมือง

นครนายก
วัดประสิทธิเวช อ.องครักษ์

นครราชสีมา
1. วัดสระตะเฆ่ อ.โนนไทย
2. วัดโคกศรีษะเกษ อ.ปักธงชัย
3. วัดท่าหลวง อ.พิมาย
4. วัดสุทธจินดา อ.เมือง
5. วัดอิสาน อ.เมือง
6. วัดปอแดง อ.ปักธงชัย
7.วัดต่างตา ต.หนองจะบก อ.เมือง

ขอนแก่น
1. วัดพิศาล อ.สีชมพู
2. วัดหนองแวง อ. เมืองขอนแก่น
3. วัดโพธิ์ อ.เมือง

มหาสารคาม
1. วัดขุนพรหมดำริ (บ้านอุปราช) อ.เมือง
2. วัดศรีสวัสดิ์ อ.เมือง
3. วัดโสมนัส อ.พยัคฆภูมิพิสัย
4. วัดกลางกุดรัง อ.กุดรัง

ร้อยเอ็ด
1. วัดทุ่งรังษี อ.พนมไพร
2. วัดป่าตถตาราม อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด
3. วัดโพธิการาม อ.โพนสูง
4. วัดสระเกษ อ.สระเกษ
5. วัดท่าสะแบง อ.ทุ่งเขาหลวง
6. วัดเจริญราษฎร์ อ.สุวรรณภูมิ

สุรินทร์
1. วัดดอกจานรัตนาราม อ.รัตนบุรี
2. วัดสะเดารัตนาราม อ.ปราสาท

สกลนคร
1. วัดบูรพาภิรมย์ อ.ส่องดาว
2. วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร
3. วัดโนนสว่างภิรมย์ อ.วานรนิวาส

อำนาจเจริญ
1. วัดเทพมงคล อ.เมือง
2. วัดมงคลโกวิทาราม อ.เมือง

อุบลราชธานี
1. วัดมงคลโกวิทาราม อ.เมือง
2. วัดทุ่งศรีเมือง อ.เมือง

กาฬสินธุ์
1. วัดโพนวิมาน อ.เขาวง
2. วัดเวฬุวัน อ.สหัสขันธ์
3. วัดสิมนาโก อ.กุฉินารายณ์
4. วัดชัยมงคลโคกค่าย อ.ยางตลาด

ศรีสะเกษ
1. วัดสว่าง อ.กันทรลักษ์
2. วัดกลางขุขันธ์ ต.ห้วยเหนือ อ.ขุขันธ์
3. วัดดอนใหญ่ ต.ดวนใหญ่ อ.วังหิน
4. วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง
5. วัดศรีห้วยทับทัน อ.ทับทัน
6. วัดบ้านโดด ต.โดด อ.โพธิ์สรีสุวรรณ
7. วัดสิริวราวาส ต.น้ำอ้อม อ.กันทราลักษ์
8. วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์

บุรีรัมย์
1. วัดทุ่งโพธิ์ อ.เมือง
2. วัดไผ่น้อย อ.เมือง

เลย
1. วัดศรีบุญเรือง อ.เมือง

อุดรธานี
วัดมัฌชิมาวาส อ.เมือง

ยโสธร
วัดยางตลาด อ.คำเขื่อนแก้ว

หนองคาย
1. วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง
2. วัดศรีชมชื่น อ. เมือง
3. วัดปากน้ำ บุ่งสระพัง อ.เมือง

สระแก้ว
วัดนครธรรม อ.วัฒนานคร

ชัยภูมิ
วัดป่าสันติธรรม อ.เมือง


 :25: :25: :25: :25:

ภาคเหนือ ภาคใต้

เชียงใหม่
1. วัดศรีสุพรรณ อ.เมือง
2. วัดบ้านขุน อ.ฮอด
3. วัดป่าไม้แดง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
4. วัดสันกำแพง อ.สันกำแพง
5. วัดพระสิงห์ อ.เมือง
6. ธุดงคสถานล้านนา อ.สันทราย
7. วัดศรีโสดา อ.เมือง

พิษณุโลก
1. วัดกำแพงมณี อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก
2. วัดพระศรีรัตนมหาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง

สุโขทัย
1. วัดท่าเกษม อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย
2. วัดสวรรคาราม อ.สวรรคาราม
3. วัดราษฎร์ศรัทธาทำ อ.ศรีนคร
4. วัดศรีมหาโพธิ์ อ.เมือง
5. วัดไทยชุมพล อ.เมือง

ลำปาง
1. วัดสบลืน อ.วังเหนือ
2. วัดปงหอศาล อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
3. วัดศรีบุญเรือง อ.เมือง
4. วัดเจดีย์ซาวหลัง อ.เมือง
5. วัดเกาะวาลุการาม อ.เมือง

พิจิตร
1. วัดบ้านน้อย อ.โพทะเล
2. วัดท่าหลวง อ.เมือง

อุตรดิตถ์
1. วัดคลองโพธิ์ อ.เมือง
2. วัดหาดสองแคว อ.ตรวน
3. วัดศรีอุทุมพร อ.ลับแล

เชียงราย
1. วัดเชตะวัน อ.เมือง
2. วัดพระสิงห์ ถนนสิงหไคล อ. เมือง
3. วัดพระแก้ว อ.เมือง
4. วัดพระธาตุผาเงา อ.เชียงแสน
5. วัดพระยอดขุนพล อ.เวียงป่าเป้า

ลำพูน
1. วัดเมืองง่า อ.เมือง
2. วัดพระธาตุหริภุญไชย อ.เมือง
3. ศูนย์อบรมศีลธรรม
4. วัดหนองผำ อ.ป่าซาง

พะเยา
1. วัดศรีอุโมงค์คำ อ.เมือง
2. วัดศรีโคมคำ อ. เมือง

น่าน
วัดพระธาตุแช่แห้ง อ.ภูเพียง

แพร่
สำนักสงฆ์ดอยขาน้อย อ.เมือง

กำแพงเพชร
วัดบรมธาตุ อ.เมือง

แม่ฮ่องสอน
วัดพระธาตุดอยกองมู อ.เมือง

เพชรบูรณ์
1. วัดเพชรวราราม อ.เมือง
2. วัดวังชมพู อ.เมือง พังงา
1. วัดประชุมโยธี อ.เมือง

นครศรีธรรมราช
1. วัดพระพรหม อ.พระพรหม
2. วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง
3. วัดพระบรมธาตุ

ตรัง
วัดเขาไม้แก้ว อ.สิงกา

สตูล
วัดนิคมพัฒนาราม (ผังเจ็ด) อ.มะนัง

สงขลา
1. วัดคลองแห อ.หาดใหญ่
2. วัดโคกสมานคุณ อ.เมือง
3. วัดถาวรวราราม อ.เมือง

นราธิวาส
1. วัดพรหมนิวาส
2. วัดชลธาราวาส

พัทลุง
1. วัดถ้ำสุมะโน อ.ศรีนครินทร์
2. วัดตะโหมด อ.ตะโหมด

กระบี่
วัดถ้ำเสือ อ.เมือง

ระนอง
วัดตะโปทาราม อ.เมือง

สุราษฎร์ธานี
วัดท่าไทร ต.ท่าทองใหม่ อ.กาญจนดิษฐ์

ภูเก็ต
วัดท่าเรือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต

ประจวบคีรีขันธ์
อาศรมสุญญตา อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

ชุมพร
วัดขันเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร

กระบี่
วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.กระบี


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://horoscope.sanook.com/93121/
11918  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ห้ามพลาดปีหน้า.! ชมสุริยุปราคาครั้งเดียว 9 มีนาคม 2559 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2015, 08:46:20 am



ห้ามพลาดปีหน้า.! ชมสุริยุปราคาครั้งเดียว 9 มีนาคม 2559

สดร.เผยปีหน้าคนไทยได้ชมสุริยุปราคาแบบบางส่วน 9 มีนาคม 2559 เป็นอุปราคาที่เกิดเพียงครั้งเดียวในรอบปี ด้านสมาคมดาราศาสตร์ไทย ชี้หากพลาดชมครั้งนี้ รอนานอีก 3 ปี

วันนี้(26 ธค.2558) ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)หรือสดร.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยถึงปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าสนใจในปี2559 ว่า ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจที่สุด คือการเกิดสุริยุปราคาในวันที่ 9 มีนาคม 2559 โดยเป็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง แต่ประเทศไทยเห็นได้เป็นบางส่วน แต่ก็ถือว่าเป็นอุปราคา(สุริยุปราคาและจันทรุปราคา)ที่ประเทศไทยจะได้เห็นเพียงครั้งเดียวในปี 2559

 :96: :96: :96: :96:

โดยปรากฏการณ์สุริยุปราคาดังกล่าว จะเริ่มจะเกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 9 มีนาคม.(ตามเวลาในประเทศไทย) แนวคราสเต็มดวงส่วนใหญ่พาดผ่านในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก จุดที่เกิดคราสเต็มดวงนานที่สุด (Maximum Eclipse) จะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะกวม(Guam) ที่ละติจูด 10 องศา 7 ลิปดา เหนือ ลองจิจูด 148 องศา 30 ลิปดา ตะวันออก ทั้งนี้ เวลาที่คราสเต็มดวงนานที่สุดในบริเวณนี้จะนานถึง 4 นาที 9 วินาที

สำหรับประเทศไทยทั่วทุกภูมิภาคของประเทศจะเห็นปรากฏการณ์นี้เป็นสุริยุปราคาบางส่วนโดยบริเวณภาคใต้ตอนล่างจะเห็นได้ชัดเจนที่สุด โดยดวงอาทิตย์จะถูกดวงจันทร์บดบังมากที่สุดประมาณ80 %

ดร.ศรัณย์ กล่าวว่านอกจากปรากฏการณ์สุริยุปราคาแล้ว ในปีหน้ายังมีทั้งปรากฏการณ์ฝนดาวตกที่เกิดเป็นประจำทุกปี และปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนอีกด้วย

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ด้านนางสาวประพีร์ วิราพร นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย เปิดเผยว่า ในวันพุธที่ 9 มีนาคม 2559 คนไทยอย่าได้ตกใจ หากจะเห็นดวงอาทิตย์ไม่เต็มดวงหรือพระอาทิตย์แหว่ง ตั้งแต่ช่วงเช้าตอนขึ้นจากขอบฟ้าใหม่ เนื่องจากเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงที่ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศไทยสังเกตเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วนทั่วประเทศ โดยในไทยจะสังเกตเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่งหรือถูกดวงจันทร์บดบังมากที่สุด ประมาณ 80 % ในเวลาประมาณ 07.26 น. ที่บริเวณภาคใต้เช่นที่ จ.สงขลา หรือภูเก็ต ส่วนกรุงเทพ ฯจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บดบังเต็มที่ ซึ่งจะเกินครึ่งดวงมาเล็กน้อย ในเวลาประมาณ 07.33 น. ทั้งนี้การชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาแม้จะเป็นช่วงเช้าที่ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นไม่นาน แต่ต้องใช้แว่นสุริยะ หรืออุปกรณ์ช่วยในการดูที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้วย เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อดวงตา

อย่างไรก็ดี หากคนไทยพลาดปรากฏการณ์สุริยุปราคาในครั้งนี้ จะต้องรออีก 3 ปี ประเทศไทยถึงจะมีโอกาสเห็นสุริยุปราคาอีกครั้งในวันที่ 26 ธันวาคม 2562 โดยเห็นเป็นสุริยุปราคาแบบบางส่วน ส่วนสุริยุปราคาแบบเต็มดวง ไทยจะมีโอกาสเห็นได้ในวันที่ 11 เมษายน 2613


หมายเหตุ : ภาพถ่ายดวงอาทิตย์ขณะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง(TotalSolar Eclipse) ปี พ.ศ. 2549 ณ ประเทศตุรกี สามารถมองเห็นโคโรนาของดวงอาทิตย์ชัดเจน ภาพโดย:สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/it/369465
11919  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทึ่ง.! คนแห่เรียน 'มจร' สายสังคมศาสตร์ เมื่อ: ธันวาคม 27, 2015, 08:40:51 am



ทึ่ง.! คนแห่เรียน 'มจร' สายสังคมศาสตร์

'สกอ.'ร่วม'มจร'วางกรอบคุณภาพนิสิต ขีด 2 ปีทั้งป.โท-เอกต้องเขียนพูดอังกฤษได้ แนะต้องสร้างนักบริหาร-ปกครองที่มีคุณธรรม เผยคนสนใจเรียนสายสังคมศาสตร์มาก

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2558 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) จัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงหลักสูตร โดยมีพระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ รศ. รองคณบดีฝ่ายวิชาการ เป็นประธานเปิด พร้อมกล่าวว่า การจัดอบรมนี้เป็นการฟังความเห็นจากนางสาวนุชนภา รื่นอบเชย  ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานและการประเมินผลอุดมศึกษา(สกอ.) โดยตรงเพื่อการพัฒนาคุณภาพหลักสูตรว่าจะมีเส้นตัดสินที่ชัดเจนอย่างไร มีแนวทางการประเมินอย่างไรที่ถูกต้องและชัดเจน ซึ่งจะทำให้คณะสังคมศาสตร์พัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพอย่างไรให้มีมาตรฐาน



ต่อมาผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป มจร บรรยายเรื่อง "เส้นทางการสร้างคุณภาพของหลักสูตร คณะสังคมศาสตร์ มจร." กล่าวว่า ก่อนอื่นขอชื่นชมผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา เพราะเข้าใจวัฒนธรรมของ มจร เป็นกัลยาณมิตรเป็นอย่างมาก

"หลักสูตรของคณะสังคมศาสตร์มีคนมาเรียนมากที่สุดใน มจร  จึงมีคำถามว่าทำไมสังคมศาสตร์จึงมีคนนิยมมาเรียนเป็นจำนวนมาก เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาให้ มจร เรียน "พระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง" ซึ่งต้องเรียนวิชาพระพุทธศาสนาถึง 40 หน่วยกิต มีพระพระพุทธศาสนาเป็นฐานสำคัญ ส่วนคำว่า วิชาชั้นสูง คือ วิชาอุดมศึกษา เช่น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นต้น

ฉะนั้น คณะสังคมศาสตร์ มีการบูรณาการทั้งพระพุทธศาสนาและศาสตร์สมัยใหม่ แต่ มจร เน้นเรียนพระไตรปิฏกเป็นพื้นฐานเป็นสำคัญ  คณาจารย์สายสังคมศาสตร์มีความตื่นตัวมาก พระภิกษุสงฆ์มาเรียนเพื่อนำไปใช้ "เชิงการปกครองเชิงการบริหาร" แต่เรามีพระพุทธศาสนาเป็นฐานสำคัญ ฉะนั้นสังคมศาสตร์ มจร  รักษามาตรฐานของการศึกษา ซึ่ง มจร โชคดีที่ได้ผู้อำนวยการ สกอ. มาให้ความรู้โดยตรงเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินในครั้งนี้




นางสาวนุชนภา บรรยายเรื่อง "แนวทางการปรับปรุงหลักสูตรตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2558" ความว่า กล่าวว่า เกณฑ์ใหม่ของ สกอ.มีผลบังคับใช้ เดือนพฤศจิกายน 2558 นี้ ซึ่งยกเลิกเกณฑ์เก่า ซึ่งใช้มา 10 ปีเเล้ว เกณฑ์ใหม่มีผลบังคับใช้ 14 พฤศจิกายน 2558 โดยมีวัตถุประสงค์ในการปรับปรุง คือ ยกระดับมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา และเป็นการยืดหยุ่นในการจัดหลักสูตร เกิดความร่วมมือกับองค์กรภายนอก 

ซึ่งได้กำหนดมาตรฐานของความสามารถภาษาอังกฤษของนิสิตไว้ โดยเน้นการทดสอบด้านการอ่าน การเขียน การพูด การใช้งานได้  เพราะภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการค้นคว้า ศึกษาหาองค์ความรู้  โดยให้มหาวิทยาลัยกำหนดเองภายใน 2 ปีนี้ ซึ่ง สกอ.ก็จะกำหนดเกณฑ์ออกมาแบบมาตรฐานในเรื่องภาษาอังกฤษออกมา ส่วนการทำวิทยานิพนธ์หากพบว่า  มีการจ้างทำหรือคัดลอกสามารถถอดถอนได้ทันที

อย่างไรก็ตามนางนุชนภา กล่าวว่า สำหรับมจร นี้มีอัตลักษณ์จุดเด่นคือ ต้องเน้นสร้างนักรัฐศาสตร์ นักนิติศาสตร์ นักพัฒนาสังคม นักบริหาร นักปกครองที่มีคุณธรรม เพราะ มจร เรียนพระไตรปิฎกเป็นฐานสำคัญบูรณาการเข้ากับวิชาชั้นสูงตามปณิธานรัชกาลที่ 5


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151226/219413.html
11920  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เตรียมจะบวชให้พ่อแม่ ปืนลั่นใส่ตายคาบ้านพัก เมื่อ: ธันวาคม 27, 2015, 08:36:31 am


เตรียมจะบวชให้พ่อแม่ ปืนลั่นใส่ตายคาบ้านพัก

สลดหนุ่มสุพรรณฯเตรียมจะบวชให้พ่อแม่ต้นปีหน้า เคราะห์ร้ายเอาปืนมาขัดเกิดลั่นใส่ตูมตายคาบ้านพัก

เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. พ.ต.ท.นิยม แตงโสภา พงส.สภ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี รับแจ้งคนถูกอาวุธปืนยิงเสียชีวิต ที่บ้านเลขที่ 99 หมู่ 3 ต.องครักษ์ ภายหลังพบศพ นายวุฒิชัย บุญเกิด อายุ 20 ปี เสียชีวิตอยู่บนเตียงนอนจมกองเลือด สภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าที่ปากทะลุศีรษะด้านหลัง ปลายเท้ามีอาวุธปืนลูกซอง 5 นัด ตกอยู่ที่ข้างศพมีกระสุนปืนลูกซอง ตกอยู่ 1 ปลอก และในรังเพลิงอีก 2 นัด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบถามทราบว่าผู้ตายกำลังจะบวชมีกำหนดปลายเดือนมกราคม 2559 ที่จะถึงนี้ ช่วงเกิดเหตุไม่มีใครพบเห็นทราบเพียงว่า ผู้ตายอยู่ในห้องเพียงลำพัง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่า ผู้ตายน่าจะนำปืนลูกซองมาเช็ดทำความสะอาด แต่ไม่ทันระวังหรือนำกระสุนปืนออกไม่หมด ทำให้ปืนลั่นใส่เสียชีวิตดังกล่าว ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่จะได้ส่งศพไปชันสูตรตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/369509
หน้า: 1 ... 296 297 [298] 299 300 ... 708