ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี รับศักราชใหม่ด้วยการเจริญสติ  (อ่าน 3274 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
นับเวลาถอยหลังในวันหยุดยาวระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 53 – 3 ม.ค. 54 เพื่อร่วมเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับศักราชใหม่ หลายคนต่างเตรียมคิดหาสถานที่ร่วมกิจกรรมอันเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต สวนโมกข์ กรุงเทพฯ ซึ่งได้ร่วมกับหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ กรุงเทพมหานคร กระทรวงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และโครงการศูนย์สื่อ ศิลปะ มหรศพเพื่อปัญญา โดยการสนับสนุนของ สสส.จัดงานเทศกาลเจริญสติรับปีใหม่... ชีวิตใหม่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสปีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ ปี ระหว่างวันที่ 16 – 21 ธ.ค. 53
   
ตลอดงานยังมีนิทรรศการแนะนำเส้นทางและ 50 สถานที่ปฏิบัติธรรมทั่วไทย รับปีใหม่...ชีวิตใหม่ , ติดตั้งและสมโภช “ภาพกิจกรรมฝาผนังปริศนาธรรมชุดใหญ่”ของสวนโมกข์กรุงเทพ, แสดงภาพจิตกรรมไทยชุดงอกเงยด้วยธรรม งดงามด้วยศิลป์, เสวนา ดนตรี ละครบันเทิงธรรม จากหลายศิลปิลป์ และหมู่คณะ, การเลือกหาหนังสือธรรมะ จากหลากหลายสำนัก, ทำบุญหนังสือดี สื่อธรรมะแด่น้องน้อย ให้กับห้องสมุดในพื้นที่ประสบภัย
   
รวมทั้งยังมีพระอาจารย์ฝึกสอนและนำเจริญจิตภาวะนาอาทิ พระโสภณ  ฉันทธัมโม จากสวนธรรมะสากล สงขลา , พระศรีญาณโสภณ ปิยโสภณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กทม. , คณะปฏิบัติธรรมวัดแห่งสติกับหมู่บ้านพลังประเทศไทย, พระราชปัญญาวิสารัท (หลวงพ่อเหลือง) วัดกระดึงทอง บุรีรัมย์, พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) สถาบันวิมุตตยาลัย กรุงเทพฯ ฯลฯ   
   
เทศกาลเจริญสติ... รับปีใหม่ ... ชีวิตใหม่ ในช่วง 1 สัปดาห์ที่พุทธสนิกชนจะได้เดินทางเข้ามาปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา ในห้องนิพพานชิมลอง  หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อเปิดรับรับสิ่งดีๆเติมเต็มความสุขที่แท้จริงให้กับชีวิต และร่วมเจริญจิตภาวนาข้ามปี ณ วัด ศาสนสถาน หรือศูนย์กลางชุมชนทั่วประเทศ ในคืนวันที่ 31 ธ.ค.53 ต่อเช้าวันที่ 1 ม.ค.54             
   
“ท่านพระอาจารย์พุทธทาส ได้กล่าวอวยพรพรว่า ปีใหม่ทั้งทีขอให้มีชีวิตใหม่ อย่าให้อายหัวเผือกหัวมัน เพราะหัวเผือกหัวมันพอข้ามปี หัวมันก็ยังโตขึ้น เราเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งทีต้องทำให้ดียิ่งขึ้น สมกับความเป็นมนุษย์ ทุกคืนวันที่ 31 ธ.ค. ท่านจะบอกว่ามาร่วมกันแล้วสวดมนต์ภาวนาให้นึกถึงว่าปีที่ผ่านมาได้ทำอะไร บกพร่องไว้ก็ต้องจะไม่ทำอีก อยากทำอะไรสิ่งดีๆก็ต้องตั้งใจมุ่งมั่น”นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการหอจดหมายเหตุฯกล่าว
   
กฤษศพงษ์  ศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวว่า  ด้วยความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ กระทรวงวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2554 นี้ถือว่าเป็นปีมหามงคล เพราะต้องการให้ทุกศาสนาได้ประพฤติ ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน ความเชื่อที่เคราพนับถือ เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดมาตั้งแต่อดีตเพื่อให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียม ประเพณีไทย ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ กระทรวงฯจัดทำต้อนรับปีใหม่ด้วยวิธีพุทธ เมื่อเราทำสิ่งใดก็ตาม เราจะนึกถึงสิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต ที่ผ่านมาเรามักจะลืมเลือนสิ่งที่ล้ำค่านี้ไป แต่ไปยึดฉลองปีใหม่กับความเฮฮา ดื่มสุรา ซึ่งล้วนและผิดศิลธรรมทั้งสิ้น
   
กระทรวงฯโดยกรมการพุทธศาสนาต้องการที่จะผลักดันให้วันที่ 31 ธ.ค. นี้ เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ โดยการเจริญภาวนาข้ามปี เพื่อเตือนสติของตนว่าสิ่งที่ทำมาเป็นอย่างไรบ้าง และจะเกิดการแก้ที่จุดไหนต่อไป  สนับสนุนให้เริ่มศักราชใหม่ด้วยการให้ 30 , 000 วัดทั่วประเทศร่วมสวดมนต์ข้ามปีด้วย เพื่อเตือนสติในชีวิตใหม่ นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราไม่มีหลักธรรมในใจ ความหายนะก็จะตามมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทรวงฯได้กระตุ้นให้เด็ก เยาวชน เห็นความสำคัญในเรื่องดังกล่าว   
   
“ส่วนวัดในกรุงเทพมหานคร ได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ ช่วยกันประชาสัมพันธ์ในเทศกาลเจริญสติ... รับปีใหม่ ชีวิตใหม่ เพื่อต้องการให้คนในกรุงเทพฯ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการฝึก ปฏิบัติและร่วมสวดมนต์ข้ามปีเพราะเชื่อว่าบุญกุศลจะช่วยให้ชีวิตเรามีความ เจริญรุ่งเรืองได้”เจตน์ โศภิษฐ์พงศธร โฆษกกรุงเทพมหานครกล่าว
   
ผอ.เยียรยงค์ ไชยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกรุงเทพกล่าว  อีกทั้งยังมีในส่วนของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หลายคนได้โทรศัพท์มาสอบถามกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยว่า มีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง สถานที่ไหนน่าสนใจ มีโปรแกรมเที่ยวอย่างไร ทุกคำถามล้วนได้ยินแต่เรื่องเที่ยวทั้งนั้น อาจจะเป็นคำถามตามมาว่า จะไปเที่ยวที่ไกลๆให้เหนื่อยทำไม เราหากิจกรรมดีๆทำเพื่อต้อนรับปีใหม่ จะเห็นได้ว่าในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ทุกปี กรุงเทพฯจะกลายเป็นเมืองร้าง หลักจากได้มีการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีที่ผ่านมาแล้วนั้นยอดของประชากรใน เขตกรุงเทพฯล้วนลดลงครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งเป็นการหมุนเวียนเศรษฐกิจของประเทศ
   
ในปีนี้จึงอยากให้เข้ามาร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ปฏิบัติธรรม และยังได้รับคำอวยพรจากท่านพระอาจารย์พุทธทาสว่า ปีใหม่นี้ขอให้ได้รับสิ่งดีๆที่มนุษย์พึ่งจะได้รับ   
   
ภายในงานนั้นยังมีตัวแทนกลุ่มจิตกรไทยรวม 14 คนที่ร่วมถ่ายทอดเรื่องราว แฝงด้วยหลักธรรมทั้งสิ้น อาทิ ภาพตากับยาย ซึ่งเป็นศิลปะไทย , พระเจ้าสร้างโลก, รามะธิเบตร ลิงล้างหู ฯลฯ ที่ร่วมนำมาจัดแสดงในงานด้วย       
   
ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของหน่วยงานต่างๆแล้วยังมีโอกาศได้รับพรดีๆเพื่อเป็น แนวทางในการดำเนินชีวิต ต้อนรับเทศกาลปีใหม่จากพระอาจารย์มิตซูโอะ  ควาสโก วัดป่าสุนันทวนาราม บ้านท่าเตียน จ.กาญจนบุรี ได้อธิบายว่า ชีวิตของเรานี้เป็นทุกข์ได้เกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่สบายใจล้วนมี ปัจจัยดังต่อไปนี้ ความแก่ เจ็บ และ ตาย ของเรา ญาติพี่น้อง บุคคลรอบข้างซึ่งผลที่ปรากฏในปัจจุบันเรียกว่ากรรมเก่า พ่อ แม่ พี่ น้อง ประเทศชาติ เหตุการณ์ต่างๆล้วนเป็นสิ่งที่ปรารถนา และไม่ปรารถนา โดยเฉพาะมนุษย์มักคิดถึงแต่ความไม่สบายใจ เราไม่ควรหวั่นไหวต่อเรื่องราวต่างๆ ไม่ยินดี ยินร้าย หมายความว่า พระพุทธเจ้าที่มีพรมวิหาร  4 เมตตา กรุณามุทิตา อุเบกขา  ที่ตรัสรู้ ก็ย่อมหนีไม่พ้นสิ่งที่ไม่ปรารถนาได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้เหมือนลมข้างกาย ถ้าเราใช้ชีวิตยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ก็จะเกิดประโยชน์ ให้เข้าใจว่าอดีตล้วนเป็นเช่นนั้นเอง จงทำจิตใจให้อยู่กับปัจจุบันเป็น สันทิฏฐิโก
   
ในความสุขที่แท้จริงแล้วนั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลายล้วนหวังเข้าสู่ นิพพาน เรียกได้ว่าเป็นความสุขที่แท้จริง จึงทำให้เกิดการเจริญภาวนาสติขึ้นอยู่สม่ำเสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับความสุขที่ไม่แท้จริง จะหวนนึกคิดจมปักอยู่แต่เรื่องราวในอดีตและอนาคต แม้ว่าจะแสวงหาความสุขเป็นหมื่นเป็นแสนปี ก็จะไม่มีความสุข  เราควรเอาใจใส่ในปัจจุบันให้มากที่สุดยึด อิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เพิ่มการเจริญสติ

สติเรารู้ในลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ไม่ควรที่จะไปยินดี ยินร้าย นั้นหมายถึง อย่านึกคิดและปรุงแต่ง คิดถึงความรู้สึกที่พอใจ และไม่พอใจ ใครจะนินทา สรรเสริญเราต้องทำใจให้สงบ เช่น หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เราจะรับรู้สติด้วยลมหายใจเข้าออกทุกครั้ง สติปัญญาล้วนอยู่เหนืออารมณ์ รู้จักควบคุมความคิด ปล่อยวาง  อารมณ์ที่สงบ
   
อีกวิธีหนึ่งคือการนั่งสมาธินั้นเป็นการสัมผัสประสบการณ์ รัก เมตตา แก่ตนเอง  หากคนไทยรวม 65 ล้านคนมีเมตตาในตนเองก็จะทำให้เราสบายใจ จงอย่าเข้าใจว่ารักตนเองคือการเห็นแก่ตัว เราต้องมีจิตใจที่แน่วแน่มี จิตใจที่สงบ ไม่ยินดียินร้ายต่อเรื่องใดๆ เพราะสมองของมนุษย์เปรียบเสมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อเราตั้งใจทำสมาธิเราก็ต้องปิดคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องคำนวณใดๆทั้งสิ้น ดั่งพระพุทธเจ้าท่านได้เปรียบเทียบเอาไว้ จิตของเรานี้อาศัยอยู่ในถ้ำ  คือจิตของเราอยู่ในร่างกายต้องบังคับไม่ให้ออกไปนอกบ้าน คือไม่ให้คิด ไม่ยินดี ยินร้าย เรื่องในอดีต พยายามทำลมหายใจให้เป็น กัลยาณมิตร
   
การทำจิตใจที่จะต้องเจริญอานาปานสติ เปลี่ยนเป็นผู้ที่มีเมตตา มีความรักตัวเอง วันนี้เรามีความรู้สึกรักคนนี้ คนนั้น บางคนก็ได้รับความเสียใจที่ไม่ได้รับความรักที่เราต้องการตอบแทนกลับมาชีวิต ของเราก็จะเป็นทุกข์ เพระพยายามฝากชีวิตไว้กับคนอื่น ลองจินตนาการดูว่า  เมื่อเราต้องการน้ำ แต่มีแต่น้ำแข็งก็ดี ใจที่ได้นำแข็งซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน น้ำแข็งพาความร้อนสัมผัสกับความร้อน น้ำแข็งก็จะละลาย ทุกข์อยู่ที่ไหนต้องเจริญสติ สัมปชัญญะอยู่ที่นั้น แทนที่เราจะส่งจิตออกไปข้างนอกเพื่อโกรธ ทุกข์ใจ ทำให้ไม่สบายใจ

ไม่คิดน้อยใจ ไม่คิดโกรธ ไม่คิดกลัวไม่ขี้เกียจ ไม่ฟุ้งซ่านเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วก็พยายามควบคุมสติโดยการฝึกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก สามารถปล่อยว่างละลายหายไปได้ตัวเราเอง จะพบกับความสุขได้ เพราะธรรมชาติของจิตใจของมนุษย์นั้นมีแต่ความสุขและสงบ

เราต้องยิ้มน้อยๆ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย ทำใจสบายๆ เพื่อต้อนรับปีใหม่และปีต่อ ๆ ไป

ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=660&contentID=110290
บันทึกการเข้า