ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตาเราจะสามารถเห็นวิญญาณ ได้ โดยที่ไม่ต้องฝึก กรรมฐาน หรือ...  (อ่าน 30595 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตาเราจะสามารถเห็นวิญญาณ ได้ โดยที่ไม่ต้องฝึก กรรมฐาน หรือ สมาธิ แต่ประการใด ด้วยความสงสัย ว่า ทำไมคนเราทำไม่ไม่เห็น วิญญาณ หรือ ผี กันทุกท่าน ทุกคนคะ

  :smiley_confused1: thk56
บันทึกการเข้า

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ยังไม่มีใครมาตอบเลย   :'(
บันทึกการเข้า

ธรรมะ ปุจฉา

  • http://www.facebook.com/srikanet?ref=tn_tnmn
  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 713
  • ปัญญสโก ภิกขุ (พระที) ..... คณะ ๓/๓ วัดพลับ
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ถ้าแบบว่าไม่เคยเลยที่จะได้ฝึกมา แม้แต่ในชาติก่อน ๆ ก็คงจะไม่สามารถที่จะทำได้

หลายคน เขาได้ของเก่าติดมาด้วย บางชาติก็ได้ติดมา บางชาติก็ไม่ได้

แต่ฝึกกันได้
บันทึกการเข้า
ยาดี มิได้ทำให้คนหายไข้   คนหายไข้ เพราะได้กินยาดี
ธรรมะ มิได้ทำให้คนดี       คนดีได้  เพราะปฏิบัติธรรม

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


      :welcome: :49: :58:
      อย่าได้น้อยใจ คิวตอบต่อไป คือ กระทู้นี้(ของคุณสุนีย์)
      รักทุกคน แต่..รักตัวเองมากกว่า....

      :) ;) :25:

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


'ไทยแลนด์โอนลี่...' แกะรอย 'คนเห็นผี' เมืองไทย…?

คุณว่าประเทศนี้มีคนเห็นผีมากไหม...คำถามต่อมา แล้วคุณเชื่อว่าคนเหล่านี้เห็นได้จริงไหม อย่าเพิ่งตอบ เพราะกาลเวลาจะพิสูจน์ว่าใครของแท้หรือของเทียม...? เนื่องในเทศกาลวันฮาโลวีน ไทยรัฐออนไลน์รวมคนเห็นผี มาดูซิว่าพวกเขาเป็นใครกันบ้าง...!


แม่ชีทศพร-เปิดกรรม ไถ่กรรมยุคแรก…!
โด่งดังและเป็นยุคแรกๆ ที่คนไทยได้รู้จักกับคำว่า ไถ่กรรม สแกนกรรม กับแม่ชีทศพร แห่งวัดพิชัยญาติ ในยุคหนึ่งโด่งดังขนาดคนที่จะเข้าไปไถ่กรรมต้องรอคิวเนิ่นนาน (การไถ่กรรมนั้นแม่ชีจะให้มาถือศีลนุ่งขาวห่มขาวในศาลาวัดพิชัยญาติ แล้วก็เลือกเปิดกรรมและไถ่กรรมผ่านไมโครโฟน) แต่ที่สุดแล้วก็เกิดเรื่องราวคลิปการไถ่กรรมแบบไม่เหมาะสมหลุดออกมาสู่สาธารณะ ชื่อของเธอก็หายไปอย่างรวดเร็ว


สำหรับประวัติความเป็นมา แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม หรือที่ใครๆ เรียกว่าแม่ชีใหญ่ ชื่อเดิมว่านางมาลินี ชัยปกรณ์ มีบุตรทั้งหมด 5 คน ทางด้านการเงินถือว่ามีฐานะพอควร ส่วนสาเหตุของการบวชนั้นเกิดจากเบื่อหน่ายชีวิตทางโลกเพราะมีความวุ่นวาย โดยเฉพาะปัญหาทางครอบครัว จนต้องเลิกกับสามี และหันหน้าเข้ามาทำบุญสวดมนต์ไว้พระ จนมีโอกาสได้รู้จักกับหลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต แล้วก็ได้บวชชีพราหมณ์

ภายหลังได้เข้าสมาธิที่วัดเขาอิติสุคโต เพียงวันแรก ได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อปรีชาให้แม่ชีทศพรและแม่ชีอีก 5 ท่าน ขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาบนเขา ระหว่างแม่ชีทศพรสามารถเข้าสมาธิต่อเนื่องยาวนานถึง 2 ชั่วโมง จิตรวมลงเป็นหนึ่งเกือบได้จตุตถฌาน จากนั้นบังเกิดภาพนิมิตขึ้นมาเป็นฉากๆ

แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ที่ว่ามีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็ต้องบันทึกเอาไว้ด้วยว่าในยุคหนึ่งเธอเคยโด่งดังในนามคนเห็นผียุคบุกเบิก



ตุ้ย เอกซเรย์-ดวงตามัจจุราช...!
ดังเป็นพลุแตกเมื่อหลายปีก่อน กับการเปิดตัวในรายการทีวีชื่อดัง และก็ดังต่อเนื่องมาเป็นระยะหนึ่ง จนกระทั่งมามีเรื่องราวฟ้องร้องกันเกิดขึ้น ทำให้ชื่อเขาหายไปจากหน้าสื่อโดยปริยาย


สำหรับประวัติความเป็นมา ตุ้ย หรือนายจักรินทร์ โกศัยดิลก เขาเล่าในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยว่า หลังจากได้ลูกผู้หญิงถึง 2 คน สมใจนึก ลูกคนที่ 3 ของคุณแม่ สุมาเรศ โกศัยดิลก แม่ของตุ้ย เอกซเรย์อยากจะได้บุตรชายไว้เชยชมกับเขาบ้าง ฉะนั้นเวลาไปกราบไหว้พระ หรือทำบุญที่วัดไหนก็มักจะอธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานลูกผู้ชายเสมอๆ

เมื่อคุณแม่ตั้งท้องได้ 3 เดือน คืนหนึ่งก็ฝันว่า ได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางป่าเปลี่ยวแต่เพียงลำพัง เบื้องหน้า อันไกลโพ้น คือขุนเขาทะมึนน่าเกรงขาม ข้างในรู้สึกคล้ายกับมีถ้ำอยู่ ทันใดนั้นได้ปรากฏร่าง ผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผมยาวสีดอกเลา อยู่ในเครื่องแต่งกายสีขาวทั้งชุด ในมือถือไม้เท้ายอดคดงอ ไม่ต่างจากแผ่นหลัง จากนั้นท่านผู้เฒ่าได้เดินตรงมายังคุณแม่ช้าๆ หยุดยืนตรงหน้าแล้วยกไม้เท้าชี้ตรงมาที่ท้อง พร้อมกับกล่าวว่า “ลูกในท้องของเจ้าเป็นผู้ชาย ถ้าเขาเกิดมาจงดูแลเขาให้ดี เมื่อเติบโตภายภาคหน้า เขาจะไม่เหมือนใคร” กล่าวจบผู้เฒ่าท่านนั้นก็ถือไม้เท้าเดินหันหลังกลับช้าๆ ห่างออกไป เพียงไม่กี่ก้าว ร่างก็หายวับไปต่อตา


เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ทุกๆ อย่างคุณแม่บอกว่าเหมือนกับเป็นเรื่องจริง จากนั้นจึงได้พนมมือยกขึ้นเหนือศีรษะ ขอบพระคุณชายชราในความฝัน ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ตั้งครรภ์บุตรคนที่ 3 ไม่เคยแพ้ท้องเลย นอกจากนี้สุขภาพร่างกายยังแข็งแรงสมบูรณ์ดีอีก วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2499 ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กรุงเทพฯ ก็เป็นวันกำเนิดลูกชายสมใจโดยตั้งชื่อเล่นให้ว่า “ตุ้ย”

เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่ว่ามีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็ต้องบันทึกเอาไว้ด้วยว่าในยุคหนึ่งเขาก็โด่งดังเช่นกัน



ริว จิตสัมผัส-กวนอูสัมผัส...!
ถือว่าเป็นรุ่นพี่ในการเข้ามาเป็นพิธีกรรายการคนอวดผีที่โด่งดังด้วยรูปร่างหน้าตาดี สะโอดสะอง และความพิเศษเหนือธรรมชาติที่เขาบอกว่ามาจากกวนอู 


สำหรับประวัติความเป็นมา ริว หรือปาณรวัฐ ลิ่มรัตนอาภรณ์ หนุ่มนราธิวาส เคยให้สัมภาษณ์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/life/284927) ถึงจุดเริ่มต้นความพิเศษว่ามีมาตั้งแต่เกิด มารู้ครั้งแรก ป.3 ‘กวนอู’ มาเข้าฝันและบอกมีภารกิจร่วมกัน ป.6 จู่ๆ ก็เห็นเนื้อสัตว์ในจานเป็นก้อนเลือด จึงหันเลิกกินเนื้อสัตว์ 1 เดือน หลังจากทำร่างกายให้บริสุทธิ์ กวนอูก็เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น โดยเข้าฝันบอกเราจะต้องใช้เวลา 3 เดือนในการพบกัน เดือนแรกกวนอูพาไปนรกที่ชดใช้กรรม เดือนที่ 2 พาไปดูกรรมที่มนุษย์ควรรู้ กรรมที่ไม่เท่าเทียมกัน และเดือน 3 พาไปดูความเชื่อบนสรวงสวรรค์

กระทั่งพ่อบุญธรรมเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ท่านกวนอูก็บอกว่าเอาลายเซ็นดู ก็เห็นภาพชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ต่อมาก็เห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้าได้เรื่อยๆ โดยชนิดที่ไม่ได้เรียน หรือศึกษาทางด้านนี้แต่อย่างใด


จุดพลิกผันในชีวิตก็คือหลังจากไปออกรายการตีสิบ กระทั่งมาดังเป็นพลุแตกกับรายการคนอวดผี และแน่นอนว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่ามีความพิเศษในการเห็นผีได้หรือไม่ หรือเป็นการเตี๊ยมกันกับรายการหรือเปล่า ซึ่งริวก็ยืนยันตรงๆ กับไทยรัฐออนไลน์ว่า เขารู้เรื่องราวล่วงหน้าได้เฉพาะมีกวนอูมาบอกเท่านั้น ส่วนข้อหาที่หลายคนสงสัยนั้น ริวย้ำชัดเจนว่า ถ้าเตี๊ยมขอให้ตายโหงเลย



เจน ญาณทิพย์-ดิฉันสัมผัสได้...!
เป็นรุ่นน้องริว จิตสัมผัส ในการแจ้งเกิด กับเจนจิรา เรียบร้อยเจริญ หรือที่ใครๆ รู้จักและเรียกว่าเจน ญาณทิพย์ อีกหนึ่งคนเห็นผีที่เรียกได้ว่าดังที่สุดใน พ.ศ.นี้...!


สำหรับประวัติความเป็นมา เจนเคยให้สัมภาษณ์ไทยรัฐออนไลน์ว่า (http://www.thairath.co.th/content/life/251889) เห็นผีมาตั้งแต่เด็กๆ เธอเป็นคนฝั่งธนฯ ตั้งแต่เกิด เด็กๆ ไม่กล้าแสดงออกชอบนั่งสมาธิ และทำบุญ เรียนจบ ม.สยาม สาขาการโรงแรม อยากเป็นมัคคุเทศก์ แต่ดันเริ่มต้นทำงานที่ร้านขายมือถือ เป็นเซลส์ขายบ้าน เป็นพนักงานบัญชี และลาออกอีกครั้งเพราะทนเสียงผู้ชายที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ในหัวว่า “ถึงเวลาแล้วนะ เธอต้องช่วยคนอื่น”

เป็นเสียงครูบาอาจารย์ แม้จะฝืนในช่วงหนึ่ง คืนหนึ่งมีคนมาเข้าฝันบอกสูตรก๋วยเตี๋ยวลุยสวน ซึ่งขายดีมาก เสียงเดิมก็ดังขึ้นอีก “เราให้งานที่มีอิสระแล้ว ถึงเวลาแล้วท่านจะต้องช่วยคนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ”


จึงตัดสินใจดูกรรมให้กับเพื่อนแม่ที่ตลาดเป็นคนแรก กระแสความดังของเธอกระจายแบบปากต่อปาก โดยเฉพาะการใช้ญาณทิพย์ตามหาน้องหยก ตอนเจนอายุเพียง 16 ปี ความมหัศจรรย์มาเข้าหูเจ้าของเว็บฯ ลี้ลับนำมาเผยแพร่ กระทั่งไปเตะตารายการทีวีมากมาย

รายการทีวีที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตก็คือ “รายการคนอวดผี” ส่งให้เธอกลายเป็นนักสแกนกรรมดาวรุ่งที่น่าจับตา แต่ทว่าก็โดนกระแสลบกับคนอีกกลุ่มว่าเป็นของจริงหรือของปลอม…!


หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม-ผมเห็นผีคนแรก
เป็นหมอดูที่เรียกได้ว่าในยุคหนึ่งมาแรงแซงทางโค้งเลยก็ว่าได้ กับหมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม


หมอดูมากความสามารถที่ระยะหลังมาเอาดีทางด้านสื่อสารกับวิญญาณได้ (แม้หมอกฤษณ์จะการันตีกับไทยรัฐออนไลน์ว่าเป็นนักเห็นผีคนแรกๆ ในวงการ) โดยรายการแรกที่ทำให้คนรู้จักเขาว่าสามารถเห็นวิญญาณได้ก็คือรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เทปไปลุยผับพิสูจน์ผีในซานติก้า

สำหรับประวัติความเป็นมา กฤษณ์ ชื่อจริงว่า นายศุกฤษฎ์ ปทุมศรีวิโรจน์ เรียนจบคณะรัฐศาสตร์ จากวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา ปัจจุบันอายุ 26 ปี หมอกฤษณ์เล่าว่า สนใจเรื่องการดูหมอดูมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากครอบครัวที่ญาติผู้ใหญ่ที่ไปดูหมอดูที่นั่นที่นี่แล้วมาเล่า จนอายุ 8 ปี มีโอกาสได้ไปบวชเณรที่วัดแห่งหนึ่ง และได้ศึกษาเรื่องราวของการพยากรณ์เรื่อยมา ทั้งไพ่ยิปซี การผูกดวง และวิชาที่มีผู้เรียนน้อยมาก เป็นตำนานโหราศาสตร์ยุคโบราณ

ซึ่งพระหลวงพี่องค์หนึ่งได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์ของเขามา และเห็นเราสนใจจึงถ่ายทอดวิชาให้ เรียกว่าตำราบริเฉทเจ็ดดารา งานด้านดูหมอที่ทำให้หมอกฤษณ์แจ้งเกิดก็คือการเป็นหมอดูให้กับรายการบันเทิงของทีวีพูล แต่ก็มาเสียรูปมวยเกี่ยวกับการโดนดาราสาวที่เขาทำนายว่าท้องฟ้องร้องจนที่สุดแล้วต้องออกมาขอโทษ เรื่องเลยจบไป


ทางด้านการใช้ความพิเศษในการมองเห็นวิญญาณ กฤษณ์ คอนเฟิร์ม ก็เริ่มหันมาเอาดีด้วยการเปิดตัวกับรายการทีวีชื่อดังอย่างเรื่องจริงผ่านจอในการสืบหาคนร้าย ไทยรัฐออนไลน์ก็เคยใช้บริการเขาเหมือนกัน (http://www.thairath.co.th/content/life/264018) กับการพาไปพิสูจน์เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามีวิญญาณกุมารทองอยู่ที่สถาบันนิติเวชวิทยา ส่วนเรื่องราวการพิสูจน์ที่เขาเล่าจะจริงหรือไม่จริง คนดูเป็นผู้ตัดสินเอง.



หมอปลา–มือปราบกรรม สัมภเวสี ผี วิญญาณ
แจ้งเกิดได้ในฐานะคนเห็นผีอีกคนหนึ่งกับรายการทีวีชื่อดังเรื่องจริงผ่านจอ กับหมอปลาที่ออกไปตามแกะคดีสำคัญๆ มากมาย นอกจากนี้ยังมีผลงานพ็อกเกตบุ๊กชื่อ “หมอปลา มือปราบกรรม สัมภเวสี ผี วิญญาณ”


สำหรับประวัติความเป็นมา นายจีระพันธ์ เพชรขาว หรือหมอปลานั้น เป็นคนธรรมดาๆ ที่จบวิศวกรรมอุตสาหกรรม แต่ชีวิตต้องพลิกผันมาเป็นผู้ที่ช่วยเหลือคนโดยมีจิตสัมผัสพิเศษเหนือบุคคลธรรมดา และที่สำคัญ การช่วยเหลือของหมอปลาไม่เคยคิดหวังผลตอบแทนใดๆ จากผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ

วิธีการช่วยชาวบ้านของหมอปลานั้น เขาจะใช้เพียงแค่มือสัมผัสร่างกาย ดูจากรูปถ่าย เลขโทรศัพท์ และบ้านเลขที่ ก็สามารถรับรู้ได้ว่ามีวิญญาณหรือไม่ ถ้ามีวิญญาณหมอปลาจะมีอาการแสดงออกมาอย่างชัดเจน คือ มีอาการหาว น้ำตาไหล น้ำมูกออก และรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดทรมานจากวิญญาณ ที่พยายามสื่อออกมาผ่านตัวเขา หากใครมีอาการป่วยโดยไม่มีสาเหตุ รักษาโรงพยาบาลแล้วยังไม่หาย อยากดูที่ทางทำมาหากิน ดูบ้าน ห้างร้านต่างๆ จนไปถึงสิ่งของต้องห้ามที่มีอาถรรพณ์




แม้จะยังไม่มีใครไปท้าพิสูจน์ความจริงว่าเขาคือของจริงหรือไม่อย่างไร แต่ก็ถือว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ที่กำลังมาแรง
และทั้งหมดก็เป็นส่วนหนึ่งของคนเห็นผี นอกจากเป็นเรื่องแปลกที่ต้องหาทางพิสูจน์กันแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่สะท้อนได้ถึงความอ่อนแอของจิตใจคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.


 
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/life/302187
http://www.theshocklive.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 

คำทำนายแห่ง six sense
ตอนที่ 307 : วิทยาศาสตร์เรื่องผี

ปรากฏการณ์ทางวิญญาณ หรือที่เรียกกันว่า ผี นั้นใช่ว่าจะเป็นเรื่องงมงายหรือไสยศาสตร์ แต่มันเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์สามารถเขียนเป็นรายงานได้และในที่สุดมันก็ออกมาเป็นผลงานของ ดร.โดนัลล์ จี.คาร์เพนเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งสนใจเรื่อง ผีๆนับว่าเป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุด หากเราจะกล่าวว่า ผี กับ วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่เข้ากันไม่ได้

ดร.คาร์เพนเตอร์ ได้ทำการวิเคราะห์มลภาวะทางฟิสิกส์ มีรายงานไปทั่วโลกและผลสรุปออกมาได้ว่า ถ้าผีจะมีตัวตนมันจะมีลักษณะเป็นไปตามกฎธรรมชาติ นั่นคือ ถ้าปรากฏตัวจะกินเนื้อที่ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตรหรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยตามคนธรรมดาที่มีน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ซึ่งจะมีลักษณะมาตรฐาน ดังนี้

    1. ปรากฏตัวในเวลากลางคืน ซึ่งการปรากฏตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานประมาณ 2 วินาทีถึง 10 นาทีแล้วก็จะหายตัวไป แต่สามารถปรากฏตัวขึ้นมาได้อีก
    2. ผีสามารถปล่อยแสงสว่าง เรืองแสงในตัวเองได้โดยมีความเข้มของแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน (มันเท่าไหร่กันล่ะ?) จึงจะทำให้มนุษย์มองเห็นได้ ดร.แกบอกว่าผีจะเปล่งแสงออกมาเป็นแสงเรืองๆ (อย่างเช่นตอนมองเข้าไปในตึกร้างมืดๆ แต่สามารถเห็นใครได้อย่างชัดเจน อย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ในสถานการณ์ปกติ)
    3. การปรากฏตัวของผีต้องมีเครื่องนุ่มห่มด้วย (จำไว้ ผีไม่ชอบเปลือยกายหรอก)และมักปรากฏเป็นภาพรางๆ โปร่งแสง (มองทะลุได้บ้าง)มีขนาดเล็กกว่าคนธรรมดาทั่วไป (ผีร่างเล็ก)
    4. ผีจะปรากฏในสภาพที่หันหน้าให้กับคนที่พบเห็นเสมอ
    5. ผีจะปรากฏตัวในสภาพของมนุษย์ ประมาณ 90% มีน้อยมากที่จะปรากฏในร่างของสัตว์
    6. การปรากฏตัวของผี จะทำให้บรรยากาศโดยรอบ มีอุณหภูมิลดลงโดยเฉียบพลัน เนื่องจากต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูลล์ เข้าไปสะสมทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้
    7. มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกันการปรากฏตัว (มักจะมากับกลิ่นธูปหรือกลิ่นเหม็นเน่า)เพราะ ดร.คาร์เพนเตอร์ไม่เป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไป ทำให้จำเป็นต้องนำคำกล่าวของบุคคลผู้หนึ่งมาเอ่ยถึงเพื่อเพิ่มความมีน้ำหนักของ ปรากฏการณ์ผีๆ



ซึ่งคนนั้น คือ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ หรือที่มีชื่อว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุคคลที่น้อยคนนักจะไม่รู้จักไอน์สไตน์เคยกล่าวว่า "ผีก็แค่พลังงาน จะกลัวไปทำไม" ไอน์สไตน์เป็นผู้ที่ประกาศว่า สสารและพลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นหรือทำลายลงได้ มันทำได้เพียงแต่เปลี่ยนสภาพจากแบบหนึ่งไปอีกแบบหนึ่งเท่านั้นร่างกายมนุษย์มีทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงานเค มีสมองและประสาทของเราเต็มไปด้วยพลังงานไฟฟ้า

    ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนเสียชีวิตลง ร่างกายค่อยๆเสื่อมสลายจะเกิดอะไร ขึ้นกับพลังงานไฟฟ้าของสมองและพลังงานเคมีของอวัยวะต่างๆ ที่เคยเผาไหม้และขับเคลื่อน ?
    ตามกฎของไอน์สไตน์ พลังงานทุกอย่างไม่สามารถสูญสลายหายวับไปเฉยๆ พลังงานจะเปลี่ยนสภาพและยังคงอยู่ที่ใดที่หนึ่ง พลังงานจากร่างกายที่ดับสลายจะเปลี่ยนเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล (เป็นผี เป็นดวงจิต เป็นวิญญาณหรือเป็นเพียงก๊าซ
)

    และมีนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องวิญญาณอย่างจริงจังคนๆนั้นชื่อ โทมัส อัลวา เอดิสัน ป๋าแห่งหลอดไฟนั่นเองในบั้นปลายชีวิตเขามีการประดิษฐ์ชิ้นหนึ่งที่เป็นโครงการลับ(ว่าแต่ลับแล้วไปรู้มาได้ไงล่ะ) ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทุ่มเทกับมันมาก หากแต่เวลาที่เขามีมันไม่พอที่จะทำให้มันสำเร็จ นั่นหมายความว่าเขาตายจากไปก่อน ซึ่งมัน คือ เครื่องที่ทำให้คนที่มีชีวิตติดต่อสื่อการและมองเห็นวิญญาณคนตายได้

    เอดิสันเชื่อว่า วิญญาณถูกสร้างขึ้นมาด้วยอนุภาคที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ที่เขาเรียกว่า หน่วยชีวิต หน่วยชีวิตสามารถประกอบขึ้นใหม่ในรูปแบบใดก็ได้ และจะยังมีความทรงจำอันเดิม บุคลิกภาพแบบเดิม และไม่สามารถทำลายลงได้

    ซึ่งเครื่องมือของเขาจะสามารถตรวจจับหน่วยชีวิตในสิ่งแวดล้อม และทำให้คนเป็นติดต่อกับคนตายได้
    แต่อย่างที่บอกมันไม่สำเร็จ เพราะเขามีเวลาน้อยจนเกินไป
    และเพราะเหตุนี้ คนจำนวนมากถึงเห็นว่า เขาเป็นคนสติเฟื่อง
    ในขณะที่บางคนคิดว่า เขากำลังขับเคี่ยวกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าหลอดไฟมันก็เป็นเช่นนี้แล
    แถมที่อเมริกาเขาก็ได้ผลิตเครื่องมือสำหรับ ล่าผี ไว้ด้วย


ที่มา : http://ghosts-club.exteen.com/20100107/entry-2
ขอบคุณ http://writer.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=391222&chapter=307
ขอบคุณภาพจาก http://news.softpedia.com/,http://www.tlcthai.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

pornpimol

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 152
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ฆราวาส เชื่อ ถือได้ยาก เอาแบบ พระสงฆ์ มีบ้างหรือไม่คะ

  thk56
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


Standard Night time Ghost : ถึงเป็น "ผี" ก็มีมาตรฐาน

จริงอยู่ที่ "ผี" เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ หรือตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือที่เชื่อถือได้ จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับในทางวิทยาศาสตร์ แต่ด้วยภาวะทางจิตใจ หลายคนก็อดกลัวไม่ได้ในยามวิเวกวังเวง พาให้คิด (หรืออาจเห็นจริงๆ !!) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามกลางคืน "เวลาผีปรากฎกายขึ้นต่อหน้าต่อตา !!
       
      แม้ว่าวงการวิทยศาสตร์จะยังไม่ยอมรับเรื่อง "ผีๆ" และบางครั้งก็ปัดให้เป็นเรื่องราวของ "ไสยศาสตร์" ไป ทว่านักวิทย์บางคน (โดยเฉพาะฟิสิกส์) พยายามจะอธิบาย "การเกิดของผี" ในแง่ปรากฎการณ์ธรรมชาติ
       
      ข้อเขียนเกี่ยวกับผี (ที่พยายามจะอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์) ที่โด่งดังที่สุด เห็นที่จะเป็น "ฟิสิกส์แห่งการหลอกหลอน" (The Physics of Haunting) ของ ดร.โดนัลด์ จี คาร์เพนเตอร์ (Dr. Donald G.Carpenter) นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเรื่องผี เขาเคยวิเคราะห์ทางฟิสิกส์และรวบรวมข้อมูลจากรายงานทั่วโลก จนออกมาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผีๆ โดยระบุว่า "ผี" เป็นสิ่งที่มีในธรรมชาติ และชอบอยู่ในความมืด

       

     ทั้งนี้ ดร.คาร์เพนเตอร์ได้ศึกษาวิเคราะห์ทางฟิสิกส์การเกิด "ผี" โดยมีข้อสันนิษฐานว่า...       
    1. อย่างแรกสุด....กฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ต้องสามารถใช้ได้กับภูติผีปีศาจ นั่นหมายถึง ผีก็อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของฟิสิกส์ ซึ่งเราถือว่าเป็นกฏสากลของธรรมชาติ    
    2. "ผี" ไม่ใช่เรื่องมายากล ไม่ใช่ปาฎิหาริย์ และไม่ใช้เรื่องนอกเหนือกฎธรรมชาติข้อใดๆ ทั้งสิ้น (ตามที่สันนิษฐานไว้ในข้อ 1.)     
    3. "ผี" (Ghost) "การหลอกหลอน" (poltergeist) และ "ดวงวิญญาณ" (Soul) ล้วนเกิดขึ้นมาจากสาเหตุเดียวกัน แต่เป็นปรากฎการณ์ในรูปแบบต่างกัน     
    4. ผี (จากกฎข้อ 1 แล้ว) นับเป็น “สิ่งที่มีตัวตน” (The Entity) ควรจะมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผีจากชาติใดๆ ก็ตาม     
    5. ในการปรากฎกายของผีโดยเฉลี่ยแล้ว “ร่าง” ของผีจะกินเนื้อที่เป็นปริมาณ ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม

       

     ที่สำคัญสมมติฐานในการเห็นผี ดร.คาเพนเตอร์ตั้งเป็น "สแตนดาร์ต ไนท์ ไทม์ โกสต์" หรือ เอสเอ็นจี (Standard Night time Ghost : SNG) แยกไว้ 2 กรณี คือ
       
    - กรณีแรก เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบเหตุ อาจเกิดจากการรบกวนกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง (หรืออาจจะเรียกว่า "ประสาทหลอน" )     
     หรือไม่ก็...เกิดจากการกระตุ้นให้สมองเกิดภาพหลอนขึ้นเอง โดยสิ่งเร้าภายนอก โดยอาจใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขนาดพอเหมาะยิงตรงไปยังสมองก็เป็นได้ หรือเกิดการควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก (ซึ่งเรียกว่า "ถูกควบคุมหรือถูกทำให้เกิดประสาทหลอน)
   
 
     สรุปแล้วสมมติฐานข้อนี้ถือว่า "ผีไม่มีอยู่ในโลก"..แต่ปรากฏการณ์ผีมีอยู่จริง
    (ซึ่งจริงในที่นี้คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุนั่นเอง)
       
     - กรณีที่สอง ก็คือในทางตรงกันข้าม สรุปกันง่ายๆ ได้ว่า ผีเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ "ประสาทหลอน" หรือการควบคุมให้ประสาทหลอน       
      ทั้งนี้ ข้อมูลสนับสนุนสมมติฐานหลัง ก็คือ กรณีที่ มีผู้เห็นผีพร้อมๆ กันในมุมมองที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าผีปรากฏตัวได้ด้วยการเปล่งโฟตอน (แสง) ออกมา ไม่ใช่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุเหล่านั้น

       

     อย่างไรก็ดี การพบปะ "เห็นผี" ใช้ว่าจะไร้รูปแบบ (ถ้านึกอยากจะมาก็มาอาจจะไม่ใช่แน่) เพราะตามข้อมูลที่ ดร.คาร์เพนเตอร์รวบรวมไว้ และ ระบุเป็น SNG นั้น บอกขั้นตอนการพบผีไว้ถึง 7 ข้อด้วยกัน
       
    1. "ผี" ต้องปรากฎตัวในเวลากลางคืน (เท่านั้น) การปรากฎตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานประมาณ 2 วินาทีถึง 10 นาที เสร็จแล้ว ต้องหายตัวไป แล้วจึงปรากฏกายขึ้นใหม่ได้อีก      
    2. "ผี" สามารถเปล่งแสงสว่าง เรืองแสงในตัวเองได้ โดยต้องมีกำลังส่องสว่าง อยู่ในช่วงความเข้มแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน จึงจะทำให้สายตามนุษย์สามารถมองเห็นได้     
    3. การปรากฏตัวของ "ผี" จะทำให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิลดลงอย่างเฉียบพลัน เนื่องจาก "ผี" ต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูลส์ เข้าไปสะสมทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้     
    4. การปรากฏกายของ "ผี" ต้องมีเครื่องนุ่งห่มด้วย และมักปรากฏในลักษณะเป็นภาพรางๆ โปร่งแสงมองทะลุได้บ้าง มีขนาดเล็กกว่าคน ธรรมดาทั่วไป     
    5. "ผี" จะปรากฏในสภาพที่หันหน้าเข้าหาผู้พบเห็นเสมอ     
    6. "ผี" มักปรากฏตัวในร่างเหมือนมนุษย์ (ประมาณ 90% ของรายงาน) มีน้อยมากที่ปรากฏตัวในร่างสัตว์
    7. มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ "ผี" ในแต่ละครั้ง
       
    หากไม่เข้าข่ายใน 7 ข้อนี้ ดร.คาร์เพนเตอร์ชี้ว่า อาจจะไม่ใช่ "ผี " อย่างที่เข้าใจได้ (ฉะนั้นไม่ต้องกลัว)

       

    อย่างไรก็ดี ยังมีผู้กังขาขอสันนิษฐานของ ดร.คาร์เพนเตอร์ว่า
    "ผี" ใช้พลังอะไรกระตุ้นอิเล็กตรอนของบรรยากาศ จนทำให้เกิดการคายโฟตอน (หรือแสง) ออกมา?
    ซึ่งผีมีพลังงานในตัวเอง หรือมีวิธีนำพลังงานจากแหล่งอื่นมาใช้ (ได้อย่างไร??)

       
    ยังไม่มีผู้ใดศึกษาและค้นหาผี (ในทางวิทยาศาสตร์) อย่างจริงจัง อาจเป็นเพราะอยู่นอกเหนือความสามารถของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ผู้ที่เห็นก็ได้แต่ยืนยันว่ามี ส่วนผู้ไม่เห็นกับตา หรือว่าไม่เชื่อก็ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หรือถ้ามองอย่าง "วิทยาศาสตร์" สามารถอธิบายแบบกว้างๆ ได้ว่า เป็นแค่พลังงาน หรือสสารอย่างหนึ่ง
       
    ไม่รู้ว่า ระหว่าง "ผี" กับ "มนุษย์ต่างดาว" สิ่งมีชีวิต (หรือไม่มีชีวิต)
    ชนิดไหน จะพิสูจน์ถึงการมีอยู่ได้ก่อนกัน !!
     
    สุขสันต์วันฮัลโลวีน ^^


ที่มา http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000129509
ขอบคุณภาพจาก http://p1.s1sf.com/,http://board.postjung.com/, http://plak.upyim.com/, http://ข่าวต่างประเทศ.sabuyblog.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 03, 2013, 10:30:30 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม 8 : ตอนที่ ๗

ถาม – จะแก้ความกลัวผีได้อย่างไรครับ/คะ?

นี่ เป็นคำถามจากปากซึ่งมีมาถี่ผิดปกติในช่วงหลังๆ แทบจะกล่าวได้ว่าไปไหนก็เจอแต่คำถามนี้จากปากทุกเพศทุกวัย ฉะนั้นนี่อาจกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของคนจำนวนมาก ก็ขอจาระไนโดยละเอียดในคราวเดียวเลยแล้วกัน

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสัมผัสทางวิญญาณ

โอกาสที่คนๆหนึ่งจะเห็น ผีทั้งลืมตา หรือยินเสียงผีกับแก้วหู หรือได้กลิ่นผีด้วยจมูกนั้น หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นง่ายนัก จิตของคนเจอผีต้องมีสื่อวิญญาณ คือ
    พูดง่ายๆว่า มีสภาพที่เป็นช่องทางเชื่อมต่อกับพวกเปรตหรือเทวดาได้
    ที่เรียกกันว่า ‘ผี’ นั้น ส่วนใหญ่คือเปรตนั่นเองครับ
    อาจมีบ้างที่เป็นเทวดาชั้นต้นๆ สัมผัสที่หกของคุณจะแยกแยะได้เองว่าใครเป็นใคร


    ถ้าเป็นเปรตที่บาปหนา คลื่นจิตเขาจะหยาบและน่าสะพรึงกลัว ทำให้บรรยากาศรอบตัวเยียบเย็น
    และความเยียบเย็นนั้นกระทบความรู้สึกของคุณ ให้หนาวสันหลัง ขนลุกซู่
    หรือกระทั่งรับได้แม้คลื่นความประสงค์ร้าย เปรตพวกนี้มักเคยเป็นอันธพาล
    หรือเคยจองเวรกับคุณมา กรรมสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณ
    หรือบาปบางอย่างของคุณ จะทำตัวเป็นประตูเชื่อมให้เกิดสัมผัสสยองขนขึ้นได้


    นิสัยชอบแกล้ง ชอบข่มเหงรังแกที่ติดอยู่ในสันดานเปรต จะยุให้เขาใช้ตบะในตัวกระทำกับคุณ
    อาจพยายามให้คุณเห็นในฝัน หรือถ้าเก่งกว่านั้นคือให้คุณเห็นทั้งกำลังลืมตาตื่น
    แต่โดยมากเขาจะทำความรู้สึกถึงอำนาจที่น่ากลัวในตนเอง แล้วแผ่อำนาจนั้นออกไปกระทบจิตคุณแรงๆ
    เพื่อให้ขนลุกซ่านแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หากคุณเคยเป็นนักเลงที่ชอบข่มขวัญคนอื่นด้วยการเดินย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อ ก็จะเป็นประมาณเดียวกันกับที่เปรตอันธพาลพวกนี้ชอบทำกัน

    อย่างไรก็ตาม เปรตที่บาปหนามักโดนขังไว้ด้วยกำแพงบาปในเขตจำกัด
    คุณต้องเข้าไปในที่อยู่ของเขา กับทั้งต้องมีเหตุผลบางอย่าง จึงจะเชื่อมติด สัมผัสพบเจอเขาได้
    สรุปคือ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เปรตบาปหนาจะมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั่วไป



    ถ้าเป็นเปรตที่บาปน้อย คลื่นจิตจะน่าสงสาร แต่บาปที่ห่อหุ้มจิตเขาไว้ จะทำให้คุณรู้สึกกลัวขึ้นมาอยู่ดี หากคุณเคยรับคลื่นความทรมานของสัตว์บาดเจ็บ คุณสมเพช ขณะเดียวกันก็เกิดความขยาด นึกแขยงในแผลเหวอะหวะของมัน ก็เป็นในทำนองเดียวกัน บาปอกุศลไม่ได้แค่เล่นงานเจ้าตัว แต่ยังมีอิทธิพลกระทบให้ผู้อื่นรู้สึกหนาวๆตามไปด้วย

     เปรตจำพวกนี้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์อาจเคยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก หรือเคยมีความผูกพันกับคุณมาโดยตรงในฐานะคนรู้จักที่จดจำกันได้ กรรมเหล่านั้นจะเปิดช่องให้เขาเห็นความสว่างในคุณ พร้อมทั้งรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าคุณคือที่พึ่ง เหมือนเขาทราบว่า
     หน่วยก้านคนเป็นหมอที่น่าจะให้ยาแก้ไข้กับเขาได้ คุณสามารถทำบุญแล้วอุทิศบุญให้เขา
    เพียงใจเขารับบุญอันเป็นความสว่าง จิตที่มืดหม่นทนทุกข์อยู่ก็จะดีขึ้น

    วิธีขอส่วนบุญของเปรตมีได้หลากหลาย แต่อยากสรุปคือ มนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือ โดยมากพวกเปรตเหล่านี้จึงชวดในสิ่งที่ต้องการกัน

    ถ้าเป็นเปรตมีบุญอยู่บ้าง พวกนี้บางทียังมีความทรงจำครั้งเป็นมนุษย์อยู่ ยังจำได้ว่าเคยเกี่ยวข้องกับใครมา หากคุณเคยสนิทกับเปรตจำพวกนี้มากๆ เขาเห็นคุณแล้วอยากทักคุณ ก็อาจบันดาลเสียงขึ้นมา คุณจึงอาจรู้สึกเหมือนหูแว่วได้ยินเพื่อนซี้เรียกจากข้างหลัง เป็นต้น
    โดยมากทักสองสามครั้ง อยากให้คุณพูดอะไรกับเขาบ้าง
    ถ้าเขาทำเสียงให้คุณได้ยินกับหูนี่ แต่ละคำต้องใช้กำลังจิตมหาศาล


     ฉะนั้นจะพูดสั้นที่สุดเช่นเรียกชื่อ พอเรียกเสร็จหรือฟังคุณโต้ตอบเสร็จก็ไป ไม่รบกวนอีก
     เนื่องจากไม่ได้ต้องการพึ่งพาอะไร เปรตพวกนี้พอใช้หนี้บาปด้วยการร่อนเร่ในภพเปรตหมดก็มักเข้าท้องคนใหม่ หรือถ้าเจอบาปอีกชุดกระหน่ำซัดก็อาจเข้าท้องสัตว์ สุดแล้วแต่เวรแต่กรรมจะให้ผล



     ถ้าเป็นเทวดาซึ่งมีนิวาสสถานเรี่ยดิน คือ มีความใกล้มนุษย์ ยังมีความผูกพันกับมนุษย์
     อาจอาศัยตามต้นไม้ใหญ่หรือศาลพระภูมิ มีกรรมสัมพันธ์บางอย่างกับมนุษย์ เช่นรับเครื่องเซ่นไหว้ได้ พวกนี้จะให้สัมผัสเย็นสบาย ขณะสัมผัสคุณจะเย็นใจ เหมือนอยู่ๆคิดดี อารมณ์ดีขึ้นได้เอง


      อยากให้ทราบจากข้อนี้ว่า ประสบการณ์สัมผัสวิญญาณนั้น อาจเกิดขึ้นกับตัวคุณมาแล้ว และไม่จำเป็นต้องเป็นสัมผัสสยองเสมอไป เทวดาไม่ใช่ ‘ผีที่น่ากลัว’ ตามนิยามไทยๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าต้องดึงดูดพลังงานความร้อนไปจนอากาศเย็นเหมือนอย่างที่หนัง ฝรั่งบางเรื่องบอกไว้ ตรงข้าม คุณอาจรู้สึกอบอุ่นสบายขึ้นด้วยซ้ำ เพราะเทวดาเสวยภพสวรรค์ได้ก็ด้วยบุญ บุญเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความรื่นเริงยินดี ไม่เฉพาะเจ้าตัว แต่พลอยได้กับคนรอบข้างด้วย

    ถ้าเป็นเทวดาชั้นสูง มีเยื่อใยกับมนุษย์น้อย แต่ก็คอยอนุโมทนากับบุญใหญ่ๆที่มนุษย์ทำ
    ด้วยจิตประกอบมหาโสมนัส พวกนี้จะทำให้คุณอบอุ่นยิ่ง บันดาลปีติที่มากอยู่แล้วให้กว้างขวางขึ้นไปอีก หลายครั้งที่ทำบุญใหญ่แล้วเปี่ยมสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ ก็อาจเป็นได้ที่คุณสัมผัสกระแสสวรรค์อันเกิดจากแรงอนุโมทนาของเหล่าเทพชั้น สูงเหล่านี้


    ถ้าเป็นพระพรหม ซึ่งถือกำเนิดในภพพรหมได้ด้วยสมาธิจิตระดับฌาน
    อันนี้อย่างมากท่านก็มาในรูปของกระแสจิตอนุโมทนาบุญ คนธรรมดาสัมผัสแล้วไม่ค่อยรู้สึก เพราะจิตของพรหมใหญ่มาก ต้องมีเมตตาจิตละเอียดประณีตหรือเจริญสมาธิได้ถึงฌาน จึงจะรู้จักกระแสจิตประเภทนี้ สัมผัสกระทบที่รับจะเหมือนดวงกุศลขนาดมหึมาครอบโลก หรือเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดแสงกุศลสว่างอยู่เหนือพื้นพิภพขึ้นไป หรือเหมือนสัมผัสที่ทรงอำนาจน่าคร้ามเกรง โดยเฉพาะถ้าเป็นมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่ สัมผัสของท่านจะกดให้คนธรรมดาต้องคุกเข่าแหงนหน้าขึ้นไหว้ฟ้าทั้งฟ้าแทนองค์ ท่านทีเดียว


    สัมผัสวิญญาณของจริงยังแยกย่อยได้ อีกมาก ที่กล่าวมาเป็นเพียงคร่าว
    แต่สรุปตรงนี้ว่าสัมผัสวิญญาณมีจริง และสัมผัสก็มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าคุณไปสัมผัสเข้ากับใคร ภูมิจิตระดับไหน เหตุผลที่สัมผัสคืออะไร ด้วยภาวะมนุษย์ธรรมดาที่ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องต่างมิติ โดยมากคุณไม่มีเหตุผลสมควรที่จะใส่ใจ แม้สามารถสัมผัสได้จริงก็ตาม
    คนทั่วไปแค่คุยกับคนด้วยกันก็สื่อสารยากจะแย่อยู่แล้ว ก็ไม่ทราบจะพยายามสื่อสารกับเพื่อนร่วมทุกข์ต่างมิติไปทำไมอีก อย่างมากพระพุทธเจ้าจะทรงแนะนำให้แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้สรรพวิญญาณที่มองไม่เห็น เพื่อผูกมิตร เพื่อตั้งคลื่นจิตให้เป็นเครื่องสงบของกันและกันเท่านั้น





ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสัมผัสผีอุปาทาน

ในบรรดาผีทั้งหลาย ผีอุปาทานในตัวเราน่ากลัวที่สุด เพราะไม่จำเป็นต้องมีอยู่จริง ขอแค่มีอยู่ในใจเราแบบเก๊ๆ มันก็สามารถติดตามเราไปได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำกัดกลางวันกลางคืน ไม่จำกัดว่าต้องเป็นในห้องน้ำหรือในห้องนอน

ผีอุปาทานเกิดจากหลายสาเหตุ และบางสาเหตุก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องน่าดูเบา เพราะในโลกนี้ ไม่มีใครเป็นศัตรูกับตัวคุณได้ร้ายเท่าจิตและกรรมของคุณเอง ขอเพียงหลงตั้งจิตไว้ผิด จิตของคุณจะแผลงฤทธิ์เป็นจริงเป็นจัง เหนือกว่าศัตรูที่มีตัวเป็นๆให้จับต้องได้มากนัก

คุณอาจยิ้มๆ เมื่อฟังว่าเทคโนโลยีสร้างเกมและเทคโนโลยีสร้างหนังในปัจจุบันก้าวหน้าเพียง ใด ทำให้เกิดความสมจริงสมจังได้ขนาดไหน แต่คุณอาจตระหนก ถ้าทราบว่ายิ่งเกมหฤโหดกับหนังสยองขวัญสมจริงขึ้นเพียงใด จิตมนุษย์จะยิ่งถูกดึงดูดให้เข้าสู่หลุมดำแห่งบาปอกุศล ถอนตัวยากมากขึ้นเท่านั้น เพราะภพอันน่ากลัวจะก่อตัวในจิตทีละน้อยเหมือนไม่เป็นไร พอรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกดูดติดอยู่กับภพแห่งความน่ากลัวนั้นแล้ว

ความกลัวเป็นกิ่งก้านสาขาของโทสะ โทสะเป็นมูลเหตุแห่งความวิกลจริต ความคลุ้มคลั่ง ความกระวนกระวายเร่าร้อนหลอนประสาท ขอเพียงโทสะมีกำลังกล้าแข็งพอ จิตที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ย่อมเห็นอะไรไปได้สารพัด เหมือนตกอยู่ในห้วงฝันที่คนไม่อาจแยกออกว่าภาพเสียงเป็นของจริงหรือของหลอก

สรุปคือผีอุปาทานไม่ใช่วิญญาณที่มี ให้สัมผัสได้จริง แต่เป็นความปรุงแต่งทางจิต มีตัวตนอยู่ได้ด้วยความหลงคิด หลงเชื่อ หลงกลัวแบบผิดๆ อาจตั้งต้นง่ายๆจากการถูกชักจูงให้คิดถึงความน่ากลัวที่ไม่มีอยู่จริงตรง หน้า เมื่อความกลัวพอกพูนขึ้นหนาพอก็เกิดฤทธิ์ ฤทธิ์ของความกลัวทำให้เกิดอุปาทาน เกิดความยึดมั่นทางจิตได้แผ่วๆ เช่นเห็นเงาไม้ไหววูบวาบแต่รู้สึกราวกับเป็นแขนอสูรร้าย ตลอดจนเกิดความยึดมั่นรุนแรง ขนาดเห็นภาพและได้ยินเสียงชัดเจนท่ามกลางบรรยากาศมืดๆแบบที่ตนเองตั้งความ กลัวไว้ก่อน

อุปาทานอันเกิดจากจิตยึดมั่นรุนแรง นั้น จะเล่าให้ใครฟังก็กลัวโดนหาว่าบ้า ทั้งที่ตนเองรู้อยู่ว่าเห็นจริงๆ เห็นชัดมาก ได้ยินชัดมาก นับว่าน่าเห็นใจ เนื่องจากคนธรรมดาไม่มีทางแยกได้ออก ว่าอันไหนผีจริง อันไหนผีอุปาทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อาจตระหนัก ว่าผีจริงนั้นไม่น่ากลัวเอาเลย ผ่านมาแล้วเดี๋ยวก็ผ่านไป แต่ผีอุปาทานนี่ร้ายนัก เพราะผ่านมาแล้วมักจะขอสิงสถิตอยู่กับจิตเราเลย ไม่อพยพย้ายไปไหนง่ายๆ



ขอให้เข้าใจว่า ความกลัวระดับขี้ขึ้นสมองที่ต่อเนื่องยาวนานนั้น จะทำให้เกิดการหลั่งสารที่เป็นโทษบางอย่างออกมา ทำให้ตกอยู่ในภาวะคล้ายฝัน สามารถเห็นนิมิตอย่างโน้นอย่างนี้ทั้งลืมตาตื่น ขอเพียงถูกกระตุ้นด้วยเรื่องน่ากลัวในชีวิตจริงบางอย่าง เช่นเห็นใครจ้องมาด้วยแววตาดุดันอาฆาต ก็อาจฝังใจ แล้วไปบวกเข้ากับฉากสยองของบรรดาหนังและเกมที่สั่งสมไว้ในหัวมาช้านาน ก่อตัวเป็นภาพหลอกเสียงหลอนขึ้นมาโดยไม่ต้องหลับฝัน ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นได้ครั้งหนึ่ง ก็มักเกิดขึ้นอีกและอีก เหมือนถูกบุกประตูรั้วพังครั้งหนึ่งก็ไม่ยากที่จะมีครั้งต่อๆไป

เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ทางที่ดีคือหลีกเลี่ยงจากเรื่องชวนเป็นโรคจิตทุกชนิดตั้งแต่วัยเด็ก ไม่ว่าเป็นหนังสยองขวัญ เกมหฤโหด หรือกระทั่งข่าวอาชญากรรมหลอนๆ แล้วหันหน้าเข้าหานิมิตดีๆ เจริญตาเจริญใจ หมั่นสวดมนต์กราบไหว้พระพุทธรูปสวยๆที่เลื่อมใสเป็นส่วนตัว หมั่นคิดช่วยเหลือคนตกยากให้จิตอ่อนโยนเปี่ยมเมตตา เท่านี้ระดับความกลัวและอาการหวาดระแวงอย่างไร้เหตุผลก็จะลดลงไปเอง

พวกเรากำลังตกอยู่ท่ามกลางม่านหมอก พิษ ไม่เฉพาะจากมลภาวะทางอากาศ แต่จากมลภาวะทางจิตของผู้คนที่เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ และความหลงผิด ความจริงเคยมีคนทำวิจัยเกี่ยวกับเกมโหดและภาพยนตร์ที่กระตุ้นความโกรธ ความเกลียด และความรุนแรงนั้น ถึงขั้นทำให้แยกไม่ออกว่าอันไหนโลกความจริง อันไหนโลกจำลอง ยิ่งเกมและภาพยนตร์สมจริงขึ้นเท่าไร อันตรายก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเท่านั้น แต่เม็ดเงินในธุรกิจหมื่นล้านนั้น ใหญ่โตราวมหาสมุทรที่ท่วมทับมโนธรรมนักธุรกิจ ไม่มีใครสนใจผลกระทบ มีแต่คนสนใจวิเคราะห์ตัวเลขทางการตลาดว่าปีนี้ปีหน้าจะพุ่งสูงแค่ไหน

นี่เป็นเครื่องสะท้อนอย่างหนึ่ง ว่ารสชาติของบาปอกุศลอาจน่าติดใจ แต่ผลของบาปอกุศลย่อมเผ็ดแสบชวนขนพองสยองเกล้าเสมอ คุณไม่อาจห้ามโลกไม่ให้ไหลลงต่ำ แต่คุณห้ามใจตัวเองไม่ให้หลงตามไปกับเขาได้ครับ กันไว้ดีกว่าแก้ ส่วนใหญ่หลงเพลินตั้งแต่เด็กแล้วค่อยมาคิดแก้กันตอนโต คิดดูว่าสั่งสมความกลัวมากี่ปี แล้วต้องใช้พลังศรัทธาและความเลื่อมใสสิ่งศักดิ์สิทธิ์หนักหนาเพียงใดกว่าจะ เอาชนะได้



วิธีตั้งสติรับมือกับความกลัว

ไม่ว่าผีจริงหรือผี อุปาทาน หากคุณมีความเลื่อมใสในพระพุทธคุณ มีจิตใจอ่อนโยนเปี่ยมเมตตามากพอ ก็แก้ความกลัวได้ครอบจักรวาล ขอเพียงให้ทานบ่อยๆ รักษาศีลให้สม่ำเสมอ ก็จะเกิดความอบอุ่นใจ อยากเผื่อแผ่ความสุขความดีงามให้เพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหมดในจักรวาลไปเอง

เมื่อใจกว้าง เห็นทุกวิญญาณเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ปรารถนาให้พวกเขาเป็นสุข ด้วยอานุภาพแห่งความสุขอันเกิดจากเมตตาจิต จะสลายความกลัวในจิตใจคุณลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนแสงสว่างสาดเข้ามา ความมืดย่อมถูกขับไล่ให้หายไป ฉะนั้น

แต่ช่วงต้นหากเมตตายังไม่มากพอรับ มือ คุณก็ต้องอาศัยสติ เมื่อใดเกิดความกลัว ให้ดูเข้ามาในใจ เห็นให้ได้ชัดๆว่าจิตของคุณมีตัวตนตัวหนึ่ง คิดว่าตัวเองจะถูกทำร้าย พอใช้สติพิจารณาดู ก็จะเห็นว่า ความรู้สึกในตัวตนที่สำคัญว่าจะถูกทำร้ายมีจริง แต่การโดนทำร้ายไม่ได้เกิดขึ้นจริง

หากเห็นชัดเช่นนี้ ตัวตนอันเป็นอุปาทานจะเบาบางลง ต่อให้ตาเห็นนิมิตจริง ก็จะกลัวน้อยลง เพราะอาการยึดมั่นทางจิตคลายลง นี่เป็นหลักครอบจักรวาล จิตที่ยึดน้อยจะกลัวน้อยหรือไม่กลัวเลย ส่วนจิตที่ยึดมากจะกลัวมากหรือเป็นโรคประสาทได้

เมื่อฝึกรู้สติบ่อยๆ จนกระทั่งตัวตนผู้ถูกจ้องเล่นงานเหมือนหายไปจากจิต ที่เหลืออยู่ในจิตคือสติเท่าทันความจริง ต่อไปพอเกิดความกลัว แค่รู้ทันว่ากลัว เห็นความกลัวเป็นเพียงพยับแดดในใจ ความกลัวก็จะเหือดหายไปในทันทีครับ


ที่มา http://dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=article&id=413%3Aprepare-merit-for-yourself-8&catid=74%3Aprepare-merit-for-yourself-8&Itemid=278
ขอบคุณภาพจาก ttp://static.cdn.thairath.co.th/, http://blog.sanook.in.th/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ลักขณสังยุตต์
ปฐมวรรคที่ ๑
๑. อัฏฐิสูตร

        [๖๓๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
        สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถานเขตพระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระลักขณะกับท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ ฯ


        ๖๓๗] ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า ท่านพระมหาโมคคัลลานะ นุ่งแล้วถือบาตรและจีวรเข้าไปหาท่านพระลักขณะจนถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วได้กล่าวชวนท่านพระลักขณะว่า มาไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์ ด้วยกันเถิดท่านลักขณะท่านพระลักขณะรับคำท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า อย่างนั้น

       ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้ยิ้มแย้มขึ้นในที่แห่งหนึ่ง ทีนั้นท่านพระลักขณะได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ท่านโมคคัลลานะ อะไรเล่าเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ทำให้ยิ้มแย้ม ท่านมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่านลักขณะมิใช่เวลาที่จะเฉลยปัญหาข้อนี้ ท่านจงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด ฯ

      [๖๓๘]ครั้งนั้นแล ท่านพระลักขณะกับท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตตาหารแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

     ครั้นท่านพระลักขณะนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อลงจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้ยิ้มแย้มขึ้นแล้วในที่แห่งหนึ่ง ดูกรท่านพระมหาโมคคัลลานะ อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัย ทำให้ยิ้มแย้มขึ้น



     [๖๓๙] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ตอบว่า เมื่อผมลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏ
     ได้เห็นโครงกระดูกลอยอยู่ในเวหาส พวกแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง
     ต่างก็โผถลาตามเจาะ จิก ทึ้งโครงกระดูกนั้น ได้ยินว่า โครงกระดูกนั้น ส่งเสียงร้องครวญคราง
     ผมคิดว่า อัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมาหนอ สัตว์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี ยักษ์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี การได้อัตภาพแม้เห็นปานนี้ก็จักมี ฯ


     [๖๔๐] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุหนอ เป็นผู้มีญาณหนอ
     เพราะว่า แม้สาวกก็จักรู้ จักเห็นสัตว์เช่นนี้ หรือจักเป็นพยาน
     เมื่อก่อนเราได้เห็นสัตว์ตนนั้นเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้พยากรณ์ไว้
     หากว่าเราพึงพยากรณ์สัตว์นั้นไซร้ คนอื่นๆก็จะไม่พึงเชื่อถือเรา
     ข้อนั้นพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน แก่ผู้ไม่เชื่อถือเรา

     ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้เป็นคนฆ่าโคอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ด้วยผลของกรรมนั้น
     เขาจึงหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นปี สิ้นร้อยปีพันปี แสนปี เป็นอันมาก
     ด้วยผลของกรรมนั่นแหละยังเหลืออยู่ เขาจึงต้องสวยการได้อัตภาพเห็นปานนี้


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  บรรทัดที่ ๖๗๓๗ - ๖๙๔๙.  หน้าที่  ๒๘๘ - ๒๙๗.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=16&A=6737&Z=6949&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=636
ขอบคุณภาพจาก http://xn--m3cif1apm3a5c5h6ab0d.dmc.tv/



อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ลักขณสังยุตต์ ปฐมวรรคที่ ๑
อรรถกถาอัฏฐิสูตรที่ ๑


ถามว่า ก็เพราะเห็นอะไร พระเถระจึงกระทำการแย้มให้ปรากฏ.
ตอบว่า เพราะได้เห็นสัตว์ผู้เกิดในเปตโลกตนหนึ่ง มีแต่ร่างกระดูก ซึ่งมาแล้วในบาลีข้างต้น.
                 ก็แล ท่านเห็นสัตว์นั้นด้วยทิพยจักษุ หาได้เห็นด้วยปสาทจักษุไม่.
                 จริงอยู่ อัตภาพเหล่านั้นย่อมไม่ปรากฏแก่ปสาทจักษุ.


ถามว่า ก็เมื่อท่านเห็นอัตภาพเห็นปานนี้แล้วควรกระทำความกรุณา เพราะเหตุไรจึงกระทำการแย้มให้ปรากฏ.
ตอบว่า เพราะระลึกถึงสมบัติของตน และพุทธญาณ.


     จริงอยู่ พระเถระเห็นอัตภาพนั้นแล้ว ระลึกถึงสมบัติของตนว่า
     "เราหลุดพ้นแล้วจากอัตภาพเห็นปานนี้ ที่บุคคลผู้ไม่เห็นสัจจะจะพึงได้ นั่นเป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ และระลึกถึงสมบัติแห่งพุทธญาณอย่างนี้ว่า โอ ญาณสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้า
     พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมวิบากเป็นอจินไตย ไม่ควรคิด ดังนี้
     พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงแสดงกรรมวิบากอันนั้นให้ประจักษ์หนอ. ธรรมธาตุอันพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงแทงตลอดดีแล้ว" ดังนี้ จึงทำความแย้มให้ปรากฏ.

ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรท่านพระลักขณะจึงไม่เห็น ท่านไม่มีทิพยจักษุหรือ.
ตอบว่า ไม่มี หามิได้. แต่พระมหาโมคคัลลานเถระนึกถึงอยู่จึงได้เห็น. ฝ่ายพระลักขณะไม่ได้เห็นเพราะไม่นึกถึง. เพราะธรรมดาพระขีณาสพทั้งหลาย จะแย้มโดยเหตุอันไม่สมควรก็หาไม่
     ฉะนั้น พระลักขณเถระจึงถามท่านว่า "ท่านโมคคัลลานะ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้การแย้มปรากฏ" ดังนี้.


     ฝ่ายพระเถระได้อ้างพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพยาน เพราะผู้ที่มิได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยตนเองจะเชื่อได้ยาก จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า อกาโล โข อาวุโส ดังนี้ เพราะประสงค์จะพยากรณ์อ้างพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพยาน ต่อแต่นั้น เมื่อถูกถามในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงพยากรณ์โดยนัยมีอาทิว่า อิธาหํ อาวุโส ดังนี้.


ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16&i=636
ขอบคุณภาพจาก http://xn--m3cif1apm3a5c5h6ab0d.dmc.tv/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตาเราจะสามารถเห็นวิญญาณ ได้ โดยที่ไม่ต้องฝึก กรรมฐาน หรือ สมาธิ แต่ประการใด ด้วยความสงสัย ว่า ทำไมคนเราทำไม่ไม่เห็น วิญญาณ หรือ ผี กันทุกท่าน ทุกคนคะ

  :smiley_confused1: thk56


ans1 ans1 ans1
   
   จริงๆแล้ว ผมตอบไม่ได้ และผมก็ไม่เคยเห็น หากจะคุยกันเพื่อความบันเทิงก็ต้องกล่าวว่า
   ในกรณีของคนที่ไม่มีตาทิพย์(ไม่มีญาณ ไม่มีฌานหรือไม่มีสมาธิ)
   การที่คนเราจะเห็นวิญญาณที่อยู่ต่างภพภูมิกันได้นั้น
   ต้องมีกรรมสัมพันธ์กันมาก่อน และวิญญาณนั้นรู้ว่าคนนั้นอาจช่วยเหลือเค้าได้

   การปรากฏตัวให้เห็นแต่ละครั้งทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่ง
   แต่ทางพระพูดว่า วิญญาณนั้นต้องมีบุญจึงแสดงตนให้เห็นได้

   ความเห็นนี้ ผมสรุปมาจากที่ผมได้อ่านได้ฟังมาจากทั้งพระทั้งโยม
   ขอคุยเท่านี่ครับ รู้สึกอึดอัดมาก

    :25:
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นินนินนิน

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 65
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เยี่ยมครับ กับเนื้อหา นำเสนอ ให้อ่านอย่าง กระจ่างไปส่วนหนึ่ง อ่านคำถามแล้ว ผมเองก็ยังมึน ๆ อยู่นะครับ ว่าจะตอบอย่างไร แต่เถ้าผู้มีญาณ พระสงฆ์ นี้ผมว่า ก็มีที่กล่าวกันไม่น้อยนะครับ ในตำรา ในเรื่องราวต่าง ๆที่ถ่ายทอดกันมา ส่วนใหญ่ ก็อยู่ที่ความเชื่อ เรื่องโลกหน้านะครับ การเวียนว่ายตายเกิด ถ้ารู้ว่า เราตายแล้ว กี่ครั้ง อาจจะทำให้เรารู้สึกสลดใจ ก็ได้นะครับ ส่วนนี้ผมคิดว่า ถ้าแต่ละคนระลึกได้ ก็น่าจะมีประโยชน์เช่นเดียวกัน

   บรรดาวิญญาณต่าง ที่ ปกติ อยู่ ดี  แล้ว เฮี้ยน อย่างที่เรารู้กันอย่างเรื่อง แม่นาค พระโขนง นี้เป็นต้น เป็นหนังเป็นเรื่อง เป็นราว มาตั้งแต่ผมยังเด็ก ปัจจุบัน ก็ยังร่ำลือกันเหมือนเดิม ไป ๆ มา ไม่รู้ว่าบ้านแม่นาค พระโขนงปัจจุบัน ตอนนี้เป็น บ้าน เป็นตึกแล้วหรือ ยัง ใครรู้บ้าง

    thk56 ท่านที่มาตอบ ครับ ติดตามผลงาน อยู่้เสมอนะครับ

 
บันทึกการเข้า

Roj khonkaen

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 414
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 03, 2013, 06:42:33 pm โดย Roj khonkaen »
บันทึกการเข้า