แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
10204
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / หลักการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ
|
เมื่อ: สิงหาคม 27, 2016, 10:51:52 am
|
หลักการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯความนำ การปฏิบัติวิปัสสนาธุระเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของพุทธศาสนิกชนควบคู่กับคันถธุระการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา คันถธุระ การปฏิบัติพระกัมมัฏฐานในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย ถือกำเนิดมาพร้อมกับการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ ผู้ทรงสถาปนามหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้เพื่อให้พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายได้ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง การศึกษาพระไตรปิฎกนั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของพระสงฆ์อยู่แล้ว
ส่วนการศึกษาวิชาชั้นสูงนั้นน่าจะหมายถึงการศึกษาวิชาการ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติและเผยแผ่พระศาสนาควบคู่กันไป กล่าวเฉพาะด้านพระศาสนา วิถีชีวิตของพระภิกษุสงฆ์ นอกจากจะมีความเป็นผู้นำด้านความรู้ในพระไตรปิฎกแล้ว ยังจะต้องพัฒนาตนให้เป็นพระสงฆ์ในอุดมคติ ด้วยการพัฒนาตนนั้นจะต้องอาศัยหลักการปฎิบัติพระกัมมัฏฐานเพื่อฝึกฝนอบรม โสฬสญาณ ญาณ ๑๖ อันเป็นวิชาชั้นสูงให้เกิดขึ้นในขันธสันดาน
จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนั้น ก็เพื่อชำระจิตของผู้ปฏิบัติให้บริสุทธิ์สะอาดหมดจดจนกระทั่งถึงบรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดทางพระพุทธศาสนา ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ทรงมอบพระพุทธศาสนาให้เป็นสมบัติของพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งได้บรรลุธรรมระดับใดก็ตามด้วยการเจริญพระกัมมัฏฐาน ก็ย่อมจะทำให้พุทธบริษัทเหล่าอื่นเกิดความมั่นใจในการเจริญพระกัมมัฏฐาน โดยเห็นว่า การเจริญพระกัมมัฏฐานเป็นการปฏิบัติธรรม เพื่อพัฒนาจิตของมนุษย์ให้บรรลุถึงพระนิพพานได้ ผู้ที่เคยเจริญพระกัมมัฏฐานอย่างไร้จุดหมายหรือมีความท้อแท้หมดกำลังใจในการปฏิบัติ ก็จะมีกำลังใจในการปฏิบัติมากขึ้น
ในขณะเดียวกันผู้ที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมระดับใดระดับหนึ่งก็สามารถพัฒนาจิตของตนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพานได้ สังคมโลกก็จะได้รับประโยชน์คือสันติภาพพร้อม ๆ กับผู้ปฏิบัติธรรม ปัญหาต่าง ๆ ที่โลกกำลังประสบอยู่ เช่น การเบียดเบียนกัน การเข่นฆ่ากัน การแย่งชิงผลประโยชน์กัน ก็จะลดน้อยลงไปตามลำดับ เพราะอาศัยบุคคลผู้มีคุณภาพดี มีจำนวนมากขึ้นในสังคม
การปฏิบัติพระกัมมัฏฐานในพระพุทธศาสนา มีหลายวิธีด้วยกัน แต่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท มีความเชื่อและยอมรับแนวการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ตามที่มีปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาว่า เป็นวิธีการที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและสามารถทำให้พุทธศาสนิกชน ได้พัฒนาตนจากระดับปุถุชนธรรมดาเป็นพระอริยบุคคลซึ่งเป็นบุคคลในอุดมคติของพระพุทธศาสนา
ในบทความนี้ จะกล่าวถึงเรื่องที่สำคัญ ๓ ประการ คือ ๑.หลักกัมมัฏฐานในพระไตรปิฎก ๒.หลักมหาสติปัฏฐาน ๓.โสฬสญาณหลักกัมมัฏฐานในพระไตรปิฎกก. สมถกัมมัฏฐาน พระพุทธศาสนาแบ่งพระกัมมฎฐานออกเป็น ๒ วิธีปฏิบัติด้วยกัน วิธีที่ ๑ เรียกว่า สมถกัมมัฏฐาน วิธีที่ ๒ เรียกว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๔ (คัมภีร์ธัมมสังคณี) ข้อ ๔๕ หน้า ๓๐ ได้ให้ความหมายของสมถกัมมัฏฐานไว้ว่า "กตโม ตสฺมึ สมเย สมโถ โหติ ยา ตสฺมึ สมเย จิตฺตสฺส ฐิติ สณฺฐิติ อวฏฺฐิติ อวิสาหาโร อวิกฺเขโป อวิสาหฏฺฐมานสตา สมโถ สมาธินฺทฺริยํ สมาธิพลํ สมฺมาสมาธิ อยํ ตสฺมึ สมเย สมโถ โหติ" แปลความว่า สมถะ ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นเป็นไฉน ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่ ความตั้งมั่น ความไม่ซัดส่าย ความไม่ฟุ้งซ่าน ความที่จิตไม่ซัดส่าย สมถะ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ สัมมาสมาธิ ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่าสมถะ ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น
ดังนั้น สมถกัมมัฏฐาน จึงหมายถึงอุบายวิธีสำหรับฝึกจิตให้สงบ ในงานเขียนนี้ จะไม่นำเสนอขั้นตอนวิธีการฝึกจิตให้เกิดสมาธิในคัมภีร์วิสุทธิมรรคโดยละเอียด เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่า ภาวะที่จิตสงบอันเกิดจากการเจริญสมถกัมมัฏฐานไม่ว่าจะได้สมาธิในระดับใดก็ตามก็ถือว่าได้สมาธิแล้ว เหตุที่ต้องฝึกจิตให้เกิดสมาธิ เพราะว่าโดยธรรมชาติ ปุถุชนมักจะถูกกิเลสทำให้จิตไม่สงบเสมอ พระพุทธศาสนาอธิบายว่า การที่จิตไม่สงบนั้น เป็นเพราะจิตถูกนิวรณ์ ๕ ชนิด เข้าครอบงำ
นิวรณ์ ๕ ชนิดนั้น คือ (๑) กามฉันทะ ภาวะที่จิตมีความอยากได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ผัสสะ) ธัมมารมณ์ที่น่าใคร่ น่าพอใจ (๒) พยาบาท ภาวะที่จิตมีความขัดเคืองใจ มองคนในแง่ร้าย (๓) ถีนมิทธะ ภาวะที่จิตมีอาการหดหู่ เซื่องซึม ไม่เข้มแข็ง (๔) อุทธัจจกุกกุจจะ ภาวะที่จิตฟุ้งซ่าน เดือดร้อนใจ จิตไม่หยุดนิ่ง และ (๕) วิจิกิจฉา ภาวะที่จิตมีความสงสัย ลังเล มีความคิดแยกเป็น๒ ทาง เลือกไม่ถูกว่าจะไปทางไหน
เมื่อมนุษย์ถูกกิเลสเหล่านี้ครอบงำแล้วจิตก็จะแกว่งไปตามอำนาจกิเลส ไม่สามารถทรงตัวอยู่ในความนิ่งสงบได้ จริงอยู่ การที่จิตจะเป็นกลาง หยุดนิ่ง ไม่ไหลเวียนไปตามอำนาจของกิเลสเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง พระพุทธศาสนาสอนว่าการที่จะเอาชนะกิเลสเหล่านี้ได้ ต้องเปิดโอกาสให้ตนเองได้พัฒนาสมาธิ จึงจะสามารถระงับกิเลสเหล่านี้ให้ลดลงโดยลำดับได้วิธีฝึกฝนจิตด้วยหลักสมถกัมมัฏฐาน ๑. วิธีฝึกจิตไม่ให้ลุ่มหลง อยากได้รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ ที่น่าพอใจ ผู้ปฏิบัติต้องฝึกหัดมองสิ่งที่น่าใคร่น่าพอใจเหล่านี้ว่า เป็นของไม่มีความสวยงามที่แท้จริง ไม่คงทนถาวรอย่างที่เราคิดไว้ เมื่อเราฝึกฝนความคิดมองให้เห็นความจริงเช่นนี้ จิตที่เคยยึดมั่นถือมั่นก็จะค่อย ๆ คลายจากความยึดถือน้อยลงไปบ้าง การปล่อยวางจะทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะการฝึกหัดมองให้เห็นความจริง จะทำให้เราได้ประสบกับความจริงด้วยตนเอง ๒. วิธีฝึกจิตไม่ให้มีความขัดเคือง ไม่มองคนอื่นในแง่ร้าย ผู้ปฏิบัติจะต้องปลูกจิตที่มีแต่เมตตา รู้จักรักผู้อื่น อีกทั้งเพ่งกสิณที่มีสีต่าง ๆ เช่น สีเขียว (นีลกสิณ) สีเหลือง (ปีตกสิณ) สีแดง (โลหิตกสิณ) สีขาว (โอทาตกสิณ) จะทำให้จิตที่ชอบขัดเคือง มีปีติ (เอิบอิ่มใจ) โสมนัส (ความยินดี) เพิ่มขึ้น ความโกรธ ความขัดเคืองที่เคยมีมาก่อนก็จะค่อย ๆ จางหายไป ๓. วิธีฝึกจิตไม่ให้ถูกถีนมิทธะอันเป็นภาวะที่จิตง่วงนอนเศร้าซึมเข้าครอบงำ ผู้ปฏิบัติต้องฝึกหัดการกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก (อานาปานสติ) เมื่อฝึกบ่อย ๆ จิตใจก็จะเข้มแข็ง ไม่ง่วงนอน ไม่เศร้าซึม เป็นจิตมีสมาธิเพิ่มขึ้น ๔. วิธีฝึกจิตไม่ให้ความฟุ้งซ่านรำคาญ ผู้ปฏิบัติต้องฝึกหัดกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก (อานาปานสติ) เช่นเดียวกับผู้ถูกถีนมิทธะเข้าครอบงำ สภาวะจิตที่มีความเข้มแข็ง ก็จะมีสมาธิมากขึ้น ความฟุ้งซ่านหายไป มีแต่สมาธิเข้ามาแทนที่ ๕. วิธีฝึกจิตไม่ให้ความสงสัย (วิจิกิจฉา) เข้าครอบงำ ผู้ปฏิบัติจะต้องฝึกหัดให้เป็นคนมีเหตุผลตามหลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ การที่เราจะพัฒนาความสามารถทางปัญญาตามแบบอย่างของพระพุทธเจ้า ก็จะทำให้เราพบอุปสรรคน้อยลงจนหมดอุปสรรคในที่สุด
ดังนั้น ตามหลักพระพุทธศาสนา การที่จิตถูกนิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่งในนิวรณ์ ๕ เข้าครอบงำ ถือว่าจิตถูกรบกวนไม่เป็นสมาธิแล้ว ในความรู้สึกของคนทั่วไป การฝึกสมาธิต้องให้มีสมาธิมาก ๆ (ขั้นอัปปนาสมาธิ) จึงจะถือได้ว่า ประสบความสำเร็จในการฝึกสมาธิ หากฝึกสมาธิได้เพียงชั่วขณะ (ขณิกสมาธิ) ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ตามหลักวิปัสสนากัมมัฏฐาน จิตที่เป็นขณิกสมาธิ ก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาวิปัสสนาปัญญา อย่างไรก็ตาม การที่จะใช้หลักสมถกัมมัฏฐาน เป็นเครื่องมือฝึกจิตให้ระงับนิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่งหมดในทันทีทันใดนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะปราศจากนิวรณ์ได้ทั้งหมดก็คือ พระอรหันต์ (ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจนหมดกิเลสแล้ว) เท่านั้น การที่ปุถุชนทั่วไปจะเจริญสมถ-กัมมัฏฐานไปจนกว่าจะละนิวรณ์ได้ทั้งหมดแล้ว จึงหันไปฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน นับว่าเป็นสิ่งที่เนิ่นช้าถ่วงเวลาในการปฏิบัติธรรมชั้นสูง สำหรับผู้ใคร่ต่อการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ดังนั้น บุคคลทั่วไป แม้ยังไม่สามารถละนิวรณ์ได้หมดทุกตัว และมีสมาธิชั่วประเดี๋ยวเดียว(ขณิกสมาธิ) ก็สามารถนำสมาธิชนิดนี้ มาเป็นเครื่องมือในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อไปได้
ขณะที่ผู้ปฏิบัติเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ หากมีนิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาครอบงำในระหว่างนั้น ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถฝึกกำหนดได้ทันที โดยการกำหนดรู้ตามความเป็นจริง จิตก็จะไม่ตกอยู่ในอำนาจของนิวรณ์เหล่านั้นและเมื่อผู้ปฏิบัติฝึกกำหนดรู้นิวรณ์ ๕ อยู่บ่อย ๆ ก็สามารถใช้ความสงบขั้นขณิกสมาธิ เป็นเครื่องมือในการประหาณนิวรณ์ได้ โดยผ่านกระบวนการของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ด้วยเหตุนี้ขณิกสมาธิก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นมัคคสมาธิต่อไปลักษณะสมาธิแบบพุทธศาสนาในคัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงบริขารแห่งสมาธิไว้ ๗ ประการ (บริขารในที่นี้หมายถึงบริวาร หรือองค์ประกอบแห่งมัคคสมาธิ (ที.ม.อ. ๒๙๐/๒๕๗, องฺ. สตฺตก. อ. ๓/๔๔-๔๕/๑๘๒) ไว้ว่า บริขารแห่งสมาธิ ๗ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) ๒. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ) ๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) ๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ) ๕. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) ๖. สมมาวายามะ (พยายามชอบ) ๗. สัมมาสติ (ระลึกชอบ)
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย สภาวะที่จิตมีอารมณ์เดียว ซึ่งมีองค์ ๗ ประการนี้แวดล้อม เรียกว่า อริยสัมมาสมาธิที่มีอุปนิสะ บ้าง คำว่า อุปนิสะ ในที่นี้ได้แก่ หมวดธรรมที่เป็นเหตุ ทำหน้าที่ร่วมกัน (ที.ม.อ. ๒๙๐/๒๕๗, ที.ม.ฏีกา ๒๙๐/๒๖๗) เรียกว่า อริยสัมมาสมาธิที่มีบริขาร บ้าง
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้มีสัมมาทิฏฐิ จึงมีสัมมาสังกัปปะ ผู้มีสัมมาสังกัปปะจึงมีสัมมาวาจา ผู้มีสัมมาวาจา จึงมีสัมมากัมมันตะ ผู้มีสัมมากัมมันตะ จึงมีสัมมาอาชีวะ ผู้มีสัมมาอาชีวะ จึงมีสัมมาวายามะ ผู้มีสัมมาวายามะ จึงมีสัมมาสติ ผู้มีสัมมาสติ จึงมีสัมมาสมาธิ ผู้มีสัมมาสมาธิ จึงมีสัมมาญาณะ ผู้มีสัมมาญาณะ จึงมีสัมมาวิมุตติ (ที.ม. ๑๐/๒๙๐/๒๒๔-๒๒๕)
จากพระพุทธพจน์ที่ยกมานี้จึงแสดงให้เห็นว่า สมาธิหรือภาวะที่จิตสงบ ไม่ใช่เป็นภาวะที่จิตไร้สติ ขาดสัมปชัญญะ(ปัญญา) แต่หากเป็นสมาธิที่มีอริยมรรคเป็นองค์ประกอบอยู่ในจิต จึงจะสามารถนำไปเป็นเครื่องมือในการเจริญวิปัสสนา กัมมัฏฐานต่อไปได้ข. วิปัสสนากัมมัฏฐาน วิปัสสนากัมมัฏฐาน คืออุบายวิธีสำหรับฝึกจิตให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๔ ข้อ ๕๕ หน้า ๓๐ ได้ให้ความหมายของวิปัสสนาไว้ว่า "กตมา ตสฺมึ สมเย วิปสฺสนา โหติ ยา ตสฺมึ สมเย ปญฺญา ปชานานา วิจโย ปวิจโย ธมฺมวิจโย สลฺลกฺขณา อุปลกฺขณา ปจฺจุปลกฺขณา ปณฺฑิจฺจํ โกสลฺลํ เนปุญฺญํ เวภพฺยา จินฺตา อุปปริกฺขา ภูรีเมธา ปริณายิกา วิปสฺสนา สมฺปชญฺญํ ปโตโท ปญฺญา ปญฺญินฺทฺริยํ ปญฺญาพลํ ปญฺญาสตฺถํ ปญฺญาปาสาโท ปญฺญาอาโลโก ปญฺญาโอภาโส ปญฺญาปชฺโชโต ปญฺญารตนํ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฏอยํ ตสฺมึ สมเย วิปสฺสนา โหติ"
แปลความว่า วิปัสสนาที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น เป็นไฉน ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้อย่างแจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ปัญญาเครื่องนำทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ดี ปัญญาเหมือนรัตนะ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฎฐิ ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า วิปัสสนา ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตาม แม้พระไตรปิฎกจะให้ความหมายของคำว่า วิปัสสนา ไว้หลายนัยก็ตาม แต่ผู้ปฏิบัติก็ต้องผ่านกระบวนการฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักสติปัฎฐาน ซึ่งเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก จึงจะสามารถพัฒนาวิปัสสนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้ หลักการฝึกเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น แม้ผู้เข้าฝึกจะมีสมาธิในระดับใดก็ตาม ก็สามารถนำมาเป็นเครื่องมือในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ แม้แต่จิตที่สงบชั่วขณะ (ขณิกสมาธิ) ก็สามารถนำมาเป็นพื้นฐานในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้
ดังที่ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคว่า ปราศจากขณิกสมาธิเสียแล้ว วิปัสสนาย่อมมีไม่ได้ (วิสุทธิ.ฏีกา. ๑/๑๕/๒๑) อีกทั้งผู้เจริญสมถกัมมัฏฐานจนได้ผลของสมถะในระดับสูง เช่น แสดงฤทธิ์ได้ ก็สามารถนำผลนั้นมาเป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ด้วย เพราะการได้ฌานสมาบัติจนถึงขนาดแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้นั้น ถ้ายังไม่ผ่านกระบวนการฝึกจิต ด้วยหลักวิปัสสนากัมมัฏฐานจนถึงขั้นบรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็ยัง ไม่ถือว่าได้บรรลุจุดหมายสูงสุดในทางพุทธศาสนา เพราะอิทธิฤทธิ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่เสื่อมสลายไปได้เสมอ ในกรณีที่เกิดกับคนยังมีกิเลสอยู่ แต่ถ้าเกิดกับคนที่ไม่มีกิเลส อิทธิฤทธิ์ก็สามารถใช้เป็นคุณประโยชน์ได้ เช่นการที่พระมหาโมคคัลลานะแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อประกาศคุณของพระพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนาถือว่า การฝึกฝนอบรมจิตให้เกิดปัญญา ตามกระบวนการวิปัสสนากัมมัฏฐานถึงขนาดทำลายกิเลสได้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะการฝึกฝนอบรมจิตนี้ย่อมจะทำให้ความไม่รู้(อวิชชา)หายไป เปรียบเหมือนแสงสว่างทำให้ความมืดหายไป ด้วยจิตของปุถุชนโดยปกติหนาแน่นไปด้วยกิเลส เมื่อได้รับการชำระโดยกระบวนการวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว สภาพจิตก็จะบางเบาจากกิเลส เปลี่ยนไปในทางที่ดี จากสภาพจิตของปุถุชนธรรมดากลายเป็นกัลยาณปุถุชน จนเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นชีวิตในอุดมคติของพระพุทธศาสนา ดังนั้น เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า พระอรหันต์ทุกรูปต้องผ่านการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน(สติปัฏฐาน) มาแล้วทั้งนั้น
ยังมีต่อ โปรดติดตาม.....
|
|
|
10205
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ในทัศนะทางพระพุทธศาสนา
|
เมื่อ: สิงหาคม 27, 2016, 09:38:00 am
|
มุมมองเรื่องการเคารพทรัพย์สินทางปัญญา จากทัศนะพระไตรปิฎกเถรวาท ปัจจุบันคำว่า “ห้ามลอกเลียนแบบ” ถูกหยิบยกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย นับแต่รัฐบาลได้ออก พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และกฎหมายอื่น ๆ อันเนื่องด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ที่ทำให้สิ่งที่เป็นประดิษฐกรรมหรือผลงานสร้างสรรค์ทางปัญญา ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามเงื่อนไขของกฎหมายโดยอัตโนมัติ[๑]
กล่าวคือ สิ่งที่สร้างหรือประดิษฐ์โดยผลงานทางปัญญาของมนุษย์ เช่น หนังสือ ภาพวาด ภาพถ่าย หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ กฎหมายถือให้เป็น “ทรัพย์สิน” “ทางปัญญา” ชนิดหนึ่ง ที่ผู้สร้างสรรค์มีสิทธิที่จะหวงแหนกีดกันโดยสิ้นเชิงไม่ยอมให้ใครนำผลงานทางปัญญาของตนไปใช้ได้ (exclusive rights)[๒] หรือแม้แต่ผู้สร้างสรรค์จะนำทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นเพียงการแสดงออกซึ่งความคิดของตน (expression of idea) ไปซื้อขายก็ย่อมทำได้
กฎหมายประเภทนี้เมื่อพิเคราะห์ดูแล้ว จึงกล่าวได้ว่าเป็นกฎหมายที่แปลกกว่ากฎหมายอื่น เพราะยอมให้มีการซื้อขายได้แม้กระทั่ง “สิ่งที่จับต้องไม่ได้” แต่ทว่ากฎหมายดังกล่าวก็เป็นกฎหมายสำคัญที่คุ้มครองสิทธิของผู้มีความพยายามในการสร้างสรรค์ผลงาน ในอันที่จะได้รับสิทธิผูกขาดการแสวงหาประโยชน์จากผลงานทางปัญญาของตน
แม้พัฒนาการของการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในปัจจุบันดังกล่าว จะเริ่มต้นมาจากแนวคิดของตะวันตก[๓] และพึ่งเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยไม่นาน แต่ปรากฏว่าคนไทยก็ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่าทรัพย์สินทางปัญญามานานแล้ว และแม้จะไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของคนไทยในสมัยก่อน แต่ก็ปรากฏในธรรมเนียมปฏิบัติของครูอาจารย์สำนักต่าง ๆ เช่น สำนักหมอยาพื้นบ้านไทย ที่มีวิธีการหวงกันองค์ความรู้ โดยจะส่งต่อให้เฉพาะแก่ผู้สืบสกุล, สายศิษย์ของตนหรือกลุ่มของตนเท่านั้น (ทัศนคติเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นภูมิปัญญาไทยสูญหายไปพร้อม ๆ กับบุคคล) ซึ่งสิ่งเหล่านี้แม้จะเป็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามนิยามในปัจจุบัน แต่ก็ผิดวัตถุประสงค์ของการค้นพบองค์ความรู้ใหม่และกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ที่ให้การคุ้มครองมีวันสิ้นสุดตามกำหนด เพื่อให้องค์ความรู้เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ[๔]
ซึ่งหากมองการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมาย และวิธีคิดโบราณในการสืบต่อองค์ความรู้ของไทยดังกล่าว โดยพิจารณาจากเนื้อหาที่ปรากฎในคัมภีร์หลักทางพระพุทธศาสนา ก็อาจกล่าวได้ว่าการกระทำดังกล่าว เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับทัศนคติเชิงพุทธในหลักการที่ไม่นิยมสิ่งที่สุดโต่งเกินไป[๕] โดยพระพุทธศาสนากล่าวว่าการหวงกันองค์ความรู้จัดเป็นความตระหนี่อย่างหนึ่ง ดังปรากฏในพระไตรปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค[๖] ที่กล่าวถึง “มัจฉริยะ ๕” หรือ ความตระหนี่ ๕ อย่าง ว่ามี ๑. อาวาสมัจฉริยะ ตระหนี่ที่อยู่ ๒. กุลมัจฉริยะ ตระหนี่สกุล ๓. ลาภมัจฉริยะ ตระหนี่ลาภ ๔. วัณณมัจฉริยะ ตระหนี่วรรณะ ๕. ธัมมมัจฉริยะ ตระหนี่ธรรม
จากข้อความดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การหวงกันผลงานหรือองค์ความรู้ของตน แม้เพื่อประโยชน์ของตน ก็จัดได้ว่าเป็นมัจฉริยะอย่างหนึ่งได้ คือ ธัมมมัจฉริยะ และ ลาภมัจฉริยะ ซึ่งมัจฉริยะก็นับเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ที่ทำให้จิตใจรุ่มร้อน ไม่มีความสุข เกิดความวุ่นวายและปัญหาต่าง ๆ ตามมา ดังปรากฏว่า มีหลายครั้งที่การให้สิทธิเด็ดขาดการหาผลประโยชน์ในงานสร้างสรรค์ไว้กับบุคคล แม้กับผู้สร้างสรรค์เอง ก่อให้เกิดการผูกขาดซึ่งทำให้มีการแสวงหากำไรโดยไม่คำนึงถึงจริยธรรม เช่นในกรณีของการค้นพบยาที่รักษาโรคร้ายได้ แต่ผู้ค้นพบกลับกดราคาไว้สูงเกินไป ทำให้ผลงานที่ควรเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทุกชนชั้น กลับไม่เป็นประโยชน์ได้อย่างที่ควรจะเป็น[๗]ที่กล่าวเช่นนี้ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าผู้เขียนจะบอกว่า “พระพุทธศาสนาให้ลอกเลียนแบบได้” กระนั้นหรือ.?
ความจริงแล้ว แม้การหวงกันทรัพย์สินทางปัญญาจะเป็นกิเลสอย่างหนึ่งในทัศนะทางพระพุทธศาสนา แต่ พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาวิภัชวาที คือเป็นศาสนาที่ไม่กำหนดบัญญัติหรือบังคับฟันธงลงไปว่าสิ่งใดคือดีหรือชั่วโดยประการเดียว ทุกสิ่งมีเหตุผลในตัวของมันเอง คือทุกสิ่งทั้งส่วนดีและไม่ดี ให้รู้จักแยกแยะ ไม่ตีรวม[๘]
กล่าวคือ แม้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจะดูเหมือนขัดแย้งกับทัศนคติเชิงพุทธ แต่พระพุทธศาสนาก็ให้ความเคารพในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา หากพิจารณาจากกฎหมายแล้ว ถือได้ว่าทรัพย์สินทางปัญญาเป็น “ทรัพย์สิน” และผู้ละเมิดมี “ความผิด” ตามกฎหมาย เมื่อนำมาปรับเข้าหลักการให้เบญจศีลแล้วผู้ละเมิดก็ย่อมผิดหลัก “อทินนาทาน” (ที่ขโมยเอา “องค์ความรู้” ที่เจ้าของหวงแหนไม่อนุญาตให้ใครไปใช้หาประโยชน์) ได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ หากพิจารณาเปรียบเทียบจากพุทธจริยาวัตรต่าง ๆ ของพระพุทธองค์ เช่น การเคารพในความเป็นเจ้าของต้นฉบับ (original) ที่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงกล่าวหลักธรรมที่ทรงนำมาจากแหล่งใดหรือผู้ใดกล่าวไว้แล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงให้ความเคารพ โดยกล่าวอย่างชัดเจนว่าผู้ใดเป็นต้นคิดหลักธรรมนั้น โดยไม่ปิดบังหรือกล่าวตู่ว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น ศีล ๕ (ที่รู้จักกันทั่วไปดีว่าเป็นข้อปฏิบัติของชาวพุทธ แต่ความจริงแล้วศีล ๕ นั้น ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติใหม่แต่อย่างใด) โดยทรงกล่าวว่าหลักศีล ๕ นั้นเป็นเพียงแค่ทรงนำหลักธรรมเก่าคือ “กุรุธรรม ๕”[๙] ที่มีอยู่แล้วในชมพูทวีปมาตรัสแสดงให้ชาวพุทธปฏิบัติ[๑๐] เป็นต้น
นอกจากนี้ยังปรากฏพุทธจริยาในลักษณะนี้มากมายในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ในเรื่องการให้ความสำคัญกับการอ้างอิงที่มาของนิพนธ์คาถา หรือหลักคำสอนต่าง ๆ โดยอ้างอิงโยงเข้ากับความเป็นมาในประวัติศาสตร์หรืออดีตนิทาน ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการให้ความสำคัญกับที่มาหรือผู้กล่าวที่เป็นผู้ทรงสิทธิทางปัญญาตามนิยามในปัจจุบันอย่างแท้จริง
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า ในมุมมองทางพระพุทธศาสนา แม้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาโดยให้สิทธิเด็ดขาด จะดูขัดกับหลักการเชิงพุทธ ที่ให้เป็นคนใจกว้าง ไม่มีการหวงกันในการเผยแพร่ความรู้ (วัตถุทาน, ธรรมทาน) แต่พระพุทธศาสนาก็สอนให้มีความเคารพและให้ความสำคัญกับผู้ทรงสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรตระหนักรู้ และให้ความสำคัญในการให้ความเคารพต่อทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมาย ในอันที่จะไม่ละเมิดโดยประการใดๆ และอาจกล่าวได้ว่า การปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญานั้น เป็นการปฏิบัติตามพระพุทธจริยา คือแนวทางที่พระบรมศาสดาของชาวพุทธทรงวางเอาไว้เมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว ที่ยังคงมีความทันสมัยมาจนปัจจุบันฯขอบคุณภาพและบทความจาก : https://www.gotoknow.org/posts/436132อ้างอิง :- [๑] พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๘ และ ๙ [๒] จักรกฤษณ์ ควรพจน์. (๒๕๔๙). แนวคิดและวิวัฒนาการของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. [๓] Greenstreet, C.H. (1972). “History of Patent System” In Liebesny, F. (ed.) Mainly on Patents: The Use of Industrial Property and Its Literature. London : Butterworths. p.2. [๔] พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๑๙, ๒๐, ๒๑, ๒๒, ๒๓, ๒๔, ๒๕, ๒๖ และพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และ พ.ร.บ. สิทธิบัตร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๕ [๕] ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร (พระสูตรที่หมุนกงล้อแห่งธรรม) เป็นพระสูตรสำคัญที่พระพุทธเจ้าแสดงแนวทางปฏิบัติเพื่อหลักเลี่ยงแนวทางสุดโต่งสองทางคือ กามสุขัลลิกานุโยค (หย่อนเกินไป) และ อัตตกิลมถานุโยค (ตึงเกินไป) แต่ให้ปฏิบัติตาม มัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) ซึ่งทางสายกลางนี้คือธรรมะสำคัญที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา ทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ ๓ ยังผลให้พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้น กงล้อแห่งธรรมเริ่มหมุน การเผยแพร่พระพุทธศาสนาจึงเริ่มต้นขึ้นนับแต่การแสดงทางสายกลางของพระพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือน ๘ เมื่อ ๔๕ ปี ก่อนพุทธศักราช (วันอาสาฬหบูชา) [๖] พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ที. ปา. ๑๑/๒๘๒ [๗] เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดหลัก มาตรการบังคับใช้สิทธิ (compulsory licensing) เพื่อให้รัฐสามารถยกเว้นหลักกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อประโยชน์สาธารณะได้ [๘] พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ทสก. อัง. ๒๔/๒๐๕ [๙] พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ขุ ชา. ๑๙/๔๗๒, อรรถกถาพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก. อรรถกถา กุรุธรรมชาดก [๑๐] พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ). (ม.ป.ป.). อธิบายหลักธรรมตามหมวดจากนวโกวาท. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ธรรมสภา.
ข้อมูลในบทความนี้ สำหรับเผยแพร่ให้ความรู้แก่สาธารณะ ไม่มีหวงห้ามและไม่ควรหวงห้าม (ผู้นำข้อมูลในเว็บไซท์นี้ไปใช้ ต้องแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-และไม่ดัดแปลง) ดั่งคำภาษิตที่ว่า "อมเอาไว้หาย คายออกอยู่"
|
|
|
10208
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เซลฟี่" ก่อโรคภัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 21
|
เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:32:39 am
|
"เซลฟี่" ก่อโรคภัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 21ทุกวันนี้ได้เกิดมีโรคใหม่ของศตวรรษที่ 21 ขึ้นมาอีก นั่นคืออาการปวดเมื่อย จากการพยายามที่จะถ่ายภาพแบบเซลฟี่ ถึงขนาดที่หลายคนลงทุนปีนป่ายหน้าผา หรือไม่ก็ถอยหลังลงไป จนเกือบที่จะตกจากที่สูง แต่อาการเจ็บป่วยมักเกิดจากเคล็ดขัดยอก ที่ยื่นแขนขาออกไปตามที่ต่างๆ
ผู้ที่ชอบถ่ายรูปแบบนี้ และเกิดรู้สึกปวดเมื่อยในแขนที่มักจะต้องกางยื่นออกไป ก็มีหวังว่าจะได้เป็นโรคตามยุคสมัย นั่นคือเป็นโรคข้อศอกเซลฟี่ ซึ่งได้กลายมาเป็นโรคแห่งศตวรรษนี้ร่วมกับโรคอื่นๆ อย่าง เช่น โรคไอแพด อาการเจ็บป่วยในยุคแบบนี้ ได้เกิดเป็นข่าวดังขึ้นในอเมริกาเมื่อประมาณสักเดือนมานี้ สาเหตุจากนักข่าวโทรทัศน์ผู้หนึ่งได้มีอาการป่วยแปลกขึ้นที่ข้อศอก เธอได้ไปหาหมอและบอกให้หมอรู้ว่า เธอเป็นนักเซลฟี่ตัวยง ตั้งแต่นั้นมาอาการเช่นนี้ก็เลยถูกเรียกว่า โรคข้อศอกเซลฟี่ เธอมีอาการคลั่งถ่ายเซลฟี่ขนาดหนัก บางวันมากถึง 70 ครั้ง
เมื่อหมอทราบจึงรีบสั่งให้เธอใช้น้ำแข็งประคบ กินยาแก้ปวด และหยุดเซลฟี่เดือนครึ่ง แม้เธอจะบ่นว่า ฆ่าฉันเสียดีกว่าที่จะให้เลิกเรื่องนี้ แต่เธอก็ต้องยอมทำตาม ในขณะที่หมอได้สั่งให้เธอใส่เฝือกอ่อนที่ข้อศอกไว้ด้วย และสั่งว่าถ้าเผื่ออยากจะเซลฟี่ต่อไปอีก ให้ใช้ไม้เซลฟี่ช่วยด้วยจะดีกว่า.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/700538
|
|
|
10209
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลด! หนุ่มอินเดียยากจน ต้องแบกศพเมียกลับบ้าน 12 ก.ม. รพ.อ้างไม่มีรถส่งให้
|
เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:28:33 am
|
สลด! หนุ่มอินเดียยากจน ต้องแบกศพเมียกลับบ้าน 12 ก.ม. รพ.อ้างไม่มีรถส่งให้ เมื่อ 25 ส.ค. สถานีโทรทัศน์ นิวเดลี ของอินเดีย และบีบีซี รายงานเรื่องราวสะท้อนระบบสวัสดิการที่บกพร่องของอินเดีย เมื่อนายดานา มาจี ชาวบ้านในเมืองพวันพัฒนา รัฐโอริสสา ต้องเดินแบกศพนางอามัง ภรรยาวัย 42 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยวัณโรคที่โรงพยาบาล กลับหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างไป 60 ก.ม. เป็นระยะทางถึง 12 ก.ม. เนื่องจากไม่มีเงินจะว่าจ้างรถ และทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ไม่ยอมจัดการให้
นายมาจีกล่าวว่า แจ้งกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแล้วว่า ตนยากจนและไม่มีเงินจะจ้างรถ แต่โรงพยาบาลอ้างว่าช่วยไม่ได้ ตนไม่มีทางเลือกอื่นจึงใช้ผ้าห่อร่างของภรรยาแล้วเดินบนถนนกลับหมู่บ้าน พร้อมด.ญ.โชลา ลูกสาววัย 12 ปีที่เดินร้องไห้สงสารพ่อ กระทั่งเมื่อเดินไปไกล 12 ก.ม. จึงมีชาวบ้านเข้ามาช่วยและเรียกรถจากโรงพยาบาลมาได้ในที่สุดทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียเปิดโครงการมหาปราญาณา ในเดือนก.พ.ปีนี้ เป็นสวัสดิการที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลือการแพทย์แก่ประชาชน รวมถึงเสนอบริการขนย้ายศพจากโรงพยาบาลรัฐฟรี แต่กรณีของนายมาจี กลับไม่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว
เมื่อเรื่องราวดังกล่าวปรากฏเป็นข่าว นายกาลิเกศ สิงห์ เดโอ ส.ส.รัฐโอริสสา ทวีตข้อความว่า ยื่นคำร้องให้รัฐมนตรีกระทรวงท้องถิ่นตรวจสอบและดำเนินการอย่างเหมาะสม
ด้าน นายบรุนดา ดี ผู้บริหารสูงสุดเขตกาลาฮันดี กล่าวว่า หลังรับทราบข้อมูลแล้ว ได้จัดรถพยาบาล พร้อมสั่งให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจัดงานศพให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยชมคลิปข่าวได้ที่ http://www.ndtv.com/video/news/news/can-t-help-you-he-was-told-after-wife-died-he-carried-her-for-6-hours-428699ขอบคุรภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1472121970
|
|
|
10210
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หญิงใจบาปบุกปล้นกุฎิ คว้าไม้ถูพื้นทุบหลวงตาวัย 85 เลือดอาบ
|
เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:23:50 am
|
หญิงใจบาปบุกปล้นกุฎิ คว้าไม้ถูพื้นทุบหลวงตาวัย 85 เลือดอาบวานนี้ (24 ส.ค.) พ.ต.ท.โกศล ภาคาหาญ รองผกก.สอบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยาได้รับแจ้งมีพระภิกษุสงฆ์ถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ ภายในวัดหันตรา ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ไปตรวจสอบ พร้อมด้วยมูลนิธิพุทไธสวรรย์
บริเวณกุฎิทรงไทยสองชั้น หน้ากุฎิชั้นล่างพบพระสังเวียน ทัตธศรี อายุ 85 ปี นอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด มีบาดแผลบริเวณศีรษะจำนวนหลายแห่ง เลือดไหลนอง เจ้าหน้าที่มูลนิธิเร่งให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลทำแผลเบื้องต้นก่อนช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ตรวจสอบภายในกุฎิพบข้าวของกระจัดกระจาย ไม้ถูพื้นหัก มีคราบเลือดติด พื้นห้องมีเลือดหยดเป็นทาง
สอบสวนชาวบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัด เห็นมีหญิงสาววัยรุ่น ขับขี่รถจยย.มาจอดข้างกุฎิ จากนั้นเดินมาที่กุฎิหลวงตา พยายามเปิดประตูเขย่าประตูหลายครั้ง จนเปิดประตูเข้าไปได้แล้วได้ยินเสียงเอะอะ จากนั้นหญิงสาวได้ออกมาพร้อมกับพูดว่า วันนี้ไม่มีอะไรให้กู แล้วรีบขับรถหลบหนีไป จากนั้นเห็นหลวงตา คลานออกมามีเลือดเต็มตัวจึงได้ตะโกนเรียกให้คนมาช่วย
จาการสอบสวนพระและชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดทราบว่า ก่อนหน้านี้หญิงสาวคนเดียวกันเคยเข้ามาขโมยชิงเอาอังสะของหลวงตาไปภายในมีเงินสดจำนวนหนึ่ง กลับมาก่อเหตุอีกครั้ง โชคดีที่มีคนเห็นก่อนจึงหลบหนีไป ช่วงขณะเกิดเหตุพระและสามเณรขึ้นเรียนบาลีบนศาลการเปรียญหมดจึงไม่มีใครอยู่ คนร้ายจึงเข้ามาก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามตัวหญิงสาวคนดังกล่าวมาดำเนินคดีต่อไปขอบคุณที่มาจาก Workpoint News - ข่าวเวิร์คพอยท์ http://news.sanook.com/2055258/
|
|
|
10211
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปาฏิหาริย์ เคลื่อนศพหลวงปู่ทองดำ ปชช.เห็นภาพคล้ายหลวงปู่ เดินนำขบวน
|
เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:22:06 am
|
ปาฏิหาริย์ เคลื่อนศพหลวงปู่ทองดำ ปชช.เห็นภาพคล้ายหลวงปู่ เดินนำขบวนปาฏิหาริย์ ขณะทหารเคลื่อนศพบำเพ็ญกุศลมรณภาพปีที่ 11 หลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ อายุ 107 ปี ขึ้นบนศาลา เห็นภาพหลวงปู่ทองดำเดินนำหน้า ปชช.-ลูกศิษย์ที่มาร่วมงานต่างตกตะลึงกับภาพดังกล่าว
เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 25 สิงหาคม 59 ที่วัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผวจ.อุตรดิตถ์ เป็นประธานบำเพ็ญกุศลคล้ายวันมรณภาพปีที่ 11 พระนิมมานโกวิท (ทองดำ ฐิตวัณโณ) ฝ่ายฆราวาส และฝ่ายสงฆ์ พระปัญญากรโมลี เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เจ้าอาวาสวัดท่าไม้เหนือ และวันนี้ได้มีพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทาน 5 ไตร ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการบำเพ็ญกุศลและประกอบพิธีทอดผ้าไตรพระราชทาน
เนื่องในวันครบรอบ 11 ปี แห่งวันมรณภาพ พระนิมมานโกวิท ( ทองดำ ฐิตวัณโณ) ประวัติ เกิดวันพุธ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 พุทธศักราช 2441 ณ บ้านไซโรงโขน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร และในขณะที่ทหาร จาก มทบ.ที่ 35 เคลื่อนย้ายศพจากกุฏิหลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ ได้เกิดภาพปริศนามีภาพคล้ายหลวงปู่ทองดำ เดินนำหน้าโรงแก้วที่บรรจุ ร่างหลวงปู่ทองดำ มา 11 ปี ขึ้นไปบนศาลาการเปรียญจนประชาชนและลูกศิษย์ที่มาร่วมงานต่างตกตะลึงกับภาพดังกล่าวและต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานาภาพที่ถ่ายได้ (จะเห็นคนแต่งกายคล้ายพระสงฆ์อยู่ด้านหน้าขบวน) ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นหลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ อายุ 107 ปี ทั้งนี้ หลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ อุปสมบทเมื่ออายุ 22 ปี ณ พระอุโบสถ วัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ โดยมีพระครูวิเชียรปัญญามหามุน (เรือง) เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เจ้าอาวาสวัดท่าถนน ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ในขณะนั้นเป็นองค์อุปัชฌาย์เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2463พระอาจารย์แส เจ้าอาวาสวัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า “ฐิตวัณโณ”
เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าทอง 1 พรรษา ทางวัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง คณะศรัทธา วัดท่าทองได้ลงความเห็นพ้องกันโดยได้ไปกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์เพื่อขออนุญาตจากเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ด้วยดี คณะศรัทธาให้ "พระภิกษุทองดำ" เพื่อนิมนต์ให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง
ก่อนจะมรณภาพ ปี พ.ศ.2504 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชทานคณะชั้นสามัญนาม “พระนิมมานโกวิท” ปี พ.ศ.2510 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ปี พ.ศ.2542 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์จวบจนมรณภาพ อายุ 107 ปี
ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/701634
|
|
|
10212
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล
|
เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:17:22 am
|
พระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาลมอบเครื่องอุปโภคแก่นักเรียน เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ภายใต้การดูแลของพระเดชพระคุณ พระเทพโพธิวิเทศ (วีระยุทฺโธ) หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล ขออนุโมทนา คุณชาตา บุญสูง คหบดีจาก จ.พังงา ทำบุญอายุวัฒนมงคล ๖ รอบ โดยเป็นเจ้าภาพมอบเครื่องอุปโภค บริโภค ผ้าห่ม แป้งสาลี แก่นักเรียนและชาวบ้านบริเวณโรงเรียนเมืองกุสินารา จำนวน ๑๕๐ ชุด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์...โอกาสนี้ คุณชาตา บุญสูง ยังเป็นเจ้าภาพสร้างห้องน้ำ จำนวน ๒ ห้อง ให้แก่โรงเรียนในเมืองกุสินารา อีกด้วยขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.komchadluek.net/news/amulets/239481
|
|
|
10213
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ศาสนาพุทธ'ในอาเซียน ประวัติศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้
|
เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:14:28 am
|
'ศาสนาพุทธ'ในอาเซียน ประวัติศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้ประเทศอาเซียนที่นับถือ “ศาสนาพุทธ” มาตั้งแต่อดีตเมื่อราว 2,000 ปี และยังมีการสืบทอดเจตนารมณ์มาจากบรรพบุรุษ ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม ไทย และสิงคโปร์
การเรียน “ประวัติศาสตร์” อาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจใน “ประวัติศาสตร์” ของตนเอง วันหนึ่งอาจจะ “สูญเสียสิทธิ” ทาง “ประวัติศาสตร์” ของตนไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!!
นั่นคือ กลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นๆ จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจใน “ประวัติศาสตร์” ของตนให้ชัดเจน เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษและคนในชาติบ้านเมืองให้มีความมั่นคงยั่งยืน กอปรกับความเป็นวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อของคนในประเทศนั้น
“ประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ” ในอาเซียนก็เช่นกัน หากมีคนถามว่า คนไทย เคยทราบหรือไม่ว่า “ศาสนาพุทธ” ในแถบนี้มีความเป็นมาอย่างไร โดยเราจะมาเรียนรู้และทำความเข้าใจกัน เพื่อให้จับใจความได้ในระยะเวลาอันจำกัดนี้...สิ่งแรกต้องทำความเข้าใจในประเทศอาเซียน มีทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ซึ่ง “ศาสนาพุทธ” ได้ตั้งมั่นลงในทุกประเทศทั่วอาเซียน ราว พ.ศ. 236 หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 236 ปี ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งพระเถระชาวอินเดีย 2 รูป คือ “พระโสณะ” และ “พระอุตตระ” มาเผยแผ่ศาสนาพุทธในแถบนี้
เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่น พระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ ทั้งสองท่านจึงเปรียบเสมือนผู้นำ “ศาสนาพุทธ” เข้ามาในประเทศไทยและประเทศอาเซียน จึงนับได้ว่า “ศาสนาพุทธ” ได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคงและเป็นความเชื่อของคนอาเซียนมาถึง 2,323 ปีมาแล้ว
เรื่องราวของ “ศาสนาพุทธ” เริ่มชัดเจนมากขึ้นในสมัยทวารวดี เมื่อมีคนท้องถิ่นเริ่มนับถือและเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ โบราณสถานโบราณวัตถุที่เป็นศาสนสถานได้ถูกสร้างขึ้นให้เห็นเด่นเป็นสง่าประจักษ์แก่สายตาชาวโลกในแถบอาเซียนเมื่อสองพันปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้อาเซียนยังได้รับอิทธิพล “ศาสนาพุทธ” จากสองอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ คือ จีนและอินเดีย ในดินแดนแถบนี้จึงประกอบไปด้วย “ศาสนาพุทธ” นิกายเถรวาทและนิกายมหายานประเทศอาเซียน ที่นับถือ “ศาสนาพุทธ” มาตั้งแต่อดีตเมื่อราว 2,000 ปี และยังมีการสืบทอดเจตนารมณ์มาจากบรรพบุรุษ ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม ไทย และสิงคโปร์
ส่วนประเทศที่นับถือ “ศาสนาพุทธ” มาตั้งแต่อดีตเมื่อราว 2,000 ปีเช่นกัน แต่ปัจจุบันมีน้อยมาก ประกอบด้วย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทั้งที่ประเทศเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทาง “ศาสนาพุทธ” นิกายมหายาน จากอาณาจักรศรีวิชัย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นอาณาจักรของชาติพันธุ์มลายู และประชาชนชาวมลายูได้นับถือ “ศาสนาพุทธ” มาโดยตลอด
ในขณะนั้น (ตอนใต้ของไทย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย) พบหลักฐานทางโบราณวัตถุที่สำคัญจำนวนมาก ได้แก่ พระพิมพ์ดินดิบและรูปพระโพธิสัตว์ และมีพุทธสถานที่สำคัญหลายแห่งที่แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองของ “ศาสนาพุทธ” ในประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ “บุโรพุทโธ” หรือ “โบโรบุดูร์” ซึ่งตั้งอยู่ที่ราบเกฑุ (kedu) ในภาคกลางของชวา และ “พระวิหารเมนดุต” (Mendut) เป็นต้น ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2012 ตรงกับอาณาจักรศรีอยุธยา สมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิ ศาสนาพุทธในอาณาจักรศรีวิชัย ตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอยลงเราน่าจะพอเรียนรู้และเข้าใจใน “ประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธในอาเซียนผ่านทางโบราณคดี” กันพอสมควรแล้ว อาจจะทำให้ คนไทย ได้รับรู้และรู้สึกถึงคุณค่าของ “พระพุทธศาสนา” อันมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย จึงสามารถกล่าวได้ว่า “ศาสนาพุทธ” ได้หยั่งรากลึกลงในแผ่นดินอาเซียนทุกประเทศ
แม้ในอดีตจะแบ่งแยกอาณาจักรการปกครองตามแว่นแคว้นต่างๆ ก็ตาม แต่ละอาณาจักรก็ปกครองด้วยทศพิธราชธรรมมาโดยตลอดนับพันปี แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน “ศาสนาพุทธ” ก็ยังคงมีประชาชนนับถือและให้ความศรัทธาเป็นที่พึ่งอาศัยของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นผืนแผ่นดินใหญ่ คือ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม
“ศาสนาพุทธ” ใน ประเทศไทย ก็เช่นกัน ยังมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยในทุกด้าน และประชาชนคนไทยทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งนี้พระมหากษัตริย์ทุกราชวงศ์ของไทยได้ทำนุบำรุง “ศาสนาพุทธ” นิกายเถรวาทให้เจริญรุ่งเรืองประดิษฐานมั่นคงสืบมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องด้วยประชาชนส่วนใหญ่นับถือ “ศาสนาพุทธ” นิกายเถรวาท และเป็นศาสนาประจำชาติโดยพฤตินัย ซึ่งมีความสอดคล้องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2559มาตรา67 ว่า...“รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทย ส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชน มีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย”
อย่าปล่อยให้การปกป้อง “พุทธศาสนา” เป็นหน้าที่พระท่านอย่างเดียว ชาวพุทธทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันเพราะวันนี้ “ภัยที่แท้จริง” หลายคนอาจไม่รู้ แต่คน “วงใน” รู้ อย่าปล่อยให้ “ศาสนาพุทธ” ในไทยกลายเป็นแค่ “ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง” เหมือนอินเดียเลย...คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง โดย “เปรียญ10” : riwpaalueng@gmail.comเครดิตภาพโดย Tiy Thaipreecha ,suwannasabeloved.wordpress.com, เมืองคอน.คอม ขอบคุณภาพและบทความจาก : http://www.dailynews.co.th/article/516274
|
|
|
10214
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ได้ใจชาวเน็ต! ญาติโยมอ้างโดนคุณไสย พระไม่ช่วยไล่ไปหาหมอ
|
เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:35:51 pm
|
ได้ใจชาวเน็ต! ญาติโยมอ้างโดนคุณไสย พระไม่ช่วยไล่ไปหาหมอ(24 ส.ค.) เฟซบุ๊ก FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย ได้โพสต์ข้อความของ พระมหาสมิทธิ์ โชติโก เล่าผ่านเฟซบุ๊กว่า มีญาติโยมมาหาด้วยอาการผื่นแดงเต็มขา เชื่อว่าโดนทำคุณไสย แต่พระคาดว่าน่าจะเป็นโรคผิวหนัง จึงบอกให้ไปหาหมอดีกว่า แต่โยมก็ไม่ยอมไปกลับบอกให้พระทำน้ำมนต์ให้ ซึ่งพระมหาสมิทธิ์ ระบุอีกว่าเพราะความเชื่อแบบนี้จึงเป็นช่องทางให้พระไม่ดีใช้หากิน ทุกวันนี้สังคมเรายังข้ามพ้นความงมงายแบบนี้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม พระมหาสมิทธิ์ โชติโก เป็นพระอยู่ที่วัดศรีจันทร์ประดิษฐ์ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน เนื่องจากเป็นพระนักพัฒนา มีแนวคิดทันสมัย และเป็นผู้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของทางวัดให้ประชาชนเข้าร่วมอยู่เป็นประจำ
ซึ่งภายหลังจากเรื่องนี้เผยแพร่ไปสู้โลกออนไลน์ ชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นชื่นชมเป็นจำนวนมากขอบคุณภาพข่าวจาก http://news.sanook.com/2055134/
|
|
|
10216
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจดีย์ในพุกามเสียหายกว่า 200 องค์ เหตุดินไหว พม่ายันจับมือยูเนสโกฟื้นฟู
|
เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:26:00 pm
|
เจดีย์ในพุกามเสียหายกว่า 200 องค์ เหตุดินไหว พม่ายันจับมือยูเนสโกฟื้นฟูเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค. เจ้าหน้าที่รัฐบาลพม่าเร่งสำรวจความเสียหายด้านสถาปัตยกรรมวัดวาอารามอายุนับพันปีในเมืองพุกาม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง 6.8 แม็กนิจูด พบผู้เสียชีวิตเบื้องต้น 3 ราย เป็นเด็กหญิง 2 รายและชายอายุ 22 ปี อีก 1 ราย แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังรู้สึกไปได้ไกลถึงประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งอินเดีย บังกลาเทศ และไทย
แรงแผ่นดินไหวทำให้เจดีย์ในเมืองพุกามเสียหายเกือบ 200 องค์ ในบริเวณที่เสียหายนั้น เจ้าหน้าที่จึงกั้นบริเวณไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไป ในขณะที่คนงานเร่งเก็บเศษซากอิฐและชิ้นส่วนองค์พระธาตุที่แตกลงมา
นายอารการ์ จอ รมช.วัฒนธรรมกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ต้องสำรวจและประเมินความเสียหายก่อน จากนั้นจึงจะจัดตั้งแผนฟื้นฟูได้ ด้วยความร่วมมือโดยตรงกับองค์การยูเนสโก
ด้านนายขิ่น หม่องโท นักท่องเที่ยวชาวพม่าที่เพิ่งเดินทางมาเที่ยวพุกามเป็นครั้งแรกกล่าวว่า ระหว่างไหว้พระธาตุอยู่ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติยืนอยู่ในบริเวณเดียวกันด้วย จากนั้นได้ยินเสียงปริแตก ภรรยาตนโชคดีมากที่วิ่งออกมาได้ทัน จังหวะที่เจดีย์พังลงมาชมคลิปได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=IjvM9RHRs5Uขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1472109998
|
|
|
10217
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระธรรมทูตไทย เดินหน้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก
|
เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:19:23 pm
|
พระธรรมทูตไทย เดินหน้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกพระธรรมทูตไทยที่ผ่านการศึกษาพระธรรมเชิงลึก จากแดนพุทธภูมิ นำธรรมะพร้อมการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามคำสอนของพระพุทธองค์ จากอินเดีย มาสู่มาตุภูมิ ได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว โดยเฉพาะโครงการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมเด็กปฐมวัย
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า จากการที่สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เมืองกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ที่มี พระเทพโพธิวิเทศ หัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย เนปาลเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย เป็นประธาน ได้เปิดโครงการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการส่งพระสงฆ์จากประเทศไทย และอีกหลายประเทศบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ ไปศึกษาพระธรรมเชิงลึก ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล อินเดีย ให้บังเกิดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงในคำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อจะได้นำมาเผยแผ่สู่ชาวพุทธทั้งพระสงฆ์และฆาราวาสให้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องนั้นนายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เผยว่า จากการติดตามผลการดำเนินการของโครงการปรากฏว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง เนื่องจากที่ผ่านมาพระสงฆ์ที่ผ่านการศึกษาพระธรรมเชิงลึกมาแล้ว มีทัศนคติในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์เพิ่มและตรงประเด็นมากขึ้น โดยรุ่นที่กำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศอินเดียขณะนี้ก็มีความมุมานะทำให้สามารถคาดหวังได้ว่าจะมีพระสงฆ์ที่เป็นผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังจะทำให้สมาชิกของสถาบันที่เป็นผู้มีชื่อเสียงในทุกระดับของประเทศมีกำลังใจในการช่วยกันสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อไปนายสุภชัย เผยต่อไปว่า ล่าสุดตนได้รับรายงานถึงเรื่องที่น่ายินดีและสมควรอนุโมทนาว่า พระธรรมทูตไทยที่เคยผ่านการศึกษาพระธรรมเชิงลึกเมื่อกลับมาสู่ประเทศไทยได้เดินหน้าทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกตามแนวทางของสถาบันโพธิคยาฯ อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง เช่น การดำเนินโครงการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ระดับเด็กประถมวัยของ พระครูสุธรรมธีรานุยุต เจ้าคณะตำบลหนองสาหร่าย เขต 2 วัดจันทึก ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และโครงการโรงเรียนต้นแบบ หมู่บ้านรักษาศีล 5 ของพระครูอินทธรรมาภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอคง วัดตะคร้อ ต.เมืองคง อ.คง จ.นครราชสีมา ซึ่งพระสงฆ์ทั้ง 2 รูป เป็นพระธรรมทูตรุ่นที่ 1 ของสถาบันฯ.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/701570
|
|
|
10218
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โจรเจอดี ลักพระศักดิ์สิทธิ์! แจ้นนำมาคืนพร้อม จม. 'ข้าสำนึกผิดแล้ว'
|
เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:15:09 pm
|
โจรเจอดี ลักพระศักดิ์สิทธิ์! แจ้นนำมาคืนพร้อม จม. 'ข้าสำนึกผิดแล้ว' โจรลักพระที่แพร่ เจอดี ดอดเข้ามาอุ้มพระพุทธรูปโบราณจากวัดใน อ.ลอง 2 องค์ เคยแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่าง หายไปร่วม 3 เดือน จนวันหนึ่งถูกพบวางไว้ใต้ซุ้มประตูวัด พร้อม จม.ขอขมา "ข้าฯ สำนึกผิดแล้ว" ชาวบ้านไม่แคล้วขอเลขเด็ด...
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 25 ส.ค. 59 ที่บริเวณหน้า สภ.ลอง จ.แพร่ ได้มีชาวบ้านกว่า 200คน จาก ต.ปากกาง และอีกหลายตำบลใน อ.ลอง หลังจากที่ทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อายุกว่าพันปี มาไว้บนสถานีตำรวจ จึงได้พากันมาดู
พ.ต.อ.ถนัด พลพาณิชย์ ผกก.สภ.ลอง เผยว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบพระพุทธรูป 2 องค์ องค์แรกปางมารวิชัย อีกองค์เป็นพระยืนปางเบิกเนตร วางอยู่บริเวณซุ้มประตูวัดดงลาน ต.บ้านปิน จึงได้นำมาไว้ที่โรงพักทั้งนี้ เรื่องเดิมมีอยู่ว่า เมื่อกลางเดือน พ.ค. 59 ที่ผ่านมา พระครูอุดม พิพัฒนภรณ์ เจ้าคณะตำบลปากกาง อ.ลอง ได้มาแจ้งความไว้กับ ร.ต.ท.สินธร กสศสนุก รอง สว.สอบสวน สภ.ลอง ว่าพระพุทธรูปทั้งสององค์ได้หายไปจากวัดร่องบอน ตั้งอยู่เลขที่ 116 หมู่ 1 ต.ปากกาง อ.ลอง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกติดตาม จนกระทั่งมีชาวบ้านมาแจ้งว่าพบพระพุทธรูปทั้งสององค์วางอยู่ซุ้มประตูวัดดงลาน ต.บ้านปิน อ.ลอง จึงได้นำมาไว้ที่โรงพัก
ทางด้านพระครูอุดม เจ้าคณะตำบลดูแลวัดร่องบอน เผยว่า พระพุทธรูปทั้งสององค์เป็นพระเก่าแก่โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางมารวิชัย แกะด้วยไม้สักล้วนๆ ทั้งองค์ ชาวบ้านนำไปประดิษฐานที่วัดท่าหลุบ ต.ปากกาง อ.ลอง แต่วัดนี้เป็นวัดร้าง ไม่มีพระเณรจำวัด ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสององค์ไปไว้ที่วัดร่องบอน เรื่อยมา“นับว่า พระทั้งสององค์นี้ได้แสดงปาฏิหาริย์ใหลายครั้ง เช่น ฝนตกน้ำท่วมตามที่ต่างๆ แต่ที่วัดร่องบอนไม่ท่วม ที่อื่นฝนไม่ตกตามฤดูกาล แต่แถบวัดร่องบอนมีฝนตก และมีอยู่ครั้งหนึ่ง พระทั้งสององค์ได้หายไปจากวัด ชาวบ้านพากันออกตามหา แต่จู่ๆ พระทั้งสององค์ก็กลับมาอยู่ที่เดิม จึงสร้างความเชื่อถือศรัทธาให้กับชาวบ้านในอำเภอลองเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญ ชาวบ้านที่ไปกราบไว้ขอพรก็มักจะประสบผลตามที่ขอ และการที่พระพุทธรูปทั้งสององค์กลับมาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง สร้างความเชื่อให้กับชาวบ้านว่า คนร้ายไม่สามารถครอบครองพระพุทธรูปสององค์นี้ไว้ได้ คาดว่าจะต้องเกิดเหตุอะไรบางอย่างกับคนร้าย เพราะตอนเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเอามาจากหน้าซุ้มประตูวัดดงลานนั้น ตำรวจพบว่ามีจดหมายเขียนสั้นๆ สอดไว้ที่ใต้ฐานพระด้วย โดยเขียนว่า ขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทวดาฟ้าดิน และชาวบ้านอำเภอลองด้วย ข้าฯ สำนึกผิดแล้ว จึงขอเอาพระพุทธรูปมาคืนให้ชาวอำเภอลองซึ่งแน่นอนว่าคนร้ายต้องเจอกับสิ่งลึกลับเร้นลับบางอย่างแน่นอน” พระครูอุดม กล่าว
ขณะเดียวกัน ชาวบ้านที่แห่กันมาต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูป บางคนถือโอกาสขอโชคลาภเลขเด็ด ส่นใหญ่เก็งเอาเลขที่ตั้งวัด คือ 116 และ 29 โดย 2 เอามาจากพระพุทธรูป 2 องค์ ส่วนเลข 9 คือเลขที่ใช้แทนพระพุทธรูป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากชาวบ้านพระเณร ได้เข้าไปสรงน้ำพระพุทธรูปที่ได้กลับคืนมาแล้ว ได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสององค์ไปประดิษฐานไว้ที่วัดร่องบอนตามเดิม.ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/702120
|
|
|
10219
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เทวดาเข้าฝันหลวงพ่อ! ขุดพระพุทธรูปโบราณฝังใต้ดิน ชาวบ้านแห่ขอโชคลาภ
|
เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:10:55 pm
|
เทวดาเข้าฝันหลวงพ่อ! ขุดพระพุทธรูปโบราณฝังใต้ดิน ชาวบ้านแห่ขอโชคลาภเจ้าอาวาสวัดบางขุด ฝันถึงเทวดามาบอกว่ามีพระพุทธรูป จมฝังดินอยู้ใต้ต้นไม้ข้างโบสถ์เก่า จึงทำพิธีขุดพบพระพุทธรูปโบราณ 2 องค์ คาดอายุราว 1,000 ปี ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างมากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลและขอโชคลาภ ก่อนเผยเลขเด็ด 853 และ 856 ...
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 59 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ที่วัดบางขุด ม.7 ต.บ้านบ่อ อ.เมือง จ.สมุทรสาครขุดพบพระพุทธรูปโบราณจำนวน 2 องค์ จึงเดินทางไปตรวจสอบพบพระครูสาครเกษมธรรม เจ้าอาวาสวัดบางขุด กล่าวว่า ก่อนที่จะขุดพบพระพุทธรูปนั้นตนนิมิตฝันไปว่ามีเทวดานุ่งขาวห่มขาวมาเข้าฝันตนถึง 2 ครั้งติดว่า มีพระเก่าจมฝังดินอยู่ที่บริเวณใต้ต้นไม้ข้างโบสถ์เก่า ซึ่งเป็นพื้นที่ชายทะเลเก่า และมีขโมยได้นำมาฝังดินเอาไว้ โดยมีพระองค์ใหญ่ 2 องค์ องค์เล็กอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยเพชรนิลจินดา จนกระทั่งผ่านไปราว 1 สัปดาห์ ตนก็ฝันแบบเดิมอีก โดยเทวดาท่านบอกให้รีบเอาพระที่ถูกฝังอยู่ขึ้นมา เพราะไม่เช่นนั้นพระจะเคลื่อนเข้าไปอยู่ใต้ถุนโบสถ์หลังจากนั้นมาจนกระทั่งวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่ามา ตนได้ทำพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระขึ้นมา ซึ่งให้กรรมการวัดนำรถแบ็กโฮมาตักดินขึ้นประมาณ 1.20 เมตร พบพระพุทธรูปจำนวน 2 องค์ จากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่า เป็นพระสมัยทวารวดี อายุราว 1,000 ปี โดยเป็นพระปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 9 นิ้ว สูง 13 นิ้ว และพระปางประทานพร สูง 16 นิ้ว จากนั้นได้นำมาเก็บไว้ในโบสถ์เก่าเพื่อให้ประชาชนมากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลสืบไปด้านนายอนุชิต แป้นแย้ม อายุ 37 ปี ชาว ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า ตนเป็นพนักงานรับจ้างบริษัทแห่งหนึ่ง ตนทราบข่าวทางเฟซบุ๊กจึงได้ลางานมากราบไหว้บูชา เพื่อขอโชคลาภและสิริมงคล โดยตนจะไปทุกที่ที่มีการขุดพบพระพุทธรูป เพราะชอบ ซึ่งบรรยากาศภายในบริเวณวัดปรากฏว่ามีแม่ค้ามาขายลอตเตอรี่กันจำนวนมาก ประชาชนที่ทราบข่าวก็แห่มากราบไหว้ขอโชคลาภกันจำนวนมากเช่นกัน โดยเลขเด็ดที่ซื้อได้แก่ เลข 853 และ 856ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/701635
|
|
|
10220
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อยากได้ "เจโตวิมุติ" ควรทำอย่างไร.? (มีพุทธพจน์)
|
เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 09:38:43 am
|
ธรรม ๕ ประการ ปฏิบัติแล้ว มี "เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ" เป็นผล๕. อนุคคหิตสูตร ว่าด้วยธรรมสนับสนุนสัมมาทิฏฐิ [๒๕] ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ(๑-)อันองค์ ๕ สนับสนุนแล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล มีเจโตวิมุตติ(๒-)เป็นผลานิสงส์ และมีปัญญาวิมุตติ(๓-)เป็นผล มีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์ องค์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. ศีล(๔-) ๒. สุตะ(๕-) ๓. สากัจฉา(๖-) ๔. สมถะ(๗-) ๕. วิปัสสนา(๘-) ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิอันองค์ ๕ นี้แล สนับสนุนแล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล มีเจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล มีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์
อนุคคหิตสูตรที่ ๕ จบ ๖. วิมุตตายตนสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งวิมุตติ [๒๖] ภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไป ย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุอ้างอิง : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=22&siri=25 เชิงอรรถ :-
(๑) สัมมาทิฏฐิ ในที่นี้หมายถึง วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ แต่ในอรรถกถามัชฌิมนิกายอธิบายว่าหมายถึง อรหัตตมัคคสัมมาทิฏฐิ (ม.มู.อ. ๒/๔๕๒/๒๕๔, องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๒๕/๗,องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๙) (๒) เจโตวิมุตติ ในที่นี้หมายถึง มัคคสมาธิและผลสมาธิ (องฺ.ทุก.อ. ๒/๘๘/๖๒, องฺ.ปญฺจก.อ.๓/๒๕/๗) (๓) ปัญญาวิมุตติ ในที่นี้หมายถึง ผลญาณ ได้แก่ ผลปัญญาที่ ๔ กล่าวคือ อรหัตตผลปัญญา (องฺ.ทุก.อ. ๒/๘๘/๖๒, องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๒๕/๗, องฺ.ปญจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐) (๔) ศีล ในที่นี้หมายถึง ปาริสุทธิศีล ๔ ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งการบรรลุอริยมรรค (ม.มู.อ.๒/๔๕๒/๒๕๔,องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐) (๕ ) สุตะ ในที่นี้หมายถึง การฟังธรรมที่เป็นสัปปายะ (องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐) (๖ ) สากัจฉา ในที่นี้หมายถึงการสนทนาบอกความเป็นไปแห่งจิตของตน (ม.มู.อ.๒/๔๕๒/๒๕๔,องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐) (๗) สมถะ ในที่นี้หมายถึงสมาบัติ ๘ ที่เป็นพื้นฐานแห่งวิปัสสนา (องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐) (๘) วิปัสสนา ในที่นี้หมายถึงอนุปัสสนา ๗ ประการ คือ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนานิพพิทานุปัสสนา วิราคานุปัสสนา นิโรธานุปัสสนา และปฏินิสสัคคานุปัสสนา
องค์ ๕ ประการนี้เปรียบเหมือนกระบวนการปลูกมะม่วง คือ ศีล เปรียบเหมือนการทำร่องน้ำรอบต้นไม้ เพราะเป็นมูลเหตุให้สัมมาทิฏฐิเจริญ สุตะ เปรียบเหมือนการรดน้ำให้เหมาะแก่เวลา เพราะเพิ่มพูนภาวนา สากัจฉา เปรียบเหมือนการตัดแต่งกิ่ง เพราะนำความยุ่งยากแห่งภาวนาออกไปได้ สมถะ เปรียบเหมือนการทำทำนบกั้นน้ำให้แข็งแรง เพราะทำภาวนาให้มั่นคงยิ่งขึ้น วิปัสสนา เปรียบเหมือนการใช้จอบขุดราก เพราะขุดรากตัณหา มานะ และทิฏฐิได้ (ม.มู.อ.๒/๔๕๒/๒๕๕, องฺ.เอกก.ฏีกา ๑/๑๑/๙๓, องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๙-๑๒)ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๒ หน้า : ๓๑-๓๒ #################### เชิงอรรถ ๑ :-
ปาริสุทธิศีล ๔ (ศีลคือความบริสุทธิ์, ศีลเครื่องให้บริสุทธิ์, ความประพฤติบริสุทธิ์ที่จัดเป็นศีล) ๑. ปาฏิโมกขสังวรศีล (ศีลคือความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ เว้นจากข้อห้าม ทำตามข้ออนุญาต ประพฤติเคร่งครัดในสิกขาบททั้งหลาย) ๒. อินทรียสังวรศีล (ศีลคือความสำรวมอินทรีย์ ระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำเมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง 6) ๓. อาชีวปาริสุทธิศีล (ศีลคือความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะ เลี้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ไม่ประกอบอเนสนา มีหลอกลวงเขาเลี้ยงชีพเป็นต้น) ๔. ปัจจัยสันนิสิตศีล (ศีลที่เกี่ยวกับปัจจัย 4 ได้แก่ ปัจจัยปัจจเวกขณ์ คือ พิจารณาใช้สอยปัจจัยสี่ ให้เป็นไปตามความหมายและประโยชน์ของสิ่งนั้น ไม่บริโภคด้วยตัณหา)
อ้างอิง : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
|
|
|
10221
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 50 สถูปเจดีย์.! เมียนมา พังยับจากแผ่นดินไหว
|
เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 10:12:45 pm
|
50 สถูปเจดีย์.! เมียนมา พังยับจากแผ่นดินไหว ผลกระทบจากแผ่นดินไหวในเมียนมา ขนาด 7.0 กรมโบราณสถาน ระบุผลสำรวจสถูปเจดีย์ในพุกามพังเสียหายกว่า 50 แห่ง
24 ส.ค.2559 จากเหตุแผ่นดินไหวบนบก ขนาด 7.0 ตามมาตราริกเตอร์ ความลึก 91 กม. ที่ละติจูด 21.61 องศาเหนือ ลองจิจูด 93.76 องศาตะวันออก บริเวณประเทศเมียนมา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน 509 กม. นั้น กรมโบราณสถานของเมียนมารายงานว่า กำลังตรวจสอบความเสียหายของเจดีย์ในพุกาม แต่เบื้องต้นพบว่ามีสถูป 50 แห่งพังเสียหาย
ทั้งนี้เจดีย์หรือสถูปเก่าแก่ที่เมืองยะไข่ รัฐยะไข่ ได้รับความเสียหาย ชาวบ้านและพระสงฆ์ต่างวิ่งหนีออกจากพื้นที่เจดีย์หลายร้อยคน นอกจากนี้ยังมีพื้นที่หลายแห่งได้รับความเสียหายจากการเกิดแผ่นดินไหว เช่น ที่เมืองมันฑเลย์ เมืองเนปิดอ เมืองย่างกุ้ง และเมืองมะกุย ทุกคนสามารถรับความเคลื่อนไหวของแผ่นดินไหวได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชาวบ้าน และนักท่องเที่ยว ต่างวิ่งหนีออกจากอาคารสูง
ด้านนายสุทธา สายวาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า ในพื้นที่จังหวัดตากไม่มีรายงานการเกิดแผ่นดินไหว และยังไม่ได้รับความรู้สึกจากการเกิดแผ่นดินไหวขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.komchadluek.net/news/regional/239453
|
|
|
10226
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระร้องเรียน...!! ถูกบุกรุกพื้นที่วัด
|
เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 07:09:11 pm
|
พระร้องเรียน...!! ถูกบุกรุกพื้นที่วัด มีพระคุณเจ้า 2 รูป ส่งจดหมายผ่านอีเมล์มา เพื่อให้ช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตักเตือน “ผู้นำท้องถิ่น” และทั้งช่วยประสานให้ ปปท. ตรวจสอบพฤติกรรม!!
ตั้งแต่เริ่มเขียน “คอลัมน์ริ้วผ้าเหลือง” ผมมีปณิธานอันแน่วแน่ว่า...
“ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นสื่อกลางอันดีระหว่างสถาบันสงฆ์และพุทธศาสนิกชนในสังคมไทย ในขณะเดียวกันในฐานะชาวพุทธ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องร่วมกันปกป้องพระพุทธศาสนา ปกป้องศาสนสมบัติและรวมทั้งพระภิกษุสุปฎิปันโนมิให้บุคคลใด บุคคลหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จาก “พระพุทธศาสนา” หรือแม้กระทั้งจาก “วัด” ซึ่งบุคคลนั่นไม่ว่าจะเป็น “พระภิกษุหรือฆราวาส” ล้วนจะต้องถูกตรวจสอบแบบถึงลูกถึงคน มิให้มีที่ยืนในเขตแดนแห่งนาบุญอีกต่อไป...”
การเขียนบทความผ่านมาแล้ว 2-3 เดือน มีพระและประชาชนส่งจดหมายผ่านอีเมล์ riwpaalueng@gmail.com บ้างพอสมควร หรือบางทีเพื่อนๆ ที่รู้จักกัน ก็เล่าขบวนการหากินแปลกๆ ในวงการคณะสงฆ์ให้ฟัง บางรายก็เสนอแนวทางปฎิรูปคณะสงฆ์ บางเจ้าก็เล่าพฤติกรรมพระในวัดและเหตุแห่งความเสื่อมปนเปกันไป
บางรายก็ชี้วัดและกลุ่มบุคคลที่เป็นมารศาสนา “หากินกับวัด” ซึ่งส่วนใหญ่ก็จำพวก “กินอิฐกินปูน” จำพวกรับสร้าง “วัตถุมงคล” แล้วถวายให้พระเกจิแจกบางส่วน บางส่วนตัวเองก็ไปทำการตลาด หากดังขึ้นมาก็ “ปล่อยบูชา” ในราคาแพงๆ หรือบางคนให้ข้อมูลมาว่า...มีกลุ่มฆราวาสบางกลุ่มรับ “สัมปทานจัดงานวัด” เช่น งานประจำปี งานปิดทองฝังลูกนิมิต หรืองานในเทศกาลสำคัญๆ วิธีการของคนกลุ่มนี้ คือ ถวายเงินก้อนหนึ่งให้วัด ส่วนเงินรายได้จากการจัดงานไม่ว่าขาดทุนหรือได้กำไรทางผู้รับสัมปทานยอม “รับภาระเสี่ยง” เอง...
จริงไม่จริงเรื่องพวกนี้ ชาวพุทธต้องร่วมกันตรวจสอบนะครับ ไม่อย่างนั้นนานๆ เข้าจะกลายเป็นช่องทางหากินของพวก “เหลือบศาสนา” ส่วนพระคุณเจ้า หากท่านเมตตามากก็จะกลายเป็นการส่งเสริมให้คนไม่ดีหากินกับวงการสงฆ์และสุดท้ายกลับมาทำลายวงการคณะสงฆ์เองโดยไม่รู้ตัวมีพระคุณเจ้า 2 รูป ส่งจดหมายผ่านอีเมล์มาเพื่อให้ช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตักเตือน “ผู้นำท้องถิ่น” และทั้งช่วยประสานให้ ปปท. ตรวจสอบพฤติกรรม!!
รูปแรก “ครูกิตติธรรมสุนทร” เจ้าอาวาส วัดหน้าพระลาน ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี อายุ 59 พรรษา 45 ตอนนี้ไปรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดภูเขาทอง ซึ่งอยู่บนเกาะสมุยเหมือนกัน ปัญหาวัดแห่งนี้ถูกกลุ่มบุคคลนำโดยผู้นำท้องถิ่น เข้าไปบุกรุกที่ธรณีสงฆ์ มีการขุดดินทราย และตั้งร้านค้า โดยที่วัดไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย และไม่รู้ด้วยว่าในวัดระหว่างท่านกับฆราวาสใครมีอำนาจกว่ากัน
วัดมีเนื้อที่ประมาณ 18 ไร่ มูลค่าที่ดินของวัดแห่งนี้มีมูลค่านับร้อยล้านบาท ปัจจุบันมีสิ่งปลูกสร้างที่ไร้ระเบียบ เป็นแหล่งส่องสุม มีการบุกรุกที่ธรณีสงฆ์ ตอนอยู่วัดหน้าพระลานกว่าจะได้ที่ดินเป็นของวัดก็ลำบากแล้ว ทีนี้หนักเก่า เพราะถูกด่าทอถูกข่มขู่ เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ค่อยบังคับใช้กฎหมายไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ก็ไม่ได้รับความสนใจจากพนักงานสอบสวน
“รู้สึกว่าบ้านเมืองเกาะสมุยแห่งนี้มีความวุ่นวายมากกว่าในอดีตนัก และไม่แน่ใจ ว่าอาตมาจะรักษาพื้นที่วัด หรือธรณีสงฆ์ไว้ได้นานสักเพียงใด อำนาจหน้าที่ของวัดยังอยู่กับพระหรือฆราวาสหรือไม่ อาตมาไม่มั่นใจกับสภาพปัจจุบัน หนึ่งสมองกับหนึ่งจีวรของอาตมาจะรักษาที่ดินวัดให้ลูกหลานคนไทยในอนาคตไว้ได้หรือไม่ก็ต้องตามกันต่อไป”
รูปที่สอง “พระครูกาญจนกิจธำรง” เจ้าอาวาสวัดพุพง ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เป็นเรื่องขัดแย้งการบริหารจัดการการเงินและการบริหารจัดการภายในวัด อันเนื่องมาจากมี “ผู้นำท้องถิ่น” คนหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัด ถึงขนาดล็อกกุญแจโบสถ์ ล็อกกุญแจกุฎิเจ้าอาวาส ในเขตปกครองของท่าน เพราะอ้างกว่ากลัวของหาย ซ้ำ “ผู้นำท้องถิ่น” คนนี้ท่านอ้างว่า...ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้วาจาหยาบคายต่อท่าน“อาตมาเห็นว่าการบริหารจัดการภายในวัด เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส ส่วนกรรมการควรที่จะเป็นผู้ช่วยท่านเจ้าอาวาส และสุดท้ายมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่มากันผู้นำท้องถิ่นคนนี้บอกว่าไม่เอาเจ้าอาวาส ต้องเปลี่ยนเจ้าอาวาส ...สุดท้ายตอนนี้วัดแห่งนี้ก็ยังไม่มีเจ้าอาวาส ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา”
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 35 ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลาง เป็นทรัพย์สิน ซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี และมาตรา 34 วรรคสอง ห้ามมิให้บุคคลใด ยกอายุความขึ้นต่อสู่กับวัดหรือกรมการศาสนา แล้วแต่กรณี ในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง และที่ธรณีสงฆ์ ห้ามโอนกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาด เว้นตรากฎหมายเป็นพระราชบัญญัติเวนคืน
หลังจากรับหนังสือร้องเรียนของพระคุณเจ้าแล้ว ผมหดหู่มิใช่น้อย สงสาร “พระพุทธเจ้า” สงสารพระพุทธศาสนา ทำไมช่วงนี้พุทธศาสนาเจอมรสุมกระหน่ำเยอะหรือเกิน แต่อย่างไรเสีย กระผมได้ส่งหนังสือร้องเรียนให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะหากเป็นจริงดังที่พระคุณเจ้าเล่ามา ฆราวาสกลุ่มนี้ “ล้วนใช้อำนาจโดยมิชอบ” ลองดูสิว่า นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล ของ คสช. ยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ไหม?
หากศักดิ์สิทธิจริง...ไม่นานความสุขของ “พระคุณเจ้า” ก็จะกลับคืนมา!!คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลืองโดย “เปรียญ10” : riwpaalueng@gmail.comที่มา : http://www.dailynews.co.th/article/518900
|
|
|
10235
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมการศาสนา ชู 11 ร.ร.ต้นแบบ ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม
|
เมื่อ: สิงหาคม 23, 2016, 09:48:57 am
|
กรมการศาสนา ชู 11 ร.ร.ต้นแบบส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมกรมการศาสนา เดินหน้าส่งเสริมกิจกรรมในสถานศึกษา ชู 11 สถานศึกษาต้นแบบคุณธรรม จริยธรรมเป็นพี่เลี้ยงให้สถานศึกษาทั่วประเทศ จัดกิจกรรมพัฒนาเยาวชนไทย
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา เปิดเผยว่า กรมการศาสนาได้จัดประชุมเสวนาส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสถานศึกษา ภายใต้นโยบายประชารัฐ ขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 สถานศึกษาคุณธรรม สร้างชาติมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อเปิดเวทีแห่งคุณธรรม ให้รับรู้และแลกเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสถานศึกษานั้น พบว่า สถานศึกษาที่เข้าร่วมประชุมกว่า 80 แห่งให้ความสนใจรูปแบบการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของสถานศึกษาที่ดำเนินงานอย่างเข้มข้นอย่างมาก เนื่องจากเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านพฤติกรรมของนักเรียนที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่งดงาม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ไม่ทะเลาะวิวาท สามัคคีเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ มีชีวิตที่พอเพียง อนุรักษ์ความเป็นไทย รวมถึงชุมชนและสังคมรอบรั้วสถานศึกษาก็มีบรรยากาศแห่งคุณธรรม ดังนั้น กรมการศาสนาจะขยายผลต่อยอดไปยังสถานศึกษาอื่นๆที่ยังไม่ได้ดำเนินงานให้นำรูปแบบที่หลากหลายไปปรับใช้กับสถานศึกษาของตนเองอย่างเหมาะสมต่อไป
"นอกจากสถานศึกษาหลายแห่งสนใจจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมในสถานศึกษาแล้ว ขณะเดียวกัน ก็มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สนใจจะสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมในสถานศึกษาเช่นกัน เพราะฉะนั้น กรมการศาสนา จะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ประสานงานระหว่างสถานศึกษาและหน่วยงานที่ต้องการสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมในสถานศึกษา รวมถึงจัดหาสถานศึกษาต้นแบบมาเป็นพี้เลี้ยงให้ด้วย"อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ กรมการศาสนาได้ประกาศให้สถานศึกษา 11 แห่งเป็นต้นแบบการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสถานศึกษา พร้อมขอความร่วมมือให้คอยช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้กับสถานศึกษาอื่นๆทั่วประเทศที่ต้องการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเป็นเด็กไทยพันธุ์ใหม่ ที่ดี เก่ง มีคุณธรรมจริยธรรม เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และมีคุณค่าต่อประเทศชาติ ดังนี้ 1.รร.บางมูลนากภูมิวิทยาคม(โรงเรียนคุณธรรมต้นแบบ ศูนย์คุณธรรม) 2. โรงเรียนวัดนาคปรก (โรงเรียนคุณธรรมการออมร่วมกับธนาคารออมสิน) 3. โรงเรียนวัดสุทัศน์(โรงเรียนวิถีพุทธปลูกปัญญาด้วยมิติศาสนาเสริมสร้างสุขภาวะนักเรียนต้นแบบ ศน.) 4. รร.วัดวังตะกู (โรงเรียนวิถีพุทธ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ.) 5. รร.วัดโพธิ์ทอง(โรงเรียนคุณธรรมจริยธรรมในมูลนิธิยุวสถิรคุณ) และ 6.รร.บ้านหนองบอน (นัยนานนท์อนุสรณ์)(โรงเรียนประชารัฐ) 7. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร(โครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรมสำหรับนักศึกษา) 8.รร.วัดพระปฐมเจดีย์ (โครงการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ศน.) 9. วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (โครงการคลินิกคุณธรรมในสถานศึกษา ศน.) 10.วิทยาลัยเทคนิคโพธาราม(โครงการวิทยาลัยคุณธรรม) และ 11.วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม(สยามเทค) โครงการสุภาพชนสยามเทค
ทั้งนี้ สถานศึกษาที่สนใจสามารถประสานขอความช่วยเหลือได้ที่สถานศึกษาดังกล่าวโดยตรง หรือที่สำนักพัฒนาคุณธรรม กรมการศาสนา โทร.0-2422-8811-2ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.komchadluek.net/news/edu-health/239171
|
|
|
10237
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ย้ำพจนานุกรมไม่ทำลายอัตลักษณ์คนอีสาน
|
เมื่อ: สิงหาคม 22, 2016, 11:07:50 am
|
ย้ำพจนานุกรมไม่ทำลายอัตลักษณ์คนอีสานสำนักงานราชบัณฑิตยสภาเปิดเวทีรับฟังนักวิชาการและปราชญ์ท้องถิ่นอีสานร่วมขับเคลื่อนการจัดทำพจนานุกรมภาษาไทยถิ่นอีสาน มุ่งฟื้นฟูตัวอักษรธรรมอีสานและไทยน้อยที่เป็นตัวอักษรดั้งเดิมของคนอีสาน “อดิศร” ออกตัวหนุนเต็มที่ ชี้เป็นการปลดปล่อยเอกราชทางภาษาให้คนอีสาน
วันนี้(21ส.ค.) รศ.ดร.ชลธิชา บำรุงรักษ์ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานจัดทำพจนานุกรมภาษาไทยถิ่น ภาคอีสาน สำนักงานราชบัณฑิตยสภา(รภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่จังหวัดขอนแก่น สำนักงานราชบัณฑิตยสภาได้จัดให้มีเวทีเสวนาวิชาการเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการและปราชญ์ท้องถิ่นภาคอีสานกว่า 50 คน ในการจัดทำพจนานุกรมภาษาไทยถิ่นภาคอีสาน ซึ่งจากการเสวนาทำให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและความกระตือรือร้นของคนอีสาน โดยมีหลายประเด็นที่คณะกรรมการจะต้องนำไปพิจารณา เช่น ข้อเสนอที่ไม่อยากให้มีการใช้วรรณยุกต์เพราะรูปศัพท์ดั้งเดิมของภาษาไทยถิ่นอีสานไม่มีการใช้วรรณยุกต์มาก่อน หรือประเด็นที่อยากให้พจนานุกรมเก็บรวบรวมคำศัพท์ตามเสียงที่คนอีสานพูดในปัจจุบัน
รศ.ดร.ชลธิชา กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามยังมีเสียงที่สะท้อนถึงความห่วงใยว่ารูปแบบของพจนานุกรมจะเป็นการชี้นำหรือกำหนดในสิ่งที่ไม่ใช่วิถีชีวิตของคนอีสาน ซึ่งอาจกระทบต่ออัตลักษณ์ของคนอีสานหรือไม่ ซึ่งตนยืนยันว่าคณะกรรมการก็คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้มาตลอด ดังนั้นในการดำเนินงานจึงมีการออกมารับฟังความคิดเห็นจากคนในท้องถิ่น และไม่ใช่รับฟังเพียงครั้งเดียว แต่จะออกมารับฟังอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะเก็บรวบรวมคำศัพท์ให้ได้มากที่สุดทั้งคำศัพท์ในอดีต คำศัพท์ที่ใช้ในปัจจุบัน รวมถึงคำศัพท์ที่เกิดใหม่ด้วย และที่สำคัญจะมีการนำตัวอักษรธรรมอีสานและตัวอักษรไทยน้อยซึ่งเป็นตัวอักษรของภาคอีสานมาเขียนไว้ในพจนานุกรมด้วย ดังนั้นพจนานุกรมจึงไม่ได้ทำลายอัตลักษณ์ของคนอีสาน แต่เป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของคนอีสานมากกว่า คาดว่าภายใน5ปี จะสามารถจัดพิมพ์ออกมาเผยแพร่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นเชื่อว่าจะยิ่งทำให้เข้าใจแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการมากยิ่งขึ้นดร.อดิศร เพียงเกษ อดีตรมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ประเทศไทยน่าจะโครงการแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ตนรู้สึกดีใจที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภาริเริ่มทำเรื่องนี้ ถือว่าเป็นการปลดปล่อยเอกราชทางภาษาให้แก่คนอีสาน ซึ่งตนและนักวิชาการรวมถึงปราชญ์ท้องถิ่นพร้อมร่วมเป็นเครือข่ายทำงานกับสำนักงานราฃบัณฑิตยสภาเพื่อให้พจนานุกรมเล่มนี้ออกมาสมบูรณ์ที่สุดและสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของคนอีสานได้อย่างแท้จริง
ดร.อดิศร กล่าวต่อไปว่า ภาษาอีสานมีความงดงาม และมีอักษรที่ใช้เขียนของตัวเองด้วย แต่ได้ถูกละเลยไปเป็นร้อยปี จึงเป็นเรื่องดีที่จะฟื้นฟูตัวอักษรธรรมอีสานและไทยน้อยกลับมาอีก เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักตัวอักษรเหล่านี้กันแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
“ ผมสนับสนุนโครงการนี้เต็มที่ แต่ในการดำเนินงานก็ยังมีบางประเด็นที่ยังเห็นแตกต่าง ซึ่งต้องช่วยกันพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ผมเข้าใจเหตุผลที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภาอยากเขียนคำศัพท์ตามรูปแบบดั้งเดิมที่ปรากฎในจารึกหรือเอกสารโบราณ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาและสืบค้นที่มาของคำ แต่ผมอยากให้เขียนตามเสียงที่คนอีสานพูดในปัจจุบันมากกว่า เช่น คำว่าเซิ้ง หากเขียนแบบดั้งเดิมก็ต้องใช้ตัว ช ช้าง ก็จะกลายเป็น เชิ้ง แต่คนอีสานออกเสียง ช ช้าง เป็นซ โซ่ หรือคำว่า แข้วชาว ที่หมายถึงฟันแท้ คนอีสานก็ออกเสียงว่า แข่วซ้าว ดังนั้นหากเขียนในพจนานุกรมว่า แข้วชาว เด็กรุ่นใหม่ก็คงหาคำนี้ไม่เจอ ผมจึงอยากให้เขียนตามเสียงมากกว่า แต่ก็สามารถเพิ่มเติมข้อมูลได้ว่า คนอีสานอ่าน ช เป็นเสียง ซอ ก็น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าทั้งสำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้ด้านภาษาศาสตร์ รวมทั้งผู้สนใจทั่วไปด้วย” ดร.อดิศร กล่าวขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/517902
|
|
|
10238
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮารับองค์พญานาคริมโขง แลนด์มาร์คใหม่นครพนม
|
เมื่อ: สิงหาคม 22, 2016, 11:03:23 am
|
ฮือฮารับองค์พญานาคริมโขง แลนด์มาร์คใหม่นครพนม ผวจ.นครพนม นำพี่น้องประชาชน ทำพิธีบวงสรวงรับองค์ศรีสัตตนาคราช องค์พญานาคขนาดใหญ่ เตรียมนำขึ้นประดิษฐานไว้บนแท่นริมฝั่งแม่น้ำโขง แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของ จ.นครพนม จัดงานสมโภชยิ่งใหญ่ 9 วัน 9 คืน
เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 21.00 น. วานนี้ (21ส.ค.) ที่บริเวณลานองค์พญาศรีสัตตนาคราช หรือ สถานที่ก่อสร้างแลนด์มาร์ค ริมฝั่งแม่น้ำโขง หน้าสำนักงานป่าไม้นครพนม ถนนสุนทรวิจิตร ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม นายสมชาย วิทย์ดำรงค์ ผวจ.นครพนม นำข้าราชการ พี่น้องประชาชน ร่วมพิธีบวงสรวงต้อนรับองค์พญานาคขนาดใหญ่ หรือ องค์ศรีสัตตนาคราช ที่อัญเชิญมาจากสถานที่ก่อสร้าง จ.นครปฐม เพื่อนำมาเตรียมพร้อมนำขึ้นประดิษฐานไว้บนแท่นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของ จ.นครพนม โดยมีพลังศรัทธาของ ประชาชน นักท่องเที่ยว กว่า 1 พันคน เดินทางมาชื่นชมและร่วมพิธีบวงสรวงรับองค์พญานาคกันอย่างคึกคัก สำหรับองค์พญานาคขนาดใหญ่ หรือ องค์พญาศรีสัตตนาคราช ถือเป็นสัญลักษณ์ของ จ.นครพนม ที่ก่อสร้างขึ้นตามความเชื่อ ความศรัทธา เนื่องจากมีภูมิประเทศที่ตั้งติดกับริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่มีประวัติความเป็นมาในเรื่องของความเชื่อ ความเคารพศรัทธาในเรื่องของพญานาค ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาแต่อดีต จนกระทั่งเมื่อปี 2554 – 2555 ในช่วงของ นายอนุกูล ตังคณานุกูลชัย อดีต ผวจ.นครพนม ปัจจุบันเป็น ผวจ. ฉะเชิงเทรา ได้ผลักดันจัดสรรงบประมาณ ดำเนินการออกแบบสร้างขึ้นเป็นแลนด์มาร์คเพื่อประดิษฐานไว้ริมฝั่งแม่น้ำโขง หน้าสำนักงานป่าไม้ ถนนสุนทรวิจิตร ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม
ใช้เวลาการออกแบบก่อสร้างมานานเกือบ 5 ปี ส่วนตัวพญานาคก่อสร้างขึ้นด้วยโลหะทองเหลือง เป็นองค์พญานาคขดตัวชูหัว จำนวน 7 เศียร มีความสูงตั้งแต่ฐานลำตัว ประมาณ 10 เมตร ฐานกว้างประมาณ 6 เมตร โดยจะประดิษฐานหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ พ่นน้ำลงสู่แม่น้ำโขง สวยงาม โดดเด่น และจะมีการจัดงานสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ 9 วัน 9 คืน ตั้งแต่วันที่ 9–18 ก.ย.นี้ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/518242
|
|
|
10240
|
พระไตรปิฏก / พระธรรมตามพระไตรปิฏก / "หินทับหญ้า" คำนี้ใช้ปรามาส "สมาธิ" พระพุทธองค์เคยตรัสถึงหรือไม่.?
|
เมื่อ: สิงหาคม 22, 2016, 10:27:50 am
|
พุทธบริษัทบางเหล่ากล่าวถึงสมาธิด้วยถ้อยคำไม่ให้ความเคารพ ว่าเป็นดั่งหินทับหญ้า พวกชอบสมาธิเป็นคน"ติดสุข" ตัดกิเลสไม่ได้ เรื่องนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นต้นเรื่อง ใครเป็นคนบัญญัติคำว่าหินทับหญ้าออกมา เท่าที่หาข้อมูลได้ ก็ไม่มีใครสามารถระบุที่มาได้
คำว่า"หินทับหญ้า" และคำว่า"ติดสุข" นั้นเท่าที่ค้นดูในพระไตรปิฎกไม่ปรากฏคำเหล่านี้ เป็นที่ทราบกันว่าในองค์ฌานนั้นประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา จะเห็นว่ามีสุขอยู่ด้วย ที่สำคัญในมรรคมีองค์ ๘ สัมมาสมาธิเป็นมรรคองค์ที่ ๘ ซึ่งหมายถึง ฌาน ๔ จึงเห็นชัดว่าพระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เจริญสมาธิ
ดังนั้นจะเห็นว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ห้ามเจริญสมาธิ ไม่เคยตรัสว่า เจริญสมาธิแล้วจะติดสุข ในพระไตรปิฎกพระพุทะองค์ตรัสตรงๆให้เจริญสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมาธิสูตร ซึ่งปรากฏอยู่หลายสูตร ขอยกมาแสดง ๒ สูตร
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สมาธิสูตร [๑๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง รู้อะไรตามความเป็นจริงรู้ ตามความเป็นจริงว่า จักษุไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า รูปทั้งหลายไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุวิญญาณไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุสัมผัสไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่เที่ยง ฯลฯ รู้ตามความเป็นจริงว่า ใจไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า ธรรมารมณ์ทั้งหลายไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่ามโนวิญญาณไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า มโนสัมผัสไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่าสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ฯ
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค สมาธิสูตร [๑๖๕๔] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ ภิกษุผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ย่อมรู้อะไรตามความเป็นจริง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ ภิกษุผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
ที่สำคัญอีกอย่าง พระพุทธองค์ตรัสว่า "นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง" ขอยกมาแสดง ๒ สูตร
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ มาคัณฑิยสูตร [๒๘๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม.
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต คาถาธรรมบท สุขวรรคที่ ๑๕ (ยกมาแสดงบางส่วน) ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมเป็นทุกข์ พระขีณาสพผู้สงบระงับ ละความชนะความแพ้ได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี โทษเสมอด้วยโทสะไม่มี ทุกข์เช่นด้วยขันธ์ไม่มี สุขยิ่งกว่าความสงบไม่มี ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง บัณฑิตทราบเนื้อความนี้ตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน เพราะนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ลาภทั้งหลายมีความไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง ทรัพย์มีความสันโดษเป็นอย่างยิ่ง ญาติทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ฯลฯ
ในเมื่อนิพพานเป็นสุขแบบนี้แล้ว เราควรมุ่งที่จะแสวงหาความสุขจากนิพพานรึเปล่า.? ขอคุยเท่านี้ครับ
|
|
|
|