ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ว่าด้วยความตาย ตอนที่ ๑. “เมื่อพระพุทธเจ้าปลุกคนตายให้ตื่น”  (อ่าน 3238 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ว่าด้วยความตาย ตอนที่ ๑. “เมื่อพระพุทธเจ้าปลุกคนตายให้ตื่น”



พระพุทธเจ้าปลุกคนตายให้ลุกขึ้นตอบปัญหา

เรื่องมีอยู่ว่า สมัยหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับ อยู่ที่นิคมของมัลลกษัตริย์ชื่ออนุปิยนิคม ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นมัลละ ได้มีเจ้าชายลิจฉวีพระองค์หนึ่งนามว่า "สุนักขัตตะ" เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาด้วยจุดมุ่งหมาย ที่ไม่เหมือนใครนั่นคือ เพื่อต้องการเห็นพระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ครั้นบวชแล้วเวลาล่วงเลยไปนานพอสมควร พระสุนักขัตตะไม่เห็น พระพุทธเจ้าแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างที่ตนประสงค์จึงเกิดความเบื่อหน่าย คลายความเลื่อมใส ในพระพุทธเจ้า ที่มีมาแต่แรกเสียหมดสิ้น พร้อมทั้งได้ประกาศความรู้สึกของท่าน ในที่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า ด้วยว่าท่านจะไม่บวช อยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าต่อไป

พระพุทธเจ้าเมื่อครั้นทรงทราบความต้องการ ของพระสุนักขัตตะอย่างนั้นแล้ว ต่อมาเมื่อย้ายมาประทับอยู่ที่นิคมของชาวขละ ชื่ออุตตรกาในแคว้นขละ วันหนึ่งจึงได้พาพระสุนักขัตตะ เสด็จออกเที่ยวบิณฑบาต ในหมู่บ้านอุตตรกา และในขณะที่เสด็จไปตามหมู่บ้านนั้น ก็ได้พบนักบวชเปลือยรูปหนึ่งชื่อ "โกรักขัตติยะ"

โกรักขัตติยะ เป็นนักบวชเปลือยที่มีวัตรปฏิบัติแปลกประหลาด กล่าวคือประพฤติกุกกุรวัตร ทำตัวเยี่ยงสุนัขคลานสี่ขา ไปไหนต่อไหนมาด้วยอิริยาบถนั้นท่าเดียว มิหนำซ้ำยังชอบนอนตามสถานที่สกปรก เช่น ตามหลุมถ่านหรือไม่ก็ตามเตาไฟ ของชาวบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นถึงคราวกินอาหาร ก็หาได้ใช้มือหยิบกินไม่ตรงกันข้ามกลับใช้ปากงับอาหาร และใช้ลิ้นเลียอาหารที่ตกเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นดิน


พระสุนักขัตตะ ซึ่งในขณะนั้นกำลังเดินบิณฑบาต ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามา พอได้เห็นนักบวชเปลือยโกรักขัตติยะ แสดงวัตรปฏิบัติเยี่ยงสุนัขเช่นนั้น ก็เกิดศรัทธาในตัวนักบวชเปลือยขึ้นมาทันที พลางคิดอยู่ในใจว่า ท่านผู้นี้ถ้าจะเป็นพระอรหันต์แท้ทีเดียว พระพุทธเจ้าทรงทราบความในใจของพระสุนักขัตตะนั้น และทรงดำริว่าสุนักขัตตะเริ่มเข้าใจผิดแล้ว ทั้งทรงเห็นต่อไปว่าความเข้าใจผิดนั้นถึงขั้นเป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่งมีแต่จะทำให้พระสุนักขัตตะ ตกต่ำยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อเป็นการช่วยเปลื้องพระสุนักขัตตะให้พ้น ไปจากความเข้าใจผิด และโดยการที่ทรงเห็นว่าไม่มีทางอื่น ที่จะช่วยได้นอกจากการพยากรณ์ความจริง เกี่ยวกับนักบวชเปลือยรูปนั้น พระพุทธเจ้าจึงหันมาทางพระสุนักขัตตะ แล้วตรัสทำนายว่า


"ในวันที่ ๗ นับจากวันนี้ไปนักบวชเปลือยคนนี้ จะตายด้วยโรคท้องขึ้น ครั้นตายแล้วก็จะไปเกิดในหมู่อสูรชื่อกาลัญชิกา นั้นนักบวชเปลือยจะไปเกิดในขั้นต่ำสุด ส่วนศพของเขาจะถูกนำไปทิ้งไว้ ในป่าช้าชื่อวีรณถัมภกะ"
 

พอได้ฟังพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว พระสุนักขัตตะหาเชื่อไม่พร้อมทั้งคิด อยู่ในใจว่าตนได้โอกาสจับผิด พระพุทธเจ้าแล้ว ในคัมภีร์เล่าว่าความคิด ที่จะจับผิดพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ ของพระสุนักขัตตะนั้นรุนแรงมาก ถึงขนาดท่านแอบไปหา นักบวชรูปนั้น ในเวลาต่อมา แล้วเล่าเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ให้เขาทราบ พร้อมทั้งเตือนเขาให้กินอาหาร แต่พอประมาณเพื่อจะได้ไม่ต้องตาย อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส

แต่พอถึงวันที่ ๗ นักบวชเปลือยโกรักขัตติยะนั้น ก็เผลอลืมคำเตือนของพระสุนักขัตตะจึงกินอาหาร และน้ำเกินพอดี และปรากฏว่าในวันนั้นเอง อาหารที่กินเข้าไปมาก ก็เกิดเป็นพิษไฟธาตุในร่างกาย ไม่สามารถจะย่อยได้ทันที จึงทำให้โกรักขัตติยะ นั้นเกิดอาการท้องขึ้น และเสียชีวิตในที่สุด ศพของนักบวชเปลือยได้ถูกนำไปทิ้ง ไว้ที่ป่าช้าชื่อวีรณถัมภกะ เหตุการณ์ทุกอย่าง เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทำนายไว้ทุกประการ


พระอรรถกถาจารย์เล่าว่า ผู้ที่นำศพของโกรักขัตติยะ ไปทิ้งไว้ในป่าช้าแห่งดังกล่าวนั้น ก็คือพวกเดียรถีย์ พวกเดียรถีย์นี้นับได้ว่าเป็นคู่แข่งพวกหนึ่ง ของพระพุทธเจ้าในสมัยนั้น พวกเดียรถีย์ได้คอยจับตาดูพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา และในขณะเดียวกันก็คอยจ้องทำลาย พระพุทธเจ้าไปด้วย เพื่อว่าประชาชนจะได้คลายความเชื่อความเลื่อมใส แล้วหันมานับถือพวกตนมากขึ้น
[/color]
การที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์โกรักขัตติยะเช่นนี้ พวกเดียรถีย์ที่คอยติดตามความเป็นไปของโกรักขัตติยะอยู่ทุกขณะ ด้วยหวังใจอยู่ว่าถ้าโกรักขัตติยะไม่ตายขึ้นมาจริงๆ และเพื่อเป็นการกลบเกลื่อนเรื่องนี้เสีย ไม่ให้คนส่วนมาก ได้รู้จึงได้ช่วยกันเอาเถาวัลย์ มัดร่างที่ไร้วิญญาณ ของโกรักขัตติยะแล้วลากไปตั้งใจว่าจะทิ้งในป่าลึก แต่ครั้นผ่านมาถึงป่าช้าวีรณถัมภกะนั้นเถาวัลย์เกิดขาดพวกเขาจึงตัดสินใจทิ้งไว้ที่นั่นด้วยเห็นว่าไกลพอสมควรแล้ว

พระสุนักขัตตะเองก็ได้ทราบ ถึงการตายของโกรักขัตติยะ ว่าเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ทุกประการแต่ด้วยเห็นว่า ยังมีช่องทางที่จะจับผิดพระพุทธเจ้าได้อีก จึงไม่ยอมรับในความสามารถ ของพระพุทธเจ้า ช่องทางที่ว่านั้นก็คือ ยังไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่า โกรักขัตติยะตายแล้วไปเกิดในที่ไหน?

พระพุทธเจ้าได้ทรงบอกท่าน ให้ไปถามนักบวชเปลือยด้วยตนเอง โดยทรงแนะนำว่าพอไปถึงศพของนักบวชเปลือยนั้นแล้ว ก็ให้เอาฝ่ามือเคาะที่ศพ ๓ ครั้งก่อนแล้วจึงค่อยถามว่า ท่านรู้หรือเปล่าว่าท่านไปเกิดที่ไหน?

พระสุนักขัตตะได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำ ทันใดนั้นเองก็ปรากฏว่า ศพของนักบวชเปลือยได้ลุกขึ้น เอามือปัดหลังพร้อมทั้งตอบว่ารู้ซิท่านข้าพเจ้าไปเกิด ในหมู่อสูรชื่อกาลัญชิกา และในหมู่อสูรชื่อกาลัญชิกา นั้นข้าพเจ้าก็ได้ไปเกิดอยู่ในชั้นต่ำสุด ครั้นตอบแล้วศพนั้นก็กลับล้มลงไปนอนหงายอยู่ตามเดิม

 

เมื่อได้รับคำตอบอย่างนั้นแล้วพระสุนักขัตตะ ก็กลับมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามเป็นการสำทับว่า เห็นแล้วใช่ไหมสุนักขัตตะ สิ่งใดที่เราพยากรณ์แล้วจะมิเป็นอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย พระสุนักขัตตะก็ทูลรับว่า เห็นแล้วพระเจ้าข้า แล้วพระพุทธเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เธอพอจะบอกได้ไหมว่าอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์เหลือวิสัยที่คนธรรมดาจะทำได้เราได้ทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำ พระสุนักขัตตะก็กราบทูลว่า ทำแล้วพระเจ้าข้า

ท้ายที่สุดพระพุทธเจ้าได้ตำหนิพระสุนักขัตตะอย่างรุนแรงว่า "โมฆบุรุษ แล้วอย่างนี้เธอยังจะมากล่าวว่าเรา มิได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์เหลือวิสัย ที่คนธรรมดาจะทำได้แก่เธอ เธอผิดถนัดเห็นไหมโมฆบุรุษ"

ในการแสดงปาฏิหาริย์ครั้งนี้พระอรรถกถาจารย์เล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึง ๕ ขั้นตอนด้วยกันคือ


ขั้นตอนที่ ๑ ได้แก่ที่ตรัสว่า นักบวชเปลือยโกรักขัตติยะจะตายในวันที่ ๗ ปรากฏว่าตายจริง
ขั้นตอนที่ ๒ ได้แก่ที่ตรัสว่า เขาจะตายด้วยโรคท้องขึ้น ปรากฏว่าตายด้วยโรคนั้นจริง
ขั้นตอนที่ ๓ ได้แก่ที่ตรัสว่า เขาตายแล้วจะไปเกิดในหมู่อสูรชื่อกาลัญชิกา ปรากฏว่าไปเกิดในที่นั้นจริง
ขั้นตอนที่ ๔ ได้แก่ที่ตรัสว่า ศพของเขาจักถูกนำไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าวีรณถัมภกะ ปรากฏว่าถูกทิ้งในที่นั้นจริง
ขั้นตอนที่ ๕ ได้แก่ที่ตรัสว่า ศพนั้นสามารถตอบปัญหาได้ ปรากฏว่าตอบได้จริง



อนึ่ง ในการที่ศพของโกรักขัตติยะลุกขึ้นตอบปัญหาได้นั้น พระอรรถกถาจารย์วินิจฉัยว่าเป็นไปได้ ๒ ทางคือ

๑. พระพุทธเจ้าทรงนำเอานักบวชเปลือยนั้นมาจากสถานที่ที่เขาเกิดอยู่แล้วให้มาเข้าสิงในศพของตนเองแล้วตอบ
ปัญหา

๒. หรือไม่ พระพุทธเจ้าเองนั่นแหละทรงใช้อำนาจบังคับให้ศพลุกขึ้นตอบตามที่ตนเองไปเกิด




อ้างอิง
- เรื่องนี้คัดลอกมาจากหนังสือ "รวมเรื่องจริง อิงพุทธประวัติ - พระไตรปิฎก ปาฏิหาริย์พระพุทธเจ้า" โดย นพ นันทวัน
- พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๓ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ปาฏิกสูตร
- ให้เครดิตกับคุณธนานุวัตร สมาชิกเว็บพลังจิต
- http://poonporn.com/story/story000070.html

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

chatchay

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +4/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 244
  • เกิดเป็นคนต้องมีดี บวชทั้งทีต้องสร้างดีให้กับตน
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ติดตามอ่านอยู่ครับ
 :c017:
บันทึกการเข้า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โทษอันใดที่ข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วย กาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
ขอพระรัตนตรัย โปรดจงงดซึ่งโทษล่วงเกินนั้นแก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ