พระไตรปิฏกเล่มที่ ๑๑ สุตตันตะปิฎกเล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
๙. อาฏานาฏิยสูตร
๙. อาฏานาฏิยสุรา
สูตรว่าด้วยการรักษาในอาฏานาฏานคร
พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ ในราตรีหนึ่งท้าวมหาราชทั้งสี่ (๓.)พร้อมด้วยเสนารักษ์ คนธรรพ์ รุกขเทวดา ) , กุมภัณฑ์และนาค มาเฝ้าพระผู้มีพระภาค.
เมื่อท้าวมหาราชทั้งสี่ถวายบังคมแล้ว ท้าวเวสสุวัณ ( มีนามอย่างหนึ่งว่าท้าวกุเวร ) กราบทูลว่า มียักษ์ชั้นผู้ใหญ่ชั้นกลางชั้นต่ำ ที่เลื่อมใสพระผู้มีพระภาคก็มี ไม่เลื่อมใสก็มี แต่ที่ไม่เลื่อมใสมีมาก เพราะพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม เพื่อเว้นจากฆ่าสัตว์ , ลักทรัพย์ , ประพฤติผิดในกาม , พูดปด, ดิ่มสุราเมรัย. พวกยักษ์เหล่านั้นไม่เว้นจากสิ่งเหล่านี้โดยมากจึงไม่ชอบ.
มีสาวกของพระสาวกของพระผู้มีพระภาคเสพเสนาสนะอันสงัดในป่า ซึ่งพวกยักษ์ชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่เลื่อมใสในพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาค อาศัยอยู่ เพื่อคุ้มครองรักษารักษาเพื่อไม่เบียดเบียน เพื่ออยู่เป็นสุขแห่งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงเรียนการรักษา ชื่ออาฏานาฏิยา เพื่อทำยักษ์เหล่านั้นให้เลื่อมใส . พระผู้มีพระมีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ.
ท้าวเวสสุวัณจึงกล่าวการรักษา (๔.) ชื่ออาฏานาฏิยา. ใจความแห่ง “รักขา” นั้น เป็นถ้อยคำนมัสการพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ มีพระวิปัสสี เป็นต้น พระโคดมพุทธเจ้าพุทธเจ้าเป็นองค์ที่สุด พร้อมทั้งพรรณนาถึงคุณลักษณะของพระองค์. มีการกล่าวพรรณนาถึงท้าวมหาราชทั้งสี่องค์ ประจำทิศต่าง ๆ พร้อมด้วยบุตร ซึ่งเคารพ นมัสการพระพุทธเจ้า.
เมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เรียน “ รักขา ” นี้ ท่องบ่นดีแล้ว อมนุษย์ใด ๆ จะเป็นยักษ์ คนธรรมพ์ กุมภันฑ์ นาค ตลอกจนพวกพ้อง ถ้ามีจิตประทุษร้าย เข้าไปใกล้ ผู้เรียน “ รักขา” นี้ จะเข้าพวกไม่ได้ จะชื่อว่าประพฤติผิดเหมือนโจร จะถูกลงโทษ . พวกยักษ์ มหายักษ์ เสนาบดี มหาเสนาบดีจะคอยชี้ความผิดของอมนุษย์เหล่านั้น.
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟัง และทรงพระอนุญาตให้เรียน “รักขา” นี้ได้.
หมายเหตุ : พระสูตรนี้ เมื่อพิจารณาอย่างกว้าง ๆ ย่อมแสดงถึงความแข้มแข็งของพระพุทธศาสนา
เป็นการเสนอหลักการให้ถอนความกลัว ต่อภูตผีปีศาจ ซึ่งคนสมัยนั้นยังเชื่อกันอยู่ทั่วไป
เพราะเมื่อนายของพวกยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ และนาคเองยังมาอ่อนน้อมกราบไหว้คุณความดีของพระพุทธเจ้า
พวกบริวารก็แกะกะไม่ถนัดนัก เป็นการนำความดีชั้นสูงมาช่วยให้ผู้หวาดกลัวมีความอุ่นใจในคุณความดีที่ เหนือกว่า เท่ากับเอาชนะความชั่วด้วยความดี
(๓.) ท้าวมหาราชทั้งสี่ คือ ท้าวธตรฐ มีคนธรรพ์เป็นบริวารครองทิศบูรพา ; ท้าววิรุฬหก มีกุมภัณฑ์เป็นบริวาร ครองทิศทักษิณ; ท้าววิรูปักข์ มีนาคเป็นบริวาร ครองทิศประจิม ; ท้าวกุเวรหรือเวสสุวัณ มียักษ์เป็นบริวาร ครองทิศอุดร
(๔.) คำว่า “ รักขา” มีลักษณะเดียวกับ “ปริตร” คือสวดสำหรับคุ้มครองป้องกันภัย ที่มา พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน (อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ)
ขอบคุณภาพจาก
http://i788.photobucket.com/
อรรถกถาอาฏานาฏิยสูตร(บางส่วน)
ท้าวเวสวัณ ยังอาฏานาฏิยรักษ์ให้สำเร็จลงแล้ว เมื่อจะแสดงการบริกรรม พระปริตนั้นจึงกล่าวบทนี้ว่า คนใดคนหนึ่ง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เรียนดีแล้ว ความว่า อาฏานาฏิยรักษ์ อันผู้ใดผู้หนึ่ง ชำระอรรถและพยัญชนะ และเรียนด้วยดี.
บทว่า เล่าเรียนครบถ้วน ความว่า ไม่ให้บทและพยัญชนะ เสื่อมแล้วเล่าเรียนครบถ้วน.
ท่านแสดงไว้ว่า จริงอยู่พระปริต ย่อมไม่เป็นเดช แก่ผู้กล่าวผิด อรรถบ้าง บาลีบ้าง หรือว่าไม่ทำให้คล่องแคล่ว. พระปริตย่อม เป็นเดชแก่ผู้ทำให้คล่องแคล่ว ด้วยประการทั้งปวง แล้วกล่าวแน่แท้. แม้เมื่อเรียนเพราะลาภเป็นเหตุ แล้วกล่าวอยู่ก็ไม่สำเร็จประโยชน์.
พระปริตย่อมมีประโยชน์แก่ผู้ตั้งอยู่ในฝ่ายแห่งการออกไปจากทุกข์ แล้วกระทำเมตตาให้เป็น ปุเรจาริก กล่าวอยู่นั่นแล.
บทว่า ยักขปจาระ คือผู้รับใช้ยักษ์. บทว่า วัตถุ ได้แก่ วัตถุคือ เรือน.
บทว่า ที่อยู่ได้แก่การอยู่เป็นนิจในเรือนนั้น. บทว่า สมิตึ คือ การสมาคม.
บทว่า อนฺวยฺหํ ความว่า ไม่ควรทำการอาวาหะ. บทว่า อวิวยฺหํ ความว่า ไม่ควรวิวาหะกับเขา. ความว่า ไม่พึงกระทำการอาวาหะ หรือวิวาหะกับเขา.
บทว่า ด้วยคำบริภาษอันบริบูรณ์ดังกล่าวแล้ว ความว่า อมนุษย์ทั้งหลายพึงน้อมเข้าไป ซึ่งอัตภาพของยักษ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ผู้มีตาสีคล้ำ ผู้มีฟันเหลือง ดังนี้ แล้วบริภาษด้วยคำบริภาษอันมีพยัญชนะบริบูรณ์ดังที่กล่าวแล้ว.
อธิบายว่า พึงด่าถ้อยคำของยักษ์.
บทว่า บาตรแม้เปล่า ความว่า บาตรโลหะเช่นเดียวกับบาตรของภิกษุนั้นแหละ. ครอบบาตรนั้นบนศีรษะ
ตลอดถึงก้านคอ. เอาเสาเหล็กทุบบาตรนั้นในท่ามกลาง.
บทว่า จณฺฑา คือ โกรธ รุทฺธา ได้แก่ ผิดพลาด.
บทว่า รภสา คือ กระทำเกินเหตุ.
บทว่า ไม่เชื่อท้าวมหาราช คือ ไม่ถือเอาคำพูด ไม่กระทำตามข้อบังคับ.
บทว่า เสนาบดี ของท้าวมหาราช คือ เสนาบดียักษ์ ๒๘ ตน.
บทว่า ปุริสกานํ ปุริสกานํ คือ อนุศาสก์ของยักษ์เสนาบดี.
บทว่า อวรุทฺธานาม ความว่า ปัจจามิตร คือ มีเวร.
บทว่า พึงประกาศให้รู้ ความว่า ผู้ไม่สามารถจะกล่าวพระปริต ให้พวกอมนุษย์หลีกไปได้ ควรประกาศให้
ยักษ์ทั้งหลายรู้ ความว่า ให้ยักษ์เหล่านั้นรู้.
ก็แต่ว่าพึงยืนอยู่ ณ ที่นี้แล้วกล่าวบริกรรมพระปริต.
อันที่จริงไม่ควรสวด อาฏานาฏิยสูตร ก่อนทีเดียว. ควรสวดพระสูตรเหล่านี้ คือ เมตตาสูตร ธชัคคสูตร รตนสูตร ตลอด ๗ วัน. หากว่าพ้นไปได้ เป็นการดี. หากไม่พ้น ควรสวด อาฏานาฏิยสูตร. ภิกษุผู้สวดอาฏานาฏิยสูตรนั้น ไม่ควรเคี้ยวแป้งหรือเนื้อ ไม่ควรอยู่ในป่าช้า.
ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า พวกอมนุษย์จะได้โอกาส. ที่ทำพระปริต ควรทำให้มีหญ้าเขียวชะอุ่ม ปูอาสนะให้เรียบร้อย ณ ที่นั้น แล้วพึงนั่ง.
ภิกษุผู้กระทำพระปริต อันชนทั้งหลายนำออกจากวิหารไปสู่เรือน ควรล้อมด้วยเครื่องป้องกัน คื อกระดาน แล้วพึงนำไป. ไม่ควรนั่งสวดในที่แจ้ง.
ภิกษุควรปิดประตูและหน้าต่างแล้วจึงนั่ง แวดล้อมด้วยมือเป็นอาวุธกระทำเมตตาจิต ในเบื้องหน้าแล้วสวด. ควรให้รับสิกขาบทก่อน แล้วสวดพระปริตแก่ผู้ตั้งอยู่ในศีล.
แม้อย่างนี้ ก็ไม่สามารถจะพ้นได้ ควรนำไปสู่วิหารให้นอนบนลานเจดีย์ ให้ทำอาสนบูชา ตามประทีป ปัดกวาดลานเจดีย์แล้วสวดมงคลกถา. ควรประกาศให้ประชุมทั้งหมด. ใกล้วิหาร มีด้านไม้ใหญ่ที่สุดอยู่ ควรส่งข่าวไป ณ ที่นั้นว่า หมู่ภิกษุย่อมรอการมาของพวกท่าน. ชื่อว่าการไม่มาในที่ประชุมทั้งหมด จะไม่ได้รับ
แต่นั้นควรถามผู้ที่ถูกอมนุษย์สิงว่า ท่านชื่อไร.
เมื่อเขาบอกชื่อแล้ว ควรเรียก ชื่อทีเดียว.
ท่านควรปล่อยบุคคลชื่อนี้ เพราะส่วนบุญในการบูชาด้วยวัตถุมัดเอาไว้ และของหอม เป็นต้น
ส่วนบุญในการบูชาอาสนะ ส่วนบุญในการถวายบิณฑบาตของท่าน หมู่ภิกษุสวดมหามงคลกถาเพื่อประโยชน์แก่บรรณาการของท่าน ด้วยความเคารพในหมู่ภิกษุ ขอท่านจงปล่อยเขาเถิด ดังนี้
หากอมนุษย์ไม่ปล่อย ควรบอกแก่เทวดาทั้งหลายว่า พวกท่านจงรู้ไว้เถิด อมนุษย์นี้ไม่ทำคำของพวกเรา เราจักกระทำพุทธอาชญา ดังนี้
ควรสวดพระปริต นี้เป็นบริกรรมของคฤหัสถ์ก่อน ก็ถ้าภิกษุถูกอมนุษย์สิง ควรล้างอาสนะ แล้วประกาศให้ประชุมกันทั้งหมด ให้ส่วนบุญในการบูชามีของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วพึงสวดพระปริตนี้เป็นบริกรรมของภิกษุทั้งหลาย.
บทว่า พึงประชุมกัน ความว่า พึงประกาศให้เสนาบดียักษ์ ๒๘ คน ประชุมกันทั้งหมด.
บทว่า พึงบอกกล่าว ความว่า พึงบอกกล่าวกับเทวดาทั้งหลาย เหล่านั้นว่า ยักษ์นี้สิงดังนี้เป็นต้น.
บทว่า ติดตาม เป็นไวพจน์ของ
บทว่า สิง อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ติด คือ ไม่ออกไป.
บทว่า เบียดเบียน ความว่า เบียดเบียน ทำให้โรคกำเริบบ่อยๆ.
บทว่า ทำให้เกิดทุกข์ คือ ทำให้มีเนื้อและเลือดน้อย ให้เกิดทุกข์.
บทว่า ไม่ปล่อย คือเป็นผู้ถูกจระเข้คาบ ไม่ปรารถนาจะปล่อย พึงบอกกล่าวเทวดาเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้ บัดนี้เพื่อแสดงถึงยักษ์ที่ควรบอกกล่าว จึงกล่าวคำ เป็นต้นว่า แห่งยักษ์ทั้งหลายเหล่าไหนดังนี้ที่มา พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน
ขอบคุณภาพจาก
http://www.rueanthewalai.com/
อ่าน "อาฏานาฏิยสูตร" ได้ที่
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ บรรทัดที่ ๔๒๐๗ - ๔๕๐๐. หน้าที่ ๑๗๓ - ๑๘๕.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=4207&Z=4500&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=207