ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 298 299 [300] 301 302 ... 708
11961  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ธรรมกาย' ธุดงค์อีก-ป้ายต้านชาวปทุมฯโผล่ นัดรวมพลค้านงานบุญ เมื่อ: ธันวาคม 24, 2015, 07:16:44 am


'ธรรมกาย' ธุดงค์อีก-ป้ายต้านชาวปทุมฯโผล่ นัดรวมพลค้านงานบุญ

"วัดพระธรรมกาย" จัดงานบุญใหญ่เดินธุดงค์อีก ขึ้นป้ายเชิญชวนกัลยาณมิตร ร่วมทำบุญกับขบวนพระธุดงค์ธรรมชัย ตอนต้นปี ท่ามกลางกระแสคัดค้านของชาวบ้าน จ.ปทุมธานี ขึ้นป้ายต่อต้านงานบุญ นัดรวมพลยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯ วันที่ 29 ธ.ค.นี้...

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณสี่แยกปทุมวิไล ต.บางปรอก อ.เมือง จ.ปทุมธานี ทางวัดพระธรรมกายได้ขึ้นป้ายโฆษณาเชิญชวนกัลยาณมิตรทั่วประเทศ ให้ร่วมทำบุญกับพระธุดงค์ ในโครงการ "ธรรมยาตราธุดงค์ธรรมชัย เส้นทางพระผู้ปราบมาร ปีที่ 5" ของวัดพระธรรมกาย เชิญชวนพุทธศาสนิกชน ร่วมทำกิจกรรมบุญที่กำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2-31 ม.ค. 2559 โดยมีป้ายคัดค้านของชาว จ.ปทุมธานี ถูกนำมาติดตั้งไว้คู่กัน แสดงความไม่เห็นด้วยกับกิจกรรม ที่ทางวัดพระธรรมกายจัดเป็นประจำทุกปี เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสออกมาว่า การเดินธุดงค์ของพระสงฆ์ ทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด

ขณะที่ เครือข่ายสตรีปกป้อง และพุทธศาสนิกชนชาวปทุมธานี ได้เชิญชวนผู้ไม่เห็นด้วย นัดรวมตัวต่อต้านการเดินธุดงค์ของพระวัดพระธรรมกาย ในวันอังคารที่ 29 ธ.ค. ในเวลา 09.00 น. พร้อมยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เพื่อคัดค้านงานบุญดังกล่าว


 :96: :96: :96: :96:

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากนี้ ทางวัดพระธรรมกายยังได้โพสต์ข้อความเชิญชวนกัลยาณมิตร ให้ร่วมทำบุญกับพระธุดงค์ธรรมชัย ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์กอีกหลายช่องทาง ซึ่งงานนี้พระธุดงค์จะเริ่มเดินออกจากวัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี ตอนเช้าตรู่วันที่ 2 มกราคม 2559 ไปยังสถานที่สำคัญ 7 แห่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ยังมีการเชิญชวนกัลยาณมิตร ปลูกดอก "ดาวเรือง" หรือ "ดาวรวย" เพื่อใช้โปรยต้อนรับพระธุดงค์ธรรมชัยอีกด้วย

สำหรับโครงการธุดงค์ธรรมชัย ถูกจัดขึ้นหลายปีติดต่อกัน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้านการจราจร ว่าทำให้รถติดในหลายเส้นทาง ซึ่งที่ผ่านมา ทางวัดพระธรรมกายเคยออกมาชี้แจงว่า การเดินธุดงค์ของพระสงฆ์ มิได้เป็นสาเหตุทำให้รถติด เพราะพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางแล้ว และความเป็นจริง สภาพการจราจรโดยรวมก็ติดขัดอยู่แล้ว ดังนั้นการเดินธุดงค์ของพระสงฆ์ จึงไม่ใช่สาเหตุทำให้รถติด


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/553267
11962  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระร้องเรียนทหาร ป่าไม้วัดโดนบุกรุก เมื่อ: ธันวาคม 24, 2015, 07:13:49 am


พระร้องเรียนทหาร ป่าไม้วัดโดนบุกรุก

พระมานพ สุมโน วัดป่าโพธิ์ชัย บ้านนาโพธิ์ ต.นาโพธิ์ อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม ได้นำหนังสือเข้าร้องเรียนต่อกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดมหาสารคามว่า มีชาวบ้านเข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ที่ทางวัดป่าโพธิ์ชัย...

พระร้องเรียนถูกชาวบ้านบุกรุกพื้นที่ป่าของวัด และเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบรังวัดที่ดินใหม่ในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. พระมานพ สุมโน วัดป่าโพธิ์ชัย บ้านนาโพธิ์ ต.นาโพธิ์ อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม ได้นำหนังสือเข้าร้องเรียนต่อกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดมหาสารคามว่า มีชาวบ้านเข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ที่ทางวัดป่าโพธิ์ชัย ดูแลอยู่ในเนื้อที่ 180 ไร่ 1 งาน 39 ตารางวา ซึ่งมีหลักฐานเป็นตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ 19854 ลงวันที่ 19 มี.ค.2527 พื้นที่ป่าของวัดดังกล่าวได้รับการรับรองจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เป็นพุทธอุทยานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อปี 2552 และให้ทางวัดเป็นผู้ดูแลเพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ธรรมะ โดยมีโครงการปลูกป่าอย่างต่อเนื่องทุกปี ทั้งยังรณรงค์ให้ชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้คงอยู่คู่ชุมชน


 :25: :25: :25: :25:

พระมานพเปิดเผยอีกว่า แต่ปัจจุบันพื้นที่ป่าดังกล่าวมีชาวบ้านเข้ามาแผ้วถาง ปลูกไร่มันสำปะหลัง เป็นจำนวนมาก ทั้งด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกของวัด เคยไปร้องเรียนกับทางอำเภอกุดรังให้เข้ามาตรวจสอบ เมื่อช่วงเดือน มิ.ย.2558 ที่ผ่านมา ต่อมาทางอำเภอแจ้งว่าพื้นที่ป่าไม้ดังกล่าวชาวบ้านสามารถเข้ามาทำประโยชน์ได้ เนื่องจากเป็นที่สาธารณประโยชน์ แต่อาตมาเห็นว่าเป็นพื้นที่ป่าของวัดไม่ใช่ที่สาธารณประโยชน์ตามที่ทางอำเภอกล่าวอ้าง จึงนำเรื่องเข้าร้องเรียนกับทหาร กกล.รส.มค. เพื่อให้ตรวจสอบและทำการรังวัดพื้นที่ใหม่ทั้งหมด เพราะหลักโฉนดแนวเขตบางจุดอาจจะชำรุดแตกหัก

ทางด้าน ร.อ.อาคม สระมัวมืด หัวหน้าฝ่ายกำลังพล กกล.รส.มค.กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนของพระมานพ สุมโน เอาไว้แล้ว เพื่อให้เป็นไปตามประสงค์ในการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว ทั้งเป็นการแก้ปัญหาการบุกรุกป่า และเพื่อให้ทราบแนวเขตที่สาธารณประโยชน์และที่ป่าของวัด จึงประสานไปยัง อบต.นาโพธิ์และที่ดินอำเภอบรบือเข้าไปตรวจสอบรังวัดพื้นที่อีกครั้ง ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ แล้วแจ้งผลการตรวจสอบเบื้องต้นมาให้ทาง กกล.รส.มค. เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/552968
11963  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ล่ม.! สาวจีนปฏิเสธแต่งงานแฟนหนุ่ม เหตุเพชรเม็ดเล็กไป.! เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 09:46:30 am


ล่ม.! สาวจีนปฏิเสธแต่งงานแฟนหนุ่ม เหตุเพชรเม็ดเล็กไป.!

หนุ่มจีนจัดเซอร์ไพรส์แฟนสาวขอแต่งงาน สุดท้ายสาวจีนปฏิเสธ ให้เหตุผลว่า"เพชรเม็ดเล็กไป"

เว็บไซต์ข่าว'เดลิเมล์'ได้ตีแผ่เรื่องราวการขอแต่งงานสุดล่ม เมื่อชายแฟนหนุ่มชาวจีนได้ลงทุนจ้างแดนเซอร์หลายชีวิตมาเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานแฟนสาวกลางถนนเมืองเฮิงตู มณฑลเสฉวน ทำเอาแฟนสาวน้ำตาร่วงด้วยความดีใจสุดซึ้ง แต่สุดท้ายเมื่อแฟนหนุ่มคุกเข่ามอบแหวนให้แฟนสาวแล้ว เธอกลับทำหน้าบึ้งและเดินหนีไปดื้อๆ เล่นเอาคนที่อยู่ตรงนั้นงงไปเป็นแถวๆ

ทั้งนี้ เรื่องราวเปิดเผยหลังจากที่เธอได้มาระบายความรู้สึกกับเพื่อนของเธอผ่านแอพฯแชท โดยเธอบอกว่า
    "ก่อนหน้านี้เราตกลงกันว่าจะเป็นแหวนเพชร 1 กะรัต แต่ปรากฏว่าทำไมของจริงมันเล็กอย่างนี้.?
     แสดงว่าเขาไม่แคร์หรือเอาใจใส่เราเลยใช่ไหม.?"

เรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกโซเชียลมีเดียจีนซึ่งก็เรียกเสียงฮาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ทั้งนี้ก็มีหลายรายกล่าวว่า แฟนสาวคนนี้ไม่สมควรมีคนมาขอแต่งงานเลยจริงๆ





ที่มา dailymail
http://www.posttoday.com/world/news/406214
11964  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนุ่มใหญ่เขียนจดหมายสั่งลา ผูกคอดับในรั้ววัดดังโคราช เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 08:17:55 am


หนุ่มใหญ่เขียนจดหมายสั่งลา ผูกคอดับในรั้ววัดดังโคราช

หนุ่มสามล้อรับจ้าง เขียนจดหมายสั่งเสียบอกลากับเพื่อน ผูกคอตายในรั้ววัดดังโคราช เบื้องต้นยังไม่รู้สาเหตุ คาดเครียดเรื่องส่วนตัว


(22 ธ.ค.) ร้อยตำรวจโท วีระชน ปรากฏมาก ร้อยเวรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีผู้ผูกคอตัวเองเสียชีวิต เหตุเกิดภายในศาลาการเปรียญ ข้างเมรุ วัดหนองบัวรอง ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา หลังรับแจ้งจึงรีบรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยอาสาสมัครหน่วยกู้ภัยสว่างเมตตาธรรมสถาน และแพทย์เวรชันสูตรโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา

ที่เกิดเหตุพบร่าง นายชาญชัย อายุ 44 ปี ใช้ผ้าขาวม้าผูกคอตัวเองกับโต๊ะ เสียชีวิตมาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง ใกล้กันพบข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ตาย รวมถึงยารักษาโรค และจดหมายลาตาย 1 ฉบับ วางอยู่ โดยมีข้อความเขียนสั่งเสียให้เพื่อนนั้นนำศพออกจากโรงพยาบาล แล้วนำมาประกอบพิธีทางศาสนา พร้อมเขียนเบอร์โทรศัพท์ติดต่อเพื่อนคนดังกล่าว


 :96: :96: :96: :96: :96:

จากการสอบถาม นายวิเชียร อายุ 44 ปี ผู้พบศพคนแรก ทราบว่า ผู้ตายมีอาชีพขี่สามล้อรับจ้าง ภายในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ตนกับผู้ตายได้ใช้ศาลาการเปรียญดังกล่าวเป็นที่พักผ่อน ก่อนเกิดเหตุช่วงสายวันนี้ยังเห็น นายชาญชัย ลุกขึ้นมาเดินทำธุระส่วนตัวตามปกติ โดยไม่มีท่าทีเคร่งเครียดแต่อย่างใด ส่วนตนได้ออกไปทำงานข้างนอก

จนกระทั่งช่วงบ่ายได้กลับมา ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า นายชาญชัย ใช้ผ้าขาวม้าผูกคอตัวเองเสียชีวิตกับโครงเหล็กโต๊ะของทางวัดใกล้ที่เก็บโลงศพ จึงได้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่า นายชาญชัย ซึ่งมีโรคประจำตัวรุมเร้าหลายโรค เกิดความเครียดสะสม จึงตัดสินใจเขียนจดหมายทิ้งไว้ ก่อนผูกคอตัวเองเสียชีวิต

ซึ่งขณะนี้ได้ส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ก่อนที่จะติดต่อเพื่อนที่มีชื่อปรากฏในจดหมายมาทำการสอบสวนถึงสาเหตุของการตัดสินใจฆ่าตัวตาย ก่อนมอบศพให้ญาตินำกลับไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://news.sanook.com/1919106/
11965  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'เด็กวัด' น้อยใจชะตาชีวิต ผูกคอตัวเอง พร้อมจดหมายลา เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 08:15:44 am


'เด็กวัด' น้อยใจชะตาชีวิต ผูกคอตัวเอง พร้อมจดหมายลา

เด็กวัดหนองบัวรอง เมืองโคราช น้อยใจตัวเองป่วยหลายโรค แถมเป็นภาระเพื่อนช่วยงานวัดไม่ได้ เขียนจม.ลาตาย ก่อนผูกคอตัวเองเสียชีวิตในศาลาสวดศพข้างเมรุ

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 22 ธ.ค. ร.ต.ท.วีระชน ปรากฏมาก ร้อยเวร สภ.เมืองนครราชสีมา รับแจ้งมีผู้ผูกคอตัวเองเสียชีวิตที่ศาลาสวดศพเก่าติดกับเมรุ วัดหนองบัวรอง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา จึงพร้อมด้วยแพทย์เวร รพ.มหาราชนครราชสีมา และกู้ภัยสว่างเมตตาธรรมสถานนครราชสีมา รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบศพ นายชาญชัย วรพิทราฤกษ์ อายุ 44 ปี ชาวจ.นครราชสีมา สภาพใช้ผ้าขาวม้าผูกติดกับโต๊ะรัดคอตัวเองชีวิตในท่านั่งสวมเสื้อกันหนาวแขนยาวสีฟ้า นุ่งกางเกงลายสก๊อต คาดเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง ห่างจากศพเพียง 10 เมตร พบจดหมายที่ผู้ตายเขียนเอาไว้ มีข้อความว่า "ถึงเดี่ยวเพื่อนรัก ถ้ามึงได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว กูคงตายไปแล้วขอให้เพื่อนเอาศพออกจากโรงพยาบาลทีและสวดคืนเดียวเผาเลยก็ได้" เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน



จากการสอบถาม นายสมนึก แซ่โง้ว อายุ 44 ปี เพื่อนที่ผู้ตายเอ่ยชื่อถึงในจม. เล่าว่า เมื่อคืนยังพบผู้ตายและมีการพูดคุยกัน โดยบ่นว่าอยากตายเพราะเหนื่อยและท้อ เนื่องจากมีโรคประจำตัวหลายโรค อาทิ ความดัน หัวใจและแขนขาอ่อนแรง ทำให้มีผลต่อการดำรงชีวิต ไม่คิดว่าจะผูกคอตายจริง ที่ผ่านมาผู้ตายทำงานเป็นเด็กวัดมานานหลายปี ช่วยพระสงฆ์ทำความสะอาดเวลามีงานบุญเป็นประจำ แต่ช่วงหลังมีอาการป่วยหลายโรคไม่สามารถทำงานช่วยวัดได้และยังเป็นภาระให้เพื่อนต้องดูแลในบางครั้ง เชื่อว่าน่าจะเป็นสาเหตุในการตัดสินใจคิดสั้นผูกคอเสียชีวิต เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะนำศพส่ง รพ.มหาราชนครราชสีมา ผ่าพิสูจน์ก่อนประสานให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลต่อไป.

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/368652
11966  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ญาติไม่เผา-ตาย4วัน 'ไม่เน่า' เชื่อแค่หลับรอปาฎิหาริย์ฟื้น เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 08:10:58 am


ญาติไม่เผา-ตาย4วัน 'ไม่เน่า' เชื่อแค่หลับรอปาฎิหาริย์ฟื้น

ฮือฮาหนุ่มช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเมืองทุ่งสง เป็นลมตาย ญาติตั้งสวดนาน 4 วัน ก่อนเผาเปิดโลงศพดูศพ ตะลึงสภาพสมบูรณ์เหมือนคนนอนหลับ เชื่อยังไม่ตายยกร่างออกจากโลงรอปาฏิหาริย์ฟื้น

กรณีญาติๆ ได้นำศพของ นายพัศกร จันทร์อุดม อายุ 40 ปี ช่างซ่อมทีวีและเครื่องใช้ไฟฟ้าในตัวตลาด อ.ทุ่งสง ซึ่งเสียชีวิตจากการเป็นลม มาตั้งบำเพ็ญกุศลศพที่วัดชุมพล อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เป็นเวลา 4 วัน และกำหนดเผาเย็นวานนี้ (21 ธค.) แต่ปรากฏว่าก่อนเผาขณะที่ญาติเปิดฝาโลงศพดูศพก็พบว่าร่างของนายพัศกร ยังมีสภาพสมบูรณ์ เนื้อตัวยังอุ่นอยู่คล้ายกับคนนอนหลับ ญาติๆ เชื่อกันว่ายังไม่เสียชีวิต แต่อาจจะนอนหลับอยู่ จึงพากันนำศพออกจากโลงมาตั้งไว้บนศาลาของวัด เพื่อรอปาฏิหาริย์ให้นายพัศกรฟื้นขึ้นมาตามความเชื่อ


 :96: :96: :96: :96:

ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่วัดชัยชุมพล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางญาติยังเฝ้าคอยลุ้นปาฏิหาริย์ให้นายพัศกรฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ฟื้นแต่อย่างใด โดยญาติคนหนึ่ง เล่าว่า เมื่อ 5 วันที่แล้วนายพัศกร ได้ไปดื่มเบียร์ผสมน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง แล้วนอนหลับไป 2 ชั่วโมง เมื่อไปปลุกก็ไม่ตื่น จึงรีบนำส่ง รพ.ทุ่งสง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา แพทย์ระบุสาเหตุเกิดจากกรดไหลย้อน จากนั้นญาติได้พาร่างนายพัศกรมาตั้งบำเพ็ญกุศลศพฯ สวดจนครบตามประเพณี และก่อนเผาได้มีการเปิดฝาโลงพบร่างนายพัศกรยังมีสภาพสมบูรณ์เหมือนคนยังไม่เสียชีวิตคล้ายคนนอนหลับ จึงรีบนำร่างออกจากโลงมารอปาฏิหาริย์ให้ฟื้นดังกล่าว

ทั้งนี้ ญาติคนหนึ่งยังเชื่อว่าอาจจะเกิดจากที่นายพัศกรชอบเล่นไสยศาสตร์ ก่อนนอนหลับนายพัศกรเคยสั่งญาติๆ ไม่ให้ปลุก แต่ญาติเผลอไปปลุกอาจจะทำให้วิญญาณเข้าร่างไม่ทัน ซึ่งล่าสุดทางญาติกำลังตามหมอไสยศาสตร์มาทำพิธีเพื่อเชิญวิญญาณกลับเข้าร่าง ท่ามกลางความฮือฮาของชาวทุ่งสงที่ทราบเรื่องราวดังกล่าวอยู่ในขณะนี้.


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/368585
11967  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หลวงพ่อสมนึกเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมปทุมฯ มอบทุนการศึกษา 61 ทุน จำนวน 20 โรงเรียน เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 08:06:44 am


หลวงพ่อสมนึกเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมปทุมฯ มอบทุนการศึกษา 61 ทุน จำนวน 20 โรงเรียน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 22 ธ.ค. 58 พระครูพิศาลธรรมานุวัตร(หลวงพ่อสมนึก) ฉายา เตชธมโม เจ้าอาวาสวัดซอยสามัคคี(ธรรมสุขใจ)และเจ้าสำนักปฎิบัติธรรมประจำจังหวัดปทุมธานี แห่งที่ ๘ วัดซอยสามัคคี ต.คูคต อ.ลำลุกกา จ.ปทุมธานี ได้จัดงานทำบุญคล้ายวันเกิดอายุวัฒนมงคลครบ 59 ปี พรรษา 38 จัดมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียน นักศึกษา สถานศึกษา จำนวน 61 ทุนๆละ 2,000 บาท จำนวน 20 โรงเรียน โดยมีพระราชกิตติเมธี รองเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานในพิธีฝ่ายสงฆ์

 :25: :25: :25: :25:

พระครูพิศาลธรรมานุวัตร(หลวงพ่อสมนึก)ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดซอยสามัคคี(ธรรมสุขใจ)ในปี พ.ศ.2553 หลังจากได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดซอยสามัคคี(ธรรมสุขใจ)ได้ดำเนินการแจกทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเป็นประจำทุกปี โดยจัดตั้งทุนสงเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษาที่วัดซอยสามัคคี(ธรรมสุขใจ) ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ขึ้นโดยให้ทางโรงเรียนคัดเลือกนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ มีความประพฤติเรียบร้อย ไม่เสพสิ่งเสพติด เรียนวิชาพุทธศาสนาอยู่ในเกณฑ์ดี มีผลการเรียนดีพอสมควรเพื่อมารับทุนสงเคราะห์นักเรียน ซึ่งมีนักเรียนจากหลายโรงเรียนมารับ ทุนการศึกษาในวันทำบุญคล้ายวันเกิด (22 ธันวาคม) เป็นประจำทุกปี




อีกทั้งยังได้จัดหาหนังสือตำราเรียนนักธรรมและธรรมศึกษาให้แก่พระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา นักเรียน เพื่อเป็นคู่มือในการค้นคว้าหาความรู้ด้านพระปริยัติธรรมและได้จัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนให้แก่ครูสอนพระปริยัติธรรม ทั้งในวัดและในโรงเรียนต่างๆ พร้อมทั้งได้สนับสนุนให้มีการเปิดสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรมศึกษา ในโรงเรียนต่าง ๆ และสนับสนุนให้เปิดเป็นสถานที่สอบธรรมสนามหลวง ณ โรงเรียนที่มีการเรียนการสอนนั้นๆด้วย พร้อมส่งเสริมให้ศิษย์วัดได้มีการศึกษาเล่าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา

โดยจัดมอบทุนการศึกษาอย่างต่อเนื่องและถ้ามีความประสงค์จะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาก็จะมีทุนการศึกษาเพิ่มให้จนสำเร็จการศึกษา และได้จัดให้มีห้องสมุดประจำวัดเพื่อให้พระภิกษุ สามเณร นักเรียน และประชาชนทั่วไป ได้เข้ามาศึกษาหารความรู้เกี่ยวกับวิชาการทางพระพุทธศาสนา พระราชประวัติและพระจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุก ๆ พระองค์






ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151222/219114.html
11968  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวอ่างทองร้อง ตร.ตรวจสอบพระสงฆ์เดินบิณฑบาตเรี่ยไรปัจจัยในตลาด เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 08:01:55 am


ชาวอ่างทองร้อง ตร.ตรวจสอบพระสงฆ์เดินบิณฑบาตเรี่ยไรปัจจัยในตลาด

อ่างทอง - ชาวบ้านอ่างทองร้องตำรวจเข้าตรวจสอบพระสงฆ์กับสามเณร และลูกศิษย์ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เดินบิณฑบาตเรี่ยไรปัจจัยจากญาติโยมในตลาดหลวง พบเป็นพระสงฆ์จริงทำการตักเตือน
                   
       เมื่อเวลา 15.00 น.วันนี้ (22 ธ.ค.) ร.ต.ท ปรีชา สีโสภา ร้อยเวรป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดป้องกันปราบปราม เข้าตรวจสอบพระสงฆ์และสามเณร ที่เดินบิณฑบาตเรี่ยไรปัจจัย พร้อมลูกศิษย์ ภายในบริเวณถนนเทศบาล 2 ตำบลตลาดหลวง อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้าน เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการแอบอ้างพระพุทธศาสนามาหากิน
       
       โดยพฤติกรรมการเรี่ยไรครั้งนี้มีสามเณรเดินถือโทรโข่งประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ญาติโยมบริจาค ปัจจัย ส่วนพระสงฆ์เดินอุ้มบาตรและมีลูกศิษย์ถือของเดินตาม โดยพบว่าที่ผ่านมาได้ออกตระเวนเรี่ยไรเป็นประจำ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทางเจ้าหน้าที่จึงทำการขออนุญาตตรวจสอบและสอบถาม เมื่อขอดูใบสุทธิพบมีเพียงแต่สำเนาใบสุทธิ ระบุพระสงฆ์ฉายา พระสนิท โชติโก อายุ 88 ปี บ้านเลขที่ 138 หมู่ 3 ตำบลพลับพลาไชย อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี


        :25: :25: :25: :25:

       พระสนิท อ้างว่า ใบสุทธิตัวจริงอยู่ที่วัดซึ่งเป็นวัดแห่งหนึ่งในอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยจุดประสงค์ที่มาบิณฑบาตเพื่อจะนำปัจจัยที่ได้ไปใช้จ่ายเป็นค่าน้ำค่าไฟให้กับทางวัด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระภิษุสงฆ์ที่มาเดินเรี่ยไรเงินทองในตลาดเป็นประจำและนิมนต์ไปตรวจสอบ ที่ สภ.เมืองอ่างทอง
       
       เบื้องต้นทาง ร.ต.ท.ณัฐพงษ์ นุตเจริญ ร้อยเวร สภ.เมืองอ่างทอง ได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าเป็นพระสงฆ์จริงจึงทำการตักเตือนและแจ้งให้ทราบถึงพฤตกรรมที่ไม่เหมาะสม การที่พระสงฆ์จะออกมาบิณฑบาตปัจจัยเป็นการปฎิบัติที่พึงกระทำได้แต่ต้องมีการขออนุญาตจากเจ้าคณะจังหวัดพร้อมทำหนังสือแจ้งให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเป็นหลักฐาน โดยทางพระสงฆ์และสามเณร พร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางกลับวัด พร้อมรับปากว่าจะไม่กระทำพฤติกรรมแบบนี้อีก




ชมคลิปได้ที่
https://youtu.be/POUR9EoOem8     
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000140070
11969  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สาวบุรีรัมย์ แก้บนถูกรางวัลที่1 ซื้อที่ดินถวายวัด เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 07:58:28 am



สาวบุรีรัมย์ แก้บนถูกรางวัลที่1 ซื้อที่ดินถวายวัด

เมื่อบ่ายวันที่ 21 ธ.ค. ที่วัดกลางบางพระ ต.บางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม นางสาคร จูงสุข อยู่บ้านเลขที่ 20 หมู่ 8 ต.หนองยอน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 17 ธ.ค.58 เลข 930255 พร้อมครอบครัวและญาติ กว่า 10 คน เช่ารถตู้เดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ มาแจ้งความประสงค์ต่อพระครูศรีสุตากร เจ้าอาวาสวัด เพื่อแก้บนหลวงพ่อสมหวัง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พร้อมมอบเงินสมทบทุนซื้อที่ดินถวายหลวงพ่อสมหวัง 200 ตารางวา ซึ่งเป็นที่นาติดวัดตารางวาละ 400 บาท เป็นเงิน 8 หมื่นบาท ถวายให้วัดเพื่อจัดทำเป็นที่จอดรถ พร้อมกับแก้บนไข่ต้ม 3,000 ฟอง ถวายหลวงพ่อสมหวัง

โดยนางสาครเผยว่า เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้เดินทางมากับคณะทัวร์ 9 วัด ภาคกลาง วัดกลางบางพระเป็นหนึ่งที่ทัวร์จัดให้มากราบไหว้ เห็นคนมากราบไหว้เยอะจึงเข้าไปกราบไหว้และขอพรจากหลวงพ่อสมหวัง และบนไว้ว่าหากมีโชคลาภจะกลับมาทำบุญซื้อที่ดินถวายให้วัด เมื่อกลับไปบ้านไปหาซื้อลอตเตอรี่ 1 ใบ จากคนเดินขายมายัดให้เหลือใบเดียวเลยซื้อไว้ ปรากฏว่าเมื่อวันออกลอตเตอรี่จึงเอามาตรวจปรากฏว่าถูกรางวัลที่ 1 จึงนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อสมหวังให้โชคตามที่บนไว้ จึงเหมารถเดินทางมาไหว้และซื้อที่ดินถวายตามที่บนไว้


 :25: :25: :25: :25:

ในวันเดียวกัน นายเฉลียว คำหอม ทำสวนมะลิอยู่ ต.ตาก้อง อ.เมืองนครปฐม ได้นำหัวหมูมาถวายแก้บนหลวงพ่อสมหวัง 100 หัว โดยบอกว่าเคยมาบนไว้หากปีนี้ประสบผลสำเร็จมีกำไรจากค้ามะลิ และก็ได้กำไรกว่า 2 ล้านบาท จึงนำมาแก้บน และยังมีนางประนอม หาญสมัย บ้านอยู่ อ.นครชัยศรี นำเสื้อกันหนาว 100 ตัว มาแก้บนหลวงพ่อสมหวัง และนายขจร-นางบุปผา ปรางทิพย์ เจ้าของโรงงานผลิตผ้าห่มโอทอป ต.งิ้วราย อ.นครชัยศรี มอบผ้าห่มนวม 100 ผืน โดยให้นายบุญเสริม หาญสมัย นายก อบต.บางพระ เป็นตัวแทนนำมามอบให้

ขณะที่พระครูศรีสุตากรเจ้าอาวาส เผยว่า สิ่งของที่สาธุชนมอบให้เงินบริจาคซื้อที่ดินนั้น จะนำไปซื้อที่ดินขยายพื้นที่วัดจัดเป็นที่จอดรถไปก่อน และได้ออกใบอนุโมทนาบัตรให้กับผู้บริจาค ส่วนเสื้อกันหนาวและผ้าห่ม จะรวบรวมนำไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านยากจนในพื้นที่ป่าละอู และมอบให้เจ้าหน้าที่อุทยาน ตชด.ตามที่ได้ตั้งใจบอกบุญสาธุชนไว้ในปลายเดือนธันวาคมนี้.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/552374
11970  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวพุทธไทย ในยุโรปยื่น บัญญัติพุทธศาสนาประจำชาติ เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 07:56:05 am


ชาวพุทธไทย ในยุโรปยื่น บัญญัติพุทธศาสนาประจำชาติ

พระปัญญาพุทธิวิเทศ รองประธานองค์กรพระธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักร ในฐานะประธานสมาพันธ์ชาวพุทธในยุโรป กล่าวว่า ตนได้ยื่นหนังสือถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)ที่รัฐสภา โดยมีผู้แทนมารับมอบ เพื่อขอให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้มติที่ประชุมสมาชิกสมาพันธ์ชาวพุทธยุโรปเห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เน้นความสงบสุขและการอยู่ร่วมกัน จึงเห็นควรส่งหนังสือถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ด้วยเหตุผล

1.พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ชาวไทยเคารพนับถือมาตั้งแต่โบราณ เป็นจารีตประเพณีและเป็นวิถีชีวิต
2.พระพุทธศาสนาไม่มีความขัดแย้งกับศาสนิกศาสนาอื่นๆ
3.พระพุทธศาสนาให้เกียรติและเคารพต่อผู้นับถือศาสนาอื่น ไม่เบียดเบียนใคร
4.พระพุทธศาสนา คือเลือดเนื้อและวิญญาณของคนไทยเพราะบรรพบุรุษนับถือมาแต่อดีต และ
5.พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เคารพนับถือตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

ขอให้นายมีชัยนำข้อเรียกร้องดังกล่าวไปพิจารณา เพื่อเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา ปกป้องพระพุทธศาสนา รักษาให้เป็นมรดกแก่แผ่นดิน

 :96: :96: :96: :96:

ด้าน ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) กล่าวว่า สนพ.จะรวบรวมความคิดเห็นจากเครือข่ายองค์กรชาวพุทธ เสนอคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในช่วงการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศด้วย.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/552822
11971  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พศ.-วธ.ชวนสวดมนต์เสริมสิริมงคลข้ามปี 58 เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 07:53:36 am


พศ.-วธ.ชวนสวดมนต์เสริมสิริมงคลข้ามปี 58

นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวในงานแถลงข่าวกิจกรรม “ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลไทย นำความเป็นไทยสู่ใจประชาชน” กล่าวว่า กรมศิลปากรจัดกิจกรรม “ไหว้พระวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน” นำพระพุทธรูปมงคลโบราณ 9 องค์ ออกมาให้สักการะ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ระหว่างวันที่ 25 ธ.ค.58 -24 ม.ค.59 ประกอบด้วย
   1.พระพุทธสิหิงค์
   2.พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางมารวิชัย
   3.พระชัยเมืองนครราชสีมา
   4.พระพุทธรูปปางประทานธรรม
   5.พระพุทธรูปปางลองหนาว
   6.พระพุทธรูปปางฉันสมอ
   7.พระพุทธรูปปางโปรดมหิสสรเทพบุตร
   8. พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ และ
   9.พระพุทธปฏิมาปางขอฝน

นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ศน.จัดกิจกรรม ไหว้พระ 9 วัด สืบสิริสวัสดิ์ 9 รัชกาล วันที่ 31 ธ.ค.58-3 ม.ค.59 สวดมนต์ข้ามปี ที่วัดทั่วประเทศ คืนวันที่ 31 ธ.ค.58 และตั้งศูนย์ประสานงานโครงการสวดมนต์ข้ามปี 2559 พร้อมเปิดศูนย์ฮอตไลน์บริการ 24 ชั่วโมง โทร. 09-2446-8739 และ 09-2446-8038


 :96: :96: :96: :96:

น.ส.ประนอม คงพิกุล รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ว่า พศ.ร่วมกับ มส. วัด และสำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ จัดสวดมนต์ข้ามปี วันที่ 31 ธ.ค.58- 1 ม.ค.59 กิจกรรมแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนกลางที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม รวมทั้งมีการคัดเลือกวัดที่จัดงานหลักในส่วนกลาง ได้แก่ วัดไตรมิตรวิทยาราม วัดสัมพันธวงศาราม วัดเทพศิรินทราวาส วัดพิชยญาติการาม วัดประยุรวงศาวาส วัดสระเกศฯ และวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก

นายประดับ โพธิกาญจนวัตร รองโฆษก พศ. กล่าวว่า พศ.ได้มีหนังสือแจ้งไปยังวัดที่จัดกิจกรรมดังกล่าว ขอความร่วมมือมีมติให้เปิดโบสถ์ วิหาร และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนได้กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับสิริมงคลในเทศกาลปีใหม่ ขณะเดียวกัน พศ.ยังได้จัดพิมพ์หนังสือธรรมนูญชีวิต และเตรียมน้ำพระพุทธมนต์ จำนวน 20,000 ชุด มอบให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และพุทธมณฑล ด้วย สำหรับผู้สนใจขอรับหนังสือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร 0-2441-4554.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/552277
11972  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไปกันใหญ่! มูลนิธิฯ ฉาวอ้าง 28 อรหันต์ เหาะมาด้วยฤทธิ์ สถิตบนดอยลำพูน เมื่อ: ธันวาคม 23, 2015, 07:51:12 am


ไปกันใหญ่! มูลนิธิฯ ฉาวอ้าง 28 อรหันต์ เหาะมาด้วยฤทธิ์ สถิตบนดอยลำพูน

ยิ่งสอบย่ิงชักจะไปกันใหญ่ แฉผู้ดูแลมูลนิธิฉาวบนดอยไซ ลำพูนอ้างแบบเดิม 28 อรหันต์ เป็นพระเก่าสร้างสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ในประเทศอินเดีย เหาะมาเองด้วยฤทธิ์ สถิตอยู่บนดอย ทั้งยังอ้างด้วยว่า ใช้เงิน 14 ล้านซื้อที่ดินเพิ่มอีก 85 ไร่

จากกรณีผู้นำหมู่บ้านชาวบ้าน และทนายความ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เหมืองจี้ อ.เมืองลำพูน ให้ตรวจสอบมูลนิธิอโศกมุนีแสงธรรม หรือกู่อรหันต์พันปี บ้านหนองไซ หมู่ 14 ต.ป่าสัก อ.เมืองลำพูน และให้ดำเนินคดีกับ นายสินธพ ทรวงแก้ว ที่อ้างว่าเป็นผู้ดูแลมูลนิธิมีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเกจิอาจารย์ เขียนตำนานพระพุทธประวัติฉบับพิสดารโน้มน้าวให้ผู้คนศรัทธาบริจาคเงิน ทั้งยังอ้างว่าเป็นผู้มีบุญบารมีเก็บพระอรหันต์ 28 องค์ พระพุทธรูปโบราณอายุพันกว่าปีที่สิงสถิตอยู่บนดอยไซ แต่จากการตรวจสอบพบว่าน่าจะเป็นพระใหม่อีกทั้งที่ตั้งของมูลนิธินั้นมีโฉนดที่ดินเพียง 5 ไร่เศษ แต่ครอบครองจริงเกือบ 7 ไร่ ส่วนหนึ่งจึงน่าจะเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า รวมถึงมีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนและฉ้อโกงด้วยนั้น

 :96: :96: :96: :96:

ภายหลังจากคณะกรรมการฯ ได้ขึ้นไปตรวจสอบ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา เบื้องต้นสรุปได้ว่า พระทั้งหมดที่อ้างว่าเป็นพระอรหันต์ และของโบราณพันปีนั้น เป็นพระใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้น ขณะที่การสอบปากคำนายสินธพ ทรวงแก้ว อายุ 73 ปี ที่เป็นผู้ดูแลมูลนิธิฯ แห่งนี้ และเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมของมูลนิธิ ทราบว่าพื้นเพเดิม เป็นชาว จ.แพร่ เป็นข้าราชการบำนาญ แล้วมาเป็นอาจารย์สอนธรรมะอยู่ที่มูลนิธิฯ

ทั้งนี้ แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ยืนยันว่า ในการสอบปากคำ นายสินธพให้การว่า เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิแห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2555 และจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ โดยที่นายสินธพ นั้น ไม่ได้เป็นกรรมการ แต่รับเป็นที่ปรึกษาให้กับมูลนิธิฯ พร้อมยืนยันว่าการสอนธรรมะของตนนั้น ได้สอนตามหลักของพระพุทธเจ้าทุกอย่าง สอนตามพระไตรปิฎกไม่มีความคิดเห็นของตนเอง และได้อ่านพระไตรปิฎก 45 เล่ม จบไปแล้ว 6 จบ ใช้เวลา 3 ปี จากนั้นจึงได้สรุปคำสอน นำไปปฏิบัติอีก 20 ปี

 :91: :91: :91: :91:

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพระพุทธรูป ที่อ้างว่าเป็นพระอรหันต์โบราณนั้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญหลายคณะ ว่าเป็นพระใหม่ เพิ่งสร้าง แต่นายสินธพกลับอ้างเหมือนเดิมว่า พระเหล่านี้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.220 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ในประเทศอินเดีย สร้างจากกระดูกของพระพุทธเจ้า 28 องค์ ปั้นโดยภิกษุณีมุนีแสงธรรมอรหันต์ เป็นอดีตพระมเหสี ของพระเจ้าอโศกมหาราช และเมื่อปี พ.ศ.945 พระอรหันต์ จำนวน 9 รูป นำโดยพระปุณะเถระ ขนสมบัตินี้จากประเทศอินเดียมาเก็บไว้ที่ถ้ำน้ำดิบดอยไซ ห่างจากที่ตั้งของมูลนิธิไปทางทิศใต้ 500 เมตร การนำมา นำมาโดยฤทธิ์ของพระอรหันต์ดังกล่าว ทั้งยังอ้างด้วยว่าตัวเองปฏิบัติธรรมจนได้ญาณวิสัย ซึ่งสามารถเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นความรู้เฉพาะตน

นอกจากนี้ นายสินธพ ยังให้ปากคำว่า มูลนิธิฯ ให้ผู้มาทำบุญตักบาตรพระพุทธเจ้า ตามจิตศรัทธาและไม่มีการเรี่ยไร หรือแม้กระทั่งเรื่องของสินค้าขายตรง เงินที่ได้มาไม่ได้นำเข้ามูลนิธิ แต่เอาใช้จ่ายภายในมูลนิธิ และรักษาสมบัติของพระพุทธเจ้า สำหรับที่ดินเป็นชื่อของมูลนิธิ 5 ไร่เศษ และเมื่อปี 2557 ได้ซื้อที่ดินเพิ่มอีก 85 ไร่ รวมเป็นเงิน 14 ล้านบาท ใช้เงินของมูลนิธิ โอนเป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิเรียบร้อย ส่วนกรณีที่มีการร้องเรียนว่าตนแอบอ้างว่า เป็นพระเจ้าอโศกมหาราชกลับชาติมาเกิดนั้น ตนเองไม่ได้แอบอ้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสอบปากคำเสร็จ ทางเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำมาสรุป เพื่อยื่นให้กับทางประธานกรรมการพิจารณาตรวจสอบ ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/552714
11973  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กระเพื่อมทัศนะ เมื่อพระถูกหวย ภาพชินตาและคำถาม เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 08:41:08 am

กระเพื่อมทัศนะ เมื่อพระถูกหวย ภาพชินตาและคำถาม
โดย พิมพ์ชนก พุกสุข

เป็นข่าวน่ายินดีที่ชวนให้อิหลักอิเหลื่อระดับหนึ่ง สำหรับกรณีพระใน จ.เชียงใหม่ ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 17 ธันวาคม 2558  รับเงินจำนวน 24 ล้านบาทไปนิ่มๆ ตามมาด้วยคำถามที่ว่า พระเล่นหวยได้ด้วยหรือ? ในเมื่อด้านหนึ่ง ใช่หรือไม่ว่าหวยคือรูปแบบหนึ่งของการเสี่ยงโชค แม้จะไม่มีท่าทีของการพนันเต็มรูปแบบอย่างจริงจังและผิดกฎหมายเท่าเล่นไพ่หรือเขย่าไฮโล แต่ก็อีกนั่นแหละที่ไม่ว่าจะหนักหรือเบาอย่างไร ถ้าไม่โกหกตัวเองกันเกินไปนักก็คงเห็นว่า อบายมุขก็ไม่วายเป็นอบายมุขอยู่นั่นเอง

ดังนั้นแล้ว การที่พระสงฆ์ซื้อหวยนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้หรือไม่ กระทั่งว่า สังคมเองรับได้แค่ไหน กับประเด็นนี้ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ แห่งวัดสร้อยทอง มองว่า ถึงอย่างไรการที่พระเล่นหวยนั้นก็เป็นเรื่องผิดอย่างแน่นอน

    "โดยปกติแล้วพระต้องไม่เล่นการพนัน เพราะการเสี่ยงโชคเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง อะไรที่เป็นอบายมุข พระสงฆ์ก็ข้องเกี่ยวไม่ได้ ไม่ได้เลย" คำหลังนี้ถูกเน้นให้ชัดขึ้นด้วยน้ำเสียง "คือก่อนนี้ก็เคยมีกฎของมหาเถรสมาคม ว่าห้ามไม่ให้พระซื้อลอตเตอรี่ ซึ่งถ้ายึดตามกฎ การซื้อหวยก็เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะอยู่แล้ว"


 :96: :96: :96: :96:

ทว่า สิ่งหนึ่งซึ่งพระมหาไพรวัลย์เห็นว่าเป็นปัจจัยหนึ่งในเรื่องเหล่านี้คือ วัฒนธรรมของพระในสังคมต่างจังหวัด ซึ่งภาพพระซื้อลอตเตอรี่หรือเล่นหวยนั้นถือเป็นเรื่องปกติที่เห็นจนเจนตา "เพราะบางทีแม่ค้าพ่อค้าก็ไปขายลอตเตอรี่กันในวัดนั่นแหละ ซึ่งชาวบ้านบางส่วนก็รับได้ บางส่วนก็รับไม่ได้ คนที่ไม่เคยเห็นภาพพระซื้อลอตเตอรี่มาก่อนเขาก็คงตั้งคำถามว่าทำไมพระถึงซื้อได้ล่ะ"

และหนึ่งในข้อกังขามากมายต่อกรณีนี้ หลายคนสงสัยว่าใช่หรือไม่ที่กฎเกณฑ์ในพระไตรปิฎกนั้นถูกบัญญัติไว้นับพันปีมาแล้ว เป็นไปได้ไหมที่ความเปลี่ยนแปลงของโลกจะทำให้คำสอนเหล่านั้นไม่ครอบคลุมต่อโลกสมัยใหม่ แน่นอนว่า คำตอบต่อคำถามนี้ของพระมหาไพรวัลย์ก็ยังเป็น "ไม่" เช่นเดิม

     ans1 ans1 ans1 ans1

    "จะอ้างความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะการพนันเป็นอบายมุขชัดเจน และหากอ้างว่าเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลง อย่างนั้นต่อไปพระสงฆ์เล่นไพ่ได้ไหมเล่า"
    "มันเป็นการเสี่ยงโชค ซื้อลอตเตอรี่เพื่อได้เงิน ท่านซื้อท่านก็หวังจะถูกรางวัลนั่นแหละ แล้วการซื้ออย่างนี้ก็เป็นเหตุปัจจัยให้อยากซื้อทุกงวด เป็นการเสพติดการพนันไป แล้ว เวลาถูกรางวัลขึ้นมาก็มีข้อกังขาหลายอย่าง อย่างถ้าถูกรางวัลเป็นเงินล้านๆ จะจัดการอย่างไร ทำอย่างไร เป็นเหตุให้สึกลาเพศ ออกหรือเปล่า"

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ พระหนุ่มแห่งวัดสร้อยทองมองว่า หากถูกรางวัลเสียเงียบๆ ก็คงไม่มีใครรู้ แต่ทันทีที่เป็นข่าว ก็กลายเป็นพระถูกมองว่าเล่นอบายมุข "แล้วจะสอนคนอย่างไร จะไปสอนใครได้ สอนเขาอย่างหนึ่ง ตัวเองทำอีกอย่างหนึ่ง ญาติโยมพอทำบุญกับพระ เห็นพระก็เอาเงินไปซื้อหวย ก็จะเสื่อมศรัทธาเอา"


 :49: :49: :49: :49: :49:

ขณะที่ สุรพศ ทวีศักดิ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาหัวหิน มองว่า ประการหนึ่งที่หวยหรือลอตเตอรี่ดูเป็นความผิดที่เบาบางมากกว่าการเล่นไพ่หรือการพนันในลักษณะอื่น ก็เพราะเป็นเรื่องถูกกฎหมายด้วยส่วนหนึ่ง เพราะนอกเหนือจากตัวลอตเตอรี่จะถูกกฎหมายเองแล้ว ในแง่กฎหมายเองก็ไม่มีกฎข้อใดห้ามพระซื้อลอตเตอรี่ แต่ในแง่วินัยสงฆ์นั้นก็ชัดเจนว่า พระสงฆ์นั้นก็สอนประชาชนให้ลด ละ เลิกอบายมุข หรือบอกกล่าวว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี และการที่ห้ามคนอื่นแต่ตัวเองก็ทำนั้น คงไม่ใช่คำถามที่ยากเกินไปนักที่จะตอบว่าถูกควรหรือไม่

     "อย่างหวย อย่างลอตเตอรี่ถูกกฎหมาย ก็อาจจะมองว่าไม่ผิด-ไม่ผิดในแง่กฎหมาย แต่ในแง่ศีลธรรมที่พระชอบสอน ก็จะมองในลักษณะที่ว่าเป็นการพนันอย่างหนึ่ง คืออันนี้กำลังมองว่าในจารีตของพระไทยมักสอนอย่างนั้น ว่าหวยไม่ดี เป็นการพนัน เป็นอบายมุข แต่ในความเป็นจริง โลกสมัยใหม่อาจไม่มองอย่างนั้นก็ได้ มองว่าเป็นการเสี่ยงโชคอะไรว่าไป ซึ่งเป็นเรื่องทางโลก"





     แต่พระสงฆ์มองเป็นเรื่องการพนัน แต่ตัวเองกลับมาทำ มันก็ขัดกับสิ่งที่สอนคนอื่น.?
     "ในพระไตรปิฎกไม่ได้มีบัญญัติเรื่องหวยอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าอะไรที่ไม่บัญญัติแล้วพระทำได้ทั้งหมด ไม่ได้ว่าทุกอย่างต้องไปหาคำตอบในพระไตรปิฎกทั้งหมดว่าบัญญัติยังไง โลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน พระก็ต้องดูว่าทำอะไรลงไปแล้วสังคมยุคปัจจุบันรับได้หรือเปล่า"


     สุรพศยังเห็นประเด็นการดำเนินชีวิตของพระสงฆ์ที่มุ่งลด ละ เลิกกิเลส ตามอุดมคติของศาสนาด้วย
     "ทางด้านจิตใจมันควรสงบ แล้วถ้ามาฝักใฝ่เสี่ยงโชคเล่นหวยก็แยกไม่ออกว่าพระกับชาวบ้านต่างกันตรงไหน ปัญหาคือพระทำเหมือนฆราวาสได้หมด แล้วจุดแตกต่างอยู่ไหน ความแตกต่างที่ผมพูดถึงนั้นหายากขึ้นทุกทีในปัจจุบัน"


 :25: :25: :25: :25:

ทว่า ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่นำมาสู่การถกเถียงในประเด็นอื่น นั่นคือเอาเข้าจริงแล้ว ภาพพระซื้อลอตเตอรี่หรือซื้อหวยนั้นเป็นเรื่องที่ชินหูชินตาชาวบ้าน โดยเฉพาะในแถบต่างจังหวัด การที่พระจะซื้อหวยจึงไม่ใช่เรื่องน่าตกอกตกใจหรือเป็นเรื่องที่ต้องนำมาใคร่ครวญในสังคมนั้นๆ มากนัก แม้ชาวบ้านเองจะผูกพันกับพระ กับวัดอย่างยิ่งก็ตาม ขณะที่กลุ่มคนเมือง ซึ่งมีแนวโน้มจะห่างจากวัดมากกว่าด้วยซ้ำ กลับเห็นเรื่องพระซื้อหวยเป็นปัญหา

     "อันนี้อย่างที่พูดว่าในแง่กฎหมาย การซื้อหวยมันไม่ผิด แต่ในแง่จริยธรรมก็เป็นเรื่องความเหมาะสมของพระ โดยส่วนตัวผมไม่ได้ตัดสินว่าพระผิดหรือถูก สมมุติพระทำอย่างนั้น ชาวบ้านไม่ว่าอะไร ก็เรื่องของเขา เป็นเสรีภาพของเขา แต่ผมจะบอกว่าในจารีตของพระไทยที่เป็นจารีตหลักๆ ก็เหมือนพระกำลังทำผิดจารีตของตัวเอง แต่ระดับชาวบ้านอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเขารับได้ก็ไม่มีปัญหา เป็นเรื่องที่สงฆ์ในวัดนั้นหรือชุมชนชาวบ้านนั้นเขาจะพิจารณาตัดสินกันเอง ถ้าชาวบ้านรับไม่ได้ก็มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว"


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

อีกคนที่ร่วมแสดงความคิดเห็นปิดท้าย ชาญณรงค์ บุญหนุน อาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ความเห็นอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า พระสงฆ์ถึงอย่างไรก็ไม่ควรซื้อลอตเตอรี่

     "อะไรที่เกี่ยวกับเงินไม่ควรอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของการซื้อขายด้วยเงินด้วยทอง มันเป็นอาบัติเล็กน้อย คือเขาอาจจะเป็นพระชาวบ้านธรรมดา เล่นหวยเป็นปกติ แต่คนรุ่นใหม่อาจซีเรียส ซึ่งถ้าไปอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ ชาวบ้านก็ไม่ถือสาหาความอะไร เขาไม่ซีเรียสว่าพระต้องเคร่งทุกกระเบียดนิ้ว เพราะมันปลงอาบัติในแง่เล็กๆ น้อยๆ ได้ ถ้าพระให้หวยเขาก็ชอบพระไปด้วย เขาเลยไม่ถือถ้าพระจะซื้อหวย"

 :97: :97: :97: :97: :97:

     ทั้งหมดนี้ ชาญณรงค์มองเป็นวัฒนธรรมมากกว่า
     "อันนี้อาจจะมีผลน่าสนใจตรงที่คนอาจจะมองว่าไม่เหมาะเพราะพระซื้อเยอะ ถ้าแบบซื้อเพื่อหวังรวย ถ้าลักษณะนี้ก็ซื้อขายด้วยเงินด้วยทอง มันผิดวินัยอยู่แล้ว และการพนันมันเป็นอาบัติเล็กน้อย คือชาวบ้านอาจจะมองว่ามันไม่เหมาะ แต่ตัวอาบัติเองมันไม่มาก แต่ทางพระอาจจะมองว่าไม่เหมาะ"

      แน่นอนว่าการที่พระถูกลอตเตอรี่นั้นสร้างแรงกระเพื่อมและคำถามบางประการในสังคม นำมาสู่ประเด็นหนึ่งที่ชาญณรงค์ตั้งข้อสังเกต

      "คนเมืองศึกษาธรรมะลักษณะที่ให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ผุดผ่อง สะอาด สว่าง สงบ แล้วโดยทั่วไปคนเมืองค่อนข้างอุดมคติกับศาสนาพอสมควร เวลามองพระก็มองพระในระดับอุดมคติ แต่อย่างชาวบ้านที่เข้าวัดเป็นประจำก็ไม่ค่อยมองอย่างอุดมคติหรอก มองพระเป็นเหมือนปุถุชน ผิดก็อนุโลมได้ ทีนี้ การศึกษามันหล่อหลอมเราในเรื่องวิธีคิด เป็นเหมือนความกล่อมเกลาทางการศึกษาระยะหลังๆ ที่เน้นความเป็นอุดมคติ ให้ปฏิบัติสอดคล้องกับศาสนา"


       ans1 ans1 ans1 ans1

      "แต่วัฒนธรรมเดิมของเราไม่ซีเรียสขนาดนั้น การศึกษาของเราเดิมมากับจารีต ไม่ได้อิงกับพระไตรปิฎก แต่การศึกษาสมัยใหม่ทำให้คนอ่านพระไตรปิฎกและศึกษาธรรมะมากขึ้น แง่หนึ่งคนจึงคาดหวังว่าพระจะดำรงความเป็นอุดมคติของศาสนาได้มากขึ้น"

เป็นคำตอบจากมุมมองของอาจารย์จากคณะอักษรศาสตร์ต่อกรณีพระถูกลอตเตอรี่ตามที่เป็นข่าวมากน้อย ความคิดเห็นเหล่านี้ก็ย่อมตอบคำถามที่มีในสังคมได้ว่าในฐานะบรรพชิตซึ่งเดินเข้าสู่ทางธรรมแล้ว เหมาะสมหรือไม่ อย่างไร กับการที่นำตัวเองเข้าไปเกี่ยวกับอบายมุข แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450690512
11974  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดชีวิต สัปเหร่อไฮโซ ใส่สูท-ขับเบนซ์ รายได้งาม เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 08:30:29 am

เนรมิต ศรีเมือง

เปิดชีวิต "เนรมิต ศรีเมือง" สัปเหร่อไฮโซ ใส่สูท-ขับเบนซ์ รายได้งาม

เผยเส้นทางชีวิต เนรมิต ศรีเมือง สัปเหร่อไฮโซ จากชีวิตเด็กวัดสู่อาชีพสัปเหร่อ รายได้ 5-6 หลักต่อเดือน เจ้าของสโลแกน ใส่สูท ผูกไท ไดร์ฟกอล์ฟ เผาศพ

หลายคนอาจมองว่า อาชีพสัปเหร่อ คงจะแต่งตัวธรรมดา ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมายอย่างที่เราเห็นกันทั่ว ๆ ไป แต่เชื่อเลยว่าหากรู้จักผู้ชายที่ชื่อว่า เนรมิต ศรีเมือง สัปเหร่อหนุ่มไฮโซ ใส่สูท ขับเบนซ์ คนนี้แล้ว ภาพเดิม ๆ ของสัปเหร่อคงจะถูกลบออกไปอย่างแน่นอน ซึ่งรายการ แรงชัดจัดเต็ม ออกอากาศวันที่ 15 ธันวาคม 2558 จะพาไปรู้จักผู้ชายคนนี้กัน



โดย เนรมิต ศรีเมือง เล่าว่า ตนเองประกอบอาชีพสัปเหร่อมานานนับ 20 ปี และเริ่มใส่สูทจริง  ๆ เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา หากถามถึงชีวิตส่วนตัวนั้น ตอนเด็ก ๆ ตนเองจบแต่ ป.6 เป็นชาว จ.ฉะเชิงเทรา และเป็นเด็กวัดมาโดยตลอด

    "ตอนเด็ก ๆ เคยเสียชีวิตมาก่อน จากการเป็นโรคลมชักแต่แม่ได้บนไว้ว่าถ้ารอดจะยกให้วัดและสุดท้ายก็ฟื้น แม่จึงพาไปถวายให้วัดพุทธโสธรและเป็นเด็กวัดมาโดยตลอด" เนรมิต กล่าว

สำหรับเส้นทางการเป็นสัปเหร่อ เนรมิต ศรีเมือง เล่าว่า เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจของตนเองที่ความรู้น้อย เวลาไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนแบบคนอื่น ต้องใช้วิธีบวชเรียนโดยบวชเณร 8 ปี และบวชพระ 8 ปี รวมเป็น 16 ปี หากถามว่าทำไมไม่บวชเป็นพระไปตลอด เพราะตนเองต้องการตามหาพ่อกับแม่ที่แยกทางกัน จึงตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ ก่อนจะเจอคุณพ่อ จากนั้นตนเองได้ไปสมัครงานแต่ไม่มีใครรับ เพราะจบเพียง ป.6 เลยตัดสินใจกลับไปบวชพระที่บ้าน และกลับไปนั่งทบทวน



จนมีอยู่วันหนึ่งตนเองได้มีโอกาสไปช่วยเหลือสัปเหร่อทำศพพอเสร็จงานก็ได้เงิน 5 บาท ซึ่งตอนนั้นเป็นเงินที่หาได้มากที่สุดในชีวิต ถือเป็นการจุดประกายความคิดว่าถ้าตนเองทำงานจะได้เงินเพื่อไปตามหาแม่ และจากนั้นตนเองก็เริ่มเรียนรู้งานสัปเหร่อเรื่อย ๆ มา ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการห่อศพ มัดตราสัง บทสวดต่าง ๆ จนช่ำชองจนกลายเป็นสัปเหร่อเต็มตัว ส่วนเรื่องค่าแรงก็แล้วแต่คนให้แต่ถ้าคนไม่ให้ก็ไม่เป็นไร ปัจจุบันตนเองเก็บใบมรณบัตรที่เคยทำศพมาแล้วกว่า 1 หมื่นรายไม่รวมกรณีที่ไม่เก็บไว้อีกรวมทั้งหมดประมาณเกือบ 2 หมื่น

ทั้งนี้เนรมิต ศรีเมือง เล่าต่อว่า การที่ตนเองลุกขึ้นมาใส่สูททำอาชีพนี้เพราะต้องการยกระดับอาชีพสัปเหร่อให้เป็นมาตรฐานที่ทุกคนยอมรับ และสัปเหร่อก็แปลว่า คนดี ซึ่งตนเองมีสโลแกนส่วนตัวว่า ใส่สูท ผูกไท ไดร์ฟกอล์ฟ เผาศพ ขับเบนซ์ เพราะที่ผ่านมาถูกคนดูถูก ดูแคลน มาเยอะ แต่หลังจากลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองก็ชีวิตเปลี่ยน รวมทั้งตอนนี้ตนเองก็รับเป็นที่ปรึกษาเรื่องงานมงคลอีกด้วย ส่วนรายได้ต่อเดือนตอนนี้หากรู้จักเก็บต่อเดือนก็ได้ประมาณ 5-6 หลัก เลยทีเดียว


ชมคลิปได้ที่
https://youtu.be/gnnM_TG_djU
https://youtu.be/R6Mw-GoaAd4
https://youtu.be/2kdrPck-_8A
ภาพจาก BRIGHT TV
ที่มา http://hilight.kapook.com/view/130481
11975  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไมต้องเซลฟี้ (Selfie) เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 08:23:52 am


ทำไมต้องเซลฟี้ (Selfie)

คำว่า “เซลฟี (Selfie)” แท้จริงแล้วไม่ได้มีความหมายในแง่ลบ แต่หมายถึงการถ่ายรูปตัวเองแล้วอัปโหลดรูปนั้นผ่านทางเครือข่ายออนไลน์ ซึ่งนักวิชาการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะบอกว่าถือเป็นเรื่องที่ทำปกติ ไม่ได้เป็นพฤติกรรมที่ผิดแปลกอะไร แต่เมื่อใดก็ตามที่พฤติกรรม “เซลฟี” กลายเป็น “เสพติดเซลฟี” ความบันเทิงก็จะกลายเป็นโทษทันที
     
“คนที่มีพฤติกรรมเสพติดแบบนี้ สามารถพิจารณาดูได้ง่ายๆ เลยคือ
     1. ทุกครั้งที่โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย จะมีแต่รูปตัวคุณเองเท่านั้น
     2. ทุกครั้งที่โพสต์จะพยายามหามุมที่คิดว่าตัวเองดูดีที่สุด จะนำเสนอเพียงแค่บุคลิกบ้างด้านของตัวเองเท่านั้น นอกนั้นจะไม่ยอมลงภาพเลย ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ เพราะปกติแล้วคนเราเวลาถ่ายภาพ หรือให้คนอื่นถ่ายให้ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีหน้าในหลายๆ มุมปนกันไป
     3. หลังจากแต่งรูปและโพสต์ลงไปแล้ว จะมีอาการใจจดใจจ่อ เฝ้ารอการกดไลค์ การคอมเมนต์จากเพื่อนๆ
     4. คอมเมนต์เหล่านั้นส่งผลให้มีความสุข หรือถ้ามีคนคอมเมนต์ไปในทางที่ไม่ดี จะเก็บเอาคำพูดเหล่านั้นไปวิตกจริต

    ทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมของคนเสพติดเซลฟี ซึ่งส่งผลให้หลายๆ คนก้าวเข้าไปสู่พฤติกรรมข้อต่อไปคือ
     5. เซลฟีในสถานที่ที่อันตราย ข้อนี้สังคมอเมริกาจะเป็นกันเยอะ เช่น มีการเซลฟีบนตึกสูง ยอมเสี่ยงตายหรือถ่ายคู่กับสถานการณ์ระทึกใจ เช่น เข้าบ้านผีสิง มีแม้กระทั่งถ่ายตัวเองกับภาพเหตุการณ์ คนกำลังจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ฯลฯ จนทำให้เกิดฟีดแบ็กประณามกลับมายังคนที่เซลฟีในหลายๆ ครั้ง

       

   


    มีเด็กชายชาวอังกฤษอายุ 11 ขวบ เขาเสพติดเซลฟีมาก หมกมุ่นกับการถ่ายเซลฟีให้ออกมาให้ดีที่สุดกระทั่งไปยอมไปโรงเรียน ใช้เวลาถึง 7-8 ชั่วโมงต่อวันเพื่อหามุม หาโลเกชันเพื่อให้ได้รูปเซลฟีที่ดีที่สุด เด็กคนนี้ต้องตกอยู่ในอาการกังวลใจ เพราะถ่ายเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้สึกว่ามีรูปเซลฟีที่ดีที่สุดซักที พอหนักๆ เข้าก็เอาแต่ถ่ายจนไม่ไปโรงเรียน ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าจนพยายามฆ่าตัวตาย
       
    นี่คือตัวอย่างของคนเป็นโรคจิตเสพติดเซลฟี เรียกว่าเป็นโรค Narcissistic หรือโรคหลงตัวเอง ถือเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมของคนสมัยนี้ครับ คือไม่ใช่แค่เซลฟีแต่พยายามบอกเล่าเรื่องราวตัวเอง จนทำให้กลายเป็นคนที่หลงตัวเองมากขึ้น อาจเป็นผลมาจากการเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเองต่ำ เลยต้องใช้เซลฟีเข้ามาเป็นกิจกรรมในการสร้างตัวตน สร้างความแปลกแตกต่าง จนนำไปสู่การเซลฟีดึงดูดความสนใจด้วยสถานที่อันตรายต่างๆ นานา เช่น เซลฟีที่ยอดตึกสูง,สถานที่ต้องห้าม, เหตุการณ์ชวนขนหัวลุก แบบนี้จะเรียกว่าเป็นพวก “Danger Selfie”
จะชอบเซลฟีสิ่งผิดปกติไปจากชีวิตจริง ซึ่งกลุ่มนี้แหละที่จะมีความเสี่ยงสูง และเท่าที่ติดตามข่าวมาก็พบว่า หลายรายเสียชีวิตเพราะเซลฟีแบบนี้


       :41: :41: :41: :41: :41:
               
     ตอนนี้ ยังไม่มีตัวเลขระบุแน่ชัดนะครับว่าเซลฟีแบบไหนที่เรียกว่ามากเกินไป แต่ถ้าทุกครั้งที่ถ่ายรูปแล้วมีแต่รูปเซลฟี แสดงว่าเราเริ่มที่จะหลงตัวเองละ และทุกๆ ครั้งที่เราโพสต์รูปเซลฟีและเริ่มมีอาการเฝ้ารอเฝ้าคอยอย่างใจจดใจจ่อ แสดงว่าเริ่มมีอาการเสพติดเซลฟี เสพติดไลค์ เสพติดความคิดเห็น และถ้าความคิดเห็นเหล่านั้นทำให้รู้สึกดีใจมากขึ้น หรือถูกต้องมากขึ้นต่อความคิดเห็นที่คนอื่นแสดงออกต่อรูปเรา แสดงว่าเรามีอาการหนักตรงที่ถือเอาความคิดเห็นตรงนั้น เป็นเรื่องจริงจังมากเกินไป บางคนกลายเป็นภาวะซึมเศร้าเลยนะครับ
       
    เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของวัยรุ่นไทยตอนนี้เลย อาการเสพติดยอดไลค์ เวลามีคนไลค์เยอะๆ จะรู้สึกว่าได้รับการยอมรับ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลอกลวงมากเพราะในโลกของโซเชียลมีเดียมันง่ายมากที่จะกดไลค์ เทียบกับการได้รับการยอมรับในชีวิตจริงแล้ว มันคนละเรื่องกันเลย หลายคนถือเอายอดไลค์เป็นเครื่องชี้วัดการยอมรับตัวตนทางสังคมซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดมากๆ เพราะการสร้างสถานภาพทางสังคมยังทำได้อีกหลากหลายวิธี”



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.kunkroo.com/catalog.php?idp=266
11976  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 เหตุผลที่บ่งบอกว่า "คุณเป็นคนเสพติดเฟซบุ๊ก" เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 08:12:26 am

5 เหตุผลที่บ่งบอกว่า "คุณเป็นคนเสพติดเฟซบุ๊ก"

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนล ค้นพบ 5 เหตุผลที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นเสพติดการเล่นเฟซบุ๊ก ด้วยการให้อาสามัครเลิกเล่นเฟซบุ๊กเป็นเวลา 3 เดือน และนักวิจัยติดตามผลพบว่ามีอาสาสมัครจำนวนหนึ่งแอบกลับไปเปิดเฟซบุ๊กเล่น

 ans1 ans1 ans1 ans1

นี่คือเหตุผลที่พวกเขากลับไปเล่นเฟซบุ๊กอีกทั้งๆที่สัญญาว่าจะเลิกเล่นเป็นเวลา 3 เดือน

1. ใช้เฟซบุ๊กเป็นที่กำหนดภาพลักษณ์ของตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นในเฟซบุ๊ก ทำให้พวกเขาขาดเฟซบุ๊กไม่ได้

2. ใช้โซเชียลมีเดียเฟซบุ๊กเพียงอย่างเดียว ไม่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างอื่น เช่น ทวิตเตอร์ คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มผิดสัญญาแล้วกลับเล่นเฟซบุ๊กก่อนกำหนด

3. ยิ่งคิดว่าเฟซบุ๊กเป็นสิ่งเสพติด คนคนนั้นก็มีโอกาสกลับไปเล่นเฟซบุ๊กได้มากกว่าคนอื่นๆ

4. ใช้เฟซบุ๊กเป็นที่ระบายอารมณ์ โดยเฉพาะวันไหนที่อารมณ์ไม่ดี เฟซบุ๊กจะเหมือนห้องน้ำดีๆ ไว้ให้คอยระบายทุกสิ่งทุกอย่าง

5. คอยกังวลกับข้อมูลตัวเองที่อยู่ในเฟซบุ๊กจะถูกขโมยไปหรือถูกสอดแนม ถ้าหากคำตอบคือไม่กังวลกับเรื่องนี้เลย พวกเขาจะมีความอยากออนเฟซบุ๊กอยู่เสมอ



ขอบคุณภาพแดละบทความจาก
Source : Metro
http://campus.sanook.com/1380055/
11977  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นมัสการเกจิดัง ชมสถาปัตย์อีสาน รับตะวันใหม่ '59 ที่ ‘อุบลราชธานี’ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 08:07:44 am



นมัสการเกจิดัง ชมสถาปัตย์อีสาน รับตะวันใหม่ '59 ที่ ‘อุบลราชธานี’

ประวัติศาสตร์การก่อร่างสร้างเมืองที่ยาวนานกว่า 223 ปี ทำให้ที่นี่เคยเป็นเมืองหลักของมณฑลอีสาน ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็น “เมืองนักปราชญ์” เพราะเป็นถิ่นเกิดของเกจิและอริยสงฆ์หลายรูป

ถิ่นบัวงามนาม “อุบลราชธานี” จังหวัดเดียวที่ลงท้ายด้วยคำว่า “ราชธานี” พื้นที่ครอบคลุมที่ราบและแม่น้ำสายสำคัญของภาคอีสานถึง 3 สายด้วยกัน คือ แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง อีกทั้งยังมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่มีกำเนิดจากเทือกเขาในพื้นที่หลายสาย อุบลราชธานีจึงเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี สมกับที่ได้ชื่อ ว่าเป็น “เมืองคนดี” โดยมี “อนุสรณ์แห่งความดี” (Monument of merit) สัญลักษณ์การันตีที่ลูกหลานอดีตเชลยศึก และอดีตทหารเชลยศึก ในสงครามมหาเอเชียบูรพาร่วมสร้างไว้ให้เป็นอนุสรณ์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงความดีจากการเข้าช่วยเหลือทหารพันธมิตรซึ่งเป็นเชลยศึกกองทัพญี่ปุ่น


 :49: :49: :49: :49:

ประวัติศาสตร์การก่อร่างสร้างเมืองที่ยาวนานกว่า 223 ปี ทำให้ที่นี่เคยเป็นเมืองหลักของมณฑลอีสาน ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็น “เมืองนักปราชญ์” เพราะเป็นถิ่นเกิดของเกจิและอริยสงฆ์หลายรูป มีสถาปัตยกรรมวัด โบสถ์ที่สวยงาม พุทธศาสนิกชนที่มีโอกาสมาเยือนจึงไม่พลาดที่จะแวะนมัสการรูปหล่อเหมือน “หลวงปู่ชา” พร้อมศึกษาคติธรรมที่ “วัดหนองป่าพง” แล้วเลยไปฟังธรรมะกับพระฝรั่งที่ “วัดป่านานาชาติ” วัดสาขาของวัดหนองป่าพงท่ามกลางธรรมชาติที่ร่มรื่นเงียบสงบ

มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอำเภอเมืองอุบลราชธานีไปนมัสการ “พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์” ที่จำลองมาจากเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 2 องค์ที่ “วัดพระธาตุหนองบัว” จากนั้นเดินทางไปชมความงามวิจิตรของ “สิมวัดแจ้ง” พุทธศิลป์ที่ถ่ายทอดให้เห็นผ่านสถาปัตยกรรมแบบอีสาน ซึ่งมีจำหลักไม้ที่อ่อนช้อยสวยงาม ทั้งนาคสะดุ้ง ช่อระกา หางหงส์ หน้าบันจกหลักรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ชม “หอไตรกลางน้ำ” แห่ง “วัดทุ่งศรีเมือง” สถาปัตยกรรมผสมไทย-ลาว-พม่า ที่เรียกได้ว่าสวยงามและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคอีสาน ซึ่งเคยได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่นมาแล้ว





ออกจากตัวเมืองอุบลราชธานีสู่อำเภอสิรินธรก่อนถึงชายแดนไทย-ลาวช่องเม็ก แวะขึ้นชมความงามของอุโบสถ “วัดภูพร้าว” หรือ “วัดสิรินธรวราราม” หรือ “วัดเรืองแสง” จำลองแบบมาจากวัดเชียงทอง สปป.ลาว ตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้มองเห็นไกลถึงอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิรินธร และพรมแดนช่องเม็ก ลงจากภูพร้าวเลยไปชอปปิงที่ตลาดช่องเม็กและข้ามฝั่งไป สปป.ลาวบ้านวังเต่า มีร้านค้าปลอดภาษีให้เลือกช้อป

วกกลับคืนทางลัดสู่ข้ามถนนหลัง “เขื่อนปากมูล” ผ่านสู่อำเภอโขงเจียม ประตูของถิ่นมหัศจรรย์แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของอุบลราชธานี โดยแวะ “วัดถ้ำคูหาสวรรค์” กราบนมัสการสรีระ “หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี” บรรจุในโลงแก้วภายในถ้ำขนาดใหญ่ จากจุดที่ตั้งของวัดสามารถมองเห็นทัศนียภาพอำเภอโขงเจียม และแม่น้ำโขงคดเคี้ยวออกจากไทยสู่ประเทศ สปป.ลาว ลงเขามุ่งสู่ตัวอำเภอโขงเจียมชมความงามจุดที่แม่น้ำมูลไหลลงเชื่อมประสานแม่น้ำโขงเกิดปรากฏการณ์ “แม่น้ำสองสี” ที่ดอนด่าน ผู้คนมักเรียกว่า “โขงสีปูน มูลสีคราม”


 :welcome: :welcome: :welcome: :welcome:

จากตัวอำเภอโขงเจียมไปตามถนนยุทธศาสตร์ผ่านเข้าแวะชมภาพเขียนประวัติ ศาสตร์ 4000 ปีที่ “อุทยานผาแต้ม” ชมทัศนียภาพสองฝั่งโขงที่มองจากหน้าผาลานผาแต้ม ที่จุดนี้สามารถตั้งเต็นท์เพื่อรอชมความงามทะเลหมอกยามเช้าที่ลานผาแต้ม-ผาหมอน พร้อมรับแสงแรกแห่งอรุณเสริมสิริมงคลแก่ชีวิตตนเอง นอกจากนี้ยังมี น้ำตกสร้อยสวรรค์, น้ำตกทุ่งนาเมือง, น้ำตกลงรู หรือน้ำตกแสงจันทร์ และเถาวัลย์ยักษ์ เถาว์สะบ้าป่าที่เกี่ยวพันกันเป็นเกลียวมีขนาดใหญ่โต กว่า 90 ซม. ความยาวของเถาวัลย์กว่า 1 กิโลเมตรว่ากันว่ามีอายุกว่า 400 ปี

ลึกเข้าไปสู่ “ป่าดงนาทาม” เพชรเม็ดงามของเมืองอุบลราชธานี เหมาะกับผู้ชอบท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ตื่นเช้าชมทะเลหมอก พร้อมชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยามที่ “ผาชะนะได” ผืนดินตะวันออกสุดของไทยมีมนต์เสน่ห์ของหินรูปทรงแปลกตาอย่างเสาเฉลียงและหินรูปร่าง ต่าง ๆ ตามจินตนาการ, น้ำตก, ทุ่งดอกไม้ป่า





เดินทางต่อเข้าสู่เขต “อุทยานธรณีผาชัน สามพันโบก” ลักษณะธรณีวิทยาประกอบด้วยหินตะกอนยุคจูแรสซิก ถึงตะกอนร่วนยุคควอ เทอร์นารี นับอายุถึงปัจจุบันกว่า 200 ล้านปี ก่อนให้เกิดผาหินและเนินเขารูปทรงแปลกตา เริ่มจาก “ภูสมุย” ชมความงามพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น และทัศนียภาพที่สวยงามยามเช้า ช่วงเทศกาลปีใหม่ อบต.สำโรง มีการจัดกิจกรรม “นอนภูดูดาวที่ภูสมุย” พร้อมชมความมหัศจรรย์ “เสาเฉลียงยักษ์” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และดูร่องรอยการเก็บศพคนโบราณระดับผู้นำกลุ่มที่ “ภูโลง” และล่องเรือชมทัศนียภาพ 2 ฝั่งของหน้าผาสูงชันริมฝั่งแม่น้ำโขง และมหัศจรรย์ธรรมชาติของหน้าผา “สามหมื่นรู”

ออกจากบ้านผาชัน ไปตามถนนยุทธศาสตร์ระยะทาง 16 กิโลเมตรถึงบ้านโป่งเป้า อำเภอโพธิ์ไทร แวะเข้าชมแหล่งมหัศจรรย์เวิ้งแม่น้ำโขงยามสายน้ำโขงลดขอดในร่องน้ำลึก ปรากฏหินที่มีรูปร่างแปลกตามากมายด้วยรู หลุม บนแผ่นหินในแม่น้ำโขง “สามพันโบก” ที่น้ำใสเขียวดั่งมรกต ขังตามหลุมแอ่ง ดูสวยงาม ทั้งสระอโนดาต, สระน้ำมรกต, โบกรูปหัวใจคู่ , โบกมิคกี้เมาส์, หินหัวสุนัข เป็นต้น พร้อมถ่ายรูปตะวันยามเช้าและเย็น


 like1 like1 like1 like1

กลับเข้าสู่ตัวเมืองอุบลราชธานีก่อนจากอย่าลืมแวะ พิพิธภัณฑ์ภาพสามมิติ “Country of Art 3 D Gallery” แกลเลอรี่ภาพ 3 มิติที่ใหญ่ที่สุดพร้อมภาพแหล่งท่องเที่ยวสำคัญไทยและต่างประเทศ และอื่น ๆ รวมกว่า 400 ภาพ อยู่ริมถนนทางเข้าสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี.




เรื่องกิน เรื่องใหญ่

อุบลราชธานีมีอาหารหลากหลายรูปแบบไว้ให้ได้เลือกลิ้มรส ทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเช้าแบบเบา ๆ อาหารอีสานพื้นบ้านขึ้นชื่อ เริ่มต้นเช้า ๆ ในตัวเมืองที่ “ร้านสามชัย” มีอยู่ 2 สาขา หน้าศาลจังหวัด ถนนผาแดง และเยื้องจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ถนนเทพโยธี เมนูแนะนำยามเช้าสำหรับคอกาแฟ คือ กาแฟโบราณกับชาอู่หลงอุ่น ๆ ทานกับข้าวต้มทรงเครื่องตามสั่ง, โจ๊ก, ต้มเลือดหมูดัง, กวยจั๊บญวน, ไข่กระทะร้อน ๆ เสิร์ฟคู่กับขนมปังไส้กุนเชียง-หมูยอ ความพิเศษของที่นี่นอกจากกาแฟคั่วเองแล้ว กุนเชียงและหมูยอ ก็ผลิตเองจากโรงงานสามชัยกรุ๊ป

ท่านที่เน้นอาหารสุขภาพแนะนำ “ร้านครัวเช้า” อาหารหลากหลายเน้นส่วนปรุงที่เป็นพืชผักและธัญพืช ส่วนประกอบหลักคือ “สำรอง” หรือ “หมากจอง” ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เมนูเด่นที่อยากแนะนำคือ ชุดโจ๊ก 9 ทรัพย์ ประกอบด้วยโจ๊กข้าว organic 5 สายพันธุ์, น้ำลูกสำรอง, ซุปลูกสำรอง ที่มีเห็ด 3 เซียน, ธัญพืช (ข้าวโพด, ถั่ว, แครอท) และลอยแก้วลูกสำรอง มีทั้งร้อนและเย็น เป็นขนมหวาน

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

หากชอบอาหารเวียดนามแนะนำ “อินโดจีน” ร้านที่เก่าแก่มีชื่อมานาน ตั้งอยู่ถนนสรรพสิทธิ์ อาหารแนะนำ ยำหัวปลี ใช้ปลีกล้วยตานีเสิร์ฟคู่กับข้าวเกรียบงา, กุ้งพันอ้อย, ขนมถ้วยญวน และ แนมเหนือง หรือ แหนมเนือง พิเศษตรงหมูปั้นย่างถ่าน แผ่นแหนมเนืองหรือเปาะเปี๊ยะบางนุ่ม น้ำจิ้มอร่อย ทานกับผักพื้นบ้านหลากหลาย

ใครที่อยากลิ้มรสอาหารอีสานแนะนำ “ร้านส้มตำจินดา” ตั้งอยู่หน้าโรงแรมลายทอง มีส้มตำหลากหลายเมนู เช่น ตำป่า, ตำถั่วหมูกรอบ, ตำปูหมูยอ ปลาร้าของร้านสั่งผลิตโดยเฉพาะและเคี่ยวจนหมดกลิ่นปลาร้า นอกนั้นยังมีเมนูปลา เช่น ต้มปลาคังใส่ผักขะแยง, อู๋หน่อไม้พุงปลา, ลาบปลาคัง, ลาบเป็ด

 :88: :88: :88: :88:

ออกไปที่โขงเจียม อาหารปลาสด ๆ จากแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขงแนะนำ “ร้านอาหารแม่น้ำสองสี” ร้านอาหารแพลอยน้ำริมแม่โขงหน้าที่ว่าการอำเภอ เมนูปลาหลากหลาย พร้อมเมนูแนะนำ กุ้งแม่น้ำมูลเผา, กุ้งแม่น้ำมูลอบเกลือ, ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม, ยำ18 มงกุฎ และปลาบึกผัดฉ่า อิ่มแล้วจะข้ามไปเที่ยวบ้านใหม่สิงสำพัน เมืองชนะสมบูรณ์ แขวงจำปาสัก สปป.ลาว จ่ายค่าเรือคนละ 45 บาท ก็ไปได้ทันที.





ข้าวฮาง ผ้าไหม เชี่ยนหมาก กะไหล่ทอง..ของฝากจากภูมิปัญญา

มูยอ หมูหยองอาจจะเป็นของฝากขึ้นชื่อที่ใครมาถึงอุบลฯ ต้องไม่พลาดซื้อกลับไป แต่ที่นี่ยังมีของฝากโอทอประดับ 5 ดาว อย่าง “ข้าวฮางงอกอินทรีย์” ของ กลุ่มเกษตรอินทรีย์ชีวภาพศรีวิสุทธิ์ (ศูนย์เรียนรู้การเกษตรแบบธรรมชาติไร้สารเคมี) อำเภอวารินชำราบด้วย ซึ่งคัดเฉพาะพันธุ์ข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการโดดเด่นแตกต่างกันมาผสมกันจนได้สายพันธุ์ใหม่ ที่มีความหอม นุ่ม อร่อย เหมาะสำหรับผู้ป่วย ผู้สูงวัย เด็กและสตรีมีครรภ์

“เทียนหอม” สินค้าโอทอประดับ 3 ดาวของ กลุ่มผลิตภัณฑ์เทียนหอมเดชอุดม โดดเด่นตรงการประดิษฐ์เป็นรูปดอกไม้ช่อดอกไม้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สมจริง โดยเฉพาะขอบและเส้นใยที่ทำขึ้นอย่างละเอียดของใบและดอก สามารถจุดได้จริงส่งกลิ่นหอมไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ


 :49: :49: :49: :49:

ส่วนผู้ที่มองหาผ้าไหม “ผ้าไหมและเสื้อสำเร็จรูป” ร้านอุบลกาญจน์ไหมไทย ต.บุ่งมะแลง อ.สว่างวีระวงศ์ สินค้าระดับ 4 ดาว มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผ้าเมืองอุบลคือ “ผ้าไหมกาบบัว” ขณะที่ “ผ้าย้อมคราม” สินค้าระดับ 5 ดาวของ นายสุพัฒน์ สมเสนาะ บ้านห้วยสะคาม อ.โขงเจียม เป็นผ้าฝ้ายทอมือที่มีความโดดเด่นเพราะย้อมด้วยสีธรรมชาติจากเปลือกไม้ที่ให้สีต่าง ๆ ถือเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งเดียวของอุบลราชธานี

“ชุดเชี่ยนหมากทองเหลืองบ้านปะอาว” ของฝากที่มีเสน่ห์และคุณค่าทางศิลปะประดิษฐ์เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ชิ้นงานประกอบชุดเชี่ยนหมากใช้กรรมวิธีการหล่อแบบขี้ผึ้งหาย (Wax Loss) หลังจากการหล่อแล้วนำมาตกแต่งผิวและลวดลายด้วยกรรมวิธีการ “เสี่ยน” หรือการกลึงแบบโบราณ





สำหรับคนชอบเครื่องประดับ “เครื่องประดับกะไหล่ทอง” โอทอประดับ 5 ดาวของ กลุ่มเครื่องประดับชุบเงินชุบทอง บ้านก่อเอ้ อ.เขื่องใน ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลวดลายประณีตสวยงาม เป็นเครื่องประดับแบบโบราณของชน “เผ่ากุลา” ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการทำเครื่องประดับทองที่สืบทอดต่อกันมา นอกจากนี้ยังมี “ภาพเขียนไทย” โอทอประดับ 4 ดาว ของ กลุ่มศูนย์อนุรักษ์ภาพเขียนไทย ต.ยาง อ.น้ำยืน ภาพเขียนสีน้ำบนผืนผ้าเกี่ยวกับพุทธประวัติในวรรณคดี เช่น กินนรีเล่นน้ำ, รามเกียรติ์ เป็นต้น

ผู้มองหาอาหารสุขภาพ ของฝากที่ควรพิจารณาคือ “หมากจอง” หรือ “สำรอง” สินค้าโอทอป ระดับ 3 ดาว ของ ร้านคุณเบลล์ โดย คุณกัลยา ชื่นไมตรี เนื้อสำรอง 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถนำไปรับประทานสดหรือนำไปปรุงแต่งเป็นอาหาร ขนมหวาน ได้ตามใจชอบ สนนราคา 120-450 บาทต่อกล่อง และที่นี่มี “ข้าวกล้องสวรรค์” ซึ่งเป็นข้าวสารผลิตจากข้าวอินทรีย์ 5 สายพันธุ์มีคุณค่าทางอาหาร

นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถขอข้อมูลได้ที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี.


ทวีศักดิ์ บุตรจันทร์



ขอบคุณภาพและบทความจาก : http://www.dailynews.co.th/article/367178
11978  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รวบทิดสึกใหม่ ลักย่ามเจ้าคณะต.บางระกำ ได้ทรัพย์กว่าแสน เจ้าทุกข์เทศน์ให้อโหสิ เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:23:52 pm



รวบทิดสึกใหม่ ลักย่ามเจ้าคณะต.บางระกำ ได้ทรัพย์กว่าแสน เจ้าทุกข์เทศน์ให้อโหสิ

(21 ธันวาคม) เมื่อเวลา 11.00 น. นายชัยพร กลมกล่อม กำนันตำบลบางระกำ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยกำลังทหาร จากกองพันทหารม้าที่ 24 รักษาพระองค์ และตำรวจชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรนครหลวง จู่โจมเข้าตรวจค้น ในบ้านพักเลขที่ 65 หมู่ที่ 5 ตำบลปากจั่น อำเภอนครหลวง ของนายธีระภัทร์ ซึ่งเป็นทิดสึกใหม่ สภาพผมบนศีรษะเพิ่งจะขึ้น

เจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบย่ามพระ 1 ใบในบ้าน ภายในมีเงินสดจำนวน 76,980 บาท พระเครื่องราคาดีจำนวนมาก สร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท สมุดเงินฝากธนาคาร บัตร ATM จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำพร้อมตั้งข้อหาลักทรัพย์


 :96: :96: :96: :96:

พระครูฐิติญาณวิสุทธิ์ เจ้าคณะตำบลบางระกำ และเป็นเจ้าอาวาสวัดบันได ซึ่งเป็นเจ้าทุกข์เปิดเผยว่า เคยเป็นพระอุปัชฌาย์ ให้นายธีระภัทร์ บวชเป็นพระสงฆ์ 1 พรรษาที่วัด เพิ่งจะสึกไปเมื่อก่อนลอยกระทงที่ผ่านมา และช่วงบวชเรียนก็ปฏิบัติดีมาโดยตลอด จนตั้งให้เป็นพระผู้ช่วยติดตามงานของวัด และเมื่อสึกออกไปแล้ว ไม่คิดว่าจะย้อนกลับมาก่อเหตุ ที่บาปกรรมเช่นนี้

โดยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ขณะนำพระสงฆ์นั่งรถออกไปเพื่อบิณฑบาต และเมื่อลงจากรถเพื่อเดินบิณฑบาต อาตมาเองได้วางย่ามไว้บนรถยนต์ แต่นายธีระภัทร์ได้แอบฉวยโอกาสเข้ามาโจรกรรมไป โชคดีกล้องวงจรปิดริมถนน สามารถบันทึกภาพเป็นหลักฐานได้

 :25: :25: :25: :25:

ขณะที่นายไพรัตน์ เพชรยวน นายอำเภอนครหลวง ได้มาร่วมสอบปากคำผู้ต้องหาซึ่งให้การรับสารภาพว่า ได้ลักย่ามพระจริง เพราะหลังจากสึกไปแล้ว ไม่ได้ทำงาน โดยรอให้เกณฑ์ทหารในหน้าร้อนปี 2559 เสียก่อน จึงจะหางานทำ แต่ยืนยันว่าตนเองไม่ได้ติดยาเสพติด และช่วงนี้ไม่มีเงินติดตัวเลย ด้วยช่วงบวชเป็นพระมีเงินเก็บบ้างแต่นำไปเที่ยวช่วงลอยกระทงหมดแล้ว

และมาช่วงนี้จะใกล้ปีใหม่ ไม่รู้จะหาเงินจากไหน คิดได้ว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาส เวลาคนขับรถพาพระไปบิณฑบาต ทุกคนและทุกรูปจะลงจากรถ โดยไม่ได้ล็อกรถยนต์ และเจ้าอาวาสจะวางย่ามไว้ทุกครั้ง จึงเห็นเป็นโอกาสปลอดคนจึงลักย่ามพระ แต่ลักมาได้เข้าวันที่ 3 แล้ว ยังไม่กล้าเอาเงินที่ลักมาไปใช้แม้แต่บาทเดียว เพราะรอใช้ช่วงปีใหม่


 st12 st12 st12 st12

อย่างไรก็ตาม พระครูฐิติญาณวิสุทธิ์ เจ้าคณะตำบลบางระกำ ได้เทศนากับผู้ต้องหาว่า ให้อโหสิกรรม แต่ทางกฎหมายก็มอบหมายให้ตำรวจดำเนินการไป ซึ่งมั่นใจว่าผู้ต้องหาเอง น่าจะสำนึกผิดชอบชั่วดี เพราะช่วงบวชเรียน 1 พรรษาที่ผ่านมา ก็สามารถสอบนักธรรมตรีได้ ถือว่าเรียนเก่ง คงจะทราบถึงบาปกรรมในสิ่งที่ทำไปแล้ว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://news.sanook.com/1918242/
11979  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัญเชิญอัฐิสังฆราชลาว ประดิษฐานที่ วัดองค์ตื้อมหาวิหาร เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:20:39 pm


อัฐิธาตุตั้งที่ศาลาโรงธรรม วัดองค์ตื้อมหาวิหาร เมืองจันทะบุรี

อัญเชิญอัฐิสังฆราชลาว ประดิษฐานที่ วัดองค์ตื้อมหาวิหาร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อราวเที่ยงคืนที่ผ่านมา (20 ธันวาคม) ได้มีพิธีถายเพลิงพระสรีระพระอาจารย์ใหญ่ ดร.มหาผ่อง ปิยะทีโร (สะมาเลิก) (พระสังฆราชลาวรูปที่ 4) อดีตประธานองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว(อพส.) อดีตเจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อ นครหลวงเวียงจันทน์ ณ พระเมรุ ลานวัดพระธาตุหลวง จากนั้นมีการอัญเชิญอัฐิธาตุมาตั้งที่ศาลาโรงธรรม วัดองค์ตื้อมหาวิหาร

สำหรับชีวประวัติของพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่อง เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2459 ที่ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ประเทศไทย ได้บรรพชาและอุปสมบทที่วัดโพธิ์ศรี อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2479 และได้เข้ามาจำพรรษาที่วัดชนะสงคราม บางลำพู โดยญาติพี่น้องได้สำทับว่า หากไม่ได้เป็นมหาเปรียญ อย่าได้กลับ จ.อุบลราชธานี ท่านจึงทุ่มเทเรียนปริยัติธรรมที่วัดชนะสงครามอย่างเต็มที่ จนสามารถสอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค เข้ารับพระราชทานพัดเปรียญจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ใน พ.ศ. 2489

จากนั้นได้ทำหน้าที่สอนพระปริยัติธรรมที่วัดชนะสงครามอีก 6 ปี รวมเวลาที่เป็นนักเรียนและครูที่วัดชนะสงคราม 16 ปี หลังจากนั้นได้เข้าร่วมขบวนปลดปล่อยประเทศลาวอย่างเต็มตัว และอยู่ฝั่ง สปป.ลาว นับตั้งแต่ พ.ศ.2495 เป็นต้นมา จนกระทั่ง พ.ศ.2498 จึงได้รับอาราธนาให้ไปสอนหนังสือที่วัดพระเจ้าองค์ตื้อ นครหลวงเวียงจันทน์  และ พ.ศ.2500 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะเมืองโพนทอง ครั้น พ.ศ.2515 จึงได้เลื่อนเป็นเจ้าคณะแขวงจำปาศักดิ์


พระอาจารย์มหางอน ดำลงบุญ(กลาง) ซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็น พระสังฆราชลาว รูปใหม่

ต่อมาในปี พ.ศ.2519 ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปดำรงตำแหน่งรองประธานศูนย์กลาง อพส. ประจำ ณ วัดพระเจ้าองค์ตื้อ นครหลวงเวียงจันทน์ ณ ที่แห่งนั้น ได้สร้างผลงานโดดเด่นขึ้นมาในโลกพระพุทธศาสนา คือการประสานงานรอมชอมพระสงฆ์ 2 นิกาย อันได้แก่ มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย ซึ่งแตกแยกมานาน ให้สมานฉันท์ไม่มีนิกายในลาว ในปีพ.ศ.2553 พระมหาวิจิตร วีรญาโณ (สิงหะราช) ประธานศูนย์กลาง อพส. รูปที่ 3 ได้ถึงแก่มรณภาพลง ท่านจึงได้รับการยกย่องขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศูนย์กลาง อพส. เป็นรูปที่ 4 ซึ่งตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชของไทย ในวันที่ 7 ตุลาคม 2558 เวลา 17.11 น. ท่านได้ละสังขารลง สิริรวมอายุ 100 ปี 6 เดือน 81 พรรษา





ชมคลิปข่าวได้ที่
https://youtu.be/SMkQT82omMc
https://youtu.be/z_eT00hne-w
ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450664639
(CR. ภาพ/คลิป จากพระอาจารย์พงศ์สวรรค์ อนุศิลป์ และ คุณประสาร กมลพุทธ)
11980  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กระทรวงวัฒนธรรม จัดของขวัญปีใหม่ ส่งสุขให้ประชาชน เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:14:51 pm



วธ.จัดของขวัญปีใหม่ส่งสุขให้ประชาชน

วธ.จัดของขวัญปีใหม่มอบความสุขให้ประชาชน เปิดสักการะพระพุทธรูปโบราณ 9 องค์ เปิดแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมให้ชมฟรี จับมือ ขสมก.จัดไหว้พระ 9 วัด สืบสิริสวัสดิ์ 9 รัชกาล พร้อมเปิดศูนย์ฮอตไลน์ประสานงานสวดมนต์ข้ามปี 58

วันนี้ (21 ธ.ค.) ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม(วธ.) เป็นประธานแถลงข่าวกิจกรรม “ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลไทยนำความเป็นไทยสู่ใจประชาชน” ว่า เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2559 วธ.จัดกิจกรรมพิเศษเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนในมิติศาสนา เพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวได้ใช้เวลาว่างในวันหยุดปีใหม่ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมะ เข้าวัดสวดมนต์ปฏิบัติธรรม ตลอดจนเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ทั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และอุทยานประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ วธ.ยังส่งเสริมการจัดการแสดงพื้นบ้าน การรณรงค์ใช้สินค้าไทยเพื่อส่งความสุขแบบไทย และการอวยพรปีใหม่ผ่านระบบออนไลน์ (ส.ค.ส. Online) ด้วย




นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่าในส่วนของกรมศิลปากรจัดกิจกรรม “ไหว้พระวังหน้าพระปฏิมาแห่งแผ่นดิน” โดยนำพระพุทธรูปมงคลโบราณที่มีประวัติความเป็นมาและสร้างขึ้นตามคติอันเป็นมงคล ที่พุทธศาสนิกชนไม่ค่อยได้มีโอกาสสักการะบูชา จำนวน 9 องค์ ออกให้กราบบูชาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ระหว่างวันที่25 ธ.ค. 2558 ถึง วันที่24 ม.ค. 2559 ประกอบด้วย

1. พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) กราบบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลและช่วยให้ประเทศชาติผ่านพ้นอวมงคลการต่างๆ
2. พระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 มีความหมายถึงธรรมอันเป็นแก่นสารยิ่งกว่าอำนาจแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
3.พระชัยเมืองนครราชสีมา พระพุทธรูปปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ศิลปะอยุธยาความหมายถึงชัยชนะขจัดอุปสรรคต่างๆ และอำนวยพรให้สำเร็จผล
4. พระพุทธรูปปางประทานธรรม ศิลปะอยุธยาหมายถึงการแสดงธรรม การหมุนวงล้อแห่งธรรมเพื่อเผยแผ่พระศาสนาอันเป็นพุทธกิจสำคัญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
5. พระพุทธรูปปางลองหนาวพระพุทธรูปสำริดประทับนั่ง ศิลปะล้านนา บูชาเพื่อระลึกถึงการประมาณตนการกำหนดความพอเพียง รู้จักความพอดี
6. พระพุทธรูปปางฉันสมอ ศิลปะรัตนโกสินทร์บูชาเพื่อให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
7. พระพุทธรูปปางโปรดมหิสสรเทพบุตร (พระศิวะ) เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติผู้ที่เคารพกราบไหว้ไม่อยู่ในความประมาท ขจัดมิจฉาทิฐิหรือความเห็นผิด
8. พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะรัตนโกสินทร์บูชาเพื่อเตือนสติให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะมีขันติ ความอดกลั้นปฏิบัติตามคำสอนและมีความเสงี่ยมเจียมตัว และ
9. พระพุทธปฏิมาปางขอฝนศิลปะรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่มีความสำคัญด้านศิลปกรรมและขนบประเพณีบูชาเพื่อความอุดมสมบูรณ์





นอกจากนี้กรมศิลปากร ยังได้เปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และอุทยานประวัติศาสตร์ทุกแห่งโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.58 ถึงวันที่ 5 ม.ค.59 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าชมโบราณวัตถุศิลปวัตถุชิ้นเยี่ยมภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ และมีโอกาสเที่ยวชมโบราณสถาน ตลอดจนศึกษาประวัติศาสตร์ทางด้านโบราณคดีภายในอุทยานประวัติศาสตร์ 9 แห่ง ได้แก่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ และอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท





นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา(ศน.)กล่าวว่า ในส่วนของ ศน.จัด 3 กิจกรรม สำคัญคือ 1.ไหว้พระ9 วัด สืบสิริสวัสดิ์ 9รัชกาล(วัดประจำรัชกาลที่ 1-9 ) ได้แก่

รัชกาลที่ 1วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
รัชกาลที่ 2วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
รัชกาลที่ 3 วัดราชโอรสาราม
รัชกาลที่ 4วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
รัชกาลที่ 5 วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
รัชกาลที่ 6วัดบวรนิเวศวิหาร
รัชกาลที่ 7 วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
รัชกาลที่ 8วัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร และ
รัชกาลที่ 9 วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก

โดยได้รับความร่วมมือจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) บริการรถโดยสารปรับอากาศ รับ-ส่ง ฟรีระหว่างวันที่31ธ.ค.58–3 ม.ค.59ตั้งแต่เวลา09.30-16.30น.2.สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย-ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธวันที่31 ธ.ค.58 ถึงวันที่1 ม.ค.59 เวลา 18.00-00.30 ณ วัดต่างๆทั่วประเทศและ3. พลัง“บวร”บ้าน-วัด-โรงเรียนโดยเชิญชวนชุมชนปั่นจักรยานไหว้พระรับฤดูหนาว เพื่อส่งเสริมการใช้จักรยานเป็นพาหนะในชีวิตประจำวันในการออกกำลังกายลดการใช้พลังงาน ลดมลพิษ ใน14 จังหวัด ระหว่างวันที่1-31ม.ค.59

 ans1 ans1 ans1 ans1

"ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานโครงการสวดมนต์ข้ามปี 2558 ทั้งระดับประเทศ และระดับจังหวัดเป็นครั้งแรก เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวเรื่องการเดินทาง พาหนะ ความปลอดภัย และการเจ็บป่วย พร้อมเปิดศูนย์ฮอตไลน์บริการ24ชั่วโมง ที่โทร.09-2446-8739และ 09-2446-8038" อธิบดีศน.กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/368434
11981  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พศ.จัดสวดมนต์ข้ามปี-เปิดพระอุโบสถ 24 ชั่วโมง เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:03:28 pm


พศ.จัดสวดมนต์ข้ามปี-เปิดพระอุโบสถ 24 ชั่วโมง

ศ.จัดสวดมนต์ข้ามปี วัดไทย-สำนักปฏิบัติธรรม-วัดทั่วโลก เกือบ 4 หมื่นวัด พร้อมเปิดพระอุโบสถ สถานที่ศักดิ์สิทธิภายในวัด 24 ชั่วโมงเพื่อให้ประชาชนกราบสักการะรับสิริมงคลปีใหม่
       
       วันนี้ (21 ธ.ค.) ที่หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ น.ส.ประนอม คงพิกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มอบโอวาทในการสวดมนต์ข้ามปี ว่า สวดมนต์ข้ามปี หลีกหนีภัยพาล ตั้งใจทำงาน สมานไมตรี เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ ทั้งนี้ ในการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี พศ. ร่วมกับมหาเถรสมาคม (มส.) วัด และสำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ จัดสวดมนต์วันที่ 31 ธ.ค. 58 - 1 มกราคม 59 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนลดละเลิกอบายมุข ถือศีลสวดมนต์ และเจริญจิตภาวนา


        :25: :25: :25: :25: :25:

       สำหรับกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนกลาง จัดวัดปากน้ำภาษีเจริญ โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเริ่มตั้งแต่เวลา 23.00 น. และที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เป็นประธาน สำหรับวัดนำร่องในกรุงเทพฯ 9 วัด ได้แก่ วัดไตรมิตรวิทยาราม วัดสัมพันธวงศาราม วัดเทพศิรินทราวาส วัดพิชยญาติการาม วัดยานนาวา วัดประยุรวงศาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ส่วนภูมิภาค จัดที่วัดกว่า 30,000 แห่ง และสำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ และวัดไทยในต่างประเทศกว่า 500 แห่งทั่วโลก

        st12 st12 st12 st12 st12

       " ในวาระสำคัญครั้งนี้ มส. มีมติให้ทุกวัดทั่วประเทศเปิดพระอุโบสถ วิหาร และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนได้กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว ต้อนรับปีใหม่ พร้อมกันนี้ พศ. ได้จัดพิมพ์หนังสือธรรมนูญชีวิต และจัดเตรียมน้ำพระพุทธมนต์ จำนวน 20,000 ชุด มอบให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ และพุทธมณฑล สำหรับผู้สนใจขอรับหนังสือสามารถส่งซองเปล่า ขนาดไม่น้อยกว่า 8x11 นิ้ว ติดแสตมป์ 30 บาท พร้อมจ่าหน้าซองถึงตัวท่านเอง และส่งมาที่ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตำบลศาลายา อ.พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร 0-2441-4554" น.ส.ประนอม กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000139683
11982  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ลุงคูณ" คนขับรถ"พระสังฆราช" เผย พระองค์ทรงโปรดปฏิบัติกรรมฐานภาคอีสาน เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:00:19 pm


"ลุงคูณ" คนขับรถ"พระสังฆราช" เผย พระองค์ทรงโปรดปฏิบัติกรรมฐานภาคอีสาน

นายสุภโชติ วงษ์ใหญ่(ลุงคูณ) อายุ 79 ปี ผู้เคยถวายงานขับรถให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กล่าวว่า ตนมาถวายงานขับรถให้สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 ซึ่งขณะนั้นสมเด็จพระสังฆราชดำรงสมณศักดิ์ที่พระโศภนคณาภรณ์ ในขณะที่ถวายงานพระองค์อย่างใกล้ชิด ได้เห็นพระจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ เช่น พระองค์ไม่เคยตำหนิลูกศิษย์  ไม่ถือพระองค์ อยู่อย่างเรียบง่าย ปฏิบัติศาสนกิจของพระสงฆ์ไม่เคยขาด และทรงเป็นพระที่เคร่งในพระวินัยมาก

นอกจากนี้ทรงโปรดการอ่านหนังสือและนั่งสมาธิปฏิบัติกรรมฐาน เห็นได้จากการที่พระองค์ทรงเสด็จไปวัดป่า ในแถบภาคอีสานเป็นประจำ เพื่อปฏิบัติกรรมฐานและถวายตนเป็นศิษย์กับพระเกจิหลายรูป อาทิ หลวงปู่คำดี ปัญโญภา หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นต้น


 :96: :96: :96: :96:

และในขณะถวายงานอยู่ในรถยนต์ที่ประทับ ตนได้สนทนาธรรมกับพระองค์หลายเรื่อง แต่เรื่องที่จำได้ไม่เคยลืม คือ เมื่อตนซื้อหวยแล้วตนพูดลอยๆ ว่า "วันนี้หวยออก ใกล้จะได้กินหวยแล้ว" พระองค์ตรัสขึ้นมาว่า "ใกล้จะได้กินหรือใกล้จะได้อด" และเมื่อตนบ่นว่า "เงินทองหายาก" พระองค์ตรัสถามว่า "เงินทองหายาก แล้วอะไรที่ยากกว่าการหา" และพระองค์ตรัสขึ้นมาอีกว่า "ยากกว่าการหา คือ การเก็บนั่นเอง"

"ในปีพ.ศ. 2532 หลังจากที่ สมเด็จพระสังฆราช ดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ผมไม่มีโอกาสถวายงานในการขับรถให้อีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามได้เข้ามาถวายงานอย่างอื่นแทนเป็นระยะๆ นับว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างมาก ที่ผมได้คอยถวายงานใกล้ชิดพระองค์" นายสุภโชติ กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450597825
11983  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เอวัง! กก.สอบลำพูน บุกดอยไซตรวจ 28 อรหันต์พันปี ยืนยันพระใหม่แฮนด์เมด เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 09:56:55 pm


เอวัง! กก.สอบลำพูน บุกดอยไซตรวจ 28 อรหันต์พันปี ยืนยันพระใหม่แฮนด์เมด

คณะกรรมการตรวจสอบของ จ.ลำพูน บุกดอยไซ สอบปากคำผู้ดูแลมูลนิธิฉาว พร้อมตรวจอรหันต์พันปี 28 องค์ ยืนยันเป็นพระใหม่ทำขึ้นเองแน่นอน ดูแค่ภายนอกก็รู้ เพราะสมัยโบราณไม่มีพระที่มีพุทธลักษณะแบบนี้...    

จากกรณีผู้นำหมู่บ้าน ชาวบ้าน และทนายความ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เหมืองจี้ อ.เมืองลำพูน ให้ตรวจสอบมูลนิธิอโศกมุนีแสงธรรม หรือกู่อรหันต์พันปี บ้านหนองไซ หมู่ 14 ต.ป่าสัก อ.เมืองลำพูน และให้ดำเนินคดีกับนายสินธพ ทรวงแก้ว ที่อ้างว่าเป็นผู้ดูแลมูลนิธิ มีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเกจิอาจารย์เขียนตำนานพระพุทธประวัติฉบับพิสดาร โน้มน้าวให้ผู้คนศรัทธาบริจาคเงิน ทั้งยังอ้างว่าเป็นผู้มีบุญบารมีเก็บพระอรหันต์ 28 องค์ พระพุทธรูปโบราณอายุพันกว่าปีที่สิงสถิตอยู่บนดอยไซแห่งนี้ แต่จากการตรวจสอบพบว่าน่าจะเป็นพระใหม่ อีกทั้งที่ตั้งของมูลนิธินั้นมีโฉนดที่ดินเพียง 5 ไร่เศษ แต่ครอบครองจริงเกือบ 7 ไร่ ส่วนหนึ่งจึงน่าจะเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า รวมถึงมีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน และฉ้อโกงด้วยนั้น


 :96: :96: :96: :96:

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 21 ธ.ค. คณะกรรมการตรวจสอบ ประกอบด้วย ตัวแทนปลัดจังหวัดลำพูน น.ส.นภัตสร ทองเจริญ ปลัดอำเภอเมืองลำพูน พ.อ.นพดล คามเกตุ ทหารจากกองกำลังรักษาความสงบจังหวัดลำพูน นางเบญจวรรณ พลประเสริฐ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เหมืองจี้ ได้เข้าทำการตรวจสอบ พร้อมสอบปากคำ นายสินธพ ทรวงแก้ว ผู้ดูแลมูลนิธิฯ ใช้เวลาร่วม 1 ชั่วโมง โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการตรวจสอบอีกชุด นำโดย นางเบญจวรรณ พลประเสริฐ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย พร้อมด้วยนายไพฑูรย์ รัตน์เลิศลบ วัฒธรรมจังหวัดลำพูน เข้าทำการตรวจสอบพระพุทธรูปของมูลนิธิฯ ที่อ้างว่าเป็นพระอรหันต์ ทั้งหมด 28 องค์ และเป็นพระโบราณเก่าแก่อายุนับพันปีสถิตอยู่บนดอยไซ รวมทั้งลูกแก้วที่วางอยู่ภายในตู้โชว์ ที่อ้างว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ


คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของจังหวัดลำพูนเข้าตรวจสอบ กู่อรหันต์พันปี บ้านหนองไซ หลังประชาชนร้องเรียน

นางเบญจวรรณ กล่าวภายหลังตรวจสอบว่า พระพุทธรูปทั้งหมด หลังจากที่ได้ดูและตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่พระพุทธรูปในประวัติศาสตร์หรืออรหันต์พันปี เนื่องจากในสมัยอดีตไม่มีพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะแบบนี้ และยืนยันว่าเป็นเพียงของใหม่ที่สร้างขึ้นมาเอง

ด้าน นายสินธพ ทรวงแก้ว ผู้ดูแลมูลนิธิฯ ได้ขอร้องไม่ให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ และขอไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่าวันนี้เจ้าหน้าที่มาสอบปากคำ และตรวจสอบด้วย แต่ตนไม่หนักใจอะไร.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/552181
11984  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มส.ตั้ง 'สมเด็จพระวันรัต' เจ้าอาวาสวัดบวรฯ-เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 09:53:36 pm


มส.ตั้ง 'สมเด็จพระวันรัต' เจ้าอาวาสวัดบวรฯ-เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต

มหาเถรสมาคม ยังไม่เสนอชื่อ "สมเด็จพระราชาคณะ" ให้ครม. ทูลเกล้าฯ ถวาย สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 พร้อมตั้ง "สมเด็จพระวันรัต" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรฯ-เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต...

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) โฆษกและกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ระบุในที่ประชุม มส. ยังไม่ได้กล่าวถึงการเสนอรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะทั้ง 8 รูป เข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 เพราะตามมารยาทแล้ว ต้องรอให้ผ่านพ้นงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไปช่วงหนึ่งก่อน 



ส่วนขั้นตอนการเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะนั้น ต้องให้ ครม.มีต้นเรื่องมาถึง มส. เพื่อให้ มส. เสนอรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะเข้า ครม. เพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย แต่ตามหลักปฏิบัติใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์แล้ว สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปมีสิทธิ์ในการเสนอชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แต่ตามหลักต้องเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสและสมณศักดิ์สูงสุด คือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นอันดับ 1


 :25: :25: :25: :25:

ด้าน นายประดับ โพธิกาญจนวัตร รองโฆษก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ที่ประชุม มส.มีมติเห็นชอบให้ สมเด็จพระวันรัต (จุนท์พฺรหฺมคุตโต) รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และรักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตตามที่คณะกรรมการคณะธรรมยุตเห็นชอบเสนอ เนื่องจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งทรงดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร และเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ได้สิ้นพระชนม์ลง

ทั้งนี้ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้ลงนามรับทราบและเห็นสมควรอย่างยิ่งในหนังสือที่กรรมการคณะธรรมยุตเสนอ โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/552210
11985  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กูเกิลเผย สุดยอดคำค้นหา ในไทย ประจำปี 58 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:27:28 am




กูเกิลเผย สุดยอดคำค้นหา ในไทย ประจำปี 58

กูเกิล เผยสุดยอดคำค้นหาประจำปี58 พบ "คอนเทนต์บันเทิง" ครอง 10 อันดับดาวรุ่งพุ่งแรงปีนี้ข่าว "แตงโม-แผ่นดินไหวเนปาล" ถูกค้นมากสุด

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. กูเกิล ประกาศสุดยอดคำค้นหาประจำปี 2558 พบว่า 10 อันดับคำค้นดาวรุ่งพุ่งเเรงประจำปีนี้ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องราวความสนใจในด้านบันเทิงทั้งสิ้น
    ตั้งเเต่ เพลงเชือกวิเศษ
    (https://www.youtube.com/watch?v=2dg9oc78Kv4)
    ของวงลาบานูน ที่กลายเป็นมิวสิควิดีโอในดวงใจเเละสร้างความประทับใจให้ผู้ฟังชาวไทยจำนวนมาก

    ขณะที่ซีรีส์ไทย 2 เรื่องที่มาแรงแซงโค้งจนติดอันดับในปีนี้ ได้เเก่ รักนะเป็ดโง่
    (https://www.youtube.com/playlist?list=PLszepnkojZI6yPRJswjTML0XgvPz-OR_7)
    ที่ได้เค้าโครงเรื่องมาจากนิยายขายดีของสำนักพิมพ์แจ่มใส นำเสนอเรื่องราววัยรุ่นไทยในวันนี้
    และเพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอน(https://www.youtube.com/playlist?list=PLZ4f-7Qgy3PYKT2XrMsjEhUD4WUuQGOmN)
    อีกหนึ่งซีรีส์แนวสยองขวัญที่ตีเเผ่ความลับในโรงเรียนที่ปกปิดไว้ จากฝีมือการสร้างและเขียนบทโดย13 ผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรงของจีทีเอช สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการค้นหาของคนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบการฟังเพลง เคียงคู่การชมซีรีส์ฮิตบนออนไลน์

 :49: :49: :49: :49:

นอกจากนี้ยังพบว่า คนไทยหันมาค้นหาข่าวสำคัญผ่านเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้นทุกปี  โดย ข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาล หรือล่าสุดเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายโจมตีกลางกรุงปารีส แต่ยังคงเกาะติดข่าวกอสซิปดาราอยู่ตลอด อย่าง ข่าวการแต่งงานของนางเอกสาว ชมพู่ อารยา ซุปตาร์ตัวแม่วงการบันเทิงไทยที่มีกระแสโด่งดังและได้รับความสนใจจากคนไทยอย่างมาก

ขณะที่ปีนี้สูตรอาหารถือเป็นกลุ่มใหม่ที่มาแรง โดยเมนูเด็ดที่มีการถูกค้นมากที่สุด ได้แก่ วุ้นเป็ด, หมูทอดน้ำปลาเเละ ยำมะนาว

นายภีท นุชนาฏนนท์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด Google ประเทศไทย กล่าวว่า คำค้นหาในปีนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยให้ความสนใจติดตามความเคลื่อนไหวรอบตัวทั้งภายในเเละต่างประเทศอยู่ตลอดเวลาเช่นเหตุการณ์เเผ่นดินไหวที่ประเทศเนปาลที่ได้รับความสนใจสูงสุดติดอันดับ 1 ของคำค้นหาดาวรุ่งพุ่งเเรงในหมวดข่าวต่างประเทศ เเต่ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมด้านความบันเทิงของไทยก็ยังฮิตและอยู่ในยุคเฟื่องฟู เหตุเพราะคนไทยเฝ้าติดตามผลงานการเเสดงละครเเละซีรีส์ต่างๆ รวมถึงรายการโชว์ดังๆ ที่พวกเขาชื่นชอบบนโลกออนไลน์


 ans1 ans1 ans1 ans1

คำค้นดาวรุ่งพุ่งแรงประจำปี (Desktop)
1. เชือกวิเศษ
2. รักนะเป็ดโง่
3. เพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอน
4. ทิ้งไว้กลางทาง
5. สุดแค้นแสนรัก
6. สงครามนางงาม
7. เพลงขัดใจ
8. ข้าบดินทร์
9. แอบรักออนไลน์
10. ตัดพ้อ


คำค้นดาวรุ่งพุ่งแรงประจำปี (Mobile)
1. เน็ต AIS
2. ดูดวงทะเบียนรถ
3. อ๊อฟ ปองศักดิ์
4. จ๊ะ อาร์สยาม
5. อาเซ่นอลคลับ
6. ราคาทองวันนี้
7. เพิ่มความเร็วเน็ต
8. รัสเซีย
9. แวมไพร์ทไวไลท์ ภาค 4
10. เนย โชติกา


เพลงและมิวสิควิดีโอ
1. เชือกวิเศษ
2. ทิ้งไว้กลางทาง
3. เพลงขัดใจ
4. ตัดพ้อ
5. กาโว
6. ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน
7. See You Again
8. ไม่เคย
9. ใจหมา
10. คู่ชีวิต


คนดัง
1. หลวงพ่อคูณ
2. แอนนา รีส
3. ปอ ทฤษฎี
4. พลอย เฌอมาลย์
5. แตงโม
6. โตโน่
7. หมอหยอง
8. ดีเจโซดา
9. พอล วอล์คเกอร์
10. ดีเจพุฒ


ภาพยนตร์
1. ฟาส 7
2. มินเนี่ยน
3. Jurassic World
4. Fifty Shades of Grey
5. เมย์ไหนไฟแรงเฟร่อ
6. อาบัติ
7. แม่เบี้ย
8. ไอฟายแต๊งกิ้วเลิฟยู
9. ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ
10. ant man


ละคร-ซีรีส์ยอดฮิต
1.รักนะเป็ดโง่
2. เพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอน
3. สุดแค้นแสนรัก
4. สงครามนางงาม
5. ข้าบดินทร์
6. แอบรักออนไลน์
7. ลมซ่อนรัก
8. น้ําตากามเทพ
9. นางชฎา
10. บัลลังก์ เมฆ

ข่าวดังในประเทศ
1. ข่าวแตงโม
2. งานแต่งชมพู่
3. สรุปเหรียญซีเกมส์
4. โรฮิงญา
5. ระเบิดราชประสงค์
6. อุทยานราชภักดิ์
7. หลวงพ่อคูณมรณภาพ
8. อาการไข้เลือดออก
9. ฟุตบอลโลกหญิง
10. Single Gateway


ข่าวดังต่างประเทศ
1. แผ่นดินไหวเนปาล
2. ISIS
3. สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์
4. ไวรัสเมอร์ส
5. ปาเกียว ฟลอยด์
6. ข่าวปารีส
7. ตูร์เดอฟร็องส์
8. Charlie Hebdo
9. ดาวพลูโต
10. Wimbledon 2015

รุ่นรถโดนใจ
1. Toyota Revo
2. Z125
3. R3
4. Civic 2016
5. R15
6. ปาเจโร่ 2015
7. ฟอร์จูนเนอร์ 2016
8. Mazda 2 2015
9. Isuzu d-max 2016
10. Camry 2015

สถานที่ท่องเที่ยว
1. อุทยานราชภักดิ์
2. วานา นาวา
3. ทะเลทรายเมืองไทย
4. สวนละไม
5. เขาคิชกุฏ จันทบุรี 2558
6. ท่ามหาราช
7. วัดเจ้าอาม
8. เกาะไม้ท่อน
9. วัดผาซ่อนแก้ว จ เพชรบูรณ์
10. หาดน้ำใส


สูตรปรุงอาหาร
1.วิธีทำเต้าหู้เย็น
2. วิธีทำชีสบอล
3. วิธีทำยำมะนาว
4. วิธีทำหมูทอดน้ำปลา
5. ทำขนมเข่ง
6. วิธีทำวุ้นเป็ด
7. ขนมไทยทำง่ายๆ
8. วิธีทำอาหารคลีน
9. วิธีทำตับหมูหวาน
10. วิธีทำกุ้งถัง


เสาะหาข้อมูล-ความรู้
1.สตาบัคใช้กาแฟอะไรทำลาเต้
2.บางระจันทำศึกกี่ครั้ง
3.หมอหยองทำอะไรผิด
4.เฉาก๊วยทำมาจากอะไร
5.โปรตีนเกษตรทำจากอะไร
6.ช่วงอายุกับการทำศัลยกรรม research
7.ทำไมถึงเรียกส้มตำ
8.ตับทำหน้าที่
9. ปูอัดทำมาจากอะไร
10. สิ่งที่ควรทำก่อนอายุ 40

อุปกรณ์ไอที-แก็ดเจ็ต
1. iPhone 6s
2. ซัมซุง j7
3. ไอโฟน 7
4. Samsung Galaxy S6
5. Zenfone 2
6. Note 5
7. Samsung Galaxy A5
8. Oppo R5
9. Oppo Mirror 5
10. Lenovo A7000

เกมส์ฮิตติดกระเเส
1. Dragon Slayer
2. SF2
3. Infestation
4. คุกกี้ รัน
5. Rohan
6. Devilian
7. Line ranger
8. Sword art online 2
9. Fallout 4
10. Minecraft 1.7.10

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Google's Year in Search จากทั่วโลก ชมการแสดงผลข้อมูล
แบบอินเทอร์เเรคทีฟ และวิดีโอประจำปีของเรา คลิกไปที่ http://google.co.th/2015


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.posttoday.com/digital/405281
11986  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เครียดเรื้อรังไม่รู้ตัว..อันตราย ทำร้ายวัยทำงาน เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:14:53 am


เครียดเรื้อรังไม่รู้ตัว..อันตราย ทำร้ายวัยทำงาน

งานเยอะ กลัวผิดพลาด กังวลว่างานออกมาไม่ดี เกรงว่าไปไม่ถึงเป้าหมาย ภาระค่าใช้จ่าย ภาระทางครอบครัวค่าครองชีพที่สูงขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นความกังวลของคนวัยทำงานทั้งสิ้น และเป็นสาเหตุสำคัญของ “ความเครียดเรื้อรัง” แบบไม่รู้ตัว จากผลการวิจัยของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2549 หนุ่มสาววัยทำงานมีสถิติเรื่องความเครียดสูงสุด และความเครียดเรื้อรังนี้เองที่เป็นสาเหตุทำลายสุขภาพและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ (NCDs) ของคนวัยทำงานได้ ซึ่งจากรายงานสถิติของกระทรวงสาธารณสุขปี พ.ศ.2552 พบว่าประชากรในกลุ่มวัยทำงานในภาพรวมเสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในสัดส่วนที่สูงสุด

น.พ.ฮันส์ เซลเยอ ชาวออสเตรีย ผู้ศึกษาเรื่องฮอร์โมน ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อคนเราเกิดความเครียด ฮอร์โมนกว่า 30 ชนิดในร่างกายเราจะปั่นป่วน ฮอร์โมนบางชนิดอาจจะหายไปหรือหยุดทำงาน และฮอร์โมนบางชนิดอาจจะทำงานหนักมากเกินไปความปั่นป่วนของฮอร์โมนนี้เองที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยทางกาย เริ่มตั้งแต่เจ็บป่วยเล็กน้อยไปจนถึงป่วยหนักเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ ได้


 :41: :41: :41: :41:

ภญ.วิชชุลดา ผรณเกียรติ์ ผู้เชี่ยวชาญจากเมก้า วีแคร์ ได้อธิบายเกี่ยวกับความเครียดว่า ความเครียดเป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์ในการตอบสนองต่อสิ่งที่คุกคามหรือกดดัน ซึ่งส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ จริงๆ แล้วหากเป็นความเครียดในระดับที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายกระตือรือร้นและขวนขวายหาความสำเร็จ แต่ถ้าความเครียดมากเกินไปและสะสมจะส่งผลเสียมากมาย ซึ่งพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความเครียดเรื้อรังแบบไม่รู้ตัว ได้แก่ การเป็นคนที่ชอบชิงดีชิงเด่นเอาชนะ เป็นคนที่เข้มงวดไม่มีการผ่อนปรน เป็นคนที่พยายามทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เป็นคนที่ใจร้อนไม่ชอบรอนาน เป็นต้น

“ความเครียดที่มากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายๆ ด้าน ตั้งแต่อาการเล็กๆ น้อยๆ อย่างปวดศีรษะบ่อย ปวดไมเกรน เพราะความเครียดส่งผลให้สารซีโรโทนินในสมองพร่องไป การขาดซีโรโทนินจะทำให้หลอดเลือดเกิดพองขยายและหดตัวมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้หรือมีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง และนอนไม่หลับเพราะความเครียดเรื้อรังส่งผลให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกิดการตึงตัวและทำให้มีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว รวมไปถึงกระตุ้นวงจรการนอนหลับให้ผิดปกติได้ในบางราย บางรายอาจมีอาการเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ อย่างภูมิแพ้ ซึ่งถือเป็นโรคยอดฮิตของคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ หรือภูมิแพ้ทางผิวหนัง เพราะความเครียดจะไปกดระบบภูมิคุ้มกันโดยผ่านฮอร์โมนชนิดหนึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำหรือบกพร่องไป จึงทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นหรืออาจมีอาการกระเพาะอาหารปั่นป่วน หรือเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร เพราะปัจจัยทางจิตใจมีผลทำให้สารคัดหลั่งในกระเพาะอาหารออกมามาก

 :91: :91: :91: :91:

นอกจากนี้วิถีชีวิตที่เครียดจะทำให้เกิดความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งทำให้เกิดความอ่อนแอต่อการได้รับเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ซึ่งปนเปื้อนอยู่ในอาหารและน้ำดื่ม ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้แต่ในบางรายที่มีความเครียดสูงๆ และเรื้อรังนานมากๆ อาจเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ เช่น โรคความดันโลหิตและโรคหัวใจ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีความวิตกกังวลมากอยู่เป็นประจำมีโอกาสเกิดความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า

นอกจากนี้ผู้ที่มีภาวะความเครียดมากๆ จะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจช่องซ้ายโต ที่สำคัญความเครียดฉับพลันมีผลอย่างมากต่อเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอยู่ก่อนแล้วมีโอกาสหัวใจวายสูงขึ้น หรืออาจจะมีอาการผิดปกติของระบบสืบพันธุ์เพราะความเครียดส่งผลให้ความต้องการทางเพศลดลง มีอาการปวดประจำเดือนประจำหรือมีโอกาสเป็นหมัน และยังพบว่าผู้ที่มีความเครียดเป็นประจำจะมีโอกาสการแท้งขณะตั้งครรภ์ได้บ่อย ผู้ที่มีความเครียดเรื้อรังยังเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนปกติด้วย มีการศึกษาในหนูที่มีสารก่อมะเร็งพบว่าหนูที่ถูกกดดันให้เครียดจะมีอัตราการลุกลามของมะเร็งเร็วกว่าหนูที่ไม่ได้ถูกกระตุ้นให้เครียด

จึงกล่าวได้ว่าความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญในการลุกลามของโรค นอกจากนี้นักวิจัยชาวอเมริกาจากศูนย์มะเร็งพิตส์เบิร์กยังพบอีกว่าในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่รู้สึกว่าไม่ได้รับกำลังใจจากครอบครัวเซลล์มะเร็งจะมีปัญหามากขึ้น


 :32: :32: :32: :32:

ภญ.วิชชุลดา อธิบายเพิ่มเติมว่า จะเห็นได้ว่าความเครียดนั้นส่งผลต่อสุขภาพมากมายหลายด้าน ดังนั้น เราจึงต้องหา วิธีบรรเทาความเครียด ปรับทัศนคติและวิถีชีวิตให้เหมาะสม อันดับแรก การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างครบถ้วนและมีวิตามินบีสูงเพียงพอ สามารถช่วยคลายเครียดได้ เช่น ไข่แดง ตับ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว แป้งไม่ขัดสี ธัญพืชและถั่ว เป็นต้น เพราะวิตามินบีเป็นโคเอนไซม์ที่สำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานจากสารอาหารให้สมอง ซึ่งในขณะที่ร่างกายต้องเผชิญความเครียดสมองและระบบประสาทต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก และวิตามินบีในร่างกายจะถูกดึงไปใช้หมดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สมองและระบบประสาทขาดพลังงานนำไปสู่ความเครียดที่รุนแรงยิ่งขึ้น ในผู้ที่ขาดวิตามินบีถึงแม้จะได้รับสารอาหารต่างๆ มากมายเท่าไรก็ตาม สารอาหารเหล่านั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานให้สมองได้

ดังนั้น ผู้อยู่ในภาวะเครียดจึงควรได้รับวิตามินบีปริมาณสูงเพียงพอเพื่อใช้เปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงานแก่สมองและระบบประสาทได้ทันที ผู้ที่ได้รับวิตามินบีในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดีขึ้นรู้สึกประปรี้กระเปร่าขึ้น และมีปฏิกิริยาการตอบสนองที่เร็วขึ้นอีกด้วย โดยร่างกายคนเราควรได้รับวิตามินบี 25-50 มิลลิกรัมต่อวัน ควบคู่กับการพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพราะการออกกำลังกายจนได้เหงื่อ จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

 :49: :49: :49: :49:
 
ที่สำคัญ การพูดคุยปรึกษาปัญหากับคนใกล้ชิดสามารถช่วยลดความเครียดได้ เพราะเมื่อเราได้พูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป และได้คำปลอบประโลมกลับมาจะทำให้รู้สึกดีขึ้น สบายใจขึ้น หรือการรู้จักปรับเปลี่ยนความคิด อย่ามัววิตกกังวลให้มากเกินไปลองปรับทัศนคติมองโลกในแง่ดีบ้าง

แม้แต่การเจริญสติ และ การฝึกสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้า-ออกจะช่วยชะลอความโกรธ คลายความกังวล ลดความกลัวและความตื่นเต้นลงได้ สามารถช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี

แนะนำให้ทำสมาธิทุกวันก่อนเข้านอนเป็นเวลา 20 นาที เพียงแค่นี้คุณก็จะสามารถบรรเทาความเครียดจากการทำงาน และมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.banmuang.co.th/news/bangkok/34904
11987  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เลือกกินแบบไหนดี.? ระหว่าง “ข้าวขาว” กับ “ข้าวกล้อง” เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:09:22 am


เลือกกินแบบไหนดี.? ระหว่าง “ข้าวขาว” กับ “ข้าวกล้อง”
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

หลายคนคงได้รับข้อมูลมาอยู่บ้างว่า “ข้าวกล้อง” หรือข้าวที่ยังไม่ได้ขัดสีนั้น มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าข้าวขัดขาว เพราะนอกจากจะมีวิตามินและสารอาหารที่ให้คุณค่ามากกว่าแล้ว การย่อยจากแป้งกลายเป็นน้ำตาลก็ช้ากว่าข้าวขัดขาวด้วย ดังนั้น ข้าวกล้องจึงสามารถทนการย่อยมากกว่าและสามารถผ่านกระเพาะอาหาร ผ่านลำไส้เล็ก และคงเหลือมาให้เป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ชนิดดีซึ่งอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ในร่างกายเรา
       
       ข้าว แป้ง สุดท้ายเมื่อย่อยแล้วก็จะกลายเป็นน้ำตาล และเมื่อน้ำตาลถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ส่วนหนึ่งย่อมถูกนำมาใช้เป็นพลังงาน อีกส่วนหนึ่งเหลือใช้ก็จะกลับมาสะสมอยู่ในรูปของไขมัน ดังนั้นแป้งหรือข้าวที่ขัดสีแล้วก็จะย่อยกลายเป็นน้ำตาลได้มากกว่า แม้จะมีข้อดีคือเปลี่ยนเป็นพลังงานได้เร็วกว่า แต่ก็เสียคือสำหรับคนที่บริโภคเกิน อ้วนเกิน น้ำตาลในกระแสเลือดเยอะอยู่แล้วเพราะกินหวานมาก การกินข้าวขัดขาวย่อมทำให้เพิ่มปัญหาได้มากขึ้นอย่างแน่นอน


        :96: :96: :96: :96:

       วารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ The BMJ ได้เคยตีพิมพ์ผลการศึกษาของคณะวิจัยจากภาควิชาโภชนาการ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา นำโดย Qi Sun เมื่อปี พ.ศ. 2554 ซึ่งได้วิจัยโดยใช้วิธีการวิเคราะห์อภิมาน (Meta Analysis) จากงานวิจัย 7 ชิ้น ซึ่งติดตามผลกลุ่มตัวอย่าง 352,384 คน โดยติดตามผลต่อเนื่อง 4-22 ปี พบกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (ภาวะดื้อต่ออินซูลิน) จำนวน 13,284 คน ซึ่งพบว่าชาวเอเชีย (ในที่นี้หมายถึงชาวจีนและญี่ปุ่น) บริโภคข้าวขัดขาวประมาณ 3-4 ครั้งต่อวัน มากกว่าชาวยุโรปซึ่งบริโภคประชาชน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ พบว่า การบริโภคข้าวขัดขาวนั้นมีความสัมพันธ์ทำให้ความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีนและชาวญี่ปุ่น
       
       ครั้นจะหันมากินข้าวกล้องก็ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอีกด้านหนึ่งก็คือข้าวกล้องกับเป็นอาหารทีมีอนินทรีย์สูงกว่าข้าวขัดขาว และกลายเป็นที่เก็บมลพิษที่ชื่อ “สารหนู” ได้มากกว่าข้าวขัดขาวถึง 70 เปอร์เซ็นต์
       
       ซึ่งแม้แต่ข้าวที่ได้ชื่อว่าไร้สารพิษ หรือ ออกานิค นั้นก็เป็นเพียงเครื่องยืนยันว่าไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงหรือเคมีใดๆ เน้นการปลูกแบบธรรมชาติ แต่กลับไม่ได้มีการคำนึงถึงสารหนูที่มาจากสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ตัดสินใจไปรื้อให้เกิดการกระจายตัวผ่านการทำเหมืองแร่ เหมืองถ่านหิน และขี้เถ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน จนกระทบมาในแหล่งน้ำและในดินเข้ามาสู่นาข้าวในที่สุด

        :49: :49: :49: :49:

       ดังนั้น แม้แต่ข้าวกล้องที่ปลูกแบบไร้สารพิษก็ยังมีสารหนูปนเปื้อนได้อยู่ สารหนูนั้นความจริงก็มีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อปรสิตได้ แต่ถ้าเกินพอดีก็จะทำให้เกิดการทำลายระบบประสาท ทำลายผิว และยังก่อมะเร็งได้ที่ปอด ถุงน้ำดี ตับ และไต
       
       ซึ่งบังเอิญว่าคนเอเชียกินข้าวเยอะกว่าชาติใด และดูเหมือนว่านอกจากเรื่องไวรัสตับอักเสบที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับของชาวเอเชียแล้ว ดูเหมือนว่าสารหนูที่อยู่ในข้าวก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะชาวเอเชียกินข้าวเป็นอาหารหลัก และเป็นวัฒนธรรมในการบริโภคด้วย
       
       เพราะแม้จะบอกว่าข้าวกล้องของพ่อค้ารายใดมีสารหนูต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ก็เป็นการผ่านมาตรฐานในถุงนั้นเท่านั้น แต่ความจริงมนุษย์เรากินข้าวเหล่านั้นแบบสะสมทั้งปริมาณและสะสามตามกาลเวลา กลายเป็นว่าสารหนูแม้จะสามารถขับออกได้ตามธรรมชาติ แต่การสะสมตกค้างก็สามารถเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่เราบริโภค และตามกาลเวลาที่เราบริโภคด้วย ดังนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าห่วงถ้าเรายังไม่ใส่ใจในเรื่อง “สิ่งแวดล้อม”


        :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

       แล้วจะเอาอย่างไรดี ในเมื่อกินข้าวขัดขาวมาก็มีความเสี่ยงโรคเบาหวาน และโรคอ้วน ในขณะที่กินข้าวกล้องก็สะสมสารหนู่ได้มากกว่าก็เสี่ยงกับโรคมะเร็งหลายชนิดมากขึ้น ?
       
       ถ้าจะสรุปฟันธงก็คือถ้าสิ่งแวดล้อมดี หรือรัฐบาลใส่ใจและควบคุมเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ดี โดยเอาชีวิตมนุษย์เป็นตัวตั้ง การบริโภคข้าวกล้องย่อมดีกว่าข้าวขัดขาวแน่นอน
       
       ถ้าจะสรุปฟันธงสำหรับรัฐบาลที่ไม่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ปล่อยปละละเลยเห็นแต่คุณค่าทางธุรกิจของเอกชนปล่อยให้มีการทำเหมืองทองคำ เหมืองถ่านหิน เหมืองแร่ สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ฯลฯ ซึ่งทำให้สารหนูปนเปื้อนไปในสิ่งแวดล้อมได้ง่าย การบริโภคข้าวขัดขาวย่อมดีกว่าการบริโภคข้าวกล้อง

        :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

       แต่เมื่อข้าวขัดขาวสร้างปัญหาในอีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับน้ำตาลและโรคอ้วน ก็ต้องหาทางปรุงอาหารทำให้ดัชนีน้ำตาลของข้าวขัดขาวให้ลดลง ซึ่งนอกจากการคิดค้นของนักเคมีชาวศรีลังกา ซูแดร์ เอ. เจมส์ ที่ให้หุงข้าวพร้อมกับน้ำมันมะพร้าวจนเสร็จแล้วค่อยไปแช่เย็นอีก 12 ชั่วโมงแล้ว ยังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยลดดัชนีน้ำตาลของข้าวขัดขาวให้ลดลงได้ด้วยการปรุงกับเครื่องปรุงอย่างอื่นเพื่อทำให้เกิดโครงสร้างเชิงซ้อนมากขึ้น เช่น การกินข้าวคลุกแกงกะหรี่ ข้าวผัดกระเทียมน้ำมันมะพร้าว ข้าวราดแกงเขียวหวาน ฯลฯ โดยเน้นการใส่เครื่องเทศให้มากขึ้นเพื่อเสริมสารต้านอนุมูลอิสระในการปรุงอาหาร และพยายามลดการบริโภคข้าวเปล่าๆที่กินข้าวเป็นหลัก กินกับเป็นรองให้น้อยลง
       
       แต่ถ้าคนๆ นั้นเป็นคนใช้พลังงานน้อย ออกกำลังกายน้อย จนมีภาวะอ้วน มีน้ำตาลในกระแสเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดตีบ ฯลฯ การลดหรืองดข้าวทุกชนิดไปก่อน (ไม่ว่าจะเป็นข้าวขัดขาวหรือข้าวกล้อง) แล้วหันไปบริโภคผักสดมากขึ้น เห็ดมากขึ้น และถั่วไขมันต่ำมากขึ้น แล้วใช้น้ำมันมะพร้าวในการปรุงอาหาร ก็จะเป็นผลได้ตรงที่สุดสำหรับคนที่มีภาวะโรคอ้วนและน้ำตาลในกระแสเลือดสูง


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/goodhealth/ViewNews.aspx?NewsID=9580000139156
11988  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มีผู้รู้ผู้ที่นับถือหลายคน พยากรณ์ว่า "เจ้าพระคุณสมเด็จท่าน เป็นพระอรหันต์" เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 10:01:16 am


สัมมาทิฏฐิ

หัวข้อธรรมะชุด ปฏิจจสมุปบาท ที่ขึ้นต้นด้วยอวิชชา ไปจบที่ ชรามรณะ...นั้น ลึกซึ้งมาก เมื่อกว่าพันปีที่แล้ว พระพุทธโฆสาจารย์ อธิบายไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ก็นับถือศรัทธากันเรื่อยมา จนกระทั่งท่านพุทธทาส สวนโมกข์ ตั้งข้อปุจฉา...ข้อที่ต่อจากมรณะ แล้วไปจุติ...และจุติ พูดให้ง่าย ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย อีกสามชาติ... จึงจะมาเริ่มต้นเกิดใหม่เป็นอวิชชารอบใหม่...นั้น น่าจะไม่ถูกต้อง

อาจารย์พุทธทาสชี้ว่า...ปฏิจจสมุปบาท ที่ขึ้นต้นและสิ้นสุด แต่ละรอบแต่ละสายนั้น...ก็คือกระบวนการแห่งความทุกข์ ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง...ในใจเรา ในหนังสือพุทธธรรม ท่านอาจารย์พระมหาประยุทธ์ ไม่ตัดสิน แต่เรียบเรียงเทียบเคียงไว้ให้เรียนรู้กันเอง

สำนึกรู้ส่วนตัวผม ปฏิจจสมุปบาท มีพระผู้ใหญ่ที่ผมอยากจะใช้คำเรียก “นักเลงธรรมะรุ่นใหญ่” กล้าเข้าไปหยิบจับ มาอธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้ง...มีน้อยองค์ จนเมื่อได้อ่านหนังสือสัมมาทิฏฐิ ก็เกิดความรู้สึกอัศจรรย์ เหมือนเจอปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่


 ask1 ans1 ask1 ans1

เนื้อหาจากสัมมาทิฏฐิสูตร ในพระไตรปิฎกเล่ม 11 พระสุตตันตปิฏก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ตั้งแต่ข้อที่ 110-130

      พระสารีบุตรเรียกภิกษุในวัดเชตวัน สนทนาธรรม ถาม-ตอบ กัน 15 เรื่อง กุศล อกุศล ฯลฯ โดยเฉพาะเรื่องปฏิจจสมุปบาท...ชรา มรณะ ชาติ ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ อายตนะ นามรูป วิญญาณ สังขาร อวิชชา และอาสวะ

     เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงสอนชุดธรรมะนี้เป็นมุขปาฐะ ในรูปแบบบทอบรมจิตตภาวนา ประจำอาทิตย์ละ 2 วัน แด่พระสงฆ์วัดบวรฯและพุทธศาสนิกชน ที่ชั้น 2 ตึก สวธรรมนิเวศ ระหว่าง 24 ต.ค.2527-17 ก.ค.2528 รวม 42 ครั้ง

      พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้พิมพ์เผยแพร่ ครั้งแรกเมื่อปี 2528 ตรวจแก้พิมพ์ครั้งที่สอง ปี 2535 และพิมพ์น้อมถวายในการบำเพ็ญกุศลครบ 1 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นครั้งที่สาม 24 ต.ค.2557


       :96: :96: :96: :96:

      ปฏิจจสมุปบาทเท่าที่เคยรู้ เริ่มที่อวิชชา หรือจบลงที่อวิชชา...
      พระสารีบุตรอธิบายต่อจากอวิชชา เป็นอาสวะ
      ตัวอย่างคำอธิบาย...กามที่เป็นอาสวะ หมายถึงกามคือความใคร่ที่เป็นกิเลส ซึ่งดองจิตสันดานอยู่ในภายใน โดยปกติคนไม่รู้ว่ามีกามเป็นที่เป็นอาสวะ เพราะเป็นอย่างละเอียด เหมือนตะกอนที่นอนก้นตุ่ม

      น้ำในตุ่มดูใสสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อตะกอนนอนก้นตุ่มไม่ฟุ้ง จิตปุถุชนก็เป็นเช่นนั้น
      ขณะจิตว่าบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่รักใคร่ ไม่ต้องการอะไร หรือบางทีอยู่ในศีลสมาธิปัญญากดทับอาสวะไว้ ก็ยังละอาสวะนี้ไม่ได้ ทำให้รู้สึกเหมือนว่า...ไม่มี


      :25: :25: :25: :25:

      ครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประทานพุทธพยากรณ์ สาวกองค์ใดสิ้นอาสวะแล้ว ก็ตรัสพยากรณ์ว่า “เป็นผู้เสร็จกิจแล้ว” เป็นที่รับรองของภิกษุและพุทธบริษัททั้งหลาย
      ภิกษุบางรูปเข้าใจว่าสิ้นอาสวะ โปรดให้เดินเข้าป่าช้าผีดิบ เห็นศพสดเกิดความรู้สึก จึงได้รู้ว่าอาสวะยังไม่หมด

      หลังพุทธปรินิพพาน ก็ยังมีผู้ที่นับถือ ถือหลักการสิ้นอาสวะเป็นสำคัญ พยากรณ์กันเอาเอง ท่านสำเร็จชั้นนั้น...ชั้นนี้
      ดังนั้น พระอรหันต์จึงมีคำเรียก “ขีณาสว” ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว คือมิใช่สงบจากกิเลสที่เป็นอย่างหยาบ กิเลสที่เป็นอย่างกลาง ที่คนถือศีลก็งดเว้นได้...
      ขีณาสว คือ ผู้มีอาสวะคือกิเลสขั้นละเอียดที่ดองจิตสันดานสิ้นแล้ว จึงเป็นผู้สำเร็จในพุทธศาสนา เรียกว่าพระอรหันต์


       st12 st12 st12 st12

      คำอธิบายปฏิจจสมุปบาท มีหลายวิธี นิยมสองวิธี คือ เริ่มจากอวิชชา ไปจบที่มรณะ เรียก อนุโลม และเริ่มที่มรณะ แล้วมาจบที่ อวิชชา เรียกปฏิโลม
      ปฏิจจสมุปบาทชุดพระสารีบุตร ที่เจ้าพระคุณสมเด็จญาณฯ ทรงนำมาสอน...แบบปฏิโลม เริ่มที่มรณะ แล้วย้อนมา...อวิชชา และที่พิเศษก็คือ เติม อาสวะ เข้าไป ทั้งอวิชชา และอาสวะเป็นเหตุเป็นผล กันและกัน


       st11 st11 st11 st11

      ในวันพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ...วันนี้ มีผู้รู้ผู้ที่นับถือหลายคนพยากรณ์ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จท่าน เป็นพระอรหันต์
      ผมแค่อ่าน...หนังสือธรรมะของพระองค์ท่านบางข้อ...ขอยกพระองค์ท่านเป็นผู้รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ระดับแถวหน้า พระผู้รู้มีมาก แต่พระผู้รู้ลึกรู้จริง และปฏิบัติได้จริง ในโลกนี้มีน้อยนัก.



คอลัมน์ชักธงรบ โดย กิเลน ประลองเชิง
http://www.thairath.co.th/content/549273
11989  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / เขาเล่าว่า “พระพุทธเมตตาฯ” ไหว้แล้วชีวิตร่มเย็น เหมือนต้องหยาดฝน เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 09:25:05 am

“พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถ คันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์”

เขาเล่าว่า “พระพุทธเมตตาฯ” ไหว้แล้วชีวิตร่มเย็น เหมือนต้องหยาดฝน

        เขาเล่าว่า “จังหวัดกาญจนบุรี” เป็นดินแดนสวรรค์แห่งดินแดนตะวันตกของนักท่องเที่ยว เนื่องจากจังหวัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ทางวัฒนธรรม หรือทางประวัติศาสตร์ อาทิ น้ำตกเอราวัณ น้ำตกไทรโยค เขื่อนศรี เขาช้างเผือก สะพานข้ามแม่น้ำแคว วัดวังก์วิเวการาม
       
       และในปัจจุบันเขาก็ได้เล่าอีกว่า จังหวัดกาญจนบุรี เป็นที่ประดิษฐาน “พระปางขอฝน” ที่มีความเชื่อว่า “หากใครที่ได้มากราบสักการะแล้ว ชีวิตจะพบแต่ความสุขร่มเย็น ดั่งแผ่นดินที่ได้รับความเย็นจากสายฝน”


ลักษณะองค์พระเป็น “พระปางขอฝน” หรือ “ปางคันธารราฐ”

        หากใครอยากจะมีชีวิตร่มเย็นเหมือนต้นไม้งามที่ได้สัมผัสกับหยาดฝนแล้ว ก็ต้องเดินทางมาสักการะ “พระปางขอฝน” หรือ “ปางคันธารราฐ” ที่ประดิษฐานอยู่ที่ วัดทิพย์สุคนธาราม ตำบลดอนแสลบ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี พระพุทธรูปดังกล่าวมีชื่อเต็มว่า “พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถ คันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์” เป็นพระพุทธรูปปางขอฝนทรงยืนที่หล่อด้วยโลหะสำริด ความสูง 32 เมตร และได้ถุกกล่าวได้ว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดที่สูงที่สุดในประเทศไทย
       
       อีกทั้งองค์พระพุทธเมตตาฯ ยังเป็น 1 ใน 24 ไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศที่ได้รับการคัดเลือก จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในแคมเปญ “เขาเล่าว่า...” ที่ชูไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยวเพื่อสร้างกระการเดินทางท่องเที่ยวจากตำนาน-เรื่องเล่า ซึ่งเป็น 1 ใน 5 โครงการหลักในแผนกลยุทธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านตลาดในประเทศ ปี 2559 ภายใต้แนวคิด “ปีท่องเที่ยววิถีไทย”
       
       (คลิกติดตาม 24 ไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยว “เขาเล่าว่า...” ได้ที่ลิงค์นี้)

บรรยากาศบริเวณ “อุทยานพระพุทธเมตตาฯ”

        สำหรับประวัติความเป็นมาของพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม มีความตั้งใจที่จะสร้างพระพุทธรูป องค์ใหญ่ สูง 32 เมตร ที่สื่อถึงอาการแห่งกายครบบริบูรณ์ทั้ง 32 ประการของมนุษย์ เพื่อเป็นศูนย์รวมความเคารพ สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนอีกแห่งหนึ่ง และเป็นอนุสรณ์แด่พระพุทธรูปแห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน โดยเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้ตั้งชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถ คันธารราฐอนุสรณ์” ซึ่งมีความหมาย 3 ประการ ได้แก่
     1.เป็นพระพุทธรูป ซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชนชาวไทยและชาวโลก ,
     2. เป็นพระพุทธรูป ซึ่งเป็นที่พึ่งของ 3 โลก อันได้แก่ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และยมโลก และ
     3.เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระพุทธรูปแห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน


วิวทิวทัศน์เขียวชอุ่ม รอบๆ องค์พระพุทธเมตตาฯ

        สำหรับเรื่องราวปาฏิหาริย์ขององค์พระพุทธเมตตาฯ นั้น ได้ถูกเล่าไว้ว่า “เมื่อครั้งอดีตบริเวณพื้นที่ห้วยกระเจานั้นแล้งเป็นอย่างมาก หลังจากสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้สร้างวัดแล้วเสร็จ ได้เห็นว่า ประชาชนที่อยู่อาศัยโดยรอบบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ต่างประกอบอาชีพ เกษตรกรรม แต่ฟังมาแล้วฝนไม่ตกมาหลายปี หากจะสร้างพระพุทธรูปสักองค์ ก็ต้องสร้างเป็น “ปางคันธารราฐ” หรือ “ปางขอฝน” ซึ่งอาจจะช่วยให้ฝนฟ้าต้องตามฤดูกาล”
       
       จนกระทั่งองค์พระพุทธเมตตาฯ ได้สร้างแล้วเสร็จ ด้วยความอำนาจบารมีและความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน พื้นที่ดังกล่าวที่เมื่อครั้งอดีตเคยฝนแล้งก็เริ่มมีตกตามฤดูกาล ผืนป่าบนภูเขาบริเวณด้านหลังองค์พระที่เมื่อก่อนเคยเหี่ยวแห้งก็กลับเขียวชอุ่มขึ้นมา เรื่องราวดังกล่าวจึงได้ถูกเล่าต่อๆ กันมา กลายเป็นเรื่องราวที่เขาเล่า หากใครที่มีโอกาสมาสักการะ พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ชีวิตก็จะพบแต่ความสุขร่มเย็น ดั่งแผ่นดินที่ได้รับความเย็นจากสายฝน


เขาเล่าว่าสักการะ องค์พระพุทธเมตตาฯ ชีวิตจะร่มเย็น

        และภายในวัดทิพย์สุคนธาราม นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเมตตาฯ แล้ว ก็ยังเป็นที่ตั้งของ “อุทยานพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์” อีกด้วย โดยพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นสวนอยู่รอบบริเวณองค์พระ ที่ถูกออกแบบไว้อย่างสวยงามเน้นความเป็นไทย นำองค์ประกอบและวัสดุพื้นถิ่นมาใช้ เน้นความนอบน้อมต่อธรรมชาติ ให้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติโดยรอบ และบริเวณจุดธูป-เทียน ทำจากหินอ่อนแลดูสวยงาม และยังมีบริเวณสวนป่าพุทธอุทยาน ที่ลานปฏิบัติธรรมและศาลาพักผ่อน ให้พุทธศาสนิกชนได้ใช้บริการในการปฏิบัติธรรม
       
       หากใครมีโอกาสมาท่องเที่ยวที่จังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ก็อย่าลืมหาโอกาสไปแวะสักการะพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราฐอนุสรณ์ ในพระบรมราชินูปถัมถ์ แล้วคุณจะได้เล่าให้คนอื่นๆ ฟังได้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตฉันได้มาสักการะพระปางขอฝน ที่ดลบรรดานให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็น เหมือนฟ้าหลังฝนที่งดงามเสมอ
           
       สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดกาญจนบุรี     
       โทร.0-3451-1200,0-3451-2500 หรือทางอีเมล์ tatkan@tat.or.th


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000137519
11990  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ สิ่งมหัศจรรย์เหนือโลก เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 09:02:30 am



พระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ สิ่งมหัศจรรย์เหนือโลก

จังหวัดตากมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และ เชิงอนุรักษ์ทรัพย์กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งน่าสนใจ คือ พระธาตุหินกิ่วที่ดอยดินจี่ ตั้งอยู่หมู่ที่  4  บ้านวังตะเคียน ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ติดชายแดนไทย-เมียนมา ประมาณ 2 กิโลเมตร โดยตัวเจดีย์พระธาตุตั้งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนชะง่อนผามีฐานคอดกิ่วเหมือนจะขาดออกจากกัน โดยมีเจดีย์ทรงมอญสร้างไว้มีขนาดพอดีกับความกว้างของก้อนหิน

ชาวบ้านเรียกหินมหัศจรรย์นี้ว่า " เจดีย์หินพระอินทร์แขวน" ภายในสถูปเจดีย์มีพระธาตุประดิษฐานอยู่ ชาวบ้านเรียกว่า "พญาล่อง" เป็นที่เคารพของชาวจังหวัดตาก และจังหวัดใกล้เคียง การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 105 ตรงไปตลาดริมเมย แยกขวามือผ่านหมู่บ้านท่าอาจ และหมู่บ้านวังตะเคียน ถึงพระธาตุ ฯ ระยะทางประมาณ  3  กิโลเมตร

 
 :96: :96: :96: :96:

พระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ เล่าสืบต่อกันมาว่า ผู้สร้างเป็นชาวกะเหรี่ยงในสมัยที่อังกฤษปกครองพม่า ชื่อว่านายพะส่วยจาพอ ได้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ได้นำเงินตราเหรียญรูปีบรรทุกหลังช้างมาเพื่อหาที่สำหรับสร้างเจดีย์ถวาย เป็นพุทธบูชา ครั้นมาถึงบริเวณผาหินกิ่ว (หรือดินจี่) ได้มองเห็นหินก้อนใหญ่ชะโงกงำตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน และมีลักษณะคล้ายกับเจดีย์พระอินทร์แขวนในประเทศพม่า จึงได้ทำการก่อสร้าง เมื่อสร้างเสร็จแล้วได้นำพระสารีสริกธาตุบรรจุไว้ในองค์เจดีย์ พร้อมกับพระพุทธรูปทองคำจำนวน 5 องค์
 
พระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูง มองลงมาข้างล่างจะเห็นแม่น้ำเมยและทิวทัศน์ในเขตประเทศพม่าชัดเจน เพราะอยู่ใกล้กัน หินที่อยู่บนดอยนี้มีลักษณะสีดำ หรือสีนำตาลไหม้ จึงเรียกว่า "พระธาตุดอยดินจี่" ซึ่งหมายถึงดินที่ไฟไหม้ ในราวเดือนกุมภาพันธ์ ชาวอำเภอแม่สอด และพม่าจะมีงานนมัสการพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่นี้ทุกปี

 

นอกจากนี้บริเวณภายในวัดพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่ยังมีถ้ำและรอยพระพุทธบาทอยู่ติดใกล้กันแต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เรือโบราณค้นพบเมื่อวันที่  5 เมษายน พ.ศ. 2539 โดยชาวบ้านวังตะเคียน ได้ช่วยกันกู้ขึ้นมาเก็บรักษาไว้ที่เชิงดอยดินกี่ เป็นเรือที่ขุดจากไม้ซุงทั้งต้น ขนาดของเรือกว้าง 126 เมตร ยาว 13.35 เมตร สูง 0.52 เมตร หนา 0.04 เมตร ส่วนหัวเรือและท้ายเรือ มีความยาวเท่ากัน ประมาณ 1.20 เมตร ภายในเรือมีช่องสำหรับสอดไม้กระดานเพื่อทำเป็นที่นั่งจำนวน 4 ช่อง มีระยะห่างไม่เท่ากัน จากรูปและขนาดของเรือ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรือที่ใช้ในการขนส่งอาหารหรือสินค้าระหว่างทั้งสอง ฝั่งแม่น้ำเมย มีอายุราวประมาณ  200 ปี
 
ด้านพระใบฎิกาพงศธร สุวณุโน เจ้าสำนักสงฆ์พระพุทธบาทดอยหินกิ่ว กล่าวว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนประจำทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจะเดินทางมาเข้ามาเที่ยวชมพระธาตุหินกิ่วดอยดินจี่เป็นจำนวนมาก โดยทางวัดจะจัดสถานที่กางเต้นท์ให้นักท่องเที่ยวโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดและถนนหนทางในขณะนี้เดินทางไป-มา สะดวก ถ้าหากประชาชนเดินทางท่องเทียวสถานที่ดังกล่าวสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักสงฆ์พระพุทธบาทดอยดินได้หมายเลขโทรศัพท์ 089 - 4374858 ได้ตลอดเวลา


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.banmuang.co.th/news/region/34392
11991  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ประตูหินรวมโชค"รับวันปีใหม่ หมู่บ้านไทยใหญ่-ชาวบ้านเชื่อลอดแล้วได้พรมงคล เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 08:56:46 am



"ประตูหินรวมโชค"รับวันปีใหม่ หมู่บ้านไทยใหญ่-ชาวบ้านเชื่อลอดแล้วได้พรมงคล

นาย กิติพงษ์ สุภอภิรดีเพชร ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 บ้านสินชัยถ้ำงอบ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า บริเวณจุดตรวจบ้านสินชัยถ้ำงอบมีจุดท่องเที่ยว 4 แห่ง มี

 :96: :96: :96: :96:

1.ประตูรวมโชค อยู่หน้าโรงเรียนบ้านสินชัย ที่ทหารกองกำลังผาเมืองตั้งจุดตรวจกลางหมู่บ้าน ชาวบ้านได้พัฒนาประตูรวมโชคที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว สำคัญของหมู่บ้าน ตามความเชื่อมาหลายชั่วอายุคนว่า หากเดินทางมาที่นี่แล้วมากราบไหว้พระที่วัดสินชัยใหม่พัฒนา ใกล้กับวัดมีประตูรวมโชคที่อยู่ปากทางเข้าหมู่บ้านไทยใหญ่ เมื่อเดินเข้าประตูรวมโชคจะได้โชคลาภตามที่สมหวัง ในอดีตผู้นำหมู่บ้านพยายามจะปิดประตูหินรวมโชคไว้แต่ก็ปิดไม่ได้ หินจะทรุดตัวแล้วเปิดเองตลอด จนชาวบ้านต้องเปิดไว้ตามธรรมชาติ จากนั้นก็มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในหมู่บ้าน จึงเชื่อว่าประตูหินรวมโชคแห่งนี้ให้โชคกับชุมชนจึงเปิดตลอดมาหลายชั่ว อายุคน สวยงามเป็นช่องวงกลมทะลุอีกด้านหนึ่ง เดินเข้าประตูรวมโชคอธิษฐานขอพรจะถือว่าเป็นมงคลกับชีวิต และปีใหม่ทุกปีจะมี นักท่องเที่ยวเดินทางมาขอพรปีใหม่จำนวนมาก

2.โรงเตี๊ยมถ้ำงอบ หมู่บ้านชาวจีนยูนนาน อดีตเป็นฐานที่ตั้งของกองบัญชาการของนายพลลี พรรคก๊กมินตั๋ง กองทัพที่ 3 ใกล้กันมีสวนเกษตรปลูกพืชเมืองหนาว ปลูกชา กาแฟ และบัวหิมะที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย และ พืชผักอื่นๆ จำนวนมาก

3.จุดชมวิวผาแดง ที่ภาษาจีนยูนนานเรียกผาเลี่ยง หมายถึงผาแห่งสวรรค์ เป็นหน้าผาสีแดง มีลิงป่าวิ่งไปมา หมู่บ้านนี้มีกาแฟดอยผาแดง และชากังโว ไม้อโวคาโดน้ำผึ้ง มะนาวยักษ์และบัวหิมะสดๆ ให้กิน

4.จุดชมวิวซุยถัง ที่นี่บริการกางเต็นท์ที่สูงที่สุด ชมทะเลหมอกสวยงาม มีร้านค้าชุมชนจำหน่ายพืชผักฤดูหนาว อโวคาโด ชาและกาแฟ เครื่องดื่มและอาหาร ที่พักและห้องน้ำสะอาด

 :49: :49: :49: :49:

"บ้านสินชัยถ้ำงอบ มีบ้านพักโฮมสเตย์และลานกางเต็นท์ในจุดท่องเที่ยวต่างๆ รองรับได้มากถึง 500 คน สนใจติดต่อได้ที่ โทร.08-9838-0823 ที่พักโฮมสเตย์ 0-5200-1241 และ 08-1035-2659 บริการทุกวัน" นายกิติพงษ์กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1450593003
11992  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ฌาปนกิจพระศพ ‘พระมหาผ่อง’ สังฆราชลาว ชาวลาว-ไทยร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก (ชมภาพ) เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 08:52:15 am
















ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก Sayadej VP ,ธรรมะ ดั่งสายฟ้า,ສະເໜ່ເມືອງລາວ The Glory of Laos,เดชศักดิ์ โพธิ์ชัย,The Foundation for Assisting Poor of Lao PDR (Vientiane Branch)
11993  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฌาปนกิจพระศพ ‘พระมหาผ่อง’ สังฆราชลาว ชาวลาว-ไทยร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก (ชมภาพ) เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 08:46:45 am

ฌาปนกิจพระศพ ‘พระมหาผ่อง’ สังฆราชลาว ชาวลาว-ไทยร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก

20ธ.ค.2558  พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่อง ปิยะทีโร (สะมาเลิก) อดีตประธานศูนย์กลางการพระพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว(อพส) (พระสังฆราชลาวรูปที่ 4) อดีตเจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อ นครเวียงจันท์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ละสังขารเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2558ที่ผ่านมา สิริอายุ 100 ปี 6 เดือน 81 พรรษา  และกำหนดให้มีพิธีฌาปนกิจพระศพในวันนี้(20ธ.ค.2558) ที่ท้องสนามหลวงนครเวียงจันท์  โดยมีพิธีเคลื่อนขบวนพระศพจากวัดองค์ตื้อไปยังเมรุมาศท้องสนามหลวง หน้าวัดพระธาตุหลวง นครเวียงจันทน์ เมื่อเวลา 12.00น.

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาแล้ว ในการนี้ได้มีชาวชาวและไทย รวมถึงคณะสงฆ์ไทย เช่นพระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) และผู้แทนคณะกรรมการสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา  นำโดยพระเดชพระคุณพระเทพพุทธิวิเทศ ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยฯ และเลขาธิการ พระครูสิริอรรถวิเทศ พร้อมด้วยพระอนุจร ร่วมในพิธีด้วย



สำหรับชาติภูมิพระอาจารย์ใหญ่ ดร.มหาผ่องนั้นพบว่า ท่านเป็นคนไทยโดยกำเนิด  เกิดที่บ้านกุงน้อย ตำบลกุศกร อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี  เมื่อปี พ.ศ..2459  ติดตามบิดามารดาไปอยู่ บ้านโพนทอง เมืองโพนทอง แชวงจำปาสัก สปป.ลาว ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก  และได้รับการเป็นลูกบุญธรรมของเจ้าฟ้าเพชรราช(วีระบุรุษของชาวลาวอิสระ ปลดแอกจากการปกครองฝรั่งเศส) และได้เป็นบุตรบุญธรรมของโฮจิมินห์ ประธานพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย


พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่อง อุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปี ที่วัดโพธิ์สระปทุม บ้านกุศกร (ที่บ้านเกิด) จากนั้นก็เดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรม ที่วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานคร เป็นพระที่สนิทสนมกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เพราะศึกษาร่วมสำนักเดียวกัน ได้รับพระราชทานประกาศนียบัตรเปรียญธรรม 6 ประโยค  จากนั้นก็ได้นำความรู้มาสอนมัธยมสงฆ์หลายแห่งในประเทศลาว


พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องนั้นทางมาประเทศไทยเสมอใจกิจการคณะสงฆ์สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับลาว อย่างเช่นในวาระพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการพระราชทานเพลิงศพ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 9 มีนาคม 2557 พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องก็ได้เดินทางมาร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องกับเจ้าประคุณสมเด็จนั้นถือว่าเป็นสหายธรรมกันมามีอายุสมัยร่วมกัน


ในโอกาสที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานครกำหนดการประชุมสัมมนาพระธรรมทูตไทยทั่วโลกเพื่อเป็นการบูชาคุณเจ้าประคุณสมเด็จ  ที่ มจร อ.วังน้อยเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 นั้น พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องก็ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย โดยการประสานของพระโสภณวชิราภรณ์ รองอธิการบดี มจร ฝ่ายกิจการต่างประเทศ


และเมื่อปีที่แล้วพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องก็ได้นำญาติโยมจำนวนหนึ่ง มาร่วมทำบุญ ที่ วัดพระโต บ้านที่วัดพระโต บ้านปากแซง ตำบลพะลาน อำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี  ด้วยการทำบุญตักบาตร ถวายเครื่องไทยทาน และปล่อยปลาดุกลงสู่แม่น้ำโขง จำนวน 99 ตัว ครบตามอายุ 99 ปี โดยมีพระครูพุทธวราธิคุณ เจ้าคณะอำเภอนาตาลและเจ้าอาวาสวัดพระโต บ้านปากแซง นำพระภิกษุสงฆ์พร้อมพุทธสาสนิกชนถวายการต้อนรับคับคั่ง



พร้อมกันนี้พระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่อง ได้กล่าวว่า “ข้อยดีใจหลายเด้อ ที่ได้มาทำบุญในมื้อนี่” พร้อมบอกต่อไปว่า การทำบุในครั้งนี้นับเป็นการที่ทำบุญที่มีความสำคัญมา เพราะเป็นการเชื่อมสัมพันธ์พุทธศาสนาไทย ลาว ให้ได้เป็นแบบอย่างในการที่ได้ร่วมกันทำบุญเพื่อเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป  และเห็นว่า วัดแห่งนับเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์อีกวัดหนึ่ง ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ที่สำคัญ ชื่อพระประธานในวัด ที่เวียงจันทร์  ก็ชื่อเดียวกันกับที่นี่ คือ ชื่อ “พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ” เช่นเดียวกัน แต่ที่พระเจ้าองค์ตื้อ ที่เวียงจันทร์นั้น ก่อสร้างขึ้นมาได้เพียง 450 ปี แต่พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ที่ฝั่งไทยแห่งนี้ อายุ กว่า 1 พันแล้ว นับเป็นพระพุทธรูปที่มีคนเลื่อมใสกันมาก


ศาสนากิจสุดท้ายของพระอาจารย์ใหญ่ดร.มหาผ่องคือเดินทางไปร่วมงานเสวนา "พุทธพลิกสุวรรณภูมิ : สามัคคีธรรม แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง"   จัดโดยสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย และมูลนิธิวีระภุชงค์  ที่โรงแรมโซพิเทล อังกอร์ โภคีธรา กอล์ฟ @ สปา รีสอร์ท จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 9-13 กันยายน พ.ศ.2558  ที่มีคณะสงฆ์อาเซียน 5 ประเทศ ประกอบด้วยไทย เมียนมาร์ เวียดนาม กัมพูชา และลาว เข้าร่วม   โดยทำหน้าที่แสดงสัมโมทนียกถาและกล่าวเปิดงาน


โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ย้อนยุค ปลุกอุดมการณ์ ดูงานพระอริยสงฆ์ สานตรงต่อพุทธปณิธาน โดยตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ความมุ่งหวังของการจัดโครงการฯ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพระสงฆ์ที่เข้าร่วมโครงการ ให้เกิดศรัทธาอย่างลึกซึ้ง เติมความรู้ เพิ่มมุมมอง สร้างเสริมจริยวัตรที่งดงามต่อสายต่อสังคมโลก และปฏิบัติธรรมในสถานที่จริง จนความศรัทธา สามารถนำความรู้ที่เพิ่มพูนด้วยความเข้าใจที่มากขึ้น กลับสู่การพัฒนาสังคมไทย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมแห่งความสงบ และมุ่งหวังเชื่อมโยงมิติทางศาสนา สู่การพัฒนาการเผยแผ่พระพุทธศาสนา



ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20151220/218963.html
(หมายเหตุ : ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ๊ก Sayadej VP ,ธรรมะ ดั่งสายฟ้า,ສະເໜ່ເມືອງລາວ The Glory of Laos,เดชศักดิ์ โพธิ์ชัย,The Foundation for Assisting Poor of Lao PDR (Vientiane Branch)
11994  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระธรรมทูตจ่อยื่น 'มีชัย' บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ พ้นคุกคาม เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 08:39:13 am


พระธรรมทูตจ่อยื่น 'มีชัย' บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ พ้นคุกคาม

สหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป เตรียมยื่นหนังสือ ปธ.กรธ. บัญญัติพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ ลงรัฐธรรมนูญ ห่วงถูกคุกคาม ไร้กฎหมายป้องกัน หวังปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาสำเร็จ

เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 58 พระครูธรรมธรไพฑูรย์ เลขานุการสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป กล่าวว่า ในวันที่ 21 ธ.ค. จะเดินทางพร้อมด้วยพระทูตไทยในทวีปยุโรปอีกประมาณ 10 รูป เพื่อเข้ายื่นหนังสือต่อ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่รัฐสภา เพื่อเรียกร้องขอให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งหนังสือดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจาก พระเทพพุทธิมงคล ประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป และลงนามในหนังสือดังกล่าวแล้ว


 :25: :25: :25: :25:

สำหรับรายละเอียดในหนังสือระบุว่า ประชาชนแถบทวีปยุโรป เริ่มหันมาสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้น และวัดไทยในประเทศต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นด้วย ขณะที่รัฐบาลในแต่ละประเทศก็ให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะเล็งเห็นว่าพระพุทธศาสนายึดหลักคำสอนเกี่ยวกับสันติภาพ เสรีภาพ

ทั้งนี้ ชาวพุทธในยุโรป มีความเป็นห่วงพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ที่กำลังถูกคุกคามโดยไม่มีกฎหมายป้องกัน จึงพร้อมใจกันเรียกร้องให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ อยากให้ นายมีชัย เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา ช่วยปกป้องพระพุทธศาสนา ด้วยการบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งจะทำให้ความตั้งใจในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาประสบผลสำเร็จ มีกฎหมายแม่บทรองรับ.


ขอบคุณข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/551790
11995  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมการศาสนาจัด 3 กิจกรรม มอบความสุขชาวไทยรับปีใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 08:37:10 am


ศน.จัด 3 กิจกรรมมอบความสุขชาวไทยรับปีใหม่

นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) เปิดเผยว่า ศน.ได้วางแนวทางการดำเนิน โครงการจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พ.ศ.2559 โดยมี 3 กิจกรรมสำคัญ คือ
    1.สวดมนต์ข้ามปี ทุกที่ทั่วไทย สุขใจได้บุญ ทำดีร่วมกัน โดยร่วมมือกับทุกภาคส่วนส่งเสริมการจัดกิจกรรมทุกพื้นที่ทั่วไทย เน้นความสงบสุขที่จะได้รับ และการเริ่มต้นชีวิตในปีใหม่ที่ดีงาม
    2.สักการะพระธาตุประจำปีเกิด 12 ราศี เพื่อเสริมสิริมงคลขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ปกปักรักษาและเกิดโชคลาภบารมี พร้อมร่วมสวดมนต์ข้ามปีและปฏิบัติธรรม ที่วัดที่ไปกราบสักการะพระธาตุ และ
    3.สวดมนต์ข้ามปีอาเซียนสานสัมพันธ์ในมิติพระพุทธศาสนา ในจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีการไปมาหาสู่กัน มีวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตคล้ายคลึงกันใน 14 จังหวัด ซึ่งมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศอาเซียน

 :96: :96: :96: :96:

“การจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีประจำปีนี้ในแต่ละวัด ศน.ส่งเสริมให้จัดงานในช่วงค่ำ โดยเน้นรูปแบบวิถีไทยวิถีถิ่น นำศิลปะการแสดงพื้นบ้าน เช่น การฟ้อนรำ มโนราห์ ลิเก ลำตัด เป็นต้น มาจัดแสดง เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไทย รวมถึงนำผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน และอาหารพื้นถิ่นมาบริการนักท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมการแต่งกายด้วยผ้าไทยและผ้าพื้นถิ่นด้วย เพื่อให้คนไทยทุกคนได้ร่วมฟื้นกระแสวัฒนธรรมที่ดีงาม มีความภูมิใจในขนบธรรมเนียมประเพณี และนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันยังสนับสนุนเยาวชนในชุมชนให้เป็นจิตอาสาบริการผู้มาเยือน เสมือนเป็นเจ้าภาพ เพื่อสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นต่อไป” อธิบดี ศน.กล่าว.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/551847
11996  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 ทำพิธีมังคลาภิเษก พระรูปหล่อพระสังฆราช เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 08:34:20 am


รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 ทำพิธีมังคลาภิเษก พระรูปหล่อพระสังฆราช

โรงพยาบาล สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 (ท่าม่วง) ทำพิธีมังคลาภิเษก พระรูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวร ฯ องค์ยืนขนาด 1.5 เท่า มีพระเถระชื่อดังนั่งปรกอธิษฐาน

เมื่อเวลา 13.09 น.วันที่ 20 ธ.ค.58 ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี รศ.นพ.สุรพงษ์ ตันธนศรีกุล อดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีมังคลาภิเษก และ สมโภชน์พระรูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ยืนขนาด 1.5 เท่า ของพระองค์

พระรูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ยืนขนาด 1.5 เท่า ของพระองค์

มีนายแพทย์อิทธิพล จรัสโอฬาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่19 นายวิโชค ศรีกุศลานุกูล ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 นายแพทย์จิรพจน์ วงศ์สัจจาธิติ รอง ผอ.โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 และคณะแพทย์ และพยาบาล รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 รวมทั้งประชาชนชาวอำเภอท่าม่วง และจังหวัดกาญจนบุรีเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

สำหรับพิธีมังคลาภิเษก มีคณะพระเถระ เมตตานั่งปรกอธิษฐานจิต ประกอบด้วย 1.พระครูภิศาลจริยาภิรม (พระมหาสุรศักดิ์) วัดประดู่ จ.สมุทรสงคราม 2.พระครูอดุลพิริยานุวัตร (หลวงพ่อชุบ) วัดวังกระแจะ อ.ไทรโยค จ.กาญจบุรี 3.พระครูสุภัทรกาญจนกิจ (หลวงพ่อสนองชาติ) วัดเย็นสนิทธรรมาราม ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 4.พระครูพิศาลวิริยกิจ (หลวงพ่อเสงี่ยม) วัดบ้านทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี และ 5.พระอาจารย์ภิมุขญาณโสภโณ วัดคู้ธรรมสถิต จ.สมุทรสงคราม โดยใต้ฐานศาลาสมเด็จ ที่ใช้สำหรับประดิษฐาน พระรูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ยืนขนาด 1.5 เท่า ได้มีการบรรจุ พระเกศา ผ้าจีวร และบาตรเอาไว้ด้วย

รศ.นพ.สุรพงษ์ ตันธนศรีกุล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กาญจนบุรี เป็นปธ.ฝ่ายฆราวาสในพิธีมังคลาภิเษก
ที่รพ.สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

นายแพทย์ อิทธิพล จรัสโอฬาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ได้จัดให้มีพิธีเททองหล่อพระรูปเหมือนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ยืน ขนาด 1.5 เท่าของพระองค์ แล้วและได้กำหนดให้มีการจัดพิธีมังคลาภิเษก ขึ้นในวันนี้ 20 ธ.ค.เริ่มเวลา 13.09 น. ซึ่งการทำพิธีสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และกำหนดจัดพิธีสมโภชพระรูป ในวันจันทร์ที่ 21 ธ.ค.2558 ตั้งแต่เวลา 09.00 น.

ทั้งนี้ จึงขอประชาสัมพันธ์ไปถึงประชาชนที่สั่งจองพระรูป ขนาด 5 นิ้ว และ 9 นิ้ว ให้นำใบจองมารับพระรูปได้ตั้งแต่วันนี้ นอกจากนี้ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 19 ยังได้จัดทำวัตถุมงคลเพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้เช่าบูชา เป็นพระรูปหล่อจำลองจากพระองค์จริง (ขัดสมาธิเพชร) ขนาด 1.5 ซม. พร้อมกล่องบรรจุ “รุ่นสมโภชศาลาสมเด็จ” วันที่ 21 ธันวาคม 2558 ได้บรรจุพระเกศา และผ้าจีวรไว้ที่ใต้ฐาน มี 3 แบบ คือ เนื้อทองคำ 96.5% (24 กรัม) ราคา 45,000 บาท เนื้อเงิน 99.99% ราคา 1,999 บาท เนื้อทองแดง ราคา 299 บาท (จำนวน 20,000 องค์) โดยจะนำรายได้ไปสร้างศาลาสมเด็จ เพื่อประดิษฐานองค์พระรูปขนาด 1.5 เท่าของพระองค์จริง พร้อมทั้งจะนำรายได้เข้ามูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 อีกด้วย



ขอบคุณภาพประกอบจาก รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19
ขอบคุณภาพข่าวจาก https://www.thairath.co.th/content/551829
11997  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดาวน์โหลด พระนิพนธ์-หนังสือที่ระลึก "สังฆราช" ได้ที่ www.sangharaja.org เมื่อ: ธันวาคม 19, 2015, 08:35:37 pm


ดาวน์โหลด พระนิพนธ์-หนังสือที่ระลึก "สังฆราช" ได้

สักการะพระอัฐิ สังฆราช วันสุดท้าย ประชาชนล้นวัด แถวยาวถึงแยกคอกวัว ขณะที่วัดบวรนิเวศวิหาร เปิดให้ดาวน์โหลดพระนิพนธ์-หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงพระศพ สังฆราช กว่า 300 รายการผ่านเว็บ www.sangharaja.org

วันนี้(19 ธ.ค.) ที่ตำหนักเพ็ชรวัดบวรนิเวศวิหาร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วัดบวรนิเวศวิหารได้เปิดให้ประชาชนสักการะ พระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังปริณายก เป็นวันสุดท้ายระหว่างเวลา 08.30-14.00 น. หลังจากนั้นทางวัดได้เตรียมพร้อมเพื่อรับเสด็จฯพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิในเวลา 16.30 น. ส่งผลให้มีประชาชนเป็นจำนวนมากมาสักการะพระอัฐิอย่างเนืองแน่น โดยต่อแถวยาวเหยียดจนล้นวัดไปจนถึงบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์ บริเวณถนนราชดำเนินกลางเกือบถึงแยกคอกวัว


 :96: :96: :96: :96:

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันนี้วัดบวรนิเวศวิหารได้แจกหนังสือบวรธรรมบพิตร พระรูปสมเด็จพระสังฆราช โปสการ์ดพระรูปสมเด็จพระสังฆราชที่ภาคเอกชนนำมาถวายแจกประชาชน ส่วนบรรยากาศบริเวณตำหนักคอยท่าปราโมช คณะเหลืองรังษี ก็มีพทธศาสนิกชนร่วมใจจัดดอกกล้วยไม้ ประดับตำหนักอย่างงดงามถวายสมเด็จพระสังฆราช พร้อมกันนี้ได้มีประชาชนเป็นจำนวนมากเดินทางมากราบพระรูปบริเวณหน้าตำหนักคอยท่าปราโมชและประพรมน้ำพระพุทธมนต์ 100 ปี สมเด็จพระสังฆราช เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองด้วย

ในเวลา 16.30 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์บำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร

สำหรับหมายกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิและบรรจุพระสรีรางคาร สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังวัดบวรนิเวศวิหาร ในวันที่ 20 ธ.ค. เวลา 10.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์บำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระอัฐิ และบรรจุพระศรีรางคาร


 :25: :25: :25: :25:

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กล่าวว่า ประชาชนที่ไม่ได้รับหนังสือที่ระลึกในงานพระศพสมเด็จพระสังฆราช สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเป็นอีบุ๊กส์ ได้ในเว็บไซต์ www.sangharaja.org

โดยฉบับ"บวรธรรมบพิตรฉบับพระประวัติ" ที่ http://bit.ly/1RQDEMP
"บวรธรรมบพิตรฉบับประมวลพระรูป" http://bit.ly/1mmEtRD
รวมพระธรรมนิพนธ์ http://bit.ly/1mlwFQ5
ฉบับ "The People"sPatriarch in His own words" http://bit.ly/1MfWKoo

นอกจากนี้ยังสามารถดาวน์โหลดหนังสือพระนิพนธ์ในสมเด็จพระสังฆราชที่มีมากกว่า 300 รายการในเว็บไซต์ดังกล่าวได้อีกด้วย

 st11 st11 st11 st11

พระสุทธิสารเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร กล่าวว่า ขณะนี้มีทั้งบุคคลและวัดต่างๆทั้งในและต่างประเทศ แจ้งมายังวัดบวรนิเวศวิหารเพื่อขออัญเชิญพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชไปประดิษฐานเพื่อสักการะบูชาโดยเบื้องต้นคณะกรรมการวัดบวรนิเวศวิหารมีมติให้วัดใน 2 ประเทศ คือ อินโดนีเซียและญี่ปุ่น เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศแรกที่สมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ขณะที่ญี่ปุ่นมีวัดไทยอยู่เป็นจำนวนมากที่ทรงพระอุปถัมภ์โดยผู้แทนทั้ง 2 ประเทศจะมารับพระอัฐิจากสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต)รักษาการเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิและบรรจุพระสรีรางคารแล้ว โดยจะมีการกำหนดวันและเวลาอีกครั้ง

 :25: :25: :25: :25:

ด้านนายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า ในส่วนข้อมูลลำดับชั้นอาวุโสสมเด็จพระราชาคณะทุกรูปนั้น พศ.มีพร้อมอยู่แล้ว ซึ่งตามขั้นตอนเมื่อตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลงก็จะต้องมีการเสนอรายชื่อ สมเด็จพระราชาคณะ ที่มีคุณสมบัติตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ฉบับแก้ไข พ.ศ.2535 หมวด 1 มาตรา 7 ที่ระบุว่า ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นของของมหาเถรสมาคม เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดทางสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้า ฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความเหมาะสม พศ.จะหารือกับกรรมการมหาเถรสมาคมและคณะเลขานุการผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ว่า จะมีการดำเนินการเมื่อใดต่อไป


ขอบคุณข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/368058
11998  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผอ.พศ.เผย ขั้นตอนสถาปนา "พระสังฆราช" ตามพรบ.สงฆ์ เมื่อ: ธันวาคม 19, 2015, 08:25:41 pm

ผอ.พศ.เผย ขั้นตอนสถาปนา "พระสังฆราช" ตามพรบ.สงฆ์

ผอ.สำนักพุทธฯเผยขั้นตอนการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ นายกฯ-มหาเถรสมาคมจะเสนอพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

วันนี้(18 ธ.ค.)นายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ส่งผลให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชซึ่งถือเป็นองค์ประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทยว่างลง

โดยขั้นตอนการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์พ.ศ.2505 ฉบับแก้ไขพ.ศ.2535ในหมวด 1 มาตรา 7 ระบุให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดทางสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช


 ans1 ans1 ans1 ans1

นายพนม กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันสมเด็จพระราชาคณะในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 8 รูป แบ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย 4 รูป และฝ่ายธรรมยุต 4 รูป โดยสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ เรียงตามลำดับ ดังนี้

อันดับ 1. สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มหานิกาย ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2538

อันดับ 2. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) วัดสัมพันธวงศาราม ธรรมยุต ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2544

อันดับ 3 สมเด็จพระมหามุนีวงศ์(อัมพร อมฺพโร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ธรรมยุต ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2552

อันดับ 4 สมเด็จพระวันรัต(จุนท์พรหมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร ธรรมยุต ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2552 แต่อาวุโสน้อยกว่าสมเด็จพระมหามุนีวงศ์

นายพนม กล่าวต่อไปว่า สมเด็จพระราชาคณะ อาวุโสอันดับ 5 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(วีระ ภทฺทจารี) วัดสุทัศนเทพวราราม มหานิกาย ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2553

อันดับ 6 สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย) วัดเทพศิรินทราวาส ธรรมยุต ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี2553 แต่อาวุโสน้อยกว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

อันดับ 7 สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม มหานิกาย ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2554 และ

อันดับ 8 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) วัดไตรมิตรวิทยาราม มหานิกาย ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2557


 :96: :96: :96: :96:

ทั้งนี้หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแล้ว ทางมหาเถรสมาคม(มส.)จะมีการประชุมเพื่อเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดทางสมณศักดิ์ในเร็วๆนี้


ขอบคุณข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/367897
11999  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดบวรฯ เล็ง ขยายเวลาสักการะพระอัฐิ "สังฆราช" ถึง 24 ธ.ค. เมื่อ: ธันวาคม 19, 2015, 08:21:43 pm


วัดบวรฯ เล็ง ขยายเวลาสักการะพระอัฐิ "สังฆราช" ถึง 24 ธ.ค.

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางวัดบวรนิเวศวิหาร อาจจะมีการขยายเวลาเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะพระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศฯ จนถึงวันที่ 24 ธันวาคมนี้ เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมาก มีความประสงค์มาสักการะพระอัฐิจำนวนมาก ทางวัดบวนนิเวศฯ จึงได้พิจารณาขยายวันเพิ่มดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ (20 ธันวาคม) คณะกรรมการวัดบวรนิเวศฯ จะมีการหารือในรายละเอียดต่างๆ และจะแถลงอย่างเป็นทางการณ์อีกครั้ง

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450525936
12000  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผู้คนสักการะ พระอัฐิล้นวัด เมื่อ: ธันวาคม 19, 2015, 08:19:41 pm


ผู้คนสักการะ พระอัฐิล้นวัด

พุทธศานิกชนหลั่งไหลเข้าสักการะพระอัฐิ “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” ล้นวัดบวรฯ ต่อแถวยาวเกือบถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทางวัดเปิดให้สักการะครั้งสุดท้ายแค่ช่วงครึ่งวันเช้าวันที่ 19 ธ.ค. หลังเสร็จพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิแล้ว จะอัญเชิญพระอัฐิไปประดิษฐานยังตำหนักเดิม ด้าน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เปิดขั้นตอน-รายชื่อ สมเด็จพระราชาคณะ ที่มีโอกาสได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น “สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20” แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส และมีการอัญเชิญพระอัฐิกลับมาประดิษฐานยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีการเปิดให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าสักการะตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น


 :25: :25: :25: :25:

สำหรับบรรยากาศในการเข้าสักการะพระอัฐิ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ที่ตำหนักเพ็ชร เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีพุทธศาสนิกชนมารอต่อคิวตั้งแต่เช้ามืด โดยทางวัดบวรฯ เปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้าสักการะพระอัฐิ ได้ตั้งแต่เวลา 08.30-10.00 น.จากนั้นมีพิธีบำเพ็ญกุศลพระอัฐิ โดยคณะสงฆ์จากประเทศอินโดนีเซีย และกลับมาเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนเข้าสักการะพระอัฐิอีกครั้งในเวลา 12.00 น. เป็นต้นไป กระทั่งเวลา 13.30 น. ปรากฏว่าพุทธศาสนิกชนยังคงหลั่งไหลเดินทางเข้ามาสักการะพระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวรฯ อย่างต่อเนื่องจนต่อแถวยาวเต็มบริเวณวัด และยาวออกไปภายนอกวัดตามถนนพระสุเมรุ ถนนดินสอ จนเกือบถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทั้งนี้ ทางวัดจะเปิดให้เข้าสักการะพระอัฐิจนถึงเวลา 18.00 น. และวันที่ 19 ธ.ค.จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนสักการะพระอัฐิอีกครั้งในช่วงเวลา 08.00-12.00 น. ก่อนที่จะมีพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิต่อไป

 st12 st12 st12 st12

ขณะที่บริเวณข้างพระอุโบสถ วัดบวรฯซึ่งทางวัดใช้เป็นสถานที่ให้พุทธศาสนิกชนมาหาเช่าบูชาสิ่งมงคลสักการะเพื่อระลึกถึงสมเด็จพระญาณสังวรฯ อันมีทั้งเหรียญพระรูปเหมือน พระรูปเหมือนองค์ลอย เหรียญ 100 ปี ญสส ปรากฏว่ามีพุทธศาสนิกชนมาหาเช่าบูชาวัตถุมงคลอย่างเนืองแน่นตลอดทั้งวันเช่นกัน

ด้านพระสุทธิสารเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรฯ กล่าวว่า ครึ่งวันเช้าของวันที่ 19 ธ.ค.จะเป็นช่วงสุดท้ายที่จะเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะพระอัฐิ เพราะหลังจากเสร็จสิ้นพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิแล้ว จะมีการอัญเชิญพระอัฐิไปประดิษฐานยังตำหนักเดิม และจะมีการอัญเชิญออกมาเนื่องในวันสำคัญของทางวัดเท่านั้น

 st11 st11 st11 st11

ขณะที่พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรฯ กล่าวว่า ทางวัดบวรฯเตรียมสถานที่ประดิษฐานพระเจดีย์พระอัฐิ ในตำหนักเดิมเรียบร้อยแล้ว สำหรับที่ประดิษฐานพระอัฐิที่ตำหนักเดิมนั้น มีด้วยกัน 3 ถ้ำบรรจุ โดยถ้ำบรรจุตรงกลาง เป็นที่ประดิษฐาน พระอัฐิ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ กับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ถ้ำด้านซ้ายมือ เป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ กับ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ส่วนถ้ำด้านขวา เป็นที่ประดิษฐานอัฐิของพระพรหมมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรฯรูปที่ 5 ส่วนพระสรีราง–คารที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานยังวิหารเก๋งหลังเสร็จพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลพระอัฐินั้น พุทธศาสนิกชนสามารถสักการะได้บริเวณโดยรอบวิหารเก๋งทุกวัน

พระโสภณคณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรฯ กล่าวว่า สำหรับสิ่งมงคลสักการะเหรียญพระรูปเหมือนที่ทางวัดร่วมกับสำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ จัดทำขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งมงคลสักการะครั้งสุดท้ายต่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกนั้น พุทธศาสนิกชนยังคงสามารถหาเช่าบูชาได้ที่สำนักงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรฯ และที่สำนักงานธนารักษ์จังหวัดทั่วประเทศ

 :96: :96: :96: :96:

เผยคิวอาวุโส ระดับ-สมเด็จ พระราชาคณะ

ด้านนายพนม ศรศิลป์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกแล้ว ส่งผลให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง โดยขั้นตอนการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ฉบับแก้ไข พ.ศ.2535 ในหมวด 1 มาตรา 7 ระบุว่า ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นของมหาเถรสมาคม เสนอรายนามสมเด็จพระราชาคณะที่อาวุโสสูงสุดทางสมณศักดิ์ เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยสมเด็จพระราชาคณะในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 8 รูป แบ่งเป็นฝ่ายมหานิกาย 4 รูป ธรรมยุต 4 รูป โดยสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ เรียงตามลำดับดังนี้

อันดับ 1 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำภาษีเจริญ (มหานิกาย) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ปี 2538 อันดับ 2 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) วัดสัมพันธวงศาราม (ธรรมยุต) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ปี 2544 อันดับ 3 สมเด็จ พระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (ธรรมยุต) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ปี 2552 อันดับ 4 สมเด็จ พระวันรัต (จุนท์ พฺรหมฺคุตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร (ธรรมยุต) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2552 แต่อาวุโสน้อยกว่าสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ อันดับ 5 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (วีระ ภทฺทจารี) วัดสุทัศนเทพวราราม (มหานิกาย) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ปี 2553 อันดับ 6 สมเด็จ พระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย) วัดเทพศิรินทราวาส (ธรรมยุต) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะปี 2553 แต่อาวุโสน้อยกว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อันดับ 7 สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) วัดพิชยญาติการาม (มหานิกาย) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ปี 2554 และอันดับ 8 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ) วัดไตรมิตรวิทยาราม (มหานิกาย) ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ปี 2557 ทั้งนี้ มหาเถรสมาคม (มส.) จะต้องมีการประชุมเพื่อเสนอรายชื่อสมเด็จพระราชาคณะต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป

ขอบคุณภาพข่าวจาก
https://www.thairath.co.th/content/551165
หน้า: 1 ... 298 299 [300] 301 302 ... 708