แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
11963
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ล่ม.! สาวจีนปฏิเสธแต่งงานแฟนหนุ่ม เหตุเพชรเม็ดเล็กไป.!
|
เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 09:46:30 am
|
ล่ม.! สาวจีนปฏิเสธแต่งงานแฟนหนุ่ม เหตุเพชรเม็ดเล็กไป.! หนุ่มจีนจัดเซอร์ไพรส์แฟนสาวขอแต่งงาน สุดท้ายสาวจีนปฏิเสธ ให้เหตุผลว่า"เพชรเม็ดเล็กไป"
เว็บไซต์ข่าว'เดลิเมล์'ได้ตีแผ่เรื่องราวการขอแต่งงานสุดล่ม เมื่อชายแฟนหนุ่มชาวจีนได้ลงทุนจ้างแดนเซอร์หลายชีวิตมาเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานแฟนสาวกลางถนนเมืองเฮิงตู มณฑลเสฉวน ทำเอาแฟนสาวน้ำตาร่วงด้วยความดีใจสุดซึ้ง แต่สุดท้ายเมื่อแฟนหนุ่มคุกเข่ามอบแหวนให้แฟนสาวแล้ว เธอกลับทำหน้าบึ้งและเดินหนีไปดื้อๆ เล่นเอาคนที่อยู่ตรงนั้นงงไปเป็นแถวๆ
ทั้งนี้ เรื่องราวเปิดเผยหลังจากที่เธอได้มาระบายความรู้สึกกับเพื่อนของเธอผ่านแอพฯแชท โดยเธอบอกว่า "ก่อนหน้านี้เราตกลงกันว่าจะเป็นแหวนเพชร 1 กะรัต แต่ปรากฏว่าทำไมของจริงมันเล็กอย่างนี้.? แสดงว่าเขาไม่แคร์หรือเอาใจใส่เราเลยใช่ไหม.?"
เรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกโซเชียลมีเดียจีนซึ่งก็เรียกเสียงฮาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ทั้งนี้ก็มีหลายรายกล่าวว่า แฟนสาวคนนี้ไม่สมควรมีคนมาขอแต่งงานเลยจริงๆที่มา dailymail http://www.posttoday.com/world/news/406214
|
|
|
11965
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'เด็กวัด' น้อยใจชะตาชีวิต ผูกคอตัวเอง พร้อมจดหมายลา
|
เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 08:15:44 am
|
'เด็กวัด' น้อยใจชะตาชีวิต ผูกคอตัวเอง พร้อมจดหมายลา เด็กวัดหนองบัวรอง เมืองโคราช น้อยใจตัวเองป่วยหลายโรค แถมเป็นภาระเพื่อนช่วยงานวัดไม่ได้ เขียนจม.ลาตาย ก่อนผูกคอตัวเองเสียชีวิตในศาลาสวดศพข้างเมรุ
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 22 ธ.ค. ร.ต.ท.วีระชน ปรากฏมาก ร้อยเวร สภ.เมืองนครราชสีมา รับแจ้งมีผู้ผูกคอตัวเองเสียชีวิตที่ศาลาสวดศพเก่าติดกับเมรุ วัดหนองบัวรอง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา จึงพร้อมด้วยแพทย์เวร รพ.มหาราชนครราชสีมา และกู้ภัยสว่างเมตตาธรรมสถานนครราชสีมา รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบศพ นายชาญชัย วรพิทราฤกษ์ อายุ 44 ปี ชาวจ.นครราชสีมา สภาพใช้ผ้าขาวม้าผูกติดกับโต๊ะรัดคอตัวเองชีวิตในท่านั่งสวมเสื้อกันหนาวแขนยาวสีฟ้า นุ่งกางเกงลายสก๊อต คาดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง ห่างจากศพเพียง 10 เมตร พบจดหมายที่ผู้ตายเขียนเอาไว้ มีข้อความว่า "ถึงเดี่ยวเพื่อนรัก ถ้ามึงได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว กูคงตายไปแล้วขอให้เพื่อนเอาศพออกจากโรงพยาบาลทีและสวดคืนเดียวเผาเลยก็ได้" เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากการสอบถาม นายสมนึก แซ่โง้ว อายุ 44 ปี เพื่อนที่ผู้ตายเอ่ยชื่อถึงในจม. เล่าว่า เมื่อคืนยังพบผู้ตายและมีการพูดคุยกัน โดยบ่นว่าอยากตายเพราะเหนื่อยและท้อ เนื่องจากมีโรคประจำตัวหลายโรค อาทิ ความดัน หัวใจและแขนขาอ่อนแรง ทำให้มีผลต่อการดำรงชีวิต ไม่คิดว่าจะผูกคอตายจริง ที่ผ่านมาผู้ตายทำงานเป็นเด็กวัดมานานหลายปี ช่วยพระสงฆ์ทำความสะอาดเวลามีงานบุญเป็นประจำ แต่ช่วงหลังมีอาการป่วยหลายโรคไม่สามารถทำงานช่วยวัดได้และยังเป็นภาระให้เพื่อนต้องดูแลในบางครั้ง เชื่อว่าน่าจะเป็นสาเหตุในการตัดสินใจคิดสั้นผูกคอเสียชีวิต เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะนำศพส่ง รพ.มหาราชนครราชสีมา ผ่าพิสูจน์ก่อนประสานให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลต่อไป.ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/368652
|
|
|
11974
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดชีวิต สัปเหร่อไฮโซ ใส่สูท-ขับเบนซ์ รายได้งาม
|
เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 08:30:29 am
|
เนรมิต ศรีเมือง เปิดชีวิต "เนรมิต ศรีเมือง" สัปเหร่อไฮโซ ใส่สูท-ขับเบนซ์ รายได้งาม เผยเส้นทางชีวิต เนรมิต ศรีเมือง สัปเหร่อไฮโซ จากชีวิตเด็กวัดสู่อาชีพสัปเหร่อ รายได้ 5-6 หลักต่อเดือน เจ้าของสโลแกน ใส่สูท ผูกไท ไดร์ฟกอล์ฟ เผาศพ
หลายคนอาจมองว่า อาชีพสัปเหร่อ คงจะแต่งตัวธรรมดา ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมายอย่างที่เราเห็นกันทั่ว ๆ ไป แต่เชื่อเลยว่าหากรู้จักผู้ชายที่ชื่อว่า เนรมิต ศรีเมือง สัปเหร่อหนุ่มไฮโซ ใส่สูท ขับเบนซ์ คนนี้แล้ว ภาพเดิม ๆ ของสัปเหร่อคงจะถูกลบออกไปอย่างแน่นอน ซึ่งรายการ แรงชัดจัดเต็ม ออกอากาศวันที่ 15 ธันวาคม 2558 จะพาไปรู้จักผู้ชายคนนี้กันโดย เนรมิต ศรีเมือง เล่าว่า ตนเองประกอบอาชีพสัปเหร่อมานานนับ 20 ปี และเริ่มใส่สูทจริง ๆ เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา หากถามถึงชีวิตส่วนตัวนั้น ตอนเด็ก ๆ ตนเองจบแต่ ป.6 เป็นชาว จ.ฉะเชิงเทรา และเป็นเด็กวัดมาโดยตลอด
"ตอนเด็ก ๆ เคยเสียชีวิตมาก่อน จากการเป็นโรคลมชักแต่แม่ได้บนไว้ว่าถ้ารอดจะยกให้วัดและสุดท้ายก็ฟื้น แม่จึงพาไปถวายให้วัดพุทธโสธรและเป็นเด็กวัดมาโดยตลอด" เนรมิต กล่าว
สำหรับเส้นทางการเป็นสัปเหร่อ เนรมิต ศรีเมือง เล่าว่า เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจของตนเองที่ความรู้น้อย เวลาไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนแบบคนอื่น ต้องใช้วิธีบวชเรียนโดยบวชเณร 8 ปี และบวชพระ 8 ปี รวมเป็น 16 ปี หากถามว่าทำไมไม่บวชเป็นพระไปตลอด เพราะตนเองต้องการตามหาพ่อกับแม่ที่แยกทางกัน จึงตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ ก่อนจะเจอคุณพ่อ จากนั้นตนเองได้ไปสมัครงานแต่ไม่มีใครรับ เพราะจบเพียง ป.6 เลยตัดสินใจกลับไปบวชพระที่บ้าน และกลับไปนั่งทบทวนจนมีอยู่วันหนึ่งตนเองได้มีโอกาสไปช่วยเหลือสัปเหร่อทำศพพอเสร็จงานก็ได้เงิน 5 บาท ซึ่งตอนนั้นเป็นเงินที่หาได้มากที่สุดในชีวิต ถือเป็นการจุดประกายความคิดว่าถ้าตนเองทำงานจะได้เงินเพื่อไปตามหาแม่ และจากนั้นตนเองก็เริ่มเรียนรู้งานสัปเหร่อเรื่อย ๆ มา ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการห่อศพ มัดตราสัง บทสวดต่าง ๆ จนช่ำชองจนกลายเป็นสัปเหร่อเต็มตัว ส่วนเรื่องค่าแรงก็แล้วแต่คนให้แต่ถ้าคนไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ปัจจุบันตนเองเก็บใบมรณบัตรที่เคยทำศพมาแล้วกว่า 1 หมื่นรายไม่รวมกรณีที่ไม่เก็บไว้อีกรวมทั้งหมดประมาณเกือบ 2 หมื่น
ทั้งนี้เนรมิต ศรีเมือง เล่าต่อว่า การที่ตนเองลุกขึ้นมาใส่สูททำอาชีพนี้เพราะต้องการยกระดับอาชีพสัปเหร่อให้เป็นมาตรฐานที่ทุกคนยอมรับ และสัปเหร่อก็แปลว่า คนดี ซึ่งตนเองมีสโลแกนส่วนตัวว่า ใส่สูท ผูกไท ไดร์ฟกอล์ฟ เผาศพ ขับเบนซ์ เพราะที่ผ่านมาถูกคนดูถูก ดูแคลน มาเยอะ แต่หลังจากลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองก็ชีวิตเปลี่ยน รวมทั้งตอนนี้ตนเองก็รับเป็นที่ปรึกษาเรื่องงานมงคลอีกด้วย ส่วนรายได้ต่อเดือนตอนนี้หากรู้จักเก็บต่อเดือนก็ได้ประมาณ 5-6 หลัก เลยทีเดียวชมคลิปได้ที่ https://youtu.be/gnnM_TG_djUhttps://youtu.be/R6Mw-GoaAd4https://youtu.be/2kdrPck-_8Aภาพจาก BRIGHT TV ที่มา http://hilight.kapook.com/view/130481
|
|
|
11976
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 เหตุผลที่บ่งบอกว่า "คุณเป็นคนเสพติดเฟซบุ๊ก"
|
เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 08:12:26 am
|
5 เหตุผลที่บ่งบอกว่า "คุณเป็นคนเสพติดเฟซบุ๊ก" นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล ค้นพบ 5 เหตุผลที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นเสพติดการเล่นเฟซบุ๊ก ด้วยการให้อาสามัครเลิกเล่นเฟซบุ๊กเป็นเวลา 3 เดือน และนักวิจัยติดตามผลพบว่ามีอาสาสมัครจำนวนหนึ่งแอบกลับไปเปิดเฟซบุ๊กเล่น
นี่คือเหตุผลที่พวกเขากลับไปเล่นเฟซบุ๊กอีกทั้งๆที่สัญญาว่าจะเลิกเล่นเป็นเวลา 3 เดือน
1. ใช้เฟซบุ๊กเป็นที่กำหนดภาพลักษณ์ของตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นในเฟซบุ๊ก ทำให้พวกเขาขาดเฟซบุ๊กไม่ได้
2. ใช้โซเชียลมีเดียเฟซบุ๊กเพียงอย่างเดียว ไม่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างอื่น เช่น ทวิตเตอร์ คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มผิดสัญญาแล้วกลับเล่นเฟซบุ๊กก่อนกำหนด
3. ยิ่งคิดว่าเฟซบุ๊กเป็นสิ่งเสพติด คนคนนั้นก็มีโอกาสกลับไปเล่นเฟซบุ๊กได้มากกว่าคนอื่นๆ
4. ใช้เฟซบุ๊กเป็นที่ระบายอารมณ์ โดยเฉพาะวันไหนที่อารมณ์ไม่ดี เฟซบุ๊กจะเหมือนห้องน้ำดีๆ ไว้ให้คอยระบายทุกสิ่งทุกอย่าง
5. คอยกังวลกับข้อมูลตัวเองที่อยู่ในเฟซบุ๊กจะถูกขโมยไปหรือถูกสอดแนม ถ้าหากคำตอบคือไม่กังวลกับเรื่องนี้เลย พวกเขาจะมีความอยากออนเฟซบุ๊กอยู่เสมอขอบคุณภาพแดละบทความจาก Source : Metro http://campus.sanook.com/1380055/
|
|
|
11977
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นมัสการเกจิดัง ชมสถาปัตย์อีสาน รับตะวันใหม่ '59 ที่ ‘อุบลราชธานี’
|
เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 08:07:44 am
|
นมัสการเกจิดัง ชมสถาปัตย์อีสาน รับตะวันใหม่ '59 ที่ ‘อุบลราชธานี’ ประวัติศาสตร์การก่อร่างสร้างเมืองที่ยาวนานกว่า 223 ปี ทำให้ที่นี่เคยเป็นเมืองหลักของมณฑลอีสาน ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็น “เมืองนักปราชญ์” เพราะเป็นถิ่นเกิดของเกจิและอริยสงฆ์หลายรูป
ถิ่นบัวงามนาม “อุบลราชธานี” จังหวัดเดียวที่ลงท้ายด้วยคำว่า “ราชธานี” พื้นที่ครอบคลุมที่ราบและแม่น้ำสายสำคัญของภาคอีสานถึง 3 สายด้วยกัน คือ แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง อีกทั้งยังมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่มีกำเนิดจากเทือกเขาในพื้นที่หลายสาย อุบลราชธานีจึงเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี สมกับที่ได้ชื่อ ว่าเป็น “เมืองคนดี” โดยมี “อนุสรณ์แห่งความดี” (Monument of merit) สัญลักษณ์การันตีที่ลูกหลานอดีตเชลยศึก และอดีตทหารเชลยศึก ในสงครามมหาเอเชียบูรพาร่วมสร้างไว้ให้เป็นอนุสรณ์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงความดีจากการเข้าช่วยเหลือทหารพันธมิตรซึ่งเป็นเชลยศึกกองทัพญี่ปุ่น
ประวัติศาสตร์การก่อร่างสร้างเมืองที่ยาวนานกว่า 223 ปี ทำให้ที่นี่เคยเป็นเมืองหลักของมณฑลอีสาน ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็น “เมืองนักปราชญ์” เพราะเป็นถิ่นเกิดของเกจิและอริยสงฆ์หลายรูป มีสถาปัตยกรรมวัด โบสถ์ที่สวยงาม พุทธศาสนิกชนที่มีโอกาสมาเยือนจึงไม่พลาดที่จะแวะนมัสการรูปหล่อเหมือน “หลวงปู่ชา” พร้อมศึกษาคติธรรมที่ “วัดหนองป่าพง” แล้วเลยไปฟังธรรมะกับพระฝรั่งที่ “วัดป่านานาชาติ” วัดสาขาของวัดหนองป่าพงท่ามกลางธรรมชาติที่ร่มรื่นเงียบสงบ
มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอำเภอเมืองอุบลราชธานีไปนมัสการ “พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์” ที่จำลองมาจากเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 2 องค์ที่ “วัดพระธาตุหนองบัว” จากนั้นเดินทางไปชมความงามวิจิตรของ “สิมวัดแจ้ง” พุทธศิลป์ที่ถ่ายทอดให้เห็นผ่านสถาปัตยกรรมแบบอีสาน ซึ่งมีจำหลักไม้ที่อ่อนช้อยสวยงาม ทั้งนาคสะดุ้ง ช่อระกา หางหงส์ หน้าบันจกหลักรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ชม “หอไตรกลางน้ำ” แห่ง “วัดทุ่งศรีเมือง” สถาปัตยกรรมผสมไทย-ลาว-พม่า ที่เรียกได้ว่าสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคอีสาน ซึ่งเคยได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่นมาแล้ว ออกจากตัวเมืองอุบลราชธานีสู่อำเภอสิรินธรก่อนถึงชายแดนไทย-ลาวช่องเม็ก แวะขึ้นชมความงามของอุโบสถ “วัดภูพร้าว” หรือ “วัดสิรินธรวราราม” หรือ “วัดเรืองแสง” จำลองแบบมาจากวัดเชียงทอง สปป.ลาว ตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้มองเห็นไกลถึงอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิรินธร และพรมแดนช่องเม็ก ลงจากภูพร้าวเลยไปชอปปิงที่ตลาดช่องเม็กและข้ามฝั่งไป สปป.ลาวบ้านวังเต่า มีร้านค้าปลอดภาษีให้เลือกช้อป
วกกลับคืนทางลัดสู่ข้ามถนนหลัง “เขื่อนปากมูล” ผ่านสู่อำเภอโขงเจียม ประตูของถิ่นมหัศจรรย์แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของอุบลราชธานี โดยแวะ “วัดถ้ำคูหาสวรรค์” กราบนมัสการสรีระ “หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี” บรรจุในโลงแก้วภายในถ้ำขนาดใหญ่ จากจุดที่ตั้งของวัดสามารถมองเห็นทัศนียภาพอำเภอโขงเจียม และแม่น้ำโขงคดเคี้ยวออกจากไทยสู่ประเทศ สปป.ลาว ลงเขามุ่งสู่ตัวอำเภอโขงเจียมชมความงามจุดที่แม่น้ำมูลไหลลงเชื่อมประสานแม่น้ำโขงเกิดปรากฏการณ์ “แม่น้ำสองสี” ที่ดอนด่าน ผู้คนมักเรียกว่า “โขงสีปูน มูลสีคราม”
จากตัวอำเภอโขงเจียมไปตามถนนยุทธศาสตร์ผ่านเข้าแวะชมภาพเขียนประวัติ ศาสตร์ 4000 ปีที่ “อุทยานผาแต้ม” ชมทัศนียภาพสองฝั่งโขงที่มองจากหน้าผาลานผาแต้ม ที่จุดนี้สามารถตั้งเต็นท์เพื่อรอชมความงามทะเลหมอกยามเช้าที่ลานผาแต้ม-ผาหมอน พร้อมรับแสงแรกแห่งอรุณเสริมสิริมงคลแก่ชีวิตตนเอง นอกจากนี้ยังมี น้ำตกสร้อยสวรรค์, น้ำตกทุ่งนาเมือง, น้ำตกลงรู หรือน้ำตกแสงจันทร์ และเถาวัลย์ยักษ์ เถาว์สะบ้าป่าที่เกี่ยวพันกันเป็นเกลียวมีขนาดใหญ่โต กว่า 90 ซม. ความยาวของเถาวัลย์กว่า 1 กิโลเมตรว่ากันว่ามีอายุกว่า 400 ปี
ลึกเข้าไปสู่ “ป่าดงนาทาม” เพชรเม็ดงามของเมืองอุบลราชธานี เหมาะกับผู้ชอบท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ตื่นเช้าชมทะเลหมอก พร้อมชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยามที่ “ผาชะนะได” ผืนดินตะวันออกสุดของไทยมีมนต์เสน่ห์ของหินรูปทรงแปลกตาอย่างเสาเฉลียงและหินรูปร่าง ต่าง ๆ ตามจินตนาการ, น้ำตก, ทุ่งดอกไม้ป่า เดินทางต่อเข้าสู่เขต “อุทยานธรณีผาชัน สามพันโบก” ลักษณะธรณีวิทยาประกอบด้วยหินตะกอนยุคจูแรสซิก ถึงตะกอนร่วนยุคควอ เทอร์นารี นับอายุถึงปัจจุบันกว่า 200 ล้านปี ก่อนให้เกิดผาหินและเนินเขารูปทรงแปลกตา เริ่มจาก “ภูสมุย” ชมความงามพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น และทัศนียภาพที่สวยงามยามเช้า ช่วงเทศกาลปีใหม่ อบต.สำโรง มีการจัดกิจกรรม “นอนภูดูดาวที่ภูสมุย” พร้อมชมความมหัศจรรย์ “เสาเฉลียงยักษ์” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และดูร่องรอยการเก็บศพคนโบราณระดับผู้นำกลุ่มที่ “ภูโลง” และล่องเรือชมทัศนียภาพ 2 ฝั่งของหน้าผาสูงชันริมฝั่งแม่น้ำโขง และมหัศจรรย์ธรรมชาติของหน้าผา “สามหมื่นรู”
ออกจากบ้านผาชัน ไปตามถนนยุทธศาสตร์ระยะทาง 16 กิโลเมตรถึงบ้านโป่งเป้า อำเภอโพธิ์ไทร แวะเข้าชมแหล่งมหัศจรรย์เวิ้งแม่น้ำโขงยามสายน้ำโขงลดขอดในร่องน้ำลึก ปรากฏหินที่มีรูปร่างแปลกตามากมายด้วยรู หลุม บนแผ่นหินในแม่น้ำโขง “สามพันโบก” ที่น้ำใสเขียวดั่งมรกต ขังตามหลุมแอ่ง ดูสวยงาม ทั้งสระอโนดาต, สระน้ำมรกต, โบกรูปหัวใจคู่ , โบกมิคกี้เมาส์, หินหัวสุนัข เป็นต้น พร้อมถ่ายรูปตะวันยามเช้าและเย็น
กลับเข้าสู่ตัวเมืองอุบลราชธานีก่อนจากอย่าลืมแวะ พิพิธภัณฑ์ภาพสามมิติ “Country of Art 3 D Gallery” แกลเลอรี่ภาพ 3 มิติที่ใหญ่ที่สุดพร้อมภาพแหล่งท่องเที่ยวสำคัญไทยและต่างประเทศ และอื่น ๆ รวมกว่า 400 ภาพ อยู่ริมถนนทางเข้าสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี. เรื่องกิน เรื่องใหญ่ อุบลราชธานีมีอาหารหลากหลายรูปแบบไว้ให้ได้เลือกลิ้มรส ทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเช้าแบบเบา ๆ อาหารอีสานพื้นบ้านขึ้นชื่อ เริ่มต้นเช้า ๆ ในตัวเมืองที่ “ร้านสามชัย” มีอยู่ 2 สาขา หน้าศาลจังหวัด ถนนผาแดง และเยื้องจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ถนนเทพโยธี เมนูแนะนำยามเช้าสำหรับคอกาแฟ คือ กาแฟโบราณกับชาอู่หลงอุ่น ๆ ทานกับข้าวต้มทรงเครื่องตามสั่ง, โจ๊ก, ต้มเลือดหมูดัง, กวยจั๊บญวน, ไข่กระทะร้อน ๆ เสิร์ฟคู่กับขนมปังไส้กุนเชียง-หมูยอ ความพิเศษของที่นี่นอกจากกาแฟคั่วเองแล้ว กุนเชียงและหมูยอ ก็ผลิตเองจากโรงงานสามชัยกรุ๊ป
ท่านที่เน้นอาหารสุขภาพแนะนำ “ร้านครัวเช้า” อาหารหลากหลายเน้นส่วนปรุงที่เป็นพืชผักและธัญพืช ส่วนประกอบหลักคือ “สำรอง” หรือ “หมากจอง” ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เมนูเด่นที่อยากแนะนำคือ ชุดโจ๊ก 9 ทรัพย์ ประกอบด้วยโจ๊กข้าว organic 5 สายพันธุ์, น้ำลูกสำรอง, ซุปลูกสำรอง ที่มีเห็ด 3 เซียน, ธัญพืช (ข้าวโพด, ถั่ว, แครอท) และลอยแก้วลูกสำรอง มีทั้งร้อนและเย็น เป็นขนมหวาน
หากชอบอาหารเวียดนามแนะนำ “อินโดจีน” ร้านที่เก่าแก่มีชื่อมานาน ตั้งอยู่ถนนสรรพสิทธิ์ อาหารแนะนำ ยำหัวปลี ใช้ปลีกล้วยตานีเสิร์ฟคู่กับข้าวเกรียบงา, กุ้งพันอ้อย, ขนมถ้วยญวน และ แนมเหนือง หรือ แหนมเนือง พิเศษตรงหมูปั้นย่างถ่าน แผ่นแหนมเนืองหรือเปาะเปี๊ยะบางนุ่ม น้ำจิ้มอร่อย ทานกับผักพื้นบ้านหลากหลาย
ใครที่อยากลิ้มรสอาหารอีสานแนะนำ “ร้านส้มตำจินดา” ตั้งอยู่หน้าโรงแรมลายทอง มีส้มตำหลากหลายเมนู เช่น ตำป่า, ตำถั่วหมูกรอบ, ตำปูหมูยอ ปลาร้าของร้านสั่งผลิตโดยเฉพาะและเคี่ยวจนหมดกลิ่นปลาร้า นอกนั้นยังมีเมนูปลา เช่น ต้มปลาคังใส่ผักขะแยง, อู๋หน่อไม้พุงปลา, ลาบปลาคัง, ลาบเป็ด
ออกไปที่โขงเจียม อาหารปลาสด ๆ จากแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขงแนะนำ “ร้านอาหารแม่น้ำสองสี” ร้านอาหารแพลอยน้ำริมแม่โขงหน้าที่ว่าการอำเภอ เมนูปลาหลากหลาย พร้อมเมนูแนะนำ กุ้งแม่น้ำมูลเผา, กุ้งแม่น้ำมูลอบเกลือ, ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม, ยำ18 มงกุฎ และปลาบึกผัดฉ่า อิ่มแล้วจะข้ามไปเที่ยวบ้านใหม่สิงสำพัน เมืองชนะสมบูรณ์ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว จ่ายค่าเรือคนละ 45 บาท ก็ไปได้ทันที. ข้าวฮาง ผ้าไหม เชี่ยนหมาก กะไหล่ทอง..ของฝากจากภูมิปัญญา มูยอ หมูหยองอาจจะเป็นของฝากขึ้นชื่อที่ใครมาถึงอุบลฯ ต้องไม่พลาดซื้อกลับไป แต่ที่นี่ยังมีของฝากโอทอประดับ 5 ดาว อย่าง “ข้าวฮางงอกอินทรีย์” ของ กลุ่มเกษตรอินทรีย์ชีวภาพศรีวิสุทธิ์ (ศูนย์เรียนรู้การเกษตรแบบธรรมชาติไร้สารเคมี) อำเภอวารินชำราบด้วย ซึ่งคัดเฉพาะพันธุ์ข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการโดดเด่นแตกต่างกันมาผสมกันจนได้สายพันธุ์ใหม่ ที่มีความหอม นุ่ม อร่อย เหมาะสำหรับผู้ป่วย ผู้สูงวัย เด็กและสตรีมีครรภ์
“เทียนหอม” สินค้าโอทอประดับ 3 ดาวของ กลุ่มผลิตภัณฑ์เทียนหอมเดชอุดม โดดเด่นตรงการประดิษฐ์เป็นรูปดอกไม้ช่อดอกไม้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สมจริง โดยเฉพาะขอบและเส้นใยที่ทำขึ้นอย่างละเอียดของใบและดอก สามารถจุดได้จริงส่งกลิ่นหอมไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ส่วนผู้ที่มองหาผ้าไหม “ผ้าไหมและเสื้อสำเร็จรูป” ร้านอุบลกาญจน์ไหมไทย ต.บุ่งมะแลง อ.สว่างวีระวงศ์ สินค้าระดับ 4 ดาว มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผ้าเมืองอุบลคือ “ผ้าไหมกาบบัว” ขณะที่ “ผ้าย้อมคราม” สินค้าระดับ 5 ดาวของ นายสุพัฒน์ สมเสนาะ บ้านห้วยสะคาม อ.โขงเจียม เป็นผ้าฝ้ายทอมือที่มีความโดดเด่นเพราะย้อมด้วยสีธรรมชาติจากเปลือกไม้ที่ให้สีต่าง ๆ ถือเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งเดียวของอุบลราชธานี
“ชุดเชี่ยนหมากทองเหลืองบ้านปะอาว” ของฝากที่มีเสน่ห์และคุณค่าทางศิลปะประดิษฐ์เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ชิ้นงานประกอบชุดเชี่ยนหมากใช้กรรมวิธีการหล่อแบบขี้ผึ้งหาย (Wax Loss) หลังจากการหล่อแล้วนำมาตกแต่งผิวและลวดลายด้วยกรรมวิธีการ “เสี่ยน” หรือการกลึงแบบโบราณ สำหรับคนชอบเครื่องประดับ “เครื่องประดับกะไหล่ทอง” โอทอประดับ 5 ดาวของ กลุ่มเครื่องประดับชุบเงินชุบทอง บ้านก่อเอ้ อ.เขื่องใน ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลวดลายประณีตสวยงาม เป็นเครื่องประดับแบบโบราณของชน “เผ่ากุลา” ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการทำเครื่องประดับทองที่สืบทอดต่อกันมา นอกจากนี้ยังมี “ภาพเขียนไทย” โอทอประดับ 4 ดาว ของ กลุ่มศูนย์อนุรักษ์ภาพเขียนไทย ต.ยาง อ.น้ำยืน ภาพเขียนสีน้ำบนผืนผ้าเกี่ยวกับพุทธประวัติในวรรณคดี เช่น กินนรีเล่นน้ำ, รามเกียรติ์ เป็นต้น
ผู้มองหาอาหารสุขภาพ ของฝากที่ควรพิจารณาคือ “หมากจอง” หรือ “สำรอง” สินค้าโอทอป ระดับ 3 ดาว ของ ร้านคุณเบลล์ โดย คุณกัลยา ชื่นไมตรี เนื้อสำรอง 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถนำไปรับประทานสดหรือนำไปปรุงแต่งเป็นอาหาร ขนมหวาน ได้ตามใจชอบ สนนราคา 120-450 บาทต่อกล่อง และที่นี่มี “ข้าวกล้องสวรรค์” ซึ่งเป็นข้าวสารผลิตจากข้าวอินทรีย์ 5 สายพันธุ์มีคุณค่าทางอาหาร
นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถขอข้อมูลได้ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี.
ทวีศักดิ์ บุตรจันทร์ขอบคุณภาพและบทความจาก : http://www.dailynews.co.th/article/367178
|
|
|
11979
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัญเชิญอัฐิสังฆราชลาว ประดิษฐานที่ วัดองค์ตื้อมหาวิหาร
|
เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:20:39 pm
|
อัฐิธาตุตั้งที่ศาลาโรงธรรม วัดองค์ตื้อมหาวิหาร เมืองจันทะบุรี อัญเชิญอัฐิสังฆราชลาว ประดิษฐานที่ วัดองค์ตื้อมหาวิหาร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อราวเที่ยงคืนที่ผ่านมา (20 ธันวาคม) ได้มีพิธีถายเพลิงพระสรีระพระอาจารย์ใหญ่ ดร.มหาผ่อง ปิยะทีโร (สะมาเลิก) (พระสังฆราชลาวรูปที่ 4) อดีตประธานองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว(อพส.) อดีตเจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อ นครหลวงเวียงจันทน์ ณ พระเมรุ ลานวัดพระธาตุหลวง จากนั้นมีการอัญเชิญอัฐิธาตุมาตั้งที่ศาลาโรงธรรม วัดองค์ตื้อมหาวิหาร
สำหรับชีวประวัติของพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่อง เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2459 ที่ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ประเทศไทย ได้บรรพชาและอุปสมบทที่วัดโพธิ์ศรี อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2479 และได้เข้ามาจำพรรษาที่วัดชนะสงคราม บางลำพู โดยญาติพี่น้องได้สำทับว่า หากไม่ได้เป็นมหาเปรียญ อย่าได้กลับ จ.อุบลราชธานี ท่านจึงทุ่มเทเรียนปริยัติธรรมที่วัดชนะสงครามอย่างเต็มที่ จนสามารถสอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค เข้ารับพระราชทานพัดเปรียญจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ใน พ.ศ. 2489
จากนั้นได้ทำหน้าที่สอนพระปริยัติธรรมที่วัดชนะสงครามอีก 6 ปี รวมเวลาที่เป็นนักเรียนและครูที่วัดชนะสงคราม 16 ปี หลังจากนั้นได้เข้าร่วมขบวนปลดปล่อยประเทศลาวอย่างเต็มตัว และอยู่ฝั่ง สปป.ลาว นับตั้งแต่ พ.ศ.2495 เป็นต้นมา จนกระทั่ง พ.ศ.2498 จึงได้รับอาราธนาให้ไปสอนหนังสือที่วัดพระเจ้าองค์ตื้อ นครหลวงเวียงจันทน์ และ พ.ศ.2500 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะเมืองโพนทอง ครั้น พ.ศ.2515 จึงได้เลื่อนเป็นเจ้าคณะแขวงจำปาศักดิ์พระอาจารย์มหางอน ดำลงบุญ(กลาง) ซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็น พระสังฆราชลาว รูปใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ.2519 ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปดำรงตำแหน่งรองประธานศูนย์กลาง อพส. ประจำ ณ วัดพระเจ้าองค์ตื้อ นครหลวงเวียงจันทน์ ณ ที่แห่งนั้น ได้สร้างผลงานโดดเด่นขึ้นมาในโลกพระพุทธศาสนา คือการประสานงานรอมชอมพระสงฆ์ 2 นิกาย อันได้แก่ มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย ซึ่งแตกแยกมานาน ให้สมานฉันท์ไม่มีนิกายในลาว ในปีพ.ศ.2553 พระมหาวิจิตร วีรญาโณ (สิงหะราช) ประธานศูนย์กลาง อพส. รูปที่ 3 ได้ถึงแก่มรณภาพลง ท่านจึงได้รับการยกย่องขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศูนย์กลาง อพส. เป็นรูปที่ 4 ซึ่งตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชของไทย ในวันที่ 7 ตุลาคม 2558 เวลา 17.11 น. ท่านได้ละสังขารลง สิริรวมอายุ 100 ปี 6 เดือน 81 พรรษา ชมคลิปข่าวได้ที่ https://youtu.be/SMkQT82omMchttps://youtu.be/z_eT00hne-wขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450664639(CR. ภาพ/คลิป จากพระอาจารย์พงศ์สวรรค์ อนุศิลป์ และ คุณประสาร กมลพุทธ)
|
|
|
11989
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / เขาเล่าว่า “พระพุทธเมตตาฯ” ไหว้แล้วชีวิตร่มเย็น เหมือนต้องหยาดฝน
|
เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 09:25:05 am
|
“พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถ คันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์” เขาเล่าว่า “พระพุทธเมตตาฯ” ไหว้แล้วชีวิตร่มเย็น เหมือนต้องหยาดฝน เขาเล่าว่า “จังหวัดกาญจนบุรี” เป็นดินแดนสวรรค์แห่งดินแดนตะวันตกของนักท่องเที่ยว เนื่องจากจังหวัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทางวัฒนธรรม หรือทางประวัติศาสตร์ อาทิ น้ำตกเอราวัณ น้ำตกไทรโยค เขื่อนศรี เขาช้างเผือก สะพานข้ามแม่น้ำแคว วัดวังก์วิเวการาม และในปัจจุบันเขาก็ได้เล่าอีกว่า จังหวัดกาญจนบุรี เป็นที่ประดิษฐาน “พระปางขอฝน” ที่มีความเชื่อว่า “หากใครที่ได้มากราบสักการะแล้ว ชีวิตจะพบแต่ความสุขร่มเย็น ดั่งแผ่นดินที่ได้รับความเย็นจากสายฝน”ลักษณะองค์พระเป็น “พระปางขอฝน” หรือ “ปางคันธารราฐ” หากใครอยากจะมีชีวิตร่มเย็นเหมือนต้นไม้งามที่ได้สัมผัสกับหยาดฝนแล้ว ก็ต้องเดินทางมาสักการะ “พระปางขอฝน” หรือ “ปางคันธารราฐ” ที่ประดิษฐานอยู่ที่ วัดทิพย์สุคนธาราม ตำบลดอนแสลบ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี พระพุทธรูปดังกล่าวมีชื่อเต็มว่า “พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถ คันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์” เป็นพระพุทธรูปปางขอฝนทรงยืนที่หล่อด้วยโลหะสำริด ความสูง 32 เมตร และได้ถุกกล่าวได้ว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดที่สูงที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งองค์พระพุทธเมตตาฯ ยังเป็น 1 ใน 24 ไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศที่ได้รับการคัดเลือก จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในแคมเปญ “เขาเล่าว่า...” ที่ชูไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้างกระการเดินทางท่องเที่ยวจากตำนาน-เรื่องเล่า ซึ่งเป็น 1 ใน 5 โครงการหลักในแผนกลยุทธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านตลาดในประเทศ ปี 2559 ภายใต้แนวคิด “ปีท่องเที่ยววิถีไทย” (คลิกติดตาม 24 ไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยว “เขาเล่าว่า...” ได้ที่ลิงค์นี้)
บรรยากาศบริเวณ “อุทยานพระพุทธเมตตาฯ” สำหรับประวัติความเป็นมาของพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม มีความตั้งใจที่จะสร้างพระพุทธรูป องค์ใหญ่ สูง 32 เมตร ที่สื่อถึงอาการแห่งกายครบบริบูรณ์ทั้ง 32 ประการของมนุษย์ เพื่อเป็นศูนย์รวมความเคารพ สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนอีกแห่งหนึ่ง และเป็นอนุสรณ์แด่พระพุทธรูปแห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน โดยเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้ตั้งชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถ คันธารราฐอนุสรณ์” ซึ่งมีความหมาย 3 ประการ ได้แก่ 1.เป็นพระพุทธรูป ซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชนชาวไทยและชาวโลก , 2. เป็นพระพุทธรูป ซึ่งเป็นที่พึ่งของ 3 โลก อันได้แก่ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และยมโลก และ 3.เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระพุทธรูปแห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถานวิวทิวทัศน์เขียวชอุ่ม รอบๆ องค์พระพุทธเมตตาฯ สำหรับเรื่องราวปาฏิหาริย์ขององค์พระพุทธเมตตาฯ นั้น ได้ถูกเล่าไว้ว่า “เมื่อครั้งอดีตบริเวณพื้นที่ห้วยกระเจานั้นแล้งเป็นอย่างมาก หลังจากสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้สร้างวัดแล้วเสร็จ ได้เห็นว่า ประชาชนที่อยู่อาศัยโดยรอบบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ต่างประกอบอาชีพ เกษตรกรรม แต่ฟังมาแล้วฝนไม่ตกมาหลายปี หากจะสร้างพระพุทธรูปสักองค์ ก็ต้องสร้างเป็น “ปางคันธารราฐ” หรือ “ปางขอฝน” ซึ่งอาจจะช่วยให้ฝนฟ้าต้องตามฤดูกาล” จนกระทั่งองค์พระพุทธเมตตาฯ ได้สร้างแล้วเสร็จ ด้วยความอำนาจบารมีและความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน พื้นที่ดังกล่าวที่เมื่อครั้งอดีตเคยฝนแล้งก็เริ่มมีตกตามฤดูกาล ผืนป่าบนภูเขาบริเวณด้านหลังองค์พระที่เมื่อก่อนเคยเหี่ยวแห้งก็กลับเขียวชอุ่มขึ้นมา เรื่องราวดังกล่าวจึงได้ถูกเล่าต่อๆ กันมา กลายเป็นเรื่องราวที่เขาเล่า หากใครที่มีโอกาสมาสักการะ พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ชีวิตก็จะพบแต่ความสุขร่มเย็น ดั่งแผ่นดินที่ได้รับความเย็นจากสายฝนเขาเล่าว่าสักการะ องค์พระพุทธเมตตาฯ ชีวิตจะร่มเย็น และภายในวัดทิพย์สุคนธาราม นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเมตตาฯ แล้ว ก็ยังเป็นที่ตั้งของ “อุทยานพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์” อีกด้วย โดยพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นสวนอยู่รอบบริเวณองค์พระ ที่ถูกออกแบบไว้อย่างสวยงามเน้นความเป็นไทย นำองค์ประกอบและวัสดุพื้นถิ่นมาใช้ เน้นความนอบน้อมต่อธรรมชาติ ให้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติโดยรอบ และบริเวณจุดธูป-เทียน ทำจากหินอ่อนแลดูสวยงาม และยังมีบริเวณสวนป่าพุทธอุทยาน ที่ลานปฏิบัติธรรมและศาลาพักผ่อน ให้พุทธศาสนิกชนได้ใช้บริการในการปฏิบัติธรรม หากใครมีโอกาสมาท่องเที่ยวที่จังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ก็อย่าลืมหาโอกาสไปแวะสักการะพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์ แล้วคุณจะได้เล่าให้คนอื่นๆ ฟังได้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตฉันได้มาสักการะพระปางขอฝน ที่ดลบรรดานให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็น เหมือนฟ้าหลังฝนที่งดงามเสมอ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดกาญจนบุรี โทร.0-3451-1200,0-3451-2500 หรือทางอีเมล์ tatkan@tat.or.th ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000137519
|
|
|
11993
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฌาปนกิจพระศพ ‘พระมหาผ่อง’ สังฆราชลาว ชาวลาว-ไทยร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก (ชมภาพ)
|
เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 08:46:45 am
|
ฌาปนกิจพระศพ ‘พระมหาผ่อง’ สังฆราชลาว ชาวลาว-ไทยร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก 20ธ.ค.2558 พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่อง ปิยะทีโร (สะมาเลิก) อดีตประธานศูนย์กลางการพระพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว(อพส) (พระสังฆราชลาวรูปที่ 4) อดีตเจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อ นครเวียงจันท์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ละสังขารเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2558ที่ผ่านมา สิริอายุ 100 ปี 6 เดือน 81 พรรษา และกำหนดให้มีพิธีฌาปนกิจพระศพในวันนี้(20ธ.ค.2558) ที่ท้องสนามหลวงนครเวียงจันท์ โดยมีพิธีเคลื่อนขบวนพระศพจากวัดองค์ตื้อไปยังเมรุมาศท้องสนามหลวง หน้าวัดพระธาตุหลวง นครเวียงจันทน์ เมื่อเวลา 12.00น.
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาแล้ว ในการนี้ได้มีชาวชาวและไทย รวมถึงคณะสงฆ์ไทย เช่นพระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) และผู้แทนคณะกรรมการสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา นำโดยพระเดชพระคุณพระเทพพุทธิวิเทศ ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยฯ และเลขาธิการ พระครูสิริอรรถวิเทศ พร้อมด้วยพระอนุจร ร่วมในพิธีด้วยสำหรับชาติภูมิพระอาจารย์ใหญ่ ดร.มหาผ่องนั้นพบว่า ท่านเป็นคนไทยโดยกำเนิด เกิดที่บ้านกุงน้อย ตำบลกุศกร อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ..2459 ติดตามบิดามารดาไปอยู่ บ้านโพนทอง เมืองโพนทอง แชวงจำปาสัก สปป.ลาว ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก และได้รับการเป็นลูกบุญธรรมของเจ้าฟ้าเพชรราช(วีระบุรุษของชาวลาวอิสระ ปลดแอกจากการปกครองฝรั่งเศส) และได้เป็นบุตรบุญธรรมของโฮจิมินห์ ประธานพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วยพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่อง อุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปี ที่วัดโพธิ์สระปทุม บ้านกุศกร (ที่บ้านเกิด) จากนั้นก็เดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรม ที่วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานคร เป็นพระที่สนิทสนมกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เพราะศึกษาร่วมสำนักเดียวกัน ได้รับพระราชทานประกาศนียบัตรเปรียญธรรม 6 ประโยค จากนั้นก็ได้นำความรู้มาสอนมัธยมสงฆ์หลายแห่งในประเทศลาวพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องนั้นทางมาประเทศไทยเสมอใจกิจการคณะสงฆ์สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับลาว อย่างเช่นในวาระพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการพระราชทานเพลิงศพ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 9 มีนาคม 2557 พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องก็ได้เดินทางมาร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องกับเจ้าประคุณสมเด็จนั้นถือว่าเป็นสหายธรรมกันมามีอายุสมัยร่วมกันในโอกาสที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานครกำหนดการประชุมสัมมนาพระธรรมทูตไทยทั่วโลกเพื่อเป็นการบูชาคุณเจ้าประคุณสมเด็จ ที่ มจร อ.วังน้อยเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 นั้น พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องก็ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย โดยการประสานของพระโสภณวชิราภรณ์ รองอธิการบดี มจร ฝ่ายกิจการต่างประเทศ และเมื่อปีที่แล้วพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องก็ได้นำญาติโยมจำนวนหนึ่ง มาร่วมทำบุญ ที่ วัดพระโต บ้านที่วัดพระโต บ้านปากแซง ตำบลพะลาน อำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยการทำบุญตักบาตร ถวายเครื่องไทยทาน และปล่อยปลาดุกลงสู่แม่น้ำโขง จำนวน 99 ตัว ครบตามอายุ 99 ปี โดยมีพระครูพุทธวราธิคุณ เจ้าคณะอำเภอนาตาลและเจ้าอาวาสวัดพระโต บ้านปากแซง นำพระภิกษุสงฆ์พร้อมพุทธสาสนิกชนถวายการต้อนรับคับคั่งพร้อมกันนี้พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่อง ได้กล่าวว่า “ข้อยดีใจหลายเด้อ ที่ได้มาทำบุญในมื้อนี่” พร้อมบอกต่อไปว่า การทำบุในครั้งนี้นับเป็นการที่ทำบุญที่มีความสำคัญมา เพราะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์พุทธศาสนาไทย ลาว ให้ได้เป็นแบบอย่างในการที่ได้ร่วมกันทำบุญเพื่อเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป และเห็นว่า วัดแห่งนับเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์อีกวัดหนึ่ง ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ที่สำคัญ ชื่อพระประธานในวัด ที่เวียงจันทร์ ก็ชื่อเดียวกันกับที่นี่ คือ ชื่อ “พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ” เช่นเดียวกัน แต่ที่พระเจ้าองค์ตื้อ ที่เวียงจันทร์นั้น ก่อสร้างขึ้นมาได้เพียง 450 ปี แต่พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ที่ฝั่งไทยแห่งนี้ อายุ กว่า 1 พันแล้ว นับเป็นพระพุทธรูปที่มีคนเลื่อมใสกันมากศาสนากิจสุดท้ายของพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องคือเดินทางไปร่วมงานเสวนา "พุทธพลิกสุวรรณภูมิ : สามัคคีธรรม แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" จัดโดยสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย และมูลนิธิวีระภุชงค์ ที่โรงแรมโซพิเทล อังกอร์ โภคีธรา กอล์ฟ @ สปา รีสอร์ท จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 9-13 กันยายน พ.ศ.2558 ที่มีคณะสงฆ์อาเซียน 5 ประเทศ ประกอบด้วยไทย เมียนมาร์ เวียดนาม กัมพูชา และลาว เข้าร่วม โดยทำหน้าที่แสดงสัมโมทนียกถาและกล่าวเปิดงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ย้อนยุค ปลุกอุดมการณ์ ดูงานพระอริยสงฆ์ สานตรงต่อพุทธปณิธาน โดยตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ความมุ่งหวังของการจัดโครงการฯ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพระสงฆ์ที่เข้าร่วมโครงการ ให้เกิดศรัทธาอย่างลึกซึ้ง เติมความรู้ เพิ่มมุมมอง สร้างเสริมจริยวัตรที่งดงามต่อสายต่อสังคมโลก และปฏิบัติธรรมในสถานที่จริง จนความศรัทธา สามารถนำความรู้ที่เพิ่มพูนด้วยความเข้าใจที่มากขึ้น กลับสู่การพัฒนาสังคมไทย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมแห่งความสงบ และมุ่งหวังเชื่อมโยงมิติทางศาสนา สู่การพัฒนาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20151220/218963.html(หมายเหตุ : ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก Sayadej VP ,ธรรมะ ดั่งสายฟ้า,ສະເໜ່ເມືອງລາວ The Glory of Laos,เดชศักดิ์ โพธิ์ชัย,The Foundation for Assisting Poor of Lao PDR (Vientiane Branch)
|
|
|
11996
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 ทำพิธีมังคลาภิเษก พระรูปหล่อพระสังฆราช
|
เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 08:34:20 am
|
รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 ทำพิธีมังคลาภิเษก พระรูปหล่อพระสังฆราช โรงพยาบาล สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 (ท่าม่วง) ทำพิธีมังคลาภิเษก พระรูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวร ฯ องค์ยืนขนาด 1.5 เท่า มีพระเถระชื่อดังนั่งปรกอธิษฐาน
เมื่อเวลา 13.09 น.วันที่ 20 ธ.ค.58 ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี รศ.นพ.สุรพงษ์ ตันธนศรีกุล อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีมังคลาภิเษก และ สมโภชน์พระรูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ยืนขนาด 1.5 เท่า ของพระองค์
พระรูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ยืนขนาด 1.5 เท่า ของพระองค์ มีนายแพทย์อิทธิพล จรัสโอฬาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่19 นายวิโชค ศรีกุศลานุกูล ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 นายแพทย์จิรพจน์ วงศ์สัจจาธิติ รอง ผอ.โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 และคณะแพทย์ และพยาบาล รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 รวมทั้งประชาชนชาวอำเภอท่าม่วง และจังหวัดกาญจนบุรีเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก
สำหรับพิธีมังคลาภิเษก มีคณะพระเถระ เมตตานั่งปรกอธิษฐานจิต ประกอบด้วย 1.พระครูภิศาลจริยาภิรม (พระมหาสุรศักดิ์) วัดประดู่ จ.สมุทรสงคราม 2.พระครูอดุลพิริยานุวัตร (หลวงพ่อชุบ) วัดวังกระแจะ อ.ไทรโยค จ.กาญจบุรี 3.พระครูสุภัทรกาญจนกิจ (หลวงพ่อสนองชาติ) วัดเย็นสนิทธรรมาราม ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 4.พระครูพิศาลวิริยกิจ (หลวงพ่อเสงี่ยม) วัดบ้านทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี และ 5.พระอาจารย์ภิมุขญาณโสภโณ วัดคู้ธรรมสถิต จ.สมุทรสงคราม โดยใต้ฐานศาลาสมเด็จ ที่ใช้สำหรับประดิษฐาน พระรูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ยืนขนาด 1.5 เท่า ได้มีการบรรจุ พระเกศา ผ้าจีวร และบาตรเอาไว้ด้วย
รศ.นพ.สุรพงษ์ ตันธนศรีกุล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กาญจนบุรี เป็นปธ.ฝ่ายฆราวาสในพิธีมังคลาภิเษก ที่รพ.สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี นายแพทย์ อิทธิพล จรัสโอฬาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ได้จัดให้มีพิธีเททองหล่อพระรูปเหมือนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ยืน ขนาด 1.5 เท่าของพระองค์ แล้วและได้กำหนดให้มีการจัดพิธีมังคลาภิเษก ขึ้นในวันนี้ 20 ธ.ค.เริ่มเวลา 13.09 น. ซึ่งการทำพิธีสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และกำหนดจัดพิธีสมโภชพระรูป ในวันจันทร์ที่ 21 ธ.ค.2558 ตั้งแต่เวลา 09.00 น.
ทั้งนี้ จึงขอประชาสัมพันธ์ไปถึงประชาชนที่สั่งจองพระรูป ขนาด 5 นิ้ว และ 9 นิ้ว ให้นำใบจองมารับพระรูปได้ตั้งแต่วันนี้ นอกจากนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ยังได้จัดทำวัตถุมงคลเพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้เช่าบูชา เป็นพระรูปหล่อจำลองจากพระองค์จริง (ขัดสมาธิเพชร) ขนาด 1.5 ซม. พร้อมกล่องบรรจุ “รุ่นสมโภชศาลาสมเด็จ” วันที่ 21 ธันวาคม 2558 ได้บรรจุพระเกศา และผ้าจีวรไว้ที่ใต้ฐาน มี 3 แบบ คือ เนื้อทองคำ 96.5% (24 กรัม) ราคา 45,000 บาท เนื้อเงิน 99.99% ราคา 1,999 บาท เนื้อทองแดง ราคา 299 บาท (จำนวน 20,000 องค์) โดยจะนำรายได้ไปสร้างศาลาสมเด็จ เพื่อประดิษฐานองค์พระรูปขนาด 1.5 เท่าของพระองค์จริง พร้อมทั้งจะนำรายได้เข้ามูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 อีกด้วยขอบคุณภาพประกอบจาก รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/551829
|
|
|
|