ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ  (อ่าน 2317 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28479
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อริยะ-สัตบุรุษ

             
      คำว่า อริยะ ในคำเป็นต้นว่า อริยานํ อทสฺสาวี ท่านกล่าวหมายเอาพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธสาวก เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลส ไม่ดำเนินไปในทางเสื่อม ดำเนินไปในทางเจริญ และอันชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก พึงดำเนินตาม.

      อีกอย่างหนึ่ง พระอริยะในที่นี้ก็คือ พระพุทธเจ้านั่นเอง.
      สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคต ท่านเรียกว่า อริยะ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ.

      อนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกของพระตถาคตเจ้า พึงทราบว่า สัตบุรุษ ในคำว่า สปฺปุริสา นี้
      จริงอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นต้นเหล่านั้น ชื่อว่า โสภณบุรุษ.
      เพราะประกอบด้วยคุณอันเป็นโลกุตตระ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าสัตบุรุษ.

      อีกอย่างหนึ่ง สัตบุรุษเหล่านั้นทั้งหมดเทียว ท่านกล่าวแยกออกเป็น ๒ พวก.
      จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าและพุทธสาวกก็ดี เป็นทั้งพระอริยะและสัตบุรุษ.


      :25: :25: :25: :25:

      สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
      บุคคลใดแล เป็นนักปราชญ์ ผู้กตัญญูกตเวที เป็นกัลยาณมิตร มีความภักดีมั่น กระทำการช่วยเหลือ ผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยความเต็มใจ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้เช่นนั้นว่า สัตบุรุษ ดังนี้.
      จริงอยู่ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ว่า กลฺยาณมิตฺโต ทฬฺหภตฺติ จ โหติ ดังนี้ ท่านกล่าวหมายเอาพระพุทธสาวก, ด้วยคำว่า กตญฺญุตา เป็นต้น ท่านกล่าวหมายเอาพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้า ดังนี้แล.


       ans1 ans1 ans1 ans1

      บัดนี้ ท่านผู้ใดมีปกติไม่เห็นพระอริยะเหล่านั้น และไม่ยินดีในการเห็น ผู้นั้นพึงทราบว่า มีปกติไม่เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ดังนี้
      และการเห็นนั้นแยกออกเป็น ๒ คือ
            - ไม่เห็นด้วยตา ๑
            - ไม่เห็นด้วยญาณ ๑.

      ใน ๒ อย่างนั้น การไม่เห็นด้วยญาณ ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
      จริงอยู่ พระอริยะทั้งหลาย ถึงบุคคลจะเห็นด้วยมังสจักษุหรือทิพยจักษุ ก็ยังไม่ชื่อว่าได้เห็น
      เพราะจักษุเหล่านั้นรับเอาเพียงอุปาทายรูป ไม่ใช้ยึดเอาความเป็นพระอริยะเป็นอารมณ์.

      อนึ่ง แม้สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกเป็นต้น ย่อมเห็นพระอริยะทั้งหลายด้วยจักษุ
      แต่ว่า สุนัขบ้านเป็นต้นเหล่านั้นจะชื่อว่า ได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย หามิได้.
      ในข้อนี้มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์





อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ
               
       ดังได้สดับมา อุปัฏฐากของพระเถระผู้ขีณาสพผู้อยู่ในจิตตลดาบรรพต บวชเมื่อแก่ อยู่มาวันหนึ่ง เที่ยวไปบิณฑบาตกับพระเถระ รับเอาบาตรจีวรของพระเถระเดินตามหลังมา
       ถามพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บุคคลเช่นไรชื่อว่า พระอริยะ
       พระเถระตอบว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนแก่ รับเอาบาตรและจีวรของพระเถระ ทำวัตรปฏิบัติแม้เที่ยวไปกับพระอริยะ ก็ย่อมไม่รู้จักพระอริยะ. โยม พระอริยะทั้งหลายรู้ได้ยากอย่างนี้ ดังนี้.

       เมื่อพระเถระแม้พูดอย่างนี้ อุปัฏฐากนั้นก็ยังหารู้ไม่.
       เพราะฉะนั้น การเห็นด้วยจักษุ ไม่ชื่อว่าเห็น การเห็นด้วยญาณเท่านั้น ชื่อว่าเห็น.


        ans1 ans1 ans1 ans1

       สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
               ดูก่อนวักกลิ ประโยชน์อะไรด้วยกายอันเปื่อยเน่านี้ อันเธอเห็นแล้ว,
               ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแลเห็นพระธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต ดังนี้.

       เพราะฉะนั้น บุคคลแม้เห็นอยู่ (ซึ่งพระอริยะ) ด้วยจักษุ แต่ไม่เห็นอนิจจลักษณะเป็นต้น ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายเห็นแล้วด้วยญาณ และไม่บรรลุธรรมที่พระอริยเจ้าบรรลุแล้ว
       พึงทราบว่า ไม่เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะธรรมที่ทำให้เป็นพระอริยะ และความเป็นพระอริยะอันบุคคลนั้นยังไม่เห็น ดังนี้

____________________________________________________________________________
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายวรรค มูลปริยายสูตร ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวง
www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=1&p=2#ความหมายของปุถุชน 
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

บุญเอก

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 516
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2015, 12:31:39 am »
0
 st11 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
ทำงานอาสา หวังช่วยคนตกยาก แม้จะลำบาก แต่ก็จะทำโดยความไม่หนักใจ
อาสากตัญญู พัทยา ยินดีรับใช้

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2015, 10:13:44 am »
0
เรื่องนี้ ต้องอ่าน ดี ๆ คะ
 ใครบางคน มี สัตบุรุษ อยู่ใกล้ แล้ว แต่ ไม่ได้คบหา หรือ สมาคม หรือ ไม่ดูแล อุปัฏฐาก อุปถัมภ์

 นับว่าน่าเสียดาย กว่า คนที่ ไม่ได้อยู่ ใกล้ สัตบุรุษ เลย

  :49: st11 st12
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2015, 10:16:41 am »
0

st12 st12 st12  st11 thk56 like1

ขอบพระคุณท่าน RAPONSAN ที่นำความรู้ดีๆมาเผยแพร่ครับ


     เรื่องนี้ก็ของจริงนะครับ แม้ผมเองเมื่อยังเด็กจนโตเลยล่ะ อยู่กับพระอริยะสงฆ์มาตั้งแต่เด็กก็ยังไม่รู้จักว่าท่านเป็นพระอรหันต์และพระอริยะสงฆ์ เพราะมีปกติใกล้ชิดสนิทท่านจนเป็นผู้ไม่รู้ หลงลืมในส่วนนี้ไปบ้าง หรือ มีมิจฉาทิฐิอันปิดกันปัญญา เช่นเห็นว่าท่านรับฟังคุยหรือสนทนากับคนนั้นคนนี้ หรือ พระอริยะสงฆ์องค์อื่นในเรื่องราวต่างๆ โดยเราฟังไม่ได้สรรพแล้วจับไปกระเดือก หรือดูที่จริตเก่าของท่าน(ซึ่งจริตเก่านั้ติดตามเราไม่รู้กี่ภพกี่ชาติจนถึงปัจจุบัน ว่ากันว่าผู้ที่ดับจริตเก่าได้สิ้นเชิงมีแค่พระพุทธเจ้าเท่านั้น) แล้วก็เหมาเอาว่าท่านเป็นพระปฏิบัติดี เป็นที่เคารพเลื่อมใสแก่ชนทั้งหลายแค่นั้นแต่ยังไม่ถึงพระโสดาบัน (ทั้งๆที่ท่านเป็นพระอรหันต์) ซึ่งตรงนี้จะเป็นบ่อยมากร้อนจนต้องไปขอขมาลาโทษท่าน แต่ท่านก็ไม่ถือโทษโกรธ

     คนเรานี้หากมีกิเลสปิดกันมากให้ไม่รู้แล้ว ยังมียบุญไม่ถึง ไม่พอให้รู้ ไม่ให้ได้เจอด้วย อย่าว่าแต่ไม่รู้จักเลย บางทียังไปคิดติเตียนท่านไปทั่วอีก ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไร เราควรน้อมเอาใจดูทั้งหมดว่าท่านเป็นพระเป็นสงฆ์ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หากเราถึงพระพุทธเจ้าเป็นอนุสสติแล้ว แม้พระองค์นั้นจะต้องอาบัติ เป็นเพียงปุถุชน ไม่ปฏิบัติก็ตาม เราก็ไม่มีจิตจะไปชี้ติเตียนกล่าวโทษ นั่นเป็นเรื่องของสงฆ์ ย่อมเห็นเป็นปกติว่าย่อมเกิดมีได้ ย่อมเห็นผ้ากาสาวพัสตร์เป็นที่แสดงแห่งสาวกของพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนา ไม่มีกล่าวติเตียนเห็นแต่เพียงเป็นเรื่องของกรรมของจริต แม้พระอรหันต์ท่านยังปรับอาบัติกันได้ทั้งๆที่ไม่มีเจตนาไม่มีอาบัติแล้ว พระสงฆ์ด้วยกันเท่านั้นที่จะปรับอาบัติกันได้ ปุถุชนฆราวาสไปปรับอาบัติพระไม่ได้นะครับ

     ข้อนี้ก็ให้เรารู้ได้ว่าคนที่มีจริตติเตียนพระสงฆ์นี้ จะล่วงกรรมหนักเมื่อไหร่ก็ไม่รู้




     ดังนั้น..แล้วเวลาเราใส่บาตรให้ทาน ทำนุบำรุงพุทธสถาน ทำกิจการงานช่วยเหลืองานพระสงฆ์สามเณร แม้เราจะไม่รู้ว่าท่านเป็นพระแท้หรือพระเก๊ก็ตามแต่
     ก็ให้เราพึงทำในใจไว้ว่า..การทำบุญใส่บาตรให้ทานอยู่นี้ เป็นการปฏิบัติบูชา สละคืนความโลภ โกรธ หลง ละซึ่งกิเลสความติดข้องใจทั้งปวงแห่งเราเพื่อถวายเป็น พูทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา พระพุทธศาสนา พระพุทธสถาน พระพุทธสาวก และ สมมติสงฆ์ สมมติสาวกทั้งหลาย เพื่อความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลประโยชน์สุขแก่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น

(คนที่สละคืนกิเลสได้เมื่อทำบุญทำทานเขาย่อมคิดเห็นถึงอย่างนี้ๆว่า.. "จะมีสิ่งเหล่าใดบ้างหนอที่เราจะทำแล้วเอื้อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่ พระรัตนตรัย พระพุทธศาสนา พระพุทธสถาน ครูบาอาจารย์ พระ เณรได้บ้าง หรือ สิ่งเหล่าใดที่เราทำอยู่ในตอนนี้นั้น จะเป็นประโยชน์สุข เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลให้แก่ พระรัตนตรัย และ พระพุทธศาสนา อย่างไรได้บ้าง")


     ** (แต่หากมีจิตสละคืนความโลภไม่ได้ หรือเพราะว่าอยากได้อานิสงส์ทานนี้ ก็เพียงแค่น้อมระลึกเอาว่า เพื่อความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลประโยชน์สุขแก่ท่านเหล่านั้น และ ตัวข้าพเจ้าเอง ลูก เมีย(สามี) ญาติพี่น้อง เพื่อสนิทมิตรสหาย บุพการีทั้งหลายทั้งในอดีตชาติ อดีตกาลจนถึงปัจจุบันนี้ทั้งที่ละโลกนี้ไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหลาย ให้ท่านได้รับประโยชน์สุขและอานิสงส์อันนี้ทั้งปวงจงสำเร็จประโยชน์แก่ท่านเหล่านั้นในทันทีและในกาลทุกเมื่อเทอญ
         หากยังไม่ถึงพระนิพพานฉันใด ขอให้ข้าพเจ้าได้เจริญสำเร็จประโยชน์ทั้งในทางโลกและทางธรรม เข้าถึงธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ได้เกิดเจอพระพุทธศาสนาไปทุกๆชาติ ขอให้ได้เจอและสดับฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า หากแม้ไม่เจอพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ได้เจอพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้เจอพระอรหันต์สาวก ได้เจอพระอริยะสงฆ์ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ได้เรียนรู้ธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ทั้งสิ้นนี้จากท่านเหล่านั้นโดยง่าย
         ขอบุญอีกส่วนหนึ่งขอให้แก่เจ้ากรรมนายเวรให้เลิกแล้วต่อกันเว้นจากความผูกเวรพยาบาทต่อกัน ด้วยเหตุดังนี้หากเมื่อข้าพเจ้าได้รับสุขก็ขอให้ท่านเหล่านั้นได้รับสุขจากอานิสงส์นั้นด้วย เมื่อข้าพเจ้าได้รู้เห็นเข้าถึงกุศลธรรม ธรรมอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนหรือธรรมที่ครูบาอาจารย์เทศนาสั่งสอนชี้นำเพื่อเป็นเครื่องออกจากทุกข์ ก็ขอให้เจ้ากรรมนายเวรได้รู้ตาม ถึงตาม สำเร็จประโยชน์สุขอันประเสริฐนี้ตามด้วยประการดังนี้)**


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 31, 2015, 02:08:15 pm โดย Admax »
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อยู่กับพระอริยะ แต่ไม่รู้จักพระอริยะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2015, 11:36:09 am »
0
 st11
      ขออนุโมทนาธรรม
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา