คนสู้ชีวิต พิการกาย แต่ใจไม่ไร้รัก
สอง ผัวเมียพิการท่อนล่าง นักสู้ชีวิตแห่งปากน้ำโพ ชีวิตระทมทุกข์ ถูกผู้คนดูถูกเอารัดเอาเปรียบ หันเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าส่งเสียลูกสาววัย 8 ขวบ ชนิดคนมือเท้าดียังอาย พบชีวิตรักดั่งนิยาย หลังประสบอุบัติเหตุเสียขา หมดอาลัยถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย กระทั่งมาพบรักกันที่ศูนย์สิรินธร ก่อนจะสานสัมพันธ์ฝ่าฝันอุปสรรค์ ท่ามกลางเสียงทักท้วงจากคนรอบข้าง ลบคำสบประมาทหวั่นลูกเกิดมาเป็นภาระสังคม
ชีวิต คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ เอสลัด พัฒนบุตร กับ ณัฐทัตภัทร์ ศรีภูธร สองสามีภรรยาผู้พิการตระหนักในสิ่งนี้ดี ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 48/3 หมู่ 1 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เป็นอาคารพาณิชย์ชั้นครึ่ง ห้องมุมสุดซ้ายมือเปิดเป็นร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า “เอ อิเลกทรอนิกส์”
ขณะที่ “คม ชัด ลึก” ซึ่งได้รับแจ้งถึงเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของคู่รักพิการเดินทางมาพบนั้น ทั้งคู่กำลังขมักเขม้นอยู่กับการเคลื่อนย้ายทีวีสี 29 นิ้ว ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทั้งสองมีความสูงน้อยกว่าทีวีเครื่องที่กำลังจะย้ายเสียด้วยซ้ำ แต่เขาและเธอก็ไม่เคยร้องขอให้ช่วยแม้สักคำเดียว ตรงกันข้ามกลับเร่งมือเพื่อให้งานเสร็จสิ้นเสียโดยเร็ว
เอส ลัด พัฒนบุตร หรือเอ วัย 38 ปี พื้นเพเป็นคน จ.กระบี่ ฐานะค่อนไปทางยากจน ทำงานรับจ้างมาตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งของปลายปี 2527 ขณะเดินทางไปทำงานกับเพื่อนคู่หูที่ทำหน้าที่ขับรถเกิดหลับใน รถเสียหลักประสานกับรถบรรทุก 10 ล้อ เป็นเหตุให้เขาต้องตัดขาทั้งสองข้างตั้งแต่โคนขาลงไป นับจากนั้นเป็นต้นขาเขาก็ดำเนินชีวิตอยู่ในฐานะผู้พิการเต็มขั้น
ขณะ ที่ ณัฐทัตภัทร์ ศรีภูธร หรือภัทร์ อายุ 36 ปี เป็นคน จ.นครสวรรค์ ปี 2534 ขณะขี่รถจักรยานยนต์ไปเรียนหนังสือ เธอถูกรถบรรทุกพ่วงเกี่ยวล้มและทับขาทั้งสองข้าง จนต้องตัดขาทิ้งไม่แตกต่างไปจากสามี เด็กสาววัยเพียง 19 ปี ต้องหยุดเรียนและเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน นอกจากจะรักษาอาการทางกายแล้วก็เพื่อเยียวยาความบอบช้ำทางจิตใจยาวนานถึง 5 ปี โดยไม่ออกไปไหนเลยนอกจากโรงพยาบาลเท่านั้น
แต่ ดูเหมือนโชคชะตาจะลิขิตชีวิตของทั้งคู่เอาไว้แล้ว เมื่อเอสลัดตัดสินใจเข้ามาทำกายภาพบำบัดและทำขาเทียมที่ศูนย์สิรินธรเพื่อ การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับณัฐทัตภัทร์เริ่มทำใจได้เข้ามาที่ศูนย์แห่งนี้เมื่อ ปี 2539 ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสพบกันเป็นครั้งแรก
“พอผมเจอภัทร์ก็เริ่มรู้สึกว่าผมรักผู้หญิงคนนี้และต้องการเธอมาเป็นคู่ครอง” เอสลัดเล่าด้วยสีหน้ายิ้มๆ
นับ ตั้งแต่เอรับรู้ถึงความรู้สึกข้างในเขาก็สานสัมพันธ์กับภัทร์เรื่อยมาจน พัฒนากลายเป็นความรัก มีการให้กำลังใจซึ่งกันและกันยามที่ท้อแท้ กระทั่ง 1 ปีผ่านไป เอจึงตัดสินใจสมัครสอบไปที่มูลนิธิแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีช่างไฟฟ้า เพื่อพิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นคุณค่าของคนพิการ ที่สำคัญคือเพื่อให้ชีวิตคู่ของเขาและภัทร์ที่จะมีขึ้นในอนาคตข้างหน้า สมบูรณ์แบบ
ปี 2541 เอเดินทางไปเรียนที่ชลบุรีเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ระหว่างนี้เขายังคงติดต่อกับภัทร์ตลอดเวลา ในยุคที่คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคม แต่เอกลับใช้วิธีง่ายๆ และสุดแสนจะคลาสสิกขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความโรแมนติก นั่นคือการส่งจดหมายสัปดาห์ละ 1-2 ฉบับ
ความ สัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่ภายใต้การจับจ้องของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่ต่างก็เป็นห่วงและกังวลถึงความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ด้วยกริ่งเกรงว่าหากเกินเลยไปมากกว่านี้ เนื่องจากหลายคนอาจคิดว่า ทั้งคู่เป็นคนพิการและที่ผ่านมาก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ดีเท่าที่ ควรจะเป็น หากอยู่กินด้วยกันแล้วมีลูกขึ้นมาก็รังแต่จะเป็นภาระสังคม
ทว่า ท่ามกลางการทักท้วงด้วยความเป็นห่วงของคนรอบข้างก็ไม่สามารถทัดทานความรัก ของหัวใจทั้งสองดวงนี้ได้ ปี 2543 เอและภัทร์จึงเข้าสู่พิธีวิวาห์และแยกครอบครัวออกมาทำมาหากินตามลำพัง แม้จะพบพานกับความยากลำบากสักเพียงใด ทั้งคู่ก็ฝ่าฝันกันมาได้และพิสูจน์ให้คนรอบข้างได้ประจักษ์แก่ตา
“พอ เราแยกครอบครัวออกมาตอนนั้นยังไม่มีงานทำ ฉันก็ทำอะไรไม่เป็น ฉันไม่เคยลำบาก พ่อแม่ดูแลเป็นอย่างดี ก็ได้แต่โทรศัพท์เข้าไปสมัครงานให้พี่เอตามร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่พอเขารู้ว่าเราพิการก็ปฏิเสธทุกรายไป เราลำบากมาก เดือดร้อนมาก ไม่มีเงิน แต่เราทั้งสองก็ตั้งใจไว้แล้วว่า แม้จะอดตายก็ไม่ยอมไปขอทานเด็ดขาด” ภัทร์ เล่าถึงความขมขื่นเมื่อหนหลัง
ความ ทุกข์อยู่กับเราไม่นานหากเราไม่จมจ่อมอยู่กับมัน เอก็เช่นกันไม่นานเขาก็ได้ทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง เอต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นๆ เพื่อให้เถ้าแก่เห็นว่าเขาไม่ได้ด้อยกว่าคนอื่นเลย แม้ว่าร่างกายจะพิการก็ตามเถอะ
เอ ต้องปั่นรถวีลแชร์ไปทำงานวันละ 1 กิโลเมตรอยู่นานกว่า 1 ปี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ค่าจ้างที่น้อยแสน้อยถูกหักไปกับค่าอื่นๆ นักต่อนัก บางเดือนก็ไม่ได้รับเงินค่าจ้างเลย ในขณะที่เขามีภาระค่าใช้จ่ายอยู่ล้นมือ ไหนจะค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีค่าตรวจครรภ์สำหรับภัทร์ที่กำลังจะให้กำเนิดพยานรักในอีกไม่กี่เดือน ข้างหน้านี้
สุด ท้ายเอเลยตัดสินใจลาออกมาเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าของตัวเองในปี 2543 และนี่คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของคู่รักพิการ ทุกวันนี้น้อยคนนักใน อ.เมืองนครสวรรค์จะไม่รู้จัก “เอ อิเลกทรอนิกส์”
“ตอน ที่พี่เอลาออกจากงานมานั้นไม่มีเงินติดตัวสักบาทเดียว เราตระเวนหาห้องแถวเปิดร้าน โชคดีมีคนเห็นใจให้เราเช่าโดยยังไม่เก็บค่าเช่า ประกอบกับเถ้าแก่ที่ขายอะไหล่เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ยอมให้เครดิตซื้ออะไหล่เลย ช่วยให้มีวันนี้” ภัทร์เล่า
ปัจจุบัน ร้านเอ อิเลกทรอนิกส์ เต็มไปด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้านานาชนิดตั้งอยู่เรียงราย แสดงให้เห็นถึงฝีมือและความไว้เนื้อเชื่อใจของช่างผู้เป็นเจ้าของร้าน ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้แฝงความจริงอันแสนเจ็บปวด ไม่เฉพาะกับเจ้าของร้านเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ด้วย เนื่องจากพิษเศรษฐกิจและวิกฤตราคาน้ำมัน ทำให้ลูกค้าไม่มีเงินมารับเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้
“ลูกค้า ไม่มีเงินมารับ ผมก็ไม่คิดจะขาย ถึงแม้จะได้รับผลกระทบ ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอะไหล่ ค่าอยู่ ค่ากิน ค่าเล่าเรียนของลูกสาวที่กำลังโตขึ้นทุกวัน” เอ เล่าถึงปัญหาที่พานพบ แต่เขาและภรรยาก็ยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้า เมื่อหันไปมอง ด.ญ.ปรีญาภัสสร์ พัฒนบุตร หรือน้องอารัว ลูกสาววัย 8 ขวบ ที่นั่งอยู่ข้างๆ
ปัจจุบัน น้องอารัวเรียนอยู่ที่ ร.ร.สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ชั้น ป.2 เด็กหญิงเล่าว่าตั้งแต่จำความได้ก็เห็นพ่อแม่มีความผิดปกติไปจากคนทั่วไป แต่ในความแตกต่างบนพื้นฐานของคำว่าพิการนั้น กลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเป็นปมด้อยหรือน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ตรงกันข้ามความรักความห่วงหาอาทรที่บุพการีทั้งสองมีให้เธอกลับทำให้เด็ก หญิงรักและเทิดทูนพ่อแม่มากยิ่งขึ้น
“หนู ไม่เคยอายเพื่อนๆ หรอกค่ะ แล้วเพื่อนๆ ก็ไม่เคยล้อเลียนถึงปมด้วยที่หนูมีด้วย ทุกคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคุณครูให้ความรักความเมตตาหนูมาก หนูรู้ว่าพ่อกับแม่เหนื่อยมาก จะทำอะไรก็ลำบากไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เขา ตอนนี้หนูอยากโตไวๆ จะได้ทำงานหาเงินมาช่วยพ่อกับแม่ ตอนนี้หนูก็ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด ไม่ดื้อไม่ซน” อารัว กล่าวฉะฉานเกินเด็กวัยเดียวกัน
ด้วย ความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงนี้เอง น้องอารัวได้แสดงให้พ่อกับแม่เห็นด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด เมื่อผลการเรียนออกมาดีชนิดโรงเรียนต้องมอบทุนการศึกษาให้ในฐานะเด็กที่มีผล การเรียนดีแต่ยากจน
“คม ชัด ลึก” บอกลาสามพ่อแม่ลูก เมื่อหันกลับไปจึงเห็นภาพแห่งความประทับใจอีกครั้ง เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยๆ ร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เอสลัดกับณัฐทัตภัทร์รู้สึกวิตกกังวลในวันที่เธอลืมตา ดูโลก ก่อนจะกลายมาเป็นความภาคภูมิใจในปัจจุบัน กำลังช่วยพ่อแม่ทำความสะอาดบ้าน หุงหาข้าวปลาอาหาร และรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลูกค้านำมาซ่อม ซึ่งเป็นภาพที่ผู้คนละแวกนี้พบเห็นจนชินตา
ส่วน เอนั้นขอตัวเดินตรงไปที่รถกระบะนิสสัน เอ็นวี ที่ดัดแปลงขึ้นมาสำหรับคนพิการขาเช่นเขาโดยเฉพาะ พาหนะคู่ใจที่พาเขาและครอบครัวไปไหนต่อไหน รวมถึงเดินทางไปรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดมาซ่อม พาหนะที่เกิดจากความคับแค้นใจที่เขาได้รับจากรถรับจ้างที่ขูดค่าโดยสายเสีย จนไม่เหลือกำไรจากการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อวันวาน
ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/Sp-Report/2008/07/31/entry-1