ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - kindman
หน้า: 1 ... 4 5 [6]
201  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ธรรมสาระวันนี้ "เข้าใจ ธาตุ ก็เข้าใจ นามรูป รู้ที่ตั้งที่ดับ เพราะ อุปาทายรูป " เมื่อ: มิถุนายน 13, 2012, 11:14:45 am
         เรื่องภิกษุแสวงหาความดับของมหาภูตรูป
            [๔๘๗]    เกวัฏฏะ  เรื่องเคยมีมาแล้ว  ภิกษุรูปหนึ่งในหมู่ภิกษุเกิดความคิดคำนึง
ว่า  มหาภูตรูป  ๔  คือ  ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  และวาโยธาตุ  ย่อมดับสนิทที่
ไหนหนอ
     [๔๘๘]    ทีนั้นแล    ภิกษุจึงเข้าสมาธิถึงขั้นที่จิตตั้งมั่นจนเห็นทางไปเทวโลก    ครั้น
แล้วเธอเข้าไปหาพวกเทพชั้นจาตุมหาราชิกา    แล้วถามว่า    ‘ท่านผู้มีอายุ    มหาภูต-
รูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ย่อมดับสนิทที่ไหน’
            เมื่อเธอถามอย่างนี้    พวกเทพชั้นจาตุมหาราชิกาตอบว่า    ‘พวกเราไม่ทราบที่
ที่มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ดับสนิทไปเหมือน
กัน    แต่ท้าวมหาราช    ๔    องค์ซึ่งยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าพวกเราคงจะทราบ’
            [๔๘๙]    ทีนั้น    เธอจึงเข้าไปหาท้าวมหาราชทั้ง    ๔    องค์    แล้วถามว่า    ‘ท่าน
ผู้มีอายุ    มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ย่อมดับ
สนิทที่ไหน’    เมื่อเธอถามอย่างนี้    ท้าวมหาราชทั้ง    ๔    องค์ตอบว่า    ‘แม้พวกเรา
ก็ไม่ทราบที่ที่มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ดับสนิท
ไปเหมือนกัน    แต่พวกเทพชั้นดาวดึงส์ซึ่งยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าพวกเราคงจะทราบ’
            [๔๙๐]    ทีนั้น    เธอจึงเข้าไปหาพวกเทพชั้นดาวดึงส์แล้วถามว่า    ‘ท่านผู้มีอายุ
มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ย่อมดับสนิทที่
ไหน’    เมื่อเธอถามอย่างนี้    พวกเทพชั้นดาวดึงส์ตอบว่า    ‘แม้พวกเราก็ไม่ทราบที่ที่
มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ดับสนิทไปเหมือนกัน
แต่ท้าวสักกเทวราชผู้ยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าพวกเราคงจะทราบ’
            [๔๙๑]    ทีนั้น    เธอจึงเข้าไปหาท้าวสักกเทวราชแล้วถามว่า    ‘ท่านผู้มีอายุ
มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ย่อมดับสนิทที่
ไหน’    เมื่อเธอถามอย่างนี้    ท้าวสักกเทวราชตอบว่า    ‘แม้เราก็ไม่ทราบที่ที่มหาภูตรูป
๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ดับสนิทไปเหมือนกัน    แต่
พวกเทพชั้นยามา    ฯลฯ    เทพบุตรชื่อสุยาม    ฯลฯ    พวกเทพชั้นดุสิต    ฯลฯ    เทพบุตร
ชื่อสันดุสิต    ฯลฯ    พวกเทพชั้นนิมมานรดี    ฯลฯ    เทพบุตรชื่อสุนิมมิต    ฯลฯ    พวก
เทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดี    ฯลฯ    เทพบุตรชื่อวสวัตดีซึ่งยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าพวกเรา
คงจะทราบ’
            [๔๙๒]    ทีนั้น    เธอจึงเข้าไปหาเทพบุตรชื่อวสวัตดีแล้วถามว่า    ‘ท่านผู้มีอายุ
มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ย่อมดับสนิทที่ไหน’
เมื่อเธอถามอย่างนี้    เทพบุตรชื่อวสวัตดีตอบว่า    ‘แม้เราก็ไม่ทราบที่ที่มหาภูตรูป    ๔
คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ดับสนิทไปเหมือนกัน    แต่พวก
เทพผู้นับเนื่องในหมู่พรหม    ซึ่งยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าเราคงจะทราบ’
            [๔๙๓]    ทีนั้นแล    ภิกษุจึงเข้าสมาธิถึงขั้นที่จิตตั้งมั่นจนเห็นทางไปพรหมโลก
ครั้นแล้วเธอเข้าไปหาพวกเทพผู้นับเนื่องในหมู่พรหมแล้วถามว่า    ‘ท่านผู้มีอายุ
มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ย่อมดับสนิทที่ไหน’
เมื่อเธอถามอย่างนี้    พวกเทพผู้นับเนื่องในหมู่พรหมตอบว่า    ‘แม้พวกเราก็ไม่ทราบที่
ที่มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ดับสนิทไปเหมือนกัน
แต่พระพรหมผู้เป็นท้าวมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่    ไม่มีใครข่มเหงได้    เห็นถ่องแท้    เป็นผู้
กุมอำนาจ    เป็นอิสระ    เป็นผู้สร้าง    ผู้บันดาล    ผู้ประเสริฐ    ผู้บงการ    ผู้ทรงอำนาจ    เป็น
บิดาของสัตว์ผู้เกิดแล้วและกำลังจะเกิดซึ่งยิ่งใหญ่และสำคัญกว่าพวกเราคงจะทราบ’
            เธอถามว่า    ‘ท่านผู้มีอายุ    เวลานี้ท้าวมหาพรหมอยู่ที่ไหน’
            พวกเทพเหล่านั้นตอบว่า    ‘แม้พวกเราก็ไม่รู้ที่อยู่ของท้าวมหาพรหมหรือ
ทิศทางที่ท้าวมหาพรหมอยู่    แต่มีนิมิตที่สังเกตได้    (คือ)    แสงสว่างเกิดขึ้น    โอภาส
ปรากฏขึ้น    ท้าวมหาพรหมก็จะปรากฏพระองค์ด้วย    การที่แสงสว่างเกิดขึ้น    โอภาส
ปรากฏขึ้นนี้    จัดเป็นบุรพนิมิตแห่งการปรากฏของท้าวมหาพรหม’    ต่อมาไม่นาน
ท้าวมหาพรหมได้ปรากฏพระองค์ขึ้น
            [๔๙๔]    ลำดับนั้น    ภิกษุนั้นเข้าไปหาท้าวมหาพรหมแล้วถามว่า    ‘ท่านผู้มีอายุ
มหาภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ย่อมดับสนิทที่ไหน’
เมื่อเธอถามอย่างนี้    ท้าวมหาพรหมตอบว่า    ‘เราเป็นพรหมผู้เป็นท้าวมหาพรหมผู้ยิ่ง
ใหญ่    ไม่มีใครข่มเหงได้    เห็นถ่องแท้    เป็นผู้กุมอำนาจ    เป็นอิสระ    เป็นผู้สร้าง    ผู้บันดาล
ผู้ประเสริฐ    ผู้บงการ    ผู้ทรงอำนาจ    เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดแล้วและกำลังจะเกิด’
            แม้ครั้งที่    ๒    ภิกษุนั้นกล่าวกะท้าวมหาพรหมว่า    ‘ท่านผู้มีอายุ    อาตมาไม่ได้
ถามท่านว่า    ท่านเป็นพระพรหมผู้เป็นมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่    ไม่มีใครข่มเหงได้    เห็นถ่องแท้
เป็นผู้กุมอำนาจ    เป็นอิสระ    เป็นผู้สร้าง    ผู้บันดาล    ผู้ประเสริฐ    ผู้บงการ    ผู้ทรงอำนาจ
เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดแล้วและกำลังจะเกิดหรือ    แต่อาตมาถามท่านอย่างนี้ว่า    มหา
ภูตรูป    ๔    คือ    ปฐวีธาตุ    อาโปธาตุ    เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ย่อมดับสนิทที่ไหน’
       แม้ครั้งที่  ๒  ท้าวมหาพรหมก็คงตอบว่า  ‘เราเป็นพรหมผู้เป็นท้าวมหาพรหมผู้
ยิ่งใหญ่  ไม่มีใครข่มเหงได้  เห็นถ่องแท้  เป็นผู้กุมอำนาจ  เป็นอิสระ  เป็นผู้สร้าง  ผู้บันดาล
ผู้ประเสริฐ  ผู้บงการ  ผู้ทรงอำนาจ  เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดแล้วและกำลังจะเกิด’
            แม้ครั้งที่  ๓  ภิกษุนั้นกล่าวกะท้าวมหาพรหมว่า  ‘ท่านผู้มีอายุ  อาตมาไม่ได้
ถามท่านว่า  ท่านเป็นพระพรหมผู้เป็นมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่  ไม่มีใครข่มเหงได้  เห็น
ถ่องแท้  เป็นผู้กุมอำนาจ  เป็นอิสระ  เป็นผู้สร้าง  ผู้บันดาล  ผู้ประเสริฐ  ผู้บงการ  ผู้
ทรงอำนาจ  เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดแล้วและกำลังจะเกิดหรือ  แต่อาตมาถามท่าน
อย่างนี้ว่า  มหาภูตรูป  ๔  คือ    ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  และวาโยธาตุ  ย่อม
ดับสนิทที่ไหน’
            [๔๙๕]    ทันใดนั้น  ท้าวมหาพรหมนั้นจับแขนภิกษุนั้นพาไป  ณ  ที่สมควรแล้ว
กล่าวว่า  ‘ภิกษุ  พวกเทพผู้นับเนื่องในหมู่พรหมเข้าใจว่า  ไม่มีอะไรที่พระพรหมไม่ได้
รู้  ไม่ได้เห็น  ไม่ได้ทราบ  ไม่ได้ประจักษ์แจ้ง  ดังนั้น  เราจึงไม่ตอบต่อหน้าพวกเทพ
เหล่านั้นว่า  แม้เราก็ไม่ทราบที่ที่มหาภูตรูป  ๔  คือ  ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ
และวาโยธาตุดับสนิทเหมือนกัน  ฉะนั้น  การที่ท่านละเลยพระผู้มีพระภาคแล้วมาหา
คำตอบเรื่องนี้ภายนอก  นับว่าทำผิด  นับว่าทำพลาด  ไปเถิด  ภิกษุ  ท่านจงไปเฝ้าพระ
ผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหานี้    และพึงจำไว้ตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ’
            [๔๙๖]    ลำดับนั้น  ภิกษุได้หายไปจากพรหมโลกมาปรากฏต่อหน้าเรา  เปรียบ
เหมือนคนแข็งแรงเหยียดแขนออกหรือพับแขนเข้าฉะนั้น  เธอกราบเราแล้วนั่งลง  ณ
ที่สมควร  ถามเราว่า  ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  มหาภูตรูป  ๔  คือ  ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ
เตโชธาตุ    และวาโยธาตุ    ย่อมดับสนิทที่ไหนหนอแล’
               อุปมาด้วยนกบินดูฝั่ง
            [๔๙๗]    เมื่อเธอถามอย่างนี้  เราได้ตอบว่า  ภิกษุ  เรื่องเคยมีมาแล้ว  พวก
พ่อค้าเดินเรือทะเลนำนกตีรทัสสีลงเรือไป  เมื่อมองไม่เห็นฝั่ง  พวกเขาจึงปล่อยนก
ตีรทัสสีไป  นกนั้นบินไปยังทิศตะวันออก  ทิศใต้  ทิศตะวันตก  ทิศเหนือ  ทิศเบื้องบน
และทิศเฉียง  ถ้ามันยังแลเห็นชายฝั่งรอบ  ๆ  ก็จะบินเลยไป  ถ้ามันแลไม่เห็นฝั่งโดย
รอบก็จะบินกลับมาที่เรือนั้นอีก  ภิกษุ  เธอก็เช่นกัน  เที่ยวเสาะหาไปจนถึงพรหมโลก
ก็ยังไม่ได้คำตอบของปัญหานี้  ในที่สุดต้องกลับมาหาเรา  ปัญหานี้เธอไม่ควรถามว่า
มหาภูตรูป  ๔  คือ  ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  และวาโยธาตุ  ย่อมดับสนิทที่
ไหนหนอแล
            [๔๙๘]    แต่ควรถามอย่างนี้ว่า
                                          ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  วาโยธาตุ  ย่อมตั้ง
                              อยู่ไม่ได้ในที่ไหน  อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น  ละเอียด
                              และหยาบ  งามและไม่งาม  ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
                              นามและรูปย่อมดับสนิทในที่ไหน
            [๔๙๙]    ในปัญหานั้น  มีคำตอบดังนี้
                                          ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  วาโยธาตุ  ย่อมตั้ง
                              อยู่ไม่ได้ในวิญญาณ๑ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น  ไม่มีที่สุด
                              แต่มีท่าข้าม๒โดยรอบด้าน  อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น
                              ละเอียด  และหยาบ  งามและไม่งาม  ก็ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้
                              ในวิญญาณ๑นี้เช่นเดียวกัน  นามและรูปย่อมดับสนิท
                              ในวิญญาณ๑นี้เช่นเดียวกัน  เพราะวิญญาณ๓ดับไป
                              นามและรูปนั้นก็ย่อมดับสนิทในที่นั้น”
            [๕๐๐]    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว  บุตรคหบดีชื่อเกวัฏฏะมีใจยินดี
ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล
 
               เกวัฏฏสูตรที่ ๑๑ จบ




ลองอ่านพระสูตรฉบับเต็มแล้ว ก็บางอ้อครับ

   คือ คำถามนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาจะตอบได้นะครับ เพราะมีพระรูปหนึ่งซึ่งสำรเร็จสมาธิขั้นสูงนะครับ ท่านเดินทางไปเทวโลก สอบถามคำถามนี้กับ พรหม ท้าวสักกะ เป็นต้น ยังตอบไม่ได้ สุดท้ายท้าวมหาพรหม ก็จับแขนพระภิกษุรูปนั้น มาทูลถามพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่่มาของคำถาม และ คำเฉลย ดังนั้น


    เรื่องแรกที่เราพอจะเข้าใจได้ในเบื้องต้น คือ

    นิพพาน ไม่มีธาตุ 4 ไม่มี นามรูป นิพพานอาศัย อุปาทายรูป เป็นท่าข้าม

    ดังนั้น เมื่อ นิพพาน ไม่มีธาตุทั้ง 4 ก็เหนือจินตนาการแล้วนะครับ เพราะเท่ากับไม่มีวัตถุ จินตนาการไม่ได้ รู้แต่เพียงว่า เป็น ที่ ๆ ไม่มีความทุกข์ เป็น การไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป

 :c017: ขอบคุณพระอาจารย์ครับ


202  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ธรรมสาระวันนี้ "เข้าใจ ธาตุ ก็เข้าใจ นามรูป รู้ที่ตั้งที่ดับ เพราะ อุปาทายรูป " เมื่อ: มิถุนายน 13, 2012, 10:50:46 am
เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ที่คิดว่าตั้งคำถาม ได้หลายประการครับ

(๑) วิญญาณ ในที่นี้หมายถึง พระนิพพาน (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๖)
 
  1. วิญญาณ เป็น นิพพาน ได้อย่างไร ?

  2. อุปาทายรูป หมายถึง อะไรในการภาวนา กำหนดรู้ได้อย่างไร ในขณะที่เรา ภาวนา "พุทโธ" อยู่นั้นจะกำหนดอย่างไร หรือ มีวิธีการเห็นหรือรู้ อุปาทายรูป ได้อย่างไร ?

  3. จิรมกวิญญาณ คือ อะไร? มีคำว่า วิญญาณ (นิพพาน )

  4. ถ้าอย่างนั้น วิญญาณ ในขันธ์ ทั้ง 5 คือ นิพพาน หรือ ไม่ ?

  อยากให้เพื่อนๆ ร่วมกันวิจารณ์ กันก่อนนะครับ เพราะ พิจารณาเป็น ธรรมวิจารณ์ข้อสอบ นะครับ ส่วนนี้

  :c017: :c017: :c017: :25: :25: :25: :25:
 

   วิญญาณ เป็น นิพพาน ลองอ่าน  (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๖) ที่แนบมาก่อนดีหรือไม่ครับ

แต่ว่าหมายถึงอะไร  (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๖)  ที = ??  สี = ?? อ= ???  499 = ??? /  326 = ???
ไม่ทราบวิธีการค้นครับ ใครอธิบาย ได้ช่วยหน่อยครับ

   :c017:
           


    ที  ทีฆนิกาย
    สิ  สีลขันธวรรค
    อ  ???
    499 หัวข้อ
    326 ???

  สรุปแล้ว ก็คือ อันเดียวกับที่ยกไว้ ครับเป็นการอธิบาย สัั้น ๆ ตามนั้นครับ

 
203  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / Re: แปลงจอที่วีให้เป็น สมาร์ททีวี 4800 บาท ก็เรามีจอ 32 นิ้ว 42 นิ้วแล้ว นี่นะ เมื่อ: มิถุนายน 13, 2012, 10:13:26 am
ขอข้อมูลเพิ่มอีกหน่อยได้หรือไม่ ครับ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ เพราะกำลังว่าจะซื้อเหมือนกัน
แจกความรู้เป็นธรรมทานแนะนำรุ่น เลยก็ดีนะครับ

   :c017: :s_hi: :49:
204  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เริ่มต้นฝึกกรรมฐาน เอาฐาน ที่ 3 เลยได้หรือไม่ครับ เมื่อ: มิถุนายน 10, 2012, 08:05:46 pm
เริ่มต้นฝึกกรรมฐาน เอาฐาน ที่ 3 เลยได้หรือไม่ครับ

 คือผมเคยฝึกอานาปานสติ แล้วมักจะกำหนดระหว่างหน้าอกกับสะดือ เข้าใจว่าเป็น ฐานที่ 3 โอกกันติกาปีติ ก็เลยมีความชอบเวลาฝึกให้จิตไปอยู่ฐานจิตที่ 1 รู้สึกอึดอัดมาก ทำสมาธิไม่ได้ จึงอยากฝึกที่ฐานจิตที่ 3 เลยได้หรือไม่ครับ

  ขอบคุณมากครับ เพราะถามไปทางเมลแล้วยังไม่ได้รับคำตอบครับ

  :25: :25: :25:
205  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ธรรมสาระวันนี้ "ความมหัศจรรย์ ในธรรมวินัย 8 ประการ" มหัศจรรย์ที่ 1 เมื่อ: มิถุนายน 04, 2012, 08:29:02 pm
อนุโมทนา ครับ เรื่องนี้ไม่เคยได้อ่านมาแต่ก่อนเลยครับ พอได้อ่านแล้ว ผมรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ ทันทีครับรู้สึกปลื้มปีติ เป็นอย่างมากครับ ทีไ่ด้อ่านเรื่องนี้

   อัศจรรย์ แท้ หนอ ที่พระธรรมวินัย มีความอัศจรรย์เยี่ยงนี้

  สาธุ สาธุ สาธุ เป็นชัยชนะแห่งธรรม สมกับเป็นปีแห่ง พุทธชยันตี จริง ๆ ครับ

  อนุโมทนา ครับ ที่ได้นำเรื่องนี้มาเปิดเผยให้รับทราบครับ

  :c017: :25: :25: :25:
206  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ยังมีคนอีกมากมาย ที่ร่วมปิดทองหลังพระ อยากเชิญท่านทั้งหลายมาร่วมปิดทองหลังพระกัน เมื่อ: เมษายน 30, 2012, 12:52:32 pm
อนุโมทนา สาธุ ครับ

 :25: :25: :25:
207  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขาว กับ ดำ ต้องใช้ปัญญาให้ถูกกาล เมื่อ: เมษายน 08, 2012, 11:02:55 am


208  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตมืด 8 ด้าน ... ทางสว่างอยู่ด้านที่ 9 เมื่อ: เมษายน 08, 2012, 10:53:30 am

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.bloggang.com

“แม้จะต้องจนมุมกับปัญหา เสมือนมีความมืดทั้งแปดเข้าครอบคลุม แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นบทสรุปว่า ทั้งชีวิตต้องสิ้นทางออก.. เพราะถึงอย่างไร ก็ยังมีคำตอบของทุกเรื่องเสมอ ทางตัน มักจะเป็น จุดเริ่มต้น ของทางออกฉุกเฉินให้ก้าวไปได้เสมอ”

หากโลกนี้ ยังต้องมี กลางคืน ซึ่งดุจดั่งภาพของ ความมืด เสมือนชีวิต ต้องเผชิญกับปัญหาอยู่เสมอ ไม่อาจเลี่ยง.. เช่นเดียวกันหากโลกนี้ ยังคงมี กลางวัน ก็เปรียบกับภาพของ ความสว่าง ซึ่งจะมีคำตอบของชีวิตในทุกๆ ปัญหาเช่นกัน..

ความมืด อาจเป็นช่วงสัญญาณของเวลา เมื่อหาทางออกไม่เจอ..
คำว่ามืดแปดด้าน เป็นคำพูดให้เราได้ยินอยู่เสมอ จากทุกทิศทุกทาง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ในยามที่เราหรือใครก็ตาม มีชีวิตเหมือนตกอยู่ในวังวนของเรื่องหนึ่งเรื่องใด และแล้วก็จนปัญญาที่จะแก้ไข

หากแต่ปมของเรื่อง มันอาจทำให้เรามืดแปดด้าน ปมปัญหาชีวิตเช่นนี้
นี่แหละ.. คือความจริงที่นำเราไปสู่ความพยายามมากยิ่งขึ้น
จะชี้ ช่องทางให้คลำไปเจอกับความสว่างได้ ซึ่งก็เป็น คำตอบของเรื่องนั้นๆ ยังไงๆ ก็มีคำตอบอยู่วันยังค่ำ
เพราะโลกนี้ ไม่ใช่จะมีแต่ กลางคืนแห่งความมืด เท่านั้น...แต่
เพราะโลกนี้ ย่อมมีกลางวันแห่งความสว่าง ควบคู่กันไปด้วยเสมอ...

คนเก่งหัวใจแกร่ง แม้ชีวิตต้องพบกับสภาวะแบบหลังชนฝา แต่จะไม่จบชีวิตตรงที่เวลาจนมุมหรือยอมแพ้เมื่อพบทางตันเท่านั้น ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่กลับเป็นจุดสตาร์ท เริ่มต้นของชีวิตใหม่ด้วยพลังใหม่ เพราะหากว่า.. ลมหายใจยังคงขับเคลื่อนอยู่ในร่างกาย ก็เหมือนเครื่องยนต์ที่น้ำมันหมดแล้ว.. แต่ยังสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยน้ำมันสำรองที่มีอยู่
ดังนั้น เมื่อชีวิตพบทางตัน นั่นหมายถึง ชีวิตกำลังเริ่มต้นสิ่งใหม่อีกครั้ง

มันจะทำให้เราพร้อมอยู่เสมอ ที่จะหวังเพื่อวันฟ้าใหม่ กับทางออกของวันใหม่ กลางคืนจะกลับคืนสู่กลางวันในไม่ช้า
ความเมื่อยล้า จะกลับกลายเป็น ความแข็งแกร่งอีกครั้ง
 
พลังชีวิต จะพุ่งออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ และพร้อมจะปล่อยออกมา
ทำลายกำแพงของความมืด ให้แตกกระจายออก
แล้วนำตัวเอง ให้ก้าวผ่านความมืดนี้ สู่ความสว่างได้ อย่างท้าทาย..

สว่าง ตา ด้วยแสง ไฟ
สว่าง ใจ ด้วยแสง ธรรม




ขอบคุณภาพประกอบจาก http://arunnoon.files.wordpress.com
209  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ที่มาของคำว่า “สัมมา อะระหัง” เมื่อ: เมษายน 06, 2012, 06:54:08 pm
อนุโมทนา ครับ ทะยอยอ่านเิพิ่มความรู้ครับ มีเรื่องดี ๆ ที่ไม่ได้อ่านอีกเป็นจำนวนมากในเรื่องเกี่ยวกับกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับครับ


  :c017: :c017: :25: :25:
210  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ถามเรื่องการเดินจงกรม คะ เมื่อ: เมษายน 03, 2012, 11:54:18 am
อยากเรียนถามประสบการณ์ ผู้ฝึกเดินจงกรมธาตุ แล้วเป็นอย่างไรกันบ้างครับ และผมควรจะเริ่มต้นเรียนตรงไหนครับ เพราะสนใจการเดินจงกรมธาตุ เช่นเดียวกัน ครับ

  อยากทราบว่าการเดินจงกรมให้จิตเป็น ฌาน นั้นทำอย่างไรครับ ?

  :c017: :c017: :25:
211  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: เมื่อเพื่อนบอกว่า "อย่าไปหลงกับการทำสมาธิ" เมื่อ: เมษายน 03, 2012, 11:48:53 am
อ่านคำถามแล้ว อยากให้พระอาจารย์แสดงความเห็นครับ เพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ศึกษาปฏิบัติต่อไปครับ

 :25: :c017:
212  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เช็งเม้ง ตังโจ่ย เทศกาลไหว้บรรพบุรุษ เมื่อ: เมษายน 03, 2012, 11:45:39 am
ลิงก์เกี่ยวข้องนะครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7122.0

ดีใจครับ ที่เห็นลูกหลานชาวจีน ยังคงประเพณีนี้ไว้ ขนาดยากจนค่นแค้น ข้างบ้านกันนี่ยังเห็นกุลีกุจอ จัดเตรียมสิ่งของนั่งรถเดินทางไปไหว้ บรรพบุรุษ ส่วนนี้ผมเห็นแล้วซาบซึ้งมากเพราะเห็นความกตัญญูของเขา ที่เป็นเรื่องที่สืบทอดในสายเลือดชาวจีน ครับ

  พูดถึงข้อดีก็มีหลายอย่าง นะครับ

  เอาเป็นว่าผมนับถือชาวจีนที่ ยังรักษาประเพณีนี้ไว้อย่างเหนียวแน่นครับ

 
213  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "ชิง หมิง เจี๋ย" เทศกาลเช็งเม้ง 2555 เมื่อ: เมษายน 03, 2012, 11:40:33 am
สำหรับ ปี พ.ศ.2555  วันที่ 4 เมษายน 2555 เป็นวันสุดท้ายนะครับ


 :25: :25: :25: :s_hi:

ลิงก์เกี่ยวข้องกันนะครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3584.0
214  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ศาลาริมทาง ยังถูกขโมย อยางภาพเลยครับ ความปลอดภัยยุคนี้ลำบากนะครับ เมื่อ: เมษายน 02, 2012, 11:17:33 am




ในภาพข่าวเห็นว่าเป็น จ. อยุธยา นะครับ

215  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: วัดยางกวง กลางเมืองเชียงใหม่ ถูกคนร้ายลอบเข้าไปงัดตู้บริจาคเป็นครั้งที่ 2 เมื่อ: เมษายน 02, 2012, 11:14:06 am


ได้ชมภาพข่าวไปเมื่อสักครู่นี้เองนะครับ

 :smiley_confused1:
216  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ห้องอุปจาระ สมาธิ ก็เป็นพื้นฐานสำคัญ ( ถอดจิตได้ แยกกายทิพย์ได้ ) เมื่อ: มีนาคม 29, 2012, 01:25:05 pm
นำที่เขาเ่ล่ามาประกอบให้อ่านนะครับ


ผมเคยเป็นตอนฝึกเดินจงกรมนั่งสมาธิใหม่ ๆ
ตอนแรกผมไม่ได้สนใจเรียนว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร เพราะไม่เข้าใจในหลักคำสอนที่อาจารย์เอามาให้อ่านแต่หัวข้อ อ่านอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แถมยังน่าเบื่ออีกต่างหาก เวลาก็เริ่มผ่านไปมาจนถึงก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์มัลลิกา คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาคณิตศาสตร์(ข้าพเจ้าขอกราบในน้ำใจอันประเสริฐของท่าน) ได้พาน้องใหม่ปีหนึ่งไปเข้า คอร์สฝึกอบรมเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นระยะเวลา 7 วัน ที่วัดร่ำเปิง ในวันแรกท่านพระครูได้สอนกรรมฐานให้เราภาวนาพุทโธ 30 นาที ตามด้วยการเดินจงกรม 30 นาทีสลับกับไปมาอยู่อย่างนี้ทั้งวัน ไม่ให้คุยกัน ตอนนั้นท่านสอนอะไรมาเราก็ทำตามหมด บอกให้ไม่พูดก็ไม่พูด บอกให้มีสติอยู่กับตัวตลอดเวลาก็ทำ ในสองวันแรกร่างกายของผมเหมือนกับว่าจะหลุดออกจากกันให้ได้เพราะควาเมื่อยล้า และอยากจะหนีออกจากค่ายเป็นที่สุด แต่เมื่อผมเห็นคนอื่นยังทำกันได้ เราก็เลยอดทนต่อไป ในวันที่สามของการปฏิบัติ ผมต้องตื่นนอนตั้งแต่ ตีห้ามาสวดมนต์ จากนั้นเดินจงกรมนั่งสมาธิต่อจนถึง 7 โมง ช่วงระหว่าง 7-8 โมงเป็นเวลาพักรับประทานอาหารเช้า แต่ตัวข้าพเจ้าเองไม่อยากไปมาก เพราะเหนื่อยมากอยากนอนต่ออีกหนึ่งชั่วโมง และเราก็ไม่ค่อยหิวข้าวเช้าเท่าไหร่ จึงขึ้นไปนอนในห้องโถงบนตึกคนเดียว ก่อนที่จะนอนก็คิดในใจว่า เรามีเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเอง จะทำอย่างไรให้เราหลับได้นะ ผมก็ได้นึกถึงคำสอนเราการภาวนาพุทโธ คิดว่าบางทีการภาวนาอาจจะทำให้เราหลับได้อย่างรวดเร็ว ผมจึงล้มตัวนอนลงและบริกรรมคำว่าพุทโธไปด้วย เนื่องด้วยร่างกายที่ได้รับการพักผ่อนทำให้กายเบาและจิตเบา ผมรู้สึกว่าวิญญาณตัวเองได้ค่อย ๆ หมุน และลอยขึ้น ลอยขึ้น จนในที่สุดหลุดออกจากร่างกาย หลังจากหลุดออกจากร่างกาย วิญญานของผมก็ได้ยืนอยู่ที่ปลายเท้าของตนเอง และได้มองเห็นร่างกายของตนเองนอนอยู่ ภาพที่เห็นมืดเหมือนตอนรุ่งสาง ไม่ค่อยชัด แต่ก็พอจะมองเห็นได้ว่า มีใครบางคนยืนพึงกำแพง บ้างก็นั่งพิงกำแพง บ้างก็นั่งกอดเขา จิตจึงถามว่า พวกเขาไปใครก็ได้คำตอบว่า นี่ผีนี่หว่า จึงที่เกิดความกลัวมาก ๆ จึงกระโดดเข้าไปในร่างกาย และสดุ้งขึ้นมา ผมบอกได้เลยว่าผมมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และระยะเวลาที่จิตออกไปจากร่ายกายจนถึงกลับเข้ามาใหม่ประมาณ 6 วินาที ซึ่งไม่นานเลยสำหรับผม ตอนนั้นผมมีคำถามมากมายเกิดขึ้นภายในจิตใจว่าปรากฎการณ์ทางจิตที่เกิดขึ้นมันคืออะไร และเหตุการณ์นี้คือจุดเริ่มต้นของการแสวงหาคำตอบของผม

จากคุณ : พงศกร (pongsakorn28287)
217  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: พิชิตยอด "เขาวงพระจันทร์" นมัสการ "โยนกปุเร" ตอนที่ ๒ บนยอดเขา เมื่อ: มีนาคม 19, 2012, 08:31:04 pm


ดีใจที่เห็นมีการสร้างพระพุทธรูป องค์ใหญ่ ตรงนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นของวัด
หรือของหน่วยงานใด สร้าง ใครมีรายละเอียดช่วยเล่าให้ทราบด้วยนครับ

  :25: :25: :25: :c017:
218  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: พิชิตยอด "เขาวงพระจันทร์" นมัสการ "โยนกปุเร" ตอนที่ ๑ ขาขึ้น เมื่อ: มีนาคม 19, 2012, 08:29:16 pm
อนุโมทนาสาธุ ครับ ที่มีน้ำใจนำภาพมาให้ชมกัน ได้เห็นแล้วทำให้นึกถึง อดีตที่เคยไป แต่ที่รู้สึกดีใจที่เห็นมีการสร้างพระพุทธรูป นี่แหละครับ พึ่งทราบที่ได้เห็นภาพ

 :25: :25: :25: :c017:
219  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เชิญร่วมปฏิบัติธรรมวันที่ ๒๔-๒๕ มี.ค. ๒๕๕๕ ณ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม เมื่อ: มีนาคม 19, 2012, 08:25:11 pm
อนุโมทนาสาธุ ครับ

 :25: :25: :25:
220  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มาลองอ่านศึกษาเรื่อง วิชาปัญญาญาณ เป็นของสาวกผู้มีบารมี เมื่อ: มีนาคม 18, 2012, 06:03:41 pm


วิชาปัญญาญาณ วิชาปัญญาญาณ เป็นของสาวกผู้มีบารมีและสร้างบารมีมาเพื่อที่จะมีปัญญาญาณเท่านั้น ไม่จำเพาะเจาะจงหรือเป็นสาธารณะเหมือนวิชาอื่น ผู้ปฎิบัติต้องเข้าถึงเอง คนเราแสร้งโง่ ดีกว่าอวดฉลาด คนอื่นเขาทดสอบสติปัญญา ไม่จำเป็นต้องแสดงปัญญาที่แท้จริงออกมา เรามีปัญญาแล้วสงบนิ่งอยู่ภายใน ดีกว่าอวดรู้แสดงว่าตัวเองเก่งให้ชาวบ้านเห็น เรียกว่า แกล้งโง่ดีกว่าอวดฉลาด ไม่มีเหตุไม่แสดงปัญญาญาณ ถ้ามีเหตุการณ์บังคับจึงใช้ปัญญาญาณ แต่ก่อนใช้ปัญญาญาณ จึงควรพิจารณาให้ดีก่อนใช้ (ไม่ใช่นึกจะใช้ก็ใช้ หรือสักแต่ว่าใช้)

ก่อนจะใช้ปัญญาญาณ พึงระลึกไว้เสมอว่า อย่าเอาความทุกข์ของผู้อื่นมาเป็นความทุกข์ของตัวเอง สรรพสัตว์ในโลกเกิดมาล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่ว สูงต่ำ มั่งมีหรือยากจน วิชาปัญญาญาณ วิชาปัญญาญาณ คือ การเข้าสมาธิโดยใช้หลักการของวิปัสสนากรรมฐาน ดังต่อไปนี้

1. ฐานสติอยู่กลางศีรษะ
2. ฐานปัญญาอยู่ด้านขวาตรงข้ามของหัวใจ
3. ฐานที่จิตอยู่ประจำที่คือตรงซ้ายของหัวใจ เอาสติ ปัญญา จิต มารวมเป็นหนึ่งเดียว แล้วเอาปัญหาทุกอย่างในโลกใบนี้ มาพิจารณาแก้ไขด้วยอำนาจแห่งปัญญาญาณ ปัญหามาปัญญาเกิด ปัญหาเตลิดปัญญาหนีหาย หลักวิชาปัญญาญาณ คือ ดวงสติ ดวงปัญญา ดวงจิต เอามารวมเป็นหนึ่งเดียว

อำนาจปัญญาญาณ
1. ปัญญาญาณ เกิดจากการนั่งสมาธิ การทำสมาธิอบรมปัญญาอยู่เสมอ
2. ปัญญาญาณ เกิดจากการฟังและพิจารณาโดยอุบายที่ชอบ
3. ปัญญาญาณ เกิดจากตาปัญญา เพราะได้ใช้ตาปัญญาเป็นเครื่องรู้ยิ่งเห็นจริงใน สรรพสัตว์ทั้งปวง การใช้สติปัญญาได้เต็มที่ ขึ้นอยู่กับสรีระศีรษะภายในร่างกายเป็นหลัก ถ้าสมองส่วนที่หลับทำงานอยู่ เราก็ใช้สติปัญญาได้เต็มที่ ถ้าสมองส่วนที่หลับไม่ทำงาน ปัญญาก็มาไม่เต็มร้อย การปลุกเซลล์ส่วนที่หลับของกะโหลกศีรษะให้ทำงาน โดยใช้พลังปัญญาญาณเป็นหลักในการควบคุมสติปัญญาของตัวเอง ข้อสำคัญของการใช้ปัญญาญาณ คือ สติ ปัญญา จิต รวมเป็นหนึ่งเดียว ข้อควรระวังของการใช้ปัญญาญาณ คือ ถ้าปัญญาขาดสติควบคุมเสียแล้ว เรียกว่า สติหลุดหรือสติเผลอเหรอ (ปัญญาก็จะมาไม่เต็มร้อย) สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดปัญญาหนีหาย แต่ปัญญาญาณลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น คือ สติด้านหน้าของกะโหลกศีรษะ คือ จุดรวมสมาธิ หมายถึง ดวงสติ คอยควบคุม ดวงปัญญา ไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ให้พลั้งเผลอ สติสามารถดึงเอาขุมพลังปัญญาออกมาได้เต็มที่ เรียกว่า (ปัญญาญาณ) สติหลุดเมื่อไร ปัญญาญาณหายทันที เพราะฉะนั้น สติจึงเป็นประธานของปัญญาญาณ เวลาใช้ปัญญาญาณ (ปัญญามารวดและแรงดุจสายลม)


ที่มา
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=2487031635353&set=at.1305698142754.40268.1839547510.100003255883685&type=1&theater
221  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอานาปานสติว่า ควรกำหนดตามลำดับ ดังนี้ เมื่อ: มีนาคม 18, 2012, 05:54:10 pm
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอานาปานสติว่า ควรกำหนดตามลำดับ ดังนี้


๑ . "เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า

เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว

เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวงหายใจเข้า"


๒. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาวเมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น แม้ฉันใด

ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น


๓. ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง(ของตน) พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง(ของผู้อื่น) พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง



ศึกษาทั้งหมดได้ที่
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ 
ทีฆนิกาย มหาวรรค
๙. มหาสติปัฏฐานสูตร (๒๒)
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถา (เป็นคำอธิบายพระสูตร)
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=273


222  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำไม ผู้ปฏิบัติธรรมภาวนา ต้องหนี่หายกันไป หัวซุกหัวซุน เมื่อ: มีนาคม 17, 2012, 07:58:10 pm
เป็นกระทู้ที่น่าอ่านครับ เรื่องนี้รื้อมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันอีกครั้งนะครับ

 :25: :character0029: :character0029:
223  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ผวาภาพถ่ายติดวิญญาณ เชื่อตะเคียนเฮี้ยน เมื่อ: มีนาคม 17, 2012, 07:54:07 pm
มุมกล้องหรือไม่ครับ ภาพนี้ ต้องพิจารณาให้ดีนะครับ

 :s_hi:
224  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: มี คาถา หรือ บท อะไรสำหรับสวดไล่ผีบ้างครับ เมื่อ: มีนาคม 04, 2012, 02:11:21 pm
คาถา พญาไก่เถื่อน ครับ สั้นแต่หนักแน่นครับ สวด ๆ มากครับ เป็นที่รักของเทวดา และ สัภเวสี โอปปาติกะเช่นเดียวกัน ครับ

  ไม่ต้องคิดมากครับ

   :s_hi: :25: :58:
225  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สวด คาถา พญาไก่เถื่อน เป็นความงมงาย หรือ ไม่ ? เมื่อ: มีนาคม 04, 2012, 02:09:59 pm
สวด คาถา พญาไก่เถื่อน เป็นความงมงาย หรือ ไม่ ?

อยากให้ผู้รู้ ช่วยไขประเด็น เหล่านี้ด้วยครับ คือ

1.ที่มา ที่ไป เกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติ มีปรากฏข้อความในพระไตรปิฏก หรือ ไม่
2.ระหว่างสวด คาถาพญาไก่เถื่อน กับ สวดบทพุทธคุณ อันไหน จะดีกว่า
3.การที่เราสวด แบบไม่รู้อะไร เลย แล้วสวดไปเรื่อย ๆ จะต่างอะไรกับพวกพราหมณ์ ที่ท่่องบ่นคาถา
4.่สวดแล้ว จะดีขึ้นได้อย่างไร อะไร ดีขึ้น ในเมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
5.สวดแล้ว ถ้ายังทำชั่ว ทำเลว โกงกิน รับสินบน เป็นต้น คาถาจะช่วยอะไรได้
6.การสวดคาถา พญาไก่เถื่อนเป็น กรรมฐานได้อย่างไร อยู่ในพระสูตรไหน
7.คนที่สวด กับ ผู้ชักชวนให้สวด จัดไว้ว่าเป็นความงมงายหรือไม่ ?
8.คาถานี้ จะทำให้ผู้สวด ละ กิเลสได้อย่างไร

 และยังมีอีกหลายคำถามที่ผม โดนเพื่อน ๆ ชาวกลุ่มปัญญาสวนกลับมา เมื่อไปชักชวนเขาสวดด้วยกันครับ
หวังว่าเพื่อน ๆ จะได้ช่วยแก้ข้อสงสัย นี้ด้วยนะครับ

  :smiley_confused1: :c017:

 1.ให้ไปอ่านในประวัติ ของสมเด็จพระสังฆราชพระญาณสังวร หลวงปู่สุก ไก่เถื่อน
    อักขระโดด ๆ นั้น ที่เป็นอักษรนำหน้า ล้วนแล้วมีที่ไปที่มา
     น โม พุ ธา ยะ
     สุ จิ ปุ ลิ
     พา มา นา อุ กัต สัจ นัน ทุค เอ
     อุ อา กะ สะ
     นะ มะ ภะ ทะ
     นา ทะ สุ เน มะ นา ทะ จะ มา วิ เว
     โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
 
     เป็นต้น
    อย่าคิดว่า มานอก พระไตรปิฏก เราเองยังไม่รู้ความหมายของอักขระ จากครูอาจารย์ พาลมาปฏิเสธก่อนจะเสียผลใหญ่ นะครับ

 2.ระหว่างที่สวด คาถา พญาไก่เถื่อน กับ สวดบทพุทธคุณ อันไหนจะดีกว่า ก็สวดทั้งสองอย่างลูกศิษย์ ตัวจริงเขาสวดทั้งสองอย่าง ครับ ทำไมต้องไปเปรียบเทียบกัน ใช้คนละตอน คนละบท

 3.แล้วพวกพราหมณ์ ไม่ดีตรงไหน ครับ พวกพราหมณ์ สำเร็จเป็นพระอริยะบุคคลในศาสนา ก็มามากมายเริ่มตั้งแต่ ปัญญจวัคคีย์ ก็เป็นพราหมณ์ พวกแรก นะครับ
    สวดแล้วมุ่งให้ใจสงบ แบบ สมถ ก็ดีนะครับ สวดแล้ว ใจสว่างเป็น วิปัสสนา ก็ดีครับ มีแต่ดีทั้งนั้น

4.สวดแล้ว ดีขึ้นแน่นอน ผมสวดมาแล้วก็มีอะไร ดีขึ้นหลาย ๆ อย่างเป็นปัจจัตตัง เพราะถ้าพูดบอกไป ก็เหมือนโม้ ดังนั้นการพูดส่วนนี้อยู่ที่ผู้สวด แล้วสวดเป็นหรือไม่  สวดแล้วได้แน่นอน คุณคิดว่าสวดได้ง่าย ๆ หรือ ครับยิ่งสวด 108 จบมีเงื่อนไขด้วย กว่าจะได้ 84000 จบ รู้หรือไม่ ใช้เวลาเท่าไหร่ จิตเราจะเว้นว่างจากบาปอกุศลเท่านไหร่ หมู่มารที่มาคอยขัดขวางจะเข้ามาขวางกี่ครั้ง เราผู้สวด เท่านั้นที่จะรู้ครับ

5.สวดแล้ว ไม่กล้าทำชั่ว แน่ๆ ทำเลว ทำยากขึ้น ทำสิ่งที่เป็นอกุศล นั้นยิ่งเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้ ถ้าท่านสวดกันจริง จะมีสิ่งเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแก่กาย และ จิตทันทีครับ สวด 4 วันก็รู้แล้วครับ

6.อยู่ในพุทธานุสสติ ครับ สั้น ๆ สำหรับคนที่ไม่อยากจะทำความเข้าใจก้เท่านี้ครับ

7.คนที่สวด ก็ได้บุญ คนที่สวด ตามก็ได้บุญ ส่วนคนที่ไม่เชื่อ และต่อต้านก็ตรงกันข้ามครับ

8.ละ กิเลสได้อย่างไร อยู่ที่ผู้สวดมีความปรารถนาอย่างไรในระหว่างสวด แต่สวดแล้วก็เสริมบารมีที่ไม่เต็มให้มีขึ้นไม่พร่องจากความดี แน่นอน

  สั้นๆ พอ นะครับ

 
226  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ญาณ ในสมาธิ กับ ญาณ ใน วิปัสสนา ต่างกันหรือเหมือนกันครับ เมื่อ: มกราคม 30, 2012, 03:05:42 pm
ตามหัวข้อเลยนะครับ คือสงสัยว่า
ญาณ ในสมาธิ กับ ญาณ ใน วิปัสสนา ต่างกันหรือเหมือนกันครับ

   ญาณในสมาธิ คือ อะไร
   ญาณในวิปัสสนา คืออะไร

  เหมือนหรือ ต่างกันครับ จะมีได้ตอนไหนครับ

   :c017:
227  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ปัญหา เรื่องการดูเวทนา ครับ เมื่อ: มกราคม 30, 2012, 03:04:09 pm
เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2554 ได้ไปนั่งสมาธิ 10 วันที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งคะ ก่อนไปได้ศึกษาแนวทางแล้วว่าเป็นแนวที่อยากศึกษาคือดูจิต ดูเวทนาที่เกิดกับอารมณ์เพราะเป็นคนมักโกรธและหงุดหงิดง่ายคะ

ช่วงที่นั่งและฟังธรรมะบรรยายก็เข้าใจในการตีความแต่เกิดความสงสัยในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันว่าจิตจะไวได้เท่านี้ได้อย่างไร แล้วถ้าปล่อยวางทั้งสิ้นจะใช้ชีวิตฆราวาสอย่างไร

หลังจากกลับจากนั่งสมาธิก็เป็นช่วงเปลี่ยนงานพอดี พอเข้าทำงานที่ใหม่ปรากฏอาการมึนงงตลอดเวลา เหมือนเซื่องซึม ไม่อยากทำอะไร เบื่อหน่ายไปหมด และไม่มีความกระตือรือร้นจะทำงาน แล้วก็เอาแต่จะนอนอย่างเดียว ตอนแรกก็คิดว่าคงเพราะพักก่อนเริ่มงานใหม่นานเกินไปเลยขี้เกียจ หรือเพราะเพิ่งล้มจากที่ทำงานเก่ามาก่อน ทำให้หมดกำลังใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เคยได้ยินคนเล่าว่าเวลานั่งสมาธิจะกระทุ้งกรรมเก่า ๆ ให้ออกมา

รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยคะ ว่าการนั่งสมาธิแล้วเกิดสับสนจะมีผลอะไรบ้าง คำที่เคยได้ยินมาจะเป็นไปได้หรือมีคำอธิบายทางหลักการและเหตุผลอย่างไรบ้างคะ

จากคุณ    : urius

อยากให้ทางทีมงาน มัชฌิมา และพระอาจารย์ ช่วยชี้แนะหน่อยครับ
228  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: หญิงเปรต.. เมื่อ: มกราคม 30, 2012, 02:19:51 pm
มีสาระมาก อนุโมทนา ด้วยครับ ที่ได้นำมาให้อ่าน ครับ

  :25: :25: :25:
229  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 9 วิธี ทำบุญโดยไม่ต้องใช้เงิน ( มีจริงหรือเนี่ย ) เมื่อ: มกราคม 08, 2012, 07:42:30 pm
9 วิธี ทำบุญโดยไม่ต้องใช้เงิน
 



 โดย ทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของหรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพเป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่าในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น เรามีโอกาสทำความดี หรือทำบุญได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของดังต่อไปนี้
 
 
 1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอนหากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้นพร้อมที่จะรับมือ กับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโหแค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วยถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
 
 2.ยิ้ม แย้มแจ่มใส ในแต่ละวันหากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตามหน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่หรือหากมี ก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่า และถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตากว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์
 
 3.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคนนอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการคนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็ง และกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วเราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เราเช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น
 
 4.แบ่ง ปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลาเช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้องหรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนนหรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้นการให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและทำให้เราได้รับมิตรไมตรี สนองตอบกลับมาด้วย

 

 5.ปลุกปลอบให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิตและ เกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆ ที่มาจากใจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ ชีวิตต่อไปได้
 
 6.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดีการกล่าวคำชื่นชมต่อผู้ อื่นไม่ ว่าจะเป็นเรื่องใดๆย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จแต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐาน ของความเป็นจริง และจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชมเราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้นเพราะคำชมจะเป็นการ เสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆ ขึ้นไป
 
 7.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่าไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านายเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่นก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดี ยิ่งขึ้นและผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไปเมื่อเขาทำงานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเราแนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายเราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามีหรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆ หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่นทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเราทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต
 
 8.การให้ อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่นโดย ทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานาแต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเองเพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรูแต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป
 
 9.ฝึก จิตให้สงบและสบาย ด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสืออยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อ ในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียวจะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติ และทุกๆ คืนก่อนนอนก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบเสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควร
 
 ที่ กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแต่สามารถปฏิบัติในชีวิต ประจำวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไปอีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุน ให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกายใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่นและยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้ เริ่มทำแต่วันนี้เลยนะคะเพราะมีคนบอกว่า "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"
 
ที่มา เด็กซ่าดอทคอม
230  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: มีปัญหา ค้างตอบ เยอะนะครับ ช่วยกันตอบดีหรือไม่ครับ ? เมื่อ: มกราคม 05, 2012, 07:52:31 pm
คือ คนทำงาน สนใจกรรมฐาน อยู่ครับ แต่ การตอบปัญหากรรมฐาน นั้นไม่ถนัด เกรงว่าตอบแล้วผิด จะเป็นบาปให้ความเห็นมั่ว ๆ ก็จะทำให้เราบาป มาก

  เคยได้ยินหลวงพ่อพระครู ( หลวงพ่อจิ๋ว ) ท่านเคยบอกว่า คนสอนกรรมฐาน นี้ บาปเข้าไปครึ่งตัวเชียวนะครับ ถ้าสอนผิด ก็ครึ่งตัว ถ้ามีคนทำตามแบบผิด ก็เต็มตัวครับ

231  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ร่วมอวยพร ส่งความสุข ด้วยการ์ด ดิจิตอล ต้อนรับปี 2555 / 2012 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2011, 09:28:45 am


ปี ห้า ห้า  ขอให้ท่าน ได้ความสุข
ไม่สะดุด กับเรื่องใด สมประสงค์
ปี ห้า ห้า สุขผ่องใส สุขได้ยล
ให้ได้ผล แห่งสุข ทุกคนเทอญ..
             kindman



232  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเชิญสมัครร่วมปฏิบัิติธรรม ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 30 - 31 ธ.ค.54 - 1 ม.ค.55 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2011, 10:39:39 am
เป็นโครงการแรก ของ ทีมงาน เลยนะครับ
จะขอติดตาม ตอนต่อไปครับ

  :25:

ขออนุญาตตอบใน โพสต์ ถาม เลยนะครับ เนื่องด้วย มีคำถามเยอะมากครับ

 ตอบคำถามนะครับ
 ใช่ครับ เพราะไม่เคยจัดกันนอกสถานที่ อย่างนี้ แต่เท่าที่ดู จะสะดวก กว่าจัดในวัดมากครับ
233  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ไปอ่านมา ครับ มันเกี่ยวกันหรือไม่ครับ เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2011, 09:37:30 am
คือ ช่วงนี้ ผม นั่งสมาธิ แล้ว จะรู้สึก ประมาณ

ขนลุก แบบ ที่เวลา ฉี่เสร็จ นะครับ

จะ เป็น บ่อย มาก เป็น นาน จนต้องเลิกนั่ง
แล้ว ตอนนี้ เริ่ม มาเป็น ตอน ที่ ไม่ได้  นั่งสมาธิ ด้วยแล้ว
เพียงแค่ ตั่งใจ ทำอะไร สักหน่อย ก็ จะเกิดอาการ เหมือน ฉี่เสร็จจนขนลุก ทุกที
ขาจะ เหมือนอ่อนแรง ไม่มีแรงยืน
ยกเว้น ตอน ทำงานที่ต้องใช้แรง จะไม่เป็น อาการนี้
ผม เป็น อะไร ครับ แล้ว จะ แก้ อย่างไร ได้ บ้างครับ

ผม คิดว่า ร่างกายผม แข็งแรงดี ครับ เพราะ ทำงานใช้แรง อยู่ เป็น ปรกติทุกวัน
แล้ว ก็นอน วันละประมาณ 6-8 ชั่วโมง

จากคุณ    : a235
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11289728/Y11289728.html
234  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอเชิญพบกับ มวยคู่เอก คาดเชือกมาแล้วไม่รู้กี่มหากัปป์ เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2011, 09:26:44 am



แผนผังนี้มุ่งเน้นให้การเข้าใจถึงสิ่งที่ “เหนือปัญญาโลก” หรือ โลกุตระธรรม (ถอดม่านมายาออก)

เหนือกว่าชั้นมนุษย์
เหนือกว่าชั้นเทวดา
เหนือกว่าชั้นพรหม-อรูปพรหม

นิพาน คือการ ตัด วงจรการเกิด ใน วัฏสงสาร “ทั้งหมด”
อริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐสุด ความจริงแห่งวงจรทุกข์ ซึ่งมหาศาสดาเป็นผู้ค้นพบ
กิเลส เป็นสิ่งที่เหนี่ยวรัดให้หลงอยู่ในวัฐสงสารไม่จบสิ้น
กุศลเป็นทางความคิดดีที่ทำให้หลุดพ้น
อวิชา ตันหา อุปทาน  ถูกดับให้สิ้นด้วย ปัญญา ที่เกิดจาก สติปัฏฐาน 4
กำลังที่จะปราบฝั่งกิเลส คือ โภชฌงค์ 7 อันเป็นกำลังในการปฏิบัติ ฌาน
ตัวที่ร้ายที่สุดคือ ทิฐิ ที่ยังมองธรรมยังไม่ขาด
สูงสุดคือ อุเบกขา คือการปล่อยวาง ขั้นเหนือสุดของพรหม
จึงจะพบขั้นสูงกว่า คือ “ธรรม” นั่นเอง

โพชฌงค์ 7 เป็นหลักธรรมส่วนหนึ่งของ โพธิปักขิยธรรม 37 (ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้
เกื้อหนุนแก่อริยมรรค อันได้แก่ สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7
และมรรคมีองค์ 8)

โพชฌงค์ 7
1. สติ (สติสัมโพชฌงค์) ความระลึกได้ สำนึกพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับเรื่อง
2. ธัมมวิจยะ (ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์) ความเฟ้นธรรม ความสอดส่องสืบค้นธรรม
3. วิริยะ (วิริยสัมโพชฌงค์) ความเพียร
4. ปีติ (ปีติสัมโพชฌงค์) ความอิ่มใจ
5. ปัสสัทธิ (ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ความสงบกายใจ
6. สมาธิ (สมาธิสัมโพชฌงค์) ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์
7. อุเบกขา (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง

กิเลส แปลว่า สิ่งเกาะติด สิ่งเปรอะเปื้อน สิ่งสกปรก
กิเลส คือ สิ่งที่แฝงติดอยู่ในใจแล้วทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัว มีอุปมาเหมือนสีที่ใส่ลงไปในน้ำ
ทำให้น้ำมีสีเหมือนสีที่ใส่ลงไป ใจก็เช่นกัน ปกติก็ใสสะอาด แต่กลายเป็นใจดำ ใจง่าย ใจร้าย
ก็เพราะมีกิเลสเข้าไปอิงอาศัยผสมปนเปอยู่
กิเลสที่ชอบซุกหมักหมมอยู่ในใจคนมากที่สุด คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เพราะกิเลสชอบซุกหมักหมม
อยู่ในใจของคน จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสาสวะ หรือ อาสวกิเลส แปลว่า กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิต

กิเลส 10
1. อโนตตัปปะ ความไม่รู้สึกตื่นกลัวต่อการทุจริต
2. โทสะ ความโมโห โกรธ ความไม่พอใจ
3. โมหะ ความหลงใหล ความโง่
4. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา
5. ทิฏฐิ ความเห็นผิดเป็นชอบ
6. วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงใจ สงสัย ไม่แน่ใจ ลังเลใจ ในสิ่งที่ควรเชื่อ
7. โลภะ ความพอใจ ชอบพอ เต็มใจ ในโลกียอารมณ์ต่างๆ
8. ถีนะ ความหดหู่ เงียบเหงา
9. อหิริกะ ความไม่ละอายต่อการกระทำผิด ทุจริต
10. มานะ ความ ทะนงตน ถือตัว เย่อหยิ่ง


สำคัญที่การกำหนดทิศทางเดินว่าจะไปทางไหน เริ่มต้นอย่างไร อันนี้สำคัญกว่ามากๆ
เพราะพระพุทธเจ้าท่านเน้นย้ำ เน้นนัก เน้นหนาว่า ละกิเลสให้ได้
เห็นโทษของกิเลส กิเลสเป็นของน่ากลัว น่ารังเกียจ ต้องละให้ได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

นี่แหละ คือ “ปัญญา” โดยจักต้องควบคู่กับสมาธิ “ฌาน” เป็นฐานกำลังทำให้จิต
ตั้งมั่นสงบนิ่ง ประหารกิเลสได้หมดจด

เพิ่มเติมและแก้ไข ข้อมูล ว่า ต้องอาศัย กำลังของ ฌาน
เสมอกับ ปัญญาในการดับกิเลสด้วยครับ

แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 54 15:42:07

แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 54 14:05:16

จากคุณ    : สวรรค์รำไร


http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11300060/Y11300060.html
235  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สมาธิ ใน พุทธศาสนา นั้นจริง ๆ หวังผล แต่นั้นในการภาวนา เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2011, 09:17:03 am
คือ บางท่านก็บอกว่า ต้องทำสมาธิ และ บางท่านก็บอกว่า ไม่ต้องทำสมาธิ

อย่างนั้น ก็อยากทราบว่า สมาธิ ในพระุพุทธศาสนา สอน ให้เราทำอย่างไร

และหวังผลในสมาธิ เท่านั้น กันครับ

  :c017: :25:
236  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ปรับระดับ สมาชิก ที่ออนไลน์ ครบ 1 ปีทุกท่าน เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2011, 03:56:51 pm
อนุโมทนา ครับ ผมไม่ได้ ล๊อกอิน ครับ แต่เข้าอ่านทุกวันครับ
จะได้ปรับด้วยหรือไม่ครับ

  :25:
237  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ตถาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ทำนองคลองธรรมก็มีอยู่แล้ว เมื่อ: สิงหาคม 24, 2011, 10:35:41 am
อนุโมทนา สาธุ ครับ ร่วมกันสนับสนุน พระสูตร ครับ

 :25: :25: :25:
238  ธรรมะสาระ / ห้อง_ด า ว น์ โ ห ล ด / มาฟัง(อ่าน)พระพุทธเจ้าตรัสเล่ากันครับ ทำไมจึงตรัสรู้ ครับ เมื่อ: สิงหาคม 24, 2011, 10:34:23 am
มาฟัง(อ่าน)พระพุทธเจ้าตรัสเล่ากันครับ ทำไมจึงตรัสรู้ ครับ


ทุกรกิริยา #อ้างอิง:บาลี โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค ม. ม. ๑๓/๔๕๒/๔๙๕
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/543

ทรงแน่พระทัยว่าไม่อาจตรัสรู้เพราะการทำทุกรกิริยา #อ้างอิง:บาลี มหาสีหนาทสูตร มู. ม. ๑๒/๑๖๒/๑๘๖
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/544

ทรงตริตรึกเพื่อตรัสรู้ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ปฐมสูตร สัมโพธิวรรค ตติยปัณณาสก์ ติก. อํ. ๒๐/๓๓๒/๕๔๓
http://www.84000.org/tipitaka/read/?12/252

ทรงเที่ยวแสวงเพื่อความตรัสรู้ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ทุติยสูตร สัมโพธิวรรค ตติยปัณณาสก์ ติก. อํ. ๒๐/๓๓๓/๕๔๔
http://www.84000.org/tipitaka/read/?18/173

ทรงคอยควบคุมวิตก ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี เท๎วธาวิตักกสูตร สีหนาทวรรค มู. ม. ๑๒/๒๓๒/๒๕๒
http://www.84000.org/tipitaka/read/?19/1205-1207

ทรงกำหนดสมาธินิมิต ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี อุปักกิเลสสูตร สุญญตวรรค อุปริ. ม. ๑๔/๓๐๒/๔๕๒
http://www.84000.org/tipitaka/read/?17/59-60

ทรงกลั้นจิตจากกามคุณในอดีต ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี จตุตถสูตร โลกกามคุณวรรค สฬา. สํ. ๑๘/๑๒๑/๑๗๓
http://www.84000.org/tipitaka/read/?18/173

ทรงค้นวิธีแห่งอิทธิบาท ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ปฐมสูตร อโยคุฬวรรค มหาวาร. สํ.๑๙/๓๖๒/๑๒๐๕
http://www.84000.org/tipitaka/read/?19/1205-1207

ทรงคิดค้นเรื่องเบญจขันธ์ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ปัญจมสูตร ภารวรรค ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๔/๕๙
ทรงคิดค้นเรื่องเวทนาโดยละเอียด ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี สูตรที่ ๔ เวทนาสํยุตต์ สฬา. สํ. ๑๘/๒๘๙/๔๓๙
ทรงแสวงเนื่องด้วยเบญจขันธ์ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ฉัฏฐสูตร ภารวรรค ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๖/๖๑.
ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ทสมสูตร พุทธวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑/๒๖
ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ (อีกนัยหนึ่ง) #อ้างอิง:บาลี มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐
http://www.84000.org/tipitaka/read/?16/250-252

ทรงพยายามในอธิเทวญาณทัสสนะเป็นขั้น ๆ #อ้างอิง:บาลี จาลวรรค อฎฺฐก. อํ. ๒๓/๓๑๑/๑๖๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?23/161

ก่อนตรัสรู้ทรงทำลายความขลาด ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ภยเภรวสูตร มูลปริยายวรรค มู. ม. ๑๒/๒๙/๓๐
http://www.84000.org/tipitaka/read/?12/30-45

ธรรมที่ทรงอบรมอย่างมาก ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี อัฏฐมสูตร สัญญาวรรค ปญฺจก. อํ. ๒๒/๙๔/๖๘
http://www.84000.org/tipitaka/read/?22/68

วิหารธรรมที่ทรงอยู่มากที่สุด ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๙, ๔๐๑/๑๓๒๔, ๑๓๒๙
http://www.84000.org/tipitaka/read/?19/1327-1347

ทรงพยายามในเนกขัมมจิต และอนุปุพพวิหารสมาบัติ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี นวก. อํ. ๒๓/๔๕๗/๒๔๕
http://www.84000.org/tipitaka/read/?23/245

ทรงอธิษฐานความเพียร ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ปัญจมสูตร กัมมกรณวรรค ทุก. อํ. ๒๐/๖๔/๒๕๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/251

ความฝันครั้งสำคัญ ก่อนตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี ฉัฏฐสูตร พราหมณวรรค ปญฺจก. อํ. ๒๒/๒๖๗/๑๙๖
อาการแห่งการตรัสรู้ #อ้างอิง:
บาลี โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค ม. ม. ๑๓/๔๕๗/๕๐๕,
บาลี สคารวสูตร พราหมณวรรค ม. ม. ๑๓/๖๘๕/๗๕๔,
บาลี มหาสัจจกสูตร มู. ม. ๑๒/๔๕๘/๔๒๗
http://www.84000.org/tipitaka/read/?13/505-508

สิ่งที่ตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๒๘/๑๖๖๔
การตรัสรู้คือการทับรอยแห่งพระพุทธเจ้าในอดีต #อ้างอิง:บาลี สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๘/๒๕๓
การตรัสรู้คือการทรงรู้แจ้งผัสสายตนะโดยอาการห้า #อ้างอิง:บาลี ปัจจัตตยสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๔๐/๔๑
เกิดแสงสว่างเนื่องด้วยการตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี สัตตมสูตร ภยวรรค จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๗๗/๑๒๗
แผ่นดินไหว เนื่องด้วยการตรัสรู้ #อ้างอิง:บาลี อฎฺฐก. อํ. ๒๓/๓๒๒,๓๒๓/๑๖๗
การรู้สึกพระองค์ว่าได้ตรัสรู้แล้ว #อ้างอิง:บาลี ปาสราสิสูตร โอปัมมวรรค มู. ม. ๑๒/๓๒๓/๓๒๐
วิหารธรรมที่ทรงอยู่ เมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ #อ้างอิง:บาลี สูตรที่ ๑ วิหารวรรค มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๖/๔๘

โดย..พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ (สำนวนแปล ท่านพุทธทาส)
http://203.114.103.68/buddhakos/watna_books/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B9%8C%205%20%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1/05-%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4.pdf
239  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: มาดูพญานาค กันเุถอะ เมื่อ: สิงหาคม 17, 2011, 06:38:43 pm
ถ้าไปหนองคาย จะลองไปเที่ยวถ้ำนี้ดูครับ ต้องไปเห็นด้วยตา

 :014: :035:
หน้า: 1 ... 4 5 [6]