ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเอง แบบไม่เสียเงิน  (อ่าน 7061 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28448
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

สะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเอง แบบไม่เสียเงิน

๑ . กิเลส กรรม วิบาก
    มีหลายคนสงสัยเรื่องการสะเดาะเคราะห์นั้น สะเดาะเคราะห์ได้จริงหรือ?
     เราก็เลยต้องมาตั้งคำถามกันว่า เคราะห์กรรมที่ว่านั้น เกิดมาจากอะไร?
     ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ ศาสนาพุทธนั้น เป็นศาสนาที่มุ่งเน้นในเรื่องของการกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราต้องทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้เสียก่อน นั่นก็คือ
       ๑.กิเลส
       ๒.กรรม
       ๓.วิบาก
     กิเลส คือ สิ่งที่แฝงติดอยู่ในใจแล้วทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัว กิเลสที่ชอบซุกหมักหมมอยู่ในใจคนมากที่สุด
คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เพราะกิเลสชอบซุก หมักหมมอยู่ในใจของคน จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กิเลสาสวะ หรือ อาสวกิเลส แปลว่า กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิต



๒. พึ่งหมอดู ทรงเจ้า
    แล้วเราจะแก้เคราะห์กรรมได้อย่างไร ?
     หลายคน เวลามีความทุกข์ มีเคราะห์ ก็หันไปพึ่งพระ ให้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์สวดนั่นสวดนี่ อาบน้ำมนต์ให้ พึ่งผี พึ่งหมอดู ทรงเจ้า นั่นก็เป็นเพราะว่า เราไม่เข้าใจในเรื่องของ กิเลส กรรม และวิบาก
     เพราะสิ่งที่ทำให้เรามีเคราะห์มันติดอยู่ในจิตในใจของเรานี่เอง ไม่ได้อยู่บนฟ้า หรือใต้ดินที่ไหนเลย
     ต่อให้เราไปให้หมอดูซักกี่ร้อยคน ให้พระทำพิธีรดน้ำมนต์ให้กี่ร้อยตุ่ม ทรงเจ้าซักกี่ร้อยครั้ง ก็ไม่เกิดประสิทธิผลแต่ประการใด

    ถ้าเรายังที่จะคิดอยู่เดิม ๆ พูดอยู่เดิม ๆทำอยู่เดิม ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงการกระทำ ให้เกิดผล ในทางที่ดีที่ถูกที่ต้องอยู่อย่างนี้แล้ว หมอดู หรือ พระองค์ไหน ภูตผีปีศาจตนใด เจ้าเข้าทรงที่ไหน ๆ ก็ช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้

     

๓. คิดดี พูดดี ทำดี
    กรรม แปลว่า การกระทำ หมายถึง การทำ การพูด การคิด ที่ประกอบไปด้วยเจตนา คือ ความจงใจ
     วิบาก คือ ผลอันเกิดจากกรรม(การกระทำ) ที่เราทำไว้นั่นเอง ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี
     ผลของกรรม หรือ การกระทำ ก็ย่อมส่งผลให้เราได้พบกับสิ่งที่ดี
     แต่ถ้าเราคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ผลของการกระทำก็ย่อม ส่งผลให้เราได้พบกับสิ่งที่ไม่ดี

     การที่เรามีเคราะห์ จนทำให้เราเกิดความทุกข์ในชีวิตได้นั้น สาเหตุก็มาจากกิเลสตัณหา ที่ทำให้เกิดกรรม คือการกระทำที่ไม่ดี ส่งผลให้เราต้องได้รับผลคือความทุกข์ อันเกิดจากการกระทำที่ไม่ดีของเรานั่นเอง



๔. สำรวจภายในจิตใจ
    การที่เราจะแก้เคราะห์กรรม ให้กับตัวเองได้นั้น เราต้องเริ่มจากการชำระล้างกิเลสที่อยู่ในใจของตน หมั่นสร้างกรรมดี รู้จักทำจิตใจให้สะอาดผ่องใส ด้วยการเจริญสติ อยู่เป็นประจำ เราถึงจะแก้เคราะห์กรรมของเราได้

    เบื้องต้นให้เรารู้จักการเสียสละ ด้วยการให้ทานเสียก่อน เพราะผู้ให้ ย่อมเป็นที่รักของผู้รับและการให้ทาน ยังเป็นการทำลาย โลภะ คือ ความโลภ ที่ทำให้เราอยากได้ อยากมี อยากเป็น จนทำให้เราเป็นคนที่เห็นแก่ตัวแก่ได้ อย่างเช่นทุกวันนี้

     ขั้นต่อไป ก็ให้เรารู้จักที่จะสำรวม กาย วาจา ของเรา ไม่ให้เป็นคนขี้โกรธ ขี้โมโห เป็นคนเจ้าอารมณ์ไประรานชาวบ้าน เบียดเบียนผู้อื่น เป็นคนที่มีใจเมตตา อยู่ตลอดเวลา

     ไม่ทำตัวเป็นอีแอบ เที่ยวแอบไปหยิบฉวยเอาของ ๆ คนอื่นมาโดยที่เจ้าของเขาไม่ให้ รวมทั้งชอบแอบไปตีท้ายครัวคนอื่น ไม่ประพฤติผิดลูกผิดผัวผิดเมียเขา
     เวลาจะพูดอะไร จะทำอะไรก็ให้มีความจริงใจ เป็นคนที่มีสัจจะ ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหาความแน่นอนอะไรมิได้ ไม่เป็นคนเหลาะแหละเหลวไหลพูดจาโกหกเพ้อเจ้ออยู่ตลอดเวลา อีกทั้งไม่ทำตัวเป็นคนขี้เหล้าเมายา ชอบเล่นการพนัน ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติด ทำให้ขาดสติ เกิดความประมาทในชีวิต

     เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คนอื่นขาดความเชื่อถือในตัวเรา เวลาที่เราเดือดร้อน ก็ไม่มีใครเขาอยากช่วย
นี่ มันเป็นอย่างนี้
     ถ้าหากไม่ทำตัวให้ดีแล้ว ชีวิตนี้มันจะดีได้อย่างไร?
     เคราะห์กรรมมันจะหมดไปได้อย่างไร ? ชัดเจนนะ


     สุดท้าย เมื่อเรา รู้จักที่จะหัดเสียสละให้ทานพูดดี ทำดีแล้ว ก็มาทำจิตใจให้สะอาดผ่องใส เวลาคิดที่จะทำอะไร จะพูดอะไร ก็รู้จักหัดพิจารณาให้ดีเสียก่อน ไม่เป็นคนใจร้อนด่วนตัดสินใจ ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม รู้จักปล่อย รู้จักวาง รู้จักปลงในชีวิตเสียบ้าง เป็นคนที่มีสติอยู่เป็นปกติ ไม่เป็นคนหลงตัวเอง ไม่หลงในความอยากได้อยากมีอยากเป็นในชีวิต
     รู้จักที่จะพอเสียบ้าง ไม่เป็นคนหลงในอารมณ์ของความโลภ ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท ความอิจฉาริษยา เป็น คนที่เจริญเมตตา คอยสำรวจดูจิตดูใจแก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา


    ถ้าเราเริ่มที่จะหัด และเปลี่ยนแปลงการกระทำของตัวเองไปเรื่อย ๆ เช่นนี้แล้ว
     เคราะห์กรรมของเราก็จะเริ่มห่างหายออกไปจากชีวิต ความสุขก็จะเข้ามาแทนที่
     เพราะการกระทำ คือ ความดีที่เราสร้างสมไว้ มันก็เป็นวิบาก คอยส่งผลให้กับเราในทางที่ดี
     แล้วเราจะมีเคราะห์กรรมมาจากที่ไหนกันเล่า
     การทำอย่างนี้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปให้พระสวดนั่นสวดนี่ อาบน้ำมนต์ให้พึ่งผี พึ่งหมอดู ทรงเจ้าให้เสียเวลาเปล่า อย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ


    เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย ถึงเวลาหรือยังที่เราจะได้หันกลับเข้าไปสำรวจ มองดูในจิตในใจของตัวเราเอง ว่า อะไรคือ สิ่งที่ส่งผลให้เราได้รับความทุกข์มีเคราะห์กรรมอย่างที่ เป็นอยู่เช่นทุกวันนี้ และสิ่งเหล่านั้นยังมีมากน้อยเพียงใดในจิตในใจของเรา จนเป็นเหตุทำให้เราต้องวิ่งไปหาคนนั้นคนนี้ ต้องคอยพึ่งพิงคนอื่นให้ช่วยสะเดาะเคราะห์ให้กับเราอยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อไหร่เราจะพึ่งตัวเอง สะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเองได้เสียทีหนอ...



๕.  สวดมนต์ สิริมงคล เทวดา
  อยู่บ้านก็รู้จักที่จะไหว้พระสวดมนต์ เป็นการสร้างที่พึ่งทางใจ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งเป็นสรณะ เวลาที่จะละชั่วทำความดี ก็ขอให้มีความตั้งใจ รู้จักอด รู้จักทน เป็นการสร้างพื้นฐานให้จิตใจมีความเข้มแข็ง ตั้งอยู่ในกรอบของศีลธรรม สร้างต้นทุนคุณความดีให้กับชีวิต

    ทำจิตใจให้มีสมาธิ อันเป็นที่ตั้งของสติ หมั่นเจริญจิตภาวนาเป็นเหตุให้เราเกิดปัญญา รู้จักผิดชอบชั่วดี เราก็สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตของตัวเองได้ เป็นการสะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องหันไปพึ่งพิงคนอื่นอีกต่อไป....สาธุ




ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
หนังสือ สะเดาะเคราะห์ให้กับตัวเอง ผู้เรียบเรียง : พระสายัณห์ ติกฺขปญฺโญ
จัดพิมพ์เพื่อการเผยแผ่โดย เครือข่ายธรรมะศรัทธาเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต
http://www.dhammasatta.org


๖. อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 25, 2012, 10:33:44 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ