ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บรรยากาศ มูลนิธิมายาโคตรมี ชานกรุงเทพฯ เงียบเหงา  (อ่าน 3395 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28455
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

บรรยากาศมูลนิธิมายาโคตรมี

บรรยากาศมูลนิธิมายาโคตรมี ชานกรุงเทพฯ เงียบเหงา หลังมีคนโพสภาพคู่กับสาวไฮโซ


จากกรณีที่มีกระแสบนโลกโซเชี่ยวเน็ตเวิกค์ว่ามีเฟซบุ๊กของผู้ใช้ชื่อว่า "Suttirat Muttamara" ได้เผยแพร่ภาพหญิงสาวถ่ายคู่กับอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก พระเถระชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ที่ลาสิกขากระทันหันไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา สร้างความตกตะลึงให้กับวงการพระพุทธศาสนา ต่างกังขาถึงสาเหตุการตัดสินใจลาสิกขาบทในครั้งนี้ เพราะบวชมานานถึง 37 พรรษา จนมีชื่อเสียงในฐานะนักคิด นักเขียน นักพูด เป็นที่เลื่อมใสของเหล่าศาสนิกชนชาวไทยเป็นอย่างมาก

ความคืบหน้าวันนี้ 28 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่มูลนิธิมายาโคตมี เลขที่ 3 ถ. กรุงเทพกรีฑา 20 แยก 7 แขวงและขตสะพานสูง กทม. ซึ่งอดีตพระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม เป็นผู้สร้างเอาไว้ ในเบื้องต้นพบว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากไม่มีผู้ที่มาปฏิบัติธรรม เพราะมูลนิธิจะจัดการปฏิธรรมเพียงเดือนล่ะ 3 ครั้ง โดยมีกฎระเบียบระบุไว้ชัดเจน





โดย น.ส.ดารณี บุญช่วย คณะกรรมการมูลนิธิมายาโคตมี เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีภาพอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะกับสาวไฮโซ ที่กำลังเป็นข่าวตามสื่อมวลชนนั้น ทางมูลนิธิยังไม่ได้รับการติดต่อจากอดีตพระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม เลย ส่วนเรื่องเงินบริจาคของมูลนิธิเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการในการดูแล ทางด้านพระอาจารย์ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเลย ส่วนหญิงสาวที่ปรากฎในภาพนั้น เคยเห็นมาปฏิบัตินั่งสมาธิที่มูลนิธิเป็นครั้งคราวและส่วนตัวเคยพบผู้หญิงคนนั้นก่อนหน้านี้ประมาณ 2 เดือน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันเดียวกันนี้ได้มีกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวจากโรงเรียนสาธิตบางนา มาช่วยกันแพ็คหนังสือธรรมที่ท่านอดีตพระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม เป็นผู้เขียน เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด ตามโครงการเพิ่มพลังทางการศึกษาด้วยหนังสื่อธรรมะของอาจารย์มิตซูโอะ.







ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/education/215323
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: บรรยากาศ มูลนิธิมายาโคตรมี ชานกรุงเทพฯ เงียบเหงา
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2013, 09:05:23 am »
0
การภาวนา และ เห็นธรรม ไม่ติดที่บุคคล คะ
แต่สมัยนี้ เราให้ค่า กับ บุคคลมากเกินไป ใช่หรือไม่คะ

 อนุโมทนา กับผู้ที่ ศรัทธา ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย กันคะ

 st11 st12
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เรียกว่า “ช็อก” สังคมอย่างหนักทีเดียวสำหรับ “อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก” อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม สาขาวัดหนองป่าพงที่ 117 อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ในกรณีการออกมายอมรับถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของสาเหตุการลาสิกขาว่า เป็นเพราะพบรักกับสาวใหญ่ไฮโซวัย 52 ปี ที่มีชื่อว่า “แอน-สุทธิรัตน์ มุตตามระ”
       แถมยังมีภาพของทั้งคู่สวีทหวานแหว๋วเฉกเช่นคู่ผัวตัวเมียข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ควงคู่กันไปฮันนีมูนตามสถานที่ต่างๆ และตบท้ายด้วยการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องทั้งตามกฎหมายไทยและกฎหมายญี่ป่น โดยทั้งสองปักหลักครองคู่ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ที่บ้านของพี่ชายและพี่สะใภ้ของพระมิตซูโอะภายในหมู่บ้านนิชิเนะ อำเภอชิซุคุอิชิ จังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น
       แน่นอน แม้ภาพที่ปรากฏจะดูเหมือนว่าทั้งคู่รักกันปานจะกลืนกิน ทั้งท่าทีตลอดรวมถึงถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของนางสุทธิรัตน์และอดีตพระมิตซูโอะที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะนางสุทธิรัตน์ที่ทำหน้าที่ปรนนิบัติพัดวีดูแลสามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ในมุมกลับกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมได้พุ่งเป้าไปที่ศรีภรรยาของอดีตพระมิตซูโอะเป็นพิเศษว่า เธอเป็นใคร ประกอบอาชีพหรือกิจการงานใด ถึงได้สามารถทำให้พระที่เคยได้ชื่อว่าเป็นพระสุปฏิปันโนและมีปฏิปทาเป็นที่ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนลาสิกขาจากสมณเพศได้ง่ายๆ ราวกับปอกกล้วยเข้าปากเยี่ยงนี้
       3 สามี 3 ชีวิตรัก แอน สุทธิรัตน์
       
       หากสืบสาวราวเรื่องถึงชีวิตของไฮโซสาวใหญ่วัย 52 ปีผู้นี้ย้อนหลังกลับไป ก็จะพบว่า หม้ายสาวพราวเสน่ห์มีเส้นทางชีวิตที่มีสีสันและน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของชีวิตคู่   
       แว่บแรกที่สังคมได้รับรู้หลังปรากฏภาพและข่าวของเธอกับอดีตพระมิตซูโอะออกมา เธอเป็นพี่สาวของ “วิทเยนทร์ มุตตามระ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เขตบางเขน กรรมการผู้จัดการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย แชนแนล ซึ่งเป็นโทรทัศน์ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่พลพรรคแมลงสาบเถียงหัวชนฝาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จากนั้นข้อมูลก็ทยอยออกมาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องว่า นี่ไม่ใช่ชีวิตรักครั้งแรกของเธอ หากแต่สาวงามที่ยังคงมีเสน่ห์ในเรือนกายอย่างไม่สร่างซาแม้วัยจะล่วงเลยเข้าไป 52 ปีผู้นี้เคยผ่านชีวิตสมรสมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 คราด้วยกันก่อนที่จะมาลงเอยกับสามีคนปัจจุบันคืออดีตพระมิตซูโอะ
       
       สามีคนแรกของแอน สุทธิรัตน์ มีชื่อว่า “เอกภพ เสตะพันธุ” ซึ่งภายหลังได้หย่าร้างและเลิกรากันไป
       
       ส่วนสามีคนที่สองคือ “นพ.ปริทัศน์ ศุกรีเขตร” มีลูกชายคนเดียวคือ นายปริวรรต ศุกรีเขตร ปัจจุบันอายุ 25 ปี
       
       กล่าวสำหรับแอน-สุทธิรัตน์นั้น กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า จัดเป็นผู้หญิงที่สวยทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ
       
       ครั้งหนึ่งเธอเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ตั้งแต่จำความได้ แม่ก็จับเธอแต่งสวยตามประสาเด็กผู้หญิง ซึ่งเธอเองก็ชอบ และยินดีที่จะเป็นตุ๊กตาให้แม่แต่งแต้ม ดังนั้น เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่นเธอจึงพร้อมที่จะเดินเข้าหาสิ่งที่เรียกว่าความงาม” ทั้งในแง่ของผู้ปฏิบัติ ที่ต้องดูดี และศึกษาเพื่อให้เป็นกูรู”
       “ใส่ใจทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้า ผม อย่างตอนที่เป็นน้องปีหนึ่งจุฬาฯ เราก็มีชุดนักศึกษาสำหรับใส่ไปเรียนซึ่งจีบตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย รวมๆ แล้วก็ 36 ชุด รองเท้าอีก 36 คู่”
       
       นอกจากนี้ เธอยังมีแพทย์ที่ปรึกษาความงามส่วนตัว เพื่อดูแลความสวย ความงาม จากทั้งภายในและภายนอก โดยภายในบ้านเองเต็มไปด้วยเครื่องไม้ เครื่องมือ ซึ่งบางปีเธอบอกว่า ต้องควักกระเป๋าจ่ายให้กับอาการติดสวยถึงเกือบ 10 ล้านบาท
       
       “เมื่อโชคดี ที่เกิดมาหน้าตาดี แล้วเราก็ต้องทำให้อยู่กับเราไปนานๆ เรื่องของความสวยความงามเราต้องดูแลลึกไปจนถึงเซลล์ สเต็มเซลล์”
       ทั้งนี้ ก่อนที่จะศรัทธาเลื่อมใสพระมิตซูโอะนั้น มีข้อมูลยืนยันตรงกันว่า นางสุทธิรัตน์และครอบครัวมุตตามระ รวมทั้งนายวิทเยนทร์ผู้เป็นน้องชายเคยมีความเลื่อมใสศรัทธากับพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มาก่อน แต่ภายหลังได้ปลีกตัวออกไป ซึ่งล่าสุดวัดพระธรรมกายก็ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นเรื่องจริงถึงกรณีที่เธอเคยเข้าไปที่วัดพระธรรมกายจริง
       
       ส่วนเรื่องราวความรักของอดีตพระมิตซูโอะ สามีคนที่ 3 ของนางสุทธิรัตน์นั้น ได้เปิดเผยสู่สาธารณชนและลูกศิษย์ลูกหาหลังจากมีผู้รับรู้ความจริงว่า เหตุที่อดีตพระมิตซูโอะลาสิกขานั้น มิใช่ด้วยเหตุเรื่องการป่วยเป็นเบาหวานแต่ประการใด หากเป็นเพราะมีต้นสายปลายเหตุมาจาก “ผู้หญิง” จากนั้นก็มีกระแสข่าวร่ำลือกันแบบปากต่อปากว่า พระมิตซูโอะถูก หญิงสาวคน หนึ่งมอมยาเพื่อแบล็กเมล์เอาเงินก้อนโต ทั้งยังมีผู้โพสต์รูปและโพสต์ข้อความด่าหญิงสาวคนดังกล่าวกันอย่างกว้างขวางในโลกไซเบอร์
       
       กระทั่งนางสุทธิรัตน์ได้โพสต์ข้อความและโพสต์รูปถ่ายของตนเองคู่กับอดีตพระมิตซูโอะในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ “Suttirat Muttamara” ช่วงเย็นของวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ด้วยข้อความว่า “ขอบคุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะผู้ที่มีเมตตาและความรักต่อดิฉันจะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉันด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็วๆ นี้ ขอบคุณอีกครั้ง”
       
       ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 28 มิถุนายน 2556 นายวิทเยนทร์ก็ได้เขียนข้อความอธิบายทำความเข้าใจกับภาพของนางสุทธิรัตน์กับอดีตพระมิตซูโอะในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
       
       “จากกรณีที่มีภาพอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะและสุภาพสตรีคนหนึ่งปรากฏและเป็นที่พูดถึงในวงกว้างอยู่ในขณะนี้ ผมได้รับคำถามจำนวนมากว่าสตรีท่านนี้เป็นอะไรกับผม ผมจึงขอตอบตรงๆ เพื่อความชัดเจนว่า เป็นพี่สาวผมครับ ทั้งพี่สาวและอาจารย์มิตซูโอะทั้ง 2 เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว อาจารย์ท่านก็ศึกษาธรรมะและปฏิบัติมานานไม่เคยมีเรื่องมัวหมอง ตอนนี้ ท่านก็ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสแล้ว ผมเชื่อว่าท่านมีสติรู้ว่าท่านทำอะไรอยู่และกำลังจะทำอะไรต่อไปในอนาคต”
       
       “ผมเชื่อว่าคน 2 คนที่ตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้ คนทั้ง 2 ต้องทำบุญทำกรรมร่วมชาติกันมามาก อย่างที่เขาเรียกว่าบุพเพสันนิวาสและการตัดสินใจของคนทั้ง 2 ก็อยู่ในกฎเกณฑ์กติกาทั้งทางโลกและทางธรรม หากจะถามผมว่าอนาคตของทั้ง 2 จะอยู่กันที่ไหนอย่างไร ผมตอบตรงๆ ว่า ไม่ทราบครับ เพราะถึงเราจะเป็นพี่น้องกัน เราเคารพการตัดสินใจซึ่งกันและกัน เขาจะอยู่เมืองนอกหรือเมืองไทยคือการตัดสินใจของเขาทั้ง 2 ครับ”
       
       และในช่วงค่ำวันเดียวกันนั้นเอง นางสุทธิรัตน์ก็ได้ส่งรูปคู่ล่าสุดขณะ เดินทางไปจดทะเบียนสมรสภายในที่ทำการเขต Shizukuishi จังหวัดอิวาเตะบ้านเกิดของอดีตพระมิตซูโอะมาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนพร้อมกับข้อความที่เป็นลายมือของอดีตพระมิตซูโอะอีกด้วย
       
       “เมื่อบ่ายวันที่ 28 มิถุนายน 2556 ผมมิตซูโอะ ซิบาฮาซีและคุณสุทธิรัตน์ มุตตามระ ภรรยา เดินทางไปที่ทำการเขต Shizukuishi จังหวัดอิวาเตะ Iwate บ้านเกิดผม เพื่อจดทะเบียนสมรส หลังจากนั้นสัปดาห์หน้า ผมและภรรยาจะเดินทางเข้า Tokyu เพื่อยื่นเรื่องการสมรสของเราต่อสถานเอกอัครราชทูตไทยกรุง ToKyu เราทั้ง 2 คนได้ทำตามกฎเกณฑ์ทั้งทางโลกและมิได้มีการกระทำใดๆ ที่ขัดพระธรรมวินัยในทางธรรม ความรักของเราทั้งสองเกิดขึ้นโดยสุจริต ผมได้ตระหนักดีด้วยสติว่า สมควรละเพศบรรพชิต จากนี้ไปชีวิตของเราก็เหมือนกับชาติใหม่ ให้ชีวิตคู่ของเราเป็นเหมือนซากุระต้นหนึ่งที่สวยงามในสังคม เราจะมีชีวิตของเราทั้ง 2 เพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นต่อไป ภาพที่แนบมาด้วยเป็นภาพจากที่ทำการเขตที่เรา 2 คนไปจดทะเบียนสมรสกัน”
       
       อย่างไรก็ตาม ถึงขณะนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า คนทั้งคู่ไปพบรักกันได้อย่างไร เมื่อไหร่และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อดีตพระมิตซูโอะตัดสินใจสละสมณเพศมาเป็นฆราวาส
       
       ทำไมต้องสึกพระ? คำถามที่สังคมยังสงสัย
       
       กระนั้นก็ดี แม้อดีตพระมิตซูโอะจะลงทุนเขียนจดหมายยืนยันด้วยลายมือของตนเอง รวมทั้งเผยแพร่คลิปต่างๆ ออกมาว่าไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่นั่นกลับทำให้ลูกศิษย์คลางแคลงใจหนักขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเสมือนหนึ่งมีการจัดฉากและเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อแก้ข้อครหาของตนเองเสียมากกว่า
       
       คำถามมีอยู่ว่า ทำไมนางสุทธิรัตน์มีจึงไม่รักษาชื่อเสียงของสามีที่สั่งสมความดีในเพศบรรพชิตมากว่า 38 ปีด้วยการหยุดเคลื่อนไหวทั้งหลายทั้งปวง แล้วปลีกตัวไปครองคู่และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบ ไม่ใช่ออกมาโพสต์ภาพหรือให้ข่าวความเคลื่อนไหวเรื่องการแต่งงานของตนเองอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ เพราะยิ่งนางสุทธิรัตน์ยิ่งให้สัมภาษณ์ เพราะยิ่งนางสุทธิรัตน์ยิ่งให้ข้อมูลและยิ่งนางสุทธิรัตน์ยิ่งเผยภาพคู่สุดโรแมนติกกับสามีมากเท่าไหร่ ผลเสียก็ย่อมตกอยู่กับอดีตพระมิตซูโอะเท่านั้น       
       นางสุทธิรัตน์ต้องไม่ลืมว่า สามีของตนเองมีชื่อว่า พระมิตซูโอะ คเวสโก ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพศรัทธามากมาย มิใช่ตาสีตาสา หรือคนธรรมดาเสียเมื่อไหร่
       ที่สำคัญคือ การที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถทำให้พระลาสิกขาได้ ไม่ว่าจะเป็นพระมิตซูโอะหรือพระรูปไหน ก็ย่อมหนีไม่พ้นเสียงติฉินนินทา ซึ่งนางสุทธิรัตน์ที่ผ่านโลกมาก็ไม่น้อยและศึกษาธรรมะมาก็มาก ย่อมสมควรที่รู้ซึ้งในสัจธรรมข้อนี้
       
       ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้อาจไม่มีอะไรลึกซึ้งและเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเลยก็ได้ นั่นคือความรักที่ทั้งคู่มีให้ต่อกันอันเป็นผลมาจากบุญและกรรมที่ทำร่วมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
       กรณีดังกล่าว ผู้ที่ให้ความเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจก็คือ นายยุทธพิชัย ชาญเลขา หรือโดโด้ ดารานักแสดงชื่อดังที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่มีความสนิทกับอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก คนหนึ่ง
       นายยุทธพิชัยระบุว่า ส่วนตัวเคยพบ นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ หรือแอน มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อประมาณเมษายน 2555 ขณะนั้นเป็นช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ และเป็นวันสรงน้ำพระพอดี ซึ่งวันนั้นตนเองเดินทางไปกราบนมัสการพระอาจารย์ หลังจากที่นางสุทธิรัตน์เห็นตนเองก็ได้เข้ามาทักทาย และพยายามพูดคุยและพยายามตีสนิท แต่ตนเองไม่ได้คิดอะไร และยอมรับว่าเคยนั่งรถตู้ของนางสุทธิรัตน์ หนึ่งครั้งเพื่อออกไปทำธุระที่บริเวณปากทางเข้าวัด โดยมีพระอาจารย์เดินทางไปด้วย และขณะนั่งปฏิบัติธรรมอยู่นั้น นางสุทธิรัตน์ ได้เอ่ยปากชวนให้ไปทำนาด้วยกันไหม รวมทั้งชวนเข้าคอร์สเสริมความงามด้วย ซึ่งก็ไม่สนใจ และไม่ได้พูดอะไร เนื่องจากกำลังนั่งปฏิบัติธรรมอยู่
       
       “ผมเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์มายาวนานกว่า 10 ปี และเคยรับใช้พระอาจารย์อย่างจริงจังประมาณ 3 ปี ทั้งขับรถเพื่อนำพระอาจารย์ไปยังสถานที่ต่างๆ ตอนนี้รู้สึกสงสาร และห่วงอาจารย์มาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะท่านอาจารย์ได้ลาสิกขาแล้ว และเดินทางไปอยู่ที่ญี่ปุ่น พระอาจารย์ได้ติดต่อกับมาที่ผม 2 ครั้ง ท่านห่วงใยจึงโทร.มาเพื่อสอบถามทุกข์สุขเหมือนปกติ แต่หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ติดต่อท่าน รับทราบแต่ทางข่าวทางสื่อมวลชนเท่านั้น”
       นายยุทธพิชัยให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า ส่วนการกระทำที่นำคลิปออกมาเผยแพร่อย่างต่อเนื่องนั้นถือว่ามีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก ส่วนการกระทำในครั้งนี้จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่ตนไม่ทราบ และไม่อยากออกความเห็นในเรื่องนี้ แต่มองว่าการที่เขาเข้ามาที่วัดสุนันทวนาราม ถือเป็นเรื่องที่เข้าแล้วทำให้เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงที่วัด และทำให้พระอาจารย์มิตซูโอะ ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้
       “ยิ่งมีการเผยแพร่ภาพคลิปต่างๆ ยิ่งบั่นทอนความรู้สึกของศิษยานุศิษย์ และทำให้สังคมมองคำสอนของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก แต่ผมมองว่าคำสอนของพระอาจารย์ในขณะที่เป็นพระถือเป็นคำสอนที่มีคุณค่ามาก แต่การกระทำเกิดขึ้นมันเหมือนกับกำลังทำลายหนังสือ

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000082260
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

whuchi

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 80
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ที่ใด มีรัก ที่นั่น มีทุกข์ และ มีส้งสารวัฏ รออยู่ ในเบื้องหน้า

 :49:
บันทึกการเข้า