ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - มหายันต์
หน้า: 1 2 [3]
81  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เมื่อความทุกข์ ลำบากเข้ามาถึง ทุกคนต่างก็ไม่ยอมกัน เพราะ... เมื่อ: กันยายน 15, 2011, 09:25:28 pm
เพื่อนพึ่งพา ยามยาก เป็นเพื่อนแท้ครับ เป็นกัลยาณมิตร และ เป็นกัลยาณธรรม ครับ

คนเราจะเห็นน้ำใจ ซึ่งกันและกัน ก็ตอนที่เดือดร้อนนี้แหละครับ

 เข้าทำนองที่ว่า จะเห็นเลยนะครับ ......

 ดังนั้น การฝึกจิต และทำใจ ยอมรับกับเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ควรสั่งสมและเตรียมตัวไว้ครับ

ผมว่า ภัยพิบัติต่าง ๆ ตอนนี้ กำลังเป็น ปฐมบท ครับ หรือ หนังกำลังเริ่มฉายครับ และจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ดังนั้น ใครว่าง ๆ ตอนนี้ ต้องรีบฝึกฝนกรรมฐาน กันไว้บ้างนะครับ เพราะทุกอย่างนั้น ไม่แน่นอน

 ทีแน่นอนก็คือ  มรณัง นิยะตัง ความตายนั้นแน่นอน ครับ

     :s_hi: :coffee2:
82  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ธาตุกรรมฐานที่พระพุทธเจ้า มีขั้นตอนอย่างไรครับ เมื่อ: กันยายน 01, 2011, 06:10:55 pm
ยอดเยี่ยม สมบูรณ์ ด้วยเนื้อหา
 แต่ก็ยังอยากรู้ในแนว กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับด้วยนะครับ

  ถ้าผมจำไม่ผิด ในพระธรรมปีติ แยกเป็น ธาตุ ถึง 5 ธาตุ

   :s_hi: :coffee2:
83  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: มีหลักการอย่างไร จึงจะรู้ได้ว่า สิ้น วิจิกิจฉา ในกรรมฐาน คะ เมื่อ: สิงหาคม 23, 2011, 05:57:28 pm
เคยได้ฟัง พระอาจารย์ สอนที่ ศาลา ครั้งหนึ่งว่า

  ความสิ้นสงสัย เป็นทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา มี 8 อย่างครับ

   ถ้าผมจำไม่ผิด อยากให้เพื่อน สมาชิก ที่จำได้ ช่วยต่อครับ

 :13:
84  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เรียนเชิญผู้ต้องการบำเพ็ญกุศล ภาวนาสมาธิในแบบทิเบต เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2011, 06:08:50 pm
เรียนเชิญผู้ต้องการบำเพ็ญกุศล ภาวนาสมาธิในแบบทิเบต

เข้าร่วมปฏิบัติในวัน กูรูริมโปเช่ ตามตารางวันข้างบน

 เวลา 14.00น-16.00น. ณ.โรงเจอีธงกักอ้วง (วัดภิกษุณี)

เลขที่ 134  ซอยโรงเรียนเทศบาล 4  ถนนจักกะพาก

 จังหวัด สมุทรปราการ 10280  โทร02-387-0567


http://www.mahayana.in.th/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81.htm
85  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ถ้าต้องการถอนการอธิษฐาน ที่เคยอธิษฐานไว้ที่ผ่านมา ต้องทำอย่างไร เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2011, 07:47:42 pm
การอธิษฐาน กับความตั้งใจ จะเหมือนกันหรือไม่

  อธิษฐาน ขอให้ทำสำเ้ร็จ

  ตั้งใจ ทำให้สำเร็จ

  อธิษฐาน เป็นเสมือนหนึ่ง อุดมการณ์ นะครับ

  ตั้งใจ เป็นกำลังขับ อุดมการณ์

  อุดมการณ์ ก็คือ เป้าหมาย

  เมื่อมีเป้าหมาย ชีวิต ก็มีความหวัง

  หากชีวิต หมดเป้าหมาย ก็จะเป็นชีิวิต ที่จืดชืด ครับ

 :s_good:
86  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พาเที่ยวชม บู๊ตึ่ง ไท้เก็ก กำเนิดที่นี่ ครับ เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2011, 10:25:50 am
เขาบู้ตึ๊ง หรือ อู่ตังซัน (ในภาษาจีนกลาง) มีอีกชื่อว่า ไท่เหอซัน เป็นเทือกเขาที่มีความสำคัญของลัทธิเต๋า ที่เล่าสืบมาว่า ปรมาจารย์เจินอู่ หรือเทพเจ้าเสวียนอู่(玄武神)ที่ศาสนาเต๋าเคารพนับถือ ได้บำเพ็ญตบะบนยอดเขาแห่งนี้ รู้สึกติดอกติดใจกับเทือกเขา ที่เสมือนเป็นแดนสุขาวดี ได้ใช้วิชาทั้งบุ๋นและบู้ต่อกรกับภิกษุหลายรูปของฝ่ายพุทธ จนได้รับชัยชนะ สามารถยึดเขาแห่งนี้เป็นที่พำนักสืบมา...





      เขาบู้ตึ๊ง ได้กลายมาเป็นแหล่งฝึกวิชา และเข้าฌานของนักพรตลัทธิเต๋า หลายสำนักมาหลายยุคสมัย และยังเป็นที่กำเนิดสุดยอดวิชากังฟูที่โด่งดัง ตามที่เราเคยคุ้นหูคุ้นตาในนิยายกำลังภายในด้วย เขตโบราณสถานบนเขาบู้ตึ๊ง มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 321 ตร.กม. ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นหมู่ตึกโบราณ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และส่วนที่เป็นทิวทัศน์ธรรมชาติ อาทิ สระน้ำ บ่อน้ำพุร้อน ถ้ำ หน้าผาและยอดเขา รวมกว่าร้อยแห่ง




      บนเขาบู้ตึ๊ง มีสถาปัตยกรรม นับตั้งแต่สมัยถัง ซ่ง หยวน หมิง และชิง โดยส่วนใหญ่ เป็นอารามหรือวิหารที่มีความสำคัญในศาสนาเต๋า ซึ่งโบราณสถานที่หลงเหลือมาจนทุกวันนี้ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ หมิง ที่เป็นเช่นนี้สืบเนื่องมาจาก กษัตริย์เฉิงจู่จูตี้ (หย่งเล่อ) ทรงเคารพเลื่อมใสในศาสนาเต๋าอย่างแรงกล้า ในรัชสมัยของพระองค์โปรดให้มีการสร้างศาสนสถานของศาสนาเต๋าขึ้นมากมายนั่น เอง

     โบราณสถานเก่าแก่ คือ ศาลเจ้าห้ามังกร (อู่หลงฉือ) จักรพรรดิถังไท่จง หลี่ซื่อหมิน แห่งราชวงศ์ถัง มีพระราชโองการรับสั่งให้สร้างขึ้น ระหว่างปี ค.ศ.627-649 ต่อมา ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เกิดกระแสเลื่อมใสศรัทธาเทพเจ้าเจินอู่(เสวียนอู่) ฐานของศานาเต๋าจึงเริ่มหยั่งรากขึ้นบนเขาบู้ตึ๊ง จนกระทั่งมาในสมัยราชวงศ์หมิง ศาสนาเต๋าเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด จนกลายเป็นศูนย์รวมของกิจกรรมทางศาสนาเต๋าทั่วประเทศ และยังเป็นที่ตั้งของวัดแห่งราชสำนักหมิงที่สำคัญด้วย



     ณ ยอดเทียนจู้ ยอดเขาที่สูงที่สุด มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,612 เมตร เป็นที่ตั้งของวิหารใหญ่แห่งศาสนาเต๋า จินเตี้ยน สร้างขึ้นเมื่อปีที่ 14 (ค.ศ.1416)ในรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ แห่งราชวงศ์หมิง มีความสูง 5.5 เมตร กว้าง 5.8 เมตร ภายในวิหาร งามวิจิตรด้วยลวดลายบนเสาเอกและเพดานประดับมุข เป็นที่ประดิษฐานรูปสำริดของเทพเจ้าเจินอู่(เสวียนอู่) น้ำหนัก 10 ตัน ด้านนอกวิหาร เป็นกำแพงเมืองจื่อจินเฉิง มีความยาว 1,500 เมตร ก่อขึ้นเป็นรูปทรงภูเขา นอกจากนี้ยังมีพระราชวังจื่อเซียว ที่สร้างขึ้นในสมัยหย่งเล่อ ปีที่ 11 (ค.ศ.1413) ที่สามารถอนุรักษ์อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดมาจนถึงวันนี้



     แหล่งธรรมชาติบนเขาบู๊ตึ๊ง มักมีชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์ และมีความเชื่อรวมถึงที่มาต่างๆกัน เช่น บริเวณรอบๆวิหารจินเตี้ยน เรียก ‘ลานแสวงบุญ’ เนื่องจากทุกปีในวันแรกของฤดูใบไม้ร่วง จะมีมดมีปีกจำนวนมากบินมาเกาะบริเวณดังกล่าว และไม่บินไปไหนจนกระทั่งตายหมดทั้งฝูง ชาวบ้านจึงเชื่อว่า มดมีปีกเหล่านี้บินมาสักการะเทพเจ้าเสวียนอู่ จึงให้ชื่อบริเวณนั้นตามเรื่องมหัศจรรย์ดังกล่าว

      หรือเช่นบริเวณ ‘เขาอีการับอาหาร’ ‘เสือดำลาดตระเวนเขา’ มีเรื่องที่เล่าสืบมาว่า เมื่อครั้งพระอาจารย์เจินอู่เดินทางมาจาริกแสวงบุญบนเขาบู้ตึ๊ง มีเสือดำคอยเปิดทางขึ้นเขา และมีอีกาคอยนำทางให้ ช่วงเวลาที่ท่านบำเพ็ญตบะ อีกาจะคอยร้องเตือนบอกเวลา เมื่อถึงรุ่งสางของทุกวัน และเสือดำคอยป้องกันระวังภัยให้ เมื่อพระอาจารย์เจินอู่ สำเร็จวิชาบรรลุเป็นเทพเจ้า กาตัวนั้นจึงได้ยศเป็นทหารเทพ ส่วนเสือดำก็เป็นขุนศึกลาดตระเวนบนภูเขาแห่งนี้

      ครั้นต่อมา เนื่องจากความเชื่อดั้งเดิมของอุบาสก อุบาสิกาในศาสนาพุทธ ที่ว่า กาดำเป็นสัตว์อัปมงคล ชอบนำเรื่องร้ายมาสู่มากกว่าเรื่องดี ดังนั้น เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงโชคร้าย เมื่อพุทธศาสนิกชนได้มาที่เขาบู้ตึ๊งและเดินทางมาถึงบริเวณ ‘เขาอีกา’ จะโยนข้าว หรือข้าวโพดที่นำติดตัวมา ขึ้นไปบนอากาศ แล้วตะโกนว่า ‘อีกามารับอาหาร’ อีกาที่บินมาเป็นฝูง จะกางปีกอ้าปากรับอาหารที่คนโปรยให้ จึงเกิดเป็นชื่อเขาดังกล่าว



     จางซันเฟิง(张三丰)ชื่อเดิม จางเฉวียนอี หรือ จางจวินอี้ว์ นักบวชเต๋าแห่งเขาบู้ตึ๊ง ในปลายสมัยซ่งเหนือ ‘ซันเฟิง’ เป็นฉายาที่ใช้เมื่อออกบวช เกิดในปี ค.ศ.1247 ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน บริเวณที่เป็นมณฑลเหลียวหนิงในปัจจุบัน เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวบ้านสามัญชน จากฝีมือการช่วยเหลือคนเจ็บไข้ ด้วยหลักการรักษาโดยใช้กำลังภายใน

      ปรมาจารย์จางซันเฟิงหรือเตียซำฮง ได้ให้กำเนิดหมัดมวยสำนักบู้ตึ๊ง ซึ่งโด่งดังเคียงคู่มากับหมัดมวยเส้าหลิน ของสำนักพุทธแห่งเขาซงซัน ท่านได้ คิดค้นมวยบู้ตึ๊ง จากการศึกษาทฤษฎีพื้นฐานของศาสตร์หยินและหยาง ศาสตร์เรื่องธาตุทั้งห้า และหลักการของแผนภูมิทั้งแปด (ปา กว้า八卦) โดยท่านสามารถสังเคราะห์แก่นแท้ของศาสตร์เหล่านี้เข้าด้วยกัน และหลอมรวมมาเป็นทฤษฎีของหมัดมวยบู้ตึ๊ง

      กังฟูสำนักบู้ตึ๊ง มีการกำเนิดเกี่ยวเนื่องลึกซึ้งกับศาสนาเต๋า ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเนื่องจาก ในระหว่างการบำเพ็ญตบะ นักบวชในศาสนาเต๋าจะต้องเรียนฝึกกังฟูไปพร้อมกันด้วย โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อฝึกปรือให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง การฝึกกังฟูของสำนักบู้ตึ๊งมีหลักการคือ ฝึกการควบคุมกำลังภายใน (Internal styles 内家拳派) ใช้ความนุ่มนวลสยบความแข็งแกร่ง ภายหลังมีการพัฒนาจนเป็นวิทยายุทธ์การต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่แกร่งกล้า และเป็นที่ยอมรับไปทั่ว

      มวยบู้ตึ๊ง ประกอบด้วยมวยหลัก 3 สายวิชา ได้แก่ มวยไท่จี๋ (ไทเก็ก) มวยสิงอี้ (สิงอี้เฉวียน ท่าทางการต่อสู้เลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ เช่น เสือ วานร มังกร เหยี่ยว นางแอ่น เป็นต้น) และฝ่ามือแปดทิศ (ปา กว้าจ่าง เคลื่อนไหวโดยการสืบเท้าเป็นรูปวงกลม และแปลงกระบวนท่าฝ่ามือเป็นท่าต่างๆ) ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศจีน ที่โด่งดังและได้รับการยอมรับไปทั่วโลก


     - ข้อควรระวัง

     มารยาทการเข้าวัดเต๋าหรือโบราณสถานของลัทธิเต๋า คล้ายคลึงกับวัดพุทธ เช่น ห้ามส่งเสียงดัง ไม่เหยียบธรณีประตู ไม่พูดคำหยาบ ห้ามดื่มเหล้า

     แต่ มีข้อยกเว้นอีกว่า ห้ามใช้นิ้วชี้หรือหันหลังให้รูปเคารพในวัด ห้ามถามอายุนักพรตเต๋า(มีเหตุผลมากมายตามความเชื่อในศาสนาเต่า)

     ของ เซ่นไหว้ในวัดมีข้อกำหนดว่า ห้ามไหว้ลูกทับทิม ลูกพลัม ไก่ สุนัข ดอกไม้สีแดงฉูดฉาด มีสถานที่ต้องห้ามหลายแห่ง กรุณาเดินตามไกด์ เพื่อความปลอดภัยและสิริมงคลของตัวท่านเอง


ข้อมูล

http://travel.thaiza.com
http://www.travelprothai.com/
87  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ ( แนวมหายาน ) นะครับ เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2011, 10:17:58 am
บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ
      อาตมาคงท่องคาถาเหมือนเดิม เหยียบบนดอกบัว เหินฟัาสู่นภากาศ รู้สึกกว่าร่างกายค่อย ๆ โตขึ้นๆ จนได้ขนาดเท่ากับขนาดตอนพบอมิตพุทธเจ้า
      พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า “เวไนยสัตว์ที่ไปเกิดยังระดับสูงของบัวชั้นสูง คือพวกที่ขณะอยู่ในสัพพะโลกก็มุมานะในการบำเพ็ญตน ถือศีลเครงครัดดังมุกมณี ขยันหมั่นเพียรศึกษาพุทธตำราละ 10 บาป ทำ 10 บุญ อาศัยตามวิธีการบำเพ็ญของตนไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นจริง พากเพียรพยายาม มานะบากบั่น 10 ปีประหนึ่งวันวันเดียว จวบจนสังขารที่เป็นเลือดเนื้อดับสูญ บวกกับกุศลภายนอก เช่นทำบุญ ทำทาน ประกอบมหากุศล ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งก่อนตายก็ได้ไปเกิดยังบัวชั้นสูง”
      เวไนยสัตว์ที่ไปเกิดยังระดับสูงของบัวชั้นสูง ความฝันเฟื่องนั้นพูดได้ว่าไม่มีโดยสิ้นเชิง ทวารทั้ง 6 บริสุทธิ์ พวกเขาบางคนก็บรรลุถึงขั้นของพระโพธิสัตว์แล้ว แปลงกายได้ตามใจปรารถนา ท่องเที่ยวแสดงเทวฤทธิ์เป็นต้นว่า บรรดาโพธิสัตว์เมื่ออยู่ด้วยกันนึกจะแปลงเป็นดอกไม้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นดอกไม้ นึกจะแปลงเป็นเจดีย์ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นเจดีย์ นึกจะแปลงเป็นก้อนหินร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นก้อนหิน นึกจะแปลงเป็นต้นไม้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นต้นไม้
      ในสระบัวชั้นสูง ดอกบัวที่เล็กที่สุดก็มีขนาดใหญ่เท่าเนื้อที่ของ 3 มณฑล หรืออีกนัยหนึ่ง มีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของประเทศมาเลเซีย พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า จะพาอาตมาไปดูที่สระ
      เรามาถึงบริเวณสระบัว สระบัวชั้นสูงต่างกับที่อื่นจริง ๆรอบ ๆ สระมีลักษณะเด่นสง่า เคร่งขรึมกว่าบัวชั้นกลางละชั้นล่างมีรั้วล้อมเป็นชั้น ๆ เปล่งประกายแสงสีต่าง ๆ ทั้งส่งกลิ่นหอมรวยรินกลิ่นหอมเหล่านี้ขจรขจายออกมาจากดอกบัวในสระนั่นเอง กลางสระบัวมีรัตนเจดีย์ รูปลักษณะเหมือนภูเขาสูง ตัวเจดีย์เป็นรูปหลายเหลี่ยม เปล่งประกายสัพรังสีพวยพุ่ง กลางสระยังมีสะพานงามวิจิตรเนื้อที่ของสระกว้างใหญ่จนมองไม่เห็นขอบสระ ภายใน สระไม่เท่าแต่มีดอกบัวบานสะพรั่งเท่านั้น ยังมีการประดับทัศนียภาพนานาสารพัน บนท้องฟ้านภาลัยมีฉัตรทิพย์ สร้อยระย้าไข่มุกเปล่งแสงวาววามงามระยับ ดอกบัวมีชั้นกลีบดอกมากจนนับไม่ถ้วน แต่ละชั้นล้วนมีรัตนเจดีย์ ศาลา อาราม ตำหนัก วิหาร วิจิตรงดงามยิ่ง ผู้อาศัยอยู่บนดอกบัวทั่วสารพางค์กายเป็นสีทองคำอร่ามโปร่งใส อาภรณ์สวยงามเปล่งแสงสีต่าง ๆ
      พระโพธิสัตว์กวนอิมพลันถามอาตมาว่า “ณ ที่นี้มีคนผู้หนึ่งชื่อ ยิ่งกวง พระธรรมาจารย์ (พระเถระชั้นสูงคนหนึ่งใน 3 คนของจีนในยุคปัจจุบัน) ท่านรู้จักไหม”
      อาตมารีบถามว่า“อยู่ไหน อาตมาได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมานานแล้ว มีความเลื่อมใสศรัทธายิ่ง แต่ว่ายังไม่มีวาสนาได้พบหน้า ท่าน เลย”
      ขณะกล่าววาจา ก็เห็นชายคนหนึ่งอายุ 30 เศษ พลันแปลงกายเป็นโฉมหน้าเดิมของพระธรรมาจารย์ยิ่งกวง ได้พบหน้ากันรู้สึกดีใจมาก หลังจากคารวะต่อกันแล้ว ก็เริ่มสนทนากันอย่างออกรสออกชาติเราคุยถึงเรื่องต่าง ๆ ลืมไปแล้วเสียส่วนมาก แต่ที่ยังจำได้แม่นยำคือคำสั่งกำชับของท่าน ท่านกล่าวว่า “อาตมาหวังว่าหลังจากที่ท่านกลับถึงแดนมนุษย์แล้ว จะได้ถ่ายทอดให้ผู้ร่วมทางธรรมได้ตระหนักทั่วกันว่า จะต้องถือศีลเป็นครู รักษาพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดสวดมนต์ไหว้พระ ศรัทธา ปณิธาน ปฎิปทา ก็จะตัองได้ใปเกิดยังสุคติภพแน่นอน จงเตือนพวกบำเพ็ญตนบางคน อย่าได้ทำเป็นอวดฉลาด เที่ยวแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยและระบบระเบียบที่พระพุทธองค์บัญญัติ ไว้โดยพลการ ป่าวร้องการเผยแพร่ธรรมะอย่างปฎิรูป ทำลายภาพพจน์ ละเมิดพระธรรมวินัย ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดจริง ๆ
      เราเดินลงจากบัลลังก์ดอกบัวพร้อมกัน ท่านพาอาตมาไปยังตำหนักใหญ่ ตลอดทางมีปักษินเทวานานาชนิด ขับขานดนตรีอยู่บนกิ่งทองใบหยก ประสานกับเสียงมโหรีทิพย์พิมาน เสียงสวดมนต์ไพเราะเสนาะหูแว่วมาตามลม ทุกถิ่นสถานบานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้สวยงามนานาพรรณส่งกลิ่นหอมรวยริน ช่อดอกรูปทรงกลมส่งประกายวาววับยังมีโคมไข่มุก โคมโมรา โคมแก้ว ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว ส่องประกายรัศมีสีสันต่าง ๆ จับนัยน์ตาพร่าพราย วิจิตรงดงามยากจะบรรยาย
   
บัวชั้นกลาง (สถานที่อยู่รวมของสามัญบุลคลกับอริยบุคคล)
    “อัฐคีรีภาพ”
    “พิพิธภัณฑ์ของโลกศรีปิฎก”
บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ
การไขปริศนาธรรมของอมิตพุทธเจ้า
กลับถึงถำหมีเล่อในแดนมนุษย์
ถือศีลเป็นพื้นฐาน รักษาศีลบริสุทธิ์ดุจมุกมณี ถือศีลเป็นครู
      เข้าสู่ตำหนัก ภาพยิ่งสวยงามพิสดาร ทำเอาอาตมาเหมือนต้องมนต์สะกด ภายในหอเปล่งแสงสีทอง พื้นก็เปล่งประกายแสงสีต่าง ๆทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าล้วนเปล่งแสงในตัวได้ทั้งสิ้น พระธรรมมาจารย์ยิ่งกวงนำอาตมาขึ้นไปยังหอชั้นบน บนหอเก็บรวบรวมกระจกแก้วผลึกนานาชนิด ตรงกลางเป็นกระจกบานใหญ่ที่ส่องได้ทั้งตัวพระโพธิสัตว์กวนอิมแนะว่า “กระจกบานนี้จะส่องโฉมหน้าแท้จริงของทุกคนออกมาได้ ธาตุแท้บริสุทธิ์หรือไม่ มีความคิดฝันเฟื่องหรือไม่พอส่งกระจกดูก็จะเห็น ได้ชัด” ภายในหอมีม้านั่งตั้งเรียงรายอยู่ 2ข้างอย่างเป็นระเบียบ ม้านั่งเหล่านี้ประกอบด้วยรัตนะ 7 มีแสงในตัวบนโต๊ะตั้งของรูปร่างแปลกๆ ไว้ อาตมาดูไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่พระโพธิสัตว์กวนอิมทราบว่าอาตมาคงหิวแล้ว จึงถามขึ้นว่า “หิวแล้วใช่ไหมล่ะ” ว่ากันตามจริง อาตมารู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน จึงตอบไปว่า“มีของอะไรพอกินแก้หิวได้บ้างไหมครับ”
      ท่านตอบว่า “ของกินที่นี่ก็เหมือนกับที่บัวชั้นล่าง ท่านอยากกินของสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะมาเอง” อาตมากล่าวว่า“งั้นก็ดีซี อาตมาอยากกินข้าวสวย แกงจืดผักกาดขาว อย่างอื่นไม่เอา”
      กล่าวไม่ทันขาดคำ ข้าวสวย แกงจืดผักกาดขาวก็ตั้งอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า อาตมาถามทุกคนว่า“พวกท่านไม่ทานด้วยหรือ
      พวกเขากล่าวว่า“โดยทั่วไปพวกเราไม่ต้องกินอะไรอยู่แล้วท่านตามสบายเถิด”
      ตามที่ทราบ เวไนยสัตว์ในระดับสูงของบัวชั้นสูง ส่วนใหญ่จะสำเร็จเป็นโพธิสัตว์ ความฝันเฟื่องกระหายอยากอาหารจึงมีน้อยมาก กระทั่งไม่มีเลย เปรียบกับอาตมาแล้วก็ให้รู้สึกละอายใจ กินไปกินไป จนกระทั่งอิ่ม วางชามตะเกียบลงบนโต๊ะ พริบตาเดียวชามตะเกียบบนโต๊ะก็อันตรธานไปสิ้น อาตมาถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า“ทำไมถึงเป็น เช่นนั้น”
      ท่านตอบว่า “นั่นเป็นเพราะท่านคิดว่าท่านหิว ก็นึกอยากจะกินข้าว ก็เหมือนผู้คนในโลกมนุษย์นอนหลับฝันไป ตอนฝันก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง ครั้นตื่นขึ้นทุกอย่างก็สูญ สิ้น ท่านนึกอยากกินของกินก็มา กินอิ่มแล้ว ความคิดอยากกินหมดไป ของกินก็อันตรธานด้วย”
      อาตมาผงกศีรษะรับทราบ
      ท่านกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ครั้นธาตุบริสุทธิ์ ไม่นึกอยากกิน ไม่นึกอยากของใด ๆ ก็เป็นศูนยภาพ หามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ไม่แต่ถ้าหากมีความคิดอยากผุดขึ้น ก็จะเป็นดังท้องฟ้าที่ว่างเปล่าพลันมีเมฆหมอกเกิดขึ้นชั้นหนึ่ง เหตุผลนี้ท่านคอย ๆ ใคร่ครวญ ซึมซาบก็จะเข้าใจ 3 มิติของเหตุผลนี้ ได้โดยถองแท้”
      ผู้ไปเกิดในบัวชั้นสูง มีความคิดฝันเฟื่องน้อยที่สุด ล้วนแล้วแต่จริงแท้ดังธาตุเดิม ในชั่วพริบตาจะสามารถอาศัยแรงบันดาลของอมิตพุทธเจ้าแปลงเป็นดอกไม้ ผลไม้และของถวายออกมาถวายสักการะพุทธ 10 ทิศ ครั้นถึงเวลาแสดงธรรม พระโพธิสัตว์นับหมื่นนับล้านรูปจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัว หรือในตำหนัก บนรัตนเจดีย์หรือต้นไม้ 7 แถว ฟังพระดำรัสตรัสแสดงธรรมโดยตรงจากอมิตพุทธเจ้า
      อาตมาเรียนถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า“ผู้คนในโลกมนุษย์คงมีมาเกิดในสุคติภพมากมาย เหตุใดญาติโยมของพวกเขาจึงมองไม่เห็นล่ะครับ”
      ท่านตอบว่า “ผู้คนในโลกมนุษย์ส่วนใหญ่จะถูกบดบังโดยกรรมกีดขวาง จึงมีของที่มองไม่เห็นอีกมากนัก ถ้าหากหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ไม่มีความคิดฝันเฟื่อง ใจวางเปล่าเป็นศูนยภาพแล้ว ก็มีโอกาสได้เห็นแดนสุขาวดีเช่นกัน”
      อาตมาถือโอกาสขอให้ท่านไขปริศนา โดยถามว่า“ถ้ากระนั้นต้องสวดมนต์อย่างไรจึงจะบรรลุผลได้เร็วที่สุด
ท่านตอบว่า “ต้องบำเพ็ญฌานกับพิสุทธิ์ควบคู่กัน ใจหนึ่งสวดพุทธ สวดพุทธไปเข้าฌานไป เรียกว่า ฌานวิสุทธิภูมิ”
      อาตมารุกถามต่อ“ขอเรียนถามว่า ฌานวิสุทธิภูมิควรปฏิบัติอย่างไร”
      ท่านผงกศีรษะอธิบายว่า “ใช้วิธีสวดโดยแบ่งคนออกเป็น2 ชุด (นี่เป็นวิธีปฏิบัติธรรมของเวไนยสัตว์ในวิสทธิภูมิ) ชุด ก.สวดอมิตพุทธ 2 คำ ชุด ข. ฟังไปสวดในใจไปด้วย จากนั้น ชุดข. สวดอมิตพุทธ 2 คำ ชุด ก. ฟังไปสวดในใจไปด้วย การปฎิบัติเช่นนี้ ทั้งไม่หนักแรง ทั้งสวดได้ไม่ขาดช่วง หูจะไว หูจะสวดเองซึ่งก็คือใจสวด ใจกับปากเป็นหนึ่งเดียว พุทธภาพก็จะปรากฎขึ้นเอง เมื่อใจสงบ ย่อมก่อเกิดสมาธิ สมาธิยอมก่อเกิดปัญญา”
      ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า เวลาเหลือไม่มากแล้ว อาตมาจะพาท่านไปดูมหาเจดีย์อมิตพุทธเจ้า คือ “เจดีย์ดอกบัว”
      เราผ่านตำหนักไปอีกหลายหลัง ยอดเจดึย์แว็บผ่านตัวเราไปไม่ช้าก็เห็นมหาเจดีย์สูงใหญ่มหึมาสุดเปรียบปาน ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเจดีย์สูงดังขุนเขาคุนหลุนของประเทศจีน ไม่ทราบมีกี่ชั้น (คงไม่ต่ำกว่าหลายหมื่นชั้น)“เจดีย์ดอกบัว” มีกี่เหลี่ยมก็แยกไม่ชัด ตัวเจดีย์มีลักษณะโปร่งใส สัพรังสีพวยพุ่ง ได้ยินเสียงสวดนโมอมิตพุทธแว่วจากภายในเจดีย์ 2 คำแรกชัดมาก คำเริ่มต้นฟังดูเศร้าสร้อยคล้ายกำลังวิงวอนขอความช่วยเหลือ ส่วนคำที่ 2 ให้ความรู้สึกอยากชิดใกล้
      “เจดีย์ดอกบัว” องค์นี้ มีไว้สำหรับผู้คนที่ไปเกิดในระดับกลางของบัวชั้นสูงนับหมื่นนับแสนได้ใช้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ความสูงใหญ่ของเจดีย์ เปรียบเทียบไม่ถูก ไม่อาจจินตนาการโดยผู้คนในโลกมนุษย์ได้ ใหญ่พอ ๆ กับพื้นที่รวมของโลกเราหลายพันหลายหมื่นโลก ดังนั้นความสูงของมันก็ไม่อาจจะจินตนาการได้เช่นกัน ภายในเจดีย์ มีปราสาทราชวังมากมาย มีสีต่าง ๆ ล้วนแต่โปร่งใสและมีแสงสว่างในตัว เวไนยสัตว์ที่เกิดในระดับกลางของบัวชั้นสูงมาถึงที่นี่แล้ว สามารถเดินฝาทะลุกำแพงเข้าออกได้โดยเสรีไม่มีสิ่งใดขวางกั้น จะขึ้นจะลงเพียงใจนึกเท่านั้น ในชั่วขณะหนึ่งก็จะไปถึงในที่ที่ต้องการจะไปภายในเจดีย์มีพร้อมทุกสิ่งอย่าง ณ ที่นี้สามารถมองเห็นสภาพทั้งปวงของเวไนยสัตว์ในโลกศรีปิฎกทั้งหมด สามารถเห็นพุทธภูมิบรรดามีหลายหมื่นล้านพุทธภูมิ ความเยี่ยมยอดของสภาพภายในเจดีย์ ไม่สามารถใช้ปากกาดินสอมาบรรยายให้เห็นภาพแม้เพียง 1 ในหมื่นเวไนยสัตว์ในระดับกลางของบัวชั้นสูง ถ้าปรารถนาจะไปยังพุทธภูมิใด ก็เป็นเรื่องเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
      เราก้าวเข้า“เจดีย์ดอกบัว” ปรากฏว่าตัวเราเดินลอยขึ้นเหมือนนั่งลิฟท์ ขึ้นไปทีละชั้น ๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า ล้วนแต่โปร่งใส จะเห็นแตล่ะชั้นมีคนนั่งสวดพุทธอยู่เต็มเพรียบ ล้วนแต่เป็นผู้ชายอายุประมาณ 30 เศษ แต่ละชั้นจะมีลักษณะการแต่งกายเป็นของตัวเองรวมประมาณ 20 กว่าสี แต่ไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว ผู้ชายทั้งหมดนั่งสวดพุทธอยู่บนดอกบัว
      พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า“ที่นี่จัดเวลา 6 ชั่วโมงทำวัตร2 ชั่วโมงสวดพุทธ 2 ชั่วโมงเก็บเสียง 2 ชั่วโมงพักผ่อน เวลานี้เป็นเวลาสวดพุทธ
      เราไปถึงชั้นที่อยู่กึ่งกลาง เห็นพวกเขานั่งเป็นแถวอยู่ 2 ข้างแถวซ้ายกับแถวขวาหันหน้าชนกัน ได้ยินแต่เสียงกระดิ่ง กลอง ปลาไม้กรับ ดังไม่ขาดเสียง แต่ไม่เห็นของจริง พวกเขานั่งอยู่บนอาสนะสวยงามมาก กลางวงมีมหาโพธิสัตว์รูปหนึ่งนั่งอยู่คอยชี้แนะ คนที่สวดได้ดีจะมีแสงพวยพุ่งเหนือศีรษะ ในแสงมีพระพุทธรูปมากมาย เช่นเดียวกับแสงเหนือเศียรของอมิตพุทธเจ้าที่มีพระพุทธรูปหลายหมื่นหลายแสนล้านรูป มหาโพธิสัตว์รูปนั้นก็มีแสง ในแสงก็มีพระพุทธรูปเช่นกัน มีวิหคนานาพรรณบินถลาร่อนล้อลมอยู่เหนือยอดเจดีย์ บ้างบินอยู่ในห้องโถง พวกมันสวดพุทธตามได้ด้วย ไม่สับสนแม้แต่น้อยภายในเจดย์มีโคมมุก โคมแก้วแสงสีต่าง ๆ โคมรูปกลมยังสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นรูปต่าง ๆ เปล่งแสงสีนานาชนิด รวมความแล้วก็คือภูมิภาคของที่นี่บรรยายเท่าไรก็บรรยายไม่หมด ทั้งยากจะบรรยายออกมาให้เห็นภาพได้ การสักการะพุทธ 10 ทิศ ล้วนรวมศูนย์อยู่ที่นี่ ณที่นี้สามารถเห็นโลกศรีปิฎกทั้งโลก เวไนยสัตว์ทั้งปวง อริยพุทธทั้งปวงจนถึงพุทธภูมิหลายหมื่นล้านพุทธภูมิ ล้วนปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า



http://thai.mindcyber.com/anut/sukavadee/1131.php
88  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / นิพเพธิกสูตร ว่าด้วยธรรมปริยายชำแรกกิเลส เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2011, 10:24:12 am
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๗๖๖
           

นิพเพธิกสูตร

ว่าด้วยธรรมปริยายชำแรกกิเลส

 

               [๓๓๔]   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เราจักแสดงธรรมปริยายที่เป็น

    ปริยาย     เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลสแก่เธอทั้งหลาย   เธอทั้ง

    หลายจงฟัง   จงใส่ใจให้ดี   เราจักกล่าว    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มี

    พระภาคเจ้าแล้ว      พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

    ก็ธรรมปริยาย   ที่เป็นปริยายเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลสนั้นเป็น

    ไฉน

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เธอทั้งหลายพึงทราบกาม   เหตุเกิดแห่ง

    กาม  ความต่างแห่งกาม  วิบากแห่งกาม  ความดับแห่งกาม ปฏิปทาที่

    ให้ถึงความดับกาม

            เธอทั้งหลายพึงทราบเวทนา  เหตุเกิดแห่งเวทนา ความต่างแห่ง

    เวทนา  วิบากแห่งเวทนา  ความดับแห่งเวทนา   ปฏิปทาที่ให้ถึงความ

    ดับเวทนา

            เธอทั้งหลายพึงทราบสัญญา    เหตุเกิดแห่งสัญญา   ความต่าง

    แห่งสัญญา  วิบากแห่งสัญญา   ความดับแห่งสัญญา   ปฏิปทาที่ให้ถึง

    ความดับสัญญา

            เธอทั้งหลายพึงทราบอาสวะ เหตุเกิดแห่งอาสวะ ความต่างแห่ง

    อาสวะ  วิบากแห่งอาสวะ  ความดับแห่งอาสวะ   ปฏิปทาที่ให้ถึงความ

    ดับอาสวะ

            เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม   เหตุเกิดแห่งกรรม   ความต่างแห่ง

    กรรม  วิบากแห่งกรรม    ความดับแห่งกรรม   ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับ

    กรรม

            เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์   เหตุแห่งทุกข์   ความต่างแห่งทุกข์

    วิบากแห่งทุกข์    ความดับแห่งทุกข์  ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับทุกข์.

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ข้อที่เรากล่าวนี้ว่า  เธอทั้งหลายพึงทราบ

    กามเหตุเกิดแห่งกาม    ความต่างแห่งกาม  วิบากแห่งกาม   ความดับ

    แห่งกามปฏิปทาที่ให้ถึงความดับกามนั้น  เราอาศัยอะไรกล่าว   ดูก่อน

    ภิกษุทั้งหลาย  กามคุณ  ๕  ประการนี้    คือ รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยตา  อัน

    น่าปรารถนา   น่าใคร่น่าพอใจ  เป็นที่รัก  ยั่วยวนชวนให้กำหนัด  เสียง

    ที่พึงรู้แจ้งด้วยหู. . .   กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยจมูก. . .รสที่พึงรู้แจ้งด้วยลิ้น

    . . . โผฏฐัพพะที่พึงรู้ด้วยกายอันน่าปรารถนา น่าใคร่  น่าพอใจ เป็นที่

    รัก    ยั่วยวน   ชวนให้กำหนัด  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็แต่ว่าสิ่งเหล่านี้

    ไม่ชื่อว่ากาม  สิ่งเหล่านี้เรียกว่ากามคุณในวินัยของพระอริยเจ้า.

             พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา  ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิต

    นี้จบลงแล้ว  จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์นี้ต่อไปอีกว่า

                          ความกำหนัดที่เกิดด้วยสามารถแห่ง

                ความดำริของบุรุษ  ชื่อว่ากาม   อารมณ์อัน

                วิจิตรทั้งหลายในโลกไม่ชื่อว่ากาม     ความ

                กำหนัดที่เกิดขึ้น      ด้วยสามารถแห่งความ

                ดำริของบุรุษ   ชื่อว่ากาม  อารมณ์อันวิจิตร

                ทั้งหลายในโลก   ย่อมตั้งอยู่ตามสภาพของ     

                ตน       ส่วนว่า    ธีรชนทั้งหลายย่อมกำจัด 

                ความพอใจ  ในอารมณ์อันวิจิตรเหล่านั้น.

            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เหตุเกิดแห่งกามเป็นไฉน   คือ  ผัสสะเป็น

    เหตุเกิดแห่งกามทั้งหลาย ก็ความต่างกันแห่งกามเป็นไฉน   คือ   กาม

    ในรูปเป็นอย่างหนึ่ง  กามในเสียงเป็นอย่างหนึ่ง  กามในกลิ่นเป็นอย่าง

    หนึ่ง  กามในรสเป็นอย่างหนึ่ง  กามในโผฏฐัพพะเป็นอย่างหนึ่ง นี้เรียก

    ว่าความต่างกันแห่งกาม     วิบากแห่งกามเป็นไฉน  คือ การที่บุคคลผู้

    ใคร่อยู่ ย่อมยังอัตภาพที่เกิดขึ้นจากความใคร่นั้นๆ ให้เกิดขึ้น เป็นส่วน

    บุญหรือเป็นส่วนมิใช่บุญ   นี้เรียกว่าวิบากแห่งกาม   ความดับแห่งกาม

    เป็นไฉน  คือ ความดับแห่งกามเพราะผัสสะดับ  อริยมรรคอันประกอบ

    ด้วยองค์  ๘  ประการนี้แล  คือ    สัมมาทิฏฐิ   สัมมาสังกัปปะ  สัมมา

    วาจา    สัมมากัมมันตะ    สัมมาอาชีวะ    สัมมาวายามะ     สัมมาสติ

    สัมมาสมาธิ  เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกาม  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

    ก็เมื่อใด   อริยสาวกย่อมทราบชัดกาม   เหตุเกิดแห่งกาม    ความต่าง

    แห่งกาม   วิบากแห่งกาม  ความดับแห่งกาม    ปฏิปทาให้ถึงความดับ

    แห่งกามอย่างนี้ๆ  เมื่อนั้น อริยสาวกนั้น ย่อมทราบชัดพรหมจรรย์  อัน

    เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส   เป็นที่ดับแห่งกาม  ข้อที่เรากล่าว

    ว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายพึงทราบกาม  ฯลฯ ปฏิปทาให้

    ถึงความดับแห่งกาม    ดังนี้นั้นเราอาศัยข้อนี้กล่าว.

               ข้อที่เรากล่าวว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย พึงทราบ

    เวทนา ฯลฯ  ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไร

    กล่าว     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย     เวทนา ๓ ประการนี้   คือ  สุขเวทนา

    ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ก็เหตุเกิดแห่งเวทนาเป็นไฉน คือผัสสะ

    เป็นเหตุเกิดแห่งเวทนา   ก็ความต่างกันแห่งเวทนาเป็นไฉน   คือ   สุข

    เวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่  สุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่  ทุกข-

    เวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่   ทุกขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอามิสมีอยู่ อทุก

    ขมสุขเวทนาที่เจือด้วยอามิสมีอยู่  อทุกขมสุขเวทนาที่ไม่เจือด้วยอา-

    มิสมีอยู่  นี้เรียกว่า  ความต่างแห่งเวทนา     วิบากแห่งเวทนาเป็นไฉน

    คือ การที่บุคคลผู้เสวยเวทนาอยู่   ย่อมยังอัตภาพที่เกิดขึ้นจากเวทนา

    นั้นๆ ให้เกิดขึ้น    เป็นส่วนบุญหรือเป็นส่วนมิใช่บุญ     นี้เรียกว่าวิบาก

    แห่งเวทนา   ก็ความดับแห่งเวทนาเป็นไฉน  คือ  ความดับแห่งเวทนา

    ย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับแห่งผัสสะ    อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์

    ๘ ประการนี้แล คือ  สัมมาทิฏฐิ  ฯลฯ  สัมมาสมาธิ     เป็นข้อปฏิบัติที่

    ให้ถึงความดับแห่งเวทนา      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ก็เมื่อใดอริยสาวก

    ย่อมทราบชัดเวทนา     เหตุเกิดแห่งเวทนา    ความต่างกันแห่งเวทนา

    วิบากแห่งเวทนา   ความดับแห่งเวทนา   ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่ง

    เวทนาอย่างนี้ๆ เมื่อนั้น  อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดพรหมจรรย์อันเป็น

    ไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส    เป็นที่ดับเวทนานี้   ข้อที่เรากล่าวว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เธอทั้งหลายพึงทราบเวทนา ฯลฯ ปฏิปทาที่ให้

    ถึงความดับเวทนา  ดังนี้นั้น  เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

              ข้อที่เรากล่าวว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   เธอทั้งหลายพึงทราบ

    สัญญา ฯลฯ    ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญา ดังนี้นั้น  เราอาศัย

    อะไรกล่าว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สัญญา ๖ ประการนี้  คือ รูปสัญญา

    สัททสัญญา  คันธสัญญา  รสสัญญา   โผฏฐัพพสัญญา   ธรรมสัญญา

    เหตุเกิดแห่งสัญญาเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งสัญญา  ก็ความ

    ต่างแห่งสัญญาเป็นไฉน  คือ  สัญญาในรูปเป็นอย่างหนึ่ง    สัญญาใน

    เสียงเป็นอย่างหนึ่ง    สัญญาในกลิ่นเป็นอย่างหนึ่ง   สัญญาในรสเป็น

    อย่างหนึ่ง   สัญญาในโผฏฐัพพะเป็นอย่างหนึ่ง  สัญญาในธรรมารมณ์

    เป็นอย่างหนึ่ง    นี้เรียกว่าความต่างแห่งสัญญา    ก็วิบากแห่งสัญญา

    เป็นไฉน    คือ   เราย่อมกล่าวว่าสัญญาว่ามีคำพูดเป็นผล  (เพราะว่า)

    บุคคลย่อมรู้สึกโดยประการใดๆ ก็ย่อมพูดโดยประการนั้นๆ ว่า  เราเป็น

    ผู้มีความรู้สึกอย่างนั้น     นี้เรียกว่าวิบากแห่งสัญญา    ก็ความดับแห่ง

    สัญญาเป็นไฉน คือ ความดับแห่งสัญญา   ย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับ

    แห่งผัสสะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์  ๘  ประการนี้แล คือ  สัมมา

    ทิฏฐิ  ฯลฯ  สัมมาสมาธิ   เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญา   ดู

    ก่อนภิกษุทั้งหลาย   ก็เมื่อใด อริยสาวกย่อมทราบชัดสัญญา  เหตุเกิด

    แห่งสัญญา  ความต่างแห่งสัญญา   วิบากแห่งสัญญา    ความดับแห่ง

    สัญญา  ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งสัญญาอย่างนี้ๆ เมื่อนั้นอริยสาวก

    นั้น  ย่อมทราบชัดพรหมจรรย์   อันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส

    ข้อที่เรากล่าวว่า    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายพึงทราบสัญญา

    ฯลฯ  ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับสัญญา  ดังนี้นั้น    เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

               ข้อที่กล่าวว่า    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เธอทั้งหลายพึงทราบ

    อาสวะ ฯลฯ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งอาสวะ   ดังนี้นั้น    เราอาศัย

    อะไรกล่าว   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  อาสวะ ๓ ประการ  คือ   กามาสวะ

    ภวาสวะ  อวิชชาสวะ     ก็เหตุเกิดแห่งอาสวะเป็นไฉน คือ อวิชชาเป็น

    เหตุเกิดอาสวะ    ก็ความต่างแห่งอาสวะเป็นไฉน คือ อาสวะที่เป็นเหตุ

    ให้ไปสู่นรกก็มี  ที่เป็นเหตุให้ไปสู่กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มี  ที่เป็นเหตุไป

    สู่เปรตวิสัยก็มี   ที่เป็นเหตุให้ไปสู่มนุษยโลกก็มี ที่เป็นเหตุให้ไปสู่เทว-

    โลกก็มี    นี้เรียกว่าความต่างแห่งอาสวะ   ก็วิบากแห่งอาสวะเป็นไฉน

    คือ การที่บุคคลมีอวิชชา ย่อมยังอัตภาพที่เกิดจากอวิชชานั้นๆ ให้เกิด

    ขึ้น  เป็นส่วนบุญหรือเป็นส่วนมิใช่บุญ    นี้เรียกว่าวิบากแห่งอาสวะ  ก็

    ความดับแห่งอาสวะเป็นไฉน  คือ  ความดับแห่งอาสวะย่อมเกิดเพราะ

    ความดับแห่งอวิชชา  อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์  ๘  ประการนี้แล

    คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ      เป็นปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่ง

    อาสวะ   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ก็เมื่อใดอริยสาวกย่อมทราบชัดอาสวะ

    เหตุเกิดแห่งอาสวะ  ความต่างแห่งอาสวะ วิบากแห่งอาสวะ  ความดับ

    แห่งอาสวะ    ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งอาสวะอย่างนี้ๆ      เมื่อนั้น

    อริยสาวกนั้น     ย่อมทราบชัดพรหมจรรย์    อันเป็นไปในส่วนแห่งการ

    ชำแรกกิเลส     เป็นที่ดับอาสวะนี้    ข้อที่เรากล่าวว่า   ดูก่อนภิกษุทั้ง

    หลาย     เธอทั้งหลายพึงทราบอาสวะ ฯลฯ   ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับ

    แห่งอาสวะ   ดังนี้นั้น     เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

               ข้อที่เรากล่าวว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบ

    กรรม ฯลฯ     ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม   ดังนี้นั้น    เราอาศัย

    อะไรกล่าว    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม  บุคคล

    คิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย   ด้วยวาจา   ด้วยใจ      ก็เหตุเกิดแห่ง

    กรรมเป็นไฉน คือ ผัสสะเป็นเหตุเกิดแห่งกรรม    ก็ความต่างแห่งกรรม

    เป็นไฉน  คือ  กรรมที่ให้วิบากในนรกก็มี ที่ให้วิบากในกำเนิดสัตว์ดิรัจ-

    ฉานก็มี  ที่ให้วิบากในเปรตวิสัยก็มี   ที่ให้วิบากในมนุษยโลกก็มี   ที่ให้

    วิบากในเทวโลกก็มี นี้เรียกว่าความต่างแห่งกรรม ก็วิบากแห่งกรรมเป็น

    ไฉน คือ เราย่อมกล่าววิบากแห่งกรรมว่ามี  ๓  ประการ  คือ กรรมที่ให้

    ผลในปัจจุบัน  ๑  กรรมที่ให้ผลในภพที่เกิด   ๑     กรรมที่ให้ผลในภพ

    ต่อๆ ไป ๑  นี้เรียกว่าวิบากแห่งกรรม   ความดับแห่งกรรมเป็นไฉน คือ

    ความดับแห่งกรรมย่อมเกิดขึ้น    เพราะความดับแห่งผัสสะ  อริยมรรค

    อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ

    เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งกรรม    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ก็เมื่อใด

    อริยสาวกย่อมทราบชัด กรรม  เหตุเกิดแห่งกรรม  ความต่างแห่งกรรม

    วิบากแห่งกรรม  ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งกรรม

    อย่างนี้ๆ  เมื่อนั้นอริยสาวกนั้น  ย่อมทราบชัดพรหมจรรย์ อันเป็นไปใน

    ส่วนแห่งความชำแรกกิเลสเป็นที่ดับกรรมนี้    ข้อที่เรากล่าวว่า  ดูก่อน

    ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม ฯลฯ  ปฏิปทาที่ให้ถึงความ

    ดับแห่งกรรม   ดังนี้นั้น  เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

                ข้อที่เรากล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายพึงทราบ

    ทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ ความต่างแห่งทุกข์   วิบากแห่งทุกข์  ความดับ

    แห่งทุกข์ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งทุกข์  ดังนี้นั้น     เราอาศัยอะไร

    กล่าว    แม้ชาติก็เป็นทุกข์  แม้ชราเป็นทุกข์  แม้พยาธิก็เป็นทุกข์   แม้

    มรณก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์  โทมนัส  อุปายาสก็เป็นทุกข์

    ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์     โดยย่ออุปทานขันธ์  ๕  เป็น

    ทุกข์   ก็เหตุเกิดแห่งทุกข์เป็นไฉน คือ  ตัณหาเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์  ก็

    ความต่างแห่งทุกข์เป็นไฉน   คือ  ทุกข์มากก็มี  ทุกข์น้อยก็มี   ทุกข์ที่

    คลายช้าก็มี  ทุกข์ที่คลายเร็วก็มี  นี้เรียกว่าความต่างแห่งทุกข์  ก็วิบาก

    แห่งทุกข์เป็นไฉน  คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ถูกทุกข์อย่างใดครอบงำ

    มีจิตอันทุกข์อย่างใดกลุ้มรุม    ย่อมเศร้าโศก   ลำบาก   รำพัน ทุบอก

    คร่ำครวญ  ถึงความหลง   ก็หรือบางคนถูกทุกข์ใดครอบงำแล้ว   มีจิต

    อันทุกข์ใดกลุ้มรุมแล้ว         ย่อมแสวงหาเหตุปลดเปลื้องทุกข์ในภาย

    นอกว่าใครจะรู้ทางเดียวหรือสองทางเพื่อดับทุกข์นี้ได้  ดูก่อนภิกษุทั้ง

    หลาย   เรากล่าวทุกข์ว่ามีความหลงใหลเป็นผล  หรือว่ามีการแสวงหา

    เหตุปลดเปลื้องทุกข์ภายนอกเป็นผล  นี้เรียกว่าวิบากแห่งทุกข์ ก็ความ

    ดับแห่งทุกข์เป็นไฉน คือ ความดับแห่งทุกข์ย่อมเกิดขึ้นเพราะความดับ

    แห่งตัณหา  อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนี้แล  คือ สัมมา

    ทิฏฐิ ฯลฯ  สัมมาสมาธิ  เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งทุกข์    ดูก่อน

    ภิกษุทั้งหลาย     ก็เมื่อใด   อริยสาวกย่อมทราบชัดทุกข์  เหตุเกิดแห่ง

    ทุกข์  ความต่างแห่งทุกข์  วิบากแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์  ปฏิปทา

    ให้ถึงความดับแห่งทุกข์ อย่างนี้ๆ     เมื่อนั้น   อริยสาวกนั้นย่อมทราบ

    ชัดพรหมจรรย์อันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส     เป็นที่ดับทุกข์

    ข้อที่เรากล่าวว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์ เหตุ

    เกิดแห่งทุกข์  ความต่างแห่งทุกข์ วิบากแห่งทุกข์    ความดับแห่งทุกข์

    ปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์  ดังนี้นั้น   เราอาศัยข้อนี้กล่าว.

               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นธรรมปริยายที่เป็นปริยาย    เป็น

    ไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส.

     

จบนิพเพธิกสูตรที่  ๙
89  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / จูฬกัมมวิภังคสูตร ว่าด้วยการจำแนกกรรม สูตรเล็ก เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2011, 10:22:21 am
จูฬกัมมวิภังคสูตร

     ว่าด้วยการจำแนกกรรม  สูตรเล็ก

     [๒๘๙]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
         สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่  ณ  พระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เขตกรุงสาวัตถี  สมัยนั้นแล  สุภมาณพโตเทยยบุตร  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ  แล้วได้สนทนาปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ  พอเป็นที่ระลึกถึงกัน  แล้วนั่ง  ณ  ที่สมควร  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

     “ท่านพระโคดม  อะไรหนอ  เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์ที่เกิดเป็นมนุษย์ปรากฏเป็นคนเลวและคนดี  คือ  มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฏว่ามีอายุสั้น  มีอายุยืน  มีโรคมาก  มีโรคน้อย  มีผิวพรรณทราม  มีผิวพรรณดี  มีอำนาจน้อย  มีอำนาจมากมีโภคะน้อย  มีโภคะมาก  เกิดในตระกูลต่ำ  เกิดในตระกูลสูง  มีปัญญาน้อย มีปัญญามาก


        ท่านพระโคดม  อะไรหนอ  เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มนุษย์ทั้งหลายที่เกิดเป็นมนุษย์ปรากฏเป็นคนเลวและคนดี”

{ที่มา : พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๔ หน้า :๓๔๙- ๓๕๐ }
90  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระมีรายได้ มากกว่า 40000 บาท ต่อเดือน จริงหรือไม่ครับ เมื่อ: มีนาคม 18, 2011, 10:33:03 am
เมื่อวานเพื่อนผม คนหนึ่งปรารภ ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี งานก็ทำท่าจะไปไม่รอด เดี๋ยวจะไปบวชแล้ว

ไปบวชทำไมละ

 เป็นพระมีรายได้ มากกว่า เดือนละ 40000 บาท นะสิ

 จริงหรือ

 จริง

 วัดไหน ที่มีรายได้ขนาดนั้น

 วัดธ... หลวงน้า อยู่ที่นั่น...

 

  ผม ก็แปลกใจว่า จะเป็นจริง หรือ ที่พระทุกรูป จะมีรายได้ถึง 40000 บา่ท ต่อเดือน

 :smiley_confused1:
91  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บริษัท เทปโก ขอแรงอาสาสมัครประมาณ 20 คนให้เข้าไปกู้วิกฤตนิวเคลียร์ เมื่อ: มีนาคม 18, 2011, 10:19:34 am
การกระทำเยี่ยงนี้ บุคคลเหล่านี้จะได้กุศลใดเป็นหลักคะ?
................................................................................................
บริษัท เทปโก ขอแรงอาสาสมัครประมาณ 20 คนให้เข้าไปกู้วิกฤตนิวเคลียร์ และควบคุมสถานการณ์ในโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ หมายเลข 1 ซึ่งระบบหล่อเย็นล้มเหลวจากเหตุแผ่นดินไหวระดับ 9.0 และคลื่นยักษ์สึนามิ เมื่อวันศุกร์ (11) ที่ผ่านมา สำนักข่าวจิจิเพรส รายงาน
     
      ข้อมูลของสำนักข่าวท้องถิ่นแห่งนี้ระบุว่า อาสาสมัครทั้ง 20 คน ป็นพนักงานของบริษัทเทปโก และบริษัทอื่นๆ รวมกัน ในจำนวนนี้มีพนักงานชายวัย 59 ปี ซึ่งทำงานในสถานีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มานานกว่า 40 ปี และมีกำหนดเกษียณอายุในอีก 6 เดือนข้างหน้า
     
      อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เอเอฟพียังไม่สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทเทปโก เพื่อยืนยันข้อมูลดังกล่าวได้
     
      วันนี้ (17) เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพญี่ปุ่นได้ปล่อยน้ำราดลงบนเตาปฏิกรณ์ หน่วยที่กำลังวิกฤตของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ เพื่อดับความร้อนของแท่งเชื้อเพลิง และป้องกันการปลดปล่อยกัมมันตภาพรังสีมหาภัยที่ทั่วโลกกำลังหวั่นเกรง
     
      วัตถุประสงค์ปฏิบัติการดังกล่าว คือ การปล่อยน้ำให้ท่วมแท่งเชื้อเพลิงภายในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่มีความ ร้อนสูงเพื่อไม่ให้แท่งเชื้อเพลิงเหล่านั้นหลอมละลายเมื่อสัมผัสกับอากาศ และอาจปล่อยรังสีที่เป็นอันตรายออกมา
     
      สำนักข่าวจิจิเพรสได้นำข้อความบนทวิตเตอร์ของสตรีชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งมาเปิด เผย โดยเธอระบุว่า เป็นบุตรสาวของอาสาสมัครวัย 59 ปีคนดังกล่าว และได้แสดงความภาคภูมิใจระคนกลัดกลุ้ม เมื่อทราบเรื่องที่พ่อของเธออาสาเข้าร่วมทีมกู้วิกฤตชาติ เพื่อยับยั้งการรั่วไหลของกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ แม้ภาระหน้าที่ดังกล่าวต้องเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงก็ตาม
     
      “ฉันต้องฝืนทนกลั้นน้ำตาเมื่อรู้ข่าวพ่อ พ่อที่กำลังเกษียณอายุในอีก 6 เดือน อาสาสมัครไป” ข้อความของเธอบนทวิตเตอร์ระบุ “พ่อพูดว่า 'อนาคตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นอยู่กับวิธีจัดการกับวิกฤตครั้งนี้ของเรา พ่อต้องไปเพราะมันเป็นหน้าที่' ... ฉันไม่เคยภูมิใจในตัวพ่อเท่านี้มาก่อน”

จากคุณ    : จูออน07
92  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ภิกษุณีนิรามิสา เมื่อ: มีนาคม 18, 2011, 10:16:40 am
ปัจจุบันนี้มีสตรีเป็นจำนวนมากที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรม
ไม่ ว่าจะเป็นการให้ความสนใจเข้าปฏิบัติธรรมตามสถานธรรมต่างๆที่มีกระจัดกระจาย อยู่ทั่วประเทศ หรือบางท่านมี่ความศรัทธาและปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเดินตามรอยพระบาทแห่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการละวาง และปลงเสียซึ่งความสวยงามอันมิคงทน ด้วยการโกนศีรษะบวชเป็นแม่ชี ในพระพุทธศาสนา แล้วมุ่งมั่นแสวงหาความสงบจากการปฏิบัติกันอย่างจริงจัง จนมีชื่อของแม่ชี และอุบาสิกาหลายท่านที่ปรากฎให้เราท่านได้เข้าไปกราบไหว้ และฝากตัวเป็นศิษย์รับการอบรมพระธรรมแห่งพระบรมศาสดา มากหลายท่านอยู่ บางท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนสามารถสร้างพระเครื่องออกมาสู่วงการตลาดพระ เครื่องให้เป็นที่เลื่องลือในพุทธคุณเช่นพระพุทโธน้อยของแม่ชีบุญเรือนเป็น ต้น
     ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลเป็นต้นมาแล้วที่สตรีเพศให้ความเลื่อมใสศรัทธาในพระ พุทธศาสนาเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุณี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้แก่พระนางมหาปชาบดี พระน้านางของพระองค์เป็นพระภิกษุณีรูปแรกซึ่งการบวชนี้เรียกว่า"ครุธรรมปฏิ คคหณูปสัมปทา"(อุปสมบทด้วยการรับครุธรรม๘ประการ) อันคำว่าภิกษุณีนี้มีปรากฎเป็นครั้งแรกก็จากดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าเองโดยตรัสว่า"ดูกร อานนท์คราวตรัสรู้แล้วใหม่ๆ เราพักอยู่ใต้ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชลา ณ.อุรุเวลาประเทศ คราวนั้นมารผู้มีบาปได้เข้าไปหาเรา..แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตเจ้าจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด  บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว..เราได้กล่าวตอบไปว่า  มารผู้มีบาปตราบใดที่ภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ไม่ได้รับคำแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม  เรียนกับอาจารย์ของตนแล้วยังบอกแสดง บัญญัติ เปิดเผยจำแนก ทำให้ง่ายไม่ได้  ยังแสดงธรรมที่มีปาฏิหารย์ ข่มขี่คำกล่าวให้ร้ายให้เรียบร้อยโดยชอบธรรมไม่ได้...ตราบนั้นเรายังจะไม่ ปรินิพพาน"
 พระพุทธองค์ทรงได้พระภิกษุเป็นพระสาวกตั้งแต่ตรัสรู้ได้พรรษาแรก ต่อมาหลังจากพรรษาที่ ๕ ก่อนย่างเข้าพรรษาที่ ๖ ทรงได้พระภิกษุณีเป็นพระสาวิกา  ในวันที่พระนางมหาปชาบดีได้บวชเป็นพระภิกษุนีนั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า" ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้พระภิกษุอุปสมบทให้สตรีเป็นพระภิกษุณีได้" หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระนางมหาปชาบดีและเจ้าหญิงแห่งศากยะวงศ์ ได้บวชเป็นพระภิกษุณีรูปแรกและกลุ่มแรกแล้ว ต่อมาได้มีสตรีจำนวนมากออกบวชตามจนกระทั่งเกิดมีพระภิกษุณีแพร่หลาย จนกลายเป็นพระภิกษุณีสงฆ์หมู่ใหญ่ ทรงได้รับการแต่งตั้งจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นพระอสีติ ภิกษุณีทางด้านต่างๆและยังทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอัครสาวิกาเบื้องซ้าย พระอัครสาวิกาเบื้องขวา เช่นเดียวพระโมคคัลลา และพระสารีบุตร คือมีความสามรถ เป็นเอกทางอิทธิฤทธิ์ และเป็นเอกทางปัญญาดุจเดียวกัน ซึ่งข้าพเจ้าจะขอค้นคว้าเรื่องราวของพระนางเขมาเถรีผู้ได้รับการแต่งตั้ง เป็นพระอัครสาวิกาเบื้องขวา และพระนางอุบลวรรณาเถรีพระอัครสาวิกาเบื้องซ้าย มาบันทึกไว้เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณให้เพื่อนสมาชิกและผู้ที่สนใจทั่วไป ได้ทราบและได้น้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณแห่งทั้งสองพระองค์ ต่อไป
    ในปัจจุบันนี้เองมีสตรีจำนวนมาก ที่เกิดศรัทธาและปรารถนาจะออกบวชเป็นพระภิกษุณีอย่างในครั้งพุทธกาล แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในพระพุทธศาสนาฝ่ายนิกายเถรวาทอย่างในประเทศศรีลังกา พม่า ไทย ลาวและเขมร ไม่มีพระภิกษุณีสืบสายเหลืออยู่ คงมีแต่เฉพาะในนิกายมหายาน เช่นในใต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี
ความจริงตั้งแต่พ.ศ.๒๓๘เป็นต้นมา ถือว่าพระภิกษุณีได้มั่นคงและแพร่หลายอยู่ในเกาะลังกา นอกจากอินเดียแล้วก็มีในศรีลังกาเท่านั้นที่มีพระภิกษุณีอยู่ ส่วนในประเทศอื่นๆคือพม่า ไทย ลาว เขมรจนกระทั่งมาถึงพ.ศ.  ๑๖๑๔ได้เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจขั้นรุนแรงที่ศรีลังการะหว่างเผ่าสิงหลซึ่ง นับถือพุทธศาสนากับชนเผ่าทมิฬ ปรากฎว่าชนเผ่าทมิฬชนะได้ครองอำนาจเบียดเบียนพระภิกษุ ภิกษุณี จนน่าจะเป็นเหตุให้พระภิกษุณีสูญสิ้นไปจากลังกาและพระพุทธศาสนาฝ่ายนิกาย เถรวาท  แม้แต่ในอินเดียเองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพระภิกษุฯสงฆ์ก็ไม่มีเหลืออยู่ แล้ว เมื่อที่ศรีลังกาสูญสิ้นก็เป็นอันว่าไปทั้งหมดโดยปริยาย
  ดังนั้นสตรีที่ปรารถนาจะออกบวชจะทำอย่างไร?
ในประเทศศรีลังกา มีการอนุญาตให้สตรีบวชรักษาศีล๑๐เรียกว่า"ทศศีลมาตา"(คุณแม่ผู้รักษาศีล๑๐ประการ)
ในประเทศเมียนมาร์อนุญาตให้สตรีบวชนุ่งห่มชุดสีชมพูรักษาศีล๘เรียกว่า"แหม่ตี่ละ"แปลว่าแม่ศีล
ในประเทศไทย มีการอนุญาตให้สตรีบวชนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีล๘หรือศีล๑๐เรียกว่า"แม่ชี"
 สำหรับในประเทศไทยเราแม่ชีได้รับการยอมรับจากคนในสังคมเพราะมีส่วนในการช่วยเหลือสังคมแบบเป็นรูปธรรม......

แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 54 20:47:44

จากคุณ    : posataporn
93  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เวลาจัดงานศพ ที่บ้านหนู นิยม เผาเสื้อผ้า ที่นอนของคนตายเพื่อให้คนตาย เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 11:20:34 pm
โดยส่วนตัว แล้ว มีมุมมองต่างนิดหนึ่ง

ตรงที่ว่า การเผากระดาษเงิน กระดาษทอง นั้น ส่งเสริมอาชีพ คือการทำกระดาษและขายกระดาษ

ส่วนในระหว่างที่พับกระดาษจำนวนมากนั้น ผู้พับจะได้ผ่อนใจที่โศกเศร้า ยามคิดถึงผู้ตาย...

 พอมองตามมุม แล้ว จะเห็นเรื่องที่มีสาระ คือ ใจของคนที่ระลึก ถึงซึ่งกันและกัน ระลึกถึงคุณธรรม

คือ ความดี และ ความดี และเก็บมาเป็นบทเรียน สอนใจให้เห็นธรรม

 :86:

94  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เวลาจัดงานศพ ที่บ้านหนู นิยม เผาเสื้อผ้า ที่นอนของคนตายเพื่อให้คนตาย เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 11:17:37 pm

เผากระดาษเงินทองไร้ประโยชน์
มนุษย์นิยมฆ่าสัตว์ เพื่อเซ่นไหว้ผีสางเทวดา และเผากระดาษเงินกระดาษทอง จุดประสงค์เพื่อส่งเงินทองให้ภูตผีเทวดาใช้ โดยหวังให้ช่วยปกป้องคุ้มครองแต่การฆ่าสัตว์เป็นเครื่องเซ่นเป็นการก่อเวร สร้างกรรมไหนเลยผีสางเทวดาจะกล้ารับ และผีสางเทวดาทำไมต้องใช้กระดาษเงินกระดาษทองที่มนุษย์ได้ผลิตกันขึ้นมา อย่างหยาบๆ เช่นนี้ด้วยเล่า? แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ ได้สืบทอดต่อๆ กันมานานนับพันปีแล้ว จนถึงปัจจุบันยังไม่มีหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงนิยมอันไม่ถูกต้องนี้ได้ ชาวโลกแม้จะมีใจเลื่อมใสศรัทธาเทพยดาและจุดมุ่งหมายนั้นก็ดีอยู่ แต่เป็นการสิ้นเปลืองโดยแท้
ประวัติที่มาของการเผากระดาษเงินกระดาษทองแท้ที่จริงเริ่มมาจากรัชสมัย พระเจ้าถังไท่จง(พ.ศ.1170-1193 )แห่งราชวงศ์ถัง สาเหตุที่พระองค์ส่งเสริมก็คือ ตอนที่ครองราชย์ใหม่ๆ ด้วยทรงหว่งเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่สงบเรียบร้อย อัครเสนาบดีเว่ยเจิงถึงถวายแผนการว่า ขอให้พระองค์ทรงทำเป็นว่าป่วยหนักแล้ววิญญาณได้ไปท่องเที่ยวขุมนรก และได้ถูกพวกผีเปรตมากมายห้อมล้อมวิงวอนให้พระองค์ทรงโปรดสงเคราะห์ช่วย เหลือ พระองค์ได้รับปากว่ารอให้กลับเมืองมนุษย์ก่อนแล้วจะหาวิธีส่งเงินทองไปให้ พวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงได้แนะนำสนับสนุนให้ประชาชนเผากระดาษเงิน กระดาษทองสงเคราะห์ พวกเปรต เหตุผลประการที่ 1 คือ เป็นการเพิ่มงานอาชีพและรายได้ประชาชน ประการที่ 2 ทำให้ประชาชนรู้ว่านรกมีจริงบาปบุญคุณโทษมีจริง เป็นการเตือนสติไม่ให้ประชาชนกระทำผิดกฎหมายด้วยเหตุดังกล่าว จึงส่งเสริมการเผากระดาษเงินกระดาษทองประชาชนก็เชื่อคิดว่าเป็นความจริง จึงไม่กล้าทำบาปทำชั่วบ้านเมืองจึงเกิดความร่มเย็นสงบสุขนับแต่นั้นมา เมื่อเกิดเรื่องเดือดร้อน ชาวบ้านก็เผากระดาษเงินกระดาษทอง เพื่อหวังให้ผีสางเทวดาปกป้องคุ้มครองการเผาให้พวกผีสางเทวดาก็เหมือนกับการ ติดสินบนหรือให้ซองขาว ในเมืองมนุษย์การติดสินบนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แล้วกฎสวรรค์ซึ่งเคร่งครัดยิ่งกว่าเสียอีก ผีสางเทวดาจะกล้ารับกระดาษเงินกระดาษทองที่ทางเมืองมนุษย์ทำจากกระดาษหยาบๆ ได้อย่างไร? ถึงแม้ผีสางเทวดาได้รับ ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
นี่เป็นเพียงนโยบายการปกครองของอัครเสนาบดีเว่ยเจิงให้ประชาชนเชื่อว่าผีสาง เทวดามีจริง เพื่อให้ไม่กล้าก่อกรรม ทำชั่ว ซึ่งผิดกฎหมาย
ตามความเป็นจริง ผีสางเทวดานั้นมีแน่ แต่ผีสางเทวดาไม่ต้องการใช้กระดาษเงินทองที่มนุษย์ผลิตขึ้นมาผีสางเทวดาต้อง การแต่ควันธูปเท่านั้น ฉะนั้นการกราบไหว้ผีสางเทวดาใช้แต่เพียงธูป 3 ดอก ผลไม้และความจริงใจ ก็สามารถตอบสนองได้ การเผากระดาษเงินทองให้ผีสางเทวดาเป็นสิ่งไร้ประโยชน์โดยแท้ เป็นการสิ้นเปลืองโดยไช่เหตุ
ขอให้ชาวโลกควรเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าได้หลงงมงายในโลกมนุษย์มีผู้หลงยึดคตินิยมผิดๆ พอถึงวันครบรอบวันเกิดวันประสูติของเทพ พุทธะ หรือจัดงานธรรมพิธีต่างๆ ก็ทำการเผากระดาษเงินทอง โดยเฉพาะแต่ละครั้งเผากันเป็นจำนวนถึงหลายรถบรรทุก ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมากโดยแท้ ขอให้ลูกๆ ทั้งหลายรีบตื่นเถิด อย่าได้หลงยึดคติผิดๆ อีกเลย ถ้าหากสามารถละทิ้งความหลงงมงายนี้ได้ เรียกว่า ปัญญาชน
ลองคิดดูซิ ธนบัติที่ใช้กันในชนชาติต่างๆในโลกต่างพิมพ์โดยรัฐอย่างวิจิตรประณีตด้วย กระดาษชั้นดีเยี่ยม โดยใช้แทนงินตรา อันเป็นสิ่งสูงค่า แต่กระดาษเงินกระดาษทองที่ชาวบ้านเผาไปให้ผีสางเทวดานั้นมาจากพวกพ่อค้าที่ ผลิตอย่างหยาบๆ ด้วยกระดาษชั้นเลว ผีสางเทวดาจะใช้ได้หรือ? และอีกอย่างผีสางเทวดาก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษเงินทอง ขอแต่เพียงให้พวกเธอกราบไหว้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาก็พอแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เผากระดาษเงินกระดาษทองผีสางเทวดาก็อาจตอบสนองได้ดีกว่าเสีย อีก

ที่มา

http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=162&page=44
95  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การฟ้อนรำ ขับร้อง กับ การรำมวย ท่าออกกำลังกาย เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 11:16:04 pm
กาย เกิดกำลัง จิต เป็นผู้ควบคุม

กาย เสื่อม จิต ทรงตัว

กาย ดับ จิต จุติใหม่

กายเคลื่อนไหว จิตผ่อนปรน

กายเคลื่อน จิตรับรู้

 
96  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อะไรกันนี่: พระเจ้าในศาสนาคริสต์ ฮินดู และพระพุทธเจ้า มีลักษณะตรงกันเปี๊ยบเลย เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 10:58:05 pm
มัทธิว 4:1-11

1 พญามารทดลองพระเยซู (มก 1:12-13; ลก 4:1-13)ครั้งนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อพญามารจะได้มาทดลอง
2 และเมื่อพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้ว ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร
3 เมื่อผู้ทดลองมาหาพระองค์ มันก็ทูลว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร"
4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'"
5 แล้วพญามารก็นำพระองค์ขึ้นไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร
6 แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า `พระองค์จะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของท่านจะกระแทกหิน'"
7 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า "พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า `อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน'"
8 อีกครั้งหนึ่งพญามารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร
9 แล้วได้ทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน"
10 พระเยซูจึงตรัสตอบมันว่า "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า `จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว'"
11 แล้วพญามารจึงละพระองค์ไป และดูเถิด มีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์
97  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อะไรกันนี่: พระเจ้าในศาสนาคริสต์ ฮินดู และพระพุทธเจ้า มีลักษณะตรงกันเปี๊ยบเลย เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 10:49:40 pm
คุณสามารถหายจากโรคภัย ไข้เจ็บได้ ด้วยอำนาจของพระเจ้า

พระเจ้าที่แท้ เป้นอนันต์



ที่สำคัญ ผมไม่แยกคนพุทธ หรือคริสต์ ผมเห็นเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วผมรู้ว่ามีคนต้องการหาทางที่จะออกจากปัญหาทางสังคมที่เขาเผชิญอยู่ แล้วผมมาช่วย ซึ่งมันไม่ได้เป็นหลักที่ผิดศีล หรือกฏของศาสนาพุทธตรงไหนด้วยครับ

เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่าคนเจ็บต้องการหมอแต่คนสบายไม่ต้องการ ...มัทธิว 9:12

จงขอแล้วจะได้จงหาแล้วจะพบจงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน ...มัทธิว 7:7

จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตนและจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ...มัทธิว 19:19

ศาสนาคริสต์นั้นแบ่งเป็นหลายนิกาย เช่น คาทอลิก ออโทดอค โปรแตสแต๊น

ซึ่งคอทอลิกกับออโทดอค เป็นคริสต์ที่ก่อการสงครามและการฆ่าฟัน

โดยเฉพาะคาทอลิกมีการเปลี่ยนธรรมบัญญัติจากเดิมที่พระเจ้าให้มา ซึ่งเป็ข้อต้องห้าม

มีการไหว้รูปเคารพซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าเกลียดที่สุด และมีพระสงฆ์ มีแต่บาทหลวงเท่านั้นที่อ่านพระคัมภีร์ได้

เงินสามารถที่จะลบล้างบาปได้

ที่ผมนับถือนั้น อยู่ในนิกายโปรแต๊สแต๊นครับ เป็นนิกายที่ไม่เคยมีประวัติการต่อสู้ เป็นนิกายที่ประกาศถึงความรัก คอยช่วยเหลือผู้ยากไร้ ปฏิบัติอยู่ในทางธรรม

ไม่ยึดติดกับสิ่งของ และความสวยงาม จึงไม่ได้ตกแต่งคริสตจักรให้สวยงาม

ขอแค่เข้าใจในหลักธรรม สิ่งที่ถูกต้องคือหลักธรรม และการทำอัศจรรย์ต่าง ๆ

ถ้าการอ้างว่า เป็นคริสต์เหมือนกันก็ไม่ดี ต้องขอบอกเลยครับว่า เราเข้าใจหลักธรรมมากกว่านิกายอื่นใด

มันไม่ต่างกับพระสงฆ์พุทธที่มีการทำชั่ว ทำให้พระสงฆ์ดี ๆ ต้องเสื่อมเสียไปด้วย

และมันไม่ถูกต้องแน่นอน ถ้าบอกว่าพระสงฆ์ไม่ดีนั้น เป็นเพราะคำสอนของพุทธไม่ดี ก็ไม่ใช่

แต่เป็นที่ตัวบุคคลครับ

เช่นกัน เราโปรแต๊สแต๊น ประกาศพระกิตติคุณของพระเยซู ไม่ใช่พระแม่มารีย์ครับ

และสิ่งแตกต่างที่ได้เห็นเด่นชัดเลยคือ การอัศจรรย์เกิดขึ้นกับเรา ผู้คนสามารถพิสูจน์เรื่องการพระชนม์อยู่ของพระเจ้าได้ครับ

ไม่ใช่เอาแต่สงคราม แต่เรารักทุกคน และยอมตายในสงครามเพื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูได้ครับ ^^

ขอบคุณมากครับ ถึงมันจะเป็นคำถามแง่ลบ แต่ผมชอบคำถามที่เป็นปัญญาอย่างนี้มากกว่าที่จะมานั่งบ่นทั้งที่ไม่รู้ความจริงครับ

 
98  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่? เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 11:06:00 pm



พระเจ้าคือผู้ช่วยเหลือ ทำให้คนตาบอดหายตาบอด ทำให้คนเดินไม่ได้เดินได้

เป็นตัวอย่างบางส่วนที่มานำเสนอ เพราะวันนี้ผมมาช่วย คุณมีคนเจ็บ คนป่วย ก็บอกเขาระลึกถึงพระเจ้าเถอะครับ

99  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่? เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 11:03:06 pm
“ลูกขออธิษฐานขอเชิญพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของลูก เพราะลูกเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ได้มาเกิดเป็นมนุษย์

ยอมรับความยากจนเแทนลูก พระองค์ยอมรับความเจ็บป่วยของลูกผ่านร่างกายที่ถูกเคี้ยนของพระองค์

ท่านยอมรับเคราะห์กรรมเวรกรรมสิ่งต่าง ๆ ทั้งบาปที่ลูกได้ทำไป

และลูกเชื่อว่าลูกสามารถที่จะละจากทางบาป เพราะพระโลหิตของพระเยซูได้ชำระล้างจิตใจของลูก ให้ลูกนั้นเป็นคนที่ชอบธรรม

ลูกเชื่อว่าเมื่อพระองค์ตายไปวิญญาณของพระองค์ได้ลงไปชดใช้เคราห์กรรม เวรกรรมของลูกทั้งหมดในนรก 3 วัน และเป็นขึ้นมาจากความตาย และเสด็จขึ้นสวรรค์

ลูกขออธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน”

เมื่อคุณอธิษฐานด้วยความเชื่อ ด้วยไร้ความสงสัย ต่อจากนี้ไปคุณก็สามารถขอสิ่งที่คุณปรารถนาจากพระองค์ได้ (แต่ต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องนะครับ)

เช่นพระเจ้า ลูกอยากเลิกเหล้า เลิกบุรี่ ขอพระองค์ได้โปรดช่วยลูกด้วยเถิด ลูกขออธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

พระเจ้าลูกตาบอด ลูกต้องการที่จะมองเห็น ของพระองค์ทรงทำให้ตาของลูกมองเห็น เพราะลูกเชื่อว่าพระเยซูได้รับเคราะห์กรรมเวรกรรมส่วนนี้ของลูกไปแล้ว ลูกของอธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

แล้วคุณไม่ต้องสงสัยว่าสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นได้ไง เพราะผมได้บอกแล้วว่า พระองค์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แน่นอน

และสิ่งที่คุณรับเชื่อแล้วนั่น สิ่งที่ทำต่อไปคือ ไปคริสตจักร(โปรแตสแต๊น) เพราะคุณเป็นเหมือนเด็กเพิ่งเกิด คุณต้องการคนที่เลี้ยง และสอนคุณ

อ่านพระคัมภีร์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คุณจะขาดไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์ เป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งจะบอกทางออกของปัญหาทุกปัญหาในชีวิตคุณได้

การอธิษฐาน คุณอย่าลืมที่จะอธิษฐานละ เพราะการอธิษฐานนั้น คุณก็จะได้รับตามความปรารถนาของคุณ

และเมื่อคุณพลาดทำบาปอีก คุณก็ต้องบอกกับพระองค์ ให้พระองค์ทรงประทานอภัยให้ แล้วตั้งใจที่กลับใจใหม่ทุกครั้ง

คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต …มาระโก 2:17
100  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่? เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 11:00:54 pm
ถ้าพี่น้องเชื่อเรื่องของพระพุทธเจ้า พี่น้องก็หน้าจะรู้ว่า เทวดามีมาก่อนมนุษย์ ไม่ใช่ว่ามีมนุษย์ก่อนถึงค่อยมีเทวดาใช่ไหม

มีสวรรค์ มีนรกใช่ไหม แล้วใครกันละ ที่เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่เป็นกษัตริย์สูงสุดบนสวรรค์

ซึ่งพวกผมเรียกกันว่าพระเจ้านั่นเอง

พระเจ้าในที่นี่ ในแต่ละพื้นที่ก็ตั้งชื่อพระเจ้าไปต่าง ๆ นา ๆ ตามจินตนาการ เพราะไม่รู้จักพระเจ้าที่แท้จริง

แต่พระเจ้าคือ พระผู้ชอบธรรม และเป็นเจ้าของเจ้านายผู้ใหญ่ที่สุด

สิ่งที่พระเจ้าสร้างก็คือชีวิต พระเจ้าเป็นวิญญาณ ได้ปั้นมนุษย์ขึ้นมาจากผงคลีดิน และถ่ายลมปราณใส่วิญญาณเข้าไป

ซึ่งชาวพุทธจะรู้ถึงจุดนี้ดีว่า ร่างกายมนุษย์เป็นธาตุดิน มีลมปราณ มีไฟเป็นอุณหภูมิ และมีของเหลวในร่างกาย

งานศพชาวพุทธก็มีการเผา กลายเป็นควัน เอากระดูกส่วนนึงไปลอยอังคาร และส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้คงสภาพเดิม

พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อนมัสการ สรรเสริญ พระเจ้าที่มองไม่เห็น เพราะพระองค์ทรงเป็นวิญญาณ

ไม่แปลกเลยที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่หาสิ่งที่นมัสการ ไม่ว่าจะไปเจออะไรแปลก ๆ ก็กราบไหว้

สร้างรูปปั้นมากราบไหว้

เนื่องจากในใจมนุษย์มีจิตใต้สำนึกที่จะนมัสการสรรเสริญ แต่หาสิ่งที่ตามหานมัสการไม่เจอ เพราะไม่รู้

สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่รูู้คือพญามารที่ได้หลอกล่อให้มนุษย์คู่แรกได้ทำบาป และต้องออกห่างจากพระเจ้าไป

ทำให้มนุษย์นั้นเป็นทาสของบาป และเคราห์กรรมเวรกรรมนั้น

แม้แต่ทุกวันนี้มันก็ยังอยู่ มันสามารถหลอกผู้อื่นได้ในคราบของพระ หรือเทวดา เพราะมันก็คือเทวดา

ที่ได้ก่อกบฏต่อพระเจ้ามันสามารถนำสิ่งที่ถูก เอามาบิดเบือนให้คนเราเข้าใจผิดได้ แม้กระทั่งการสร้างรูปปั้น

ศาสดาของศาสนาไม่ได้บอกให้สร้าง

มันหลอกทุกอย่าง หลอกได้แม้กระทั่งพระสงฆ์ ให้เห็นผิดเป็นชอบ เลยเป็นที่มาของคำว่าผีหลอก

มันหลอกแม้กระทั้งคำว่าสวัสดีเป็นคำทักทาย ทั้งที่สวัสดีเป็นคำอวยพร และใช้อวยพรกันตอนเจอหน้ากัน

แต่ปัจจุบันมนุษย์เราก็ไม่รู้ สอนกันแบบผิด ๆ ว่าการสวัสดีเป็นสิ่งดี แสดงถึงมารยาท คนจึงทำไปเพราะไม่เห็นความสำคัญของมันไปแล้ว

บอกว่าหวัดดีแทน ซึ่งจากคำอวยพร ก็เป็นคำสาปแช่ง คำสาปแช่งก็สามารถเกิดขึ้นได้แม้ไม่ได้ตั้งใจ เพราะคำพูดของเรา หรือวจีรกรรม

คนปัจจุบันไม่ได้ฟังคำเทศนาของพระพุทธเจ้า แต่จะฟังคำเทศนาของพระสงฆ์ที่มันบิดเบือนไป

เพราะความหวังดีเพื่อที่จะให้คนฟังเทศน์ ไม่ง่วง ไม่เบื่อ แต่พอฟังไปแล้วก็อนิจจัง ไม่ได้อะไรเลย

ไปจำแต่ท่อนสนุก ๆ เท่านั้น

บางคน ก็ตั้งใจศึกษาพระธรรมตรงตัว แต่ก็ไม่เข้าใจ เพราะเคราะห์กรรมเวรกรรมนั้นได้บังตาเขาอยู่

และพญามารนั่นแหละครับ ที่เป็นนายทาส หรือเจ้ากรรมนายเวรของเรา

แล้วผู้ปฏิบัติธรรม ก็ไม่น่าแปลกใจเลย ที่จะมีสิ่งเข้ามารบกวนทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จ

กลายเป็นต้องอุตทิศส่วนกุศล หรือบำเหน็จที่เราได้ทำไว้นั้นให้มัน เพื่อให้มันไม่เบียดเบียน

เพื่อการดำรงค์ชีวิต และความสุขกายสุขใจของเรา

ต้องทำประจำ แล้วสุดท้ายเราก็ต้องไปชดใช้ในนรกอยู่ดี เพราะความดี อุทิศให้แต่ไม่ลบความบาปนั้นเลย
101  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ท่านอื่นรู้แต่อนาตคตที่เปลี่ยนแปลงได้ มีพระพุทธเจ้ารู้อนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 10:59:21 pm
คนโง่ไม่เพลิดเพลินในความเข้าใจแต่เพลิดเพลินในการแสดงความคิดเห็นของตนเท่านั้น ...สุภาษิต 18:2

สวัสดีครับผมเป็นคริสต์เตียน ผมจะมากล่าวหัวข้อเรื่องศาสนาให้ผู้คนที่ยังไม่เข้าใจ ได้เข้าใจนะครับ

ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ซึ่งตรงนี้ผมบอกได้เลยครับว่าถูกต้อง 100%

เพราะไม่งั้นแล้ว เขาคงไม่เรียกกันหรอกครับว่าศาสนา

และทุกศาสนาหลัก ๆ สอนให้เราทำความดี ละความชั่ว รักษาจิตใจให้ดี

แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ไม่มีใครดีได้ 100% เต็ม เพราะทุกวันก็คิดไม่ดีแล้ว แม้แต่การอ่านบอร์ดนี้คุณก็อาจคิดพิพากษากล่าวโทษผมแล้ว

ผมยอมรับเลยครับว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ใจกว้าง ยอมรับฟังเหตุ และผล

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณ ไม่สามารถศึกษาพระธรรม และสิ่งต่าง ๆ ได้เพราะคุณมีผลมาจากเคราะห์กรรมเวรกรรม ที่มันจะคอยบังตาปิดหูของคุณอยู่

ไม่ว่าต่อให้คุณจะพยายามทำสิ่งใด ก็จะมีปัญหามาเรื่อย ๆ หรือปัญหาใหม่แก้ได้ ปัญหาเก่าก็ผุดขึ้นมา
102  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ท่านอื่นรู้แต่อนาตคตที่เปลี่ยนแปลงได้ มีพระพุทธเจ้ารู้อนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 10:46:01 pm
ผมคิดว่าการยอมรับศาสนาอื่น ๆ นั้นก็คือการยอมรับพระเจ้าครับ


กิจแรกของผมคือเชื่อ กลับใจ และละจากทางบาปทั้งปวง

กิจที่สอง ประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูที่มีต่อผม และดำรงค์ชีวิตอย่างถูกต้อง

กิจที่สาม แสวงหาพระพักต์พระองค์ ซึ่งตรงนี้หลายคนรวมทั้งผมได้ยินได้สัมผัส ได้เห็น

แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราชข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้า พระองค์ ...สดุดี 23:4

พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์และเป็นความสว่างแก่มรคาของข้าพระองค์ ...สดุดี 119:105

ความสว่างส่องเข้ามาในความมืดและความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่ ...ยอห์นฺ 1:5

เพราะพระเยซูเป็นทางเดียว และเป็นทางที่แคบ

ไม่แปลกเลยที่เวลาใครจะชวนให้ผู้คนเชื่อหมอดู หมอผีก็เชื่อกันง่าย

พระต่าง ๆ เขาก็เชื่อกันง่าย

แต่เมื่อเราเอ่ยนามพระเยซู กลับเป็นเรื่องแปลกที่ทุกคนไม่ยอมรับความจริง

และผู้ที่รับใช้พระองค์ก็ถูกข่มเหงจากผู้คน มีการทดลองเข้ามาตลอด

จริง ๆ อย่างที่คุณว่าครับ พระเจ้าทั้งชี้ ทั้งบอกผู้คนให้มาทางพระเยซู แต่ก็ไม่มีใครมองเห็น

พระองค์เป็นทางแคบ ดูแล้วเดินลำบาก เพราะสอนแต่สิ่งที่ยากที่จะทำได้ อย่างรักศัตรู แค่การคิดก็ผิด อดทนต่อความยากลำบาก อยู่ในโลกแต่ได้มีส่วนกับการเกี่ยวข้องในบาปของโลก

ครับ เป็นทางแคบที่นำไปสู่สันติสุขจริง ๆ และพิสูจน์ได้ด้วย
หน้า: 1 2 [3]