« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2015, 05:33:50 pm »
0
การวางจิตเป็นกลาง หมายถึงการวางจิตให้เป็นอุเบกขา ( วางเฉย )ต่ออารมณ์ ที่มายั่วยุ ในระหว่างที่ทำการภาวนา อารมณ์ ทีเข้ามายั่วยุให้เสียการภาวนา นั้น ก็คือ อารมณ์ที่หน่วงไปใน อดีต อารมณ์ที่หน่วงไปในอนาคต ดังนั้น ภาพที่เกิดขึ้นในจิต แทนคำบริกรรม มันจึงเป็นภาพอดีตบ้าง อนาคตบ้าง สลับวนไปเวียนมา หาต้นชนปลายไม่ได เพราะจิต ไม่วางอุเบกขาต่ออารมณ์ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
การวางอารมณ์ ก็คือ การละความอยากได้ ( การมราคะ ) ในที่นี้หมายถึงตัณหา แต่หมายถึงอารมณ์ที่ยินดีในภาพที่ปรากฏ ในจิต ในขณะเดียวกัน อารมณ์ ที่ยินดีต่อ นิมิตร เฉพาะหน้าในที่นั้นด้วย ก็ให้วางความอยากในผลลง แต่ให้ภาวนาไป ดุจการรัปประทานอาหาร คือเมื่อเรารับประทานอาหาร ก็ไม่ต้องให้คิดว่า มันต้องอิ่ม แต่ให้เราทานไปเรื่อย จนความรู้สึก อิ่มเกิดขึ้นเอง อย่างนั้น นี่เรียกว่า การวางอารมณื ให้เป็นกลาง ไม่ยนดีิ ตกข้างฝ่าย กามราคะ
และ ไม่อยากได้ ก็คือ อารมณืทีเป็นห่วงว่า ทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ ไม่มีทางได้ จนกระทั่งอารมณ์ หน่วงไปใน พยาบาท โมโหโกรธา ว่าภาวนาไม่ได้ บางท่านภาวนาไม่ได้ เลย 1 วัน 7 วัน 15 วัน 30 วัน 365 วัน 2 ปี 3 ปี ก็มี แต่นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อภาวนา ไม่เคยศึกษาลงไปว่า เพราะอะไรที่ทำไม่ได้
การภาวนาไม่ได้ ไม่สำเร็จ นั่นมีมูลเหตุไม่มาก
1. ศีลบกพร่อง ( ศีล 5 ทำไม่ได้ ในเรื่องสมาธิ ) เพราะจิตเป็นสมาธิ ดังนั้น ต้องรักษาศีล 8 ในช่วงที่ภาวนา ด้วย แม้การเป็นพระโสดาบัน นั้นอาศัย ศีล 5 ได้ นี่ต้องเข้าใจว่า คนละส่วน นะ ส่วนที่เป็นอัปปนา นั้นพ้นโลกีย์วิสัยไป 50 เปอร์เซ้นต์ แล้ว คือ นิวรณ์ดับ 5 ในขณะนั้น ถือว่า เป็น ปริสุทธุเบกขา หรือ ฌานุเบกขา แต่ถ้าเป็น พระอริยะตั้งแต่ พระโสดาบันขึ้นไป ก็เป็น ตัตรมัชฌัตตุเบกขา 80 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว
2. คบบุคคลผู้ฟุ้งสร้าน
3. ความเพียรย่อหย่อน ( อ้างไปเรื่อยเปื่อย ) เช่น ยังเช้าอยู่ ยังสายอยู่ ยังมีเวลาอยู่ ทำงานก่อน กินข้าวก่อน พรุ่งนี้ค่อยทำ มะรืนนี้ค่อยทำ เดี๋ยวรอให้พร้อมก่อน ศึกษายังไม่พอ เป็นต้น
5. แรงจูงใจ ที่มีหายไป เพราะ ถูกมารครอบงำ หลายท่านบางครั้งก็ได้สภาวะ พระโยคาวจร กลับมาแล้ว แต่ ปล่อยไปสักพัก จิตก็หล่นกลับไปเป็น ปุถุชน อีก ที่เรียกว่า เบื่อ ๆ อยาก ๆ นั่นแหละ
6. ปลิโพธ มากเกินไป วางไม่ได้ ( รอต่อไปอีกชาติก็แล้วกัน )
เจริญธรรม/ เจริญพร