ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: 1 ... 254 255 [256] 257 258 ... 709
10201  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เชื่อปาฏิหาริย์ 'หลวงพ่อนาค' 2 โจ๋ขี้ยาฉกตู้บริจาคไม่สำเร็จทำตกน้ำ เมื่อ: สิงหาคม 27, 2016, 08:20:57 pm




เชื่อปาฏิหาริย์ 'หลวงพ่อนาค' 2 โจ๋ขี้ยาฉกตู้บริจาคไม่สำเร็จทำตกน้ำ

จับ 2 โจ๋ ลักตู้บริจาค วัดหลวงพ่อนาค อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี อุ้มตู้ขึ้น จยย. ก่อนทำหล่นระหว่างทาง กลัวถูกจับรีบซิ่งรถหนี วงจรปิดจับภาพได้ ถูกรวบตัวคู่ ด้านชาวบ้านเชื่อปาฏิหาริย์ 'หลวงพ่อนาค' 2 โจ๋ ลักตู้บริจาคไม่สำเร็จ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 สิงหาคม พ.ต.อ.พรชัย บุญรอด ผกก.สภ.บ้านผือ จ.อุดรธานีพ.ต.ท.พิสิษฐ์ คำสุข รอง ผกก.สส.สภ.บ้านผือ พ.ต.ท.สิรภพ พิลาเคน สว.สส.สภ.บ้านผือ ร.ต.ท.มนต์ชัย พลายแสง รอง สว.สส.สภ.บ้านผือ นำกำลังจับกุม นายเอ (นามสมมติ) อายุ 15 ปี และ นายบี (นามสมมติ) อายุ 16 ปี ราษฎรตำบลบ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พร้อมของกลาง รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ สีดำแดง หมายเลขทะเบียน ขยพ 703 อุดรธานี โดยกล่าวหา“ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน” โดยจับกุมได้ที่บ้านพัก ควบคุมตัวไปโรงพักทำการสอบสวน

สืบเนื่องจาก เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 23 สิงหาคม พ.ต.ต.องอาจ ปลัดขวา สารวัตรสอบสวน สภ.บ้านผือ ได้รับแจ้งเหตุลักทรัพย์ที่วัดโพธิ์ชัยศรี (วัดหลวงพ่อนาค) บ้านแวง ต.บ้านผือ จึงออกไปตรวจสอบ พบพระมหาอัมพร อโสโก (ท่านเจ้าคุณภาวนาวิมล) เจ้าอาวาสวัด ให้การว่า มีคนร้ายเข้ามาลักตู้บริจาค ทำด้วยเหล็ก บริเวณศาลาบูชาดอกไม้หน้าวิหารหลวงพ่อนาค พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวบ้านผือ ภายในตู้มีเงินบริจาคประมาณ 2 หมื่นบาท จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในวัด พบว่า เวลา 01.30 น. พบคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์มาลักตู้บริจาคหลบหนีไป


 :96: :96: :96: :96:

ต่อมา เวลา 09.00 น. วันที่ 25 สิงหาคม ได้รับแจ้งจาก นายเจริญ พันธ์ชัย อายุ 62 ปี พบตู้บริจาค ถูกทิ้งแช่น้ำอยู่กลางทุ่งนา ถ.บ้านพลับ–บ้านแวง ต.บ้านผือ ห่างจากวัดหลวงพ่อนาค 300เมตร สภาพสมบูรณ์ยังล็อกกุญแจ ตำรวจจึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน และแจ้งคณะกรรมการวัด นำกุญแจมาเปิด พบว่าเงินสดเปียกน้ำอยู่ภายในตู้เหล็ก 21,510.25 บาท จึงนำไปผึ่งแดดบริเวณลานปูนหน้าโรงพัก และสืบสวนหาคนร้ายที่ก่อเหตุ จนทราบว่าคือ นายเอ และ นายบี ซึ่งมีพฤติกรรมลักทรัพย์ และจับกุมได้ที่บ้านพัก

จากการสอบสวน นายเอ และ นายบี ให้การรับสารภาพว่า พวกตนไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้ทำงานได้เข้าไปก่อเหตุลักตู้บริจาคของวัดหลวงพ่อนาคจริง เพื่อหาเงินเที่ยวเตร่ และเสพยาบ้า ก่อนก่อเหตุ นายบี ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้วัด ทุกวันจะเห็นประชาชน ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาหลวงพ่อนาค มาทำบุญที่วัดเป็นจำนวนมาก จึงอยากได้เงินไปใช้เที่ยวเตร่และซื้อยาบ้ามาเสพ จึงได้ชักชวนกันไปลักตู้บริจาคภายในวัด โดยนายเอเป็นคนขับ นายบียกตู้ขึ้นนั่งซ้อนท้าย

 :41: :41: :41: :41:

จากนั้นวางตู้บริจาคไว้ตรงกลาง เมื่อขี่ออกมาจากวัดได้ประมาณ 300 เมตร ด้วยความรีบร้อนทำให้ตู้หล่นตกลงไปในทุ่งนา เกรงว่าคนจะมาเห็น จึงไม่ลงไปเก็บและปล่อยตู้ทิ้งไว้ แล้วขี่รถกลับบ้านโดยไม่ทราบว่าภายในวัดมีกล้องวงจรปิด กระทั่งมาถูกตำรวจจับกุมดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ ชาว อ.บ้านผือ ต่างเชื่อว่าเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อนาค พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ แสดงอภินิหารทำให้คนร้ายไม่สามารถเอาตู้บริจาคไปได้ สำหรับพระพุทธรูปหลวงพ่อนาค วัดโพธิ์ชัยศรี บ้านแวง ต.บ้านผือ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคูเมือง อ.บ้านผือ และชาว จ.อุดรธานี เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก 7 เศียร แผ่พังพาน เนื้อทองสำริด หน้าตักกว้าง 12 นิ้ว สร้างขึ้นเมื่อ ร.ศ.170 มีอายุ 1,206 ปี เคยถูกลัก 4 ครั้ง แต่ก็ได้กลับคืนมาทุกครั้ง เพราะโจรที่ลักไปจะพบกับอาถรรพ์ จนต้องนำกลับมาคืน.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/703864
10202  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ช็อก! หนุ่มบัณฑิตเกียรนิยมดับปริศนาบนภูเขาทอง แม่ไม่เชื่อฆ่าตัวตาย เมื่อ: สิงหาคม 27, 2016, 08:14:25 pm






เร่งคลี่คดีบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ1มหาลัยดัง ตกภูเขาทองดับ ผกก.ยันวงจรปิดจับภาพเดินคนเดียว

ความคืบหน้าเหตุนายนราวุฒิ พวงเกษร อายุ 26 ปี ชาวจ.สมุทรปราการ บัณทิตปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ1คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตกจากพระบรมบรรพต(ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ถนนบริพัตร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปรามศัตรูพ่าย ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยนางอำไพ จันทร์หอม อายุ 54 ปี มารดาของผู้เสียชีวิต ยังคงติดใจสาเหตุการตาย เนื่องจากพบพิรุธในที่เกิดเหตุหลายจุดนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ต.อ.ต่อเกียรติ พรหมบุตร ผกก.สน.สำราญราษฎร์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม เวลา 06.30 น.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ภากร สมุทรคีรี รอง ผกก.(สอบสวน) สน.สำราญราษฎร์ รับแจ้งพบชายได้รับบาดเจ็บ บริเวณลานที่พักทางลงพระบรมบรรพต(ภูเขาทอง) จึงนำกำลังไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจสายสืบจำนวนหนึ่ง พบนายนราวุฒิ นอนหงายจมกองเลือด สวมเสื้อยืดสีเลือดหมู กางเกงขาสั้นลายสก๊อตสีเทาเข้ม ไม่สวมรองเท้า มีบาดแผลแตกที่ศีรษะด้านหน้าเป็นแผลฉกรรจ์ จึงรีบช่วยเหลือนำตัวส่ง โรงพยาบาลกลาง เพื่อให้แพทย์ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในที่สุด


 :96: :96: :96: :96:

พ.ต.อ.ต่อเกียรติ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นสั่งการให้พนักงานสอบสวนเร่งติดตามคดีอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางวัดสระเกศฯ พบนายนราวุติ ผู้เสียชีวิต กำลังเดินขึ้นพระบรมบรรพต(ภูเขาทอง)เพียงคนเดียว ในเวลา 03.00 น. ในวันที่ 21 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งก่อนและหลังแล้ว แต่ยังไม่พบผู้ใดแอบขึ้นไปพระบรมบรรพตในยามวิกาล ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมกล้องวงจรปิดที่อยู่ตรงจุดเกิดเหตุตัวกล้องมีการหงายขึ้นนั้น ได้สอบถามพระภายในวัดแล้ว ทราบว่ากล้องตัวนั้นเสียจึงมีการใช้ไม้ดันขึ้นไป เพื่อรอให้ช่างมาซ่อม

พ.ต.อ.ต่อเกียรติ กล่าวต่อว่า เบื้อนต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งประเด็นการเสียชีวิตได้ 2 ประเด็นคือ 1.ทำร้ายร่างกายตนเองจนเสียชีวิต และ2.ถูกผู้อื่นทำร้ายจนเสียชีวิต ในขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้สอบพยานไปแล้ว 5 ปาก แต่ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าต้องรอผลพิสูจน์จากสถาบันนิติเวช และเจ้าหน้าพิสูจน์หลังฐาน(พฐ.)ที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง และรอให้ญาติผู้เสียชีวิตมาให้ข้อมูลเพิ่มหลังจากจบพิธีฌาปนกิจต่อไป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news/264906
10203  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ช็อก! หนุ่มบัณฑิตเกียรนิยมดับปริศนาบนภูเขาทอง แม่ไม่เชื่อฆ่าตัวตาย เมื่อ: สิงหาคม 27, 2016, 08:12:13 pm



ช็อก! หนุ่มบัณฑิตเกียรนิยมดับปริศนาบนภูเขาทอง แม่ไม่เชื่อฆ่าตัวตาย

(27 ส.ค.) มีรายงานว่า นางอำไพ อายุ 54 ปี เข้าร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ลูกชายคือ นายนราวุฒิ อายุ 26 ปี  ดีกรีบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 1 เสียชีวิตปริศนาบนภูเขาทอง หรือ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พบมีบาดแผลแตกฉกรรจ์ที่ศีรษะ ติดใจถูกฆาตกรรมมากกว่าฆ่าตัวตาย

โดยจากการตรวจสอบทราบว่าเมื่อวันที่ 21 ส.ค. พบร่างชายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่บริเวณลานที่พักทางลงพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ถนนบริพัตร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ในท้องที่รับผิดชอบ สน.สำราญราษฎร์ และถูกช่วยเหลือนำส่งรพ.กลาง แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา

มารดาผู้ตาย เปิดเผยอีกว่า ไม่คาดคิดจะเกิดเหตุการณ์ในลักณะนี้ เนื่องจากลูกชายเป็นคนเรียนเก่ง เพิ่งเรียนจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และเพิ่งรับปริญญาบัตรไปเมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา จากนั้นได้มาดูแลกิจการร้านอาหารของครอบครัว ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 22.00 น. วันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจากปิดร้านตามปกติ ลูกชายขอเงิน 500 บาท เพื่อออกไปกินผัดไทย ย่านประตูผี โดยไม่ได้นำโทรศัพท์และทรัพย์สินมีค่าติดตัวไปด้วย ส่วนสาเหตุเชื่อว่าลูกชายไม่ได้ฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน อีกทั้งกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุก็ถูกจับหันขึ้นฟ้า จนไม่สามารถใช้การได้


 :96: :96: :96: :96:

ด้านแม่ชีของวัดเผยว่า ได้ยินเสียงเหมือนคนคลุ้มคลั่งโวยวายและตีระฆังช่วงกลางดึก แต่ไม่กล้าขึ้นไปดูเพราะกลัวถูกทำร้าย จนกระทั่งช่วงเช้ามีพระในวัดเข้ามาพบและนำตัวส่งโรงพยาบาลแต่เจ้าตัวกลับพยายามขัดขืน ก่อนไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล เผยก่อนเกิดเหตุเจ้าตัวเดินขึ้นไปบนภูเขาทองและนั่งสมาธิอยู่พักหนึ่ง ก่อนเดินจงกรมไปโดยรอบ

พ.ต.อ.ต่อเกียรติ พรหมบุตร ผกก.สน.สำราญราษฎร์ เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น ว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรอผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และสถาบันนิเวชวิทยา โดยยังไม่สามารถตัดประเด็นใดทิ้งได้ ซึ่งต้องรอทางพนักงานสืบสวนสอบสวนดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานจึงจะสามารถสรุปได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร โดยล่าสุดได้สอบปากคำพยานแวดล้อมไปแล้ว 5 ปาก เบื้องต้นจากการตรวจสอบยังไม่พบบุคคลอื่นนอกจากผู้เสียชีวิตในจุดเกิดเหตุ



ที่มาจาก INN และ เรื่องเล่าเช้านี้
http://news.sanook.com/2056290/
10204  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / หลักการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ เมื่อ: สิงหาคม 27, 2016, 10:51:52 am



หลักการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ


ความนำ

การปฏิบัติวิปัสสนาธุระเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของพุทธศาสนิกชนควบคู่กับคันถธุระการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา คันถธุระ การปฏิบัติพระกัมมัฏฐานในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย ถือกำเนิดมาพร้อมกับการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ ผู้ทรงสถาปนามหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้เพื่อให้พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายได้ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง การศึกษาพระไตรปิฎกนั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของพระสงฆ์อยู่แล้ว

ส่วนการศึกษาวิชาชั้นสูงนั้นน่าจะหมายถึงการศึกษาวิชาการ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติและเผยแผ่พระศาสนาควบคู่กันไป กล่าวเฉพาะด้านพระศาสนา วิถีชีวิตของพระภิกษุสงฆ์ นอกจากจะมีความเป็นผู้นำด้านความรู้ในพระไตรปิฎกแล้ว ยังจะต้องพัฒนาตนให้เป็นพระสงฆ์ในอุดมคติ ด้วยการพัฒนาตนนั้นจะต้องอาศัยหลักการปฎิบัติพระกัมมัฏฐานเพื่อฝึกฝนอบรม โสฬสญาณ ญาณ ๑๖ อันเป็นวิชาชั้นสูงให้เกิดขึ้นในขันธสันดาน

 :25: :25: :25: :25:

จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนั้น ก็เพื่อชำระจิตของผู้ปฏิบัติให้บริสุทธิ์สะอาดหมดจดจนกระทั่งถึงบรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดทางพระพุทธศาสนา ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ทรงมอบพระพุทธศาสนาให้เป็นสมบัติของพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งได้บรรลุธรรมระดับใดก็ตามด้วยการเจริญพระกัมมัฏฐาน ก็ย่อมจะทำให้พุทธบริษัทเหล่าอื่นเกิดความมั่นใจในการเจริญพระกัมมัฏฐาน โดยเห็นว่า การเจริญพระกัมมัฏฐานเป็นการปฏิบัติธรรม เพื่อพัฒนาจิตของมนุษย์ให้บรรลุถึงพระนิพพานได้ ผู้ที่เคยเจริญพระกัมมัฏฐานอย่างไร้จุดหมายหรือมีความท้อแท้หมดกำลังใจในการปฏิบัติ ก็จะมีกำลังใจในการปฏิบัติมากขึ้น

ในขณะเดียวกันผู้ที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมระดับใดระดับหนึ่งก็สามารถพัฒนาจิตของตนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพานได้ สังคมโลกก็จะได้รับประโยชน์คือสันติภาพพร้อม ๆ กับผู้ปฏิบัติธรรม ปัญหาต่าง ๆ ที่โลกกำลังประสบอยู่ เช่น การเบียดเบียนกัน การเข่นฆ่ากัน การแย่งชิงผลประโยชน์กัน ก็จะลดน้อยลงไปตามลำดับ เพราะอาศัยบุคคลผู้มีคุณภาพดี มีจำนวนมากขึ้นในสังคม


 st12 st12 st12 st12

การปฏิบัติพระกัมมัฏฐานในพระพุทธศาสนา มีหลายวิธีด้วยกัน แต่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท มีความเชื่อและยอมรับแนวการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ตามที่มีปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาว่า เป็นวิธีการที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและสามารถทำให้พุทธศาสนิกชน ได้พัฒนาตนจากระดับปุถุชนธรรมดาเป็นพระอริยบุคคลซึ่งเป็นบุคคลในอุดมคติของพระพุทธศาสนา

     ในบทความนี้ จะกล่าวถึงเรื่องที่สำคัญ ๓ ประการ คือ
      ๑.หลักกัมมัฏฐานในพระไตรปิฎก
      ๒.หลักมหาสติปัฏฐาน
      ๓.โสฬสญาณ




หลักกัมมัฏฐานในพระไตรปิฎก

ก. สมถกัมมัฏฐาน  

พระพุทธศาสนาแบ่งพระกัมมฎฐานออกเป็น ๒ วิธีปฏิบัติด้วยกัน
      วิธีที่ ๑ เรียกว่า สมถกัมมัฏฐาน
      วิธีที่ ๒ เรียกว่า วิปัสสนากัมมัฏฐาน

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๔ (คัมภีร์ธัมมสังคณี) ข้อ ๔๕ หน้า ๓๐ ได้ให้ความหมายของสมถกัมมัฏฐานไว้ว่า
     "กตโม ตสฺมึ สมเย สมโถ โหติ
     ยา ตสฺมึ สมเย จิตฺตสฺส ฐิติ สณฺฐิติ อวฏฺฐิติ อวิสาหาโร อวิกฺเขโป อวิสาหฏฺฐมานสตา สมโถ สมาธินฺทฺริยํ สมาธิพลํ สมฺมาสมาธิ อยํ ตสฺมึ สมเย สมโถ โหติ"

     แปลความว่า
     สมถะ ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นเป็นไฉน
     ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่ ความตั้งมั่น ความไม่ซัดส่าย ความไม่ฟุ้งซ่าน ความที่จิตไม่ซัดส่าย สมถะ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ สัมมาสมาธิ ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่าสมถะ ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น

      :96: :96: :96: :96:

     ดังนั้น สมถกัมมัฏฐาน จึงหมายถึงอุบายวิธีสำหรับฝึกจิตให้สงบ ในงานเขียนนี้ จะไม่นำเสนอขั้นตอนวิธีการฝึกจิตให้เกิดสมาธิในคัมภีร์วิสุทธิมรรคโดยละเอียด เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่า ภาวะที่จิตสงบอันเกิดจากการเจริญสมถกัมมัฏฐานไม่ว่าจะได้สมาธิในระดับใดก็ตามก็ถือว่าได้สมาธิแล้ว เหตุที่ต้องฝึกจิตให้เกิดสมาธิ เพราะว่าโดยธรรมชาติ ปุถุชนมักจะถูกกิเลสทำให้จิตไม่สงบเสมอ พระพุทธศาสนาอธิบายว่า การที่จิตไม่สงบนั้น เป็นเพราะจิตถูกนิวรณ์ ๕ ชนิด เข้าครอบงำ

    นิวรณ์ ๕ ชนิดนั้น คือ
    (๑) กามฉันทะ ภาวะที่จิตมีความอยากได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ผัสสะ) ธัมมารมณ์ที่น่าใคร่ น่าพอใจ
    (๒) พยาบาท ภาวะที่จิตมีความขัดเคืองใจ มองคนในแง่ร้าย
    (๓) ถีนมิทธะ ภาวะที่จิตมีอาการหดหู่ เซื่องซึม ไม่เข้มแข็ง
    (๔) อุทธัจจกุกกุจจะ ภาวะที่จิตฟุ้งซ่าน เดือดร้อนใจ จิตไม่หยุดนิ่ง และ
    (๕) วิจิกิจฉา ภาวะที่จิตมีความสงสัย ลังเล มีความคิดแยกเป็น๒ ทาง เลือกไม่ถูกว่าจะไปทางไหน

เมื่อมนุษย์ถูกกิเลสเหล่านี้ครอบงำแล้วจิตก็จะแกว่งไปตามอำนาจกิเลส ไม่สามารถทรงตัวอยู่ในความนิ่งสงบได้ จริงอยู่ การที่จิตจะเป็นกลาง หยุดนิ่ง ไม่ไหลเวียนไปตามอำนาจของกิเลสเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง พระพุทธศาสนาสอนว่าการที่จะเอาชนะกิเลสเหล่านี้ได้ ต้องเปิดโอกาสให้ตนเองได้พัฒนาสมาธิ จึงจะสามารถระงับกิเลสเหล่านี้ให้ลดลงโดยลำดับได้




วิธีฝึกฝนจิตด้วยหลักสมถกัมมัฏฐาน

    ๑. วิธีฝึกจิตไม่ให้ลุ่มหลง อยากได้รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ ที่น่าพอใจ ผู้ปฏิบัติต้องฝึกหัดมองสิ่งที่น่าใคร่น่าพอใจเหล่านี้ว่า เป็นของไม่มีความสวยงามที่แท้จริง ไม่คงทนถาวรอย่างที่เราคิดไว้ เมื่อเราฝึกฝนความคิดมองให้เห็นความจริงเช่นนี้ จิตที่เคยยึดมั่นถือมั่นก็จะค่อย ๆ คลายจากความยึดถือน้อยลงไปบ้าง การปล่อยวางจะทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะการฝึกหัดมองให้เห็นความจริง จะทำให้เราได้ประสบกับความจริงด้วยตนเอง
    ๒. วิธีฝึกจิตไม่ให้มีความขัดเคือง ไม่มองคนอื่นในแง่ร้าย ผู้ปฏิบัติจะต้องปลูกจิตที่มีแต่เมตตา รู้จักรักผู้อื่น อีกทั้งเพ่งกสิณที่มีสีต่าง ๆ เช่น สีเขียว (นีลกสิณ) สีเหลือง (ปีตกสิณ) สีแดง (โลหิตกสิณ) สีขาว (โอทาตกสิณ) จะทำให้จิตที่ชอบขัดเคือง มีปีติ (เอิบอิ่มใจ) โสมนัส (ความยินดี) เพิ่มขึ้น ความโกรธ ความขัดเคืองที่เคยมีมาก่อนก็จะค่อย ๆ จางหายไป
    ๓. วิธีฝึกจิตไม่ให้ถูกถีนมิทธะอันเป็นภาวะที่จิตง่วงนอนเศร้าซึมเข้าครอบงำ ผู้ปฏิบัติต้องฝึกหัดการกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก (อานาปานสติ) เมื่อฝึกบ่อย ๆ จิตใจก็จะเข้มแข็ง ไม่ง่วงนอน ไม่เศร้าซึม เป็นจิตมีสมาธิเพิ่มขึ้น
    ๔. วิธีฝึกจิตไม่ให้ความฟุ้งซ่านรำคาญ ผู้ปฏิบัติต้องฝึกหัดกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก (อานาปานสติ) เช่นเดียวกับผู้ถูกถีนมิทธะเข้าครอบงำ สภาวะจิตที่มีความเข้มแข็ง ก็จะมีสมาธิมากขึ้น ความฟุ้งซ่านหายไป มีแต่สมาธิเข้ามาแทนที่
    ๕. วิธีฝึกจิตไม่ให้ความสงสัย (วิจิกิจฉา) เข้าครอบงำ ผู้ปฏิบัติจะต้องฝึกหัดให้เป็นคนมีเหตุผลตามหลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ การที่เราจะพัฒนาความสามารถทางปัญญาตามแบบอย่างของพระพุทธเจ้า ก็จะทำให้เราพบอุปสรรคน้อยลงจนหมดอุปสรรคในที่สุด

 st11 st11 st11 st11

ดังนั้น ตามหลักพระพุทธศาสนา การที่จิตถูกนิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่งในนิวรณ์ ๕ เข้าครอบงำ ถือว่าจิตถูกรบกวนไม่เป็นสมาธิแล้ว ในความรู้สึกของคนทั่วไป การฝึกสมาธิต้องให้มีสมาธิมาก ๆ (ขั้นอัปปนาสมาธิ) จึงจะถือได้ว่า ประสบความสำเร็จในการฝึกสมาธิ หากฝึกสมาธิได้เพียงชั่วขณะ (ขณิกสมาธิ) ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่ตามหลักวิปัสสนากัมมัฏฐาน จิตที่เป็นขณิกสมาธิ ก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาวิปัสสนาปัญญา อย่างไรก็ตาม การที่จะใช้หลักสมถกัมมัฏฐาน เป็นเครื่องมือฝึกจิตให้ระงับนิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่งหมดในทันทีทันใดนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะปราศจากนิวรณ์ได้ทั้งหมดก็คือ พระอรหันต์ (ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานจนหมดกิเลสแล้ว) เท่านั้น การที่ปุถุชนทั่วไปจะเจริญสมถ-กัมมัฏฐานไปจนกว่าจะละนิวรณ์ได้ทั้งหมดแล้ว จึงหันไปฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน นับว่าเป็นสิ่งที่เนิ่นช้าถ่วงเวลาในการปฏิบัติธรรมชั้นสูง สำหรับผู้ใคร่ต่อการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ดังนั้น บุคคลทั่วไป แม้ยังไม่สามารถละนิวรณ์ได้หมดทุกตัว และมีสมาธิชั่วประเดี๋ยวเดียว(ขณิกสมาธิ) ก็สามารถนำสมาธิชนิดนี้ มาเป็นเครื่องมือในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อไปได้

ขณะที่ผู้ปฏิบัติเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ หากมีนิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาครอบงำในระหว่างนั้น ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถฝึกกำหนดได้ทันที โดยการกำหนดรู้ตามความเป็นจริง จิตก็จะไม่ตกอยู่ในอำนาจของนิวรณ์เหล่านั้นและเมื่อผู้ปฏิบัติฝึกกำหนดรู้นิวรณ์ ๕ อยู่บ่อย ๆ ก็สามารถใช้ความสงบขั้นขณิกสมาธิ เป็นเครื่องมือในการประหาณนิวรณ์ได้ โดยผ่านกระบวนการของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ด้วยเหตุนี้ขณิกสมาธิก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นมัคคสมาธิต่อไป




ลักษณะสมาธิแบบพุทธศาสนา

ในคัมภีร์พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงบริขารแห่งสมาธิไว้ ๗ ประการ (บริขารในที่นี้หมายถึงบริวาร หรือองค์ประกอบแห่งมัคคสมาธิ (ที.ม.อ. ๒๙๐/๒๕๗, องฺ. สตฺตก. อ. ๓/๔๔-๔๕/๑๘๒) ไว้ว่า
      บริขารแห่งสมาธิ ๗ ประการ อะไรบ้าง คือ
      ๑. สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ)
      ๒. สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)
      ๓. สัมมาวาจา (เจรจาชอบ)
      ๔. สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)
      ๕. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)
      ๖. สมมาวายามะ (พยายามชอบ)
      ๗. สัมมาสติ (ระลึกชอบ)

ท่านผู้เจริญทั้งหลาย สภาวะที่จิตมีอารมณ์เดียว ซึ่งมีองค์ ๗ ประการนี้แวดล้อม เรียกว่า อริยสัมมาสมาธิที่มีอุปนิสะ บ้าง คำว่า อุปนิสะ ในที่นี้ได้แก่ หมวดธรรมที่เป็นเหตุ ทำหน้าที่ร่วมกัน (ที.ม.อ. ๒๙๐/๒๕๗, ที.ม.ฏีกา ๒๙๐/๒๖๗) เรียกว่า อริยสัมมาสมาธิที่มีบริขาร บ้าง

      ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ผู้มีสัมมาทิฏฐิ จึงมีสัมมาสังกัปปะ ผู้มีสัมมาสังกัปปะจึงมีสัมมาวาจา ผู้มีสัมมาวาจา จึงมีสัมมากัมมันตะ ผู้มีสัมมากัมมันตะ จึงมีสัมมาอาชีวะ ผู้มีสัมมาอาชีวะ จึงมีสัมมาวายามะ ผู้มีสัมมาวายามะ จึงมีสัมมาสติ ผู้มีสัมมาสติ จึงมีสัมมาสมาธิ ผู้มีสัมมาสมาธิ จึงมีสัมมาญาณะ ผู้มีสัมมาญาณะ จึงมีสัมมาวิมุตติ (ที.ม. ๑๐/๒๙๐/๒๒๔-๒๒๕)

 :25: :25: :25: :25:

จากพระพุทธพจน์ที่ยกมานี้จึงแสดงให้เห็นว่า สมาธิหรือภาวะที่จิตสงบ ไม่ใช่เป็นภาวะที่จิตไร้สติ ขาดสัมปชัญญะ(ปัญญา) แต่หากเป็นสมาธิที่มีอริยมรรคเป็นองค์ประกอบอยู่ในจิต จึงจะสามารถนำไปเป็นเครื่องมือในการเจริญวิปัสสนา กัมมัฏฐานต่อไปได้




ข. วิปัสสนากัมมัฏฐาน

วิปัสสนากัมมัฏฐาน คืออุบายวิธีสำหรับฝึกจิตให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๔ ข้อ ๕๕ หน้า ๓๐ ได้ให้ความหมายของวิปัสสนาไว้ว่า
    "กตมา ตสฺมึ สมเย วิปสฺสนา โหติ
     ยา ตสฺมึ สมเย ปญฺญา ปชานานา วิจโย ปวิจโย ธมฺมวิจโย สลฺลกฺขณา อุปลกฺขณา ปจฺจุปลกฺขณา ปณฺฑิจฺจํ โกสลฺลํ เนปุญฺญํ เวภพฺยา จินฺตา อุปปริกฺขา ภูรีเมธา ปริณายิกา วิปสฺสนา สมฺปชญฺญํ ปโตโท ปญฺญา ปญฺญินฺทฺริยํ ปญฺญาพลํ ปญฺญาสตฺถํ ปญฺญาปาสาโท ปญฺญาอาโลโก ปญฺญาโอภาโส ปญฺญาปชฺโชโต ปญฺญารตนํ อโมโห ธมฺมวิจโย สมฺมาทิฏอยํ ตสฺมึ สมเย วิปสฺสนา โหติ"


     แปลความว่า
     วิปัสสนาที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้อย่างแจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ปัญญาเครื่องนำทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ดี ปัญญาเหมือนรัตนะ ความไม่หลงงมงาย ความเลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฎฐิ ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า วิปัสสนา ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น

 st12 st12 st12 st12

อย่างไรก็ตาม แม้พระไตรปิฎกจะให้ความหมายของคำว่า วิปัสสนา ไว้หลายนัยก็ตาม แต่ผู้ปฏิบัติก็ต้องผ่านกระบวนการฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักสติปัฎฐาน ซึ่งเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก จึงจะสามารถพัฒนาวิปัสสนาปัญญาให้เกิดขึ้นได้ หลักการฝึกเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้น แม้ผู้เข้าฝึกจะมีสมาธิในระดับใดก็ตาม ก็สามารถนำมาเป็นเครื่องมือในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ แม้แต่จิตที่สงบชั่วขณะ (ขณิกสมาธิ) ก็สามารถนำมาเป็นพื้นฐานในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้

ดังที่ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคว่า ปราศจากขณิกสมาธิเสียแล้ว วิปัสสนาย่อมมีไม่ได้ (วิสุทธิ.ฏีกา. ๑/๑๕/๒๑) อีกทั้งผู้เจริญสมถกัมมัฏฐานจนได้ผลของสมถะในระดับสูง เช่น แสดงฤทธิ์ได้ ก็สามารถนำผลนั้นมาเป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ด้วย เพราะการได้ฌานสมาบัติจนถึงขนาดแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้นั้น ถ้ายังไม่ผ่านกระบวนการฝึกจิต ด้วยหลักวิปัสสนากัมมัฏฐานจนถึงขั้นบรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็ยัง ไม่ถือว่าได้บรรลุจุดหมายสูงสุดในทางพุทธศาสนา เพราะอิทธิฤทธิ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่เสื่อมสลายไปได้เสมอ ในกรณีที่เกิดกับคนยังมีกิเลสอยู่ แต่ถ้าเกิดกับคนที่ไม่มีกิเลส อิทธิฤทธิ์ก็สามารถใช้เป็นคุณประโยชน์ได้ เช่นการที่พระมหาโมคคัลลานะแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อประกาศคุณของพระพุทธศาสนา

 ans1 ans1 ans1 ans1

อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนาถือว่า การฝึกฝนอบรมจิตให้เกิดปัญญา ตามกระบวนการวิปัสสนากัมมัฏฐานถึงขนาดทำลายกิเลสได้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะการฝึกฝนอบรมจิตนี้ย่อมจะทำให้ความไม่รู้(อวิชชา)หายไป เปรียบเหมือนแสงสว่างทำให้ความมืดหายไป ด้วยจิตของปุถุชนโดยปกติหนาแน่นไปด้วยกิเลส เมื่อได้รับการชำระโดยกระบวนการวิปัสสนากัมมัฏฐานแล้ว สภาพจิตก็จะบางเบาจากกิเลส เปลี่ยนไปในทางที่ดี จากสภาพจิตของปุถุชนธรรมดากลายเป็นกัลยาณปุถุชน จนเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นชีวิตในอุดมคติของพระพุทธศาสนา ดังนั้น เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า พระอรหันต์ทุกรูปต้องผ่านการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน(สติปัฏฐาน) มาแล้วทั้งนั้น


    ยังมีต่อ โปรดติดตาม.....
10205  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ในทัศนะทางพระพุทธศาสนา เมื่อ: สิงหาคม 27, 2016, 09:38:00 am


มุมมองเรื่องการเคารพทรัพย์สินทางปัญญา จากทัศนะพระไตรปิฎกเถรวาท

ปัจจุบันคำว่า “ห้ามลอกเลียนแบบ” ถูกหยิบยกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย นับแต่รัฐบาลได้ออก พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และกฎหมายอื่น ๆ อันเนื่องด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ที่ทำให้สิ่งที่เป็นประดิษฐกรรมหรือผลงานสร้างสรรค์ทางปัญญา ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามเงื่อนไขของกฎหมายโดยอัตโนมัติ[๑]

กล่าวคือ สิ่งที่สร้างหรือประดิษฐ์โดยผลงานทางปัญญาของมนุษย์ เช่น หนังสือ ภาพวาด ภาพถ่าย หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ  กฎหมายถือให้เป็น “ทรัพย์สิน” “ทางปัญญา” ชนิดหนึ่ง ที่ผู้สร้างสรรค์มีสิทธิที่จะหวงแหนกีดกันโดยสิ้นเชิงไม่ยอมให้ใครนำผลงานทางปัญญาของตนไปใช้ได้ (exclusive rights)[๒] หรือแม้แต่ผู้สร้างสรรค์จะนำทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นเพียงการแสดงออกซึ่งความคิดของตน (expression of idea) ไปซื้อขายก็ย่อมทำได้

กฎหมายประเภทนี้เมื่อพิเคราะห์ดูแล้ว จึงกล่าวได้ว่าเป็นกฎหมายที่แปลกกว่ากฎหมายอื่น เพราะยอมให้มีการซื้อขายได้แม้กระทั่ง “สิ่งที่จับต้องไม่ได้” แต่ทว่ากฎหมายดังกล่าวก็เป็นกฎหมายสำคัญที่คุ้มครองสิทธิของผู้มีความพยายามในการสร้างสรรค์ผลงาน ในอันที่จะได้รับสิทธิผูกขาดการแสวงหาประโยชน์จากผลงานทางปัญญาของตน


 :49: :49: :49: :49:

แม้พัฒนาการของการให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในปัจจุบันดังกล่าว จะเริ่มต้นมาจากแนวคิดของตะวันตก[๓] และพึ่งเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยไม่นาน แต่ปรากฏว่าคนไทยก็ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่าทรัพย์สินทางปัญญามานานแล้ว และแม้จะไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของคนไทยในสมัยก่อน แต่ก็ปรากฏในธรรมเนียมปฏิบัติของครูอาจารย์สำนักต่าง ๆ เช่น สำนักหมอยาพื้นบ้านไทย ที่มีวิธีการหวงกันองค์ความรู้ โดยจะส่งต่อให้เฉพาะแก่ผู้สืบสกุล, สายศิษย์ของตนหรือกลุ่มของตนเท่านั้น (ทัศนคติเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นภูมิปัญญาไทยสูญหายไปพร้อม ๆ กับบุคคล) ซึ่งสิ่งเหล่านี้แม้จะเป็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามนิยามในปัจจุบัน แต่ก็ผิดวัตถุประสงค์ของการค้นพบองค์ความรู้ใหม่และกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ที่ให้การคุ้มครองมีวันสิ้นสุดตามกำหนด เพื่อให้องค์ความรู้เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ[๔]

ซึ่งหากมองการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมาย และวิธีคิดโบราณในการสืบต่อองค์ความรู้ของไทยดังกล่าว โดยพิจารณาจากเนื้อหาที่ปรากฎในคัมภีร์หลักทางพระพุทธศาสนา ก็อาจกล่าวได้ว่าการกระทำดังกล่าว เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับทัศนคติเชิงพุทธในหลักการที่ไม่นิยมสิ่งที่สุดโต่งเกินไป[๕] โดยพระพุทธศาสนากล่าวว่าการหวงกันองค์ความรู้จัดเป็นความตระหนี่อย่างหนึ่ง  ดังปรากฏในพระไตรปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค[๖] ที่กล่าวถึง “มัจฉริยะ ๕” หรือ ความตระหนี่ ๕ อย่าง ว่ามี
       ๑. อาวาสมัจฉริยะ ตระหนี่ที่อยู่
       ๒. กุลมัจฉริยะ  ตระหนี่สกุล
       ๓. ลาภมัจฉริยะ  ตระหนี่ลาภ
       ๔. วัณณมัจฉริยะ  ตระหนี่วรรณะ
       ๕. ธัมมมัจฉริยะ  ตระหนี่ธรรม

 :s_good: :s_good: :s_good: :s_good:

จากข้อความดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การหวงกันผลงานหรือองค์ความรู้ของตน แม้เพื่อประโยชน์ของตน ก็จัดได้ว่าเป็นมัจฉริยะอย่างหนึ่งได้ คือ ธัมมมัจฉริยะ และ ลาภมัจฉริยะ ซึ่งมัจฉริยะก็นับเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ที่ทำให้จิตใจรุ่มร้อน ไม่มีความสุข เกิดความวุ่นวายและปัญหาต่าง ๆ ตามมา ดังปรากฏว่า มีหลายครั้งที่การให้สิทธิเด็ดขาดการหาผลประโยชน์ในงานสร้างสรรค์ไว้กับบุคคล แม้กับผู้สร้างสรรค์เอง ก่อให้เกิดการผูกขาดซึ่งทำให้มีการแสวงหากำไรโดยไม่คำนึงถึงจริยธรรม เช่นในกรณีของการค้นพบยาที่รักษาโรคร้ายได้ แต่ผู้ค้นพบกลับกดราคาไว้สูงเกินไป ทำให้ผลงานที่ควรเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทุกชนชั้น กลับไม่เป็นประโยชน์ได้อย่างที่ควรจะเป็น[๗]




ที่กล่าวเช่นนี้ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าผู้เขียนจะบอกว่า “พระพุทธศาสนาให้ลอกเลียนแบบได้” กระนั้นหรือ.?

ความจริงแล้ว แม้การหวงกันทรัพย์สินทางปัญญาจะเป็นกิเลสอย่างหนึ่งในทัศนะทางพระพุทธศาสนา แต่ พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาวิภัชวาที คือเป็นศาสนาที่ไม่กำหนดบัญญัติหรือบังคับฟันธงลงไปว่าสิ่งใดคือดีหรือชั่วโดยประการเดียว ทุกสิ่งมีเหตุผลในตัวของมันเอง คือทุกสิ่งทั้งส่วนดีและไม่ดี ให้รู้จักแยกแยะ ไม่ตีรวม[๘]

กล่าวคือ แม้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจะดูเหมือนขัดแย้งกับทัศนคติเชิงพุทธ แต่พระพุทธศาสนาก็ให้ความเคารพในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา หากพิจารณาจากกฎหมายแล้ว ถือได้ว่าทรัพย์สินทางปัญญาเป็น “ทรัพย์สิน” และผู้ละเมิดมี “ความผิด” ตามกฎหมาย เมื่อนำมาปรับเข้าหลักการให้เบญจศีลแล้วผู้ละเมิดก็ย่อมผิดหลัก “อทินนาทาน” (ที่ขโมยเอา “องค์ความรู้” ที่เจ้าของหวงแหนไม่อนุญาตให้ใครไปใช้หาประโยชน์) ได้เช่นเดียวกัน


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

นอกจากนี้ หากพิจารณาเปรียบเทียบจากพุทธจริยาวัตรต่าง ๆ ของพระพุทธองค์ เช่น การเคารพในความเป็นเจ้าของต้นฉบับ (original) ที่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงกล่าวหลักธรรมที่ทรงนำมาจากแหล่งใดหรือผู้ใดกล่าวไว้แล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงให้ความเคารพ โดยกล่าวอย่างชัดเจนว่าผู้ใดเป็นต้นคิดหลักธรรมนั้น โดยไม่ปิดบังหรือกล่าวตู่ว่าเป็นสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น ศีล ๕ (ที่รู้จักกันทั่วไปดีว่าเป็นข้อปฏิบัติของชาวพุทธ แต่ความจริงแล้วศีล ๕ นั้น ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติใหม่แต่อย่างใด) โดยทรงกล่าวว่าหลักศีล ๕ นั้นเป็นเพียงแค่ทรงนำหลักธรรมเก่าคือ “กุรุธรรม ๕”[๙] ที่มีอยู่แล้วในชมพูทวีปมาตรัสแสดงให้ชาวพุทธปฏิบัติ[๑๐] เป็นต้น

นอกจากนี้ยังปรากฏพุทธจริยาในลักษณะนี้มากมายในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ในเรื่องการให้ความสำคัญกับการอ้างอิงที่มาของนิพนธ์คาถา หรือหลักคำสอนต่าง ๆ โดยอ้างอิงโยงเข้ากับความเป็นมาในประวัติศาสตร์หรืออดีตนิทาน ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการให้ความสำคัญกับที่มาหรือผู้กล่าวที่เป็นผู้ทรงสิทธิทางปัญญาตามนิยามในปัจจุบันอย่างแท้จริง

 :96: :96: :96: :96:

ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า ในมุมมองทางพระพุทธศาสนา แม้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาโดยให้สิทธิเด็ดขาด จะดูขัดกับหลักการเชิงพุทธ ที่ให้เป็นคนใจกว้าง ไม่มีการหวงกันในการเผยแพร่ความรู้  (วัตถุทาน, ธรรมทาน) แต่พระพุทธศาสนาก็สอนให้มีความเคารพและให้ความสำคัญกับผู้ทรงสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญา  ซึ่งเรื่องนี้นับเป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรตระหนักรู้ และให้ความสำคัญในการให้ความเคารพต่อทรัพย์สินทางปัญญาตามกฎหมาย ในอันที่จะไม่ละเมิดโดยประการใดๆ และอาจกล่าวได้ว่า การปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญานั้น เป็นการปฏิบัติตามพระพุทธจริยา คือแนวทางที่พระบรมศาสดาของชาวพุทธทรงวางเอาไว้เมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว ที่ยังคงมีความทันสมัยมาจนปัจจุบันฯ



ขอบคุณภาพและบทความจาก : https://www.gotoknow.org/posts/436132
อ้างอิง :-
[๑]  พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๘ และ ๙
[๒] จักรกฤษณ์ ควรพจน์.  (๒๕๔๙). แนวคิดและวิวัฒนาการของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
[๓] Greenstreet, C.H.  (1972). “History of Patent System” In Liebesny, F. (ed.) Mainly on Patents: The Use of Industrial Property and Its Literature. London : Butterworths. p.2.
[๔]  พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๑๙, ๒๐, ๒๑, ๒๒, ๒๓, ๒๔, ๒๕, ๒๖ และพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ. สิทธิบัตร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ และ พ.ร.บ. สิทธิบัตร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓๕
[๕] ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร (พระสูตรที่หมุนกงล้อแห่งธรรม) เป็นพระสูตรสำคัญที่พระพุทธเจ้าแสดงแนวทางปฏิบัติเพื่อหลักเลี่ยงแนวทางสุดโต่งสองทางคือ กามสุขัลลิกานุโยค (หย่อนเกินไป) และ อัตตกิลมถานุโยค (ตึงเกินไป) แต่ให้ปฏิบัติตาม มัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) ซึ่งทางสายกลางนี้คือธรรมะสำคัญที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา ทำให้พระรัตนตรัยครบองค์ ๓ ยังผลให้พระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้น กงล้อแห่งธรรมเริ่มหมุน  การเผยแพร่พระพุทธศาสนาจึงเริ่มต้นขึ้นนับแต่การแสดงทางสายกลางของพระพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือน ๘ เมื่อ ๔๕ ปี ก่อนพุทธศักราช (วันอาสาฬหบูชา)
[๖] พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ที. ปา. ๑๑/๒๘๒
[๗] เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดหลัก มาตรการบังคับใช้สิทธิ (compulsory licensing) เพื่อให้รัฐสามารถยกเว้นหลักกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อประโยชน์สาธารณะได้
[๘] พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ทสก. อัง. ๒๔/๒๐๕
[๙] พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ขุ ชา. ๑๙/๔๗๒, อรรถกถาพระไตรปิฎก  ขุททกนิกาย ชาดก. อรรถกถา กุรุธรรมชาดก
[๑๐] พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ).  (ม.ป.ป.).  อธิบายหลักธรรมตามหมวดจากนวโกวาท.  กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ธรรมสภา.

ข้อมูลในบทความนี้ สำหรับเผยแพร่ให้ความรู้แก่สาธารณะ ไม่มีหวงห้ามและไม่ควรหวงห้าม (ผู้นำข้อมูลในเว็บไซท์นี้ไปใช้ ต้องแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-และไม่ดัดแปลง) ดั่งคำภาษิตที่ว่า "อมเอาไว้หาย คายออกอยู่"
10206  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / GOOD PASSWORD SAVE YOUR LIFE.!! เมื่อ: สิงหาคม 27, 2016, 09:11:41 am




GOOD PASSWORD SAVE YOUR LIFE.!!

บอกลารหัสผ่านห่วยๆ แบบเดิมๆ ที่ไม่สร้างสรรค์และทำให้ชีวิตบนโลกออนไลน์ของคุณตกอยู่ในอันตราย และอาจถึงขั้นหมดตัวโดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งออนไลน์ทั้งหลาย ในโอกาสส่งท้ายปีนี้ DL จะพาคุณไปพบเทคนิคการตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัย ทิ้งความอันตรายไว้เบื้องหลัง เตรียมเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความสบายใจและปลอดภัยสุดๆ กัน!

Clifford Stoll นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันที่โด่งดังจากการถ่ายทอดประสบการณ์ในการตามล่าแฮกเกอร์จอมซวยที่บุกเข้ามาในคอมพิวเตอร์ของเขาในพ็อกเก็ตบุ๊คเรื่อง ‘Cuckoo’s Egg’ ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า “ควรปฏิบัติกับรหัสผ่านให้เหมือนกับแปรงสีฟันของคุณ อย่าให้ใครเข้าใกล้มัน และเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 6 เดือน” แต่คำแนะนำเหล่านี้ก็เหมือนกับคำทำนายบนฟอร์จูนคุกกี้นั่นแหละ มันมีผลทางจิตวิทยาสูง ย่อยง่าย แต่ประสิทธิผลในการเอาไปใช้นั้นต่ำเหลือเกิน มันเรียบง่ายเกินไปที่จะนำมาใช้กับโลกอันซับซ้อนที่เต็มไปด้วยธนาคารออนไลน์ ร้านค้า และบริการในเว็บไซต์จำนวนหลายพันแห่ง ไหนจะยังมีโทรศัพท์มือถืออีกเป็นล้านๆ เครื่องซึ่งทั้งหมดนี้ต่างก็ต้องพึ่งพาการป้องกันด้วยรหัสผ่านด้วยกันทั้งนั้น


 :32: :32: :32: :32:

นอกจากนี้ เหตุผลที่เราไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ได้ง่ายนักก็คือ เราไม่สามารถเก็บรหัสผ่านไว้ที่บ้านได้เหมือนกับแปรงสีฟัน เพราะมันจะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ต่างๆ โดยบางเว็บนั้นมีการเข้ารหัสไว้เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เราสามารถล็อกอินเข้าไปใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ต่างก็มีความเสี่ยงต่อการถูกแฮกได้ทั้งนั้น เช่น กรณีของ Sony ที่เคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายนี้มาแล้ว รวมถึง Yahoo, LinkedIn, Twitter

ซึ่งเรื่องที่ถือเป็นความอันตรายอย่างยิ่งของการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ในวันนี้ก็คือ ไม่ว่าเราจะเพิ่งเปลี่ยนรหัสผ่านมาไม่นาน หรือว่าจะใช้รหัสผ่านเดิมมาเป็นปีๆ ไม่ว่าจะศรัทธา ในรหัสผ่านสั้นๆ อย่าง 12345 หรือรหัสผ่านที่ซับซ้อนอย่าง [Hc84#6gBm7§_v การจู่โจมด้วยเทคนิคสมัยใหม่ของแฮกเกอร์หัวใสจะส่งผลกับรหัสผ่านของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน งั้นเรามาดูเทคนิคป้องกันตัวเอง อย่างได้ผลกันดีกว่า

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ต้องฉลาด เท่าทันแฮกเกอร์ โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักคุ้นเคยกับการใช้บริการเว็บไซต์ที่ใช้เพียง ‘รหัสผ่าน’ เพียงอย่างเดียวในการยืนยันตัวตน ด้วยเหตุนี้เองจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัยที่สุด เพราะถ้าแฮกเกอร์เจาะรหัสผ่านของคุณได้ในหน้าเว็บหนึ่ง แอคเคานต์อื่นๆ ของคุณก็จะเป็นอันตรายไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอคเคานต์ อีเมล์ เพราะมันไม่เพียงแต่เป็นสมอหลักของตัวตนในโลกดิจิตอลของคุณเท่านั้น แต่มันยังถูกใช้เป็น Username ในหลายๆ เว็บไซต์ และยังใช้ช่วยกู้รหัสผ่านได้อีกด้วย

คนที่สามารถล่วงรู้และเข้าควบคุมอีเมล์แอคเคานต์ของคุณได้ จะสามารถส่งต่อข้อมูลที่ใช้ในการล็อกอินเข้าเว็บต่างๆ ของคุณไปหาตัวเองได้อย่างง่ายดาย ผลร้ายที่จะตามมาก็คือ บิลเรียกเก็บเงิน-ตัดเงินจากบัตรเครดิตของคุณ หรือการเข้าไปในโซเชียลเน็ตเวิร์คด้วยชื่อของคุณ ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าขนพองสยองเกล้าทั้งสิ้น


 ask1 ans1 ask1 ans1

HOW : เอาเทคนิคของแฮกเกอร์มาใช้! ให้ตั้งรหัสผ่านโดยไม่ใช้คำศัพท์ที่มีอยู่จริง การใช้ 1 แทนตัว i หรือใช้ 3 แทนตัว E ปัจจุบันก็แทบไม่มีประโยชน์แล้ว อย่าตั้งรหัสผ่านที่สั้นเกินไป เพราะแฮกเกอร์สามารถแกะได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที และที่สำคัญที่สุดคือ อย่าใช้รหัสผ่านเดียวกันกับทุกๆ เว็บไซต์ หากไม่แน่ใจว่ารหัสผ่านที่ตั้งจะแข็งแกร่งพอ แวะไปที่เว็บไซต์ https://howsecureismypassword.net แล้วลองทดสอบพิมพ์รหัสผ่านที่คุณตั้งไว้ ดูผลลัพธ์แล้วตัดสินใจเอาเอง ว่าควรใช้หรือไม่ควร!

อีเมล์ : ป้องกัน 2 ชั้นมั่นใจกว่า อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นแล้วว่า ผู้ให้บริการอีเมล์ส่วนใหญ่นั้นมักจะใช้รหัสผ่านเพียงอย่างเดียวสำหรับการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้ให้บริการอีเมล์บางราย (ที่คนไทยนิยมใช้คือ Yahoo และ Google) ที่มีฟีเจอร์การยืนยันตัวตนแบบสองชั้นนั่นคือนอกจากการใส่รหัสผ่านแล้ว คุณจะต้องยืนยันรหัสทาง SMS ที่ส่งมายังโทรศัพท์มือถือด้วย โดยในกรณีที่คุณล็อกอินโดยใช้อุปกรณ์เดิมในครั้งต่อไป ก็จะใช้รหัสผ่านเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องยืนยันรหัสทาง SMS ยกเว้นถ้ามีการพยายาม ล็อกอินด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ได้ถูกตั้งค่าไว้ คุณก็จะได้รับ SMS แจ้งเตือน ซึ่งแปลว่าคุณจะทราบได้ทันทีหากมีใครต้องการแฮกเข้าไปในแอคเคานต์อีเมล์ของคุณ

HOW : การตั้งค่านี้สามารถทำได้จากเมนู Security หรือ Account Settings ของบริการอีเมล์ที่คุณใช้งาน ยกตัวอย่าง Gmail จะอยู่ในหัวข้อ Security-> 2-step varification ซึ่งจะมีคำแนะนำคุณในขั้นตอนการตั้งค่าแบบง่ายๆ แค่อย่าลืมเตรียมโทรศัพท์มือถือให้พร้อมสำหรับรับรหัสทาง SMS ที่สำคัญคือจะต้องไม่ลืมที่จะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ที่ได้ลงทะเบียนไว้ด้วยหากเปลี่ยนไปใช้เบอร์ใหม่ ไม่เช่นนั้นงานเข้าครับ!

โน้ตบุ๊ค-พีซี พกรหัสผ่านติดกระเป๋า : ใครมีแฟลชไดรฟ์ที่ไม่ใช้แล้วอย่าเพิ่งทิ้ง เพราะคุณสามารถนำมันมาสร้างกุญแจรหัสผ่านที่สามารถพกไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกและสามารถปลดล็อกพีซี (ล็อกอิน) แทนการพิมพ์รหัสผ่านบนคีย์บอร์ดแบบเดิมๆ ได้ ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้กับผู้ที่ใช้พีซี โน้ตบุ๊ค ที่ใช้ Windows 7 หรือ 8 Pro, Ultimate หรือ Enterprise โดยอาศัยฟังก์ชัน BitLocker โดยแฟลชไดรฟ์จะกลายเป็นกุญแจที่เราสามารถตั้งค่าได้ว่าจะล็อกอินอัตโนมัติ หรือให้เครื่องเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย แสดงสกรีนเซฟเวอร์ หรือปิด ถ้าถอดมันออก

HOW : การตั้งค่าสามารถทำได้จาก Control Panel ที่หัวข้อ BitLocker Drive Encryption หลังจากคลิกที่ ‘Activate BitLocker’ จะมีคำแนะนำในการสร้างกุญแจรหัสผ่านโดยให้เลือกเป็น ‘USB’ แล้วรหัสผ่านสำหรับปลดล็อกจะถูกนำไปใส่ไว้ในแฟลชไดรฟ์โดยอัตโนมัติ ส่วนเครื่องที่ใช้ BitLocker ไม่ได้ สามารถใช้โปรแกรม USBLogon แทนได้โดยขั้นตอนการตั้งค่าให้เลือกแฟลชไดรฟ์ USB เป็นกุญแจเก็บรหัสผ่านเช่นเดียวกัน

 :s_good: :s_good: :s_good: :s_good:

ผลการสำรวจความถี่ในการเปลี่ยนรหัสผ่านโดยเฉลี่ยของผู้ใช้ 5% เปลี่ยนทุกสัปดาห์
      20% เปลี่ยนทุกเดือน
      31% เปลี่ยนทุกครึ่งปี
      12% เปลี่ยนรายปี
      24% เกินกว่าปีละครั้ง
        8% ไม่เคยเปลี่ยน


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : http://money.sanook.com/412975/
10207  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แพทย์เผย'ดอกดาวเรือง' ป้องตาเสื่อมจากแสงคอม เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:36:28 am


แพทย์เผย'ดอกดาวเรือง' ป้องตาเสื่อมจากแสงคอม

“หมอยาไทย” เผย “ดอกดาวเรือง” มีสารลูทีน”ปกป้องดวงตาจากแสงแดด แสงสีฟ้าจากมือถือ แทปเล็ต แนะคนเสี่ยงสูงทั้งเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ชงเป็นชาดื่มได้ทุกวัน ป้องกันจอตาเสื่อม “กรมแพทยแผนไทย” เตรียมจัดงานมหกรรมสมุนไพรลดโลกร้อน 31 ส.ค.-4 ส.ค.นี้

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สุริยะ วงศ์คงคาเทพ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แถลงข่าวการจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 31 ส.ค.- 4 ก.ย. ที่ฮอล 6-8 อิมแพคเมืองทองธานี โดย นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ทั่วโลกมีความต้องการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องสำอาง และอาหารเสริม ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ปี 2557 มีมูลค่าการใช้และส่งออกสมุนไพรกว่า 240,000 ล้านบาท เป็นกลุ่มเครื่องสำอาง 140,000 ล้านบาท กลุ่มอาหารเสริม 80,000 ล้านบาท  ส่วนกลุ่มสปาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ 10,000 ล้านบาท และกลุ่มยาแผนโบราณตามภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย 10,000 ล้านบาท และแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี

ซึ่งปีนี้ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย พ.ศ. 2560 – 2564 ฉบับแรกของประเทศ เพื่อพัฒนาอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ตั้งเมืองสมุนไพรครบวงจร รูปแบบประชารัฐในจังหวัดต้นแบบที่ จ.สุราษฎร์ธานี  เชียงราย สกลนคร และปราจีนบุรี

 
 :96: :96: :96: :96:

ด้าน ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร รอง ผอ.รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ภายในงานจะกระตุ้นเตือนคนไทยให้ใช้ภูมิปัญญาไทยในการดูแลสุขภาพในภาวะโลกร้อน โดยใช้สูตรเครื่องสมุนไพรลดภาวะร้อน ได้แก่ น้ำลิ้นมังกร สูตรอาหารสมุนไพรบำรุงสายตา เช่น เค้กดอกดาวเรือง ชาดอกดาวเรือง โดยในดาวเรืองมีสารลูทีน (Lutein) ช่วยบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจก เครื่องสำอางลดฝ้า คืนความชุ่มฉ่ำให้ผิว ใบคว่ำตายหงายเป็น นำมาตำ จากนั้นชุบผ้าก็อซมาแปะเปลือกตาช่วยคืนความชุ่มชื่น ลดความร้อนในดวงตา  และยังมีแจกต้นสมุนไพร 6 ต้น คือ ผักปรัง ผักเบี้ยใหญ่ ต้นงิ้ว ต้นมะตูมอ่อน ต้นลิ้นมังกร และต้นตาลเดี่ยว แจกวันละ 200 ต้น พร้อมทั้งแจกหนังสือ “สมุนไพรในสภาวะโลกร้อน” จำนวนจำกัด

 

ภก.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ในต่างประเทศจะนำไปสกัดเอาสารสำคัญในดอกดาวเรืองทำเป็นอาหารเสริมบำรุงสายตา เพื่อทำให้จอตามีความแข็งแรงมากขึ้น สามารถปกป้องจากรังสี ในส่วนของประเทศไทยยังไม่ได้มีการศึกษาอย่างจริงจัง แต่จากภูมิปัญญาของไทยที่เก็บมาจากภาคเหนือ และเมียนมานั้น จะนำมาชงชาดื่ม ซึ่งความเข้มข้นไม่สูง สามารถดื่มได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุตั้งประมาณ 6 ขวบขึ้นไปก็สามารถดื่มได้ เนื่องจากในดอกดาวเรืองไม่มีสารคาเฟอีน สำหรับสัดส่วนการดื่มนั้นจะใช้ดอกดาวเรือง 1-2 ช้อนชา น้ำ 250 ซีซี แบ่งการดื่มออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
    1.คนที่มีความเสี่ยงน้อยชงดื่มบ้าง ลืมบ้าง ไม่ต้องดื่มทุกวัน
    2.คนเสี่ยงสูงจากการจ้องโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์นานๆ ทำได้ดวงตาโดนแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์เหล่านั้น ก็มีความเสี่ยงที่จอประสาทตาจะเสื่อม ควรดื่มได้ทุกวัน เพื่อให้ผลในการปกป้อง ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และ
    3. กลุ่มที่จอตาเสื่อมจะต้องใช้สกัดสารสำคัญที่มีความเข้มข้นสูง ตรงนี้ต้องมีการวิจัยว่าขนาดโดสที่ใช้สำหรับการรักษาต้องใช้เท่าไหร่ ใช้อะไรเป็นตัวทำละลาย โดยจะต่อยอดเป็นยาต่อไปในอนาคต



ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/politics/519442
10208  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "เซลฟี่" ก่อโรคภัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:32:39 am


"เซลฟี่" ก่อโรคภัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 21

ทุกวันนี้ได้เกิดมีโรคใหม่ของศตวรรษที่ 21 ขึ้นมาอีก นั่นคืออาการปวดเมื่อย จากการพยายามที่จะถ่ายภาพแบบเซลฟี่ ถึงขนาดที่หลายคนลงทุนปีนป่ายหน้าผา หรือไม่ก็ถอยหลังลงไป จนเกือบที่จะตกจากที่สูง แต่อาการเจ็บป่วยมักเกิดจากเคล็ดขัดยอก ที่ยื่นแขนขาออกไปตามที่ต่างๆ

ผู้ที่ชอบถ่ายรูปแบบนี้ และเกิดรู้สึกปวดเมื่อยในแขนที่มักจะต้องกางยื่นออกไป ก็มีหวังว่าจะได้เป็นโรคตามยุคสมัย นั่นคือเป็นโรคข้อศอกเซลฟี่ ซึ่งได้กลายมาเป็นโรคแห่งศตวรรษนี้ร่วมกับโรคอื่นๆ อย่าง เช่น โรคไอแพด อาการเจ็บป่วยในยุคแบบนี้ ได้เกิดเป็นข่าวดังขึ้นในอเมริกาเมื่อประมาณสักเดือนมานี้ สาเหตุจากนักข่าวโทรทัศน์ผู้หนึ่งได้มีอาการป่วยแปลกขึ้นที่ข้อศอก เธอได้ไปหาหมอและบอกให้หมอรู้ว่า เธอเป็นนักเซลฟี่ตัวยง ตั้งแต่นั้นมาอาการเช่นนี้ก็เลยถูกเรียกว่า โรคข้อศอกเซลฟี่ เธอมีอาการคลั่งถ่ายเซลฟี่ขนาดหนัก บางวันมากถึง 70 ครั้ง

เมื่อหมอทราบจึงรีบสั่งให้เธอใช้น้ำแข็งประคบ กินยาแก้ปวด และหยุดเซลฟี่เดือนครึ่ง แม้เธอจะบ่นว่า ฆ่าฉันเสียดีกว่าที่จะให้เลิกเรื่องนี้ แต่เธอก็ต้องยอมทำตาม ในขณะที่หมอได้สั่งให้เธอใส่เฝือกอ่อนที่ข้อศอกไว้ด้วย และสั่งว่าถ้าเผื่ออยากจะเซลฟี่ต่อไปอีก ให้ใช้ไม้เซลฟี่ช่วยด้วยจะดีกว่า.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/700538
10209  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลด! หนุ่มอินเดียยากจน ต้องแบกศพเมียกลับบ้าน 12 ก.ม. รพ.อ้างไม่มีรถส่งให้ เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:28:33 am



สลด! หนุ่มอินเดียยากจน ต้องแบกศพเมียกลับบ้าน 12 ก.ม. รพ.อ้างไม่มีรถส่งให้

เมื่อ 25 ส.ค. สถานีโทรทัศน์ นิวเดลี ของอินเดีย และบีบีซี รายงานเรื่องราวสะท้อนระบบสวัสดิการที่บกพร่องของอินเดีย เมื่อนายดานา มาจี ชาวบ้านในเมืองพวันพัฒนา รัฐโอริสสา  ต้องเดินแบกศพนางอามัง ภรรยาวัย 42 ปี ซึ่งเสียชีวิตด้วยวัณโรคที่โรงพยาบาล กลับหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างไป 60 ก.ม. เป็นระยะทางถึง 12 ก.ม. เนื่องจากไม่มีเงินจะว่าจ้างรถ และทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ไม่ยอมจัดการให้

นายมาจีกล่าวว่า แจ้งกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแล้วว่า ตนยากจนและไม่มีเงินจะจ้างรถ แต่โรงพยาบาลอ้างว่าช่วยไม่ได้ ตนไม่มีทางเลือกอื่นจึงใช้ผ้าห่อร่างของภรรยาแล้วเดินบนถนนกลับหมู่บ้าน พร้อมด.ญ.โชลา ลูกสาววัย 12 ปีที่เดินร้องไห้สงสารพ่อ กระทั่งเมื่อเดินไปไกล 12 ก.ม. จึงมีชาวบ้านเข้ามาช่วยและเรียกรถจากโรงพยาบาลมาได้ในที่สุด




ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียเปิดโครงการมหาปราญาณา ในเดือนก.พ.ปีนี้ เป็นสวัสดิการที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลือการแพทย์แก่ประชาชน รวมถึงเสนอบริการขนย้ายศพจากโรงพยาบาลรัฐฟรี แต่กรณีของนายมาจี กลับไม่ได้รับสวัสดิการดังกล่าว

เมื่อเรื่องราวดังกล่าวปรากฏเป็นข่าว นายกาลิเกศ สิงห์ เดโอ ส.ส.รัฐโอริสสา ทวีตข้อความว่า ยื่นคำร้องให้รัฐมนตรีกระทรวงท้องถิ่นตรวจสอบและดำเนินการอย่างเหมาะสม

ด้าน นายบรุนดา ดี ผู้บริหารสูงสุดเขตกาลาฮันดี กล่าวว่า หลังรับทราบข้อมูลแล้ว ได้จัดรถพยาบาล พร้อมสั่งให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจัดงานศพให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย




ชมคลิปข่าวได้ที่
http://www.ndtv.com/video/news/news/can-t-help-you-he-was-told-after-wife-died-he-carried-her-for-6-hours-428699
ขอบคุรภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1472121970
10210  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หญิงใจบาปบุกปล้นกุฎิ คว้าไม้ถูพื้นทุบหลวงตาวัย 85 เลือดอาบ เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:23:50 am



หญิงใจบาปบุกปล้นกุฎิ คว้าไม้ถูพื้นทุบหลวงตาวัย 85 เลือดอาบ

วานนี้ (24 ส.ค.) พ.ต.ท.โกศล ภาคาหาญ รองผกก.สอบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยาได้รับแจ้งมีพระภิกษุสงฆ์ถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ ภายในวัดหันตรา ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ไปตรวจสอบ พร้อมด้วยมูลนิธิพุทไธสวรรย์

บริเวณกุฎิทรงไทยสองชั้น หน้ากุฎิชั้นล่างพบพระสังเวียน ทัตธศรี อายุ 85 ปี นอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด มีบาดแผลบริเวณศีรษะจำนวนหลายแห่ง เลือดไหลนอง เจ้าหน้าที่มูลนิธิเร่งให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลทำแผลเบื้องต้นก่อนช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ตรวจสอบภายในกุฎิพบข้าวของกระจัดกระจาย ไม้ถูพื้นหัก มีคราบเลือดติด พื้นห้องมีเลือดหยดเป็นทาง

สอบสวนชาวบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัด เห็นมีหญิงสาววัยรุ่น ขับขี่รถจยย.มาจอดข้างกุฎิ จากนั้นเดินมาที่กุฎิหลวงตา พยายามเปิดประตูเขย่าประตูหลายครั้ง จนเปิดประตูเข้าไปได้แล้วได้ยินเสียงเอะอะ จากนั้นหญิงสาวได้ออกมาพร้อมกับพูดว่า วันนี้ไม่มีอะไรให้กู แล้วรีบขับรถหลบหนีไป จากนั้นเห็นหลวงตา คลานออกมามีเลือดเต็มตัวจึงได้ตะโกนเรียกให้คนมาช่วย

จาการสอบสวนพระและชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดทราบว่า ก่อนหน้านี้หญิงสาวคนเดียวกันเคยเข้ามาขโมยชิงเอาอังสะของหลวงตาไปภายในมีเงินสดจำนวนหนึ่ง กลับมาก่อเหตุอีกครั้ง โชคดีที่มีคนเห็นก่อนจึงหลบหนีไป ช่วงขณะเกิดเหตุพระและสามเณรขึ้นเรียนบาลีบนศาลการเปรียญหมดจึงไม่มีใครอยู่ คนร้ายจึงเข้ามาก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามตัวหญิงสาวคนดังกล่าวมาดำเนินคดีต่อไป



ขอบคุณที่มาจาก Workpoint News - ข่าวเวิร์คพอยท์
http://news.sanook.com/2055258/
10211  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปาฏิหาริย์ เคลื่อนศพหลวงปู่ทองดำ ปชช.เห็นภาพคล้ายหลวงปู่ เดินนำขบวน เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:22:06 am



ปาฏิหาริย์ เคลื่อนศพหลวงปู่ทองดำ ปชช.เห็นภาพคล้ายหลวงปู่ เดินนำขบวน

ปาฏิหาริย์ ขณะทหารเคลื่อนศพบำเพ็ญกุศลมรณภาพปีที่ 11 หลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ อายุ 107 ปี ขึ้นบนศาลา เห็นภาพหลวงปู่ทองดำเดินนำหน้า ปชช.-ลูกศิษย์ที่มาร่วมงานต่างตกตะลึงกับภาพดังกล่าว

เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 25 สิงหาคม 59 ที่วัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผวจ.อุตรดิตถ์ เป็นประธานบำเพ็ญกุศลคล้ายวันมรณภาพปีที่ 11 พระนิมมานโกวิท (ทองดำ ฐิตวัณโณ) ฝ่ายฆราวาส และฝ่ายสงฆ์ พระปัญญากรโมลี เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เจ้าอาวาสวัดท่าไม้เหนือ และวันนี้ได้มีพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทาน 5 ไตร ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการบำเพ็ญกุศลและประกอบพิธีทอดผ้าไตรพระราชทาน

เนื่องในวันครบรอบ 11 ปี แห่งวันมรณภาพ พระนิมมานโกวิท ( ทองดำ ฐิตวัณโณ) ประวัติ เกิดวันพุธ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 พุทธศักราช 2441 ณ บ้านไซโรงโขน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร และในขณะที่ทหาร จาก มทบ.ที่ 35 เคลื่อนย้ายศพจากกุฏิหลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ ได้เกิดภาพปริศนามีภาพคล้ายหลวงปู่ทองดำ เดินนำหน้าโรงแก้วที่บรรจุ ร่างหลวงปู่ทองดำ มา 11 ปี ขึ้นไปบนศาลาการเปรียญจนประชาชนและลูกศิษย์ที่มาร่วมงานต่างตกตะลึงกับภาพดังกล่าวและต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา


ภาพที่ถ่ายได้ (จะเห็นคนแต่งกายคล้ายพระสงฆ์อยู่ด้านหน้าขบวน) ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นหลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ อายุ 107 ปี


ทั้งนี้ หลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ อุปสมบทเมื่ออายุ 22 ปี ณ พระอุโบสถ วัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ โดยมีพระครูวิเชียรปัญญามหามุน (เรือง) เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เจ้าอาวาสวัดท่าถนน ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ในขณะนั้นเป็นองค์อุปัชฌาย์เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2463พระอาจารย์แส เจ้าอาวาสวัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า “ฐิตวัณโณ”

เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าทอง 1 พรรษา ทางวัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง คณะศรัทธา วัดท่าทองได้ลงความเห็นพ้องกันโดยได้ไปกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์เพื่อขออนุญาตจากเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ด้วยดี คณะศรัทธาให้ "พระภิกษุทองดำ" เพื่อนิมนต์ให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง

ก่อนจะมรณภาพ ปี พ.ศ.2504 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชทานคณะชั้นสามัญนาม “พระนิมมานโกวิท” ปี พ.ศ.2510 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ปี พ.ศ.2542 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์จวบจนมรณภาพ อายุ 107 ปี

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/701634
10212  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:17:22 am



พระธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล

มอบเครื่องอุปโภคแก่นักเรียน  เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๘๔ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ภายใต้การดูแลของพระเดชพระคุณ พระเทพโพธิวิเทศ (วีระยุทฺโธ) หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล ขออนุโมทนา คุณชาตา บุญสูง คหบดีจาก จ.พังงา ทำบุญอายุวัฒนมงคล ๖ รอบ โดยเป็นเจ้าภาพมอบเครื่องอุปโภค บริโภค ผ้าห่ม แป้งสาลี แก่นักเรียนและชาวบ้านบริเวณโรงเรียนเมืองกุสินารา จำนวน ๑๕๐ ชุด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์...โอกาสนี้ คุณชาตา บุญสูง ยังเป็นเจ้าภาพสร้างห้องน้ำ จำนวน ๒ ห้อง ให้แก่โรงเรียนในเมืองกุสินารา อีกด้วย



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/news/amulets/239481
10213  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'ศาสนาพุทธ'ในอาเซียน ประวัติศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้ เมื่อ: สิงหาคม 26, 2016, 10:14:28 am




'ศาสนาพุทธ'ในอาเซียน ประวัติศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้

ประเทศอาเซียนที่นับถือ “ศาสนาพุทธ” มาตั้งแต่อดีตเมื่อราว 2,000 ปี และยังมีการสืบทอดเจตนารมณ์มาจากบรรพบุรุษ ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม ไทย และสิงคโปร์

การเรียน “ประวัติศาสตร์” อาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจใน “ประวัติศาสตร์” ของตนเอง วันหนึ่งอาจจะ “สูญเสียสิทธิ” ทาง “ประวัติศาสตร์” ของตนไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!!

นั่นคือ กลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นๆ จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจใน “ประวัติศาสตร์” ของตนให้ชัดเจน เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษและคนในชาติบ้านเมืองให้มีความมั่นคงยั่งยืน กอปรกับความเป็นวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อของคนในประเทศนั้น

“ประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ” ในอาเซียนก็เช่นกัน หากมีคนถามว่า คนไทย เคยทราบหรือไม่ว่า “ศาสนาพุทธ” ในแถบนี้มีความเป็นมาอย่างไร โดยเราจะมาเรียนรู้และทำความเข้าใจกัน เพื่อให้จับใจความได้ในระยะเวลาอันจำกัดนี้...




สิ่งแรกต้องทำความเข้าใจในประเทศอาเซียน มีทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ซึ่ง “ศาสนาพุทธ” ได้ตั้งมั่นลงในทุกประเทศทั่วอาเซียน ราว พ.ศ. 236 หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 236 ปี ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งพระเถระชาวอินเดีย 2 รูป คือ “พระโสณะ” และ “พระอุตตระ” มาเผยแผ่ศาสนาพุทธในแถบนี้

เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่น พระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ ทั้งสองท่านจึงเปรียบเสมือนผู้นำ “ศาสนาพุทธ” เข้ามาในประเทศไทยและประเทศอาเซียน จึงนับได้ว่า “ศาสนาพุทธ” ได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคงและเป็นความเชื่อของคนอาเซียนมาถึง 2,323 ปีมาแล้ว

เรื่องราวของ “ศาสนาพุทธ” เริ่มชัดเจนมากขึ้นในสมัยทวารวดี เมื่อมีคนท้องถิ่นเริ่มนับถือและเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ โบราณสถานโบราณวัตถุที่เป็นศาสนสถานได้ถูกสร้างขึ้นให้เห็นเด่นเป็นสง่าประจักษ์แก่สายตาชาวโลกในแถบอาเซียนเมื่อสองพันปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้อาเซียนยังได้รับอิทธิพล “ศาสนาพุทธ” จากสองอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ คือ จีนและอินเดีย ในดินแดนแถบนี้จึงประกอบไปด้วย “ศาสนาพุทธ” นิกายเถรวาทและนิกายมหายาน



ประเทศอาเซียน ที่นับถือ “ศาสนาพุทธ” มาตั้งแต่อดีตเมื่อราว 2,000 ปี และยังมีการสืบทอดเจตนารมณ์มาจากบรรพบุรุษ ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม ไทย และสิงคโปร์

ส่วนประเทศที่นับถือ “ศาสนาพุทธ” มาตั้งแต่อดีตเมื่อราว 2,000 ปีเช่นกัน แต่ปัจจุบันมีน้อยมาก ประกอบด้วย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทั้งที่ประเทศเหล่านี้ได้รับอิทธิพลทาง “ศาสนาพุทธ” นิกายมหายาน จากอาณาจักรศรีวิชัย ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นอาณาจักรของชาติพันธุ์มลายู และประชาชนชาวมลายูได้นับถือ “ศาสนาพุทธ” มาโดยตลอด

ในขณะนั้น (ตอนใต้ของไทย มาเลเซีย บรูไน สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย) พบหลักฐานทางโบราณวัตถุที่สำคัญจำนวนมาก ได้แก่ พระพิมพ์ดินดิบและรูปพระโพธิสัตว์ และมีพุทธสถานที่สำคัญหลายแห่งที่แสดงให้เห็นความรุ่งเรืองของ “ศาสนาพุทธ” ในประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ “บุโรพุทโธ” หรือ “โบโรบุดูร์” ซึ่งตั้งอยู่ที่ราบเกฑุ (kedu) ในภาคกลางของชวา และ “พระวิหารเมนดุต” (Mendut) เป็นต้น ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2012 ตรงกับอาณาจักรศรีอยุธยา สมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิ ศาสนาพุทธในอาณาจักรศรีวิชัย ตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอยลง



เราน่าจะพอเรียนรู้และเข้าใจใน “ประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธในอาเซียนผ่านทางโบราณคดี” กันพอสมควรแล้ว อาจจะทำให้ คนไทย ได้รับรู้และรู้สึกถึงคุณค่าของ “พระพุทธศาสนา” อันมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่อาศัย จึงสามารถกล่าวได้ว่า “ศาสนาพุทธ” ได้หยั่งรากลึกลงในแผ่นดินอาเซียนทุกประเทศ

แม้ในอดีตจะแบ่งแยกอาณาจักรการปกครองตามแว่นแคว้นต่างๆ ก็ตาม แต่ละอาณาจักรก็ปกครองด้วยทศพิธราชธรรมมาโดยตลอดนับพันปี แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน “ศาสนาพุทธ” ก็ยังคงมีประชาชนนับถือและให้ความศรัทธาเป็นที่พึ่งอาศัยของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศที่เป็นผืนแผ่นดินใหญ่ คือ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม

“ศาสนาพุทธ” ใน ประเทศไทย ก็เช่นกัน ยังมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยในทุกด้าน และประชาชนคนไทยทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งนี้พระมหากษัตริย์ทุกราชวงศ์ของไทยได้ทำนุบำรุง “ศาสนาพุทธ” นิกายเถรวาทให้เจริญรุ่งเรืองประดิษฐานมั่นคงสืบมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องด้วยประชาชนส่วนใหญ่นับถือ “ศาสนาพุทธ” นิกายเถรวาท และเป็นศาสนาประจำชาติโดยพฤตินัย ซึ่งมีความสอดคล้องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2559มาตรา67 ว่า...




“รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทย ส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชน มีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย”

อย่าปล่อยให้การปกป้อง “พุทธศาสนา” เป็นหน้าที่พระท่านอย่างเดียว ชาวพุทธทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันเพราะวันนี้ “ภัยที่แท้จริง” หลายคนอาจไม่รู้ แต่คน “วงใน” รู้ อย่าปล่อยให้ “ศาสนาพุทธ” ในไทยกลายเป็นแค่ “ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง” เหมือนอินเดียเลย...



คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย “เปรียญ10” : riwpaalueng@gmail.com
เครดิตภาพโดย Tiy Thaipreecha ,suwannasabeloved.wordpress.com, เมืองคอน.คอม
ขอบคุณภาพและบทความจาก : http://www.dailynews.co.th/article/516274
10214  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ได้ใจชาวเน็ต! ญาติโยมอ้างโดนคุณไสย พระไม่ช่วยไล่ไปหาหมอ เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:35:51 pm




ได้ใจชาวเน็ต! ญาติโยมอ้างโดนคุณไสย พระไม่ช่วยไล่ไปหาหมอ

(24 ส.ค.) เฟซบุ๊ก FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย ได้โพสต์ข้อความของ พระมหาสมิทธิ์ โชติโก เล่าผ่านเฟซบุ๊กว่า มีญาติโยมมาหาด้วยอาการผื่นแดงเต็มขา เชื่อว่าโดนทำคุณไสย แต่พระคาดว่าน่าจะเป็นโรคผิวหนัง จึงบอกให้ไปหาหมอดีกว่า แต่โยมก็ไม่ยอมไปกลับบอกให้พระทำน้ำมนต์ให้ ซึ่งพระมหาสมิทธิ์ ระบุอีกว่าเพราะความเชื่อแบบนี้จึงเป็นช่องทางให้พระไม่ดีใช้หากิน ทุกวันนี้สังคมเรายังข้ามพ้นความงมงายแบบนี้ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม พระมหาสมิทธิ์ โชติโก เป็นพระอยู่ที่วัดศรีจันทร์ประดิษฐ์ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน เนื่องจากเป็นพระนักพัฒนา มีแนวคิดทันสมัย และเป็นผู้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของทางวัดให้ประชาชนเข้าร่วมอยู่เป็นประจำ

ซึ่งภายหลังจากเรื่องนี้เผยแพร่ไปสู้โลกออนไลน์ ชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นชื่นชมเป็นจำนวนมาก



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://news.sanook.com/2055134/
10215  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เจดีย์ในพุกามเสียหายกว่า 200 องค์ เหตุดินไหว พม่ายันจับมือยูเนสโกฟื้นฟู เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:33:58 pm


เจ้าหน้าที่ทหารนั่งรถบรรทุกมุ่งหน้าไปยังเจดีย์ที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันพุธ (24) ในเมืองพุกาม โดยทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญเข้าประเมินความเสียหายตามเจดีย์องค์ต่างๆ ที่รายงานระบุว่าได้รับความเสียหายอย่างน้อย 185 องค์ ก่อนที่จะวางแผนบูรณะฟื้นฟูต่อไปสิ่งปลูกสร้างอายุนับพันปีเหล่านี้ต่อไป. -- Agence France-Presse/Ye Aung Thu.



พม่าส่งเจ้าหน้าที่ตรวจเจดีย์พุกาม ประเมินความเสียหายหลังแผ่นดินไหว

รอยเตอร์/เอเอฟพี - พม่าส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าดูแลและฟื้นฟูเจดีย์โบราณรอบเมืองพุกาม เมืองหลวงเก่าของประเทศในวันนี้ (25) หลังเจดีย์ที่สร้างขึ้นจากอิฐเกือบ 200 องค์ ได้รับความเสียหายจากแรงสั่นสะเทือนในเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นวันก่อน
       
       หน่วยดับเพลิงและเจ้าหน้าที่เข้าประเมินขอบเขตความเสียหายอันเนื่องจากแผ่นดินไหวความรุนแรง 6.8 ตามมาตราริกเตอร์ ที่สั่นสะเทือนสิ่งปลูกสร้างไปทั่วประเทศเมื่อวันพุธ (24)
       
       แต่ความเสียหายโดยรวมและผลกระทบกับประชาชนในท้องถิ่นเกิดขึ้นในวงจำกัด ตามการระบุของเจ้าหน้าที่ รายงานส่วนใหญ่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเจดีย์ที่มีชื่อเสียงในภาคกลางของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบเมืองพุกาม และอาคารขนาดเล็กทั่วไป

       


       เจ้าหน้าที่กาชาดของพม่าระบุว่าได้รับรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 3 คน จาก 2 เมืองที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางแผ่นดินไหว
       
       สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ (USGS) ระบุว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นใกล้กับเมืองจ๊อก ทางใต้ของเมืองพุกาม และห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 175 กิโลเมตร เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยแรงสั่นสะเทือนสามารถรับรู้ได้ไกลถึงไทย บังกลาเทศ และอินเดีย
       
       อแมนด้า จอร์จ จากกาชาดสากลในพม่าระบุว่า หน่วยงานกำลังจัดหาความช่วยเหลือในปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย แต่ไม่ได้ดำเนินการในภาวะของสถานการณ์ฉุกเฉิน
       
       "ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินแห่งชาติที่ดำเนินการโดยรัฐบาลได้หยุดปฏิบัติการเมื่อประมาณ 20.00 น. วานนี้ และเราดำเนินการภายใต้การนำของพวกเขา และประสานงานกันอย่างใกล้ชิด" อแมนด้า จอร์จ กล่าว
       
       "เรายังคงจัดหาความช่วยเหลือให้กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ได้มองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นภัยพิบัติรุนแรง"

       


       สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รถบรรทุกที่มีทหารโดยสารได้มุ่งหน้าไปยังเมืองพุกามในเช้าวันนี้ (25) และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กั้นบริเวณเจดีย์ที่ได้รับความเสียหาย
       
       เมืองพุกาม เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างรวดเร็วของพม่า มีเจดีย์และวัดอยู่ราว 2,000-3,000 แห่ง ตั้งกระจายอยู่ทั่วบริเวณกว้าง 42 ตารางกิโลเมตร
       
       เจ้าหน้าที่ระบุว่าแผ่นดินไหวสร้างความเสียหายกับองค์เจดีย์อย่างน้อย 185 องค์ ที่หลายองค์มีอายุราว 1,000 ปี ด้านสำนักงานยูเนสโกในนครย่างกุ้งได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าประเมินความเสียหาย ขณะที่รัฐบาลส่งทีมจากหน่วยงานด้านวัฒนธรรมและธรณีวิทยาลงพื้นที่
       
       "อย่างแรกนั้นเราจำเป็นที่จะต้องคำนวณขอบเขตความเสียหาย หลังจากนั้นจึงจะร่างแผนบูรณะฟื้นฟู" อากา กอ รองผู้อำนวยการจากกระทรวงวัฒนธรรมพม่า กล่าว และเสริมว่ารัฐบาลกำลังทำงานร่วมกันกับยูเนสโก       
       "ต้องใช้เวลากว่าจะทราบว่าโครงสร้างเจดีย์ยังแข็งแรงมั่นคงหรือไม่ และความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงมากน้อยเพียงใด เพราะหากหลังคาถล่มจะส่งผลกระทบกับผนังและภาพจิตรกรรม" เจ้าหน้าที่จากยูเนสโก กล่าว
       
       เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้กั้นพื้นที่ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปในบริเวณที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว ขณะที่คนงานเข้าเก็บซากอิฐ และรวบรวมเศษชิ้นส่วนจิตรกรรมฝาผนังที่หลุดหล่นเสียหาย
       
       "ผมรู้สึกเสียใจเพราะเจดีย์เก่าแก่ของเราได้รับความเสียหายและบางองค์ถล่มราบลงมา ผมหวังว่าจะไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีก" อ่อง นาย วิน ช่างฝีมือจากเมืองพุกาม กล่าว       
       "แต่บางทีเจ้าหน้าที่อาจไม่บูรณะเจดีย์ที่ได้รับความเสียหายบางองค์ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นถึงภัยพิบัติที่เคยเกิดขึ้น" อ่อง นาย วิน กล่าว
       
       หน่วยดับเพลิงและตำรวจในเมืองปะก็อกกู เมืองใหญ่ที่สุดที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางแผ่นดินไหว ระบุว่า อาคารหลายหลังเกิดรอยแตกร้าวและได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าประเมินความเสียหายแล้ว.











ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9590000085247
10216  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจดีย์ในพุกามเสียหายกว่า 200 องค์ เหตุดินไหว พม่ายันจับมือยูเนสโกฟื้นฟู เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:26:00 pm



เจดีย์ในพุกามเสียหายกว่า 200 องค์ เหตุดินไหว พม่ายันจับมือยูเนสโกฟื้นฟู

เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ส.ค. เจ้าหน้าที่รัฐบาลพม่าเร่งสำรวจความเสียหายด้านสถาปัตยกรรมวัดวาอารามอายุนับพันปีในเมืองพุกาม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง 6.8 แม็กนิจูด พบผู้เสียชีวิตเบื้องต้น 3 ราย เป็นเด็กหญิง 2 รายและชายอายุ 22 ปี อีก 1 ราย แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังรู้สึกไปได้ไกลถึงประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งอินเดีย บังกลาเทศ และไทย

แรงแผ่นดินไหวทำให้เจดีย์ในเมืองพุกามเสียหายเกือบ 200 องค์ ในบริเวณที่เสียหายนั้น เจ้าหน้าที่จึงกั้นบริเวณไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไป ในขณะที่คนงานเร่งเก็บเศษซากอิฐและชิ้นส่วนองค์พระธาตุที่แตกลงมา

นายอารการ์ จอ รมช.วัฒนธรรมกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ต้องสำรวจและประเมินความเสียหายก่อน จากนั้นจึงจะจัดตั้งแผนฟื้นฟูได้ ด้วยความร่วมมือโดยตรงกับองค์การยูเนสโก

ด้านนายขิ่น หม่องโท นักท่องเที่ยวชาวพม่าที่เพิ่งเดินทางมาเที่ยวพุกามเป็นครั้งแรกกล่าวว่า ระหว่างไหว้พระธาตุอยู่ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติยืนอยู่ในบริเวณเดียวกันด้วย จากนั้นได้ยินเสียงปริแตก ภรรยาตนโชคดีมากที่วิ่งออกมาได้ทัน จังหวะที่เจดีย์พังลงมา





ชมคลิปได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=IjvM9RHRs5U
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1472109998
10217  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระธรรมทูตไทย เดินหน้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:19:23 pm



พระธรรมทูตไทย เดินหน้าเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุก

พระธรรมทูตไทยที่ผ่านการศึกษาพระธรรมเชิงลึก จากแดนพุทธภูมิ นำธรรมะพร้อมการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามคำสอนของพระพุทธองค์ จากอินเดีย มาสู่มาตุภูมิ ได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว โดยเฉพาะโครงการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมเด็กปฐมวัย

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า จากการที่สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เมืองกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ที่มี พระเทพโพธิวิเทศ หัวหน้าพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย เนปาลเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย เป็นประธาน ได้เปิดโครงการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการส่งพระสงฆ์จากประเทศไทย และอีกหลายประเทศบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ ไปศึกษาพระธรรมเชิงลึก ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล อินเดีย ให้บังเกิดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงในคำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อจะได้นำมาเผยแผ่สู่ชาวพุทธทั้งพระสงฆ์และฆาราวาสให้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องนั้น



นายสุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เผยว่า จากการติดตามผลการดำเนินการของโครงการปรากฏว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง เนื่องจากที่ผ่านมาพระสงฆ์ที่ผ่านการศึกษาพระธรรมเชิงลึกมาแล้ว มีทัศนคติในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์เพิ่มและตรงประเด็นมากขึ้น โดยรุ่นที่กำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศอินเดียขณะนี้ก็มีความมุมานะทำให้สามารถคาดหวังได้ว่าจะมีพระสงฆ์ที่เป็นผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังจะทำให้สมาชิกของสถาบันที่เป็นผู้มีชื่อเสียงในทุกระดับของประเทศมีกำลังใจในการช่วยกันสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อไป


นายสุภชัย เผยต่อไปว่า ล่าสุดตนได้รับรายงานถึงเรื่องที่น่ายินดีและสมควรอนุโมทนาว่า พระธรรมทูตไทยที่เคยผ่านการศึกษาพระธรรมเชิงลึกเมื่อกลับมาสู่ประเทศไทยได้เดินหน้าทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกตามแนวทางของสถาบันโพธิคยาฯ อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง เช่น การดำเนินโครงการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ระดับเด็กประถมวัยของ พระครูสุธรรมธีรานุยุต เจ้าคณะตำบลหนองสาหร่าย เขต 2 วัดจันทึก ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และโครงการโรงเรียนต้นแบบ หมู่บ้านรักษาศีล 5 ของพระครูอินทธรรมาภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอคง วัดตะคร้อ ต.เมืองคง อ.คง จ.นครราชสีมา ซึ่งพระสงฆ์ทั้ง 2 รูป เป็นพระธรรมทูตรุ่นที่ 1 ของสถาบันฯ.



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/701570
10218  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โจรเจอดี ลักพระศักดิ์สิทธิ์! แจ้นนำมาคืนพร้อม จม. 'ข้าสำนึกผิดแล้ว' เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:15:09 pm



โจรเจอดี ลักพระศักดิ์สิทธิ์! แจ้นนำมาคืนพร้อม จม. 'ข้าสำนึกผิดแล้ว'

โจรลักพระที่แพร่ เจอดี ดอดเข้ามาอุ้มพระพุทธรูปโบราณจากวัดใน อ.ลอง 2 องค์ เคยแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่าง หายไปร่วม 3 เดือน จนวันหนึ่งถูกพบวางไว้ใต้ซุ้มประตูวัด พร้อม จม.ขอขมา "ข้าฯ สำนึกผิดแล้ว" ชาวบ้านไม่แคล้วขอเลขเด็ด...

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 25 ส.ค. 59 ที่บริเวณหน้า สภ.ลอง จ.แพร่ ได้มีชาวบ้านกว่า 200คน จาก ต.ปากกาง และอีกหลายตำบลใน อ.ลอง หลังจากที่ทราบข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อายุกว่าพันปี มาไว้บนสถานีตำรวจ จึงได้พากันมาดู

พ.ต.อ.ถนัด พลพาณิชย์ ผกก.สภ.ลอง เผยว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบพระพุทธรูป 2 องค์ องค์แรกปางมารวิชัย อีกองค์เป็นพระยืนปางเบิกเนตร วางอยู่บริเวณซุ้มประตูวัดดงลาน ต.บ้านปิน จึงได้นำมาไว้ที่โรงพัก



ทั้งนี้ เรื่องเดิมมีอยู่ว่า เมื่อกลางเดือน พ.ค. 59 ที่ผ่านมา พระครูอุดม พิพัฒนภรณ์ เจ้าคณะตำบลปากกาง อ.ลอง ได้มาแจ้งความไว้กับ ร.ต.ท.สินธร กสศสนุก รอง สว.สอบสวน สภ.ลอง ว่าพระพุทธรูปทั้งสององค์ได้หายไปจากวัดร่องบอน ตั้งอยู่เลขที่ 116 หมู่ 1 ต.ปากกาง อ.ลอง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกติดตาม จนกระทั่งมีชาวบ้านมาแจ้งว่าพบพระพุทธรูปทั้งสององค์วางอยู่ซุ้มประตูวัดดงลาน ต.บ้านปิน อ.ลอง จึงได้นำมาไว้ที่โรงพัก

ทางด้านพระครูอุดม เจ้าคณะตำบลดูแลวัดร่องบอน เผยว่า พระพุทธรูปทั้งสององค์เป็นพระเก่าแก่โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางมารวิชัย แกะด้วยไม้สักล้วนๆ ทั้งองค์ ชาวบ้านนำไปประดิษฐานที่วัดท่าหลุบ ต.ปากกาง อ.ลอง แต่วัดนี้เป็นวัดร้าง ไม่มีพระเณรจำวัด ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสององค์ไปไว้ที่วัดร่องบอน เรื่อยมา



“นับว่า พระทั้งสององค์นี้ได้แสดงปาฏิหาริย์ใหลายครั้ง เช่น ฝนตกน้ำท่วมตามที่ต่างๆ แต่ที่วัดร่องบอนไม่ท่วม ที่อื่นฝนไม่ตกตามฤดูกาล แต่แถบวัดร่องบอนมีฝนตก และมีอยู่ครั้งหนึ่ง พระทั้งสององค์ได้หายไปจากวัด ชาวบ้านพากันออกตามหา แต่จู่ๆ พระทั้งสององค์ก็กลับมาอยู่ที่เดิม จึงสร้างความเชื่อถือศรัทธาให้กับชาวบ้านในอำเภอลองเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญ ชาวบ้านที่ไปกราบไว้ขอพรก็มักจะประสบผลตามที่ขอ และการที่พระพุทธรูปทั้งสององค์กลับมาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง สร้างความเชื่อให้กับชาวบ้านว่า คนร้ายไม่สามารถครอบครองพระพุทธรูปสององค์นี้ไว้ได้ คาดว่าจะต้องเกิดเหตุอะไรบางอย่างกับคนร้าย เพราะตอนเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเอามาจากหน้าซุ้มประตูวัดดงลานนั้น ตำรวจพบว่ามีจดหมายเขียนสั้นๆ สอดไว้ที่ใต้ฐานพระด้วย โดยเขียนว่า ขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทวดาฟ้าดิน และชาวบ้านอำเภอลองด้วย ข้าฯ สำนึกผิดแล้ว จึงขอเอาพระพุทธรูปมาคืนให้ชาวอำเภอลองซึ่งแน่นอนว่าคนร้ายต้องเจอกับสิ่งลึกลับเร้นลับบางอย่างแน่นอน” พระครูอุดม กล่าว

ขณะเดียวกัน ชาวบ้านที่แห่กันมาต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์ของพระพุทธรูป บางคนถือโอกาสขอโชคลาภเลขเด็ด ส่นใหญ่เก็งเอาเลขที่ตั้งวัด คือ 116 และ 29 โดย 2 เอามาจากพระพุทธรูป 2 องค์ ส่วนเลข 9 คือเลขที่ใช้แทนพระพุทธรูป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากชาวบ้านพระเณร ได้เข้าไปสรงน้ำพระพุทธรูปที่ได้กลับคืนมาแล้ว ได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสององค์ไปประดิษฐานไว้ที่วัดร่องบอนตามเดิม.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/702120
10219  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เทวดาเข้าฝันหลวงพ่อ! ขุดพระพุทธรูปโบราณฝังใต้ดิน ชาวบ้านแห่ขอโชคลาภ เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 08:10:55 pm



เทวดาเข้าฝันหลวงพ่อ! ขุดพระพุทธรูปโบราณฝังใต้ดิน ชาวบ้านแห่ขอโชคลาภ

เจ้าอาวาสวัดบางขุด ฝันถึงเทวดามาบอกว่ามีพระพุทธรูป จมฝังดินอยู้ใต้ต้นไม้ข้างโบสถ์เก่า จึงทำพิธีขุดพบพระพุทธรูปโบราณ 2 องค์ คาดอายุราว 1,000 ปี ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างมากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลและขอโชคลาภ ก่อนเผยเลขเด็ด 853 และ 856 ...

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 59 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ที่วัดบางขุด ม.7 ต.บ้านบ่อ อ.เมือง จ.สมุทรสาครขุดพบพระพุทธรูปโบราณจำนวน 2 องค์ จึงเดินทางไปตรวจสอบพบพระครูสาครเกษมธรรม เจ้าอาวาสวัดบางขุด กล่าวว่า ก่อนที่จะขุดพบพระพุทธรูปนั้นตนนิมิตฝันไปว่ามีเทวดานุ่งขาวห่มขาวมาเข้าฝันตนถึง 2 ครั้งติดว่า มีพระเก่าจมฝังดินอยู่ที่บริเวณใต้ต้นไม้ข้างโบสถ์เก่า ซึ่งเป็นพื้นที่ชายทะเลเก่า และมีขโมยได้นำมาฝังดินเอาไว้ โดยมีพระองค์ใหญ่ 2 องค์ องค์เล็กอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยเพชรนิลจินดา จนกระทั่งผ่านไปราว 1 สัปดาห์ ตนก็ฝันแบบเดิมอีก โดยเทวดาท่านบอกให้รีบเอาพระที่ถูกฝังอยู่ขึ้นมา เพราะไม่เช่นนั้นพระจะเคลื่อนเข้าไปอยู่ใต้ถุนโบสถ์



หลังจากนั้นมาจนกระทั่งวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่ามา ตนได้ทำพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระขึ้นมา ซึ่งให้กรรมการวัดนำรถแบ็กโฮมาตักดินขึ้นประมาณ 1.20 เมตร พบพระพุทธรูปจำนวน 2 องค์ จากการตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่า เป็นพระสมัยทวารวดี อายุราว 1,000 ปี โดยเป็นพระปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 9 นิ้ว สูง 13 นิ้ว และพระปางประทานพร สูง 16 นิ้ว จากนั้นได้นำมาเก็บไว้ในโบสถ์เก่าเพื่อให้ประชาชนมากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลสืบไป


ด้านนายอนุชิต แป้นแย้ม อายุ 37 ปี ชาว ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า ตนเป็นพนักงานรับจ้างบริษัทแห่งหนึ่ง ตนทราบข่าวทางเฟซบุ๊กจึงได้ลางานมากราบไหว้บูชา เพื่อขอโชคลาภและสิริมงคล โดยตนจะไปทุกที่ที่มีการขุดพบพระพุทธรูป เพราะชอบ ซึ่งบรรยากาศภายในบริเวณวัดปรากฏว่ามีแม่ค้ามาขายลอตเตอรี่กันจำนวนมาก ประชาชนที่ทราบข่าวก็แห่มากราบไหว้ขอโชคลาภกันจำนวนมากเช่นกัน โดยเลขเด็ดที่ซื้อได้แก่ เลข 853 และ 856

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/701635
10220  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อยากได้ "เจโตวิมุติ" ควรทำอย่างไร.? (มีพุทธพจน์) เมื่อ: สิงหาคม 25, 2016, 09:38:43 am



ธรรม ๕ ประการ ปฏิบัติแล้ว มี "เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ" เป็นผล

๕. อนุคคหิตสูตร ว่าด้วยธรรมสนับสนุนสัมมาทิฏฐิ
[๒๕] ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ(๑-)อันองค์ ๕ สนับสนุนแล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล มีเจโตวิมุตติ(๒-)เป็นผลานิสงส์ และมีปัญญาวิมุตติ(๓-)เป็นผล มีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์
       องค์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
         ๑. ศีล(๔-)
         ๒. สุตะ(๕-)
         ๓. สากัจฉา(๖-)
         ๔. สมถะ(๗-)
         ๕. วิปัสสนา(๘-)
ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิอันองค์ ๕ นี้แล สนับสนุนแล้ว ย่อมมีเจโตวิมุตติเป็นผล มีเจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ และมีปัญญาวิมุตติเป็นผล มีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์


                อนุคคหิตสูตรที่ ๕ จบ


 st12 st12 st12 st12

๖. วิมุตตายตนสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งวิมุตติ
[๒๖] ภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไป ย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ



อ้างอิง : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔  อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=22&siri=25



เชิงอรรถ :-

(๑) สัมมาทิฏฐิ ในที่นี้หมายถึง วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ แต่ในอรรถกถามัชฌิมนิกายอธิบายว่าหมายถึง อรหัตตมัคคสัมมาทิฏฐิ (ม.มู.อ. ๒/๔๕๒/๒๕๔, องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๒๕/๗,องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๙)
(๒) เจโตวิมุตติ ในที่นี้หมายถึง มัคคสมาธิและผลสมาธิ (องฺ.ทุก.อ. ๒/๘๘/๖๒, องฺ.ปญฺจก.อ.๓/๒๕/๗)
(๓) ปัญญาวิมุตติ ในที่นี้หมายถึง ผลญาณ ได้แก่ ผลปัญญาที่ ๔ กล่าวคือ อรหัตตผลปัญญา (องฺ.ทุก.อ. ๒/๘๘/๖๒, องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๒๕/๗, องฺ.ปญจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐)
(๔) ศีล ในที่นี้หมายถึง ปาริสุทธิศีล ๔ ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งการบรรลุอริยมรรค (ม.มู.อ.๒/๔๕๒/๒๕๔,องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐)
(๕ ) สุตะ ในที่นี้หมายถึง การฟังธรรมที่เป็นสัปปายะ (องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐)
(๖ ) สากัจฉา ในที่นี้หมายถึงการสนทนาบอกความเป็นไปแห่งจิตของตน (ม.มู.อ.๒/๔๕๒/๒๕๔,องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐)
(๗) สมถะ ในที่นี้หมายถึงสมาบัติ ๘ ที่เป็นพื้นฐานแห่งวิปัสสนา (องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๑๐)
(๘) วิปัสสนา ในที่นี้หมายถึงอนุปัสสนา ๗ ประการ คือ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนานิพพิทานุปัสสนา วิราคานุปัสสนา นิโรธานุปัสสนา และปฏินิสสัคคานุปัสสนา

    องค์ ๕ ประการนี้เปรียบเหมือนกระบวนการปลูกมะม่วง คือ
    ศีล เปรียบเหมือนการทำร่องน้ำรอบต้นไม้ เพราะเป็นมูลเหตุให้สัมมาทิฏฐิเจริญ
    สุตะ เปรียบเหมือนการรดน้ำให้เหมาะแก่เวลา เพราะเพิ่มพูนภาวนา
    สากัจฉา เปรียบเหมือนการตัดแต่งกิ่ง เพราะนำความยุ่งยากแห่งภาวนาออกไปได้
    สมถะ เปรียบเหมือนการทำทำนบกั้นน้ำให้แข็งแรง เพราะทำภาวนาให้มั่นคงยิ่งขึ้น
    วิปัสสนา เปรียบเหมือนการใช้จอบขุดราก เพราะขุดรากตัณหา มานะ และทิฏฐิได้
    (ม.มู.อ.๒/๔๕๒/๒๕๕, องฺ.เอกก.ฏีกา ๑/๑๑/๙๓, องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๒๕/๙-๑๒)


ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๒ หน้า : ๓๑-๓๒

####################

เชิงอรรถ ๑ :-

ปาริสุทธิศีล ๔ (ศีลคือความบริสุทธิ์, ศีลเครื่องให้บริสุทธิ์, ความประพฤติบริสุทธิ์ที่จัดเป็นศีล)
       ๑. ปาฏิโมกขสังวรศีล (ศีลคือความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ เว้นจากข้อห้าม ทำตามข้ออนุญาต ประพฤติเคร่งครัดในสิกขาบททั้งหลาย)
       ๒. อินทรียสังวรศีล (ศีลคือความสำรวมอินทรีย์ ระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำเมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง 6)
       ๓. อาชีวปาริสุทธิศีล (ศีลคือความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะ เลี้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ไม่ประกอบอเนสนา มีหลอกลวงเขาเลี้ยงชีพเป็นต้น)
       ๔. ปัจจัยสันนิสิตศีล (ศีลที่เกี่ยวกับปัจจัย 4 ได้แก่ ปัจจัยปัจจเวกขณ์ คือ พิจารณาใช้สอยปัจจัยสี่ ให้เป็นไปตามความหมายและประโยชน์ของสิ่งนั้น ไม่บริโภคด้วยตัณหา)


อ้างอิง : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
10221  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 50 สถูปเจดีย์.! เมียนมา พังยับจากแผ่นดินไหว เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 10:12:45 pm




50 สถูปเจดีย์.! เมียนมา พังยับจากแผ่นดินไหว

ผลกระทบจากแผ่นดินไหวในเมียนมา ขนาด 7.0 กรมโบราณสถาน ระบุผลสำรวจสถูปเจดีย์ในพุกามพังเสียหายกว่า 50 แห่ง

24 ส.ค.2559 จากเหตุแผ่นดินไหวบนบก ขนาด 7.0 ตามมาตราริกเตอร์ ความลึก 91 กม. ที่ละติจูด 21.61 องศาเหนือ ลองจิจูด 93.76 องศาตะวันออก บริเวณประเทศเมียนมา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน 509 กม. นั้น กรมโบราณสถานของเมียนมารายงานว่า กำลังตรวจสอบความเสียหายของเจดีย์ในพุกาม แต่เบื้องต้นพบว่ามีสถูป 50 แห่งพังเสียหาย

ทั้งนี้เจดีย์หรือสถูปเก่าแก่ที่เมืองยะไข่ รัฐยะไข่ ได้รับความเสียหาย ชาวบ้านและพระสงฆ์ต่างวิ่งหนีออกจากพื้นที่เจดีย์หลายร้อยคน นอกจากนี้ยังมีพื้นที่หลายแห่งได้รับความเสียหายจากการเกิดแผ่นดินไหว เช่น ที่เมืองมันฑเลย์ เมืองเนปิดอ เมืองย่างกุ้ง และเมืองมะกุย ทุกคนสามารถรับความเคลื่อนไหวของแผ่นดินไหวได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชาวบ้าน และนักท่องเที่ยว ต่างวิ่งหนีออกจากอาคารสูง

ด้านนายสุทธา สายวาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า ในพื้นที่จังหวัดตากไม่มีรายงานการเกิดแผ่นดินไหว และยังไม่ได้รับความรู้สึกจากการเกิดแผ่นดินไหว










ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/news/regional/239453
10222  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 ศาสนา ชงตั้งโครงข่าย ชี้แจงตรวจสอบทุกศาสนา เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 10:03:23 pm




5 ศาสนา ชงตั้งโครงข่าย ชี้แจงตรวจสอบทุกศาสนา

ผู้นำ 5 ศาสนาชื่นชมรัฐบาลเห็นความสำคัญบทบาททุกศาสนา เห็นชอบให้จัดตั้งโครงข่ายในรูปแบบรูปคณะกรรมการ เผยแพร่ความถูกต้อง พร้อมตรวจสอบข้อบิดเบือนในทุกศาสนา

วันนี้(24ส.ค.)ที่กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) นายวีระ โรจนพจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายของวธ. เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินงานตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 49/2559 เรื่องมาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆในประเทศไทย โดยกำหนดให้องค์กรต่างๆร่วมกันกำหนดมาตรการและกลไกการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ของศาสนิกชนทุกศาสนา โดยการนำหลักธรรมคำสอนทางศาสนามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันในด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์ในด้านการปฏิรูปประเทศ ว่า ที่ประชุมเข้าใจตรงกันว่าคำสั่งดังกล่าวออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม และแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องศาสนาที่จะมามีบทบาทในการอยู่ร่วมกันแบบปรองดองสมานฉันท์ และใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งในเบื้องต้นที่ประชุมได้มีมติให้ดำเนินการ 3 แนวทาง ดังนี้

1.ให้กรมการศาสนา(ศน.)สรุปภารกิจและแนวทางการคุ้มครองและอุปถัมภ์ศาสนาทั้ง 5 ศาสนาที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง พร้อมรายงานการอุปถัมภ์คุ้มครองศาสนาทั้ง 5 ว่าได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง
2.ให้ศน.รวบรวมและประมวลประเด็นความอ่อนไหวเกี่ยวกับศาสนา เช่น ความขัดแย้ง การดูหมิ่นลบหลู่ การโจมตีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่ปรากฎในสื่อโซเซียลมีเดียในปัจจุบันทั้งหมด เพื่อกำหนดแนวทางบริหารจัดการก่อนนำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป และ
3.ให้ศน.ประชุมหารือกับผู้นำหรือผู้แทนองค์การศาสนาทั้ง 5 ศาสนา

จากนั้นให้ประมวลและสรุปเป็นแนวทางในภาพรวมของ 5 ศาสนานำเสนอรัฐบาล ส่วนการเผยแพร่คำสอนทางศาสนาที่บิดเบือนผ่านทางโซเชียลมีเดียนั้น คงเป็นหน้าที่ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่จะดูแล ส่วนวธ.จะประมวลประเด็นทั้งหมดให้ครอบคลุมเสนอรัฐบาลเพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป


 :25: :25: :25: :25:

วันเดียวกัน กรมการศาสนา(ศน.)ได้จัดประชุมหารือผู้นำและผู้แทนองค์การ 5 ศาสนา โดยนายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีศน.กล่าวภายหลัง ว่า ผู้นำทุกศาสนาต่างชื่นชมรัฐบาลที่เห็นความสำคัญบทบาทของศาสนาอย่างแท้จริง และเชื่อว่าจะเป็นทิศทางเพิ่มประสิทธิภาพทุกมิติในสังคมไทย ทั้งนี้เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นรูปธรรม ที่ประชุมจึงเห็นตรงกันให้มีการจัดตั้งเป็นโครงข่ายภายใต้กฎหมายรองรับในรูปแบบรูปคณะกรรมการ ที่ประกอบด้วยคณะบุคคลวิทยากรที่ได้รับการยอมรับในแต่ละศาสนาคัดเลือกให้มาทำหน้าที่เผยแพร่ให้ประชาชนเข้าใจถูกต้องในทุกศาสนา โดยเฉพาะเยาวชนในสถานศึกษา

รวมถึงคอยตรวจสอบเหตุการณ์ทางศาสนาที่บิดเบือน และแถลงให้ทราบได้ทันที ซึ่งจะทำให้การทำงานในระดับจังหวัดและพื้นที่มีความเข้มข้นมากขึ้น อย่างไรก็ตามในส่วนของศาสนาอิสลามนั้นได้รับแจ้งว่ามีแผนที่จะลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้สร้างความเข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญ และคำสั่งคสช.ให้พี่น้องมุสลิมรับทราบถึงความตั้งใจของรัฐบาลด้วย


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/519182
10223  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิริ 8 ประการ เสริมมงคลชีวิต เสริมดวง เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 07:32:16 pm




สิริ 8 ประการ เสริมมงคลชีวิต เสริมดวง

สิริมงคลคุ้มครอง มี 8 ประการ ท่านว่าถ้าผู้ใดรักษาสิริหรือสิริมงคล 8 ประการได้ เทวดาจะมารักษาและคุ้มครองท่านผู้นั้น เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง คำว่า สิริ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายใว้ 2 ประการ คือ

1. สิริ แปลว่า รวมกัน เช่น เรามักได้ยินคำว่า สิริรวมอายุได้เท่านั้นเท่านี้ หมายความว่ารวมอายุทั้งหมดได้เท่านั้นเท่านี้ปี
2. สิริ แปลว่า ศรี, มิ่งขวัญ, มงคล, ความดี, ความงาม ในหนังสือศัพท์วิเคราะห์ ซึ่งเขียนโดย พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9, ราชบัณฑิต) ได้ให้ความหมายว่า สิริ คือสิ่งอันผู้ทำความดีใว้ได้ซ่องเสพ, สิ่งที่อาศัยอยู่ในบุคคลผู้ทำความดีใว้


ถ้าจะอธิบายให้ชัดตาามความหมายนี้ สิริ ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น หรือมีอยู่ในตัวบุคคลผู้ทำความดี และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นหรือมีอยู่ในตัวผู้ใดแล้วก็จะทำให้ผู้นั้นเกิดความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความดีงามต่างๆ ซึ่งอาจจะตรงหรือใกล้กับคำว่า โชควาสนา

ตามหลักโหราศาสตร์เชื่อว่าสิริมีอยู่ในตัวของคนทุกคน หากแต่ว่าใครจะรู้จักรักษาสิริให้อยู่กับตนเองได้ดีหรือทำลายสิริของตนเองเสีย หลักเกณฑ์หรือข้อปฏิบัติในการรักษาสิรินั้นท่านแบ่งใว้ 8 ประการ และกล่าวใว้อีกว่า หากผู้ใดปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ทั้ง 8 ประการนี้ได้ เทวดาฝ่ายดีจะเข้ารักษาและอำนวยอวยพรให้ผู้นั้นมีความสุขความเจริญ บังเกิดโชคลาภอยู่เสมอ แต่ถ้าหากผู้ใดรักษาไม่ได้ เทวดาที่เป็นกาลกิณีก็จะเข้าอยู่ให้โทษ ให้อาภัพอับโชค เสื่อมถอยคุณงามความดี




ข้อปฏิบัติทั้ง 8 ประการนี้ ได้แก่

1. ให้เว้นการเสพกาม (มีเพศสัมพันธ์) ในวันที่ตรงกับวันพระและก่อนถึงวันพระ 1 วัน ได้แก่วัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม (และวันแรม 13 ค่ำ เฉพาะในเดือนคี่) รวมถึงวันตรุษสงการณ์ วันสุริยคราส จันทรคราส วันเข้าพรรษา และวันเกิดของตน

การที่ท่านห้ามเสพกามวันพระและวันเข้าพรรษานั้น เพราะวันดังกล่าว เป็นวันที่พระพุทธเจ้ากำหนดให้เป็นวันฟังธรรม ที่เรียกว่า วันธัมมัสสวนะ (อ่านว่า ทำ-มัด-สะ-วะ-นะ) เป็นวันที่เทวดาและมนุษย์ต้องขวนขวายทำความดีชำระกิเลส ชาวพุทธส่วนใหญ่จะถือศีล 8 และสวดมนต์ภาวนา เพื่ออบรมตนให้ไกลกิเลส ใกล้นิพพานยิ่งขึ้น วันตรุษสงการณ์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย เป็นวันที่เหมาะสำหรับทำบุญตอนรับสิ่งดีๆ ดังนั้นจึงไม่ควรเสพกาม วันสุริยคราส จันทรคราส ถือว่าเป็นวันอัปมงคล หากเสพกามในวันนี้จะทำให้วัญญาณของภูต ผี ปีศาจ เปรต อสุรกาย มาจุติในท้องได้ ส่วนวันเกิดของตน เป็นวันที่ต้องทำบุญตอบแทนพระคุณแม่ เพราะวันที่เราลืมตาดูโลกนั้นเป็นวันที่แม่เจ็บปวดทรมานที่สุด ดังคำที่ว่า วันเกิดลูกคือวันคล้ายวันตายแม่ ดังนั้น เมื่อถึงวันเกิดของตนเมื่อใดควรที่จะไปกราบเท้าแม่ ทำให้ท่านมีความสุขเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณท่าน


2. เมื่อจะบริโภคอาหารให้บ่ายหน้าไปสู่ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) ถ้าทำได้ดังนี้ เทวดาจะรักใคร่และให้ศีลให้พร ข้อนี้เป็นปริศนาธรรม คนโบราณวางใว้ให้คิด คำว่าทิศบูรพานี้นอกจากแปลว่าทิศตะวันออกแล้ว ยังแปลว่าทิศเบื้องหน้าด้วย ซึ่งทิศเบื้องหน้านี้ท่านหมายถึงบิดามารดาของเรา กล่าวคือ เมื่อเราได้สิ่งใดที่อร่อยมา ท่านให้นึกถึงบิดามารดาเป็นอันดับแรก ต้องให้มารดาบิดากินก่อน พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก การที่ให้ข้าวให้น้ำแก่พอแม่จึงเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่ชีวิต เทวดาทั้งหลายตลอดถึงพระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญ

อนึ่ง ทิศเบื้องหน้านี้ยังหมายถึง การมองหาคนอื่นที่พอจะแบ่งปันอาหารที่เรามีอยู่นี้แก่เขาบ้าง เป็นการแสดงออกถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ละความเห็นแก่ตัวให้น้อยลง นึกถึงตามบ้านนอกเวลาทานข้าวอยู่ หากมีใครเดินผ่านมาก็จะเชื้อเชิญให้มารับประทานด้วยกัน ซึ่งมีส่วนช่วยให้คนในสังคมอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

3. เมื่อถ่ายอุจจาระให้บ่ายหน้าไปทางทิศปัจฉิม ทำได้อย่างนี้เทวดาจะรักใคร่และอวยพรให้ ข้อนี้อธิบายได้ว่า อุจจาระนั้นหมายถึงสิ่งที่ไม่ดี เรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์ ความเสียใจ ตลอดถึงกิเลสตัณหาต่างๆ สิ่งเหล่านี้ท่านบอกว่าถ้าทิ้งได้ให้ทิ้งซะ เพราะเก็บใว้นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์แล้วยังสร้างโทษให้เก็บตัวเองอีกด้วย เปรียบเหมือนกับอุจจาระที่เก็บใว้ก็มีแต่จะเป็นทุกข์ ให้บ่างหน้าไปทางทิศปัจฉิม ปัจฉิมในภาษาพระได้แก่ทิศเบื้องหลัง คือทิ้งแล้วให้หันหลังกลับ ไม่ต้องกลับไปมอง ทิ้งใว้ข้างหลัง เหมือนกับอุจจาระทิ้งแล้วก็ไม่เสียดาย ทุกข์ก็เช่นกันทิ้งแล้วอย่าเสียดาย

4. ชายหญิงที่นอนด้วยกัน ต้องให้ผู้หญิงนอนข้างซ้าย ผู้ชายนอนข้างขวา และฝ่ายหญิงห้ามเดินข้ามเท้าฝ่ายชาย ถ้าปฎิบัติได้ดังนี้ เทวดาจะรักษาและอำนวยอวยพรให้ สิริข้อนี้เป็นปริศนาธรรมสอนการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันระหว่างชายหญิงว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นสิริมงคล คือมีความดีงาม มีความสุข มีความอบอุ่น และเจริญรุ่งเรือง การนอนร่วมกัน หมายถึงการตกลงปลงใจเป็นสามีภรรยากัน การให้รู้จักฐานะและหน้าที่ของแต่ละคน สามีนอนข้างขวา หมายถึงเป็นผู้ที่รับภาระหนักทุกอย่างในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัว ส่วนผู้หญิงให้นอนข้างซ้าย หมายถึงให้ช่วยประคับประคองสามี คอยช่วยเหลือเกื้อกูลในยามที่สามีต้องรับภาระหนัก เหมือนกับการยกของถ้าใช้มือขวายกไม่ไหวก็ใช้มือซ้ายเข้าช่วย

การที่ไม่ให้ฝ่ายหญิงเดิมข้ามเท้าฝ่ายชาย ก็หมายความว่าให้ภรรยามีความเคารพต่อสามีในฐานะเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว ไม่ก้าวล้ำเส้นคิดจะเป็นหัวหน้าครอบครัวเอง บางคู่ภรรยาถือทิฐิคิดว่าตัวเองเก่งกว่าเหนือกว่าจึงดูถูก ข่มเหง ดุด่าสามีสารพัด ทำให้ครอบครัวนั้นขาดความงาม ไม่เจริญ หาความสุขไม่มี สังคมดูแคลน

5. ชายหญิงที่อยู่ด้วยกัน ท่านห้ามมิให้ใช้ผ้านุ่งร่วมกัน และให้แยกว่าชุดไหนเป็นชุดสำหรับใส่กลางคืน ชุดไหนเป็นชุดสำหรับใส่กลางวัน ถ้าใช้ผ้านุ่งร่วมกันหรือเอาชุดกลางคืนมาใส่กลางวัน เอาชุดกลางวันไปใส่กลางคืน ท่านว่าจะเสียศรีดูไม่เหมาะ เทวดารังเกียจและไม่อำนวยอวยพร

คำว่าผ้านุ่งในที่นี้ท่านหมายถึงเรื่องภายในครอบครัว ผ้านุ่งกลางวันหมายถึงเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ที่ควรนำมาเปิดเผยให้ผู้คนได้รับรู้ เหมือนเสื้อผ้าที่สวยงามควรนุ่งอวดให้คนเห็น ส่วนผ้านุ่งในเวลากลางคืนหมายถึงเรื่องที่ไม่ดี เรื่องเสียหาย เรื่องไม่งามภายในครอบครัวไม่ควรนำมาเปิดเผย เหมือนชุดนอนไม่ควรนุ่งมาอวดในที่สาธารณะ หรือตามห้างสรรพสินค้า สามีภรรยาที่อยู่ร่วมกันแล้ว ต้องรู้จักแยกแยะว่าเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องในครอบครัว เรื่องไหนกีควรเปิดเผยเรื่องไหนไม่ดีควรปกปิด โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีของคู่ครองที่นำมาเปิดเผยแล้วทำให้เขาเสียหายหรืออับอาย แต่ถ้าเป็นเรื่องดี เรื่องที่น่าภูมิใจก็นำมาเปิดเภยได้ ถ้าทำได้ดังนี้ สิริ คือความสุข ความร่มเย็น ความเป็นมงคงก็จะเกิดขึ้นในครอบครัว


6. เวลาหลังตื่นนอนก่อนออกจากบ้านให้เอาน้ำล้างหน้า ตกแต่งใบหน้าให้ดูดีสวยงามจึงจะเป็นมงคลแก่ชีวิต เทวดาก็จะตามรักษาและอำนวยอวยพรให้โชคดีตลอดวัน คนโบราณเชื่อว่าราศีหรือสิ่งที่จะทำให้เราเกิดความโชคดีนั้นอยู่ที่ใบหน้า ดังนั้นท่านจึงให้ล้างหน้า ทำความสะอาดและตกแต่งใบหน้าให้ดูดีเสมอก่อนออกจากบ้าน ความจริงแล้วข้อนี้ท่านไม่ได้หมายถึงเฉพาะการแต่งหน้าแต่งตาให้ดูสวยดูดีเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการทำใบหน้าให้เบิกบานแจ่มใส มีรอยยิ้ม ไม่บูดบึ้ง และอารมณ์ดีอีกด้วย เพราะเพียงการแต่งหน้าให้สวยงามแต่ใบหน้าบึ้งตึง คงไม่ช่วยให้ราศีดีขึ้นสักเท่าไร กลับกันถ้าใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีเบิกบาน ถึงไม่แต่งหน้าทาปากก็ยังดูดีมีเสน่ห์มาก

7. เวลาเที่ยง ให้เอาน้ำพรมที่หน้าอกตรงหัวใจ ทำอย่างนี้จะเกิดสิริมงคลแก่ตน เพราะคนโบราณเวลาเที่ยงราศีจะย้ายจากใบหน้ามาอยู่ที่อก หากเอาน้ำมาพรมที่อกก็จะทำให้รู้สึกสดชื่น มีโชคลาภ การงานเจริญ ความเป็นจริงเวลาเที่ยงวันเป็นเวลาที่อากาศร้อนจัด เหงื่อไหลไคลย้อยเนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ ทำให้อารมณ์เสียและหงุดหงิดง่าย และจะพลอยทำให้การงานที่ทำอยู่เสียหาย ท่านให้เอาน้ำลูบอกเพื่อดับความร้อนในร่างกาย ช่วยทำให้จิดใจเย็นลง แต่สำหรับบางท่านสถานที่ไม่เอื้ออำนวยหรือไม่สะดวกที่จะนำน้ำมาลูบอกก็ไม่เป็นไร เพราะอันที่จริงในข้อนี้ท่านต้องการให้ใช้หลักความใจเย็น คือทำอะไรให้ใจเย็นๆ อย่าผลีผลามวู่วาม เพราะถ้าใจร้อนบวกกับอากาศที่ร้อนก็จะก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งได้ง่าย

8. เวลาเย็น ให้เอาน้ำล้างเท้าก่อนเข้านอน เพราะโบราณท่านเชื่อว่าตอนเย็นราศีของคนอยู่ที่หัวแม่เท้าและใจกลางเท้า ถ้าได้ล้างเท้าก่อนเข้านอนก็จะทำให้นอนหลับฝันดี เทวดาก็คุ้มครองอวยพรให้โชคให้ลาภและป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นอีกด้วย

ความจริงในข้อนี้ท่านหมายถึงว่า เมื่อถึงเวลาเข้านอนแล้วให้ปล่อยวางธุระทั้งหมดทิ้งเสีย ให้เข้านอนพักผ่อนให้เต็มที่ เก็บกำลังชาร์ตแบตเตอรี่ใหม่ เตรียมพร้อมสู้งานต่อในวันถัดไป เมื่อทำได้อย่างนี้ก็จะทำให้มีกำลังต่อสู้กับงานต่อไปได้อีกนาน การดูแลสุขภาพ การพักผ่อนให้เพียงพอ มีความสำคัญมากพอๆกับการทำงานหาเงิน เพราะหากมีเงินมากๆแล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้าต้องเอาเงินที่หาได้มาเป็นค่ารักษาตังเอง ดังนั้น ท่านจึงให้ปล่อยวางธุระทั้งหมดเสียและพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่เมื่อถึงเวลาต้องพักผ่อน

 :96: :96: :96: :96:

สิริทั้ง 8 ประการนี้ เป็นข้อปฎิบัติที่คนรุ่นปู่ย่าตายายได้บัญญัติไว้ ซึ่งหากใครปฎิบัติตามได้ก็จะเกิดความสุขความเจริญอย่างยิ่ง แต่การจะให้มีความสุขความเจริญได้อย่างบริบูรณ์ ต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง และเชื่อว่าหากท่านได้ปฎิบัติตามวิธีการรักษาสิริทั้ง 8 ข้อที่ได้แนะนำใว้ ความเป็นสิริ ความเป็นมงคล ความสุขความเจริญจะบังเกิดแก่ท่านอย่างแน่นอนค่ะ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://horoscope.sanook.com/103921/
10224  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “หลวงพ่อทันใจ” โชคลาภมาไว อธิษฐานอะไรได้ทันที เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 07:27:47 pm




“หลวงพ่อทันใจ” โชคลาภมาไว อธิษฐานอะไรได้ทันที

การอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณค่าทางจิตใจ บางคนอาจมองเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ หากแต่บางคนกลับมองว่า เป็นเรื่องของพลังจิตบางอย่าง และก็มีอีกบางคนเหมือนกันที่ประชดว่าเพราะเรามีชีวิตที่ล้มเหลวไร้ที่ยึดเหนี่ยว เราจึงให้ความสำคัญกับการตั้งจิตอธิษฐาน ความศรัทธา เชื่อว่าคนไทยทุกคนนั้นมีความสิ่งเหล่านี้อย่างแรงกล้ากันอยู่ทุกคน อาจจะเป็นเพราะว่าเราเกิดมามีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ จึงไม่แปลกถ้าเราจะมีความเลื่อมใสศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ พระ หรือ องค์เทพต่างๆ และในยุคที่ทุกคนต่างเร่งรีบที่จะร่ำรวยด้วยโชคลาภ หรือเร่งรีบที่จะประสบผลสำเร็จในชีวิต และเร่งรีบหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อเป็นที่พึ่งหรือเป็นความหวังทางใจ

Sanook! Horoscope ขอเสนอเรื่องราวความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่า “หลวงพ่อทันใจ” ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่าเป็นสุดยอดแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการอธิษฐาน ด้วยความที่อธิษฐานแล้วได้ผลลัพธ์ทันตาเห็นผลทันใจ ขอพรเพียงไม่กี่วัน พรที่ขอก็สัมฤทธิ์ผลดังปาฏิหารย์ สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จักหลวงพ่อทันใจ เราจะพามาทำความรู้จักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อกันค่ะ

“หลวงพ่อทันใจ” อยู่ที่ “วัดพระธาตุดอยคำ” เป็นพระวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่มากว่า 1,400 ปี และถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานอันศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมน้ำใจของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธเลยก็ว่าได้ "หลวงพ่อทันใจ" ท่านให้โชคลาภและมีญาณวิเศษที่ให้ผู้คนที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ แม้กระทั่งอัมพฤกษ์หรืออัมพาต หายขาดมาได้รวมถึงผู้คนที่นิยมเสี่ยงดวงกับกับการซื้อหวย บรรดาแฟนคลับกองสลากกินแบ่ง ต่างคนต่างหวัง และขอให้สมหวังร่วมกัน



หลายคนอาจเคยคิดว่าที่เราเรียก “หลวงพ่อทันใจ” เป็นเพราะอธิษฐานอะไรก็สำเร็จสมประสงค์ได้ทันใจทันท่วงที แต่ความจริง ที่เราเรียกกันว่าหลวงพ่อทันใจนั้น แต่เดิมเป็นเรื่องของความทันใจในการสร้างและปลุกเสก โดยในสมัยโบราณ เมื่อมีการสร้างพระ ในวัดสำคัญทางภาคเหนือ นิยมสร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า “พระเจ้าทันใจ” ซึ่งหมายถึง พระพุทธรูปที่ใช้เวลาสร้างได้สำเร็จภายใน 1 วัน

กล่าวคือจะเริ่มพิธีตั้งแต่หลังหกทุ่มเป็นต้นไป จนสามารถสร้างองค์พระได้สำเร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดิน (ก่อนเวลา 18.00 น.) ของวันถัดไป ถ้าสร้างไม่เสร็จถือเป็นพระพุทธรูปธรรมดาทั่วไป และสามารถทำพิธีพุทธาภิเษกได้ในเย็นอีกวันหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากการสร้างพระพุทธรูปนั้น มักจะมีขั้นตอน และพิธีกรรมที่ละเอียดซับซ้อน

การสร้างพระพุทธรูป และสามารถทำพิธีพุทธาภิเษกได้สำเร็จภายใน 1 วัน จึงถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ จึงเชื่อกันว่าเป็นเพราะพระพุทธานุภาพ และอานุภาพแห่งเทพยดาที่บันดาลให้พิธีกรรมสำเร็จโดยปราศจากอุปสรรค ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงถือว่าพระเจ้าทันใจเป็นพระพุทธรูปที่จะบันดาลความสำเร็จให้แก่ผู้อธิษฐานขอพรได้อย่างทันอกทันใจ

การสร้างพระเจ้าทันใจนั้น มีลักษณะที่แปลกกว่าการสร้างพระพุทธรูปอื่นๆ กล่าวคือจะมีการบรรจุหัวใจพระเจ้า คล้ายกับหัวใจของมนุษย์ ตลอดจนการบรรจุวัตถุมงคลสิ่งของมีค่าไว้ในองค์พระพุทธรูปด้วย และในช่วงระยะเวลาที่กำลังปั้น จะต้องมีการเจริญพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ตลอดทั้งคืนจนสว่างด้วย โดยทั่วไปพระเจ้าทันใจนิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย แต่วัดที่มีการสร้างพระเจ้าทันใจที่มีพระพุทธลักษณะต่างจากที่อื่นคือ วัดพระบรมธาตุหริภุญไชย ที่องค์พระเจ้าทันใจมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปประทับยืน พระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันอยู่เบื้องหน้า



หลวงพ่อทันใจเป็นที่นิยมและได้ยินถึงกิตติศัพท์ของความสำเร็จจากการอธิษฐานมากที่สุด ทั้งในเรื่่องของการขอโชคลาภทั้งจากการงาน การค้า และการเสี่ยงโชค โดยเฉพาะอย่างหลังว่ากันว่าเป็นตำนานให้เล่าลือกันได้ไม่รู้จบและไม่ขาดตอน สังเกตได้จากเสียงร่ำลือหรือกระทั่งเสียงประกาศปลุกเร้าจากผู้มีจิตศรัทธา  ซึ่งสมหวังมากกว่าไม่สมหวัง และจากจำนวนของดอกมะลิแก้บนอันล้นหลาม คงเดาได้ไม่ยาก ว่าความศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งผลให้สำเร็จได้ตามแรงอธิษฐาน เห็นผลทันตาทันใจขนาดไหน ยิ่งเมื่อมีญาติโยมขาประจำมาเปิดเผยว่าได้เลขเพื่อการเสี่ยงโชคมาจากที่นี่ และมีผู้ไปแก้บนให้หลุดพ้นจากห่วงหนี้สินระดับสิบล้าน แน่นอนว่าหลายคนคงปราถนาที่จะเข้าไปสักการะและขอพรท่านให้ได้ลุล่วงสมปราถนาทันใจกันสักครั้ง

นอกจากจะเป็นที่สักการบูชาของคนท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งหนึ่งของการบินไทยที่ใช้กำหนดพื้นที่ทางสายตา ก่อนที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่ หลวงพ่อทันใจ แห่งวัดพระธาตุดอยคำ ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัย พญากือนา กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ปัจจุบันมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ หลายต่อหลายครั้งที่มีผู้เดินทางมาขอพร บนบาน แล้ว ประสบความสำเร็จ และได้เดินทางกลับมาถวายดอกมะลิเพื่อแก้บน

แต่การอธิษฐานขอพรต่อสิ่งใดนั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับคุณงามความดี หรือสิ่งที่เรามีอยู่เป็นพื้นฐาน ที่จะทำให้เรื่องราวเหล่านั้นเป็นจริงและสัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่ ไม่ใช้สักแต่ว่าจะขอกันอย่างเดียว เพราะบางคนรอกันจนเหี่ยวก็ไม่เคยได้อะไรสักที ไม่ต้องไปพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ เอาแค่สมมติว่ามีใครมาขออะไรในหมู่มนุษย์ด้วยกัน

ก่อนจะช่วยเหลือใคร บางทีอยู่ที่ความสมเหตุสมผลที่จะช่วยเหลือเสียก่อน ไม่ใช่ไม่ทำอะไรสักอย่างและเป็นคนที่ไม่เคยให้หรือไม่เคยทำอะไรเลย อย่าว่าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ขนาดเป็นมนุษย์ปกติอย่างเราๆก็ยังไม่อยากให้หรือช่วยเหลืออะไร เพราะฉะนั้น ก่อนจะไปอธิษฐานหรือขอพรจากสิ่งใดให้สมปราถนา กรุณาสำรวจหัวใจตนเอง หรือความพยายามและความตั้งใจในการทำอะไรสักอย่างของตัวเองด้วย




วิธีบน ขอพรจาก “หลวงพ่อทันใจ”

การอธิษฐาน จะต้องใช้ดอกมะลิสด 50 พวงขึ้นไป (จะมากกว่านั้นก็ได้เป็นร้อยพวงก็เคยมีคนทำมาแล้ว) และสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการให้อธิษฐานขอพร คือ ขอได้เพียง “อย่างเดียวเท่านั้น” ท่านถึงจะให้พรได้สมใจหวัง ปัจจุบันมีผู้คนที่มาอธิฐานและขอพรหรือบนบานศาลกล่าวกันเป็นจำนวนมาก พอได้โชคลาภ โชคดีดังที่ขอก็จะนำดอกมะลิมากราบไหว้อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละวันจะมีคนนำดอกมะลิมากราบไหว้ไม่น้อยกว่าหลายร้อยหลายพันพวงเลยทีเดียว


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://horoscope.sanook.com/103925/
10225  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “๓ สามเณรแห่งกรุงศรีอยุธยา” ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของชาติไทย เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 07:20:58 pm
“สามเณรสิน” สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


“๓ สามเณรแห่งกรุงศรีอยุธยา” ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของชาติไทย!! เป็นต้นตระกูลหลายสกุล!

ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ กษัตริย์พระองค์ที่ ๓๑ ของกรุงศรีอยุธยา หรือที่เรียกกันเมื่อสวรรคตแล้วว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ณ วัดสามวิหาร ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงศรีอยุธยาหรือนานกว่านั้น มีสามเณร ๓ รูปมาบวชพร้อมกันและเกาะกลุ่มรักใคร่ ทั้งยังดูสูงศักดิ์กว่าพระเณรทั้งหลายในวัด เพราะต่างก็เป็นลูกของขุนนางผู้ใหญ่แห่งราชสำนัก
       
       สามเณรที่มีอายุแก่กว่าเพื่อนชื่อ สิน เกิดปีขาล เป็นบุตรบุญธรรมของ เจ้าพระยาจักรี สมุหนายก ส่วนบิดาจริงเป็นพ่อค้าจีน ชื่อไหฮอง รับราชการเป็นนายอากร มีตำแหน่งเป็น ขุนพัฒน์ มารดาเป็นไทยชื่อ นกเอี้ยง เล่ากันว่าเมื่อเวลาคลอดมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น คือมีงูใหญ่เลื้อยขึ้นมาขดอยู่รอบขอบกระด้งที่ใส่ทารก ทั้งยังมีฟ้าผ่าลงมาที่เรือน บิดามารดาเห็นว่าทารกน่าจะเป็นผู้มีบุญวาสนา ถ้าเลี้ยงไว้เองเกรงว่าจะไม่รอด จึงจะยกให้ผู้มีวาสนาบรรดาศักดิ์ ซึ่งสมุหนายกที่อยู่บ้านใกล้กันก็ยินดีรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม
       
       สามเณรที่อายุรองลงมา ชื่อ ทองด้วง เกิดปีมะโรง เป็นบุตร หลวงพิพิธอักษร (ทองดี) เสมียนตรากรมมหาดไทย สามเณรองค์นี้ท่าทางสง่าผ่าเผย มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
       
       ส่วนสามเณรคนที่อายุอ่อนกว่าเพื่อน ชื่อ บุนนาค เกิดปีมะเมีย เป็นบุตร พระยาจ่าแสนยากร (เสน) ข้าราชการวังหน้า สามเณรองค์นี้เป็นคนอ่อนโยน ปัญญาไว ไหวพริบดี อีกทั้งยังเทศน์กัณฑ์มัทรีได้ไพเราะนัก บ้านอยู่ใกล้ๆวัดนั่นเอง
       
       สามเณรทั้ง ๓ แม้จะรักใคร่สนิทสนมกันดี แต่ก็ต่างเชื้อสายชาติพันธุ์กัน

       
        :96: :96: :96: :96:

       สามเณรสินถึงจะเป็นลูกเลี้ยงสมุหนายก แต่แท้ที่จริงเป็นลูกจีนที่อพยพเข้ามา ส่วนสามเณรทองด้วง มีเชื้อสายไทยแท้ สืบมาแต่เจ้าพระยาโกษาปาน ราชทูตของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ไปโด่งดังในฝรั่งเศส โดยเจ้าพระยาโกษาปานมีบุตรคนโตชื่อ “ขุนทอง"”รับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาวรวงศาธิราช เสนาบดีคลัง
       
       เจ้าพระยาวรวงศาธิราชมีบุตรคนโตชื่อ “ทองคำ” รับราชการเป็น พระยาราชนิกูล ปลัดทูลฉลองมหาดไทย     
       พระยาราชนิกูล มีบุตรคนโตชื่อ “ทองดี” ได้เป็น หลวงพิพิธอักษร ซึ่งก็คือบิดาของสามเณรทองด้วงนั่นเอง
       
       ส่วนสามเณรบุนนาคนั้น มีเชื้อแขกเปอร์เซีย สืบสายมาจาก เฉกอะหมัด พ่อค้าชาวเปอร์เซียที่แล่นสำเภาเข้ามาค้าขายยังกรุงศรีอยุธยา จนได้เป็น เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนาธิบดี อัครมหาเสนาบดี สมุหนายกฝ่ายเหนือ เพราะได้ร่วมกับพระเจ้าปราสาททองเมื่อครั้งยังเป็น พระยามหาอำมาตย์ เข้าปราบปรามกบฏญี่ปุ่นยึดวังในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม และบุตรของเฉกอะหมัดชื่อ “ชื่น” ได้เป็นเจ้าพระยาอภัยราชา สมุหนายก ต่อจากบิดา ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง

        :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

      เจ้าพระยาอภัยราชา มีบุตรชื่อ “สมบุญ” ได้เป็น เจ้าพระยาชำนาญภักดี สมุหนายกในรัชสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช     
       เจ้าพระยาชำนาญภักดีมีบุตรชื่อ “ใจ” ได้เป็น เจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย สมุหนายกในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ     
       เจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย มีบุตรชื่อ “เสน” ซึ่งก็คือ พระยาจ่าแสนยากร บิดาของสามเณรบุนนาค ซึ่งต่อมาพระยาจ่าแสนได้เลื่อนขึ้นเป็น เจ้าพระยามหาเสนา สมุหนายกในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช ๔ หรือขุนหลวงหาวัด     
       สามเณรบุนนาค ก็คือลูกหลานลำดับชั้นที่ ๕ ของเฉกอะหมัดนั่นเอง แต่ได้ละจากศาสนาอิสลามมาถือพุทธในช่วงของเจ้าพระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ)

        :s_good: :s_good: :s_good: :s_good:

       หลังจากสึกออกมาแล้ว สามเณรทั้ง ๓ ยังคบหาเที่ยวเล่นอยู่ด้วยกันตลอดมา วันหนึ่งนั่งเล่นอยู่ที่แคร่หน้าบ้านเจ้าพระยาจักรี นายสินซึ่งตอนนั้นไว้ผมเปียได้นอนหลับไป และด้วยความคึกคะนองเป็นคนขี้เล่นของนายบุนนาค จึงเอาผมเปียของนายสินผูกไว้กับแคร่แล้วแกล้งทำเสียงเอะอะโวยวาย นายสินตกใจตื่นผงะขึ้นนั่งก็ต้องหงายหลังลงเพราะถูกผมเปียดึง ทำให้เพื่อนๆหัวเราะชอบใจ แต่นายสินทั้งเจ็บทั้งอาย จึงผูกใจเจ็บนายบุนนาค ทำให้ความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ขาดสะบั้นลง แต่นายทองด้วงก็ยังคบหาทั้งนายสินและนายบุนนาคด้วยความรักใคร่เช่นเดิม
       
       เมื่อโตพอเข้ารับราชการ เจ้าพระยาจักรีก็นำนายสินถวายตัวเข้าเป็นมหาดเล็กพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หลวงพิพิธอักษรก็ถวายตัวนายทองด้วงเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพรราชกุมาร กรมขุนพรพินิต กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เช่นเดียวกัน พระยาจ่าแสนยากร ก็ถวายตัวนายบุนนาคกับกรมพระราชวังบวรฯ จึงทำให้นายทองด้วงกับนายบุนนาคเข้ารับราชการในวังหน้าด้วยกัน แต่นายสินไปอยู่วังหลวง
       
       ในหน้าที่ราชการ นายสินก้าวไปเร็วกว่าเพื่อน อายุเพียง ๓๐ ก็ได้เป็นพระยาตาก เจ้าเมืองตาก นายทองด้วงได้เป็น หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ส่วนนายบุนนาค เป็น นายฉลองไนยนารถ มหาดเล็กหุ้มแพรในกรมพระราชวังบวร และยังคงอยู่ที่บ้านบิดาในกรุงศรีอยุธยาต่อไป

       
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช


       ก่อนกรุงแตกในปี พ.ศ.๒๓๑๐ นายสินซึ่งได้เลื่อนขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร แต่ไม่มีโอกาสไปรับตำแหน่ง เพราะต้องนำกำลังมาช่วยป้องกันกรุงศรีอยุธยา คนจึงเรียกกันว่า“พระยาตาก” ตลอดมา เมื่อคราวที่ฝ่ายกรุงส่งกองทัพเรือเข้าสู้กับพม่า พระยาตากก็คุมกองทัพเรือไปด้วย แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีทางจะสู้ข้าศึกได้ ทั้งในกรุงก็ยุ่งเหยิง จะยิงปืนใหญ่แต่ละทีต้องแจ้งเข้าไปในวังก่อน เพราะกลัวสาวสนมกำนัลในจะตกใจ พระยาตากเองก็ถูกคาดโทษไว้ทีหนึ่งแล้วฐานที่ยิงปืนใหญ่โดยไม่ขออนุญาต สกัดพม่าที่บุกเข้ามาถึงกำแพงเมือง จึงตัดสินใจนำทหาร ๕๐๐ คนแหวกวงล้อมของพม่าไปส้องสุมกำลังที่เมืองจันทบุรี
       
       ส่วนนายบุนนาคซึ่งแต่งงานกับท่านลิ้ม มีบุตรสาว ๑ คนแล้วชื่อ ตานี ก็พาลูกเมียเล็ดลอดหนีออกจากกรุงไปอัมพวา สมุทรสงคราม เพื่ออาศัยหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ซึ่งมีบ้านภรรยาอยู่ที่นั่น
       
       มีข้าราชการหลายคนที่หนีออกจากกรุงศรีอยุธยาตามไปสมทบกับพระยาตากที่จันทบุรี ในจำนวนนี้มี นายบุญมา น้องชายของนายทองด้วงซึ่งรับราชการเป็นมหาดเล็กของเจ้าฟ้าอุทุมพร และได้เลื่อนขึ้นเป็น นายสุดจินดา มหาดเล็กหุ้มแพรของพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ หรือ พระเจ้าเอกทัศน์ ได้หลบหนีพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาตามหาพี่ชาย ซึ่งพาครอบครัวหลบไปอยู่ในป่าแถวอัมพวาจนพบ

        :96: :96: :96: :96:

       นายบุญมาได้ชวนพี่ชายไปร่วมกับพระยาตาก แต่ตอนนั้นคุณหญิงนากภรรยากำลังตั้งครรภ์แก่ (อุ้มครรภ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ไม่อาจทิ้งภรรยาไปได้ จึงให้น้องชายไปก่อน พร้อมทั้งให้ตามหานางนกเอี้ยง มารดาพระยาตาก ที่ได้ข่าวว่าซ่อนตัวอยู่แถวบ้านแหลม แขวงเมืองเพชรบุรี พาไปให้พระยาตากด้วย นอกจากนี้ยังฝากแหวนพลอยไพฑูรย์ ๑ วง แหวนพลอยบุศราคัมเนื้อทอง ๑ วง กับดาบคร่ำทองโบราณอีก ๑ เล่ม ไปให้พระยาตากในฐานะเพื่อนสนิทด้วย
       
       นายบุญมาไปตามหานางนกเอี้ยงจนพบ พาไปให้พระยาตากที่จันทบุรี ซึ่งทำให้พระยาตากดีใจมาก นายบุญมาได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของพระยาตากจนกอบกู้อิสรภาพได้สำเร็จ สถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี และเถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี ส่วนนายบุญมาได้รับโปรดเกล้าฯเป็น พระมหามนตรี เจ้ากรมพระตำรวจขวาในปี พ.ศ.๒๓๑๐ นั่นเอง

        :96: :96: :96: :96:

       ต่อมาพระมหามนตรีได้กราบบังคมทูลขอไปรับหลวงยกกระบัตรพี่ชายที่เมืองราชบุรีเข้ามารับราชการด้วย ซึ่งพระเจ้าตากสินก็โปรดให้ไปรับมา และเนื่องจากพระมหามนตรีอัญเชิญพระบรมราชโองการไป หลวงยกกระบัตรต้องรีบมาเข้าเฝ้าด่วน ทำให้ครอบครัวเตรียมตัวไม่ทัน จึงได้ให้นายบุนนาคช่วยดูแลครอบครัวแทน แล้วค่อยอพยพตามมาในภายหลัง
       
       หลวงยกกระบัตรได้รับโปรดเกล้าฯเป็นพระราชวรินทร์ ซึ่งต่อมานายบุนนาคก็พาครอบครัวตามมาส่งให้ และอาศัยปลูกบ้านอยู่ในเขตบ้านของพระราชวรินทร์ที่ได้รับพระราชทานด้วย โดยทำหน้าที่เป็นทนายหน้าหอ มีหน้าที่ออกรับหน้าแทนพระราชวริทร์ที่บ้าน
       
       เพื่อนฝูงหลายคนได้เข้ารับราชการกับพระเจ้ากรุงธนบุรีกันเป็นแถว แต่นายบุนนาคไม่กล้า ทั้งยังขอร้องมิให้เพื่อนเก่าๆกล่าวชื่อตนเข้าพระกรรณสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย เพราะเกรงความพยาบาทเรื่องเอาผมเปียไปผูกแคร่ซึ่งทำให้โกรธมาก


       st12 st12 st12  st1 st12

       พระราชวรินทร์และพระมหามนตรีต่างก็เป็นขุนศึกคู่พระทัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ออกกรำศึกด้วยทุกครั้ง และได้เลื่อนยศเลื่อนบรรดาศักดิ์มาตลอด จากพระราชวรินทร์ เลื่อนขึ้นเป็น พระยายมราช เจ้าพระยาจักรี จนถึง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
       
       พระมหามนตรีก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น พระอนุชิตราชา พระยายมราช จนถึง เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช
       
       ส่วนนายบุนนาคยังรับหน้าที่ทนายหน้าหอด้วยความซื่อสัตย์มาตลอด ไม่ยอมเข้ารับราชการ แต่ไม่ว่านายทองด้วงจะไปศึกสงครามครั้งใด ตั้งแต่เป็นพระราชวรินทร์จนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก นายบุนนาคจะต้องติดตามไปด้วยทุกครั้ง เหมือนรับราชการ แต่ไม่ยอมให้พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพบหน้า
       
       ครั้งหนึ่งในงานที่วัดแจ้ง นายบุนนาคถือพานทองล่วมหมากตามเจ้าพระยาจักรีไปในงาน พอพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จมา นายบุนนาคกลัวว่าจะเห็นตนจึงรีบไปซ่อนอยู่ในเรือ จนเมื่อพระเจ้าตากสินเสด็จพระราชดำเนินไปแล้ว จึงได้ออกจากที่ซ่อนแล้วรีบกลับบ้าน จากนั้นก็ไม่กล้าติดตามเจ้าพระยาจักรีเข้าไปในวังหรือในงานพระราชพิธีอีกเลย

        :25: :25: :25: :25:

       ต่อมานายบุนนาคนึกถึงทรัพย์สมบัติของครอบครัวซึ่งฝังไว้ที่กรุงศรีอยุธยาก่อนหนีพม่า จึงพาท่านลิ้มภรรยาไปขุด ฝากลูกสาวไว้กับท่านผู้หญิงนาก ขากลับขนสมบัติมาทางเรือใหญ่ แจวล่องมาทางแม่น้ำอ้อม เมืองนนทบุรี แต่พอถึงปากคลองบางใหญ่ในเวลา ๕ ทุ่ม ซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ก็ปรากฏว่ามีโจรกลุ่มใหญ่จ้ำเรือตามมาทันและเข้าปล้น นายบุนนาคนำข้าทาสเข้าต่อสู้ แต่โจรมีมากกว่าได้ฆ่าท่านลิ้มกับทาสอีก ๒ คนตาย นายบุนนาคต้องโดดน้ำว่ายขึ้นฝังเอาชีวิตรอด
       
       การตกพุ่มม่ายของนายบุนนาค คนใกล้ชิดของท่านเจ้าคุณสามี ทำให้ท่านผู้หญิงนากเกิดความสงสาร ต่อมาจึงยก คุณนวล น้องสาวให้
       
       การยกน้องสาวให้ทนายหน้าหอผู้ซื่อสัตย์ของเจ้าคุณสามีครั้งนี้ กล่าวกันว่า นอกจากท่านผู้หญิงจะเห็นอกเห็นใจนายบุนนาคคนใกล้ชิดรักใคร่กับท่านเจ้าคุณสามีมาตั้งแต่เด็ก ช่วยดูแลครอบครัวในยามที่เจ้าคุณไม่อยู่แล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้พี่น้องต้องผิดใจกัน เพราะเกรงว่าท่านเจ้าคุณจะเอ็นดูน้องภรรยาด้วยอีกคน

        st11 st11 st11 st11

       ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้เกิดการจลาจลวุ่นวายขึ้นในกรุงธนบุรี ขณะที่เจ้าพระยาจักรีซึ่งได้เลื่อนขั้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปทำศึกที่เขมร เมื่อกลับมา ข้าราชการและอาณาประชาราษฎร์จึงอัญเชิญขึ้นครองราชย์ปราบดาภิเษกเป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และย้ายราชธานีมาอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
       
       เมื่อสิ้นแผ่นดินของพระเจ้าตากสินแล้ว นายบุนนาคก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้ารับราชการ

       
เจ้าพระยามหาเสนา และเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวล


      ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ กล่าวตอนนี้ไว้ว่า
       
       “ตรัสเอาหม่อมบุนนาค บุตรพระยาจ่าแสนครั้งกรุงเก่า มิได้คิดเข้ามาทำราชการหายศบรรดาศักดิ์ พึ่งแต่พระเดชพระคุณให้ใช้สอย ได้ตามเสด็จไปพระราชสงครามทุกครั้ง มีความชอบตั้งให้เป็น พระยาอุทัยธรรม”
       
       ทั้งยังพระราชทานบ้านพักให้อยู่ท้ายวังในหมู่บ้านเสนาบดี ซึ่งก็คือบริเวณที่เป็นวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในปัจจุบัน และบ้านของพระยาอุทัยธรรม อันเป็นบ้านของสกุลบุนนาคก็อยู่ตรงที่เป็นโบสถ์พระนอนขณะนี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) ก็อยู่บ้านนี้ต่อจากบิดา และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ผู้สำเร็จราชการในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็เกิดที่บ้านหลังนี้
       
       พระยาอุทัยธรรมได้ถวายธิดาคนแรก คือ ท่านตานี ที่เกิดจากท่านลิ้มให้รับราชการฝ่ายใน ซึ่งได้เป็นเจ้าจอมมารดาของพระองค์เจ้าหญิงจงกลนี และพระองค์เจ้าชายเสวตฉัตร กรมหมื่นสุรินทรารักษ์ ต้นสกุล “ฉัตรกุล”
       
       ในสงคราม ๙ ทัพ เจ้าพระยายมราช (สน) ซึ่งไปตั้งทัพรับพม่าอยู่ที่ราชบุรี แต่พม่าเข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่เขางูก็ยังไม่รู้ เมื่อเสร็จสงครามจึงต้องโทษตามกฎอาญาทัพ ถูกถอดบรรดาศักดิ์ โปรดให้พระยาอุทัยธรรมขึ้นเป็นเจ้าพระยายมราชแทน


        :96: :96: :96: :96:

       ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๓๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงเป็นจอมทัพยกไปตีเมืองทวาย แต่ไม่สำเร็จ เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) แม่ทัพผู้หนึ่งหายไป ไม่มีใครทราบว่าตายหรือถูกจับ เสด็จกลับจากศึกครั้งนี้จึงโปรดเกล้าฯ เลื่อนเจ้าพระยายมราชขึ้นเป็นเจ้าพระยามหาเสนาแทน
       
       เจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) รับราชการในตำแหน่ง สมุหกลาโหมจนอายุได้ ๖๘ ปีจึงถึงแก่อสัญกรรม มีบุตรธิดากับ “เจ้าคุณนวล” ๑๐ คน และยังมีบุตรธิดากับ ๗ หม่อมอีก ๒๒ คน รวมมีบุตรธิดา ๓๒ คน
       
       ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ มีการประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร) บุตรสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) ที่เกิดกับเจ้าคุณนวล ขอพระราชทานนามสกุล จึงโปรดเกล้าฯพระราชทานนามสกุลของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ตามชื่อของเจ้าพระยามหาเสนาว่า “บุนนาค” เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๖

        :96: :96: :96: :96:

      เชื้อสายของเฉกอะหมัดที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในปลายสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงได้นามสกุลอย่างเป็นทางการในรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามชื่อของเจ้าพระยามหาเสนาในรัชกาลที่ ๑ และถือว่าเป็น “ราชินีกูล” คือสกุลฝ่ายพระราชินี เพราะสืบเชื้อสายมาจาก “เจ้าคุณนวล” พระขนิษฐภคินีของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ ราชินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ส่วนบุตรที่เกิดจากภรรยาคนอื่นๆไม่ได้ใช้บุนนาคด้วย
       
       เชื้อสายราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินนั้นปรากฏว่ามีพระราชโอรสและพระราชธิดากับสมเด็จพระอัครมเหสีและพระสนมต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๓๐ พระองค์ ดำรงพระยศโดยสืบจากฐานันดรศักดิ์ของพระราชมารดา เป็นชั้นเจ้าฟ้า ๑๒ พระองค์และชั้นพระองค์เจ้า ๑๘ พระองค์ แต่ได้ถูกลดพระยศทั้งหมดเมื่อสิ้นรัชกาล แม้แต่สมเด็จพระอัครมเหสี กรมหลวงบาทบริจา ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระราชินี ยังถูกลดพระยศลงเป็น “หม่อมสอน” และพระราชโอรสหลายพระองค์ก็ถูกสำเร็จโทษพร้อมพระราชบิดา

       ในรัชกาลที่ ๒ สมเด็จเจ้าฟ้าชายสุพันธุวงศ์ พระราชโอรสของพระเจ้าตากสินในเจ้าจอมมารดาเจ้าฟ้าฉิมใหญ่ พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นหัวหน้ากบฏจึงถูกสำเร็จโทษพร้อมกับโอรสเล็กๆอีก ๖ พระองค์ รวมกับเจ้าพี่เจ้าน้องร่วมพระราชบิดาที่คิดก่อการร้ายอีกหลายพระองค์ จนเกือบจะไม่เหลือราชวงศ์กรุงธนบุรี

        :25: :25: :25: :25:

       แต่อย่างไรก็ดี ยังมีพระราชโอรสและพระราชธิดา ได้รอดชีวิตสืบสกุลเชื้อสายพระเจ้าตากสินต่อมา ทั้งโดยทางตรงและทางพระราชธิดาซึ่งร่วมสัมพันธ์กับราชวงศ์จักรี
       
       ที่ถือว่าเป็นสายตรงสืบมาจากพระราชโอรสของพระเจ้าตากสิน ก็คือ   
       ราชสกุล “พงษ์สิน” สืบมาจาก คุณชายราช โอรสของ เจ้าฟ้าชายทัศพงศ์     
       ราชสกุล “สินสุข” สืบมาจาก คุณชายทองดี โอรสของ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรสองค์ใหญ่ ซึ่งถูกสำเร็จโทษพร้อมพระราชบิดา       
       ราชสกุล “อินทรโยธิน” สืบมาจากคุณชายทองอิน โอรสของกรมขุนอินทรพิทักษ์เช่นกัน       
       ราชสกุล “ศิลานนท์” สืบมาจาก คุณชายอิ่ม โอรสของเจ้าฟ้าชายศิลา       
       ราชสกุล “รุ่งไพโรจน์” สืบมาจากคุณชายรุ่ง โอรสของเจ้าฟ้าชายนเรนทรราชกุมาร       
       ราชสกุล “ณ นคร” สืบมาจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ซึ่งเป็นพระราชโอรสลับของพระเจ้าตากสิน จากเจ้าจอมมารดาปราง ซึ่งสกุลนี้รวมกับเชื้อสายที่สืบมาจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ด้วย
       
       นอกจากนี้บุตรชายของ เจ้าพระยานครน้อย ยังแยกนามสกุลออกเป็น “โกมารกุล ณ นคร” และ “จาตุรงคกุล” อีกด้วย
       
        st12 st12 st12 st12

      ราชสกุล “ณ ราชสีมา” สืบมาจากเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) หรือเจ้าพระยากำแหงสงคราม ซึ่งเป็นพระราชโอรสลับของพระเจ้าตากสินกับเจ้าจอมมารดา ยวนหรือจวน เช่นเดียวกับเจ้าพระยานครน้อย
       
       นอกจากนี้ยังมีสายที่เกิดจากพระราชธิดาร่วมกับราชวงศ์จักรีอีกหลายสกุลเช่น อิศรเสนา อิศรางกูร ปาลกะวงศ์ เสนีย์วงศ์ กุญชร ชุมสาย ลดาวัลย์ สุริยกุล นพวงศ์ ภาณุมาศ กาญจนวิชัย จรูญโรจน์ เป็นต้น
       
       นี่คือเสี้ยวหนึ่งของพระราชประวัติ ๒ มหาราชแห่งชาติไทย ที่ทรงกอบกู้เอกราชและสถาปนากรุงเทพมหานครจนรุ่งเรืองมาถึงปัจจุบัน กับต้นตระกูลของสกุลที่มีลูกหลานเข้ารับราชการและมีบทบาทสำคัญในราชสำนักแห่งกรุงรัตนโกสินทร์มาหลายรัชกาล



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9590000083981
10226  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระร้องเรียน...!! ถูกบุกรุกพื้นที่วัด เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 07:09:11 pm



พระร้องเรียน...!! ถูกบุกรุกพื้นที่วัด

มีพระคุณเจ้า 2 รูป ส่งจดหมายผ่านอีเมล์มา เพื่อให้ช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตักเตือน “ผู้นำท้องถิ่น” และทั้งช่วยประสานให้ ปปท. ตรวจสอบพฤติกรรม!!

ตั้งแต่เริ่มเขียน “คอลัมน์ริ้วผ้าเหลือง” ผมมีปณิธานอันแน่วแน่ว่า...

“ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นสื่อกลางอันดีระหว่างสถาบันสงฆ์และพุทธศาสนิกชนในสังคมไทย ในขณะเดียวกันในฐานะชาวพุทธ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องร่วมกันปกป้องพระพุทธศาสนา ปกป้องศาสนสมบัติและรวมทั้งพระภิกษุสุปฎิปันโนมิให้บุคคลใด บุคคลหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จาก “พระพุทธศาสนา” หรือแม้กระทั้งจาก “วัด” ซึ่งบุคคลนั่นไม่ว่าจะเป็น “พระภิกษุหรือฆราวาส” ล้วนจะต้องถูกตรวจสอบแบบถึงลูกถึงคน มิให้มีที่ยืนในเขตแดนแห่งนาบุญอีกต่อไป...”

การเขียนบทความผ่านมาแล้ว 2-3 เดือน มีพระและประชาชนส่งจดหมายผ่านอีเมล์ riwpaalueng@gmail.com บ้างพอสมควร หรือบางทีเพื่อนๆ ที่รู้จักกัน ก็เล่าขบวนการหากินแปลกๆ ในวงการคณะสงฆ์ให้ฟัง บางรายก็เสนอแนวทางปฎิรูปคณะสงฆ์ บางเจ้าก็เล่าพฤติกรรมพระในวัดและเหตุแห่งความเสื่อมปนเปกันไป

บางรายก็ชี้วัดและกลุ่มบุคคลที่เป็นมารศาสนา “หากินกับวัด” ซึ่งส่วนใหญ่ก็จำพวก “กินอิฐกินปูน” จำพวกรับสร้าง “วัตถุมงคล” แล้วถวายให้พระเกจิแจกบางส่วน บางส่วนตัวเองก็ไปทำการตลาด หากดังขึ้นมาก็ “ปล่อยบูชา” ในราคาแพงๆ หรือบางคนให้ข้อมูลมาว่า...มีกลุ่มฆราวาสบางกลุ่มรับ “สัมปทานจัดงานวัด” เช่น งานประจำปี งานปิดทองฝังลูกนิมิต หรืองานในเทศกาลสำคัญๆ วิธีการของคนกลุ่มนี้ คือ ถวายเงินก้อนหนึ่งให้วัด ส่วนเงินรายได้จากการจัดงานไม่ว่าขาดทุนหรือได้กำไรทางผู้รับสัมปทานยอม “รับภาระเสี่ยง” เอง...

จริงไม่จริงเรื่องพวกนี้ ชาวพุทธต้องร่วมกันตรวจสอบนะครับ ไม่อย่างนั้นนานๆ เข้าจะกลายเป็นช่องทางหากินของพวก “เหลือบศาสนา” ส่วนพระคุณเจ้า หากท่านเมตตามากก็จะกลายเป็นการส่งเสริมให้คนไม่ดีหากินกับวงการสงฆ์และสุดท้ายกลับมาทำลายวงการคณะสงฆ์เองโดยไม่รู้ตัว



มีพระคุณเจ้า 2 รูป ส่งจดหมายผ่านอีเมล์มาเพื่อให้ช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตักเตือน “ผู้นำท้องถิ่น” และทั้งช่วยประสานให้ ปปท. ตรวจสอบพฤติกรรม!!

รูปแรก “ครูกิตติธรรมสุนทร” เจ้าอาวาส วัดหน้าพระลาน ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี อายุ 59 พรรษา 45 ตอนนี้ไปรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดภูเขาทอง ซึ่งอยู่บนเกาะสมุยเหมือนกัน ปัญหาวัดแห่งนี้ถูกกลุ่มบุคคลนำโดยผู้นำท้องถิ่น เข้าไปบุกรุกที่ธรณีสงฆ์ มีการขุดดินทราย และตั้งร้านค้า โดยที่วัดไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย และไม่รู้ด้วยว่าในวัดระหว่างท่านกับฆราวาสใครมีอำนาจกว่ากัน

วัดมีเนื้อที่ประมาณ 18 ไร่ มูลค่าที่ดินของวัดแห่งนี้มีมูลค่านับร้อยล้านบาท ปัจจุบันมีสิ่งปลูกสร้างที่ไร้ระเบียบ เป็นแหล่งส่องสุม มีการบุกรุกที่ธรณีสงฆ์ ตอนอยู่วัดหน้าพระลานกว่าจะได้ที่ดินเป็นของวัดก็ลำบากแล้ว ทีนี้หนักเก่า เพราะถูกด่าทอถูกข่มขู่ เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ค่อยบังคับใช้กฎหมายไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ก็ไม่ได้รับความสนใจจากพนักงานสอบสวน

“รู้สึกว่าบ้านเมืองเกาะสมุยแห่งนี้มีความวุ่นวายมากกว่าในอดีตนัก และไม่แน่ใจ ว่าอาตมาจะรักษาพื้นที่วัด หรือธรณีสงฆ์ไว้ได้นานสักเพียงใด อำนาจหน้าที่ของวัดยังอยู่กับพระหรือฆราวาสหรือไม่ อาตมาไม่มั่นใจกับสภาพปัจจุบัน หนึ่งสมองกับหนึ่งจีวรของอาตมาจะรักษาที่ดินวัดให้ลูกหลานคนไทยในอนาคตไว้ได้หรือไม่ก็ต้องตามกันต่อไป”

รูปที่สอง “พระครูกาญจนกิจธำรง” เจ้าอาวาสวัดพุพง ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เป็นเรื่องขัดแย้งการบริหารจัดการการเงินและการบริหารจัดการภายในวัด อันเนื่องมาจากมี “ผู้นำท้องถิ่น” คนหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัด ถึงขนาดล็อกกุญแจโบสถ์ ล็อกกุญแจกุฎิเจ้าอาวาส ในเขตปกครองของท่าน เพราะอ้างกว่ากลัวของหาย ซ้ำ “ผู้นำท้องถิ่น” คนนี้ท่านอ้างว่า...ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้วาจาหยาบคายต่อท่าน



“อาตมาเห็นว่าการบริหารจัดการภายในวัด เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส ส่วนกรรมการควรที่จะเป็นผู้ช่วยท่านเจ้าอาวาส และสุดท้ายมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่มากันผู้นำท้องถิ่นคนนี้บอกว่าไม่เอาเจ้าอาวาส ต้องเปลี่ยนเจ้าอาวาส ...สุดท้ายตอนนี้วัดแห่งนี้ก็ยังไม่มีเจ้าอาวาส ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา”

ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 35 ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลาง เป็นทรัพย์สิน ซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี และมาตรา 34 วรรคสอง ห้ามมิให้บุคคลใด ยกอายุความขึ้นต่อสู่กับวัดหรือกรมการศาสนา แล้วแต่กรณี ในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง และที่ธรณีสงฆ์ ห้ามโอนกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาด เว้นตรากฎหมายเป็นพระราชบัญญัติเวนคืน

หลังจากรับหนังสือร้องเรียนของพระคุณเจ้าแล้ว ผมหดหู่มิใช่น้อย สงสาร “พระพุทธเจ้า” สงสารพระพุทธศาสนา ทำไมช่วงนี้พุทธศาสนาเจอมรสุมกระหน่ำเยอะหรือเกิน แต่อย่างไรเสีย กระผมได้ส่งหนังสือร้องเรียนให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะหากเป็นจริงดังที่พระคุณเจ้าเล่ามา ฆราวาสกลุ่มนี้ “ล้วนใช้อำนาจโดยมิชอบ” ลองดูสิว่า นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล ของ คสช. ยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ไหม?

หากศักดิ์สิทธิจริง...ไม่นานความสุขของ “พระคุณเจ้า” ก็จะกลับคืนมา!!



คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลืองโดย “เปรียญ10” : riwpaalueng@gmail.com
ที่มา : http://www.dailynews.co.th/article/518900
10227  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘โป๊ป’ นิมนต์พระไทย แปลคัมภีร์รัชกาลที่ 7 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 10:26:22 am




‘โป๊ป’ นิมนต์พระไทย แปลคัมภีร์รัชกาลที่ 7

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ส่งคณะผู้แทนมาไทย แจ้งค้นพบคัมภีร์อักษรขอมโบราณที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ทรงถวายองค์สมเด็จพระสันตะปาปาปีอุสที่ 11 เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป พร้อมมีพระประสงค์นิมนต์ให้คณะสงฆ์วัดโพธิ์ถอดข้อความจากคัมภีร์ฯ เพื่อนำไปแปลอีก 7 ภาษา จากนั้นจะจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่งนครรัฐวาติกันประเทศอิตาลี ถวายพระสันตะปาปาทุกพระองค์ ด้านผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯระบุเบื้องต้นพบเป็นบทสวดอภิธรรม 7 คัมภีร์ กับบทสวดพระมาลัย คาดการถอดข้อความเสร็จในสิ้นปีนี้

ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มองซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์ รองเลขาธิการสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้เดินทางเข้าพบพระเทพวีราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ เพื่อแจ้งความประสงค์ในสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก องค์ที่ 266 หรือโป๊ปองค์ปัจจุบัน ว่า สำนักวาติกันได้ค้นพบคัมภีร์อักษรขอมโบราณของประเทศไทย และจะขอนิมนต์คณะสงฆ์ไทยจากวัดพระเชตุพนฯปริวรรตหรือถอดอักษรคัมภีร์อักษรขอมโบราณที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7)และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้ทรงถวายเมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป พร้อมกับเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสันตะปาปาปีอุสที่ 11 เมื่อวันพุธที่ 21 มี.ค. ปี ค.ศ.1934 (ตรงกับปี พ.ศ.2477)

จากนั้นพระเทพวีราภรณ์เปิดเผยว่า มองซินญอร์วิษณุ พร้อมด้วยคณะผู้ติดตาม ซึ่งเป็นผู้แทนจากสำนักวาติกัน ได้เข้าพบเพื่อแจ้งว่า สำนักวาติกันได้ค้นพบคัมภีร์อักษรขอมโบราณบันทึกในสมุดข่อยจากประเทศไทย ซึ่งสำนักวาติกันตื่นเต้นมาก เพราะถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่า โดยโป๊ปพระองค์ที่ 266 มีพระประสงค์จะขอนิมนต์ให้คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนฯแปลข้อความในคัมภีร์อักษรขอมโบราณเมื่อแปลเสร็จ สำนักวาติกันจะนำข้อความที่แปลได้ไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศอีก 7 ภาษา เพื่อจะเปิดแสดงคัมภีร์โบราณถวายแด่พระสันตะปาปาในทุกๆพระองค์ที่ผ่านมา ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนครรัฐวาติกันประเทศอิตาลี


 :96: :96: :96: :96:

เจ้าอาวาสวัดโพธิ์กล่าวต่อว่า คัมภีร์อักษรขอมโบราณ เป็นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่มีการบันทึกเป็นอักษรขอมโบราณ ซึ่งเป็นของถวายแด่พระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 สันนิษฐานว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้ถวายเมื่อครั้งเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสันตะปาปาปีอุสที่ 11 เมื่อวันพุธที่ 21 มี.ค. ปี ค.ศ.1934 เวลา 11.30 น. ตามบันทึกของสำนักวาติกัน ส่วนสาเหตุที่มานิมนต์พระสงฆ์จากวัดพระเชตุพนฯเพราะสำนักวาติกันได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากบันทึกว่า การเสด็จเยือนของพระมหากษัตริย์และพระประมุขจากนานาอารยประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ทราบว่า

เมื่อปี พ.ศ.2515 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 (ปุ่น ปุณฺณสิริ) แห่งวัดพระเชตุพนฯ สมัยดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระวันรัต ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 อย่างเป็นทางการ ณ นครรัฐวาติกัน เพื่อการเสวนาสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนาและคริสตจักร ดังนั้น สำนักวาติกันจึงได้มอบหมายให้มองซินญอร์วิษณุเป็นตัวแทนนิมนต์คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนฯปริวรรตคัมภีร์อักษรขอมโบราณเล่มนี้ และหลังจากที่ได้หารือร่วมกันแล้ว วัดพระเชตุพนฯจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดำเนินการปริวรรตหรือถอดข้อความจากคัมภีร์เล่มนี้โดยเร่งด่วน โดยมอบให้พระสุธีธรรมานุวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ เป็นหัวหน้าคณะ


 st12 st12 st12 st12

ด้านมองซินญอร์วิษณุ กล่าวว่า ในนามคณะผู้แทนวาติกัน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนฯให้ความเมตตาเป็นอย่างมากที่จะจัดหาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญอักษรขอมถอดข้อความในคัมภีร์โบราณ การได้ทำงานร่วมกันครั้งนี้ถือเป็นการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างคริสตจักรโดยองค์สมเด็จพระสันตะปาปาและพระพุทธศาสนา

ส่วนพระสุธีธรรมานุวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ หัวหน้าคณะปริวรรตคัมภีร์ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงสุดที่ได้รับการติดต่อจากสำนักวาติกันให้ถอดอักษรจากคัมภีร์สมุดข่อย ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษรขอมโบราณ ซึ่งสมัยก่อนพระเณรต้องอ่านขอมได้ จึงอ่านเทศน์ได้ เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่าเนื้อหาประกอบด้วยบทสวดอภิธรรม 7 คัมภีร์ กับบทสวดพระมาลัย การถอดข้อความจะใช้เวลาไม่เกินสิ้นปีนี้จะแล้วเสร็จ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/699989
10228  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'สำนักวาติกัน' พบคัมภีร์อักษรขอมโบราณของไทย สมัยร.7 เสด็จประพาสยุโรป เมื่อ: สิงหาคม 24, 2016, 10:20:57 am




'สำนักวาติกัน' พบคัมภีร์อักษรขอมโบราณของไทย สมัยร.7 เสด็จประพาสยุโรป

ฮือฮา 'สำนักวาติกัน' ค้นพบคัมภีร์อักษรขอมโบราณของประเทศไทย ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายองค์สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป 'พระสันตะปาปาฟรานซิส' เผยเป็นสมบัติล้ำค่า นิมนต์คณะสงฆ์วัดโพธิ์ ถอดข้อความจากคัมภีร์สมุดข่อยก่อนนำไปแปลอีก 7 ภาษา จากนั้นจะจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่งนครรัฐวาติกัน ประเทศอิตาลี ถวายพระสันตะปาปาทุกพระองค์

เมื่อวันที่ 23 ส.ค.59 ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ มงซินญอร์วิษณุ ธัญญอนันต์ รองเลขาธิการสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้เดินทางเข้าพบพระเทพวีราภรณ์เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ เพื่อแจ้งความประสงค์ในสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระประมุขแห่งคริสตจักร องค์ที่ 266 หรือ โป๊ปพระองค์ที่ 266 คนปัจจุบันว่า สำนักวาติกันได้ค้นพบคัมภีร์อักษรขอมโบราณของประเทศไทยและจะขอนิมนต์คณะสงฆ์ไทยจากวัดพระเชตุพนฯ ปริวรรตหรือถอดอักษรคัมภีร์อักษรขอมโบราณ ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้ทรงถวายเมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรปพร้อมกับเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 เมื่อวันพุธที่ 21 มี.ค. ค.ศ.1934 


 :25: :25: :25: :25:

พระเทพวีราภรณ์ กล่าวว่า มงซินญอร์วิษณุ พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามซึ่งเป็นผู้แทนจากสำนักวาติกัน ได้เข้าพบเพื่อแจ้งว่าสำนักวาติกันได้ค้นพบคัมภีร์อักษรขอมโบราณบันทึกในสมุดข่อยจากประเทศไทย ซึ่งสำนักวาติกันตื่นเต้นมาก เพราะถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่า โดยโป๊ปพระองค์ที่ 266 ได้มีพระประสงค์จะขอนิมนต์ให้คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ แปลข้อความในคัมภีร์อักษรขอมโบราณเมื่อแปลเสร็จสำนักวาติกันจะนำข้อความที่แปลได้ไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศอีก 7 ภาษา เพื่อจะเปิดแสดงคัมภีร์โบราณถวายแด่พระสันตะปาปาในทุกๆ พระองค์ที่ผ่านมา ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนครรัฐวาติกัน ประเทศอิตาลี

พระเทพวีราภรณ์ กล่าวต่อว่า คัมภีร์อักษรขอมโบราณ เป็นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ที่มีการบันทึกเป็นอักษรขอมโบราณ ซึ่งเป็นของถวายแด่พระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 สันนิษฐานว่า เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ได้ถวายเมื่อครั้งเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 เมื่อวันพุธที่ 21 มี.ค. ค.ศ.1934 เวลา 11.30 น.ตามบันทึกของสำนักวาติกัน

 st12 st12 st12 st12

ส่วนสาเหตุที่มานิมนต์พระสงฆ์จากวัดพระเชตุพนฯ เพราะสำนักวาติกัน ได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากบันทึกว่าการเสด็จเยือนของพระมหากษัตริย์และพระประมุขจากนานาอารยประเทศในช่วงที่ผ่านมาทำให้ทราบว่า เมื่อปี 2515 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 (ปุ่น ปุณฺณสิริ) แห่งวัดพระเชตุพนฯ สมัยดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระวันรัต ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาปอล ที่ 6 อย่างเป็นทางการ ณ นครรัฐวาติกัน เพื่อการเสวนาสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนาและคริสตจักร ดังนั้น สำนักวาติกัน จึงได้มอบหมายให้มงซินญอร์วิษณุ เป็นตัวแทนนิมนต์คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ ปริวรรตคัมภีร์อักษรขอมโบราณเล่มนี้ และหลังจากที่ได้หารือร่วมกันแล้ว วัดพระเชตุพนฯ จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อดำเนินการปริวรรตหรือถอดข้อความจากคัมภีร์เล่มนี้โดยเร่งด่วนโดยมอบให้พระสุธีธรรมานุวัตร ผช.เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ เป็นหัวหน้าคณะ

ด้านมงซินญอร์วิษณุ กล่าวว่า ในนามคณะผู้แทนวาติกัน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ที่คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ ได้ให้ความเมตตาเป็นอย่างมาก ที่จะจัดหาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญอักษรขอมถอดข้อความในคัมภีร์โบราณ การได้ทำงานร่วมกันครั้งนี้ ถือเป็นการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างคริสตจักรโดยองค์สมเด็จพระสันตะปาปาและพระพุทธศาสนา


 st11 st11 st11 st11

ส่วนพระสุธีธรรมานุวัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ หัวหน้าคณะปริวรรตคัมภีร์ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงสุด ที่ได้รับการติดต่อจากสำนักวาติกันให้ถอดอักษรจากคัมภีร์สมุดข่อย ซึ่งมีการบันทึกด้วยอักษรขอมโบราณ ซึ่งสมัยก่อนพระเณรต้องอ่านขอมได้จึงอ่านเทศน์ได้ เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่าเนื้อหาประกอบด้วย บทสวดอภิธรรม 7 คัมภีร์ กับบทสวดพระมาลัย การถอดข้อความจะใช้เวลาไม่เกินสิ้นปีนี้จะแล้วเสร็จ



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/699483
10229  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาพพระอาทิตย์ทรงกลด ที่วัดอัมพวัน สุพรรณบุรี เมื่อ: สิงหาคม 23, 2016, 08:48:55 pm




รวมรูปภาพพระอาทิตย์ทรงกลด

ปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดเมื่อช่วงสายของวันนี้ (23 ส.ค. 59) ถ่ายจากวัดอัมพวัน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี






ภาพ ฐานิส สุดโต NationPhoto
ขอบคุณที่มา http://www.komchadluek.net/photo-gallery/163
10230  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พศ.เตรียมรายงานมหาเถรฯ ม.44 คุ้มครองศาสนา เมื่อ: สิงหาคม 23, 2016, 08:43:18 pm




พศ.เตรียมรายงานมหาเถรฯ ม.44 คุ้มครองศาสนา

รอง ผอ.พศ.เผย มอบคณะทำงานศึกษารายละเอียดคำสั่ง คสช. มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆในประเทศไทย เร่งสรุปมาตรการที่ต้องทำ เตรียมรายงาน มส.รับทราบ ก่อนรายงานนายกรัฐมนตรี ขณะที่เจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์ฯ ตั้งข้อสังเกตออก ม.44 มาคุ้มครองหรือควบคุม

ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 49/2559 เรื่องมาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆในประเทศไทย โดยมอบหมายให้พศ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดมาตรการและกลไกในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ของศาสนิกชนของทุกศาสนา เพื่อประโยชน์ของการปฏิรูปประเทศ และให้รายงานความคืบหน้าการทำงานทุก 3 เดือนต่อนายกรัฐมนตรีนั้น วันนี้( 23 ส.ค.) นายชยพล พงษ์สีดา รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)  กล่าวว่า ในส่วนของพศ.ได้รับทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว ซึ่งพศ.ได้เตรียมพร้อมข้อมูลและหารือกับคณะทำงานของพศ. โดยมีสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม(สถ.)เป็นส่วนงานหลัก เพื่อดูรายละเอียดของคำสั่งว่า สั่งการให้พศ.ทำอะไรบ้าง รวมทั้งสรุปความเห็นของคณะทำงานไว้ในการนำเสนอต่อนายพนม ศรศิลป์ ผอ.พศ.ว่าจะมีความเห็นเช่นไร เนื่องจากผอ.พศ.ยังติดราชการในต่างประเทศ ก่อนที่จะหารือต่อมหาเถรสมาคม(มส.) และนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลพศ. จากนั้นจะสรุปเป็นมาตรการเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป


 :96: :96: :96: :96:

ด้านพระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามคำสั่งดังกล่าวถ้ามองดูเพียงผิวเผินดูเป็นเรื่องที่ดีที่ฝ่ายรัฐจะเข้ามาช่วยให้กิจการภายในระหว่างศาสนาทุกศาสนามีความสัมพันธ์ในทางที่ดีขึ้น ขณะที่หนึ่งปีที่ผ่านมาคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนา พยายามผลักดันปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนามาโดยตลอดนั้น บัดนี้แนวทางทั้งหมดได้ถูกผลักดันให้เขียนลงไปในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับประชามติเมื่อ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฎในมาตราที่ 67 และมาปรากฏชัด คือ การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีตามมาตราที่ 44 นี้ จึงต้องขอถามว่าจะช่วยอุปถัมภ์คุ้มครองหรือควบคุมกิจการภายในของศาสนา โดยเฉพาะคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เช่น การให้องค์กรพุทธ โดยเฉพาะศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ต้องรายงานกิจกรรม ประวัติและความเป็นมา เพื่อส่งให้หน่วยงานของรัฐโดยด่วน  เป็นต้น

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวอีกว่า สำหรับในศาสนาอื่นนั้นคงไม่มีผลกระทบใดๆ เพราะรัฐไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามภายในกิจการของเขาได้เหมือนในพระพุทธศาสนา แต่ที่แน่นอนที่สุด คือ มีเหตุอะไรที่เร่งด่วนด้านศาสนา จึงต้องสั่งการให้รายงานผลในทุก 3 เดือน และขอถามต่อไปอีกว่าขณะนี้ภาครัฐสงสัยหรือหวาดระแวงอะไรเป็นพิเศษในกลุ่มพี่น้องชาวพุทธหรือไม่ เพราะถึงขนาดสั่งการให้องค์กรของชาวพุทธต้องรายงานอะไรต่อมิอะไรให้หน่วยงานรัฐทราบโดยด่วน แล้วเหตุการณ์ที่พระสงฆ์ได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องในหลายๆ เรื่องพร้อมกันทั่วประเทศนั้นจะตอบคำถามเหล่านี้ว่าอย่างไร เช่น ขอให้ออกกฎหมายนมัสการสังเวชนียสถาน กฎหมายธนาคารพระพุทธศาสนา กฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา เป็นต้น หรือแม้แต่การเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะเพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ กลับไม่เห็นมีท่าทีที่จะอ่อนน้อม ห่วงใย เอาใจใส่จากภาครัฐเหมือนในกรณีที่เร่งออกคำสั่งพิเศษนี้ นอกจากท่าทีที่แข็งกร้าว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไร้ความเคารพ ดังนั้น เราชาวพุทธต้องอดทน เข้มแข็งและสามัคคีกันไว้เพื่ออนาคตของพระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินไทย


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/518931
10231  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: วิธีคิดแบบ "วิ ภั ช ช ว า ท" เมื่อ: สิงหาคม 23, 2016, 10:58:13 am
 


ลักษณะแห่งพระพุทธศาสนา ลักษณะที่ 5 : เป็นวิภัชชวาท

ลักษณะที่ 5 พระพุทธศาสนาเป็น “วิภัชชวาท” ดังที่ได้เป็นคำสำคัญในการสังคายนาครั้งที่ 3 ซึ่งพระโมคคัลลีบุตรติสเถระเป็นประธาน ครั้งนั้นพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้อุปถัมภ์การสังคายนา เรียกว่าเอกอัครศาสนูปถัมภก
     พระเจ้าอโศกมหาราชได้ตรัสถามพระโมคคัลลีบุตรติสเถระว่า
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีวาทะอย่างไร สอนอย่างไร.?
     พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระทูลตอบว่า
     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นวิภัชชวาที

    วิภัชชวาทเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของคำสอนในพระพุทธศาสนา
    ที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นวิภัชชวาที หรือเป็นวิภัชชวาทะนั้น วิภัชชวาท คือ อะไร
    คือ การแสดงความจริงหรือการสอนโดยแยกแยะจำแนก หมายความว่า ไม่มองความจริงเพียงด้านเดียว แต่มองความจริงแบบแยกแยะจำแนกครบทุกแง่ด้าน ไม่ดิ่งไปอย่างใดอย่างหนึ่ง หลักการแสดงความจริงด้วยวิธีจำแนกแยกแยะอย่างนั้น เรียกว่า วิภัชชวาท

เป็นความโน้มเอียงของมนุษย์ ที่จะมองอะไรข้างเดียวด้านเดียว พอเจออะไรอย่างหนึ่ง เพียงได้เห็นด้านเดียว ก็เหมาสรุปว่านั่นคือสิ่งนั้น ความจริงคืออย่างนั้น แต่ความจริงที่แท้ของสิ่งทั้งหลายมีหลายด้าน จึงต้องมองให้ครบทุกแง่ทุกด้าน

 ans1 ans1 ans1 ans1

พระพุทธศาสนา มีลักษณะจำแนกแยกแยะ ดังที่เรียกว่า วิภัชชวาท คำว่า “วิภัชช” แปลว่า จำแนกแยกแยะ

การจำแนกแยกแยะที่สำคัญ คือในด้านความจริง เช่น เมื่อพูดถึงชีวิตคน ท่านจำแนกออกไปเป็นขันธ์ 5 โดยแยกออกเป็นรูปธรรมและนามธรรมก่อน แล้วแยกนามธรรมออกไปอีกเป็น 4 ขันธ์ แม้แต่ 4 ขันธ์นั้น แต่ละขันธ์ยังแยกแยะจำแนกย่อยออกไปอีก คือแยกแยะความจริงให้เห็นทุกแง่ทุกด้าน ไม่ตีคลุมไปอย่างเดียว ต่างจากคนจำนวนมากที่มีลักษณะตีขลุม และจับเอาแง่เดียวไปเหมาคลุมเป็นทั้งหมด ทำให้มีการผูกขาดความจริงโดยง่าย

แม้แต่ในการตอบคำถามบางประเภท ก็ต้องมีลักษณะของการจำแนกแยกแยะ ไม่ตอบตีขลุมลงไปอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น มีผู้มาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า คฤหัสถ์ คือ ชาวบ้านนั้น เป็นผู้ที่จะยังข้อปฏิบัติที่เป็นกุศลให้สำเร็จ แต่บรรพชิตไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ใช่หรือไม่

นี่ถ้าตอบแบบลงความเห็นข้างเดียว ที่เรียกว่า เอกังสวาท ก็ต้องตอบดิ่งไปข้างหนึ่ง โดยต้องปฏิเสธ หรือว่ารับ ถ้ายอมรับก็บอกว่าใช่แล้ว คฤหัสถ์เท่านั้นทำสำเร็จ บรรพชิตไม่สำเร็จ ถ้าปฏิเสธก็บอกว่าไม่ใช่ คฤหัสถ์ไม่สำเร็จ บรรพชิตจึงจะสำเร็จ

แต่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสแบบวิภัชชวาท ทรงชี้แจงว่าพระองค์ไม่ตรัสเอียงไปข้างเดียวอย่างนั้น พระองค์ตรัสว่า คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ถ้ามีสัมมาปฏิบัติแล้ว ก็ทำกุศลธรรมให้สำเร็จทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตก็ตาม เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม ถ้ามีมิจฉาปฏิบัติ คือปฏิบัติผิดแล้ว ก็ทำกุศลธรรมให้สำเร็จไม่ได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า วิภัชชวาท





อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่นมีคนมากราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า วาจาที่ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น พระองค์ตรัสไหม ถ้าเป็นเรา เราจะตอบว่าอย่างไร ถ้าเขามาถามว่า คำพูดที่คนอื่นไม่ชอบใจ ไม่เป็นที่รักของเขา ท่านพูดไหม ท่านจะตอบว่าอย่างไร ถ้าตอบว่าพูดหรือตอบว่าไม่พูด ก็เรียกว่าตอบดิ่งไปข้างเดียว

แต่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสอย่างนั้น พระองค์ตรัสว่า ในข้อนี้เราไม่ตอบดิ่งไปข้างเดียว แล้วพระองค์ก็ตรัสแยกแยะให้ฟังว่า
    วาจาใดไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ถูกใจผู้ฟัง พระองค์ไม่ตรัส
    วาจาใดเป็นคำจริง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ถูกใจผู้ฟัง พระองค์ไม่ตรัส
    วาจาใดเป็นคำจริง เป็นประโยชน์ ไม่ถูกใจผู้ฟัง พระองค์เลือกกาลที่จะตรัส
    วาจาใดไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ ถูกใจผู้ฟัง พระองค์ไม่ตรัส
    วาจาใดจริง ไม่เป็นประโยชน์ ถูกใจผู้ฟัง พระองค์ก็ไม่ตรัส
    วาจาใดเป็นคำจริง เป็นประโยชน์ ถูกใจผู้ฟัง พระองค์เลือกกาลที่จะตรัส


เขาถามเพียงคำถามเดียว พระองค์ตรัสแยก 6 อย่าง ขอให้พิจารณาดู อย่างนี้เรียกว่าวิภัชชวาท นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงลักษณะท่าทีของการสนองตอบหรือปฏิกิริยาต่อสิ่งทั้งหลายแบบชาวพุทธ ซึ่งมีการมองอย่างวิเคราะห์และแยกแยะจำแนกแจกแจง เพื่อให้เห็นความจริงครบทุกแง่ด้าน

 :25: :25: :25: :25:

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในการแยกประเภทคฤหัสถ์ พระพุทธเจ้าตรัสกามโภคี 10 ประเภท แสดงหลักการวินิจฉัยคฤหัสถ์โดยการแสวงหาทรัพย์ โดยการใช้จ่ายทรัพย์ และโดยท่าทีของจิตใจต่อทรัพย์เป็นต้น แล้วแยกประเภทคฤหัสถ์ไปตามหลักการเหล่านี้

หลักการต่างๆ ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้มาก เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่า ธรรมในพระพุทธศาสนามีลักษณะพิเศษที่มักจะมีเป็นข้อๆ โดยรวมเป็นชุดๆ ดังที่จัดเป็นหมวดธรรมต่างๆ เช่น หมวดสอง หมวดสาม หมวดสี่ หมวดห้า หมวดหก ฯลฯ

      พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักจำแนกธรรม จึงได้รับการเฉลิมพระนามอย่างหนึ่งว่า ภควา
      ภควานั้น แปลได้สองอย่าง คือ แปลว่าผู้มีโชคก็ได้ แปลว่าผู้จำแนกแจกธรรมก็ได้
      นี้เป็นลักษณะที่เรียกว่าวิภัชชวาท คือเป็นนักวิเคราะห์จำแนกแจกธรรม หรือแยกแยะให้เห็นครบแง่ด้านของความจริง



ที่มา: ลักษณะแห่งพระพุทธศาสนา — พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
http://vivattana.blogspot.com/2014/02/b25320501-0030.html
10232  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วิธีคิดแบบ "วิ ภั ช ช ว า ท" เมื่อ: สิงหาคม 23, 2016, 10:42:56 am





วิธีคิดแบบ "วิภัชชวาท"

วิธีคิดแบบวิภัชชวาท เป็นวิธีคิดวิเคราะห์ในลักษณ์แง่ต่างๆ กัน ดังนี้

1. จำแนกโดยแง่ด้านความจริง แบ่งเป็น ๒ วิธี คือ
    1.1 จำแนกไปทีละด้าน ทีละประเด็น
    1.2 จำแนกทีละด้านจนครบทุกด้าน ทุกประเด็น
2. จำแนกโดยส่วนประกอบ วิเคราะห์แยกแยะออกไปเป็นองค์ ประกอบย่อยๆ เช่น สัตว์บุคคลออกเป็นนามและรูป เป็นขันธ์ ๕
3. จำแนกโดยลำดับขณะ แยกแยะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ตาม ลำดับความสืบทอดแห่งเหตุปัจจัย ซอยออกไปเป็นขณะๆ ตามลำดับเวลา ลำดับขั้นตอน ลำดับเหตุ ลำดับผล แต่ละระยะ เหตุการณ์
4. จำแนกโดยความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย สืบสาวหาสาเหตุปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์สืบทอดกันมาของสิ่ง หรือปรากฏการณ์
5. จำแนกโดยเงื่อนไข มองหรือแสดงความจริงใจโดยพิจารณา เงื่อนไขประกอบด้วย จึงจะสรุป


 st12 st12 st12 st12

6. จำแนกโดยทางเลือก หรือความเป็นไปได้อย่างอื่น เช่น ผู้ที่คิด ควรตระหนักว่า
    6.1 หนทาง วิธี การ หรือความเป็นไปได้ อาจมีได้หลายอย่าง
    6.2 ในบรรดาหนทาง วิธีการ หรือความเป็นไปได้หลายอย่างนั้น บางอย่างอาจดีกว่า ได้ผลกว่า หรือตรงแท้กว่าอย่างอื่น
    6.3 ในบรรดาทางเลือกหลายอย่างนั้น บางอย่าง หรืออย่างหนึ่งอาจเหมาะสม หรือได้ผลดีสำหรับตน หรือสำหรับกรณีนั้นมากกว่าอย่างอื่น
    6.4 ทางเลือก หรือความเป็นไปได้ อาจมีเพียงอย่างเดียว หรือหลายอย่าง แต่เป็นอย่างอื่น คือ ไม่ใช่ทางเลือกหรือความเป็นไปได้อย่างที่ตนกำลังปฏิบัติ หรือกำลังเข้าใจอยู่ในขณะนั้น
7. วิภัชชวาทในการตอบปัญหา ซึ่งมี 4 แบบ คือ
    7.1 ปัญหาที่ควรตอบอย่างเด็ดขาด
    7.2 ปัญหาที่ควรแยกแยะหรือจำแนกตอบ
    7.3 ปัญหาที่ควรตอบโดยย้อนถาม
    7.4 ปัญหาที่ควรยับยั้งไม่ควรตอบ


ที่มา : http://mediacenter.mcu.ac.th
ขอบพระคุณข้อมูลจาก : trueplookpanya
10233  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ใช้ ม.44 ขีดเส้น 3เดือน สั่งราชการ หาวิธีแก้ปัญหาคนใช้ศาสนาบิดเบือนสร้างขัดแย้ง เมื่อ: สิงหาคม 23, 2016, 09:58:06 am


ด่วน! ใช้ ม.44 ขีดเส้น 3เดือน สั่งราชการ หาวิธีแก้ปัญหาคนใช้ศาสนาบิดเบือนสร้างขัดแย้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ส.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 49/2559 เรื่อง มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย ระบุว่า โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกือบทุกฉบับที่มีมาในอดีตและฉบับที่ได้รับความเห็นชอบ ในการออกเสียงประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งจะประกาศใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศในเร็วๆ นี้ ต่างบัญญัติรับรองว่า

บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนาและมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงได้กําหนดแนวนโยบาย แห่งรัฐว่า รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ซึ่งในประวัติการปกครองของประเทศไทยพระมหากษัตริย์และทางราชการได้อุปถัมภ์บํารุง และอารักขาคุ้มครองศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์เสมอมา ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือ การปฏิบัติพิธีกรรม ตลอดจนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมคําสอนของทุกศาสนา

การละเมิดศาสนวัตถุ ศาสนสถานอันเป็นการเหยียดหยามศาสนาของหมู่ชนใด การก่อความวุ่นวายในเวลามีพิธีกรรม และการแต่งกาย หรือใช้เครื่องหมายของศาสนบุคคล โดยมิชอบย่อมเป็นความผิดตามกฎหมาย แม้แต่การละเมิดจารีตประเพณี ทางศาสนาใด ๆ ก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่สังคมตําหนิติเตียน หากผู้กระทําเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมมีความผิดทางวินัย

นอกจากนั้น ยังเป็นที่ยอมรับว่า ศาสนาทั้งหลายต่างก็มีอิทธิพลเกื้อกูลวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของประชาชนชาวไทย แม้แต่บรรพชนไทยในอดีตที่มีส่วนในการรักษาเอกราชอธิปไตย และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง ก็ประกอบด้วยศาสนิกชนที่แม้นับถือศาสนาต่างกันแต่ก็ไม่มีปัญหาความแตกแยกเพราะมีจิตใจยึดมั่นในความเป็นชาติไทยร่วมกัน

 :96: :96: :96: :96:

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประเทศชาติกําลังต้องการความรู้รักสามัคคี ความปรองดอง และการปฏิรูปประเทศเพื่อไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ความสงบเรียบร้อย และความร่มเย็นเป็นสุข ส่วนศาสนาก็มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมคุณงามความดีและคุณธรรมที่ก่อให้เกิดความสงบร่มเย็น แต่กลับมีบางฝ่ายนําความแตกต่างอันเป็นปกติของสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมาขยายความ หรือบิดเบือนให้เป็นความขัดแย้งในหมู่ศาสนิกชนทั้งที่ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเพราะเกี่ยวกับ ความเชื่อความศรัทธา ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชนในชาติ จึงสมควรกําหนดมาตรการเพื่อประโยชน์ ในการปฏิรูป ความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ และการป้องกันการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลาย ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงแห่งชาติ

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้

 ans1 ans1 ans1 ans1

ข้อ 1 การอุปถัมภ์และคุ้มครองทุกศาสนาอันเป็นที่ยอมรับของทางราชการและประชาชนชาวไทย และการส่งเสริมศาสนิกชนทั้งหลายให้มีบทบาทในการพัฒนาประเทศ การสร้างความสามัคคีปรองดอง และการปฏิรูปประเทศโดยไม่ขัดต่อกฎหมายและหลักธรรมคําสอนทางศาสนาเป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานของรัฐ

ข้อ 2 ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ นับถือพระพุทธศาสนาตามแบบเถรวาทมาช้านานดังที่วัดวาอาราม พระภิกษุ การประกอบพิธีของทางราชการ บทสวดมนต์ การศึกษา การเผยแผ่ ตลอดจนการจัดการปกครองคณะสงฆ์ล้วนเป็นไปตามแบบเถรวาท มานานหลายศตวรรษ จึงให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา และการเผยแผ่หลักธรรม คําสอนที่ถูกต้องตามแนวทางดังกล่าวเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา สอดคล้องกับความเลื่อมใสศรัทธา ของผู้ที่นับถือศาสนาตามแบบนั้น ๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ในส่วนของการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามแบบมหายานไม่ว่าจะเป็นจีนนิกาย อนัมนิกายหรืออื่นใด ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์คุ้มครองจากรัฐตลอดมา ให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมคําสอนที่ถูกต้องตามแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา สอดคล้องกับความเล่อมใสศรัทธาของผู้ที่นับถือศาสนาตามแบบนั้น ๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย

ข้อ 3 ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาอื่น ได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและรัฐได้ให้การอุปถัมภ์คุ้มครองตลอดมา ให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา และการเผยแผ่หลักธรรมคําสอนที่ถูกต้องตามแนวทางในแต่ละศาสนาดังกล่าวเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา สอดคล้องกับความเลื่อมใสศรัทธาของผู้ที่นับถือศาสนานั้น ๆ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย

ข้อ 4 ให้สํานักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สถาบันการศึกษา ด้านศาสนา องค์กรปกครองคณะสงฆ์ องค์กรทางศาสนาต่างๆ ที่ทางราชการรับรอง ร่วมกันกําหนดมาตรการ และกลไกในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ของศาสนิกชนของทุกศาสนา การนําหลักธรรม คําสอนทางศาสนามาปรับใช้ในชีวิตประจําวันในด้านต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปประเทศ เช่น การนําปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ การมีธรรมาภิบาล ความซื่อสัตย์สุจริต ความสามัคคีปรองดอง การสร้างสังคมสันติสุข และกําหนดมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่นดังกล่าวในข้อ 3 ตลอดจนการสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ชาวต่างชาติเกี่ยวกับข้อพึงปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติในเรื่องทางศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีภายในสามเดือน

ข้อ 5 ให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมการศาสนารายงานความก้าวหน้า ในการดําเนินการตามคําสั่งนี้ พร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนแนวทางแก้ไขให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกสามเดือน

ข้อ 6 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป


       สั่ง ณ วันที่ 22 สิงหาคม พุทธศักราช 2559
       พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
       หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ



ขอบคุณข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news/259178
10234  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมศิลป์หมดสิทธิ์ช่วย วัดเชียงใหม่สร้างตึกสูงค้ำหอไตรเก่า เหตุไม่ได้ขึ้นทะเบียน เมื่อ: สิงหาคม 23, 2016, 09:52:39 am


กรมศิลป์หมดสิทธิ์ช่วย วัดเชียงใหม่สร้างตึกสูงค้ำหอไตรเก่า เหตุไม่ได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน

ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - พบหอไตรไม้เกือบอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี ที่วัดเชียงใหม่สร้างตึกสูงค้ำ ไม่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นโบราณสถาน ทางกรมศิลปากรจึงไม่มีสิทธิ์เข้าไปดูแล และเป็นสิทธิ์ขาดของทางวัดที่สามารถดำเนินการได้ แม้จะขัดความรู้สึกทั้งความเชื่อและความศรัทธาของผู้คน แนะหากต้องการให้เป็นไปตามความต้องการของชุมชนคงต้องใช้กระแสสังคมช่วย
       
       จากกรณีที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก “เครือข่ายชุมชนเมืองรักษ์เชียงใหม่” ได้ทำการแชร์โพสต์ของผู้ที่ใช้เฟซบุ๊ก Saowakhon Sriboonruang ที่โพสต์ข้อความว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร วันที่วัดสร้างอาคารใหม่ ติดกับหอไตรเก่าแก่งดงาม สูงตระหง่านค้ำหอไตร สูงกว่าเจดีย์ สูงกว่าวิหาร ฤๅความเชื่อความยึดถือศรัทธา สิ้นมนต์ไปจากแผ่นดินล้านนาเสียแล้ว” พร้อมกับภาพถ่ายหอไตรที่สร้างจากไม้เกือบทั้งหลัง อายุเก่าแก่ในวัดแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งพื้นที่ติดกันนั้นวัดกำลังทำการก่อสร้างอาคารที่มีการขึ้นโครงสร้างเสาและเทพื้นแล้ว คาดว่าน่าจะมีความสูงไม่ต่ำกว่า 3 ชั้น และความสูงเบื้องต้นเท่ากันหรือสูงกว่าหอไตรแล้ว ผู้ที่เห็นโพสต์ดังกล่าวต่างแสดงความเห็นว่าการสร้างอาคารสูงดังกล่าวค้ำหอไตรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่วัดเป็นผู้สร้างเองนั้น
       
       แหล่งข่าวจากกรมศิลปากรระบุว่า เบื้องต้นพบว่าหอไตรที่สร้างจากไม้เกือบทั้งหลัง แม้จะมีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี แต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกรมศิลปากร ดังนั้น การจะดำเนินการใดๆ จึงเป็นสิทธิ์ขาดของทางวัดซึ่งก็คือเจ้าอาวาสวัดที่สามารถทำได้ รวมทั้งกรณีที่มีการสร้างอาคารทั้งสูงกว่าหอไตรดังกล่าวในลักษณะที่แทบจะอยู่ติดกันนี้ด้วย โดยความเห็นส่วนตัวแล้วมองว่าไม่เหมาะสม และน่าจะเป็นเรื่องที่กระทบต่อความรู้สึกของผู้คนที่มีความเชื่อและศรัทธาต่อพุทธศาสนาด้วย


        :41: :41: :41: :41:

       อย่างไรก็ตาม หากเป็นความประสงค์ของทางวัดและดำเนินการโดยถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมายก็ย่อมสามารถดำเนินการได้ ยกเว้นเสียแต่ว่าทางชุมชนโดยรอบจะมีการรวมพลังกันแสดงความต้องการ ตลอดจนสร้างกระแสสังคมที่จะเรียกร้องให้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง กรณีลักษณะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น เพราะที่ผ่านพบว่ามีหลายครั้งแล้วที่วัดบางแห่งดำเนินการใดๆ กับสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่อยู่ในพื้นที่วัด โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และความเชื่อความศรัทธาของคนในอดีตเลย จนทำให้การส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นสูญสลายไปอย่างน่าเสียดาย
       
       สำหรับวัดดังกล่าวได้ระบุว่าคือ วัดอู่ทรายคำ ตำบลช้างม่อย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ตามประวัติระบุว่าสร้างขึ้นก่อน พ.ศ. 2384 ได้รับพระราชทานวิสูงคามสีมา เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2464 โดยเจดีย์ของวัดสร้างก่อน พ.ศ. 2384 และหอไตรของวัดสร้าง พ.ศ. 2452 ขณะที่การสำรวจบริเวณวัดพบว่ากำลังมีการก่อสร้างอาคารคอนกรีตสูงอย่างน้อย 3 ชั้น อยู่แทบจะประชิดติดกับหอไตร มีระยะห่างกันเพียงประมาณ 2 เมตร โดยที่ความสูงของอาคารเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ มีความเป็นไปได้ที่อาจจะสูงกว่าปลายยอดของหอไตร ซึ่งอาคารที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้น ตั้งอยู่ตรงการระหว่างอาคารสูง 3 ชั้นที่มีอยู่เดิมกับหอไตร



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000084078
10235  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมการศาสนา ชู 11 ร.ร.ต้นแบบ ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม เมื่อ: สิงหาคม 23, 2016, 09:48:57 am

กรมการศาสนา ชู 11 ร.ร.ต้นแบบส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม

กรมการศาสนา เดินหน้าส่งเสริมกิจกรรมในสถานศึกษา ชู 11 สถานศึกษาต้นแบบคุณธรรม จริยธรรมเป็นพี่เลี้ยงให้สถานศึกษาทั่วประเทศ จัดกิจกรรมพัฒนาเยาวชนไทย

นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา  เปิดเผยว่า  กรมการศาสนาได้จัดประชุมเสวนาส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสถานศึกษา ภายใต้นโยบายประชารัฐ ขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 สถานศึกษาคุณธรรม สร้างชาติมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อเปิดเวทีแห่งคุณธรรม ให้รับรู้และแลกเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสถานศึกษานั้น พบว่า สถานศึกษาที่เข้าร่วมประชุมกว่า 80 แห่งให้ความสนใจรูปแบบการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของสถานศึกษาที่ดำเนินงานอย่างเข้มข้นอย่างมาก เนื่องจากเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนในด้านพฤติกรรมของนักเรียนที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่งดงาม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ไม่ทะเลาะวิวาท สามัคคีเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ มีชีวิตที่พอเพียง อนุรักษ์ความเป็นไทย รวมถึงชุมชนและสังคมรอบรั้วสถานศึกษาก็มีบรรยากาศแห่งคุณธรรม ดังนั้น กรมการศาสนาจะขยายผลต่อยอดไปยังสถานศึกษาอื่นๆที่ยังไม่ได้ดำเนินงานให้นำรูปแบบที่หลากหลายไปปรับใช้กับสถานศึกษาของตนเองอย่างเหมาะสมต่อไป

"นอกจากสถานศึกษาหลายแห่งสนใจจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมในสถานศึกษาแล้ว ขณะเดียวกัน ก็มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สนใจจะสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมในสถานศึกษาเช่นกัน เพราะฉะนั้น กรมการศาสนา จะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง  ประสานงานระหว่างสถานศึกษาและหน่วยงานที่ต้องการสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมในสถานศึกษา  รวมถึงจัดหาสถานศึกษาต้นแบบมาเป็นพี้เลี้ยงให้ด้วย"



อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวต่อว่า  ทั้งนี้ กรมการศาสนาได้ประกาศให้สถานศึกษา 11 แห่งเป็นต้นแบบการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในสถานศึกษา พร้อมขอความร่วมมือให้คอยช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้กับสถานศึกษาอื่นๆทั่วประเทศที่ต้องการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนเป็นเด็กไทยพันธุ์ใหม่ ที่ดี เก่ง มีคุณธรรมจริยธรรม เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และมีคุณค่าต่อประเทศชาติ ดังนี้
1.รร.บางมูลนากภูมิวิทยาคม(โรงเรียนคุณธรรมต้นแบบ ศูนย์คุณธรรม)
2. โรงเรียนวัดนาคปรก (โรงเรียนคุณธรรมการออมร่วมกับธนาคารออมสิน)
3. โรงเรียนวัดสุทัศน์(โรงเรียนวิถีพุทธปลูกปัญญาด้วยมิติศาสนาเสริมสร้างสุขภาวะนักเรียนต้นแบบ ศน.)
4. รร.วัดวังตะกู (โรงเรียนวิถีพุทธ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ.)
5. รร.วัดโพธิ์ทอง(โรงเรียนคุณธรรมจริยธรรมในมูลนิธิยุวสถิรคุณ) และ
6.รร.บ้านหนองบอน (นัยนานนท์อนุสรณ์)(โรงเรียนประชารัฐ)
7. มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร(โครงการอบรมคุณธรรมจริยธรรมสำหรับนักศึกษา)
8.รร.วัดพระปฐมเจดีย์ (โครงการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ศน.)
9. วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (โครงการคลินิกคุณธรรมในสถานศึกษา ศน.)
10.วิทยาลัยเทคนิคโพธาราม(โครงการวิทยาลัยคุณธรรม) และ
11.วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม(สยามเทค) โครงการสุภาพชนสยามเทค

ทั้งนี้ สถานศึกษาที่สนใจสามารถประสานขอความช่วยเหลือได้ที่สถานศึกษาดังกล่าวโดยตรง หรือที่สำนักพัฒนาคุณธรรม กรมการศาสนา โทร.0-2422-8811-2


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/news/edu-health/239171
10236  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาว'พุทธ ฮินดู มุสลิม'อินเดีย ใส่บาตรทำบุญกับพระมากขึ้น เมื่อ: สิงหาคม 22, 2016, 11:13:58 am



ชาว'พุทธ ฮินดู มุสลิม'อินเดีย ใส่บาตรทำบุญกับพระมากขึ้น

ชาว'พุทธ ฮินดู มุสลิม'อินเดียใส่บาตรทำบุญกับพระมากขึ้น ส่งผลหมู่บ้านอยู่กันอย่างมีความสุข สันติสุข  รักใคร่ สามัคคีกันดี

           21ส.ค.2559 เฟซบุ๊ก"วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์" ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กที่เผยแผ่กิจกรรมต่างๆของพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาล ที่จำพรรษาที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย อันเป็นสังเวชนียสถานที่ดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่พระครูนรนาถเจติภิรักษ์ (สมพงศ์) เจ้าอาวาสวัดป่ากุสินาราบรมธาตุสถิต ผู้ปฎิบัติหน้าที่ดูแลวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์  ได้เผยแพร่การออกบิณฑบาตพระสงฆ์ที่จำพรรษากาลจำวน 20 รูป โปรดชาวอินเดีย หมู่บ้านอนิรุทวา เมืองกุสินารา



           โดยมีชาวอินเดีย ที่เป็นชาวพุทธ ชาวฮินดู และมุสลิมทำบุญตักบาตรเป็นจำนวนมากโดยไม่แบ่งวรรณะ ศาสนา เมื่อวันพระขึ้น 8  ค่ำ เดือน 9 ที่ผ่านมา ทำให้หมู่บ้านนี้อยู่กันได้อย่างมีความสุข สันติสุข มีความรัก ความสามัคคีกัน โดยมีบ้าน วัด โรงเรียน เป็นจุดศูนย์ร่วม ตามพุทธดำรัสของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย” แปลว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก


            เฟซบุ๊กดังกล่าวได้ระบุว่า วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของคณะสงฆ์ไทย คณะพุทธบริษัทชาวไทย และชาวพุทธในประเทศอินเดีย พร้อมใจกันสร้างขึ้น ณ เมืองกุสินารา อันเป็นสังเวชนียสถานที่ดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาคืนสู่มาตุภูมิ น้อมถวายเป็นพุทธบูชา ภายใต้การดูแลของพระเดชพระคุณ พระเทพโพธิวิเทศ (วีระยุทฺโธ) หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล ที่มุ่งเน้นให้พระสงฆ์ที่จำพรรษา ได้สืบสาน เผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แดนพุทธภูมิตามรอยพระอริยสงฆ์


           ทั้งนี้เฟซบุ๊ก"วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์" ได้เผยแพร่กิจกรรมอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา พร้อมกันนี้เกี่ยวกับการบริการสังคมอย่างเช่น เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา  วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ได้มีนายชาตา บุญสูง คหบดีจากจังหวัดพังงา ทำบุญอายุวัฒนมงคล 6 รอบ เป็นเจ้าภาพมอบครื่องอุปโภค บริโภค ผ้าห่ม แป้งสาลี แก่นักเรียน และชาวบ้านรอโรงเรียนเมืองกุสินารา จำนวน 150  ชุด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล  นอกจากนี้ยังได้เจ้าภาพสร้างห้องน้ำ (สถานที่ปลดทุกข์เห็นสุขทันตา) จำนวน 2  ห้อง 40,000  รูปปี แก่โรงเรียนในเมืองกุสินารา ตามนโยบายของราชกาลอินเดียที่มุ่งเน้นให้สถานที่ สถานศึกษา สถานที่ราชกาล บ้านเรือนมีห้องน้ำใช้ ประกอบกับวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์เห็นว่าโรงเรียนแห่งนี้มีความลำบากในเรื่องของทุนทรัพย์ในการสร้างห้องน้ำเพื่อให้ครู นักเรียน ได้ใช้ห้องน้ำตามมาตรฐานถูกสุขภาวะที่ดี มีความสะอาด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่แม่ของแผ่นดิน ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์


           จากบทบาทของพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาลดังกล่าวทำให้ เฟซบุ๊ก"วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์" ได้รายงานว่า  เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นวันที่คนอินเดียทั้งชาติร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข ในวันประกาศอิสระภาพ จากการที่ประเทศนี้เคยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และสามารถต่อสู้เรียกร้องอิสรภาพได้เพราะพลังแห่งความรักชาติและความสามัคคี ปึกแผ่นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติบรรพบุรุษนักสู้ของเขาต้องสละชีวีตเพื่อชาติไปเป็นจำนวนมาก


           วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ รัฐอุตตรประเทศ พระสงฆ์ไทยได้รับเกียรติเป็นพิเศษเป็นประจำทุกปี ได้นิมนต์ไปเป็นประธานในพิธีชักธงชาติอินเดียและกล่าวสุนทรพจน์ เพื่อร่วมฉลองเอกราชของประเทศอินเดีย เพราะเป็นความสำเร็จในการไปปฏิบัติหน้าที่ของพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย จนเกิดการยอมรับของประชาชนในระดับท้องถิ่น ต้องยอมรับว่า เลือดความรักชาติที่ถูกปลูกฝังให้กับยุวภารตชนนั้นเข้มยิ่งนัก อินเดียถ้าไม่ยอมรับใครแล้วยากยิ่งที่จะได้รับเกียรติให้ไปจับธงชาติอันเป็นสัญญลักษณ์แห่งเอกราชอันยิ่งใหญ่ของเขา ในปีนี้ทางวัดได้มีสถาบันการศึกษาต่างๆ มานิมนต์พระธรรมทูตไทยไปร่วมงานวันชาติถึง 28 แห่ง รวมนักเรียนเกือบหนึ่งหมื่นคน พระสงฆ์ไทยทุกรูปทั้งหมดที่ไปจำพรรษา จึงได้ออกปฏิบัติหน้าที่กัน บางคนก็ต้องไปถึงสี่ถึงห้าแห่งเพื่อสนองศรัทธาของประชาชนชาวอินเดียทั้งที่โรงเรียนนั้นอยู่ในชนบลเดินทางเข้าไปถึงโรงเรียนลำบากก็ตาม นับเป็นการปฏิบัติหน้าที่สานสัมพันธ์ทั้งสองประเทศได้อย่างน่าอนุโมทนายินดียิ่ง

           นายเยาวหราล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศอินเดีย ได้กล่าวปราศรัยในวันประกาศอิสรภาพของอินเดีย (India's Independence Day) ณ บริเวณเชิงเนินป้อมแดง Red Fort ในกรุงเดลี ในวันที่ 15  สิงหาคม ปี 1947  (พ.ศ.2490) ว่า "ในขณะที่เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน ในยามที่โลกหลับใหล อินเดียจะตื่นขึ้นมามีชีวิตและเสรีภาพ เมื่อโอกาสสำคัญซึ่งยากเป็นไปได้ในประวัติศาสตร์นี้ได้มาถึง เมื่อนั้นพวกเราจะก้าวออกจากโลกเก่าเข้าสู่โลกใหม่ ...อินเดียจะได้ค้นพบตัวตนของตนเองอีกครั้ง "



ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/news/amulets/239030
10237  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ย้ำพจนานุกรมไม่ทำลายอัตลักษณ์คนอีสาน เมื่อ: สิงหาคม 22, 2016, 11:07:50 am


ย้ำพจนานุกรมไม่ทำลายอัตลักษณ์คนอีสาน

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเปิดเวทีรับฟังนักวิชาการและปราชญ์ท้องถิ่นอีสานร่วมขับเคลื่อนการจัดทำพจนานุกรมภาษาไทยถิ่นอีสาน มุ่งฟื้นฟูตัวอักษรธรรมอีสานและไทยน้อยที่เป็นตัวอักษรดั้งเดิมของคนอีสาน “อดิศร” ออกตัวหนุนเต็มที่ ชี้เป็นการปลดปล่อยเอกราชทางภาษาให้คนอีสาน

วันนี้(21ส.ค.) รศ.ดร.ชลธิชา บำรุงรักษ์ ประธานคณะกรรมการดำเนินงานจัดทำพจนานุกรมภาษาไทยถิ่น ภาคอีสาน สำนักงานราชบัณฑิตยสภา(รภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่จังหวัดขอนแก่น สำนักงานราชบัณฑิตยสภาได้จัดให้มีเวทีเสวนาวิชาการเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการและปราชญ์ท้องถิ่นภาคอีสานกว่า 50 คน ในการจัดทำพจนานุกรมภาษาไทยถิ่นภาคอีสาน ซึ่งจากการเสวนาทำให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและความกระตือรือร้นของคนอีสาน โดยมีหลายประเด็นที่คณะกรรมการจะต้องนำไปพิจารณา เช่น ข้อเสนอที่ไม่อยากให้มีการใช้วรรณยุกต์เพราะรูปศัพท์ดั้งเดิมของภาษาไทยถิ่นอีสานไม่มีการใช้วรรณยุกต์มาก่อน หรือประเด็นที่อยากให้พจนานุกรมเก็บรวบรวมคำศัพท์ตามเสียงที่คนอีสานพูดในปัจจุบัน

รศ.ดร.ชลธิชา กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามยังมีเสียงที่สะท้อนถึงความห่วงใยว่ารูปแบบของพจนานุกรมจะเป็นการชี้นำหรือกำหนดในสิ่งที่ไม่ใช่วิถีชีวิตของคนอีสาน ซึ่งอาจกระทบต่ออัตลักษณ์ของคนอีสานหรือไม่ ซึ่งตนยืนยันว่าคณะกรรมการก็คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้มาตลอด ดังนั้นในการดำเนินงานจึงมีการออกมารับฟังความคิดเห็นจากคนในท้องถิ่น และไม่ใช่รับฟังเพียงครั้งเดียว แต่จะออกมารับฟังอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะเก็บรวบรวมคำศัพท์ให้ได้มากที่สุดทั้งคำศัพท์ในอดีต คำศัพท์ที่ใช้ในปัจจุบัน รวมถึงคำศัพท์ที่เกิดใหม่ด้วย และที่สำคัญจะมีการนำตัวอักษรธรรมอีสานและตัวอักษรไทยน้อยซึ่งเป็นตัวอักษรของภาคอีสานมาเขียนไว้ในพจนานุกรมด้วย ดังนั้นพจนานุกรมจึงไม่ได้ทำลายอัตลักษณ์ของคนอีสาน แต่เป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของคนอีสานมากกว่า คาดว่าภายใน5ปี จะสามารถจัดพิมพ์ออกมาเผยแพร่ได้ เมื่อถึงเวลานั้นเชื่อว่าจะยิ่งทำให้เข้าใจแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการมากยิ่งขึ้น



ดร.อดิศร เพียงเกษ อดีตรมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ประเทศไทยน่าจะโครงการแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ตนรู้สึกดีใจที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภาริเริ่มทำเรื่องนี้ ถือว่าเป็นการปลดปล่อยเอกราชทางภาษาให้แก่คนอีสาน ซึ่งตนและนักวิชาการรวมถึงปราชญ์ท้องถิ่นพร้อมร่วมเป็นเครือข่ายทำงานกับสำนักงานราฃบัณฑิตยสภาเพื่อให้พจนานุกรมเล่มนี้ออกมาสมบูรณ์ที่สุดและสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของคนอีสานได้อย่างแท้จริง

ดร.อดิศร กล่าวต่อไปว่า ภาษาอีสานมีความงดงาม และมีอักษรที่ใช้เขียนของตัวเองด้วย แต่ได้ถูกละเลยไปเป็นร้อยปี จึงเป็นเรื่องดีที่จะฟื้นฟูตัวอักษรธรรมอีสานและไทยน้อยกลับมาอีก เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักตัวอักษรเหล่านี้กันแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

“ ผมสนับสนุนโครงการนี้เต็มที่ แต่ในการดำเนินงานก็ยังมีบางประเด็นที่ยังเห็นแตกต่าง ซึ่งต้องช่วยกันพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ผมเข้าใจเหตุผลที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภาอยากเขียนคำศัพท์ตามรูปแบบดั้งเดิมที่ปรากฎในจารึกหรือเอกสารโบราณ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาและสืบค้นที่มาของคำ แต่ผมอยากให้เขียนตามเสียงที่คนอีสานพูดในปัจจุบันมากกว่า เช่น คำว่าเซิ้ง หากเขียนแบบดั้งเดิมก็ต้องใช้ตัว ช ช้าง ก็จะกลายเป็น เชิ้ง แต่คนอีสานออกเสียง ช ช้าง เป็นซ โซ่ หรือคำว่า แข้วชาว ที่หมายถึงฟันแท้ คนอีสานก็ออกเสียงว่า แข่วซ้าว ดังนั้นหากเขียนในพจนานุกรมว่า แข้วชาว เด็กรุ่นใหม่ก็คงหาคำนี้ไม่เจอ ผมจึงอยากให้เขียนตามเสียงมากกว่า แต่ก็สามารถเพิ่มเติมข้อมูลได้ว่า คนอีสานอ่าน ช เป็นเสียง ซอ ก็น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าทั้งสำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้ด้านภาษาศาสตร์ รวมทั้งผู้สนใจทั่วไปด้วย” ดร.อดิศร กล่าว


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/517902
10238  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฮือฮารับองค์พญานาคริมโขง แลนด์มาร์คใหม่นครพนม เมื่อ: สิงหาคม 22, 2016, 11:03:23 am





ฮือฮารับองค์พญานาคริมโขง แลนด์มาร์คใหม่นครพนม

ผวจ.นครพนม นำพี่น้องประชาชน ทำพิธีบวงสรวงรับองค์ศรีสัตตนาคราช องค์พญานาคขนาดใหญ่ เตรียมนำขึ้นประดิษฐานไว้บนแท่นริมฝั่งแม่น้ำโขง แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของ จ.นครพนม จัดงานสมโภชยิ่งใหญ่ 9 วัน 9 คืน

เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 21.00 น. วานนี้ (21ส.ค.) ที่บริเวณลานองค์พญาศรีสัตตนาคราช หรือ สถานที่ก่อสร้างแลนด์มาร์ค ริมฝั่งแม่น้ำโขง หน้าสำนักงานป่าไม้นครพนม ถนนสุนทรวิจิตร ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม นายสมชาย วิทย์ดำรงค์ ผวจ.นครพนม นำข้าราชการ พี่น้องประชาชน ร่วมพิธีบวงสรวงต้อนรับองค์พญานาคขนาดใหญ่ หรือ องค์ศรีสัตตนาคราช ที่อัญเชิญมาจากสถานที่ก่อสร้าง จ.นครปฐม เพื่อนำมาเตรียมพร้อมนำขึ้นประดิษฐานไว้บนแท่นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของ จ.นครพนม  โดยมีพลังศรัทธาของ ประชาชน นักท่องเที่ยว กว่า 1 พันคน เดินทางมาชื่นชมและร่วมพิธีบวงสรวงรับองค์พญานาคกันอย่างคึกคัก


           
สำหรับองค์พญานาคขนาดใหญ่ หรือ องค์พญาศรีสัตตนาคราช  ถือเป็นสัญลักษณ์ของ จ.นครพนม ที่ก่อสร้างขึ้นตามความเชื่อ ความศรัทธา เนื่องจากมีภูมิประเทศที่ตั้งติดกับริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่มีประวัติความเป็นมาในเรื่องของความเชื่อ ความเคารพศรัทธาในเรื่องของพญานาค  ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาแต่อดีต  จนกระทั่งเมื่อปี 2554 – 2555 ในช่วงของ นายอนุกูล  ตังคณานุกูลชัย อดีต ผวจ.นครพนม ปัจจุบันเป็น ผวจ. ฉะเชิงเทรา ได้ผลักดันจัดสรรงบประมาณ ดำเนินการออกแบบสร้างขึ้นเป็นแลนด์มาร์คเพื่อประดิษฐานไว้ริมฝั่งแม่น้ำโขง  หน้าสำนักงานป่าไม้ ถนนสุนทรวิจิตร  ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม

ใช้เวลาการออกแบบก่อสร้างมานานเกือบ  5 ปี   ส่วนตัวพญานาคก่อสร้างขึ้นด้วยโลหะทองเหลือง  เป็นองค์พญานาคขดตัวชูหัว จำนวน 7 เศียร  มีความสูงตั้งแต่ฐานลำตัว ประมาณ 10 เมตร ฐานกว้างประมาณ 6 เมตร  โดยจะประดิษฐานหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ พ่นน้ำลงสู่แม่น้ำโขง สวยงาม โดดเด่น และจะมีการจัดงานสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ 9 วัน 9 คืน ตั้งแต่วันที่ 9–18 ก.ย.นี้


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/regional/518242
10239  พระไตรปิฏก / พระธรรมตามพระไตรปิฏก / กรรมฐานในอริยมรรค ไม่ใช่หินทับหญ้า เมื่อ: สิงหาคม 22, 2016, 10:46:37 am




กรรมฐานในอริยมรรค ไม่ใช่หินทับหญ้า

เมื่อกล่าวถึงเรื่องกรรมฐาน มักเข้าใจกันไปว่าต้องหากรรมฐานตามวัดวาอาราม สำนักสงฆ์ หรือศูนย์ปฏิบัติธรรมต่างๆ ที่มีการฝึกสอนอบรมการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา และได้ยินจนคุ้นหูจากบุคคลผู้ผ่านการปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั้งหลาย ที่ได้เข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรมมาแล้วว่า ได้องค์ภาวนามาแล้วบ้าง ได้ไปผ่านกรรมฐานมาแล้วบ้าง ได้ฐานที่ตั้งมาแล้วบ้าง ฯลฯ

เป็นความเข้าใจกันไปตามมติของนัก "ปริยัติ" ที่ยังยึดติดอยู่กับตำรา(ปิฎก) โดยขาดการพิจารณา ตริตรอง ตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียงอย่างรอบคอบ กับพระพุทธพจน์ในพระธรรมวินัย ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสวางหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนาไว้ดีแล้ว

ส่วนบุคคลที่ยังยึดติดอยู่กับตำรับตำรา(ปิฎก) มักกล่าวว่า การปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนานั้น เป็นเพียงสมถะกรรมฐาน เป็นกรรมฐานแบบหินทับหญ้า ติดสุข เมื่อยกหินที่ทับหญ้าออกเมื่อไร หญ้าก็งอกกลับขึ้นมาได้ใหม่อีก สมถะกรรมฐานไม่อาจตัดกิเลสได้ เป็นพวกที่เอาแต่ติดสุขอยู่กับความสงบในฌาน ไม่สามารถเจริญปัญญาเพื่อตัดกิเลสให้เกิดขึ้นมาได้เลย

ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด ไม่รู้จักแยกแยะว่ากรรมฐานที่มีอยู่ระหว่างศาสนาพุทธ กับศาสนาพราหมณ์นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร แต่กลับเหมารวมเอาเข้าไว้ด้วยกัน เพราะมีตำรารุ่นหลังๆ ได้รจนาเอาไว้ เป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงในหลักการที่ถูกต้องทางพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่มีพระพุทธพจน์ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรับรองไว้แล้วอย่างชัดเจน

 :96: :96: :96: :96:

คำว่า "กรรมฐาน" ประกอบไปด้วยคำว่า "กรรม" รวมกับคำว่า "ฐาน" ซึ่งแปลได้ความว่า "ฐานที่ตั้งแห่งการงานทางจิต" ทำไมถึงต้องมีฐานที่ตั้งแห่งการงานทางจิตด้วยล่ะ? เพราะกาย วาจา ใจของเรานั้น ล้วนมีการกระทำหรือเคลื่อนไหวส่งออกไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่ผัสสะอยู่ ภายใต้การบังคับบัญชาของจิต เป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของจิตที่ยังมีราคะ โทสะ โมหะครอบงำ การแสดงออกจึงเป็นไปตามอำนาจของกิเลส กรรม วิบาก

กรรมฐานเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีขึ้น เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ล้วนมี อวิชชา ตัณหา อุปาทานเป็นตัวชักนำนั่นเอง ไม่ว่าเรื่องติดข้องในโลก หรือเรื่องที่พ้นโลก ต้องมีกรรมฐานเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น

เรื่องติดข้องในโลก เป็นเรื่องของจิตที่มีอาการซัดส่าย สับสน วุ่นวาย สุข ทุกข์ ฯลฯ ไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด เป็นฐานที่ตั้งให้จิตมีการงานด้วยอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาเป็นตน เป็นของๆ ตน จนเกิด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอาการของจิต เป็นวัฏฏะวน ทำให้เวียนตาย-เวียนเกิดไม่มีวันจบสิ้น เพื่อแสวงหาชาติภพใหม่ตามอำนาจแห่งอวิชชา ตัณหา อุปาทาน

เรื่องที่พ้นโลก เป็นเรื่องของจิตที่มีกำลังสติ สงบตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เข้ามากระทบ ทำให้ชาติภพลดน้อยลง ด้วยการฝึกฝนอบรมจิตให้รู้จักปล่อยวางตัณหา อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นลงไปได้ตามลำดับชั้นจนถึงที่สุดทุกข์ เมื่อละสังขารไปแล้ว จิตย่อมไม่เวียนว่ายตายเกิดกลับเข้ามาในโลกที่สับสนวุ่นวายอีกแล้ว เรียกว่า "จิตบริสุทธิ์หลุดพ้น"

จึงปรากฏมีพวกนักบวช ที่เกิดความเบื่อหน่ายต่อทางโลก ด้วยประสงค์จะออกจากกิเลสกาม และอกุศลธรรม กรรม วิบากทั้งหลาย ได้ออกบวช ถือบวช ปลีกวิเวก ทรมานตนด้วยวิธีการต่างๆ ฯลฯ เพื่อค้นหาอุบายธรรม การปฏิบัติในรูปแบบแตกต่างกันไป นำมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อค้นหาวิธีขจัดปัดเป่ากิเลสกาม และอกุศลธรรมทั้งหลายให้หมดสิ้นไปจากจิต

 :25: :25: :25: :25:

มีเจ้าลัทธิเกิดขึ้นมากมายในสมัยนั้น ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงอุบัติขึ้นมาในโลก มีด้วยกันหลายลัทธิ หลายความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป เจ้าลัทธิทั้งหลายล้วนมีการอวดอ้างสรรพคุณมากมายหลายวิธี ว่าลัทธิของตนนั้นสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ กิเลสกาม และอกุศลธรรม ประกาศตนว่า เป็นลัทธิที่สามารถบรรลุคุณธรรมชั้นสูงได้

ส่วนพระพุทธองค์ได้ทรงผ่านการค้นหาศึกษาจากเจ้าลัทธิเหล่านั้นมาแล้ว และรู้ด้วยตนเองว่า ความเชื่อทั้งหมดของเจ้าลัทธิทั้งหลายนั้น ยังไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง เป็นเพียงการปฏิบัติธรรมกรรมฐานแบบหินทับหญ้าเอาไว้ ทำให้กิเลสเบาบางลงได้จริง แต่ไม่สามารถตัดกิเลสให้ขาดจนหมดสิ้นไปจากจิตของตนได้เลย

ดังมีพระพุทธพจน์ในจูฬทุกขักขันธสูตรว่า
"เราก็เว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม
ไม่บรรลุปีติและสุข หรือกุศลธรรมอื่นที่สงบกว่านั้น
(เป็นปิติ สุขที่เกิดขึ้นจากอามีสสัญญา)
เราจึงปฏิญาณว่าเป็นผู้ไม่เวียนมาในกาม มิได้ก่อน"


เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ (ตรัสว่ารู้) แล้ว ทรงตรัสว่า
"เราก็เว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม
บรรลุปีติและสุข และกุศลอื่นที่สงบกว่านั้น
(สัมมาสมาธิ เป็นปิติ สุขที่เกิดแต่วิเวก ปราศจากอามีส)
เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณได้ว่า เป็นผู้ไม่เวียนมาในกาม"


 st12 st12 st12 st12

เมื่อพิจารณาจากพระพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จะเห็นว่ารูปฌาน อรูปฌานที่เป็นกรรมฐานอันมีมาก่อนแล้วในเวลานั้น เป็นเพียงกรรมฐานที่ทำให้จิตสงบตั้งมั่นแต่ยังยึดติดอยู่กับอารมณ์ฌานนั้นๆ เป็นสุขที่ละเอียดอย่างเหนียวแน่น

แต่บุคคลผู้ปฏิบัติรูปฌาน-อรูปฌานยังมีความหวั่นไหวเกรงกลัวไปว่า อารมณ์ฌานที่ตนเองได้เข้าถึงอยู่นั้น ยังต้องจืดจางลงไปตามกาลเวลา เนื่องจากเป็นฌานที่เกิดแต่สัญญาอารมณ์ เป็นฌานที่เอารูป-อรูปที่ปราศกาม เป็นการเอาอารมณ์ภายนอกกาย มาเป็นองค์กรรมฐาน ยังต้องอาศัย "สัญญา" คอยจดจำอารมณ์ฌานอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถสิ้นสุดหยุดลงด้วยปัญญา เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ได้เลย

ฌานดังกล่าวจึงเป็นแบบ "หินทับหญ้า" ถ้าอารมณ์ฌานที่เกิดจากสัญญาจืดจางลงไปเมื่อไหร่ ความฟุ้งซ่าน สับสน วุ่นวาย ฯลฯ อาจหวลคืนกลับมาได้ เปรียบเสมือนหินทับหญ้าไว้ เอาหินออกเมื่อไหร่ หญ้ากลับมางอกงามได้อีกครั้ง เพราะ "สัญญา" ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน (อันเป็นที่พึ่งที่อาศัย) แต่เป็นหนึ่งในขันธ์ ๕ (รูป-นาม) เท่านั้น





เมื่อมีบุคคลใดกล่าวถึงการ "ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา" มักถูกทึกทักเอาว่า นั่นเป็น "สมถะ" เป็นเรื่องของพวกพราหมณ์ ฤาษี ชีไพร เป็นพวกติดสุขในฌาน หรือสมาธิ "หัวตอ" ซึมๆ แข็งๆ ทื่อๆ ไม่เกิดปัญญา ต้องทำ "วิปัสสนา" เท่านั้น ทั้งๆ ที่ใน "อริยมรรคมีองค์ ๘" ไม่ได้ระบุถึง "สัมมาวิปัสสนา" เลย

ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น แบ่งออกเป็น
หมวดของ "ศีล" ประกอบด้วย สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
หมวดของ "สมาธิ" ประกอบด้วย สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
หมวดของ "ปัญญา" ประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ

เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ในอริยมรรคนั้น มี "วิปัสสนาปัญญา" อยู่ในองค์มรรคแล้ว มรรคจึง "สมังคี" ได้

โดยเฉพาะ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ เป็นการรู้เห็นอย่างวิเศษ คือรู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ทำให้ดำริที่จะออกจากกาม และอกุศลธรรม ต่อเมื่อลงมือปฏิบัติในหมวดแห่งสมาธิ ในองค์อริยมรรค ซึ่งมี "วิปัสสนา" เป็นเบื้องหน้า คือการรู้เห็นอย่างวิเศษในตัวเองอยู่แล้ว

 st12 st12 st12 st12

เมื่อพิจารณาหมวดของสมาธิดู จะเห็นว่า "สัมมาสมาธิ" นั้น เป็นเช่น "มีดถากหญ้า" ไม่ใช่แบบ "หินทับหญ้า" โดยเฉพาะข้อแห่งสัมมาวายามะนั้น ชัดเจนว่า
ไม่ให้หญ้า (คืออกุศลธรรม) ที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
หญ้าที่เกิดอยู่แล้ว (คืออกุศลธรรมที่มีอยู่แล้ว) ให้หมดไป
ด้วยความเพียรเพ่ง คือกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
เพียรเพ่งจนเข้าสู่ระดับฌาน คือกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

ส่วน "มีดถากหญ้า" นั้น จะมีความคมกริบ (ปัญญา)ได้เท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้ลงมือปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา กระทำให้มาก เจริญให้มาก ในหมวด "สมาธิ" แห่งองค์อริยมรรค เพราะความคมกริบของมีดนั้น สามารถตัดเงื่อนต่อของอุปกิเลสได้เด็ดขาดฉับพลันโดยไม่ต้องเสียเวลาใดๆเลย

ดังมีพระพุทธพจน์ที่ได้ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแม่น้ำคงคา
ไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน ฉันใด
ภิกษุเจริญ กระทำให้มากซึ่งฌาน ๔
ย่อมเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ฉันนั้นเหมือนกัน"


เมื่อพิจารณาจากพระพุทธพจน์ จะเห็นได้ว่า การเจริญให้มาก กระทำให้มากซึ่งฌาน ๔ ในสัมมาสมาธิ ย่อมเป็นบุคคลผู้เข้าถึงนิพพานได้ แสดงว่า การปฏิบัติ "สัมมาสมาธิ" จนสามารถเข้า-ออกฌานได้ความคล่องแคล่วชำนิชำนาญเป็น "วสี" ต้องอาศัย "ปัญญา" เท่านั้นจึงกระทำได้

มีพระบาลีซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์รจนาไว้ว่า
"นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน
ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญาจ เสว นิพฺพาน สนฺติเก
ฌานย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีในผู้ที่ไม่มีฌาน
ผู้ที่มีทั้งฌานและปัญญา จึงจะอยู่ใกล้นิพพาน"


 ask1 ask1 ask1 ask1

ทำไมต้องใช้องค์กรรมฐานในมหาสติปัฏฐานสูตร.?

เนื่องจากกรรมฐานในสติปัฏฐาน ๔ นั้น เป็นองค์กรรมฐาน ณ ภายในกาย อาศัยกายสังขารเป็นองค์กรรมฐานภาวนา ทำให้จิตของบุคคลผู้ปฏิบัติเห็นอาการของจิตได้อย่างชัดเจน เห็นไตรลักษณ์ปรากฏออกมาให้พิจารณาในขณะปฏิบัติภาวนาเจริญกรรมฐานอยู่

เช่นเวทนาที่ปรากฏขึ้นในขณะปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนาอยู่นั้น ทำให้จิตได้พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตนคือจิต แต่เวทนาเป็นเรื่องของกายล้วนๆ ส่วนที่กระทบมาถึงจิตได้นั้น เนื่องจากจิตไปยึดมั่น ถือมั่น ถือเอาเวทนาที่ปรากฏขึ้นนั้น มาเป็นตน เป็นของๆ ตนนั่นเอง จึงเกิดอาการทุรนทุรายไปกับเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติอยู่นั้น

ต่อเมื่อสามารถเพียรประคองจิตของตนด้วยปัญญาอันยิ่งที่เกิดจากความสงบ มีสติตั่งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับอาการที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้ ย่อมปรากฏ "ธรรมอันเอก" ผุดขึ้นมาให้พิจารณา จิตเห็นจิตได้อย่างชัดเจน จิตรู้ชัดถึงอาการของจิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปจากจิต เห็นธรรมในธรรมทั้งสองฝั่งอย่างชัดเจน อันมีธรรมฝ่ายเกิดคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และธรรมฝ่ายดับ คือความสิ้นไปของราคะ โทสะ โมหะ แยกเป็นฝ่ายสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว กับ ฝ่ายขัดข้อง สับสน วุ่นวาย ฯลฯ

 :25: :25: :25: :25:

เมื่อบุคลผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานในหมวด "สมาธิ" แห่งองค์อริยมรรค ด้วย "สัมมาวายามะ เพียรประคองจิตให้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ด้วย "สัมมาสติ" คอยระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งของสติอย่างต่อเนื่อง จิตย่อมรวมลงเป็น "สมาธิ" มีสติสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เป็น "อุเปกขา สติ ปาริสุทธิง"

มีพระพุทธพจน์รับรองไว้ดังนี้
"ภูเขาล้วนแล้วด้วยศิลา ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบอันเดียวกัน
แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศตะวันออก...
แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศตะวันตก ....
แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศเหนือ ....
แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศใต้
ก็ยังภูเขานั้นให้หวั่นไหวสะเทือนสะท้านไม่ได้เลย แม้ฉันใด
จิตของภิกษุนั้น อันอารมณ์ไม่ทำให้เจือติดอยู่ได้
เป็นธรรมชาติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ฉันนั้น เหมือนกันแล"


จิตย่อมรู้ชัด "เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ที่นี่สงบหนอ ที่นี่ประณีตหนอ" เป็นการพิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายในบ้าง ตรึกธรรมที่มีมาเฉพาะหน้า พิจารณากายในกายเป็นภายนอกบ้าง จิตของบุคคลผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ย่อมพิจารณารู้ชัดว่า (ปัญญา) ถึงความแตกต่าง ระหว่าง ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ กับ ที่นี่สงบหนอ ที่นี่ประณีตหนอ

เปรียบเหมือน "มีดถากหญ้า" ที่บุคคลผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานคอยลับให้คมอยู่เสมอ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับตัดเงื่อนต่อแห่งอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายที่เข้ามากระทบ ให้ร่อนออกไปในทันที ที่กระทบจิต อารมณ์ไม่สามารถเจือติดที่จิตของบุคคลนั้นได้เลย ย่อมมีจิตหลุดพ้นโดยชอบ เพราะเห็นความเกิดและความดับแห่งอายตนะ สาธุ

    เจริญในธรรมทุกๆ ท่าน
         ธรรมภูต


ธรรมภูต ภูตแห่งธรรม นำพามาซึ่งพระธรรม น้อมนำไปปฏิบัติได้ เพื่อรู้เห็นตามเป็นจริง
ขอบคุณที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nujoy&month=13-04-2016&group=28&gblog=10
10240  พระไตรปิฏก / พระธรรมตามพระไตรปิฏก / "หินทับหญ้า" คำนี้ใช้ปรามาส "สมาธิ" พระพุทธองค์เคยตรัสถึงหรือไม่.? เมื่อ: สิงหาคม 22, 2016, 10:27:50 am



พุทธบริษัทบางเหล่ากล่าวถึงสมาธิด้วยถ้อยคำไม่ให้ความเคารพ ว่าเป็นดั่งหินทับหญ้า พวกชอบสมาธิเป็นคน"ติดสุข" ตัดกิเลสไม่ได้ เรื่องนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นต้นเรื่อง ใครเป็นคนบัญญัติคำว่าหินทับหญ้าออกมา เท่าที่หาข้อมูลได้ ก็ไม่มีใครสามารถระบุที่มาได้

คำว่า"หินทับหญ้า" และคำว่า"ติดสุข" นั้นเท่าที่ค้นดูในพระไตรปิฎกไม่ปรากฏคำเหล่านี้ เป็นที่ทราบกันว่าในองค์ฌานนั้นประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตา จะเห็นว่ามีสุขอยู่ด้วย ที่สำคัญในมรรคมีองค์ ๘ สัมมาสมาธิเป็นมรรคองค์ที่ ๘ ซึ่งหมายถึง ฌาน ๔ จึงเห็นชัดว่าพระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เจริญสมาธิ

ดังนั้นจะเห็นว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ห้ามเจริญสมาธิ ไม่เคยตรัสว่า เจริญสมาธิแล้วจะติดสุข ในพระไตรปิฎกพระพุทะองค์ตรัสตรงๆให้เจริญสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมาธิสูตร ซึ่งปรากฏอยู่หลายสูตร ขอยกมาแสดง ๒ สูตร

 ans1 ans1 ans1 ans1

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สมาธิสูตร
[๑๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง รู้อะไรตามความเป็นจริงรู้
     ตามความเป็นจริงว่า จักษุไม่เที่ยง
     รู้ตามความเป็นจริงว่า รูปทั้งหลายไม่เที่ยง
     รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุวิญญาณไม่เที่ยง
     รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุสัมผัสไม่เที่ยง
     รู้ตามความเป็นจริงว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่เที่ยง ฯลฯ
     รู้ตามความเป็นจริงว่า ใจไม่เที่ยง
     รู้ตามความเป็นจริงว่า ธรรมารมณ์ทั้งหลายไม่เที่ยง
     รู้ตามความเป็นจริงว่ามโนวิญญาณไม่เที่ยง
     รู้ตามความเป็นจริงว่า มโนสัมผัสไม่เที่ยง
     รู้ตามความเป็นจริงว่าสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยไม่เที่ยง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ฯ


 ans1 ans1 ans1 ans1

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค สมาธิสูตร
[๑๖๕๔] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ ภิกษุผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ย่อมรู้อะไรตามความเป็นจริง
    ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ ภิกษุผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.


 ans1 ans1 ans1 ans1

ที่สำคัญอีกอย่าง พระพุทธองค์ตรัสว่า "นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง" ขอยกมาแสดง ๒ สูตร

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ มาคัณฑิยสูตร
[๒๘๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
          ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง
          นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
          บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม ทางมีองค์แปดเป็นทางอันเกษม.


 ans1 ans1 ans1 ans1

พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต คาถาธรรมบท สุขวรรคที่ ๑๕
     (ยกมาแสดงบางส่วน)
     ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมเป็นทุกข์
     พระขีณาสพผู้สงบระงับ ละความชนะความแพ้ได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข
     ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี โทษเสมอด้วยโทสะไม่มี
     ทุกข์เช่นด้วยขันธ์ไม่มี สุขยิ่งกว่าความสงบไม่มี
     ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
     บัณฑิตทราบเนื้อความนี้ตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน เพราะนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
     ลาภทั้งหลายมีความไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง ทรัพย์มีความสันโดษเป็นอย่างยิ่ง
     ญาติทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ฯลฯ


st12 st12 st12 st12

ในเมื่อนิพพานเป็นสุขแบบนี้แล้ว เราควรมุ่งที่จะแสวงหาความสุขจากนิพพานรึเปล่า.?
ขอคุยเท่านี้ครับ

 :25: :25: :25: :25:
หน้า: 1 ... 254 255 [256] 257 258 ... 709