ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ใครคิดว่าตนเองโชคร้าย ควรอ่านนะจ๊ะ  (อ่าน 9973 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

รักหนอ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +22/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 369
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จากเรื่องจริง ที่ถ่ายทอดมา จากพระ

ธรรมบรรยาย ที่นำมาลงให้อ่านนี้ ได้มาจากพระพระสุปฎิปันโนรูปหนึ่ง

ขอเชิญพิจารณาเถิด



ใครที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย หรือเป็นคนอับโชคมีเคราะห์ อยากให้พิจารณาเรื่องนี้ดู แล้วมาเปรียบเทียบกับตัวเองดูว่าเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 50 เศษ ชีวิตของเธอเรียกว่าเจอแต่ความทุกข์ และสิ่งที่ไม่คาดฝันมาโดยตลอด

อายุ 2 เดือน พี่เลี้ยงทำตกน้ำ กว่าจะช่วยขึ้นมาได้ก็สำลักน้ำกับน้ำมัน เพราะแถวนั้นมีเรือและยังมีถังน้ำมันในเรือ 8 ขวบ ก็ตกน้ำอีก เกือบจะช่วยไม่ทัน ดำผุดขึ้นมา 2 ครั้ง ไม่มีใครเห็น ครั้งที่ 3 พ่อเห็นก็เลยช่วยเอาไว้ได้

ตกน้ำ 2 ครั้งนั้น มีผลกระทบต่อระบบประสาทเรื่อยมา เวลาเจอแดดร้อนๆ นี่จะเป็นลม บางทีร้องไห้มากๆ ถึงกับสลบไปเลย อยู่มาอีก 2 ปี แม่ก็เสียชีวิต พ่อทำใจไม่ได้ เครียดจนเป็นอัมพาต ตอนหลังก็เสียชีวิต ทิ้งหนี้สินให้กับผู้หญิงคนนี้

ซึ่งชื่อเกษมสุข ภมรสถิตย์ ชื่อ เพราะ แต่ว่าเจอทุกข์มาโดยตลอด อายุ 19 ก็ต้องเป็นหลักในครอบครัว ต้องเลี้ยงน้องอีก 4 - 5 คน จากบ้านที่เคยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ก็ต้องไปอยู่บ้านเช่าเล็กๆ ต่อมาก็แต่งงาน ชีวิตก็น่าจะมีความสุขได้ ถ้าหากว่าลูกที่ออกมาไม่เกิดพิกลพิการ

เพราะว่าหมอเอาคีมดึงหัวลูกออกมา คง จะดึงแรงเกินไป ทำให้กระทบกระเทือนถึงสมองกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อน หมอบอกว่าคงจะมีอายุอีกไม่นาน แต่เธอก็สามารถเลี้ยงลูกจนโตได้ คลอดลูกมาไม่นานก็เป็นเนื้องอกที่มดลูก เข้าโรงพยาบาลผ่าตัด ปรากฏว่าหมอผ่าผิดข้าง คือเอาข้างดีออกไป ส่วนที่ไม่ดียังค้างไว้

หมาย ความว่าต้องกลับไปผ่าใหม่ คราวนี้ก็หมายความว่าตัดหมดเลย พอตัดหมดก็ไม่มีฮอร์โมน พอไม่มีฮอร์โมนก็ต้องกินฮอร์โมนทดแทน ทำให้เป็นโรคกระดูกผุ เป็นคนที่กระดูกผุง่ายมาก ซึ่งกลายเป็นปัญหากับเธอในภายหลัง

ชีวิตต่อมาก็มีปัญหาอีก สามีทิ้ง เพราะว่าคงจะทนอยู่รับภาระเลี้ยงลูกซึ่งปัญญาอ่อนไม่ได้ ทิ้งลูกไป ตัวเองตอนนั้นอายุ 26 เอง ต้องเลี้ยงลูก เป็นอันว่าต้องมาช่วยตัวเองกันใหม่ ต่อมาก็เกิดอุบัติเหตุอีก นั่งรถอยู่ดีๆ ก็มีรถฝ่าไฟแดงพุ่งเข้ามาชน

ปรากฏ ว่า กระดูกต้นคอหักไปทับเส้นประสาท ทำให้เกือบจะขาดเลย หมายความว่า ตั้งแต่ต้นคอลงไปนี่เป็นอัมพาต เคลื่อนไหวไม่ได้ ต้องเข้าโรงพยาบาลแน่นิ่งอยู่ 2 เดือนเต็ม ทีแรกก็นึกว่ายังจะไม่รอด หรือถึงรอดก็ต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต แต่เดชะบุยยังรอดมาได้ สามารถเดินเหินเป็นปกติ

หลังจากนั้นก็เจออุบัติเหตุอีก รถที่ตนนั่งเกิดแหกโค้งไปชนเสาไฟฟ้า เธอแขนหักเป็น 2 ท่อน แต่ที่หนักก็คือว่า ก้านเกียร์หักทิ่มเข้าไปในท้องขณะที่กำลังช่วยคนขับรถอยู่ ผลคือตับแตก หลังจากนั้นก็ยังเจออุบัติเหตุอีกหลายครั้ง แม้กระทั่งก่อนไปออกรายการ"เจาะใจ" ก็เกิดอุบัติเหตุรถที่นั่งมาถูกรถอีกคันหนึ่งชน แต่ว่ายังทนได้ ออกรายการเสร็จแล้วจึงค่อยไปหาหมอ

ถามว่ามีใครที่เจอชะตากรรมซ้ำซากแบบนี้บ้าง แต่ที่พิศวงก็คือว่า ผู้หญิงที่ชื่อ เกษมสุข คนนี้ เธอไม่ได้รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาเลย กลับมีความหวังกับชีวิตอยู่เสมอ ไม่ได้มีความท้อแท้ท้อถอย หรือรู้สึกว่าถูกชะตากรรมทำร้าย ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น กลับทำให้ตัวเองเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้

ที่เอาเรื่องของคุณเกษมสุขมา เล่าให้ฟัง ก็เพราะอยากชี้ให้เห็นว่า คนเราจะสุขหรือทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรมากระทบเรา หรือเกิดขึ้นกับเรา แต่อยู่ที่ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่มากระทบกับเรา หลายคนอาจจะคิดว่า เราจะสุขได้ต่อเมื่อมีของดีๆ เกิดขึ้นกับเรา

เช่น มีคนรัก มีเงิน มีสุขภาพดี มีโชค มีเกียรติยศ มีชื่อเสียง มีบ้าน มีงานการต่างๆ จึงจะเป็นสุขได้ แต่นั่นก็ไม่แน่ บางคนได้เงิน ได้ขึ้นเงินเดือนน่าจะดีใจ แต่กลับกลายเป็นทุกข์ เพราะไปรู้ว่าคนอื่นได้ขึ้นเงินเดือนมากกว่าตัวเอง ตัวเองได้ขึ้นหนึ่งพัน แต่พอรู้ว่าคนอื่นได้ขึ้นสองพัน ทุกข์ทันทีเลย

สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด เพราะ ไปมองว่าคนอื่นเขาได้มากกว่า บางคนถูกหวยน่าจะดีใจแต่ก็เป็นทุกข์ เพราะรู้สึกว่าที่ได้มามันน้อยเกินไป เด็กๆ เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้ แม่ซื้ออะไรให้ บางทีแทนที่จะดีใจกลับทุกข์ เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้น้อยไป คนอื่นได้มากกว่านี้ หรือทุกข์ เพราะเห็นว่าเพื่อนๆ มีดีกว่านี้ คิดแบบนี้ก็เป็นทุกข์เลย

ฉะนั้น สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้ทำให้เราเป็นสุขเสมอไป อาจจะทำให้เราทุกข์ก็ได้ ในทางตรงข้ามเมื่อเจอสิ่งแย่ๆ เราอาจไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้ารู้จักวางใจหรือรู้จักมอง คนที่ไม่รู้จักวางจิตวางใจก็จะตีโพยตีพาย กลุ้มอกกลุ้มใจ อยู่อย่างไม่มั่นใจ คนที่ฝึกจิตไว้ดีนี่จะรู้เลยว่า สุขหรือทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดกับเรา แต่อยู่ที่ว่า เราวางใจอย่างไร

คนเราทุกข์เพราะไปมีปฏิกิริยาแตกตื่นมากเกินไป แต่ถ้าเรามีสติได้เราจะรู้ว่า เออ ของพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา เวลา เราทุกข์ถ้าเราตั้งหลักได้ก็จะพบว่า ที่ทุกข์นี่เพราะใจ มากกว่าทุกข์เพราะอย่างอื่น อากาศร้อนไม่ได้ทำให้เราทุกข์หรอก พวกที่เล่นฟุตบอลหรือดูฟุตบอลกลางแดด

พวก นี้นั่งอยู่กลางแดดเป็นชั่วโมงๆ โดยไม่รู้สึกร้อนเลย แต่พอแข่งเสร็จออกไปยืนรอรถเมล์กลางแดดแค่ 5 นาที เท่านั้นล่ะ กระสับกระส่าย ทั้งที่ตอนดูบอล ดูมาเป็นชั่วโมงไม่เห็นรู้สึกทุกข์อะไรเลย ถามว่าทุกข์เพราะแดดหรือเปล่า ไม่ใช่ ทุกข์ที่ใจต่างหาก

ถ้าใจเรามีสมาธิกับอะไรสักอย่างมันก็จะลืมเรื่องกาย แต่พอไม่มีสมาธิจิตมันก็จะหาเรื่อง บ่นโน่นบ่นนี่ จิตของเราเป็นจิตที่ขี้บ่น จะเห็นอะไรต่ออะไรไม่ถูกใจไปหมด แต่ถ้าเรารู้จักดูแลจิตใจของเราให้ดี ของพวกนี้จะทำอะไรเราไม่ได้ เสียงที่ดังเพราะเราไปตั้งใจจดจ่อฟัง

แต่ ถ้าเราไม่ฟังมันก็เลิกรบกวนเรา ดังนั้นขอให้เราลองพิจารณาดูว่า เวลาเป็นทุกข์ เราทุกข์เพราะอะไรแน่ เวลาเป็นทุกข์ เรามีวิธีแก้ทุกข์ได้หลายอย่าง เช่น นึกถึงคนที่ทุกข์มากกว่าเรา มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เออ เรานี่ยังโชคดีกว่าคนอื่นนะ เวลาเงินหายพันนึง ลองนึกสิว่า ยังดีกว่าหายห้าพัน

เราเคยคิดแบบนี้บ้างหรือเปล่า คนที่เป็นมะเร็ง พอมองให้เป็นก็พูดขึ้นมาว่า โชคดีที่เป็นมะเร็ง ถ้าไม่เป็นมะเร็งก็คงไม่มีเวลามาอยู่กับครอบครัว คงไม่มีเวลามาศึกษาปฏิบัติธรรมะ จนเข้าใจชีวิตจิตใจของตนเอง คนที่เป็นเอดส์บางคนบอกว่า โชคดีที่เป็นเอดส์นะ เพราะตอนที่ไม่ได้เป็นก็เที่ยวเตร่สนุกสนานใช้ชีวิตอย่างไร้สาระ แต่พอเป็นเอดส์ก็รู้สึกว่าชีวิตนี้มีคุณค่ามีความหมาย

ดัง นั้นจึงพยายามใช้เวลาที่เหลือให้มีประโยชน์ หันมาสนใจธรรมะ ทำให้ค้นพบความสุขที่แท้จริง ค้นพบความหมายของชีวิต เรื่องพวกนี้ถ้าเขาไม่เป็นเอดส์ก็คงไม่สนใจ หรือไม่มีวันค้นพบเลย

เมื่อเป็นอย่างนี้ขอให้เรารู้จักหาประโยชน์จากความทุกข์ ถ้าพิจารณาดูจะพบว่ามันมีประโยชน์มากมาย แต่ส่วนใหญ่เราไม่รู้จักวางใจหรือมองไม่เป็น เช่น ชอบไปมองเปรียบเทียบคนที่เขาดีกว่าเรา หรือได้มากกว่าเรา เราได้เลื่อน 1 ขั้น ไม่ดีใจ เพราะเห็นคนอื่นได้ 2 ขั้น ที่จริงได้เลื่อน 1 ขั้น น่าจะดีใจ

หรือแม้จะไม่ได้เลื่อนก็ น่าจะดีใจ อย่างน้อยเราก็ยังมีงานทำ อย่างน้อยเราก็ยังมีบ้านอยู่ แม้จะไม่ใช่บ้านของเรา แต่เราก็ยังกินอิ่มนอนอุ่น ตรงกันข้ามกับคนอีกหลายร้อนล้านในโลกนี้ ที่ไม่มีโชคอย่างเรา

เราลองดูให้ดีนะว่าเรายังมีอะไรที่ดีๆ บ้าง ที่คนอื่นเขาไม่มีกัน ถ้าเรามองให้เป็นแล้วเราจะมีความสุขได้ มองให้เป็นนี่ เราสามารถมองได้หลายแง่ เช่น การเปรียบกับคนที่เขาแย่กว่าเรา ช่วยให้เรารู้สึกว่าเรายังโชคดีกว่าคนอีกมาก หรือมองหาประโยชน์จากเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น

เช่น เมื่อสูญเสียข้าวของ ก็มองว่านี่เป็นการฝึกให้เราเตรียมพร้อม กับการพลัดพรากสูญเสียที่ยิ่งกว่านั้นในอนาคต จะไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเราลองฝึกการรับมือกับการสูญเสียตั้งแต่ต้นๆ เริ่มจากการสูญเสียที่ยังพอรับได้ ก็ถือว่าเป็นการเตรียมพร้อมหรือฝึกใจเอาไว้ เป็นการซ้อมย่อย

ถ้าจะไม่นึกถึงก็ได้ แต่ก็ต้องมีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มีสติใจก็จะพลัดเข้าไปสู่ร่องอารมณ์เดิมๆ ที่เราสร้างเอาไว้ เราถูกฝึกเอาไว้ว่า ถ้าฉันสูญเสียฉันต้องทุกข์ มันเป็นปฏิกิริยาเหมือนกับเจอเสียงดังต้องหงุดหงิด ต้องโมโห เราถูกฝึกแบบนี้มาเป็นเวลานาน

จน กระทั่งกลายเป็นนิสัยหรือความเคยชิน ทำไปโดยไม่รู้ตัวและไม่ทันได้คิดด้วย เรากลายเป็นทาสของสิ่งแวดล้อมไป เป็นทาสของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จากสิ่งรอบตัว รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในใจด้วย

แต่เราเลือกได้นะ เราไม่จำเป็นต้องเป็นทาสเสมอไป เราสามารถเป็นอิสระจากมันได้ พอได้ยินเสียงปุ๊บมีสติปั๊บ ก็ไม่รู้สึกขุ่นเคือง หรือถึงจะมีความขุ่นเคืองก็วางได้ทัน เวลามีคนพูดไม่ดีกับเราไม่ให้เกียรติเรา แทนที่เราจะฉุนเฉียวแล้วก็พูดตอบโต้ไป เรามีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากเสียงที่มากระทบ

เรา ก็หลุดจากอารมณ์นั้น มันทำอะไรเราไม่ได้ ต่อไปความเจ็บความปวดก็ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ เพราะเรารู้ว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นเรื่องของกาย แต่ใจไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดหรือเป็นทุกข์ด้วย

จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้สำคัญอยู่ที่ใจ สำคัญอยู่ที่ว่าเรามีท่าทีอย่างไรกับสิ่งที่มากระทบกับเรา หรือต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เราเลือกได้ว่าจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ ถ้าเราทุกข์ก็แสดงว่าเราเลือกที่จะทกุข์เอง ไม่ใช่เป็นเพราะปัจจัยภายนอกอย่างเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า มือที่ไม่เป็นแผลจับยาพิษก็ไม่เป็นอันตราย แต่ที่เป็นอันตรายเพราะมือมีแผล นั่นหมายความว่า ปัจจัยภายในสำคัญกว่าปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายในหรือจิตใจนี้เป็นสิ่งสำคัญ เราจะทุกข์หรือไม่ อยู่ที่ว่าใจของเราจะยอมให้ยาพิษมันเข้ามาในใจเราหรือไม่ ใจเรามีแผลที่จะให้ยาพิษซึมซาบเข้ามาทำร้ายได้หรือเปล่า ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นเพราะเราปล่อยให้ใจมีแผลใช่ไหม ยาพิษหรือความไม่สมหวังจากภายนอกจึงเข้ามาทำอันตรายเราได้ ถ้าหากทุกข์นั้นเกิดจากใจเป็นสำคัญ

เรา ก็ต้องกลับมาดูตัวเองแล้วว่า เราจะมีเครื่องคุ้มกันจิตได้อย่างไร เรามีสติ ปัญญาแค่ไหน ที่จะช่วยคุ้มกันปกป้องใจเรา เรารู้จักคิดแค่ไหน เรารู้จักมองแค่ไหน เพื่อไม่เปิดช่องให้ความทุกข์มาทำร้ายเราได้


( พระไพศาล วิสาโล / 24 สิงหาคม 2547 )
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28475
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ใครคิดว่าตนเองโชคร้าย ควรอ่านนะจ๊ะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 08, 2010, 07:57:29 pm »
0
ดูเหมือนว่า คุณรักหนอ ชอบบทความของพระไพศาล ผมขอแนะนำเรื่องนี้ครับ





ระลึกถึงความตายสบายนัก
 
การเจริญมรณสติในชีวิตประจำวัน

ไม่ว่าจะหลีกหนีให้ไกลเพียงใด

เราทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น

ในเมื่อจะต้องเจอกับความตายอย่างแน่นอน

แทนที่จะวิ่งหนีความตายอย่างไร้ผล
 
จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาเตรียมใจรับมือกับความตาย

 
พระไพศาล วิสาโล

ระลึกถึงความตายสบายนัก

มันหักรักหักหลงในสงสาร

บรรเทามืดโมหันต์อันธการ

ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ


โดย พระศาสนโสภณ (จตตสลลเถร)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 08, 2010, 07:59:27 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ