.
รูปวิเคราะห์ชื่อแห่งนิพพานที่เขียนพรรณนามาทั้งหมดมีปรากฏในอนาสาวาทิสูตรและคัมภีร์อภิธานทั้งสอง ชื่อแห่งนิพพานดังต่อนี้ไปมีปรากฏเฉพาะในคัมภีร์อภิธานเท่านั้น ซึ่งพระโมคคัลลานะเถระกล่าวไว้ในคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกาว่า มี 46 บท โดยเพิ่มหรือมากกว่าในอนาสาวาทิสูตร 12 บท ( 2536 : 4) ดังต่อไปนี้
(1) โมกฺโข แปลว่า ธรรมเป็นที่หลีกเร้น ธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสมีราคะ เป็นต้น
(2) นิโรโธ แปลว่า ความดับ พระบาลีว่า นิโรโธ มีใช้จำนวนมากในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ที่สำคัญที่สุดพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เป็นจุดสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนาว่า นิโรธ สจฺจํ ซึ่งหมายถึงนิพพานนั่นเอง พระบาลีว่า นิโรธ ซึ่งหมายถึงสิ้นจากกิเลส ราคะ
(3) อรูปํ(น + รูป) แปลว่า ธรรมที่ไม่มีรูปลักษณ์, อรูปธรรม
(4) อมตํ (น + มร ธาตุ ปราศจากชีวิต + ต ปัจจัย = อมตะ) แปลว่า สภาพที่พ้นจากความตาย พระบาลีว่า อมตํ เป็นภาวะแห่งนิพพาน ที่ปฏิเสธความตาย เหตุคือการปฏิเสธการเกิดนั่นเอง
(5) อกตํ แปลว่า อกตธรรม พระพุทธองค์ตรัสว่า อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขต (พระไตรปิฎกภาษาบาลี เล่ม 25 ข้อ 73 : 213) แปลว่า นิพพานเป็นธรรมชาติไม่เกิด ไม่เป็น ไม่ถูกปัจจัยกระทำ ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 25 ข้อ 73 : 323) พระบาลีว่า อกตํ เป็นภาวะที่ปฏิเสธการสร้างขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ในโลกนี้ จึงเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน
(6) เกวลํ (เกว ธาตุ เป็นไปในความไม่ประกอบ หมายถึงนิพพาน, นอกจากนี้ยังมีความหมายว่า โดยมาก มั่นคง พอประมาณ ทั้งหมดทั้งสิ้น) ธรรมที่ไม่มีสังขารปรุงแต่ง พระบาลีว่า เกวลํ เป็นสภาพแห่งนิพพานที่ปัจจัยอะไรปรุงแต่งไม่ได้
(7) อปวคฺโค ธรรมเว้นจากสังขารปรุงแต่ง พระบาลีว่า อปวคฺโค เป็นสภาพแห่งสังขารโลกทั้งปวง
(8) อจฺจุตํ ธรรมที่ไม่มีจุติของพระอรหันต์ ดังมีพระบาลีว่า อจฺจุตํ อมตํ ปทํ ตํ ญาณํ (พระไตรปิฎกภาษาบาลี เล่ม 32 ข้อ 12 : 225) แปลว่า พระองค์ทรงบรรลุอมตบทที่ไม่จุติด้วยพระญาณ พระบาลีว่า อจฺจุตํ เป็นสภาพแห่งนิพพานที่ไม่มีการจุติคือตายอีก ก็คือ อนุปาทิเสสนิพพานเท่านั้น เพราะไม่เกิดและตายอีกต่อไป
(9) ปทํ แปลว่า ธรรมที่พระอริยะเข้าถึง ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า สนฺตํ ปทํ อชฺฌคมา (พระไตรปิฎกภาษาบาลี เล่ม 15 ข้อ 732 : 275)แปลว่า บรรลุนิพพานอันสงบ พระพุทธองค์อธิบายไวพจน์แห่งนิพพานว่า สนฺตํ ปทํ นิพฺพานํ (พระไตรปิฎกภาษาบาลี เล่ม 11 ข้อ 210 : 257) แปลว่า พระบาลีว่า ปทํ นิพพานที่พระอริยเข้าถึงได้
(10) โยคกฺเขโม แปลว่า ธรรมเป็นเครื่องสิ้นโยคะทั้ง 4 คำว่า โยคกฺเขโม มีปรากฏใพระไตรปิฎกว่า อนุตฺตโร โยคกฺเขโม (พระไตรปิฎกภาษาบาลี เล่ม 19 ข้อ 528 : 205) แปลว่า ธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม พระบาลีว่า โยคกฺเขโม
(11) สนฺติ (สมุ ธาตุ ในความสงบ + ติ ปัจจัย) แปลว่า ธรรมที่สงบจากกิเลส พระพุทธองค์ตรัสว่า ผุฏฐสฺส ปรมา สนฺตินิพฺพานํ อกุโตภยํ (พระไตรปิฎกภาษาบาลี เล่ม 21 ข้อ 23 : 31) แปลว่า สัมผัสความสงบอย่างยิ่ง คือ นิพพานอันไม่มีภัยจากที่ไหน ๆ
(12) นิพฺพุติ (อิตฺถี) แปลว่า ธรรมที่ออกจากตัณหา หรือธรรมที่ปราศจากตัณหาเครื่องกั้นให้ติดอยู่ในสงสาร ดังพุทธวจนะว่า ตถาคเตน สา นิพฺพุติ อธิคตา (พระไตรปิฎกภาษาบาลี เล่ม 29 ข้อ 709 : 423) นิพพานนั้นพระตถาคตทรงบรรลุแล้ว
ไวพจน์หรือชื่อแห่งนิพพานตามรูปศัพท์แห่งนิพพานที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท มีจำนวนมาก นอกจากอนาสวาทิสูตร และคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา ก็มีอีกจำนวนมาก เช่น คำว่า อจลํ เป็นต้น (พระไตรปิฎกภาษาบาลี เล่ม 32 ข้อ 293 : 40) ซึ่งก็เป็น ศัพท์ไวพจน์ของนิพพานเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้วิจัยเชื่อว่า น่าจะมีประมาณเกือบ 100 บท แต่ที่มีใช้มากรองจากนิพพาน ได้แก่ อสังขตะ และนิโรธ2.2 การตีความนิพพานโดยสภาวะ
การตีความโดยสภาวะนั้นยึดพยัญชนะทั้งหมดนั่นแหละ แล้วนำมาตีความโดยความเป็นจริง ที่มีอยู่โดยธรรมชาติ หรือ โดยสภาวะธรรม มีอยู่ 2 ระดับ คือ ระดับที่ยังมีชีวิตอยู่หรือพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน และระดับชีวิตดับสิ้นหรือพระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ดังนี้
2.2.1. สอุปาทิเสสนิพพาน
พระนววิมลเถระ กล่าวว่า “กิเลสปรินิพฺพานเหตุโต สห อุปาทิสงฺขาเตน เสเสน ขนฺเธนาติ สอุปาทิเสสา นิพพานธาตุ” (2542: 120) แปลว่า เพราะกิเลสปรินิพพาน แต่ยังเหลือขันธ์ 5 ที่เป็นเศษกรรมแห่งอุปาทานยึดไว้ จึงชื่อว่า สอุปาทิเสสนิพพาน
การที่พระพุทธองค์จะอธิบายภาวะทางจิตแห่งการสัมผัสนิพพาน อันเป็นโลกุตตระ มาบอกแก่ชาวโลก ซึ่งเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกันอย่างไร จึงตรัสอุบายวิธีว่าบรมสุข ดังมีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า “นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ” แปลความว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 25 ข้อ 203-204 : 95)
คำว่า นิพพานเป็นบรมสุข คือสุขที่เกิดจากการพ้นจากกิเลส ไม่มีกิเลสเกิด อันเป็นนิโรธสัจ ได้แก่ ความสุขที่เป็นความพ้นทุกข์ นิพพานไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากการเสวยปัญจารมณ์ หรือไม่ใช่สุขที่เกิดจากการดื่มด่ำในปัญจารมณ์แต่เป็นสุขที่พ้นจากกิเลส พ้นจากความเป็นขันธ์ (ขันธวิมุตติ) เรียกว่าสันติสุข สันติสุของค์ธรรมคือนิพพาน และเป็นอสังขตธรรม ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ดังนั้น จากคัมภีร์พระพุทธศาสนาดังกล่าวมาจึงตีความได้ว่า สอุปาทิเสสนิพพาน คือ สภาวะทางจิตใจภายในของบุคคลที่กำจัดกิเลส ความชั่ว อกุศลธรรมได้ทั้งหมดที่เรียกว่า กิเลสตาย หรือ กิเลสปรินิพพาน แต่ยังมีชีวิตดำรงอยู่เหมือนคนทั่วไปตามปกติ บุคคลนั้นเรียกว่า อรหันต์ แปลว่า ผู้กำจัดวงล้อแห่งกิเลสได้ สภาพแห่งจิตที่หมดจากกิเลสขณะมีชีวิตอยู่นี้พระพุทธองค์สื่อให้คนทั่วไปรู้ว่า บรมสุข (ปรมํ สุขํ)
2.2.2. อนุปาทิเสสนิพพาน
นิพพานที่เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ชื่อว่าเป็นคติสุดท้ายแห่งพระอรหันต์พระนววิมลเถระ กล่าวถึงอนุปาทิเสสนิพพานว่า “ขนฺธปรินิพฺพานเหตุตาย ขนฺธสงฺขาต อุปาทิ เสเสน วิรหิตตฺตา อนุปาทิเสสา, ทฺวิธา นิพฺพานธาตุภาวโต” (2542, น.120) แปลว่า ชื่อว่า อนุปาทิเสส นิพพาน เพราะไม่มีเศษแห่งอุปาทานยึดได้ กล่าวคือ ขันธ์ 5 เพราะเหตุแห่งขันธ์ 5 ปรินิพพาน โดยที่นิพพานโดย 2 ส่วน คือ กิเลสและขันธ์ 5 หมายถึง กิเลสดับและขันธ์ 5 ดับ
การตีความนิพพานที่สุญสิ้น ดับสิ้นจากสังขารโลกทั้งปวง ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน คือ การที่บุคคลทำลายกิเลสทั้งหมดให้สิ้นไปจากจิตสันดานจนจิตบริสุทธิ์ (สุทฺธิ) ที่เรียกว่า อรหันต์ และพระอรหันต์นั้นนั่นเอง ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณดับพร้อมกัน แล้วไม่เกิดอีกต่อไป เป็นการนิพพาน 2 ประการ คือ กิเลสปรินิพพานและขันธปรินิพพาน พร้อมกันทีเดียว เป็นคติสุดท้ายของพระอรหันต์หลังสิ้นชีวิตแล้ว2.3 การตีความนิพพานโดยอุปมา
นิพพานเป็นโลกุตตระ แปลว่า พ้นจากโลก นิพพานจึงไม่สามารถอธิบายด้วยสิ่งใดๆ ในโลกนี้ได้ พระบรมศาสดาจึงพยายามสื่อให้มนุษย์ได้ทราบด้วยวิธีการต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือการอุปมานิพพาน การอุปมาที่ชัดเจนที่สุดมี 3 เรื่อง คือ
(1) จิตผู้สัมผัสนิพพานเปรียบ ดังหยาดน้ำบนใบบัว
(2) เมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติดปลายเหล็กแหลม
(3) เปลวประทีปดับ หมดทั้งเปลวประทีป ไข และไส้
2.3.1. จิตผู้สัมผัสนิพพานเปรียบดังหยาดน้ำบนใบบัว
บุคคลผู้เป็นพระอรหันต์นั้นไม่ติด คือ ไม่ติดแน่น ไม่ติดพันได้แก่ เป็นผู้ไม่ติดแล้ว ไม่ติดแน่นแล้ว ไม่ติดพันแล้ว ออกแล้ว สลัดออกแล้ว หลุดพ้นแล้วไม่เกี่ยวข้องแล้วกับกิเลสเหล่านั้น มีใจเป็นอิสระอยู่ เหมือนหยาดนไม่ติดอยู่บนใบบัว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่ามุนีไม่ติดพันในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยินและอารมณ์ที่รับรู้เหมือนหยาดน้ำไม่ติดบนใบบัว ฉะนั้น (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 29 ข้อ 46-47 : 164)
2.3.2. เมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติดปลายเหล็กแหลม
ขันธ์ทั้งหลายถึงการทรงตัวอยู่ไม่ได้แตกไปแล้วกองขันธ์ในอนาคตก็ไม่มีส่วนขันธ์ที่เกิดแล้วในปัจจุบันก็ดำรงอยู่เหมือนเมล็ดผักกาดบนปลายเหล็กแหลม ฉะนั้น(พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 29 ข้อ 10 : 52) จิตของพระอรหันต์เปรียบดังเหล็กแหลม ส่วนอารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ ประดุจดังเมล็ดผักกาด เมื่อเอาเมล็ดผักกาดวางบนปลายเหล็กแหลม เมล็ดผักกาดได้โอกาสเพียงสัมผัสปลายยอดเหล็กแหลมเท่านั้น ย่อมกลิ้งตกทันที ฉันใด จิตอรหันต์ก็ฉันนั้น
2.3.3. เปลวประทีปดับ
พระพุทธองค์ตรัสอุปมาอนุปาทิเสสนิพพาน ประดุจดังเปลวประทีปดับลงว่า พระขีณาสพเหล่าใดสิ้นภพเก่าแล้ว ไม่มีการเกิดใหม่ทั้งมีจิตเบื่อหน่ายในภพที่จะเกิดต่อไป ท่านเหล่านั้นชื่อว่า มีพืชสิ้นแล้ว ไม่มีฉันทะงอกขึ้น เป็นปราชญ์ย่อมดับสนิทเหมือนประทีปดวงนี้ดับไป นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระสงฆ์ (พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม 25 ข้อ 13 : 15)หมายความว่า เมื่อเปลวประทีปดับลง ย่อมหมดทั้งไขและไส้เทียน เมื่อพระอรหันต์เสียชีวิต จิตและรูปกายย่อมดับลง ไม่มีเกิดในภพภูมิ อีกต่อไป
การอุปมาทั้ง 3 ประการนี้ เป็นการตีความสภาวะแห่งนิพพานได้ด้วยเช่นกัน การอุปมาน้ำบนใบบัวและเมล็ดพันธุ์ผักกาดปลายเหล็กแหลม คือ สอุปาทิเสสนิพพาน ส่วนเปลว แห่งประทีบที่ดับ คือ อนุปาทิเสสนิพพาน จากการอุปมาทั้ง 3 ประการนี้ ทำให้มนุษย์ปุถุชนตีความสภาพแห่งนิพพานได้ใกล้เคียงที่สุดแม้ภาวะจิตไม่สามารถถึงหรือสัมผัสนิพพานได้
@@@@@@@
อภิปรายผล
สภาพแห่งนิพพานอันเป็นโลกุตตระนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่สามารถอธิบายด้วยสภาวะใดๆ ทั้งสิ้นที่มีอยู่ในโลกนี้ พระองค์จึงตรัสหลังจากตรัสรู้ครั้งสมัยก่อนจะโปรดสอนสรรพสัตว์ว่า ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสลัดอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา วิราคะ นิโรธ คือ การดับไปแห่งกิเลส ตัณหาอย่างยั่งยืน ไม่เกิดอีกต่อไป ขณะตรัสรู้พระองค์เรียกว่า นิโรธ ต่อมาเรียกว่า นิพพาน อสังขตะ และคำอื่นๆอีกจำนวนมาก ที่เป็นเช่นนี้เข้าใจว่า ต้องการสื่อสารกับผู้ฟังในท้องถิ่นนั้นๆ ให้เข้าใจและปฏิบัติตามเพื่อให้เข้าถึงภาวะพ้นทุกข์อย่างยั่งยืน คือ สอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน
กระบวนการที่เข้าถึงนิพพาน เรียกว่า สันติบท เป็นไปเพื่อบรรลุความสงบระงับกิเลส ความแจ่มแจ้งของจิต สันติบทนั้นได้แก่ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสหมวดธรรมเหล่านี้ว่า โพธิปักขิยธรรม ธรรมที่เป็นฝ่ายแห่งการตรัสรู้พระนิพพาน หมวดใดหมวดหนึ่ง ที่จะเหมาะสมแก่จริตของผู้ปฏิบัติ
เมื่อบรรลุถึงสันติบทแล้ว มรรค ผล นิพพานก็เป็นเรื่องเดียวกัน ภาษาบาลีว่า อาโลโก ญาณํ จกฺขุํ นิพพานํ อังกฤษว่า Enlightenment นิพพานพอมีสภาพให้ปุถุชนรู้ได้ด้วยบทพยัญนะ อักขระ ชื่อ ไวพจน์ต่าง ๆ อันประกอบด้วยกาล เวลา สถานที่ บุคคล อุปมา มาเกี่ยวข้องเพื่อให้ปุถุชนหาแนวทางที่เหมาะสมกับจริตอันจะนำไปสู่ความเข้าใจหลักแห่งบรมธรรม คือ การไม่เกิดแห่งทุกข์อีกต่อไป
แต่พอถึงกาลเวลาผ่านไป 2,500 กว่าปี นิพพานอันเป็นอุดมธรรมอาจผิดเพี้ยนไปจากพุทธประสงค์ จึงต้องอาศัยการตีความจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาระดับปฐมภูมิ และทุติยภูมิมาช่วยในการไขรหัสเข้าไปสู่ความจริงที่พระพุทธเจ้าประสงค์จะให้ถึงเป้าหมายนั้นอย่างถูกต้องที่สุด
@@@@@@@
สรุป
ชื่อหรือไวพจน์ของนิพพานที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรววาทนั้นมีจำนวนมาก บท แต่ที่ใช้ในพระไตรปิฎกจำนวนมากได้แก่ นิโรธ แปลว่า ดับทุกข์ , นิพพาน แปลว่า ไม่มีเครื่องผูกมัด อสังขตะ มีปัจจัยปรุงแต่ง นิพพานเมื่อว่าโดยสภาวะ 2 ประเภท คือ สอุปาทิเสสนิพพาน กิเลสตายแต่ชีวิตยังไม่ตาย และ อนุปาทิเสสนิพพาน กิเลสตายและชีวิตตาย
สมัยปัจจุบันการจะเข้าถึงนิพพานตามพุทธประสงค์ต้องอาศัยศาสตร์แห่งการตีความมาช่วย การตีความนิพพานในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท สรุปโดยย่อแล้วมี 3 ประการ คือ
(1) โดยพยัญชนะ
(2) โดยสภาวะ
(3) โดยอุปมา กล่าวเปรียบเทียบสภาพแห่งนิพพาน
แท้จริง นิพพานเป็นโลกุตตระไม่สามารถอธิบายด้วยภาษาโลกได้ พระพุทธเจ้าจึงพยายามอธิบายได้ด้วยภาษาแห่งโลกิยะ อันเป็นกุศโลบายให้สรรพสัตว์เข้าไปสู่โลกุตตระ คือ นิพพาน
ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก :
https://www.pinterest.ca/บทความจาก : วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 | มกราคม - มิถุนายน 2562
บรรณานุกรม :-
กัจจายนเถระ. (2536). คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย. กรุงเทพมหานคร : อุษาการพิมพ์.
คันถรจนาจาริยเถระ. (2552). สัมภารวิบาก. กรุงเทพมหานคร: ส.ธรรมภักดี.
นววิมลเถโร. (2542). อภิธมฺมตฺถสงฺคหฎีกา. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (2538). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
________. (2541). พุทธธรรม. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม.
________. 2542. กรณีธรรมกาย. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสารจำกัด.
________.(2554). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา.
________. (2555). พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร. กรุงเทพมหานคร : คิงออฟแอนด์เวอร์ไทซิ่ง.
พระมหากัจจายนเถระ. (2550). เนตติปกรณ์. พระคันธสาราภิวงศ์ แปลและอธิบาย. กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวันการพิมพ์.
พุทธโฆสมหาเถระ. (2539). วิสุทฺธิมคฺคปกรณํ (ปฐโม ภาโค). กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พุทธทาส อินทปญฺโญ. (2553). เทศนาชุดสุดท้ายของพุทธทาส : หัวใจนิพพาน กรุงเทพมหานคร : ฐานการพิมพ์.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2545), พระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับมหาจุฬาเตปิฎกํ 2500 กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
โมคคัลลานเถระ.(2550). คัมภีร์อภิธานวรรณนา. พระมหาสมปอง มุทิโต แปลและเรียบเรียง. กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา
โมคคัลลานเถระ.(2536). พระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา. กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
หลวงเทพดรุณานุศิษย์. (2550). ธาตุปฺปทีปกา. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย.
อัคควังสเถระ. (2546). ธาตุมาลา. กรุงเทพมหานสิริมงฺคลาจาริโย (2535). มงฺคลตฺถทีปนี(ทุติโย ภาโค). กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย.
สุมาลี มหณรงค์ชัย. (2546). ฮินดู-พุทธ จุดยืนที่แตกต่าง. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิพม์ศยาม