ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - หมวยจ้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 12
41  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เมื่อได้บรรลุเป็นพระอริยะบุคคลในระดับ ที่ 1 - 3 แล้ว..... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2011, 02:14:33 am
เมื่อได้บรรลุเป็นพระอริยะบุคคลในระดับ ที่ 1 - 3 แล้ว.....

  สมมุติถ้าเราได้บรรลุคุณธรรม เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ในพระพุทธเจ้าพระองค์นี้แล้ว

อันนี้ต้องบรรลุเป็นพระอรหันต์ใน พระพุทธเจ้า พระองค์นี้ด้วยหรือไม่ หรือ สามารถไปบรรลุเป็นพระอรหันต์ใน

พระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ ไป ได้

 :c017:
42  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วัดในฝันของชายผู้หนึ่งที่ใช้นามว่า trialuck เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2011, 02:11:08 am


วัดในฝันของท่านเป็นอย่างไร .... สำหรับผมเป็นแบบนี้

จากกระทู้ ที่ถามว่า
แท้จริงแล้ววัดคืออะไรกันแน่ วัดมีความหมายต่อคนไทยอย่างไร

ทำให้ผม คิดต่อว่า อยากจะให้ วัดมีกิจกรรม และมีลักษณะเป็นอย่างไร
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม นะ

1. ไม่มีการแสดงมโหรสพ และอบายมุข ทุกประเภท เช่น เหล้า
และการเบียดเบียน ผิดศีล ทุก ๆ ประเภท

2. อยากจะให้มีเป็นลานกว้าง ๆ เรียบ ๆ
  สะอาด ๆ ที่ทุก ๆ ท่านสามารถที่จะนั่ง
  ฟังธรรม จาก ผู้แสดงธรรม ที่ไม่จำกัด
  ว่าจะต้องเป็น ผู้ที่ห่มผ้าเหลือง เสมอไป
  ( อาจจะเชิญ ดร.สนอง  อ.จัตตาโร
    หรือ ฆราวาส ท่านอื่น ๆ ที่มีความรู้
    ทางธรรม มา ก็ได้ )

3. ขอให้มีพิธีกรรม ต่าง ๆ เฉพาะที่เป็นของ
  พุทธแท้ ๆ ไม่ นำเอา พิธีกรรมอื่น ๆ มาผสม

4.  การบริจาค ในวัด ก็ ขอให้ ทำเพื่อ มูลนิธิ
   การกุศล อื่น ๆ มิใช่เป็นไปเพื่อการสะสม
   สร้างสิ่งปลูกสร้างที่มิ จำเป็น ในวัด ....
   เพื่อให้วัดดูภูมิฐาน มีฐานะ  ( ตรงนี้ ไม่จำเป็น
   ในความคิดของผม นะ  )
   
5. อาจจะแบ่งสัดส่วน ของ พื้นที่ แบ่งแยก ตาม
  ความสนใจ เป็นกลุ่ม ๆ โดยไม่จำเป็นจะต้อง
  สร้างเป็นห้อง ๆ ก็ได้  เช่น กลุ่ม ที่ ต้องการสวดมนต์
  ก็ รวมกลุ่ม ด้านหนึ่ง   กลุ่มที่ต้องการปฏิบัติสมาธิ
  ก็อยู่อีกด้านหนึ่ง   กลุ่มที่ เน้น เรื่อง สติแบบเคลื่อนไหว
  ก็อยู่อีกด้านหนึ่ง ...   หรือ กลุ่มสนทนา แลกเปลี่ยน
  ข้อหาธรรมะ กันแบบเปิด ซึ่งอาจจะมีตั้งแต่กลุ่มเล็ก ๆ
  2 คน จนถึง ถึงกลุ่มใหญ่ ๆ เป็น หลัก สิบ หลัก ร้อย เป็นต้น...

6. รูปร่างของโบสถ์ อุโบสถ ไม่จำเป็นต้องเป็น
  มีลายไทย ๆ ก็ได้ ... กุฎิ ของสงฆ์ ก็ให้ สร้างแบบเรียบง่าย
  ส่วนฆราวาส ที่จะพัก ในบริเวณ ก็ อาจจะจัดให้นอนในเต้นท์
  ก็ได้   ( เพราะ ที ไปเที่ยว ยังตอนเต้นท์ กันได้เลย มีความสุข
  กัน ซะด้วย ซิ ) ...

7. ส่วนเรื่อง อาหาร น้ำดื่ม ผมแยกเป็น สอง แนว ครับ
  1. มีการจัดน้ำดื่ม อาหาร (มังสวิรัติ นะ ) บริการให้ จากเงิน
     บริจาค ที่ได้รับ มา
  2. มีร้านค้า มาบริการให้ โดย ไม่เกี่ยวกับทางวัด ใคร่ที่จะ
      ดื่ม จะกิน ต้องดูแล ด้วย ทุนส่วนตัว วัดแค่ให้ธรรมะ
      กลับไป ก็พอ แล้ว ....

ก็ประมาณ นี้ นะ วัดในฝันของผม ...
ส่วนท่าน อื่น ๆ ลอง แสดง คห.
ตามสะดวกครับ ผม ....

จากคุณ    : trialuck
43  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สัมมาวายามะ ในความหมายที่ถูกต้อง คืออย่างไรคร้า... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2011, 02:07:34 am
หากจะนับการปฏิบัติ ธรรม แล้ว ทุกคนก็มักจะพูดว่า ต้องมีความเพียร

 ความเพียร จัดเป็น องค์หนึ่งในอริยมรรค แต่ความหมาย ของ ความเพียรถูกต้อง ในอริยะมรรคนั้น

แท้ที่จริงมีความหมายอย่างไร หมายถึง ความขยัน ความบากบั่นใช่หรือไม่คร้า...

ขอผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย ช่วยชี้แนะด้วยคร้า....

 :c017:
44  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ยามใดที่เรารู้สึก ท้อแท้ ต่อชีวิต ควรใช้หลักธรรมพยุงใจคร้า.. เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2011, 02:04:14 am
ยามใดที่เรารู้สึก ท้อแท้ ต่อชีวิต ควรใช้หลักธรรมพยุงใจคร้า..

 เมื่อเพื่อนคนหนึ่งของหมวยจ้า มาขอคำปรึกษา เรื่องความท้อแท้สิ้นหวังในการดำรงชีวิต ของนักศึกษา
ซึ่งเธอพูดให้ฟังว่า ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านแล้วเพราะตอนนี้ พ่อ ไม่สบายป่วยแล้ว แม่ ก็ พลอยมาป่วยอีก
บรรดาน้อง ๆ ก็ยังเล็กอยู่ เธอซึ่งอุตส่าห์ดั้นด้นมาทำงานอยู่ที่ กทม. และหวังว่าเรียนจบแล้วชีิวิตเธอจะดีขึ้นมา
แต่ ชีวิตรันทด แบบนี้ยังมีอยู่ไม่ใช่น้อย ที่บ้านตอนหน้าน้ำก็น้ำท่วม ตอนนี้ก็ยังมาแล้งน้ำอีก .....

  ฟีง ฟัง ฟัง แล้วก็รับฟัง แล้วก็อึ้งเลย ให้เงินเธอไป 1000 บาท เพื่อส่งไปให้พ่อ แม่ ใช้ก่อนแก้ปัญหาเบื้องต้น
สุดท้ายก็รวบรวมกันได้คนละหน่อยสองหน่อย ก็เกือบหมื่นจากนักบุญทั้งในที่ทำงานและ มหาลัย

 ที่ำทำในเบื้องต้นก็เืพื่ออยากให้เธอเรียนจบ แต่ก็ยังเหลืออีกสองปี เงินเท่านี้คงช่วยอะไรไม่ได้มาก...

 ที่อยากจะถามเพื่อนสมาชิกว่า

ยามใดที่เรารู้สึก ท้อแท้ ต่อชีวิต ควรใช้หลักธรรมพยุงใจคร้า..

ขอบคุณคร้า...

 :c017:

45  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ช่วยวิเคราะห์ กรณี ของคนเป็นบ้า เสียสติ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2011, 01:56:55 am
คือต้องการวิเคราะห์ ผลบุญ ผลกรรม คร้า... เชิงจิตวิทยาชาวพุทธ

 :) :) :) :)

เรื่องมีอยู่ มีผู้หญิง คนหนึ่ง เธอมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งเธอก็มีอาการเสียสติ เป็นเวลา 1 ปีกว่า

แล้วมาวันหนึ่ง เธอก็ได้ ฆ่าลูกของเธอเองอย่างโหดเหี้ยม โดยใช้มีดทำครัว ระดมปักมีลงไปที่ตัวเด็กประมาณ

8 เดือน จนกระทั่งสามีเธอกลับมาเห็น เธอก็บอกว่า กำลังฆ่าไก่อยู่ สามีเธอเห็นตชด้ังนั้น น้ำตาร่วงพรู

แต่ก็ไม่ได้โกรธเมีย เพราะเมียเป็นบ้าเสียสติ ( ขนาดฆ่าลูกตัวเองก็ยังไม่รู้ ) แต่เรื่องต้องถึงตำรวจเพราะ

เป็นคดีฆาตกรรม ก็มีการดำเนินคดีกันไป สุดท้าย ศาลวินิจฉัยว่า เป็นบุคคลเสียสติ บ้า ต้องอยู่ภายใต้การควบ

คุมของคณะแพทย์ทางจิต ต้องได้รับการเยียวยาทางจิต

  ที่นี้ ความสงสัยของหมวยจ้า กับเพื่อน ๆ อยากให้วิเคราะห์หน่อยว่า ทางกฏหมายเธอไม่ผิด

 แต่ถ้าว่าโดยหลักธรรม แล้ว การที่เราได้ฆ่าใครสักคนหนึ่ง ในขณะที่เราเป็นบ้านั้น อยากทราบว่า

 จะต้องรับกรรมในนรกด้วยหรือไม่ เป็นบาปหรือไม่ เป็นกรรมที่จะต้องรับและใช้ ด้วยหรือไม่ ในหลัก

ของพระพุทธศาสนา

 ขอบคุณล่วงหน้าทุกท่านที่ให้คำแนะนำ

  :c017: :c017: :c017:
46  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มีพระสูตร ใดที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงว่า พ่อแม่ คือ พระอรหันต์ของบุตรคร้า... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2011, 01:37:12 am

มีพระสูตร ใดที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงว่า พ่อแม่ คือ พระอรหันต์ของบุตรคร้า...

คือมีความสงสัย คงต้องให้ผู้ช่ำชอง หาหลักฐานยืนยันหน่อย ว่า พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสแสดง

ว่า พ่อแม่ คือ พระอรหันต์ของบุตร

 เคยได้ยินแต่ นิทานจีน คร้า... ว่า มีคนต้องกราบไหว้พระอรหันต์ แล้วก็เที่ยวแสวงหา จนกระทั่งพบ

พระอรหันต์รูปหนึ่ง ท่านบอกว่า แค่แต่เพียงมาเพื่อกราบเพื่อไหว้ ให้กลับไปที่บ้าน จะเห็นพระอรหันต์

ออกมายืนต้อนรับ ใส่รองเท้าิผิดข้าง ใส่เสื้อคลุมกลับด้าน ที่ด้านยินก็เรื่องนี้ นะคร้า... แต่ไม่ใช่พระสูตร

ที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสแสดงไว้ คร้า... ใครพอรู้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะคร้า...

ขอบคุณคร้า ....

 :c017:
47  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 8 วิธีเห็นผี ! 8 วิธีเห็นผี ! จากผู้ทดลอง50คน ( คิดได้ยังงัย ) เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 02:53:25 am
8 วิธีเห็นผี !

จากผู้ทดลอง50คน • อ่านแล้วขนลุกโคตรๆ...(มาทดสอบสุขภาพจิตกันหน่อยมะ)เ ก็บมาฝาก ไว้อ่านกันเล่นๆจะทำดูก็ไม่ว่ากัน แต่น่ากัว
เค้าบอกว่า 50 % เห็นมาแล้วแต่ก้อไม่รู้จิงเท็จแค่ไหน ก้อใช้วิจารณญาณ ดูกันเอาเองแล้วกันเราเห็นบางวิธีก้อเป็นวิธีที่แปลก จากที่เคยอ่านๆมานะ
ไม่น่าเชื่อ ว่าจะเห็นได้ด้วยหรือ แต่ก็น่ะ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ลองอ่านดูแล้วกัน

ข้อปฎิบัติ ทุกวิธีต้องทำระหว่าง 4 ทุ่มถึงเที่ยงคืนและต้องไม่เลยเที่ยงคืนเพราะจะถือว่ าเป็นวันใหม่ ทุกวิธีห้ามใส่พระยกเว้นวิธีที่ 8
วันที่ทำแล้วมีโอกาสเห็นได้ง่ายสุดคือ วันพุธและวันศุกร์และวันอาทิตย์ ทุกวิธีอาจจะให้คนอื่นอยู่ด้วยก็ได้ยกเว้นบางวิธีที่ จะระบุบว่าคุณต้องทำคนเดียวทุกวิธีต้องหลับตาหากคุณเ ปลี่ยนใจไม่อยากเห็นให้เอาอุปกรณ์ทุกอย่างออก แล้วค่อยลืมตา

*วิธีที่1* "มองลอดใต้หว่างขา" >>(เห็นผี21 คน)

1. นำใบไม้ (จากต้นใดก็ได้)ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้ ต้องเป็นของต้นนั้นจริงๆและร่วมลงมาไม่ห่างจากลำต้นม ากนักหากอยู่ใกล้รากจะยิ่งดี
2. ยืนในที่โล่ง และต้องมองเห็นพระจันทร์ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหันหลังไปทางทิศตะวันตกเพื่อ เวลาก้มจะได้ก้มไปทางทิศตะวันตก
3. นำใบไม้ที่เก็บมา เอาไว้ในฝ่ามือ(จะทำมืออย่างไรก็ได้แต่ห้ามพนมมือ)
4. หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา (หมุนซ้าย) ช้าๆ เมื่อมาหยุดที่เดิม(ทิศตะวันออกที่หันหน้าไว้ตั้งแต่ แรก)ให้ท่องว่า"พุทโธทายะ"
(เหมือนผีถ้วยแก้วเลย)ทำแบบนี้ 3 รอบ(ท่อง 3 ครั้งด้วย)เพื่อให้เห็นภาพ*** รอบที่1 ยืนหันไปทางทิศตะวันออกหมุนซ้าย
ไปจนมาหยุดที่จุดเริ่มต้นแล้วท่องว่า"พุทโธทายะ" และทำต่อไป รอบที่ 2และรอบที่3
5. หลับตานึกถึงใบไม้ที่อยู่ในมือกับต้นเจ้าของใบไม้แล้ วให้คิดว่าใบไม้ในมือคือพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเรียก วิญญาณมาได้และนึกเอาว่าใบไม้นี้
ได้ตายไปแล้วจึงได้หลุดมาจากต้นไม้ เพราะฉะนั้นเราติดต่อกับวิญญาณได้เหมือนที่ติดต่อกับ ใบไม้ที่ตายแล้วใบนี้
6. ค่อย ๆ ก้มหน้าลง(ระหว่างนี้ห้ามลืมตาเด็ดขาด)เมื่อคุณก้มแล ะพร้อมแล้ว"ให้ตั้งสติดีๆ" แล้วลืมตา
7. แล้วผีจะมาให้เห็น หากเห็นอะไรห้ามวิ่งไม่ว่าสิ่งที่เห็จะอยู่ไกลหรือมา ประจันหน้าก็ตามต้องทำตามนี้ก่อน1. เงยหน้าขึ้น ทิ้งใบไม้ลงพื้นทันที
2. หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา(หมุนย้อนกลับไปทางขวานั่นเอง) 3รอบโดยไม่ต้องท่องอะไรเลย3. เมื่อกลับถึงบ้านต้องล้างหน้า 3 ครั้ง
ก่อนล้างให้ท่อง "พุทโธ"แล้วเป่าลมลงน้ำจึงค่อยล้างหน้าทำแบบนี้3 ครั้ง

*วิธีที่2* "ตัดเล็บตอนกลางคืน" (เห็นผี12 คน) ขอย้ำเลยวิธีนี้ต้องทำระหว่าง 4 ทุ่มถึงเที่ยงคืนเพราะต้องไม่ให้โพล้เพล้หรือเป็นวัน ใหม่"***

1. ตัดเล็บมือเท่านั้น โดยเริ่มจากนิ้วก้อย,นิ้วโป้ง,นิ้วนาง,นิ้วชี้ และนิ้วกลาง(ตัดจากนอกเข้าในนั่นเอง) โดยเริ่มตัดจากมือขวาก่อน
และทำแบบเดียวกันกับมือซ้าย*เล็บที่ตัดห้ามหักหรือขา กเด็ดขาดต้องเป็นโค้งตามรูปเล็บมิเช่นนั้นจะไมได้ผล*
2. นำเศษเล็บที่ตัดห่อใส่ผ้าอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีดำ(ต ้องใช้แล้วไม่ใช่ผ้าใหม่)
3. นำไปวางไว้ทางทิศตะตก (เช่นเคย)ของที่พักอาศัย
4. เมื่อคุณเข้านอนได้ไม่นานจะมีคนมานั่งตัดเล็บอยู่ตรง ปลายเท้าที่คุณนอน(เสียงดัง "แก๊กๆ"นั่นแหละ) เป็นการตัดเล็บของเค้ามาคืนคุณ
5. ถ้าอยากเห็นก็ลืมตาแต่ห้ามโวยวาย เพราะเขาจะไปแล้วคุณอาจจะซวยได้(เพราะถือว่าเค้ามาดี โดยที่เขาคิดว่าเราเอาเล็บไปแลกหรือ
ไปเล่นกับเขาแล้วเขาก็เลยเอาของเขามาคืน
6. เมื่อคุณตื่นในตอนเข้าให้ไปยังจุดที่คุณเอาเล็บไปวาง ไว้ คลี่ห่อผ้าออกจะพบเล็บของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ
7. ให้คุณพูดเบา ๆ ว่า "ขอบคุณ"แล้วเอาไปฝังไว้ที่ใดก็ได้>>โดยไม่จำเป็นต้อ งอยู่ในที่พักอาศัยของคุณ (แต่ห้ามทิ้งหรือเผาโดยเด็ดขาด)

*วิธีที่3*"หันหลังให้กระจกแล้วกลืนน้ำลาย" (เห็นผี 16 คน)วิธีนี้ต้องทำคนเดียวเท่านั้น วิธีนี้ต้องทำก่อนเที่ยงคืน 6 นาที
นาฬิกาที่คุณใช้เป็นเกณฑ์ในกาวัดให้ยึดเรือนใดเรือนห นึ่งในบ้านได้เลย

1. ยืนหันหลังให้กระจก (ครั้งนี้จะทิศใดก็ได้) ตอนเวลา 5 ทุ่ม 54 นาที
2. กลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ทุก ๆ 1 นาที
3. พอครบ 6 นาที หมายความว่าคุณกลืนน้ำลายไปแล้ว 6 ครั้งและถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี
4. หลับตาแล้วหันไปทางกระจก (จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้แต่ช้า ๆ)แล้วกลืนน้ำลายอีกครั้ง (เป็นครั้งที่7) แล้วลืมตา และผีจะมาให้เห็น
5. เมื่อคุณต้องการยุติพิธีให้หลับตากลืนน้ำลายอีกครั้ง เป็นอันจบพิธี

*วิธีที่4* "ดีดลูกคิดตอนกลางคืน" (เห็นผี 32 คน)ลูกคิดที่ใช้ดีดให้ดีดอันที่มีรางยาวที่สุดเท่านั ้นต้องอยู่คนเดียวเพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก

1. ให้ลูกคิดทุกลูกในทุกรางอยู่สุดรางที่หันมาหาตัวเรา
2. ดีดีลูกคิดขึ้นโดยให้ลูกคิดออกจากตัวทีละลูก(ต้องมีส มาธิมากๆ)ไล่ไปตั้งแต่รางแลกไปจนรางสุดท้าย
3. ตั้งสมาธิให้ดีอย่างมากแล้วจับรางลูกคิดตั้งขึ้นให้ล ูกคิดวิ่งกลับมาที่เดิมในตอนแรก
4. มองรอดช่องรางลูกคิด(รางใดก็ได้)แล้วผีก็จะมาให้เห็น
5. หลังจาการทำเรียบร้อยแล้วให้ทิ้งลูกคิดนั้นทันที *ห้าม*นำกลับมาใช้อีกเป็นเป็นอันขาด

*วิธีที่5* "เอามุ้งคลุมหัวตอนกลางคืน" (เห็นผี 6 คน)

1. เอามุ้งมาครอบหัวไว้ (หลับตาตั้งแต่ก่อนคลุมแล้ว)
2. ท่อง มะ-อะ-อุ 7 ครั้ง (อย่าลืมว่าต้องหลับตา)
3. ลืมตา แล้วผีจะมาให้เห็น

*วิธีที่6* "ใส่เสื้อกลับแล้วนอนห้อยหัว" (เห็นผี 31 คน) ต้องทำคนเดียว

1. ใส่เสื้อโดยการเอาข้างหลังมาอยู่ข้างหน้า(ถ้ามีกระดุ มก็เอากระดุมไว้ขางหลังนั่นเอง)
2. นอนลงบนที่นอนที่สูงกว่าพื้นแล้วห้อยหัวลงมอง เหมือนแหงนหน้า
3. แล้วผีจะมาให้เห็น

*วิธีที่7* "แหงนหน้ามองตรงบันได"(เห็นผี 42 คน)- ต้องทำคนเดียว

1. นั่งบนบันไดชั้นบนสุดแล้วลงมาทีละขั้นทั้งที่ยังนั่ง อยู่ (ใช้ก้นลงบันได้นั่นเอง)
2. เมื่อถึงขั้นสุดท้ายให้ยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นสุดท้ายแ ล้วจึงแหงนหน้ามองกลับขึ้นไปชั้นบนสุด
3. แล้วผีจะมาให้เห็น

*วิธีที่8* "สวมพระกลับหลัง"(เห็นผี 28 คน) ต้องทำคนเดียว

1. สวมพระโดยคล้องสร้อยพระไว้ด้านหลัง(ให้เหมือนที่อยู่ ด้านหน้าเลย)
2. ยื่นแขนซ้ายออกไปข้าง ๆแล้วทำมุมข้อศอกโดยให้กำปั้นทิ่มลงพื้นและให้ข้อศอก ตั้งฉากกับพื้น
3. มองลอดผ่านช่องแขน แล้วจะเห็นผี
----------------------------------------------------------

เครดิตคุณ toory1234

fwd mail

อ่านพอให้ได้คลายอารมณ์ บ้างนะคร้า...แต่ถ้าใครทำตามนี้แล้วเห็นจริง ๆ มาเล่าให้ฟังกันบ้างนะคร้า....

 :hee20hee20hee: :hee20hee20hee: :hee20hee20hee:
48  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / องค์กรสตรี ค้านเงื่อนไข แอร์กะเทย ต้องแปลงเพศ ( ไปกันใหญ่แล้วคร้า..) เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 02:43:41 am
องค์กรสตรี ค้านเงื่อนไข แอร์กะเทย ต้องแปลงเพศ

เจาะข่าวเด่น แอร์โฮสเตส สาวประเภทสอง (26-01-11) – ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

องค์กรสตรี ค้านเงื่อนไข แอร์กะเทย ต้องแปลงเพศ แนะบินไทย เปิดกว้างกล้ารับเพศที่สาม

สืบเนื่องจากกรณีที่ สายการบินพี.ซี.แอร์ ได้เปิดรับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ในตำแหน่งสจ๊วต และแอร์โฮสเตส ซึ่งในตำแหน่งแอร์โฮสเตสที่รับทั้งหมด 20 คนนั้น แบ่งเป็นผู้หญิง 17 คน และเปิดโอกาสให้สาวประเภท 2 จำนวน 3 คน ทั้งนี้ในใบสมัครของสาวประเภทสองจะระบุว่า เป็นบุคคลไม่มีเพศ หรือ  Unisex และผู้สมัครจะต้องผ่านผ่าตัดแปลงเพศแล้วทั้งหมด รวมทั้งเสียงก็ต้องเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณา

เรื่องดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่มีการตั้งข้อจำกัดว่า ต้องผ่านการแปลงเพศ โดยนาย จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า  สายการบินพี.ซี.แอร์ทำดีแล้ว แต่ประเด็นที่สร้างเงื่อนไขว่าต้องเป็นสาวประเภท สองที่แปลงเพศแล้ว ถือว่าเป็นการปฏิบัติ เพราะสาวประเภทสองส่วนใหญ่ยังไม่ได้แปลงเพศ นั่นก็ถือว่า ยังแบ่งแยกหญิงชายอยู่ดี เพราะหากไม่แปลงเพศถือว่ายังเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง

นอกจากนี้ เงื่อนไขดังกล่าวยังเป็นการผลักดันให้สาวประเภทสองไปแปลงเพศเพื่อมาสมัคร เป็นแอร์ ซึ่งสาวประเภทสองหลายคนก็ไม่พร้อมแปลงเพศเนื่องมาจากเหตุผลหลายๆอย่าง ทั้งที่มีความสามารถ ฉนั้น จึงไม่ควรตั้งเงื่อนไขเรื่องการแปลงเพส

จากการสอบถามไปยังสายการบินอื่นๆ ยังคงปิดกั้นในเรื่องนี้ โดยเฉพาะสายการบินระดับชาติ และอนุรักษ์นิยม ควรเปิดโอกาสให้เพศที่สามได้ประกอบอาชีพ  ควรกล้าหาญรับได้ทุกเพศ ไม่เลือกปฏิบัติ เพราะยุคสมัยนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นทางเลือกให้กับให้กับเพศที่สามให้มีความสามารถ หากพัฒนาดีๆก็ก้าวไปเท่าเทียมได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย

เรียบเรียงข่าวโดย Mthai news
พี.ซี.แอร์ เปิดรับกะเทย เป็นแอร์โฮสเตส น้องฟิล์ม ประเดิมคนแรก
49  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตรวจจับความเร็วเริ่ม 27 มกราคม 2554 ส่งใบสั่งทางไปรษณีย์ เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 02:11:01 am



ปัจจุบันตำรวจทางหลวง นำเทคโนโลยีเป็นกล้องตรวจจับความเร็วไปติดตั้งบนถนนสายหลัก ออกสู่ภูมิภาคตามจุดต่าง ๆ เพื่อตรวจจับผู้ขับขี่ที่ใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด ซึ่งหลายครั้งเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน หลังจากกล้องดังกล่าวตรวจจับรถที่ใช้ความเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด ก็จะถ่ายภาพรถ เลขทะเบียนและบันทึกความเร็วที่ใช้ขณะนั้น ส่งเป็นหมายเรียกให้ไปจ่ายค่าปรับในข้อหาขับรถเกินกว่ากฎหมายกำหนด  ต้องเสียค่าปรับ 500 บาท ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับจดหมาย โดยจะไปด้วยตัวเองก็ได้ หรือไปจ่ายที่ไปรษณีย์ โดยส่งเป็นธนาณัติสั่งจ่ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยระบุหมายเลขของจดหมายที่เราได้รับ พร้อมกับจ่าหน้าซองถึงตัวเราเองใส่ซองไปด้วย เพื่อที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้จัดส่งใบเสร็จกลับไปให้ ค่าส่งไปรษณีย์จะเป็นแบบ อีเอ็มเอสค่าจัดส่งไป-กลับก็ 74.90 บาท ทั้งนี้ควรดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยตามกำหนด การเพิกเฉยไม่ใส่ใจที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย จะส่งผลต่อการต่อทะเบียนรถในครั้งต่อไป.

ที่มาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=354&contentID=117798
50  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สืบสานประเพณีจีนด้วยเครื่องเซ่นไหว้มงคล เมื่อ: มกราคม 28, 2011, 02:06:06 am

ถือเป็นธรรมเนียมที่ยึดปฏิบัติมาตลอดทุกปี เมื่อใกล้ถึงวันจับจ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน กูร์เมต์ มาร์เก็ต เอ็มโพเรียม, พารากอน, เควิลเลจ สุขุมวิท 26 และ โฮม เฟรช มาร์ท เดอะมอลล์ ทุกสาขา  ต้องสรรหาสารพันของเซ่นไหว้มาให้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ  สำหรับปีนี้ต้อนรับเทศกาลสำคัญด้วยการจัดงาน “ครบเครื่องเรื่องเซ่นไหว้”  รวบรวมสุดยอดของไหว้ความหมายมงคล ทั้งชุดเซ่นไหว้ของคาว (โหงวแซ หรือ ซาแซ), ชุดเซ่นไหว้ของหวาน (โหงวเปี้ย หรือ ซาเปี้ย), ชุดเซ่นไหว้ผลไม้มงคล (โหงวก้วย หรือ ซาก้วย)  คัดสรรคุณภาพและความปลอดภัยจากตลาดดัง อาทิ ตลาดสามย่าน, ตลาดเยาวราช พร้อมการจัดชุดเซ่นไหว้ในรูปแบบต่างๆ ที่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียม อาทิ ชุดเซ่นไหว้เจ้าที่เทพยดา, ชุดไหว้บรรพบุรุษ  ตลอดจนชุดกระดาษเงินกระดาษทอง  และชุดของไหว้เสริมดวงชะตาแก้ชงรับปีกระต่ายทอง 2554  ซึ่งมีให้เลือกซื้อระหว่างนี้ถึง  2  ก.พ. 2554
   
ลักขณา นะวิโรจน์ รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า  กูร์เมต์ มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน นำเสนอความหลากหลายของชุดเครื่องเซ่นไหว้มงคล เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อาจไม่ลงตัวกับการเตรียมชุดเครื่องเซ่นไหว้  ด้วยสินค้าที่คัดสรรมาตามแนวคิดของ กูร์เมต์ มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท ที่คัดสรรสิ่งดีที่สุด  ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์คุณภาพเยี่ยม รับรองความปลอดภัยและคุณภาพโดย  เอส เพียว  ผลไม้ที่คัดสรรส่งตรงจากสวนคุณภาพดี  และของไหว้มงคลอื่น ๆ อีกมากมายที่ถูกต้องครบถ้วนตามขนบธรรมเนียมประเพณี

   
ในปีนี้ กูร์เมต์ มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท  นำเสนอความพิเศษ ด้วยชุดเซ่นไหว้ ผลไม้มงคล ที่จัดอยู่ในกระเช้าสวยงาม มาพร้อมกับสิ่งของที่มีความหมายเพื่อเสริมดวงชะตาและความเป็นสิริมงคลต่อการ ดำเนินชีวิต  อาทิ กระเช้าส้มมงคลและก้อนทอง  ซึ่งก้อนทอง หมายถึง ความราบรื่น และความยิ่งใหญ่เหมือนดั่งหงส์ และมังกร มีความหมายให้การดำเนินธุรกิจหน้าที่การงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย, กระเช้าแอปเปิ้ลทองและกระต่ายทอง  ซึ่งกระต่ายเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์  และยังมีกระเช้าสัญลักษณ์มงคลอีกมากมาย  อาทิ กระเช้าส้มมงคลและปลามังกร, กระเช้าแอปเปิ้ลแดงและพระสังกัจจายน์  ฯลฯ  นอกจากนี้ เสริมดวงรับปีกระต่ายด้วยผงธูปกันชง สิริมงคล 9 ศาลเจ้า จากเมืองซัวเถา มณฑลแต้จิ๋ว ประเทศจีน โดยสามารถนำพกติดตัว เพื่อเป็นสิริมงคลในการดำเนินชีวิต ตลอดจนหน้าที่การงานให้ราบรื่นร่ำรวยเงินทองปราศจากอุปสรรคทั้งปวง.
ที่มาเนื้อหา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=359&contentID=117457
51  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร้องตรวจสอบพระธุดงค์เดินเรี่ยไร บิณฑบาตหลัง9โมงเช้า เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 04:06:40 am
ร้องตรวจสอบพระธุดงค์เดินเรี่ยไร บิณฑบาตหลัง9โมงเช้า



น.ส.นวลน้อย บุญประคอง ชาวบ้านหมู่บ้านสมชายพัฒนาบางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ได้ร้องเรียนเกี่ยวกับกรณีมีพระธุดงค์ออกบิณฑบาต ช่วงเวลา 09.00-10.00 น. และมีพฤติกรรมน่าสงสัย จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาช่วยตรวจสอบพระกลุ่มดังกล่าว ซึ่งน.ส.นวลน้อยกล่าวว่า ในช่วงเช้าหลังจากที่ตนได้ใส่บาตรพระสงฆ์ในพื้นที่เป็นประจำทุกวันในช่วง เวลา 06.15 น. หลังจากนั้นในช่วงเวลา 09.00 น. ก็ได้มีพระธุดงค์ 3 รูปมายืนรอรับบาตรในหมู่บ้าน โดยจะยืนรอหน้าบ้าน เพื่อให้แต่ละบ้านนำอาหารและปัจจัยมาใส่บาตร เหมือนเป็นการบังคับ ซึ่งตนก็ได้ใส่บาตร เพราะเห็นว่าเป็นพระธุดงค์ พร้อมกับถามว่า มาจากไหน ก็ได้รับคำตอบว่า ธุดงค์มาจากอรัญประเทศ และจะเดินทางไปจังหวัดสงขลา พอมาวันรุ่งขึ้น ก็พระกลุ่มเดิมออกมาบิณฑบาตในรูปแบบเดิม และชาวบ้านก็สอบถามพระกลุ่มเดิมว่าจะเดินทางไปที่ใด กลับได้รับคำตอบไปสุพรรณบุรี ตนจึงได้ตั้งข้อสังเกตว่า พระธุดงค์กลุ่มดังกล่าวเป็นพระจริงหรือไม่ แล้วทำไมจึงยังมาบิณฑบาตอยู่และมีจุดหมายปลายทางไม่ตรงกันสักวัน เกรงว่าเป็นมิจฉาชีพ "ดิฉันเจอพระธุดงค์กลุ่มนี้มาเกือบสัปดาห์ ซึ่งเวลาเที่ยงก็ยังมีการออกเรี่ยไรปัจจัยจากประชาชนอยู่ ที่สำคัญดิฉันได้สังเกตว่า การท่องให้พรของพระเวลาใส่บาตร ก็ติดขัดไม่เหมือนพระสงฆ์ทั่วไป มีสำเนียงเหมือนไม่ใช่คนไทย นอกจากนี้ ยังเห็นว่าพระกลุ่มนี้ยืนสูบบุหรี่แถวตลาดนัดในชุมชน เห็นแล้วสร้างความหดหู่ให้กับชาวบ้านละแวกนั้น จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยดูแลและตรวจสอบ กลัวว่าจะกระทบต่อศรัทธาชาวบ้าน ที่สำคัญญาติของดิฉันก็เจอเหตุการณ์ดังกล่าวในพื้นที่สายไหมเช่นกัน กลัวว่าจะทำกันเป็นเครือข่ายหรือเป็นกลุ่มหรือไม่"

ด้านนายอนุรักษ์ รัตนทักษ์ ชาวบ้านหมู่บ้านธนกาญจน์ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี กล่าวว่า ตนได้รับทราบจากเพื่อนบ้านใกล้เคียงว่า มีพระธุดงค์มารอบิณฑบาตหน้าบ้านเป็นประจำ หากเจ้าของบ้านไม่ใส่ พระก็จะถามว่าไม่ใส่บาตรหรือโยม ซึ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะถามชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านบางส่วนไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าว และขณะนี้ตนก็ยังเจอว่ามีพระธุดงค์ออกรับบาตรจากประชาชนในช่วง 08.30 น.ของทุกเช้า และเป็นพระรูปเดิม จึงอยากให้หน่วยงานต่างๆ ช่วยตรวจสอบด้วย

ที่มาข่าวสด
52  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เป็นไปได้หรือ ที่งูจะช่วยกบ ( ช่วยพิจารณาหน่อยเป็นไปได้หรือคร้า...) เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 03:59:47 am
นาทีกบเกาะหลังงู

ระหว่างน้ำท่วมใหญ่ในรัฐควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย นายอาร์มิน เกอร์ลาช
ช่างคอมพิวเตอร์บันทึกได้ในพื้นที่น้ำท่วมใกล้เมืองบริสเบน
หลังอุทกภัยนี้คร่าชีวิตชาวออสเตรเลียไปอย่างน้อย 26 ราย

เมื่อ 20 ม.ค. เดลี่เมล์ ตีพิมพ์ภาพกบเขียวตัวน้อยขี่หลังงูสีน้ำตาลตัวผอม
เลื้อยว่ายน้ำหนีภัยน้ำท่วมในช่วงเกิดน้ำท่วมใหญ่
ในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย

บันทึกโดย อาร์มิน เกอร์แลช ช่างเทคนิคคอมพิวเตอร์
เป็นภาพน่ารัก ที่แยกมาจากความเสียหายของบ้านเมืองหลังน้ำท่วม
ที่มีผู้เสีย ชีวิต 26 ราย ความเสียหาย 95,000 ล้านบาท
เกอร์เลช กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติมากที่สัตว์เจอภัยน้ำท่วม ไฟไหม้
หรือภัยพิบัติอื่นๆ พวกมันจะหนีไปพร้อมกัน


ที่มา FWD mail
ภาพนี้ สำหรับหมวยคิดว่าเป็นภาพตัดต่อคร้า...  :smiley_confused1:
53  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รวมเรื่องขำๆ ในการต่อราคา ( สัมมาวาจา จะมีหรือไม่คร้า.. พิจารณาหน่อย ) เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 01:51:43 am
# 1 คำพูดที่ติดปากพ่อค้าแม่ค้า


• ลดวันนี้วันเดียว ลดวันนี้วันเดียว
• ลดให้เต็มที่แล้วครับ
• ขายให้ขาดทุนเลยนะ
• ลดวันนี้วันสุดท้ายแล้วค่า
• ลดไม่ได้แล้ว คนเมื่อตะกี้ซื้อเยอะกว่านี้ ยังลดให้ไม่ได้เลย
(ก็บอกแบบนี้ทุกคนแหละ)

• ไม่ได้บอกผ่านหรอกน้อง
(งั้น พี่ก็บอกผ่านสิคะ)

• ร้านอื่นขายแพงกว่านี้นะน้อง
• ลดเต็มที่แล้ว เนี่ยรับมาก็ 500 ได้กำไรแค่ 10 บาทเอง
• โธ่ คุณน้อง อย่าต่อพี่เลย ถือว่า 10 บาทให้พี่เป็นค่ารถเถอะ
• 1 โล 20 … 5 โล 100 อ้าว ลดที่สุด เร่เข้ามา เร่เข้ามา!!!
(มัน ลด ของ มัน ตรง ไหน?)

# 2 คารมของพ่อค้าแม่ค้า


ลูกค้า : มะม่วงเปรี้ยวหรือเปล่าครับ?
แม่ค้า : ไม่เปรี้ยวค่า หวานมันกรอบอร่อยทุกลูกเลยค่า
ลูกค้า : อ้าว เหรอ แฟนผมให้มาซื้อมะม่วงเปรี้ยว จะเอาไปทำน้ำปลาหวาน
แม่ค้า : ก็มะม่วงเนี่ย เปรี้ยวๆมันๆ ทำน้ำปลาหวานนี่ กำลังพอดีเลยค่า
(เปลี่ยนใจได้เร็วจัง เลยนะแม่ค้า)

ลูกค้า : พี่คะ เสื้อตัวนี้เท่าไรคะ?
แม่ค้า : 280 จ้ะ
ลูกค้า : โห !! แพงจัง
แม่ค้า : ไม่แพงแล้วจ๊ะน้อง ที่สยามเค้าขายกัน 390 นะ ไปดูได้เลย
(เอะอะ ก้อ สยามทุกที)

ที่เชียงใหม่ไนท์บาร์ซ่า
ลูกค้า : พี่ครับ นาฬิกาชิ้นนี้เท่าไหร่ครับ?
พ่อค้า : 1,400 ถ้วน ครับน้อง
ลูกค้า : เออ สวยดีนะ พี่ลดหน่อยสิครับ จะซื้อไปฝากญาติ
พ่อค้า : ลดให้เต็มที่เลยนะ... 1,200 ได้แค่นี้ละครับ
ลูกค้า : อืมมมม ลดลงอีกหน่อย สิครับ
พ่อค้า : ลดไม่ได้แล้วน้อง นี่ถูกแล้วนะ สวยด้วยเห็นไหม? ถ้าต่ำกว่านี้พี่ก็ขาดทุน
ลูกค้า : เอางี้ 800 ล่ะกัน ขาดตัว ไม่ได้ไม่เอา (ทำท่าจะเดินไป)
พ่อค้า : (ทำท่าคิด)
ลูกค้า : (เดินออกไปเลย ไปดูร้านอื่นดีกว่า)
พ่อค้า : น้องๆ พี่ขายให้ก็ได้ ปกติราคานี้พี่ไม่เคยขายใคร พี่ขายให้น้องเป็นคนแรก
(ไหนบอกว่าลดไม่ได้ ถ้าต่ำกว่านี้พี่ขาดทุน โอย เกือบเชื่อแล้วนะเนี่ย)


# 3 กลยุทธ์การขาย


อันนี้ ลิมิเตท เอดิชั่น นะครับ จะไม่ทำขายอีกแล้ว!!
(ไปอีกเดือน ก็ยังทำขาย)


นี่ราคาเปิดร้านตอนเช้านะครับน้อง พิเศษมาก พี่เอาฤกษ์
(แต่นี่เวลาเกือบเที่ยงแล้วนะครับพี่)


ที่ร้านบอกเหลือตัวนี้ตัวเดียว จะไม่เอาลายนี้มาขายอีกแล้ว
ไม่อยากให้ใครเหมือน วัยรุ่นจึงสอยเสื้อตัวนั้นไป
วันต่อมา เจอเสื้อรุ่นเดิม ลายเดิมแขวนอยู่
(วัยรุ่นเด็กเทพ หัวร่อไม่ออก)

ที่สำเพ็ง เมื่อแฟชั่นฮ่องกงฮิต
แม่ค้า : กิ๊บสวยๆค่า
ลูกค้า : เท่าไหร่คะ
แม่ค้า : 100 ค่า
ลูกค้า :(ลังเล)
แม่ค้า : งานฮ่องกงนะ

ร้านเดียวกัน เมื่อแฟชั่นญี่ปุ่นฮิต
แม่ค้า : กิ๊บสวยๆค่า
ลูกค้า : เท่าไหร่คะ (กิ๊บอันเดิม)
แม่ค้า : 100 ค่า
ลูกค้า : (ลังเล)
แม่ค้า : งานญี่ปุ่นนะ

ร้านเดียวกัน เมื่อแฟชั่นเกาหลีฮิต
แม่ค้า : กิ๊บสวยๆค่า
ลูกค้า : เท่าไหร่คะ (กิ๊บอันเดิม)
แม่ค้า : 100 ค่า
ลูกค้า : (ลังเล)
แม่ค้า : งานเกาหลีนะ
(ว่าแต่กิ๊บตัวนี้เนี่ย ทำไมเปลี่ยนสัญชาติบ่อยจังล่ะ?)

เดินเมียงๆ มองๆ อยากได้กางเกงยีนส์ราคา 4,000 อยู่เป็นเดือน
เดินผ่านร้าน ก็ชำเลืองดูมุมขายยีนส์ ซะทุกวัน
สุดท้าย อดใจไม่ไหว ก็ตัดสินใจซื้อ ... เฮ้อ ค่อยโล่งอก


แต่พอวันรุ่งขึ้น กลับมีป้ายมาติดที่หน้าร้านว่า
“ลดทุกอย่างในร้าน 50%”
โอย ร้านนี้ ทำแสบแล้ว มั๊ยล่ะ?
ทำเอานอนไม่หลับ เพราะความเสียดายเงิน
นี่ถ้ารออีกสักหน่อย บอกกันซะบ้าง ก็จะได้ลดราคาตั้ง 2 พันบาท

วันรุ่งขึ้น เดินเข้าไปสังเกตภายในร้าน
เอ้า เอา เข้าไป!!! ร้านมันตั้งราคายีนส์ขึ้นมาใหม่
เป็น 8,000 บาท ลดแล้วก็เหลือ 4,000 เท่าเดิม
(ร้านนี้มันทำแสบจริงๆ)

พ่อค้า : สวยฮ่ะคุณน้อง เหมาะกับคุณน้องมากๆเลยนะฮะ
ลูกค้า : อืมม ชอบนะ แต่ไม่รู้จะใส่ได้รึเปล่า?
พ่อค้า : ใส่ได้ฮ่ะคุณน้อง คุณน้องใส่ได้แน่ๆฮ่า
ลูกค้า : เออ แต่นี่ มันไซร์ M นี่คะ หนูอยากได้ไซส์ L นะค่ะ พี่มีบ้างไหมคะ?
พ่อค้า : ไซส์ L หมดฮ่า ไม่ต้องหาเลย ร้านไหนๆก็ไม่มีฮ่า แต่ตัวนี้แหละฮะ คุณน้องใส่ได้ ใส่ไปเดี๋ยวเดียวมันก็ยืดออกได้อีก เชื่อเถอะฮ่า
(ประจำ.. ยืดได้ หดก็ได้ พูดแบบนี้ทุกราย)

# 4 จะขำดีไหม?


ที่แม่สาย จ..เชียงราย กางเกงขาสั้นติดราคาป้าย 390 บาท
ลูกค้า : 200 ได้เปล่าคะ?
พ่อค้า : 35 มากสุดแล้ว


ต่อราคา ไปซักพัก
ลูกค้า : เออน่า 25 ละกัน จะรีบไปแล้ว เพื่อนๆเค้ารอ
พ่อค้า : 28 อ่ะ มากสุดแล้ว ลดไม่ได้กว่านี้แล้วครับ
สรุป ในที่สุดพ่อค้ายอมขายที่ 28 หรือที่ราคา 280 บาท


แต่พอเดินถัดไปอีกแค่ 10 ร้านเท่านั้น
กางเกงแบบเดียวกัน ไซส์เดียวกัน สีก็ใช่ สีเดียวกันเลย
ลูกค้า : เท่าไหร่เนี่ย?
แม่ค้า : อ๋อ 250 ค่า ถ้าซื้อเยอะ ต่อได้นะคะ
(โอ๊ย กลับถึงที่พัก นอนไม่หลับ 1 คืน ทั้งขำทั้งเซ็ง)

ภรรยาสาวไทยนอนเล่นอยู่ริมชายหาดกับสามีฝรั่ง
สักครู่ พ่อค้าขายรูปวาด ก็เดินถือสินค้าเข้ามา
พ่อค้า : ยูๆ 4,000 บาท
สามี : (พูดไทย) ไม่เอาๆ
พ่อค้า : น่าๆ ลดให้
สามี : ไม่เป็นไรค้าบ ไม่มีที่ยัดในกระเป๋าแล้วจริงๆ
พ่อค้า : 3,000 นึง เอ้า
สามี : (เริ่มรำคาญ) ไม่เอาค้าบ
พ่อค้า : 2,000 ก็ได้ น่า นะ
สามี : ไม่เอาจริงๆ ค้าบ
พ่อค้า : 1,500 อ่ะ
สามี : (หันมาทางภรรยา แล้วพูดว่าช่วยบอกเขาที บอกว่าไม่เอา)
แต่ตอนนั้นภรรยาและสามีเริ่มจะขำกันแล้ว เพราะจะบอกจะพูดยังไง พ่อค้าก็ยังไม่ไป
ราคารูปวาด พ่อค้าก็พูดจาขึ้นเอง ลดให้เอง
จาก สี่พัน ตอนนี้ลดลงมาเหลือ ห้าร้อย แล้ว
พ่อค้า : อีกคำเดียว คราวนี้ขาดตัวละนะ ลดกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วนะ อ้าว เหลือ 400!!!

สาวไทยเดินไปวัดพระแก้ว แต่บังเอิญวันนั้นไม่ได้สวมกระโปรงไป
เลยเดินข้ามถนนไปที่ร้านขายกระโปรงบาติก เดินดูกระโปรงโดยไม่ได้พูดอะไร
พ่อค้า : Four Hundred (ยกนิ้วด้วยสี่นิ้ว)
สาวไทย : ยิ้มแหยๆ
พ่อค้า : เวรี่ ชี๊ป น๊า
สาวไทย : โห พี่ ทำไมแพงจังล่ะ
พ่อค้า : เอ้าน้อง คนไทยก็ไม่บอก ราคาร้อยเดียวเอง ซื้อมั๊ย?

ลูกค้า : ป้าๆ น้ำผึ้งเนี่ย แท้เปล่า คะ
แม่ค้า : แท้ จ๊ะ แท้ ไม่มีเจือปนอะไรเลย มาจากป่าใหม่ๆ ไม่เชื่อลองชิมก็ได้
ลูกค้า : งั๊น เอาขวดนึง ขวดเท่าไหร่คะ?
แม่ค้า : 180 ค่า
ลูกค้า : แพงไปค่ะป้า 120 ถ้วนก็แล้วกันนะคะ หนูซื้อสองขวด
แม่ค้า : โอย ลดไม่ได้หรอกหนู เดี๋ยวนี้น้ำตาลมันแพงค่า
(แน่ะป้า ป้าลืมอะไรไป รึ เปล่า?)

ที่โรงเกลือ คนขายชาติเพื่อนบ้านขายหมอน
ลูกค้า : ใบเท่าไหร่?
คนขาย : ร้อยยี่สิกเก้า
ลูกค้า : ลดได้มั๊ยเนี่ย? จะซื้อสองใบ
คนขาย : เอาไปร้อยยี่สิก สองใบก็สองร้อยห้าสิก
ลูกค้า : อ้าว เมื่อขายใบละร้อยยี่สิบ สองใบก็ต้องสองร้อยสี่สิบ ซิ
คนขาย : ม่า ได้ ม่า ได้ ลดให้แล้ว
ลูกค้า : งั้นซื้อใบเดียว ใบละร้อยยี่สิบ ซื้อสองครั้งละกัน ได้มั๊ย?
คนขาย : ได้ ได้

ลูกค้า : ถุงเท้านี่ คู่ละเท่าไหร่ครับ
แม่ค้า : คู่ละ 40 บาทค่ะ
ลูกค้า : 2 คู่ 100 ได้มั้ย?
แม่ค้า : ไม่ได้ค่า ถูกสุดแล้วค่า!!!!!
(เอะอะ อะไรๆก็ไม่ได้ไว้ก่อนเลยนะแม่ค้า)

ไปซื้อกล้วยที่ตลาด
ลูกค้า : หวีเท่าไหร่ครับ?
แม่ค้า : 15 ค่า
ลูกค้า : 12 บาท ได้ไหม?
แม่ค้า : ไม่ได้หรอก ป้ารับมาก็ 12 บาทแล้ว ให้กำไรป้าสัก 2- 3 บาทเถอะค่า
ลูกค้า : งั้นเอางี้ 2 หวีเลย 20
แม่ค้า : ตกลงค่ะ
(อ้าวแล้วกันป้า ..ป้า งงอะไรไปรึปล่าว?)

แม่ค้า : โลละ 30 สามโลร้อย เอาป่าวหนู?
ลูกค้า : เอา 3 โลค่ะ
(เอาล่ะซี ใคร งง กันแน่?)

# 5 ของแถม


1. ของแถมที่ไม่ได้เกิดจากการต่อราคา

ลูกค้า : พี่คะ กล้วยหอมนี่ เมื่อไหร่จะสุกคะ
พ่อค้า : สักวันนึงน้อง
ลูกค้า : พี่อย่ากวนหนูดิ หนูถามจริงจริง
พ่อค้า : กวนไรน้อง พี่บอกสักวันนึง ก็ทิ้งไว้สักวันหนึ่ง 1 วันน่ะ
(อ๋อ ขอโทษค่ะพี่)

2. ของแถมนี่แหละน้ำใจ


ที่ถนนพิษณุโลก – เขาค้อ
ลูกค้า : หน่อไม้ถุงเท่าไหร่คะแม่ค้า?
แม่ค้า : ถุงละ 30 ค่ะ แต่ลดให้ 25 บาทก็แล้วกัน
ลูกค้า : (อุ้ยดีจังเลย ได้หน่อไม้สดราคาถูก)
แม่ค้า : เนี่ย (ชี้ไปที่ยายที่แก่มากๆ) ยายของหนู ยายมาช่วยนั่งปอกหน่อไม้ที่ริมถนนทั้งวันเลย
ลูกค้า : งั้นซื้อ ถุงละ 30 บาทก็ได้ค่ะ อย่าลดให้เลยค่ะ

 



                     
 
 credit : yyswim
54  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขายที่ดินร่วม 10 ล้าน ถูกร่างทรงหลอกหมดตัว เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 01:47:54 am


วันที่ 21 ม.ค. ที่ จ.พิษณุโลก พ.ต.ท.สุธรรม อ้นอัน พนักงานสอบสวน สถานีย่อยมหาวิทยาลัยนเรศวร อ.เมือง จ.พิษณุโลก ได้รับแจ้งมีหญิงผูกคอตายที่บ้านเลขที่ 17 ม.3 ต.ท่าทอง จึงรุดไปที่บริเวณเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง พบศพนางสมจัด อยู่เต่ อายุ 59 ปี เจ้าของบ้านเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำด้านล่าง ลักษณะใช้เส้นไนลอนผูกติดกับหลังคาห้องน้ำ สภาพศพนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อไหมพรมแขนสั้น เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำศพลงมาเพื่อให้แพทย์ทำการชันสูตร เบื้องต้นไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ตรวจสอบบริเวณบ้าน พบคราบนำยาฆ่าแมลงไหลจากพื้นบ้านไหลลงดินหลายจุด แต่พื้นบ้านมีการล้างด้วยน้ำเรียบร้อยแล้ว และหลังบ้านมีผ้าห่อกระดาษที่ถูกตัดเป็นปึกๆเท่ากับธนบัตรจำนวนมากถูกเผา ทิ้ง

จากการสอบสวนทราบว่า นางสมจัด ผู้เสียชีวิตพักอาศัยอยู่บ้านคนเดียว เนื่องจากสามีเสียชีวิตไปแล้วหลายปีและไม่มีลูกด้วยกัน ต่อมานางสมจัดขายที่ดินบางส่วนให้กับเจ้าของบริษัทวงษ์พาณิชย์จำนวน 7.5 ล้านบาท โดยเหลือที่ดินบางส่วนที่ปลูกบ้านอาศัยอยู่ปัจจุบัน หลังจากได้เงินจำนวนมากได้นำไปบริจาคให้วัดจุฬา 500,000 บาท ส่วนที่เหลือได้เก็บไว้ในบัญชีของตนเองและไม่ได้ให้กับญาติคนไหนอีกเลย แต่ปรากฏว่าก่อนจะเสียชีวิตผู้ตายเปรยกับเจ้าของบริษัทวงษ์พาณิชย์ ว่าถูกหลอกจนหมดเนื้อหมดตัวเหลือเงินเพียง 400 บาทเท่านั้น

นายนะรุด แตงอ่อน กำนัน ต.ท่าทอง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานผู้ตาย กล่าวว่า ตนเปิดอู่ซ่อมรถยนต์อยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านผู้ตาย เกือบทุกวันตนจะผ่านมาดูนางสมจัดว่าเป้นอยู่อย่างไร เพราะเป็นห่วงเนื่องจากอยู่คนเดียว กลัวว่าจะมีใครมาหลอกเพราะมีเงินจำนวนมาก และทราบว่าช่วงหลังมีผู้ชาย ซึ่งอ้างเป็นร่างทรง ทราบเพียงชื่อเล่นว่า “เล็ก” เป็นชาวบ้านแถววังส้มซ่า มานางส้มจัดเป็นประจำ โดยอ้างเป็นร่างทรงสามารถที่จะเสกหรือเนรมิตสิ่งของได้ทุกอย่าง โยเฉพาะเสกเงินเพิ่มจากเดิมได้เท่าตัว ทำให้นางสมจัดเชื่อแบบงมงาย เพื่อหวังจะได้เงินเพิ่มจากที่มีอยู่กว่า 7 ล้านบาท จึงยอมทำตามทุกอย่าง โดยไม่ยอมเชื่อฟังญาติพี่น้องแม้แต่คนเดียว กระทั่งถูกหลอกหมดตัว

ด้านนายสมไทย วงษ์เจริญ ประธานบริษัทโรงงานคัดแยกขยะวงษ์พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ซื้อที่ดินส่วนตั้งโรงงานจากนางสมจัดราคา 7.5 ล้านบาท โดยนางสมจัดยังมีที่ดินและบ้านพักอาศัยอยู่ติดกับโรงแยกขยะของตน ตลอดเวลาหลังจากขายที่ดินให้กับตน ได้พูดฝากกับตนว่าขอช่วยดูแลด้วย เพราะอยู่คนเดียว ตนจึงให้คนงานมาคอยดูแลเกือบทุกวัน เพราะเป็นห่วงหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเงินหลังจากขายที่ดินแล้ว ได้มีคนมาหลอกลวงนางสมจัด ว่าสามารถจะเสกเงินเพิ่มจากที่มีอยู่เดิมมากขึ้น ทำให้นางสมจัดหลงเชื่ออยากจะมีเงินมากๆ โดยหลอกให้นางสมจัดนำเงินสดจำนวนหลายแสนบาทถึงล้านบาทมาทำพิธี และผ้าขาวห่อเอาไว้ พร้อมกับมีการทำพิธีให้น่าเชื่อถือและให้นางสมจัดนำผ้าห่อเงินไปไว้บนหิ้ง พระ ห้ามเปิดดูเพราะจะทำให้เงินไม่เพิ่มขึ้น และจะทำให้ตาบอด

ทุกครั้งที่ร่างทรงมาหานางสมจัดและทำพิธีนั้น จะปิดประตูหน้าต่างเพื่อไม่ให้ใครเห็นหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว หลังเสร็จพิธีก็จะขี่รถจักรยานยนต์ออกไป โดยไม่มีใครทราบว่านางสมจัดถูกหลอกเอาเงินไปเท่าไหร่ เพราะตนและญาติเคยสอบถามเรื่องดังกล่าว แต่นางสมจัดไม่ยอมบอกปิดเรื่องเงียบเอาไว้คนเดียว กระทั่งก่อนเกิดเหตุ 1 วัน ตนได้สอบถามนางสมจัดว่าตอนนี้เงินขายที่ดินเหลืออยู่เท่าไร ปรากฏว่านางสมจัดบอกไม่เหลือเงินในบัญชีเลย มีติดตัวเพียง 400 บาท พร้อมกับบอกเพียงว่าถูกหลอกหลายครั้งจนหมดตัว

ที่มา FWD mail คร้า..
55  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หญิงท้อง 19 เดือนยังไม่คลอด เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 01:42:42 am
จ.สุพรรณบุรี ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากชาวบ้าน ต.หนองมะค่าโมง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณ ว่ามีหญิงสาวที่ตั้งครรภ์ 19 เดือนแต่ยังไม่คลอด หญิงสาวรายนี้ทราบชื่อต่อมาคือ นางนิภาวรรณ บุญเจริญ อายุ 35 ปี มีลักษณะท้องเหมือนคนใกล้คลอด
นางนิภาวรรณ เปิดเผยว่าตนเองเคยมีลูกมาแล้ว 3 คนและได้เลิกรากับสามีเก่า ปัจจุบันได้อยู่กินกับ นายทนงศักดิ์ แซ่ตั้ง อายุ 45 ปี ด้วยความที่อยากมีลูกกับสามีใหม่แต่ยังไม่มี เพื่อนบ้านจึงแนะนำให้ไปขอกับร่างทรงพ่อปู่สมิงดำ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี

ต่อมาประมาณเดือนมิถุนายน 2552 ตนรู้สึกว่าเหมือนกำลังตั้งครรภ์ เพราะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นวันที่ 7 ส.ค.52 จึงไปฝากท้องที่คลินิกในตลาด อ.ด่านช้าง แต่หมอระบุว่าเป็นโรคหัวใจโต ไม่ได้ตั้งครรรภ์ เมื่อหมอยืนยันว่าไม่ได้ท้อง จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ท้องโตมาก เดิมที่น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ถึงตอนนี้ มีน้ำหนักถึง 89 กิโลกรัม รวมระยะเวลาการตั้งท้องนานประมาณ 19 เดือน ปัจจุบันยังมีอาการแพ้ท้อง กินเนื้อสัตว์ไม่ได้ กินแต่น้ำพริกอย่างเดียว

จากนั้น เมื่อประมาณเดือน ส.ค.ปี 2553 ได้ไปฝากครรภ์ที่ รพ. ศูนย์เจ้าพระยายมราช เจ้าหน้าที่พยาบาลและหมอได้ตรวจครรภ์ พร้อมกับเอ็กซเรย์ ซึ่งผลเอ็กซเรย์เห็นเป็นเงา ๆ แต่ยังไม่เห็นตัวเด็ก ทั้งที่ท้องโตขึ้นทุกวัน หลังจากนั้นทาง รพ.ศูนย์เจ้าพระยายมราช นัดให้มาตรวจใหม่ แต่ไม่ได้ไปตรวจ เพราะเห็นว่าหมอตรวจคงบอกว่าไม่ได้ท้องเหมือนเคย ตนจึงเชื่อไสยศาสตร์ เพราะพ่อปูสมิงดำบอกว่า ถึงเวลาจะคลอดเอง

ด้าน นายทนงศักดิ์ สามีนางนิภาวรรณ กล่าวว่า หลังจากที่ตนและสามีไปหาร่างทรงพ่อปู่สมิงดำได้ทำพิธีขอลูก หลังจากนั้นครอบครัวจากที่ไม่มีอะไรเลย กิจการการค้าเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ มีบ้าน มีรถ ซึ่งตนเชื่อว่าเป็นบุญบารมีของลูกที่ขอจากร่างทรงพ่อปู่สมิงดำอย่างแน่นอน แม้ปัจจุบันภรรยาจะตั้งท้องนานขนาดนี้ ก็ไม่เกิดความเครียดแต่อย่างใด เพราะเชื่อว่าลูกชายเป็นเด็กที่มีบุญมาเกิด และเมื่อถึงเวลาก็จะคลอดเอง ตามที่ร่างทรงฯ บอก

ด้าน นายแพทย์เดชา พงษ์สุพรรณ แพทย์สูตินารี บอกว่าได้ตรวจอย่างละเอียดแล้ว ทั้งอัลตร้าซาวด์ ตรวจปัสสาวะ พบว่านางนิภาวรรณไม่ได้ ตั้งครรภ์ แต่กลับพบว่าเป็นโรคมีน้ำในช่องท้อง จึงเป็นสาเหตุให้ท้องโต ทั้งนี้ต้องตรวจและวินิจฉัยอย่างละเอียดอีกรอบ
56  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มาฝึกสมาธิ กับความช่างสังเกต ดูคะ เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 01:37:38 am


จงมองในภาพ และหา

หารูป ใบหน้าเด็ก 3 ใบหน้า และ รูปเต่าทอง 3 ตัว อยู่ตรงไหนบ้างนะ?
57  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 28 ข้อคิดเตือนใจในการดำเนินชีวิต ... ^^ เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 01:34:48 am

1. อย่าขับรถเร็วเกินกว่าที่เทวดาประจำตัวของคุณบินทันเป็นอันขาด

2. จงวางแผนล่วงหน้า : ฝนยังไม่ตกหรอกนะตอนโนอาห์สร้างเรือน่ะ

3. การแก้แค้นไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเหมือนกับดื่มน้ำทะเลเวลาหิวน้ำน่ะแหละ

4. ความหมายของความสุขขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น

5. "อย่ากลัวความฝันของคุณ มันง่ายกว่าที่คิด"

6. นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ 4 คน จะมีคนหนึ่งที่สติเพี้ยนๆลองเช็คเพื่อนคุณสัก 3 คนสิ ถ้าทุกคนปกติดี ก็คุณน่ะแหละ

7. แบ่งปันรอยยิ้มของคุณให้กับทุกคน แต่ให้เก็บจุมพิตให้กับคนเพียงคนเดียว

8. บางครั้งวิธีช่วยที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ก็คือ ผลักเขาแรงๆ (หมายถึงผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ลังเลอยู่น่ะ)

9. น้ำตาจะให้คุณก็แค่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เหงื่อจะทำให้คุณประสบความสำเร็จ

10. สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตนี้ไม่ใช่วัตถุ

11. มอบสองสิ่งให้กับลูกของคุณ อย่างหนึ่งคือรากฐานที่มั่นคง อีกอย่างก็คือ ปีกที่จะบินออกไปเอง

12. การออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับจิตใจคือการก้มลงแล้วช่วยคนอื่นให้ลุกขึ้น

13. คนคนหนึ่งอาจทำอะไรผิดพลาดได้หลายอย่างแต่มันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ไปจริงๆ เมื่อเขาเริ่มโยนความผิดไปให้คนอื่น

14.เพื่อนแท้คือคนที่เชื่อว่าคุณเป็นฟองไข่ที่สมบูรณ์แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะมีรอยร้าวไปแล้วครึ่งหนึ่ง

15. นี่คือวิธีที่จะรู้ว่าหน้าที่ของคุณบนโลกใบนี้จบสิ้นแล้วหรือยังถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ มันก็ยังไม่จบ

16. ชีวิตเรียนรู้ได้จากการย้อนระลึกถึง แต่ชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า

17. การใช้ชีวิตอยู่บนโลกนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมากแต่เราก็ได้เดินทางรอบดวงอาทิตย์ฟรีๆ เป็นของแถม

18. ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มนุษย์เราจะร่ำรวยความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อความร่ำรวย เริ่มครอบครองมนุษย์

19. เรารู้สึกดีที่มีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นคนดี

20. มีแต่ปลาตายที่ลอยตามน้ำ

21. คุณค่าของคนคนหนึ่งบอกได้จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่เขาไม่ต้องการ

22. เงยหน้าขึ้นรับแสงตะวัน แล้วคุณจะไม่มีวันพบกับเงามืด - เฮเลนเคลเลอร์

23. คนอ่อนแอเท่านั้นที่ให้อภัยใครไม่เป็นการให้อภัยเป็นคุณสมบัติของผู้เข้มแข็ง

24. คำว่า listen (ฟัง) นั้นใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า silent (เงียบ)

25. ไม่มีผู้โดยสารบนยานอวกาศที่ชื่อว่า "โลก" พวกเราทุกคนล้วนแต่เป็นลูกเรือทั้งสิ้น

26. ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบเท่านั้น

27. เมื่อคุณพูดความจริง คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่งจำอะไรทั้งนั้น

28. เด็กๆต้องการความรักมากที่สุดเมื่อพวกเขาทำตัวไม่น่ารัก
58  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พุทธพยากรณ์โลก เป็นคำบรรยายของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง นะคร้า... ลองฟังดูคร้า. เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 01:21:37 am
พุทธพยากรณ์โลก ตอนที่ 1 : 1/5

พุทธพยากรณ์โลก ตอนที่ 1 : 2/5

พุทธพยากรณ์โลก ตอนที่ 1 : 3/5

พุทธพยากรณ์โลก ตอนที่ 1 : 4/5

พุทธพยากรณ์โลก ตอนที่ 1 : 5/5


เป็นคำบรรยายของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง นะคร้า... ลองฟังดูคร้า..
ต้องเป็นเน็ตความเร็วสูงนะคร้า...

ขอบคุณผู้โพสต์เรื่องนี้ watpotv ใน youtube คร้า..
59  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ตอนที่ 23 ดวงธรรมที่ส่องทาง เมื่อ: มกราคม 19, 2011, 01:14:16 am



ตอนที่ 23 ดวงธรรมที่ส่องทาง

ลูกรักของแม่  ทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้จักคำว่าสูญเสียได้อย่างลึกซึ้ง แม้แต่แม่เองก็ยังต้องครุ่นคิดย้อนหลังไปว่า ถ้าสามารถย้อนเวลาไปแก้ไขหรือป้องกันการจากพรากที่แสนจะรันทดนี้ได้ในตอนไหน ได้บ้าง แม่ก็ทำ

ถ้าแม่รู้ว่าลูกจะอยู่กับเราไม่นาน แม่จะไม่ส่งลูกไปอยู่กับคนอื่น แม้คนนั้นจะเป็นปู่กับย่าก็ตาม
ถ้า แม่รู้ว่าลูกป่วยหนักและมีเวลาเหลืออีกไม่นานนัก แม่จะไม่เชื่อหมอที่วินิจฉัย ถ้ารักษาลูกได้ด้วยวิธีใดๆ เพื่อให้ลูกหายขาด แม่ก็จะทำ

แต่ ก็นั่นล่ะ พูดไปเมื่อสายเสียแล้ว จะมีประโยชน์อะไร ที่จะรำพัน ดังนั้น สิ่งที่พอจะทำได้ คือ แม่อยากบอกกับคนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนว่า อย่ามอบความรับผิดชอบเรื่องสุขภาพของลูกให้กับคนอื่นทั้งหมด พ่อแม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะเมื่อเกิดความผิดพลาด ความเสียใจจะได้ไม่เกิดขึ้นมากนัก

และ เรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคนในครอบครัว คือ เรื่องภาวะกดดันจากความเครียดที่จะเกิดขึ้นกับทุกๆคน ในสถานการณ์ที่ต้องดูแลคนป่วย เราแทบจะป่วยตามไปด้วย เพราะเวลาพักผ่อนมีน้อยลง สำหรับพ่อแม่ นับว่าโชคดีแล้ว ที่หน้าที่การงานไม่บีบรัดจนต้องเป็นกังวล และเราสามารถจัดเวลาในการดูแลลูกได้มากกว่าสิ่งใด แต่ไม่ได้หมายความเราจะไม่เครียด บางครั้ง ที่ลูกเขียนว่าทำไมพ่อกับแม่ไม่คุยกัน โกรธกันเรื่องอะไร แม่ลืมเรื่องที่โกรธนั้นไปแล้วล่ะลูก แต่ยอมรับว่ามีอารมณ์กระทบกันบ้าง เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างรู้จักที่จะถอยออกมาอยู่เงียบๆในมุมของตัวเอง บางครั้งแม่ก็ถือโอกาสหลบมาอ่านหนังสือ ซึ่งลูกก็รู้ เพราะแม่เห็นในบันทึกหลายตอนที่ลูกเขียนว่า แม่คงแอบไปอ่านหนังสือสอบ

ใน ที่สุด ปีนี้ แม่ก็เรียนจบปริญญาตรีแล้ว เหมือนเป็นรางวัลแห่งความฝันที่ลูกเฝ้าฝันแทนแม่ เสียดายที่ลูกไม่ได้อยู่ร่วมดีใจด้วย แต่ลูกคงรับรู้ได้

น่า แปลก มาถึงวันนี้ แม่คิดว่าเราจะเป็นอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการเป็นอะไรนั้น คือ การเป็นคนที่มีความทุกข์ให้น้อยที่สุด หรือ ไม่มีความทุกข์เลยยิ่งดี

ดัง นั้นเกือบทุกวันพระ หรือเมื่อมีโอกาส พ่อกับแม่จะมากราบหลวงพ่อ มาทำบุญตักบาตร แล้วค้างคืนปฎิบัติธรรมที่วัด เพื่อส่งแรงบุญแรงกุศลไปถึงลูก นอกจากที่วัด เวลาที่อยู่บ้าน เราก็สวดมนต์นั่งสมาธิเช่นกัน

แม่อยากบอกลูกอีกครั้งว่า ลูกคือดวงใจของแม่
แต่ที่เหนือกว่านั้น ลูกคือดวงธรรม ที่ส่องนำทางสว่างไสวอยู่ในใจของแม่ตลอดเวลา...ลูกรัก


อ่านเรื่องซึ้ง ๆ นี้ได้ที่นี่คร้า..

http://www.oknation.net/blog/shadowy/2009/06/06/entry-1
60  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / เด็กนักเรียนโพสกระทู้โวยพ่อไม่ซื้อ ไอโฟน 4 ให้ เมื่อ: มกราคม 19, 2011, 01:10:46 am
เด็กนักเรียนโพสกระทู้โวยพ่อไม่ซื้อ ไอโฟน 4 ให้
กระทู้ร้อนในอินเทอร์เน็ต พ่อรักหนูต้องซื้อ IPhone4 ให้หนู สิ้นปัญญาก็อย่ามาเป็นพ่อ   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เว็บบอร์ด Samsung Wave มีนักเรียนสาวคนหนึ่งใช้ชื่อว่า น้องเหมียวเข้ามาโพสกระทู้ตัดพ้อพ่อตัวเอง ซึ่งล่าสุดมีการส่งเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์และเป็นกระทู้แนะนำในเว็บไซต์พันทิป โดยเนื้อหาของกระทู้มีดังนี้

“หมดกำลังจัยแล้วค่ะ ตอนนี้อ่ะ เหมียวอยากระบายว่า ตอนนี้เราใช้ wave อยู่อ้ะหน่ะ แล้ว ตอนนี้ ไอโฟน4 ก้อมาแล้ว เราก้ออยากได้ เพื่อนๆที่โรงเรียนก็มีกัน ถ้าเวลาไปเรียน เค้าเอามาอวด เราก็ต้องไม่มีบอกตรงๆว่าตอนนี้เหมียวไม่อยากคิดอะไรเลย มันไม่มีกำลังจัยแล้ว

พ่อไม่ยอมซื้อให้ค่ะ บอกว่ามันแพงเกินไป พ่อไม่ให้เลยอ่ะ เหมียวขอก้อแล้ว อะไรก้อแล้ว อาย มากค่ะ ทำไมพ่อไม่ยอมเข้าจัยว่าเหมียวก็ต้องการใช้เหมือนกันนะ เพื่อนๆ ก้อมีกัน แล้วทำไมเหมียวไม่มีอย่างเค้า แล้วอย่างนี้เวลาไปเรียน เหมียวจะทำงัย ถ้าเราไม่มีไอโฟน4 เพื่อนคงหาว่าลูกคนนี้ของพ่อไม่มีปัญญาแน่ คงพอใจแล้วหน่ะ ที่พ่อไม่คิดแบบนี้

เหมียวอยากระบายมากว่าผิดหวัง จะขโมยตังค์เหมือนตอนแรกก็ไม่ได้แล้ว เพราะมันหลายบาท หรือจะโกหกเรือ่งค่าเทอมดีคะ ตอนนี้ก้อเขวี้ยง wave ทิ้งเมื่อกี้เองค่ะ โกรธที่พ่อไม่ยอมให้ซื้อไอโฟน เหมียวอยากได้มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆจะ ทำยังไงดีคะ พ่อถึงจะยอมให้ซื้อไอโฟน4 เพราะเหมียวต้องใช้จริงๆนะ เวลาไปเรียนพวกคุณไม่รู้หรอกว่า เวลาเพื่อนมีแล้วเราไม่มี เราอายเพื่อนขนาดไหน ได้แต่ดูของเค้าขอร้องเลย ถ้าจะมาด่า หรือตำหนิ อย่าโพสดีกว่า เหมียวแค่เด็กวัยรุ่นที่รักมือถือค่ะ”

ทั้งนี้ หลังจากนั้นได้มีสมาชิกเป็นจำนวนมากเข้ามาต่อว่าเจ้าของกระทู้ ว่าเห็นใจพ่อของน้องเหมียว และสั่งสอนให้เธอรู้จักคุณค่าของเงิน อย่าลงไปกับวัตถุนิยม โดยมีบางคนต่อว่าเธอว่า ไม่กตัญญู ฟุ้งเฟ้อไปกับสิ่งไร้สาระ พร้อมแนะว่าให้เอาเวลาไปเรียนหนังสือ รอให้ทำงานได้เองค่อยซื้อ

ต่อมาน้องเหมียวก็โพสข้อความตอบโต้กลับว่า “โทดทีนะค่ะที่ เหมียวพูดไปทั้งหมดเนี่ย เพื่อต้องการคำแนะนำว่าจะต้องทำยังไงถึงให้ได้มานะคะ ไม่ใช่เพื่อต้องการให้พวกพี่มาสอน หรือมาด่าว่าหนูแบบนี้ ถ้าไม่เข้า จัยความรู้สึก ก็ไม่ต้องพิมพ์ดีกว่าค่ะ ไม่มีใครขอร้องให้พวกพี่มาสอนเหมียวเลยนะ เพราะคนที่จะซื้อให้คือพ่อ ไม่ใช่พวกพี่นะค่ะเหมียวแค่เป็นเด็กวัยรุ่นที่อยากได้มือถือที่อยาก ได้ ที่เพื่อนมีอ่ะ แล้วผิดตรงไหน เพื่อนคนอื่นบางคนเค้าก็มีกันแล้วนะคะ พ่อแม่เค้ายังซื้อให้ แล้วทำไมพ่อเหมียวถึงบอกว่าให้รอไปก่อน เงินแค่นี้ พ่อผ่อนเอาก้อได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะตอนนี้เหมียวก็ไม่มีมือถือใช้อยู่ดี

พวกพี่ไม่มาเป็นเด็กอย่าง เหมียว พวกพี่ไม่รู้หรอกค่ะว่า มันจำเป็นมากในสังคมเด็กนักเรียนอย่างพวกเรา ถ้าไม่มีเหมือนเพื่อน เหมียวก็ดูไม่มีดูเชยสิค่ะ คนอื่นเค้าหยิบมาอวด หยิบมาใช้กัน เหมียวคงอายเพื่อนจริงๆขอร้องนะคะ ไม่ช่วยก็ไม่ต้องซ้ำเติม พวกพี่เป็นแค่คนอื่นนะ จะมารู้จักเหมียวดีกว่าตัวเองได้ยังไงกันคะ อย่าให้เด็กด่าเลย ไม่ชอบก็ไม่ต้องโพสหรอกค่ะอายุมากกันแล้ว อย่าให้เด็กอย่างหนูด่าเลยคะ”

โดยท้ายที่สุดเธอก็เข้ามาโพสข้อความแสดงความดีใจที่จะได้ไอโฟน 4 และต่อว่าผู้ที่เข้ามาโพสข้อความด่าเธอว่า “ตอนนี้เหมียวคงจะได้ไอโฟน4แน่ๆ แล้วค่ะดีจัยจ้งเลย ในที่สุดพ่อก็ยอมแพ้ ถ้าซื้อให้แต่แรกก็คงไม่ต้องทำแบบนี้หร็อก พ่อบอกให้ใช้ดีๆก้อแล้วกัน เดี๋ยวจะพาไปซื้อ อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เหมียวเครียดมากหลายวัน ไม่คุยกับพ่อเลย ไม่ไปเรียนพิเศษอะไรด้วยอยู่ แต่ในห้อง ถ้าพ่อไม่ซื้อให้ เหมียวก็ไม่ยอมเหมือนกัน เพราะของเราต้องใช้หนิค่ะ ถ้าไม่มีแล้วเหมียวจะทำงัยเวลาเพื่อนถามเราอ่ะ คิดดูดีๆ”

“เด็กสมัยนี้แล้วไงค่ะ เป็นตัวของตัวเองแล้วหน่ะ ไม่เหมือนพวกรุ่นพี่นี่ จะได้ทำอะไรไม่เป็น เหมียวมีปัญญาใช้ของแพง ไม่ได้อวดรวยว่าบ้านรวย แต่พ่อเป็นพ่อ ต้องเข้าจัยลูกว่าต้องการอะไร พ่อมีหน้าที่เลี้ยงดูเหมียวค้ะ ไม่ได้หมายความว่าเหมียวเป็นคนไม่ดีซะหน่อย เหมียวไม่แคร์หร็อกค่ะ ว่าพวกพี่จะว่างัย พวกพี่ก็แค่คนแก่ที่ไม่รู้จักเด็กวัยรุ่น มาพูดคุยอะไรก็เข้าใจยาก อ่านแล้วเหมียวก็ยังงง ว่าพวกพี่พูดอะไรให้ดูยากไปเอง คนแก่เป็นเงี้ย แล้วจะให้เด็กนับถือได้งัย คิดดูให้ดีๆ

“หรือพวกพี่ที่มาด่าว่าหนู มาแนะนำให้หนูขายนา ขายอะไรเงี้ย พวกพี่โตแต่ตัว หรือไม่มีปัญญาใช้ของแพงๆ อย่างหนูหล่ะคะ ถึงได้มารุมด่าเด็กอยู่ได้ผู้ใหญ่แบบนี้ หนูเป็นเด็กยังไม่อยากเรียกพี่เลย พอพูดก็หาว่าหนูก้าวร้าว โทดทีนะค่ะ ผู้ใหญ่อย่างพวกพี่เนี้ย มากราบเท้าหนูดีกว่า เพราะหนูยังดูมีเงินกว่าเยอะอ้ะ”

“พวกคนแก่กินหญ้าที่มาด่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเนี้ย เหมียวไม่มายด์หรอกนะคะพวกพี่ดีแต่ด่า ไม่มีปัญญาซื้อของแพงใช้อย่างเหมียว จะด่าไป หนูก็ไม่รับทราบหรอกค่ะ พรุ่ง นี้พ่อจะพาไปดูมือถือแล้ว ไม่รุ้ว่าต้องจองหรือป่าว แต่เหมียวอยากได้และพ่อก็ต้องให้ เหมียวไม่ได้เรียกร้องอะรัยเลยนะ แค่เราเป็นลูก หน้าที่ของพ่อคือต้องหาสิ่งที่ลูกต้องการมาให้ ทำให้ลูกมีความสุข แล้วเหมียวก็ไม่ใช่คนไม่ดี แค่อยากได้แล้วพ่อไม่อธิบายเหตุผล เหมียวก็ต้องใช้วิธีนี้หนูไม่ผิด หรอกค่ะ เพื่อนก็บอกว่า ทำถูกแล้ว เพราะของเค้าดีจิง ๆ เราใช้ก็ไม่แปลก คนแก่ไม่เข้าจัยเด็กวัยรุ่น เราเครียดกับการเรียน ก็ต้องการของแบบนี้มาเปิดใจให้เราบ้างอ่ะค่ะ

“เหมียวรักพ่อนะ แต่เหมียวก็ต้องเป็นตัวของตัวเองด้วย พ่อบังคับเหมียวไม่ได้หร็อกค่ะ เพราะเด็กเดี๋ยวนี้ฉลาดแล้ว เราไม่จำเป็นต้องฟังผู้ใหญ่ทุกเรื่อง เราเชื่อว่าเราไม่ผิด เราไม่ต้องขอโทษหร็อกพวกพี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีปัญญาใช้ของแพงแบบหนู ก้ไม่ต้องมาด่า มาอะไรหร็อก เพราะจะทำให้เด็กอย่างพวกหนูรู้ว่า คนอย่างพวกพี่ก็ไม่ฉลาด ไม่มีสมอง มาบอกว่าสงสารพ่อ หาว่าหนูไม่ดี ถ้าพวกพี่ดีจริง ก็คงทำงานดี ๆ ก้าวหน้าไปแล้ว”

ถ้าเรียนจบ พวกพี่กลายเป็นลูกน้องหนู พวกพี่จะกล้าไหว้ กล้ากราบหนูป่าวคะ ในเมื่อเคยด่าหนูแบบนี้ อายบ้างป่าวคะ ที่เด็กอย่างหนูฉลาดกว่า มีเงินมากกว่า เงินเดือนของพวกพี่แต่ละคนอ่ะ กินได้แค่ข้าวแกง แต่สำหรับหนู กินร้านดี ๆ ค่ะพวกพี่บังคับให้ เหมียวด่าเองนะ เหมียวไม่ได้อะไรเลย พวกพี่มากราบเท้าหนูเถอะค่ะ โทดถานที่ดูถูกเด็ก ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีปัญญาใช้ของแพงแบบหนู”

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่นำข้อความของเธอมาเผยแพร่ได้ให้ความเห็นสรุปไว้ว่า  ผมไม่ทราบหรอกนะว่ามันจริง หรือคนที่เข้ามาโพสต้องการจะแต่งเรื่องขึ้นมา แต่ผมว่า มันก็เป็นค่านิยมของสังคมไทยในตอนนี้นะครับ มองกันให้ดีๆและเก็บไว้เป็นอุทาหรณ์สอนลูกหลานของท่านให้รู้จักใช้เงินให้ เป็น ไม่ตามกระแสแฟชั่นหรือค่านิยมที่ผิดๆครับ   





ข้อมูลจาก www.sodazaa.com

เรื่องนี้จะเป็นเรื่องโพสต์เล่น หรืิอแต่งก็ตาม สำหรับหมวยจ้า...
อ่านแล้ว ก็ไม่อยากให้วัยรุ่น สมัยใหม่เห่อของพวกนี้มาก จนลืมหัวใจคุณพ่อ และ ความเป็นตัวเอง

 :'( :'( :'(
61  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ล็อกสิงห์ขี้ยาบุกฆ่า "หลวงพ่อแคล้ว" เจ้าอาวาสดังดับคากุฏิ เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 01:30:49 am
ล็อกสิงห์ขี้ยาบุกฆ่า "หลวงพ่อแคล้ว" เจ้าอาวาสดังดับคากุฏิ รับแค่ต้องการเงินไปซื้อยานรก

เมื่อ เวลา 07.30 น. วันที่ 16 ม.ค. พ.ต.ต.ขวัญชัย เวสสุวรรณ สวส.สภ.กรับใหญ่ จ.ราชบุรี รับแจ้งมีพระถูกฆาตกรรมภายในวัดหนองประทุน หมู่ 11 ต.กรับใหญ่ อ.บ้านโป่ง จึงไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท.สมชาญ พิณคันเงิน สวญ. พ.ต.ท.ประชุม นนทรักษ์ สวป. พ.ต.ท.ฉลองชัย ศรีวิบูลย์ สว.สส. แพทย์ รพ.บ้านโป่ง และเจ้าหน้าที่มูลนิธิรวมใจการกุศล

ที่เกิดเหตุพบชาวบ้านกว่า 200 คน ยืนจับกลุ่มวิพากวิจารณ์และสาปแช่งถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยภายในกุฏิพบศพพระครูวิริยาธิการ ปิริยุโตหรือหลวงพ่อแคล้ว วัย 78 ปี เจ้าอาวาสของวัด นอนมรณภาพอยู่ โดยมีรอยช้ำที่หน้าอกและลำคอ คาดเพียงเสียชีวิตได้ไม่นาน จากการตรวจสอบภายในกุฏิพบร่องรอยรื้อค้น เบื้องต้นทราบว่ามีเงินปัจจัยที่เพิ่งเบิกมาใช้จ่ายค่าวัสดุอุปกรณืการก่อ สร้างกุฏิหลังใหม่หายไปประมาณ 1.8 แสนบาท

จากการสอบสวนนางเจือ ท่าผา อายุ 70 ปี ให้การว่า ช่วงเช้าได้นำข้าวและกับข้าวมาถวายหลวงพ่อ แต่เมื่อมาถึงเห็นว่ากุฏิเงียบผิดปกติ จึงเดินขึ้นบันได ระหว่างนั้นพบชายวัยรุ่นคนหนึ่งเดินสวนลงจากกุฏิอย่างรีบร้อน ด้วยความสงสัยจึงโผล่หน้าเข้าดูก็พบว่าหลวงพ่อถูกฆ่าแล้ว จึงรีบไปบอกชาวบ้านในวัดให้รีบปิดล้อมวัดไว้

ทางเจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังออกค้นหาคนร้ายไม่นานก็พบคนร้ายหลบซ่อนอยู่ใน ป่าอ้อยหลังวัด จากนั้นควบคุมตัวไปสอบปากคำทราบว่า ชื่อนายกำพล หรือต้ำ พารา อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40/1 หมู่ 8 ต.กรับใหญ่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งยังอยู่ในอาการเมายาเสพติด ค้นในตัวพบงินสด 171,000 บาท ย่ามสะพายและพระเครื่องจำนวนหนึ่ง

จากการสอบสวนนายกำพล ให้การรับสารภาพว่า ช่วงเช้ามืดได้แอบเสพยาบ้าเข้าไปหลายเม็ด จนเมามาย และเกิดความโลภอยากได้เงินไปซื้ออีก จึงแอบย่องเข้าไปในกุฏิที่เกิดเหตุ เพื่อหวังขโมยเงิน แต่หลวงพ่อตื่นจาจกจำวัดขึ้นมาเห็นพอดี และพยายามตะโกนโวยวาย จึงรีบใช้จีวรคลุมหน้าหลวงพ่อเอาไว้ จากนั้นจับหัวกระแทกพื้นอย่างแรง 2 ครั้ง จนแน่นิ่งไป แล้วรีบรื้อค้นหาเงิน ซึ่งเป็นช่วงที่มีชาวบ้านเดินขึ้นมาบนกุฏิ จึงรีบวิ่งหนี

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา คุมตัวส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการพาไปทำแผนประกอบคำรรับสารภาพต่อไป.

ที่มาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=115822
62  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / โบสถ์ Stainless ในไทย หนึ่งเดียวในโลก เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 01:26:33 am
โบสถ์ Stainless ในไทย หนึ่งเดียวในโลก

 'โบสถ์สเตนเลส' หนึ่งเดียวในโลก
วัดปากลำขาแข้ง
เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี

โบสถ์ ที่สร้างใหม่ ที่โด่งดังที่สุดในปัจจุบัน เห็นจะไม่มีที่ไหน สวยงาม วิจิตรพิสดารเกินกว่า โบสถ์ประดับกระจกที่วัดร่องขุ่น โดยอ.เฉลิมชัย ไปได้ และก็โด่งดัง จนกลบกระแส บดบังรัศมีของวัดอื่นๆไปหมด เพราะวัดอื่นๆนั้น เขาก็สร้างโบสถ์รูปแบบดั้งเดิม เหมือนๆกันหมด จึงไม่แปลกอะไร

ที่ เห็นจะมีพอเทียบได้ในตอนนี้ ก็ต้องโบสถ์ที่นี่เลยครับ โบสถ์สเตนเลสที่วัดปากลำขาแข้ง อยู่ที่แยกทางน้ำเข้าห้วยขาแข้ง ตอนบนสุดของเขื่อนศรีนครินทร์ เพราะมีเรื่องและรูป โพสลงในอินเตอร์เนทของฝรั่ง ว่าเป็น steel church แห่งเดียวในโลกทีเดียว

โบสถ์สเตนเลสหลังนี้ใช้งบประมาณการสร้าง 6 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ประชาชนร่วมกันทำบุญเทิดพระเกียรติแด่ในหลวง เนื่องในพระชนมายุ 72 พรรษา โดยโรงงานทวีคูณซัพพลาย บ้านโป่ง ราชบุรี ที่มี คุณอุทัย เสียงแจ่มเป็นเจ้าของกิจการ งานที่สร้างขึ้นนี้ใช้แรงงานเคาะขึ้นรูปเกือบทั้งหมด จากโรงงาน ยกเว้นลอนหลังคาจะมีเครื่องรีด ส่วนเสาจะใช้เครื่องม้วนแผ่นสเตนเลสแล้วนำมาเชื่อมต่อกัน








โดยงานทั้งหมดนี้ ทางสมาคมสเตนเลสแห่งประเทศไทย ให้การสนับสนุน พร้อมทั้งโรงงาน THAINOX ซึ่งเป็นโรงงานผลิตสเตนเลสอันดับหนึ่งของเมืองไทยด้วยครับ

เห็นครั้งแรก อาจจะคิดว่า เป็นสเตนเลสเงางามอย่างนี้ พระจะไม่ร้อนแย่หรือ? อย่า ได้ห่วงเลยครับ ตัวโบสถ์ ทำโครงเป็นสเตนเลส ใช้สเตนเลสแผ่นปะทั้งด้านใน และด้านนอก แต่อัดฉนวนไว้ตรงกลาง ทำให้กันความร้อนได้ดี พื้นเป็นแกรนิต ภายในก็ไม่ร้อน ผิดคาดเลยทีเดียว

เห็นรูปถ่ายยามค่ำแล้ว ผมว่าสวยงาม ไม่เป็นรองใครเลยนะครับ


From:
"pornpichcha sungroong"
'โบสถ์สเตนเลส' หนึ่งเดียวในโลก

ที่มาเนื้อหา
http://www.oknation.net/blog/thitiporn/2009/01/04/entry-3
'โบสถ์สเตนเลส' หนึ่งเดียวในโลก
วัดปากลำขาแข้ง
เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี

โบสถ์ ที่สร้างใหม่ ที่โด่งดังที่สุดในปัจจุบัน เห็นจะไม่มีที่ไหน สวยงาม วิจิตรพิสดารเกินกว่า โบสถ์ประดับกระจกที่วัดร่องขุ่น โดยอ.เฉลิมชัย ไปได้ และก็โด่งดัง จนกลบกระแส บดบังรัศมีของวัดอื่นๆไปหมด เพราะวัดอื่นๆนั้น เขาก็สร้างโบสถ์รูปแบบดั้งเดิม เหมือนๆกันหมด จึงไม่แปลกอะไร
63  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เพื่อน ๆ สมาชิก รู้จักธนบัตรใบละ 500,000 บาท หรือยัง ( อยากมี 20 ใบคร้า ) เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 12:40:56 am


ธนบัตร 500000 บาท (ห้าแสนบาท) เป็นธนบัตรของสกุลเงินบาท และเป็นธนบัตรที่ระลึกเนื่องในวโรกาสวันราชาภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ครบ 50 ปี ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 ปัจจุบันเหลือธนบัตรชนิดนี้ใช้หมุนเวียนอยู่ในประเทศไทยเพียง 234 ใบเท่านั้น (117 ล้านบาท)[1]

ลักษณะ
ธนบัตร 500000 บาท พิมพ์ด้วยกระดาษสีเหลืองอ่อน ขนาดกว้าง 126 มิลลิเมตร ยาว 205 มิลลิเมตร ด้านหน้าเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย เดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ด้านหลังเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลย เดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพิธีราชาภิเษก


ขอบคุณรูปภาพจาก
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3_500000_%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97
64  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ปริศนาพุทธชินราช "พระเกศล่องหน" บทพิสูจน์อย่างชาวพุทธคร้า.. เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 12:32:24 am
เป็นข่าวลือหนาหูว่าองค์ “พระพุทธชินราช” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง จ.พิษณุโลก พระพุทธรูปสำคัญของชาวพุทธ-ของประเทศไทย มีพุทธลักษณะ “เปลี่ยนไป” หลังการบูรณะ บ้างก็ลือว่า “พระเกศเปลวเพลิง” เปลี่ยนไป และบ้างก็ลือถึงขั้นพระเกศ “หายไป” ซึ่งถ้าเป็นจริง...มิใช่เรื่องเล็กแน่ ?!?

“พระพุทธชินราช” มีความเป็นมากว่าหกร้อยปี...

อยู่ ๆ ใครจะเปลี่ยนพุทธลักษณะย่อมไม่บังควร !?!


ตาม หลักฐานชั้นทุติยภูมิพงศาวดารเหนือระบุว่า...เมื่อปี พ.ศ. 1900 สมัยกรุงสุโขทัย ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ พญาลิไท ทรงโปรดฯ ให้สร้างวัดใหญ่ หรือ “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร” วัดชั้นเอกวรมหา วิหารในปัจจุบัน และทรงโปรดฯ ให้มีการจัดสร้างพระพุทธรูปสำคัญเพื่อนำไปประดิษฐาน โดยดำริให้มีการสร้าง 3 องค์คือ พระพุทธชินศรี, พระศาสดา และ “พระพุทธชินราช”

“พระพุทธชินราช” หล่อขึ้นด้วยทองสัมฤทธิ์ขัดเงาเกลี้ยง มีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 5 ศอก 1 คืบกับอีก 5 นิ้ว หรือประมาณ 2.875 เมตร มีความสูง 7 ศอก หรือราว 3.5 เมตร ซึ่งตามตำนานระบุว่าพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปองค์สุดท้ายที่สร้างเสร็จ โดยต้องหล่อถึง 5 ครั้ง เนื่องจากทองไม่แล่นทั่วองค์พระ จนต้องมีการประกอบพระราชพิธีตั้งสัจจาธิษฐานแล้วทำพิธีเททองหล่อ การหล่อถึงสำเร็จ



และนอกจาก “พระพุทธชินราช” จะเป็นพระพุทธรูปที่มีการรวมบรรดาช่างหล่อ-ช่างปั้นฝีมือดีทั้งจากชะเลียง (สวรรคโลก) เชียงแสน และหริภุญ ไชย (ลำพูน) มาร่วมกันแล้ว ยังมีตำนานร่ำลือว่า...ในการหล่อองค์พระมี “เทวดา” จำแลงเป็น “ปะขาว” ลงมาร่วมในพิธีหล่อด้วย โดยขณะที่ทำการหล่อในครั้ง  สุดท้ายนั้นมีปะขาวผู้หนึ่งซึ่งไม่มีใครทราบว่า มาจากที่ไหนมาช่วยในการปั้นและเททองหล่อ พอเสร็จก็หายไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอย

เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าสักการะ

แต่ “พระพุทธชินราช” ยังมีความน่าสนใจมากกว่านี้ !!



นอก จากตำนานความเป็นมาแล้ว “ความงดงาม” จากพุทธลักษณะก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ผู้คนกล่าวขวัญถึง พระพุทธชินราชมีพุทธศิลป์แตกต่างไปจากพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยสมัยคลาสสิก อื่น ๆ

กล่าวคือ...มี “พระเกศรัศมียาวเป็นเปลวเพลิง” ซึ่งเป็นจุดที่เกิด “ข่าว ลือ” ล่าสุด และวงพระพักตร์ก็ค่อนข้างกลม ไม่ยาวรีเหมือนพระพุทธรูปยุคศิลปะสุโขทัยองค์อื่น ๆ ยิ่งเมื่อเสริมกับ “ซุ้มเรือนแก้ว” ที่สลักและลงรักปิดทองประดับเบื้องพระปฤษฎางค์ ซึ่งเสมือนเป็นรัศมีรอบ ๆ ยิ่งช่วยขับองค์พระให้โดดเด่นแปลกตา



พุทธลักษณะเด่นต่าง ๆ ทำให้พระพุทธชินราชถูกจัดเป็น “พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยหมวดพิเศษ” โดยตั้งชื่อหมวดตามชื่อขององค์พระ ก็คือ “หมวด พระพุทธชินราช” นั่นเอง...

“เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีลักษณะงดงามที่สุดในโลก”

...นี่ เป็นคำกล่าวขานกันในแวดวงศิลปะและโบราณคดีไทย ซึ่งนอกจากพระพุทธชินราชองค์จริงที่ จ.พิษณุโลกแล้ว ยังมีการจำลององค์พระพุทธชินราชไปประดิษฐานในบางจังหวัด หลายวัด–หลายแห่ง แต่ที่สำคัญคือองค์จำลองที่ประดิษฐานอยู่ ณ พระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรฯ ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จำลองมาประดิษฐานไว้



สำหรับการ บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระพุทธชินราช ก็มีอาทิ...สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงลงรักปิดทององค์พระเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2134, สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5 ทรงบูรณะโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินบริจาคของประชาชนที่ศรัทธาเมื่อ ปี พ.ศ. 2444

กับการบูรณะครั้งล่าสุดที่ดำเนินการเมื่อปี 2547 เริ่มเป็นข่าวมาตั้งแต่เดือน มี.ค.ปีที่แล้ว โดยทางวัดและสำนักงานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระพุทธชินราช กรมศิลปากร แถลงร่วมกันว่า...เกิดการชำรุดเสียหายที่องค์พระ ทองที่ปิดไว้ถลอก มีรอยขูดขีด บริเวณที่ลงรักมีร่องรอยการแตก จึงน่าจะมีการซ่อมเแซม



เดือน พ.ค. 2547 มีข่าวว่าองค์พระเกิดความเสียหายขณะซ่อม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญขนาดที่ทางรัฐบาลต้องเข้าจัดการ และแถลงว่า...เนื่องจากมีการไปอุดช่องระบายความร้อนในองค์พระที่อยู่ด้าน หลังฐานพระ ทำให้ “ทองคำละลาย” ซึ่งหากองค์พระภายในเกิดความร้อนมากเกินไปอาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้ “องค์พระระเบิด” และทางรัฐบาลได้เข้ารับดำเนินการเป็นเจ้าภาพในการบูรณะต่อ ร่วมกับกรมศิลปากร แล้วข่าวก็เงียบไป

“หากมองมุมตรง ๆ ก็จะรู้สึกตกใจที่พระเกศไม่เหมือนเดิม แต่หากมองจากทางมุมข้าง ๆ แล้วก็จะเห็นชัดว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง”...เป็นคำชี้แจงของ วินัย ชาญวิชัย ไวยาวัจกรวัดใหญ่ ต่อกรณีข่าวลือเกี่ยวกับ “พระพุทธชินราช” ที่ว่า “พระเกศเปลี่ยนไป-พระเกศหายไป” พร้อมทั้งบอกอีกว่า...คงเป็นเพราะมีการเปลี่ยนใช้ไฟสปอตไลต์ที่ฉายจับแบบที่ ไม่ก่อให้เกิดความร้อนต่อองค์พระ ทำให้ “แสง-เงา” เปลี่ยน



สรุปคือพุทธลักษณะ “พระพุทธชินราช” ยังงดงามดังเดิม

“พระเกศเปลี่ยน-พระเกศหาย” เป็น “ปาฏิหาริย์ไฮเทค”

เป็นปาฏิหาริย์จาก...“ปรากฏการณ์แสงและเงา !?!”.



Credit :  นสพ.เดลินิวส์ และ http://artsmen.net
65  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คติธรรม เรื่อง โกรธแล้วหาย กับ โกรธแล้วให้อภัย คร้า... เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 01:10:41 am
66  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ศีลตัดกรรม เชื่อหรือไม่ โปรดอ่านคร้า... เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 01:06:47 am
หยิบยกมาจากละคร คร้า..

การใจอ่อนให้กับกามกิเลสมีผลเป็นความเดือดเนื้อร้อนใจของ ทุกฝ่ายอย่างไร ถ้าผ่านด่านของความใจอ่อนด้วยการมีศีลมีสัตย์ ก็จะปลอดภัย ไม่เดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง

“การมีศรัทธาในรัก แท้ รวมทั้งมีวาสนาได้พบรักแท้ก็นับว่าดี เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญให้คิดซื่อกับคู่ครองของตน เรียกว่าได้รักษาศีลข้อกาเมฯอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะมีใจจริงคอยช่วยค้ำจุนอยู่แล้ว”

“ค่ะ”

นัยน์ตาลาน ดาวฉายแววเข้าใจและเชื่อมั่นในรักแท้ยิ่งขึ้น ซึ่งคราวนี้เมื่ออุปการะเห็นอีกครั้งก็วางใจเป็นอุเบกขาเสียได้

“การ มีศรัทธาเรื่องกรรมและผลกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จะก่อให้เกิดความละอายต่อบาป ส่งใจให้คิดรักษาศีลยั่งยืนกว่ากัน เพราะรักในคู่ครองอาจโรยราเมื่อวันคืนผ่านไป แต่รักในศีลนั้นจะทำให้เบากายเบาใจไปจนชั่วชีวิต”

(กรรมพยากรณ์ : ชนะกรรม ตอนที่ ๒๔ คำสาป)

“ถ้ารักษาศีลจนบริสุทธิ์ผุดผ่อง จะมีส่วนช่วยให้ความรักยั่งยืนใช่ไหมคะ?”

“หนู ลองคิดง่ายๆ ถ้าบ้านเราสะอาด ไม่มีความหมักหมม ไม่มีร่องรอยสกปรกน่ารังเกียจ ใครเข้าไปอยู่ก็เป็นที่สบาย หากยิ่งช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทำบ้านให้สะอาดยิ่งๆขึ้นทุกวัน ก็ย่อมรู้สึกถึงความสามัคคีปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจริงไหม? ใจที่ผูกสมัครรักใคร่นั่นแหละคือตัวบ้าน ศีลนั่นแหละเป็นความสะอาดของบ้าน หากรักษาให้สะอาดร่วมกัน ก็อยู่สบายนานทั้งคู่”

(กรรมพยากรณ์ : ชนะกรรม ตอนที่ ๒๔ คำสาป)

“อย่างนี้ถ้าอยู่ตัวคนเดียวไม่ แต่งงานก็หมดสิทธิ์สร้างกรรมว่าด้วยความซื่อต่อสามีสิคะ?”

“อยู่ ตัวคนเดียวก็คิดได้ ว่าเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายที่มีภรรยาแล้ว ถ้าให้ดีครองตัวบริสุทธิ์ไปเลย เพราะการถือครองพรหมจรรย์ การถือศีลแปดประพฤติธรรมจนเกิดปีติสุขปลอดโปร่ง จะบันดาลผลให้ได้เป็นชายตามปรารถนาแน่นอนที่สุด”


“เพราะอะไรคะ?”

“เพราะ พรหมจรรย์ทำให้จิตมีกำลังเป็นกุศลหนักแน่นไงล่ะ ต้องใช้กำลังใจไม่ใช่น้อยๆนะถึงจะอยู่รอดตลอด กามน่ะเหมือนห้วงน้ำ ทำให้จิตเอิบชุ่มด้วยยางเหนียว เป็นตัวลดทอนอำนาจกุศลให้อ่อนกำลังลงอย่างมาก คนที่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงกามรสหนักๆจิตมักจดจ่ออยู่กับเครื่องเพศของหญิง ยิ่งจดจ่อมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งยึดในอัตภาพหญิงมากขึ้นเท่านั้น เหมือนภพของหญิงเป็นแม่เหล็กดึงดูดจิตให้ไปติดจนแกะยาก พอติดจมมากเข้าในที่สุดเลยกลายเป็นหญิงไปเสียเองเมื่อเกิดใหม่ครั้งต่อไป”

(กรรม พยากรณ์ : ชนะกรรม ตอนที่ ๔๑ ชนะกรรม)

สัมพันธ ภาพที่สะอาด ที่สุดคือทำความรู้จักกันด้วยไมตรีจิตฉันเพื่อนมนุษย์ธรรมดา สัมพันธภาพฉันเพื่อนมนุษย์จะทำให้เรารู้เห็นเองว่าเขามีเจ้าของหรือยัง หากคุณตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่าถ้ามีเจ้าของ ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างเด็ดขาด หรือจนกว่าเขาจะตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะกับแฟนว่าจะเลิกกัน เจตนาเช่นนี้จะทำให้เป็นผู้หลีกจากภัยเวรทางกาม ทั้งในปัจจุบันและอนาคตครับ

พระ พุทธเจ้าตรัสว่าคนในโลกนั้น แปดเปื้อนด้วยกาเมสุมิจฉาจารมากกว่าคนที่ปลอดจากกาเมสุมิจฉาจาร และเพราะเหตุนั้นเอง ย่อมน้อยที่เราจะพบคู่ที่ประสบแต่สุข โดยมากจะอยู่กันด้วยความสงสัยว่าใช่คู่ของตัวแน่หรือไม่ อยู่กันด้วยความคิดกลับไปกลับมาว่าตนเองเลือกคู่ถูกหรือไม่ และอยู่กันด้วยความหวาดระแวงว่าคู่ของตนจะไปมีคนอื่นหรือไม่ คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมทนว้าเหว่ แล้วก็ตัดสินใจกันผิดๆร่ำไป บางทีก็เริ่มจากเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ยังไม่ผิดบาปชัดเจน เช่นจีบแฟนคนอื่นนี่แหละ

แม้คู่ที่มีความคิดอ่านดี อยากทำชีวิตให้มีสุข อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง เรียกว่าเสพสุขในการอยู่ร่วมระดับของบุญ ยังอาจมีความเคลือบแคลงระแวงใจในกันได้ เพราะมีสิทธิ์นอกใจกันตลอดเวลา แต่ถ้าคู่ไหนเริ่มขยับ เริ่มอัพเกรดสัมพันธภาพให้อยู่ร่วมกันในระดับของศีล จะมีความสุขอีกชนิดเกิดขึ้น ที่คู่รักส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรู้จักกันนัก นั่นคือ *** ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน *** เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากศีล เป็นคุณของศีลที่เห็นได้อย่างชัดเจน

ความรักไม่มี ผิดไม่มีถูกตรงที่หวังครอบครอง หวังเป็นอิสระต่อกัน หรือเปลี่ยนใจไปหาคนอื่น แต่จะเริ่มเป็นบาปหรือเป็นบุญตอนที่เลือกจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกับใครและ อย่างไร

บาปจะเกิด ความผิดพลาดและมลทินติดตัวจะมีต่อเมื่อเราไปยุ่งกับคนมีเจ้าของ

บุญ จะเกิด ความถูกต้องและราศีสง่าจะมีเมื่อเราคบกับคนดี มีธรรมะ ในลักษณะที่เกื้อกูลให้กันและกันเจริญขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม
67  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ตัณหาเป็นเชือกผูกคอ ปอผูกศอก โซ่ล่ามขา เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 01:02:44 am
ตัณหาเป็นเชือกผูกคอ  ปอผูกศอก  โซ่ล่ามขา

         ตัณหาทั้งสามมันปกครองสัตว์ทั้งโลก  ความพอใจก็ดี  ความไม่พอใจก็ดี  จัดเป็นตัณหา  กามตัณหา  ภวตัณหา  วิภวตัณหา  ตัณหาทั้งสามนี้  เป็นไตรวัฎฎ์อยู่นี่  มันหมุนอยู่นี่
         กามตัณหา  ภวตัณหา  วิภวตัณหา  เปรียบเหมือนธารแม่น้ำน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน  ไหลมาสู่ทะเลอันไม่มีฝั่ง  ไม่มีที่เต็ม  ฉันใดก็ดี  ความพอใจก็ดี  ความไม่พอใจก็ดี  ก็เพราะกามตัณหานี้เอง
         กามตัณหา  เปรียบเหมือนเชือกผูกคอ  ภวตัณหาเปรียบเหมือนปอผูกศอก  วิภวตัณหา  เปรียบโซ่ผูกขา  จะเอาอาวุธมีมีดหรือขวาน  มาตัดมันเท่าไรมันก็ไม่ขาด  ยกเว้นแต่ผู้มีปัญญาบารมี

         มนุษย์ผู้อาชาไนยเป็นผู้องอาจกล้าหาญ  ต่อสู้สงครามกามกิเลส  ความพอใจความไม่พอใจก็ดี  ความพอใจ  ความไม่พอใจนี้แหละตัดมันไม่ขาด
         เวลาเราทำความเพียรบางครั้ง  ดูเหมือนกับสบายเย็นใจ  เย็นกาย  แต่พอเร่งทำความเพียรเข้า  มันกลับเป็นไปอีกอย่างหนึ่งมันไม่ใช่ง่าย  พวกกามกิเลสนี้
         มนุษย์ผู้อาชาไนยผู้องอาจแกล้วกล้า  สามารถจะต่อสู้กามกิเลสนี้  อันเป็นข้าศึกในสงครามการต่อสู้ต้องระวังอินทรีย์ตา  มันก็เป็นเหตุอันหนึ่ง หู  ก็เป็นเหตุอันหนึ่ง  จมูก  ก็เป็นเหตุอันหนึ่ง  กาย ใจ เป็นเหตุอันหนึ่ง  ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ

         กายนี้เป็นมรรค  เป็นที่ตั้งของมรรค  กายสมบัติอันนี้ท่านยกขึ้นเป็น  มรรค  นะ เป็น  พุทโธ  โม  เป็นพระเจ้า  อาศัยบิดามารดาเกิดก็เพราะ  กามตัณหา  ภวตัณหา  วิภวตัณหา
         กามตัณหานี้มันไม่พอ  ตัณหา ๓ นี้ก็เกิดขึ้นจากกายจากใจเรานี้แหละ  ได้ลูกได้หลานมามันก็พอใจ
         ชังก็เพราะกาม  เกิดก็เพราะกาม  ทุกข์ก็เพราะกาม  ตายก็เพราะกาม  สุขก็เพราะกาม  นี้กามตัณหา
         ท่านจึงเปรียบว่า  กามตัณหา  เหมือนเชือกผูกคอ  ภวตัณหา  เหมือนปอผูกศอก  วิภวตัณหา  เหมือนโซ่ผูกขา  เพราความรัก  ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  มันไหลมาแต่ตัณหาทั้งสามนี้แหละ

         การจองล้างจองผลาญฆ่าฟันกันเพราะกามนี้แหละ  ความพอใจก็เพราะกาม  ความไม่พอใจก็เพราะกามนี้แหละ
         อนิจจังทั้ง ๕ ก็ชี้เข้ามาในนี้แหละ  ทุกขังทั้ง ๕ ก็ดี  อนัตตาทั้ง ๕ ก็ดี  ก็ชี้เข้ามาในรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  ไม่เที่ยงเป็นทุกข์

         อนัตตา  ความไม่มีตัว  ไม่มีตน  ถ้าเข้าไปยึดถือ  มันก็เป็นทุกข์  สภาพเหล่านี้มีอยู่เป็นอยู่อย่างนี้
         แม้แต่พ่อแม่จะไปแต่งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้  ก็แต่งไม่ได้  แต่ถ้าเป็น  ปุญญาภิสังขาร  อปุญญาภิสังขาร  อันนี้เราแต่งเอาเองได้  แต่งไม่ให้มันโลภ  แต่งไม่ให้มันหลง  แต่งไม่ให้มันโกรธ  ไม่ให้มันโลภ  โกรธ  หลง  อันเป็นรากเหง้าแห่งกิเลสทั้งหลาย  เพราะตัณหานี้แหละเป็นต้นเหตุ

         ทำให้เป็น อโลภะ  อโทสะ  อโมหะ  ให้มันหมดโลภ  หมดโกรธ  หมดหลงแล้ว  มันก็สบาย  ถ้าโลภก็ยังละไม่ได้  โกรธก็ยังละไม่ได้  มันเกิดขึ้นก็เป็นการทำลายตนเอง  เพราะไม่รู้จักพอ

         โลภะ  โทสะ  โมหะ  เป็นรากเหง้าของกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด  เราเกิดก็เพราะกาม  ตายก็เพราะกาม  ทุกข์ก็เพราะกาม  ความพอใจก็เพราะกาม  ความไม่พอใจก็เพราะกาม  ความรักความชังที่เกิดขึ้นก็เพราะกามตัณหา  ภวตัณหา  วิภวตัณหานี้แหละ
         จะไปเอาที่ไหนพระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์  ท่านชี้ลงสู่กายสู่ใจนี้แหละ  อันเป็นสมบัติของเจ้าพ่อเจ้าแม่ อันเป็นฐานที่ตั้งแห่งศีล  เป็นที่ตั้งแห่งธรรม  นี่แหละสมบัติอันนี้ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  มันเกิดขึ้นภายในนี้แหละไม่ได้เกิดที่อื่น
         ภาวนาพุทโธก็ดี  ธัมโมก็ดี  สังโฆก็ดี  ระวังอย่าให้เป็นธรรมเมา  ต้องกำหนดลงสู่กายสู่ใจของเรานี้แหละ  อย่าไปกำหนดที่อื่น
         ปี พ.ศ. ๒๔๖๔  ไปเมือง  พม่า  อินเดีย  เขาก็สอนอย่างนี้แหละสอนอย่างเดียวกันนี้แหละ  ไปดูที่ประสูติ  ที่ตรัสรู้  ที่ปรินิพพาน  มันห็เห็นแต่ดิน  สู้  สุปฏิปันโน  น้อมเข้ามาสู่กายปฏิบัติให้รู้แจ้งในภายในมันจึงใช้ได้  มัวรู้แต่ภายนอกกลายเป็นธรรมเมาไป

         เมาโลภ  เมาโกรธ  เมาหลง  เมาตัว  เมาตน  พวกนี้เป็นธรรมเมา  ทั้งนั้นแหละ
         อาจารย์วิปัสสนาของพม่าสมัยก่อน  สอนกายานุปัสสนา  เวทนานุปัสสนา  จิตตานุปัสสนา  ธัมมานุปัสสนา  เวลาเราถามเข้าจริงๆจับผมบนหัวให้ดู  ถามว่าผมมีกี่เส้น  ขนในตัวเรานี้มีกี่เส้น  ลำไส้ของหญิงยาวกี่ศอกกี่วา  เขาบอกว่าไม่รู้  นั่นไม่รู้ยังจะไปชี้อีก

         มันต้องค้นเข้ามาหาภายในนี้แหละต้นเหตุนี้ ตา มันก็เป็นเหตุอันหนึ่ง หู มันก็เป็นเหตุอันหนึ่ง  จมูก ลิ้น  มันก็เป็นเหตุอันหนึ่ง  กาย  ใจ  มันก็เป็นเหตุอันหนึ่ง  อกุศลธรรม มันเกิดขึ้นมันเกิดในเหตุเหล่านี้
         ศีล ๕ ก็ดี  ศีล ๘ ก็ดี  ก็รวมเข้ามาในนี้แหละ  ถ้านอกไปจากนี้เป็นความหลง  เป็นธรรมเมาไป
         จำไว้ให้แม่น  พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์  ชี้ไปในกายนี้  ชี้ไปในใจนี้  ต้องเอาสมบัติของเจ้าพ่อ  เจ้าแม่นี้ เป็นที่ตั้ง  เป็นฐานของศีล  ของทาน  ของภาวนา  เอาสมบัติอันนี้เป็นที่ตั้งของปัญญา  เพื่อทำลายอกุศลธรรม คือ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง
         พระพม่าถามว่า    วินัย  ศีลปฏิบัติอย่างไร  วินัยปฏิบัติอย่างไร
         บอกเขาไปว่า ปฏิบัติน้อมเข้ามาสู่กายสู่ใจนี้  ต้องรู้เหตุสำรวมระวังเหตุ  ตาเป็นเหตุ  ตาเห็นรูป  ถ้าไม่รู้เท่าทันมันความยินดีก็เกิดขึ้น  ความยินร้ายก็เกิดขึ้น  ความโลภก็เกิดขึ้น  เพราะเหตุนั้นเราต้องรู้เหตุ  สำรวมระวังเหตุให้น้อมเข้ามาสู่กาย  เอากายเป็นมรรค  เอากายเป็นผล  ค้นลงในสกลกายของเรานี้  วินี  วินัย  ก็คือการนำความชั่ว  ความผิดออกจาก  กาย  วาจา  ใจ  นี้แหละ  นี้แหละเป็นวินัย
         ต้องทำให้มาก  ให้มีสติ  เข้าหาพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ปฏิบัติให้รู้จักที่เกิดของธรรม  รู้จักที่ดับของธรรม  ถ้าบริกรรมพุทโธ  ก็เอาพุทโธไป  ถ้าพูดมากฟังมากทำน้อยก็ไม่ได้ผล

         แต่ถ้าฟังแต่น้อยเอาความหมั่น  ความเพียร  ให้มาก  ภาวนาให้มาก  น้อมเข้ามาสู่กายสู่ใจของตน  อุปาทานทั้ง ๕ อนิจจังทั้ง ๕ ทุกขังทั้ง ๕ อนัตตาทั้ง ๕ ภาราหเวปญฺจกฺขนฺธา  ภาราหาโร จ ปุคฺคโล  วางขันธ์ ๕ ธาตุ ๕ ได้แล้ว อุปาทานทั้ง ๕ อนิจจังทั้ง ๕ ทุกขังทั้ง ๕ รวมลงในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้แหละ
         ขันธ์แยกออกเป็นดิน  เป็นน้ำ  เป็นลม  เป็นไฟ  พิจารณาอันนี้ให้มันรู้  ให้มันละมันวาง
         ภาวนา  พุทโธ  นี้แหละ  เห็นว่ามันน้อยๆอย่างนี้ไปดูถูกไม่ได้  ความหมั่นความเพียรนี้แหละ เป็นประโยชน์มาก
         ถ้าฟังมากๆได้เฉพาะคำพูด  แต่ทำเพียงเล็กน้อยแล้วก็แล้วไป  มัวแต่เจ็บแข้ง  เจ็บขา  เจ็บหลัง  เจ็บเอว  อยู่อย่างนี้ มันไม่ได้ความอะไร

         มันเจ็บที่ไหนก็กำหนดเข้าที่นั่น  ความเจ็บความปวดธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  นี่แหละเป็นเหตุ  มันไหลมาจากนี้แหละ  มีที่เดียวนี้แหละ  คือ รักษาตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ ให้แข็งแรง
         ความรักเกิดขึ้นก็นำออกเสีย  ความชังเกิดขึ้นก็นำออกเสีย  ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  เกิดขึ้นทาง ตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ก็นำออกเสีย
         นี้ท่านยกขึ้นเป็นศีล  ท่านยกขึ้นเป็นวินัย  จะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ อันใดก็ตาม ศีล ๕ นี้ก็อันนี้ประจำตน คือ ขา ๒ แขน ๒ หัว ๑
         ขันธ์ ๕ นี้แหละรักษาให้มันคุ้ม  รักษา ตา นี้สำคัญ ตาเห็นรูป  รูปที่พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ดี  ถ้าเราหลงลายมันก็มักเกิดความชั่ว
         ศีล ๕ ศีล ๘ ศีลมากมายเหมือนของภิกษุก็ต้องรักษาตานี้แหละ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  เป็นตัวเหตุมันไหลเข้ามา
         ธรรมทั้งหลายไหลมาจากเหตุ  กำหนดเข้าๆรู้เท่าทันเหตุ  เหตุดับมันก็ถึงความสุข  เพราะวางอุปทานเหตุจึงดับไป  อวิชชา  ความมืด  ไม่รู้แจ้งมันก็ดับไป  เวลาพูดดูเป็นของง่ายแต่เวลาทำยาก
         อย่าไปยึดเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้  ฟังแต่น้อยแต่ต้องทำให้มาก  อาศัยความพากความเพียร  ทำการงานด้วยกายของเราทุกสิ่งทุกอย่าง  ทำให้เป็นอริยมรรค  อย่าให้เป็นกิเลส  ถ้าเป็นกิเลสเป็นทุกข์
68  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เมื่อได้เห็นชาวต่างชาติ มาสนใจและบวชศึกษา พระธรรมที่ประเทศไทย เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 12:59:32 am
ชาวต่างชาติ ข้ามน้ำ ข้ามทะเล มาบวชเป็นศิษย์ตถาคต.........
เราคนไทย โดยเฉพาะยุคนี้สมัยนี้ เห็นหลายชีวิตบวชตามประเพณี
7 วัน 15 วัน...ก็สึกแล้ว 

เป็นบุญของเราชาวไทยที่เกิดมาก็พบศาสนาพุทธ
แม้ไม่อาจบวชได้ด้วยภาระทางสังคมที่ยังตัดไม่ได้ แต่ก็บวชใจกันก่อน
ยึดถือปฏิบัติตามแนวเบญจศีล เบญจธรรม   

แค่นี้ก็ดีมากแล้ว นะคร้า....




69  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พุทธทำนาย 16 ประการที่เป็นจริง ฉบับสรุป คร้า... เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 12:53:21 am
 "สภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติในระยะนี้ อาจจะยังไม่ถึงเวลาตามคำพยากรณ์ในสุริยสูตร ซึ่งโลกจะพินาศไปหมด แต่น่าจะมาจาก พุทธพยากรณ์พระสุบินนิมิต ของพระเจ้าปเสนทิโกศล รวม ๑๖ ข้อ" นี่คือความเห็นของ นายโอฬาร เพียรธรรม ผู้เขียนและพิมพ์หนังสือ "ธรรมะใส่สูตร" ทั้งนี้ นายโอฬารได้สรุปคำพยากรณ์สั้นๆ ทั้ง ๑๖ ข้อให้ฟังว่า
 
 ๑. ในอนาคต ผู้คนจะห่างเหินศีลธรรม ผู้นำไม่ตั้งมั่นอยู่ในธรรม ทำให้เกิดธรรมชาติแปรปรวน
 
 ๒. ในอนาคตคนจะมีจิตใจต่ำทราม มั่วสุมเสพกาม ตั้งแต่ยังเยาว์
 
 ๓. ในอนาคตลูกจะไม่เคารพบิดามารดา พ่อแม่ต้องเอาใจลูก เพื่อให้ยังชีพอยู่ได้
 
 ๔. ในอนาคตคนมีอายุน้อย ไม่มีความสามารถจะมาบริหารประเทศ ทำให้เกิดความเสียหาย
 
 ๕. ในอนาคต ผู้ตัดสินคดีความต่างๆ ขาดความยุติธรรม เรียกร้องเอาเงินจากทั้ง ๒ ฝ่าย
 
 ๖. ในอนาคตคนไม่มีศีลธรรมเป็นอันธพาล เกเร แต่จะมีอำนาจวาสนาในบ้านเมือง
 
 ๗. เป็นการพยากรณ์ สตรีที่เป็นภรรยาที่ประพฤติไม่ดีหลายประการ
 
 ๘. ในอนาคตผู้ปกครองจะบีบบังคับชาวบ้าน ในการใช้แรงงานต่างๆ เพื่อความมั่งมีผาสุก ของผู้ปกครองเอง
 
 ๙. ในอนาคต เมื่อผู้ปกครองไม่ตั้งอยู่ในธรรม ผู้คนจะยากจนข้นแค้น ทำให้ต้องหนีเข้าป่าไป เมืองใหญ่จะร้าง
 
 ๑๐. ในอนาคตขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามจะสลายไป ผู้คนหยาบกระด้าง ไม่จริงใจ จ้องทำลายกัน และมีโรคภัยใหม่ๆ เกิดขึ้น
 
 ๑๑. ในอนาคตจะมีภิกษุที่เป็นอลัชชีมากขึ้น คือ เห็นแก่ปัจจัยค่าตอบแทนต่างๆ ไม่แสดงธรรมที่ถูกต้อง
 
 ๑๒. ในอนาคต คนดีมีความรู้จะไม่ได้รับการยกย่องเชิดชู แต่คนเลว คนชั่วจะเป็นใหญ่เป็นโต กดขี่คนดี
 
 ๑๓. ในอนาคตคำสอนที่ดีๆ ในศาสนาจะไม่เข้าถึงจิตใจประชาชน คนก็จะเป็นคนพาล ประพฤติชั่ว แต่ก็ได้รับการยกย่องในสังคม
 
 ๑๔. ในอนาคตมนุษย์จะมีกิเลสตัณหามากขึ้น มุ่งแต่สะสมครอบครองวัตถุต่างๆ ไม่คำนึงถึงศีลธรรม
 
 ๑๕. ในอนาคตคนชั่วคนพาลแต่ตระกูลใหญ่โตจะครองเมือง ข่มเหงผู้รู้ นักปราชญ์ต่างๆ
 
 ๑๖. ในอนาคตลูกศิษย์ที่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนจนจบกลับจะเนรคุณอาจารย์
 

"คำ พยากรณ์พระสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ หลายๆ ข้อจะเห็นว่าอยู่ในแนวเดียวกัน คือ คุณธรรม ความดีงาม ของผู้คนทั้งประชาชน และผู้ปกครองจะน้อยลง คนเลวจะมาปกครองบ้านเมือง และนำความลำบากมาให้ ซึ่งดูจะสอดคล้องกับเหตุการณ์ในโลกปัจจุบันมาก เพราะแม้ภัยจากโลกร้อน และภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน ก็ไม่ใช่เพราะดวงอาทิตย์ร้อนขึ้น แต่เกิดจากความเลว ไม่มีคุณธรรมของคนในโลก ทั้งประชาชน และผู้นำประเทศเป็นหลัก เกิดการแย่งชิงทรัพยากรกัน เร่งทำลายธรรมชาติ จนเกิดสภาวะเรือนกระจก และภัยธรรมชาติต่างๆ ตามที่เห็นกันอยู่ ภัยพิบัติปัจจุบัน ซึ่งน่าจะตรงกับการพยากรณ์
70  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การฝึกสมาธิ โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 12:50:23 am
การฝึกสมาธิ
โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

วัดป่าสุทธาวาส
ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร

การทำสมาธิเบื้องต้น ต้องชำระศีลให้บริสุทธิ์ ทำวัตรสวดมนต์บูชาพระ
เจริญพรหมวิหาร 4 และสมาทานกรรมฐาน เดินสมาธิหรือเดินจงกรม

การเดินสมาธิหรือเดินจงกรมเหมาะ สำหรับคนที่มักมีความคิดฟุ้งมาก
พระพุทธองค์กล่าวว่า ประโยชน์ของการเดินจงกรม มีดังนี้คือ

-- ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย
-- ทำให้ขาแข็งแรงเดินได้ทนและไกล
-- เมื่อทำหลังอาหารทำให้อาหารย่อยง่าย
-- สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมจะอยู่ได้นาน

๏ วิธีการเดินสมาธิหรือเดินจงกรม

เลือก สถานที่ยาวประมาณ 5 เมตร ถึง 10 เมตร แล้วแต่ความกว้างของสถานที่ และความรู้สึกพอดี บางทียาวนักก็ไม่ดี เหนื่อย บางครั้งสั้นไปก็ทำให้เวียนหัว หันหน้าไปทางเดินจงกรม แต่อย่ามองไกลเกินไป มองทอดสายตาดู ไปข้างหน้าประมาณ 4 ก้าวเพื่อไม่ให้จิตใจวอกแวก แต่ไม่ใกล้เกินไป จนรู้สึกปวดต้นคอ มือซ้ายมาวางที่หน้าท้องและมือขวามาวางทับ เพื่อป้องกันแขนแกว่งขณะเดิน และดูสวยงาม

เมื่อได้ท่าที่พอดีแล้วก็เดินก้าวขาขวาไป ก็นึกคำว่า “พุท” และเมื่อก้าวขาซ้ายไป ก็นึกคำว่า “โธ” เวลาเดินไม่หลับตาแต่ให้ลืมตา และกำหนดสัมผัสของเท้าที่ก้าวเหยียบลงพื้น เดินว่าพุทโธไปเรื่อย พอถึงปลายทาง เดินก็หยุดนิดหนึ่ง แล้วก็หันกลับด้านขวามือ มาทางเดิม และเดินว่าพุทโธต่อไป อย่าเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป กำหนดจิตของเราอยู่ที่ก้าวเดินและคำภาวนา ไม่ให้จิตวอกแวก

สิ่งสำคัญ คือ การกำหนดจิตให้ทันการเคลื่อนไหว ส่วนการเดินเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น เราควรทำอย่างน้อย 30 นาที และจะดีมากขึ้นถ้าตามด้วยการนั่งสมาธิ เพราะการเดินจงกรม เป็นการเปลี่ยนอิริยาบท ปล่อยอารมณ์ และเตรียมร่างกายให้พร้อมสู่การนั่งสมาธิ

๏ อิริยาบถนั่งสมาธิ

นั่ง ขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย วางลงบนตัก ตั้งกายตรง (ไม่นั่งก้มหน้า ไม่นั่งเงยหน้า ไม่นั่งเอียงซ้าย ไม่เอียงขวา ไม่โยกหน้า ไม่โยกหลัง) ไม่กดและข่มอวัยวะในร่างกาย วางกายให้สบายๆ ตั้งจิตให้ตรง ลงตรงหน้า กำหนดรู้ซึ่งจิตเฉพาะหน้า ไม่ส่งจิตให้ฟุ้งซ่าน ไปในเบื้องหน้า-เบื้องหลัง (อนาคตและอดีต) พึงเป็นผู้มีสติ กำหนดจิตรวมเข้าตั้งไว้ในจิต บริกรรม “พุทโธ” จนกว่าจะเป็นเอกัคคตาจิต
ขอขอบคุณเวปhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=19823

71  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / 9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 12:47:17 am
9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ

เรื่องโดย ศรัณยู นกแก้ว


รถติด งานล้น ลูกค้าขี้วีน เจ้านายขี้บ่น เพื่อนร่วมงานขี้นินทา
สถานการณ์ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเร้าให้สติของชาวออฟฟิศอย่างเราๆ
หลุดกระเจิงแทบทุก 5 นาที
และด้วยเหตุนี้ที่ครึ่งค่อนชีวิตของเราๆ ท่านๆ ต้องอยู่กับงาน
จึงไม่รอช้าที่จะชวนมาฝึกเทคนิคเรียกสติให้กลับคืนมาในระหว่างวันทำงาน


เพราะเมื่อสติกลับคืนมา ปัญญาที่จะสร้างสรรค์งานให้มีคุณภาพ
ก็จะตามมาทันทีโดยไม่ต้องสงสัย


 1. “ไฟแดง” ไฟแห่งสติ

: สิ่งแรกที่ทำให้สติของชาวออฟฟิศขาดกระเจิงพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวตามมา
เห็นจะเป็นการจราจรที่แสนติดขัด ยิ่งวันไหนที่ต้องติดไฟแดงแทบทุกแยกด้วยแล้ว
มักหนีไม่พ้นที่จะบ่นกับตัวเองว่า “วันนี้ต้องเป็นวันซวยอย่างแน่นอน”
ทางออกก็คือ ต้อง “เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส”
ลองใช้ไฟแดงเป็นเครื่องมือเตือนสติดู
ติดไฟแดงครั้งใดก็ให้หยุดดูความหงุดหงิดของตัวเอง
พร้อมทั้งดึงสติมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ
คราวนี้กว่าจะถึงออฟฟิศ
เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสติพร้อมยิ้มรับกับทุกเรื่องที่กำลังรออยู่แล้ว


2. ตั้งจิตอธิษฐานก่อนเริ่มงานทุกวัน
: เมื่อมาถึงที่ทำงาน สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การเริ่มงานอย่างลุกลี้ลุกลน
แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ หาเวลาสัก 5 นาทีเพื่อทำใจให้สงบ
จากนั้นตั้งจิตให้มั่น แล้วนึกถึงธรรมะที่ต้องการน้อมนำมาปฏิบัติ
เช่นเมื่อวานขี้เกียจไปนิด วันนี้จะขอตั้งใจทำงานด้วยความเพียร
การตั้งจิตอธิษฐานไม่ได้หมายถึงการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพื่อช่วยให้ทำงานสำเร็จ ทว่าการอธิษฐานเป็นการเตือนใจ
ไม่ให้พลัดหลงไปกับอารมณ์และความรีบเร่ง
ที่จะมาบั่นทอนจิตใจในการทำงานนั่นเอง


3. ล้างจานเพื่อล้างจาน
: การทำงานไม่ว่าอาชีพไหนก็สามารถเจริญสติขณะทำงาน
หมายถึงการดึงจิตใจอยู่กับงาน รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ
จะล้างจานก็รู้ว่าล้างจาน ถูบ้านก็รู้ว่ากำลังถูบ้าน
คิดเรื่องอะไรก็ใช้สติอยู่กับเรื่องนั้นๆ ไม่กังวลกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว
หรือพะวงอยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
ข้อดีของการเจริญสติตลอดเวลาที่ทำงานนั้น
นอกจากจะทำให้งานสำเร็จแล้ว ยังทำให้ทำงานด้วยความผ่อนคลายโปร่งเบา
เพราะจิตใจไม่มี “ขยะ” ให้ต้องแบกรับ


4. ตามลมหายใจไปกับเสียงโทรศัพท์
: เคยไหมขณะกำลังทำงานอยู่เพลินๆ
ก็มีเสียงโทรศัพท์จากลูกค้าขี้วีนที่สุดเข้ามา
ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวไปครึ่งค่อนวัน
และเมื่อมีโทรศัพท์เข้ามีอีกครั้ง (แม้จะไม่ใช่คนเดิมก็ตาม)
คราวนี้เราก็พร้อมจะระเบิดความขุ่นมัวเผื่อแผ่ไปให้ปลายสายอย่างไม่ยั้งคิด
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ แน่นอนว่ามีแต่เสียมากกว่า
เผลอๆ อาจทำให้เราต้องเสียลูกค้าๆไปโดยไม่ได้คาดคิด
ทางออกนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มี
ขอแนะนำให้ใช้โทรศัพท์นี่แหละ เป็นเครื่องเรียกสติ
โดยก่อนรับสายให้ค่อยๆ ตามลมหายใจเข้า-ออก ช้า3 ครั้ง
เพื่อให้อารมณ์สงบนิ่ง บางคนอาจใช้อุปกรณ์เสริม
อย่างเช่น กระจกบานเล็กๆ วางใกล้ๆโทรศัพท์ ขณะคุยอาจยิ้มน้อยๆไปด้วย
การมองตัวเองในกระจก
ช่วยให้ไม่เผลอส่งอารมณ์โกรธไปถึงคนปลายสายโดยไม่รู้ตัว


5. เจริญสติด้วยคำวิจารณ์
: การทำงานกับการวิพากษ์วิจารย์เป็นสิ่งคู่กัน
แต่หลายคนมักสติหลุดเพียงเพราะถูกวิพากวิจารณ์
ดังนั้นสิ่งที่ต้องท่องให้ขึ้นใจเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์คือ
เราเอาปัญญาออกหน้า หรือเอาอัตตาออกหน้า
หากเอาปัญญาออกหน้า จะเกิดคำถามในใจว่า “ฉันผิดพลาดตรงไหน”
แต่หากเลือกอัตตาก็จะมีประโยคหนึ่งตามมาคือ “แกทำให้ฉันเสียหน้า”
สุดท้ายถ้าเราพยายามเตือนตัวเองให้ใคร่ครวญแต่ข้อผิดพลาด
ความทุกข์ ความรู้สึกเสียหน้าก็จะมาไม่ถึง
เหมือนอย่างที่คุณเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ
มักเตือนตัวเองเสมอว่า “วันไหนไม่ถูกตำหนิวันนั้นเป็นวันอัปมงคล”
เพราะนั่นหมายถึงมีแต่คนสรรเสริญเยินยอ
จนหลงลืมตัวซึ่งอาจนำไปสู่ความเสื่อมในที่สุด


6. เจริญสติด้วยคำนินทา
: หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาที่แก้เท่าไรก็แก้ไม่ตก
นั่นก็คือ คำนินทา ซึ่งถ้าเป็นเรื่องดีก็คงไม่มีปัญหา
แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็อาจทำให้หลายคนเกิดอาการเครียดไปตามๆ กัน
ทางที่ดีที่สุด แม้เราจะห้ามคนนินทาไม่ได้
แต่เราก็สามารถห้ามใจไม่ให้คิดตามจน “จิตตก” ได้
และหนึ่งในวิธีได้ผลชะงัดคือ การมองโลกในแง่ดี
คิดเสียว่าที่เขานินทา คือการเตือนทางอ้อม
ให้เราได้แก้ไขปรับปรุงในเรื่องที่เรายังบกพร่อง
เวลาที่ได้ยินเสียงนินทาให้ถือเสียว่าเป็นระฆังแห่งสติ
ที่จะเตือนให้เราหันกลับมามองตัวเอง
สิ่งไหนจริง ก็ปรับปรุงแก้ไข สิ่งไหนไม่จริงก็ปล่อยให้ผ่านไป
ที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องคิด พูด และทำแต่สิ่งดีๆ
เพื่อจะได้ไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาที่ไม่เป็นความจริง


7. สร้างทางเดินแห่งสติ
: ปัญหาอย่างหนึ่งผู้ปฏิบัติธรรมมักใช้เป็นข้ออ้าง
เมื่อการปฏิบัติไม่คืบหน้า คือ ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่จะฝึกฝน
เราจึงขอเสนอเส้นทางเดินแห่งสติในที่ทำงาน
เริ่มตั้งแต่ลานจอดรถ ขั้นบันได ทางเดินไปห้องน้ำ
และที่จะขาดไม่ได้เลยคือ ทางเดินไปห้องเจ้านาย
แม้ทางเดินเหล่านี้จะเป็นระยะทางสั้นๆเพียงไม่กี่ก้าว
แต่หากเราเดินด้วยความรู้สึกตัว มีสติในทุกย่างก้าว ซ้ายก็รู้ ขาวก็รู้
ขึ้นบันไดก็รู้ไม่เผลอคิดฟุ้งซ่าน
ถ้าทำได้อย่างนี้ สติจะไม่อยู่กับเราขณะทำงานก็ให้รู้ไป


8. พักยกด้วยระฆังแห่งสติ
: สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่งานยุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาจะดูนาฬิกา
ขอแนะนำให้ใช้บริการระฆังแห่งสติเป็นผู้ช่วย
ระฆังแห่งสตินี้อาจใช้โทรศัพท์มือถือในการตั้งเวลาปลุก
ทุกครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง หรือถ้าจะง่ายกว่านั้น
เพียงคลิกเข้าไปที่ http://www.thaiplumvillage.org
คุณก็จะสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมเสียงระฆังแห่งสติได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
จะต้องให้เตือนทุก 15 นาทีหรือทุกชั่วโมงก็ได้
เคล็ดลับคือ เมื่อได้ยินเสียงระฆังแล้ว
ให้วางมือจากการทำงานและกลับมาอยู่กับลมหายใจทันทีสัก 3 ลมหายใจ
จากนั้นจึงค่อยทำงานต่อ เท่านี้สติก็อยู่กับตัวได้ตลอดทั้งวันแล้ว


9. ซ้อม “สอบ” ในที่ทำงาน
: จริงอยู่ว่าในการทำงานย่อมมีอารมณ์หลากหลายเข้ามาปะทะอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห อิจฉา ริษยา
แต่จริงๆ แล้วอารมณ์เหล่านี้ ใช่ว่าจะเป็นผลร้ายกับเราไปเสียหมด
ตรงกันข้ามอารมณ์หลากหลายที่เราต้องเผชิญในที่ทำงาน
คือบททดสอบที่ดียิ่งใน “วิชาสติ”
ดังนั้นขอให้ใช้บททดสอบเหล่านี้เพื่อดูว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์
ไม่ให้วูบวาบไปตามสิ่งที่มากระทบและเรียกสติมาช่วยได้ทันหรือไม่
หากเผลอก็ถือว่าสอบตก ต้องรีบสอบซ่อมและทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งต่อไป


คนเราต้องทำงานเกือบทั้งชีวิต
หากเราหมั่นฝึกใช้สติควบคู่ไปกับการทำงาน
ก็เท่ากับว่าเรามีโอกาสฝึกปฏิบัติธรรมกันตลอดชีวิตเลยทีเดียว


ที่มา...ชมรมกัลยาณธรรม
โพสโดย ผู้สร้าง  http://putthatham.thport.com
72  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ต่อไปนี้คุณผู้ชายที่ชอบ "ไข่แล้วทิ้ง" ผิดกฏหมาย คร้า..... เมื่อ: มกราคม 15, 2011, 12:24:02 am

เมื่อวันที่ 14 ม.ค. นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวถึงผลความคืบหน้าการรับฟังความคิดเห็นนักวิชาการ กลุ่มเด็กเยาวชน หน่วยราชการ ภาคเอกชนและฝ่ายการเมืองกรณีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเอาผิดผู้ชายที่ทำผู้หญิง ท้องแล้วทอดทิ้ง ในทางแพ่งและอาญา ตามยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม ว่า ผลจากการรับฟังความคิดเห็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 เห็นด้วยที่จะให้ผู้ชายร่วมรับผิดชอบกรณีทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยแยกเป็นความเห็นดังนี้
1.ผู้ชายและผู้หญิงต้องรับผิดชอบร่วมกัน แต่ต้องดูบริบทความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว 2.ควรมุ่งเน้นมาตรการป้องกัน ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจ เรื่องเพศศึกษาบทบาทความสัมพันธ์ของหญิงชาย 3. ควรเอาโทษผู้ชายทั้งทางแพ่งและอาญา  เช่น การจ่ายค่าเลี้ยงดู และพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย และต้องกำหนดโทษแก่ผู้ชายที่ไม่รับผิดชอบให้มีโทษเท่ากับผู้หญิงที่ถูกจับ กรณีลักลอบทำแท้ง และควรมีกระบวนการพิสูจน์บุตรให้ชัดเจนก่อนนำไปสู่ ความรับผิดชอบทางกฎหมาย 4.ควรมีมาตรการที่แตกต่างกันระหว่างพ่อวัยเยาว์กับพ่อปกติ  โดยพ่อวัยเยาว์ใช้มาตรการทางสังคมที่ให้พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมาร่วมแก้ไขปัญหา ส่วนพ่อที่ไม่ได้เป็นพ่อวัยเยาว์ หากปฏิเสธไม่รับผิดชอบ  และตรวจพิสูจน์แน่ชัดแล้วว่าเป็นบุตร  ควรถูกดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมาย

5.ควรใช้มาตรการทางกฎหมายที่มีอยู่แล้วให้มีความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมาก ขึ้น เช่น กฎหมายรับรองบุตรที่เกิดจากผู้หญิงที่ไม่ได้สมรสกัน และ 6.บริบทอื่นๆที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบลึกซึ้ง เช่น การสร้างฐานความผิดขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งมาตราในประมวลกฎหมายอาญา เป็นฐานความผิดกรณีผู้ใดทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์โดยการสมยอมกัน หากไม่รับผิดชอบต้องได้รับโทษ กรณีผู้ชายไม่ยอมรับจะมีโทษทางอาญา กรณียอมรับเพราะถูกไกล่เกลี่ย เป็นการยอมรับด้วยความจริงใจหรือไม่ เป็นต้น ส่วนการดำเนินงานหลังจากนี้ จะจัดให้มอบนโยบายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯให้แก่หน่วยงานทั้งส่วนกลางและ ส่วนภูมิภาคประมาณ 1,000 คน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวมอบ ในวันที่ 11 ก.พ.นี้

ที่มาข่าว
เอาผิดอาญาผู้ชายไข่แล้วทิ้ง
73  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไมเกรน เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง รักษาด้วยธรรมะ เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 01:28:09 am
ไมเกรน เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง

ที่มีความแตกต่างจากโรคปวดศีรษะทั่วไปอย่างคาดไม่ถึง

ปัจจุบันสาเหตุของไมเกรนยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด มีอยู่หลายทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้

โดยเชื่อกันว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติชั่วคราวของระดับสารเคมีในสมอง

การสื่อกระแสประสาทในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมองชั่วคราว   

และจากข้อมูลทางระบาดวิทยา ปัจจุบันเชื่อว่าไมเกรนสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบ

อาการอย่างไรถึงเรียกไมเกรน

       อาการปวดศีรษะไมเกรนต่างจากอาการปวดศีรษะธรรมดาตรงที่ว่า อาการปวดศีรษะธรรมดา

มักจะปวดทั่วทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดตื้อ ๆ ที่ไม่รุนแรงนัก และมักจะไม่มีอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย

ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่  แต่ไมเกรน มักจะปวดตุ๊บ ๆ เป็นระยะ ๆ

แต่ก็มีบางคราวที่ปวดแบบตื้อ ๆ ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก  โดยจะค่อย ๆ ปวดมากขึ้นทีละน้อย

จนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ บรรเทาอาการปวดลงจนหาย  มักจะปวดข้างเดียว

หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง  และแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้

แต่บางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อม ๆ กันตั้งแต่แรก
 
ใครติดอันดับเป็นไมเกรน

       โรคปวดศีรษะไมเกรน  ส่วนใหญ่จะเป็นในผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์  ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย

มักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง  แต่ก็อาจเกิดในผู้ที่สุขภาพจิตดีก็ได้

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นไมเกรน 

       อาการปวดศีรษะที่เกิดจากโรคไมเกรน  แพทย์ต้องทำการวินิจฉัยจากลักษณะจำเพาะของอาการปวดศีรษะ

อาการที่เกิดร่วมด้วย ตรวจร่างกายพบว่าสมองทำงานปกติดี และไม่พบความผิดปกติของร่างกายส่วนอื่น ๆ

ที่จะทำให้ปวดศีรษะได้ด้วย

       - ลักษณะต่าง ๆ ของอาการปวด  ได้แก่  ตำแหน่ง ความรุนแรง ลักษณะการปวด การดำเนินของการปวด
       - อาการที่เกิดร่วมด้วย คลื่นไส้  เวียนหัว
       - ไม่พบความผิดปกติของการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด เช่น

ความคิดอ่านเชื่องช้า  มองเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง เดินเซ ไข้ ตาแดง ตาโปน มีน้ำมูกกลิ่นเหม็น เป็นต้น
       -  ปัจจัยกระตุ้นอาการปวด เช่น ความเครียด แสงจ้า ๆ อาหารบางชนิด อดนอน
       -  ปัจจัยทุเลาอาการปวด เช่น การนอนหลับ การนวดหนังศีรษะ ยา การกดจุด
           
        นอกจากนี้ แพทย์อาจต้องสอบถามอาการและตรวจร่างกายผู้ป่วยเพิ่มเติมในกรณีที่จำเป็น

เพื่อการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง

ปัญหาที่พบบ่อยที่เห็นได้ชัดคือ
 
เสียสุขภาพกาย ต้องทรมานจากความปวด บางรายปวดรุนแรงมากจนแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนฝาผนัง

บางรายปวดข้ามวันข้ามคืนจนนอนหลับไม่สนิท   บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน   อ่อนเพลียจนเสียสมรรถภาพ

การเรียนการทำงาน ไมเกรนเป็นโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ทำงานประเภทใช้ความคิด ต้องขาดงานเป็นจำนวนมาก

ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจไม่น้อย ถ้าเป็นบ่อยและรุนแรงมาก ๆ ก็ทำให้เสียสุขภาพจิตได้

บ้างก็จะวิตกกังวลว่าอาจจะเป็นเนื้องอกในสมองไมเกรนช่วยได้
           
       วิธีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญคือ   การบรรเทาอาการปวดศีรษะ 

และการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการ

การบรรเทาอาการปวดศีรษะนั้น    อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา  เช่น  การนวด การกดจุด การประคบเย็น

การประคบร้อน หรือการนอนหลับ ในรายที่ไม่ได้ผลหรืออาการปวดรุนแรงจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด   

สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะนั้น ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี
     • วิธีแรก คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม
     • วิธีที่สอง คือ กินยาป้องกันไมเกรน  แพทย์จะแนะนำให้กินยาป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น

สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน ยาป้องกันไมเกรนนั้น

มีอยู่หลายชนิด ยาแต่ละชนิดจะมีผลข้างเคียงต่างกันไป จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย

แต่ละรายไป แนะนำให้กินยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6 - 12 เดือน จึงลองหยุดยาได้

เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มกินใหม่
           
       แม้ไมเกรนจะเป็นโรคที่เรื้อรัง  แต่สามารถควบคุมให้โรคสงบลงได้  หากรู้จักรับมือกับอาการที่เกิดขึ้น

รศ.นพ.รังสรรค์   ชัยเสวิกุล
อายุรแพทย์ระบบประสาทสมอง
74  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 6 ช่วงอันตราย ที่ควรรู้ เพื่อประคองสติ คร้า... เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 01:17:49 am

"รถติดไหมคะ?" อาจไม่ใช่แค่บทสนทนาสั้น ๆ ที่ไร้ความหมาย การที่คุณติดอยู่บนถนนกับการจราจรที่เป็นอัมพาต จะทำให้ความดันโลหิตของคุณเพิ่มขึ้น และเสี่ยงหัวใจวายมากขึ้นถึง 3 เท่า แต่ถนนหนทางไม่ใช่ปัญหาเดียวของโรคหัวใจเท่านั้น ยังมีสถานการณ์หรือช่วงเวลาอื่น ๆ ที่หัวใจของคุณแขวนอยู่บนเส้นด้าย ยิ่งถ้าคุณหรือคนใกล้ตัวมีประวัติโรคหัวใจมาก่อน ต้องระวังไว้ก่อนในเหตุการณ์ต่อไปนี้

1.ยามเช้า

นัก วิจัยจากฮาร์วาร์ดประเมินว่า ในยามอรุณเบิกฟ้าความเสี่ยงหัวใจวายจะเพิ่มขึ้น 40% เพราะในขณะที่คุณตื่นนอน ร่างกายจะหลั่งสารทั้งอะดรีนาลีนและฮอร์โมนความเครียดอื่นๆ ทำให้ความดันโลหิตพุ่งขึ้นสูง และต้องการออกซิเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ด้วยความที่คุณขาดน้ำ เลือดจึงข้นและสูบฉีดลำบาก ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นภาระแก่หัวใจทั้งสิ้น

กันไว้ก่อน : ตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อเอาไว้บ้าง คุณจะได้กดเลื่อนปลุกแล้วค่อยๆ ตื่นส่วนคนที่ชอบออกกำลังตอนเช้า อย่าลืมวอร์มอัพให้เข้าที่ เพื่อลดความเครียดต่อหัวใจ สุดท้ายคนที่กินยาลดความดันโลหิตควรจะกินยาก่อนนอน เช้าขึ้นมายาจะออกฤทธิ์ดี

2.เช้าวันจันทร์...อันตราย

ใครๆ ก็ขยาดวันจันทร์กันทั้งนั้น และวิทยาศาสตร์ ก็มีเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมวันจันทร์ถึงน่ากลัว อาจเป็นเพราะเราทั้งเครียดและหดหู่กับการต้องกลับไปทำงาน เช้าวันจันทร์จึงพ่วงสถิติหัวใจวายมากกว่าปกติถึง 20%

กันไว้ก่อน : รีแลกซ์ให้เต็มที่ในวันอาทิตย์ แต่อย่าเผลอนอนดึก เพราะถ้านอนดึกทั้งวันเสาร์-อาทิตย์ และต้องตื่นแต่เช้าในวันจันทร์ ร่างกายของคุณจะอ่อนล้าและผิดจังหวะชีวิตเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง อย่ากระนั้นเลยนอนหลับและตื่นนอนเป็นเวลาทุกๆ วันดีกว่า

3.หลังอิ่มท้องกับมื้อหนัก

คน ที่เข้าใจผิดว่าบุพเฟต์มีไว้กินให้คุ้ม คงไม่รู้ว่าหัวใจได้รับผลกระทบเร็วและแรงแค่ไหน มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า อาหารที่มีทั้งไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง จะทำให้หลอดเลือดตีบและอุดตันได้ง่าย

กันไว้ก่อน : ถ้ายอมตามใจปากจริงๆ ก็ควรกินอาหารแต่ละหมู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ นอกจากนี้ แอสไพรินก็อาจช่วยป้องกันไม่ให้เลือดข้นได้ด้วย

4.ระหว่างทำ "ธุระส่วนตัว"

คุณ ไม่อยากหัวใจวายในขณะที่อยู่ในห้องน้ำแน่ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ความเกร็งระหว่างถ่ายหนักจะเพิ่มแรงกดดันภายในหน้าอก ทำให้เลือดไหลกลับไปเลี้ยงหัวใจได้ช้าลง

กันไว้ก่อน : กินอาหารที่มีกากใยมากๆ อย่าปล่อยให้ขาดน้ำและหลีกเลี่ยงการเกร็งท้องจะช่วยได้

5.ระหว่างออกกำลังหนักๆ

หัวใจ วายอาจเกิดขึ้นได้เพราะผู้ป่วยไม่คุ้นเคยกับการออกแรง พร้อมกับที่ฮอร์โมนความเครียดพุ่งสูงขึ้น ทำให้ทั้งความดันโลหิตและอัตราชีพจรพุ่งทะลุเพดาน

กันไว้ก่อน : การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเสมือนเกราะป้องกันหัวใจ แต่ค่อยๆ เพิ่มความหนักในการออกกำลังจะดีกว่า

6.เมื่อยืนพูดต่อหน้าคนอื่น

บาง ครั้งหัวใจของคุณอาจรู้สึกว่า การพูดต่อหน้าคนจำนวนมากเหมือนกับการออกกำลังที่ไม่เคยชินก็ได้ เมื่อความตื่นเต้นกระสับกระส่ายถึงขีดสุด ความดันโลหิต อัตราชีพจร และระดับ อะดรีนาลีนจะจับมือกันพุ่งทะลุเพดาน ทั้งสามอย่างนี้ล่ะ ที่ทำให้ความวิตกกังวลในเรื่องที่ต้องพูดเป็นเรื่องที่สำคัญรองๆ ลงไปเลย

กันไว้ก่อน : ทำสมาธิ ผ่อนลมหายใจเข้าออก ปล่อยวางความเครียด และสูดลมให้ใจเข้าลึกๆก็จะสามารถช่วยได้
75  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้อคิดธรรมะ ยามดึก เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 01:13:34 am




ขอบคุณ
http://variety.teenee.com
76  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อยากมีสุข..ก็ไล่ความทุกข์.. เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 01:11:21 am
อยากมีสุข..ก็ไล่ความทุกข์..




ความสุข..อภิรมย์..รื่นรมย์..ยินดี..
เมื่อถึงเวลาที่เราปวดทุกข์..
เรามักจะนึกถึง.. “ห้องสุขา”..

ห้องที่เต็มไปด้วย..ความสุขรื่นรมย์..
ห้องที่เต็มไปด้วย..การปลดปล่อยอารมณ์ส่วนตัว..
ห้องที่เต็มไปด้วย..ขยะของเสียจากตัวเรา..

เราเคยถามตัวเอง..บ้างหรือเปล่าว่า..??
ทุกครั้งที่เราเข้าห้องสุขา..
เรากำลังทำบาป..โดยไม่รู้ตัว..(เหยียบคอห่าน)..
และพร้อมทั้งขับถ่ายของเสียออกจากตัว..

ของเสีย..ที่ว่านี้..
…อาจจะดูว่า..ไม่สำคัญอะไร..
…ก็เมื่อมันเสีย..ก็ควรขับถ่ายมันทิ้งออกไปเสีย..

คนเราก็เช่นเดียวกัน..
…เราได้แต่ขับถ่ายของเสีย..ออกจากตัว..
…แต่ลืม..ที่ขับถ่ายอารมณ์ที่เสีย..ออกจากจิตใจ..

ของเสีย..
เมื่อหมักหมมไว้ในร่างกายนาน ๆ..
ก็มีผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของเราได้..

ของเสีย..
คือ..อารมณ์ร้ายต่าง ๆ..
ในจิตใจของเราก็เช่นเดียวกัน..
…หากสั่งสมไว้มาก ๆ..
…ก็จะทำให้สุขภาพจิตใจเสีย..
…กลายเป็นอารมณ์บูด..อารมณ์เน่า..ได้เช่นกัน..
…และส่งผลเสีย..ต่อจิตใจที่งดงามของเราด้วย..

จงมาสร้างห้องสุขาในจิตใจของเรา..
ให้รื่นรมย์..อภิรมย์หมาย..
…ด้วยการขับถ่ายของเสีย(อารมณ์ร้ายต่าง ๆ)
…ออกจากจิตใจ..กันเถอะ..

 
ที่มา  ธรรมะไทย
77  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตำนานรักอมตะ 100 ปี จ.ชลบุรี เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 01:09:54 am


“เขาสามมุก”  เป็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านอ่างศิลาและ  หาดบางแสน  ขับรถไปตามถนนเลียบริมหาด จากอ่างศิลาเป็นทางลาดขึ้นไปนั่นก็คือบริเวณที่เรียกกันว่า  เขาสามมุก  และ เขาสามมุกเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงจำนวนมาก ส่วนศาล เจ้าแม่สามมุก ตั้ง อยู่บริเวณเชิงเขา และ ที่มุมหนึ่งของศาล เจ้าแม่สามมุก มีผู้เขียนถึงตำนานความรักของท่านไว้ดังนี้
   
       ..."เมื่อปลายรัชสมัยกรุงศรีอยุธยาบริเวณบางแสนและ เขาสามมุข ยังไม่มีบ้านเรือนและผู้คนหนาแน่นเหมือนปัจจุบันนี้ ชื่อบางแสนและเขาสามมุขก็ยังไม่ปรากฏ จะมีก็แต่ตำบลอ่างหิน ในปัจจุบันก็คือตำบลอ่างศิลาอันเป็นชุมชนของชาวประมงริมทะเล" ณ. ตำบลอ่างหินนี่เอง  (อ่างศิลา)  มีเจ้าของชื่อโป๊ะ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนามว่า  “กำนันบ่าย”  มีลูกชายชื่อว่า  “แสน” 

       ..."จากตำบลอ่างหินออกไปพอประมาณมียายหลานอาศัยกันอยู่คู่หนึ่ง ยายมีชื่อเสียงเรียงนามใดไม่ได้ปรากฏไว้ ส่วนหลานสาวนั้นมีชื่อว่า  “สาว มุข”  อาศัยอยู่ในเมืองปลาสร้อย  (จังหวัดชลบุรีในปัจจุบัน)  เมื่อ บิดามารดาเสียชีวิตลง ก็ได้มาอาศัยอยู่กับยายจนกระทั่งโต  “สาวมุข”  มักจะชอบมานั่งเล่นดูหนุ่มสาวรวมทั้งเด็กที่มาเล่นว่าวในหน้าลมว่าวอยู่ริม เชิงเขาเป็นประจำ และมีเพื่อนที่คอยหยอกล้อเล่นเป็นประจำก็คือลิงป่าที่ลงมาจาก เขา สามมุก "
   
      ..."อยู่มาวันหนึ่งขณะที่  “สาวมุข”  กำลังนั่งเล่นอยู่ ก็ได้มีว่าวตัวหนึ่งขาดลอยลงมาตกอยู่ที่หน้าของ  “สาวมุข”  เธอจึงเก็บว่าวตัวนั้นไว้และ มีเด็กหนุ่มชื่อแสนวิ่งตามว่าวที่ขาดลอยมาจึงได้พบกับ  “สาว มุข”  เขาทั้งสองได้รู้จักกันและ แสนก็ได้มอบว่าวตัวนั้นไว้เป็นที่ระลึก หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้พบปะกันเรื่อยมาจนเกิดเป็นความรัก และได้สาบานต่อหน้าขุนเขา ( เขา สามมุก)  ปัจจุบัน แห่งนี้ว่า  “ ทั้งสองจะครองรักกันชั่วนิรันดร หาก ใครผิดคำสาบานนี้จะกระโดดหน้าผาแห่งนี้ตายตามกัน ”  และแสนได้มอบ แหวนวงหนึ่งให้แก่  “สาวมุข”  ไว้เพื่อเป็นพยาน"
   
       ..."เมื่อกำนันบ่ายซึ่งเป็นพ่อของแสน ได้ทราบเรื่องเข้าก็เกิดความไม่พอใจ แสนได้พยายามขอร้องผู้เป็นพ่อให้ไปสู่ขอ  “สามมุข”  แต่กำนันบ่ายก็กีดกันและ กักบริเวณแสนไว้ จึงทำให้ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากัน หลังจากนั้นกำนันบ่ายก็ได้ไปสู่ขอลูกสาวคนทำโป๊ะให้กับแสนและ กำหนดพิธีการแต่งงานขึ้น ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอ่างหิน  (อ่างศิลา)  จน  “สาวมุข”  เองก็ได้รับรู้ถึงข่าวนี้ด้วย ในวันแต่งงานของแสนได้มีการจัดงานกันอย่างใหญ่โต สมเกียรติกับที่เป็นงานของกำนันบ่าย"
   
       ..."ตลอดระยะเวลาที่แขกได้ทยอยเข้ามารดน้ำสังข์อวยพรให้คู่บ่าวสาวทั้งสอง แสนได้แต่ก้มหน้านิ่งเสียใจอยู่กับตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนกระทั่งแสนรู้สึกว่ามีน้ำสังข์ลดลงมาพร้อมกับแหวนวงหนึ่งตกลงมาด้วย แสนจำได้ดีว่าแหวนวงนี้เขาเป็นคนมอบให้  “สาวมุข”  แต่พอเงย หน้าขึ้น “สาวมุข”  ก็ได้วิ่งจากออกไปแล้ว แสนได้หวนคิดถึงคำสาบานที่ได้ให้กับ  “สาวมุข”  ไว้ จึงรีบวิ่งไปที่เชิงเขาแต่ก็สายไปเสียแล้ว  “สาวมุข” ได้ขึ้นไป ที่หน้าผานั้นแล้วทิ้งร่างที่ไร้หัวใจลงดิ่งสู่ก้นผาสิ้นชีพอยู่ริมทะเล แสนผู้ที่ให้คำสาบานไว้กับ  “สาวมุข”  เขาจึงกระโดดลงหน้าผาตาม “สาว มุข”  หญิงสาวสุดที่รักไป"
   
       ..."จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวพากันเศร้าสลดใจเป็น อย่างมาก จึงพากันสาปแช่งกำนันบ่าย ต่อมากำนันบ่ายได้นำถ้วยชามสิ่งของต่างๆ มาไว้ในถ้ำตรงหน้าผาแห่งนั้นและตั้งชื่อภูเขาลูกนี้ว่า  “เขาสามมุข”  และชายหาดที่ติดกันว่า  “หาดบางแสน”  เพื่อเป็นอนุสรณ์รักแด่คนทั้งสองจนถึงปัจจุบัน"
   
       ... ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเล่าว่า "เมื่อตกดึกได้พบเห็นร่างของหญิงสาวมายืนอยู่ตรงหน้าผานั้น เป็นประจำทุกคืน” ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างศาลนี้ขึ้นเพื่อ เป็นที่สิงสถิตและ เป็นที่เคารพสักการะแก่ชาวบ้านและชาวประมงเมื่อเวลาที่จะ ออกเรือไปหาปลามักจะมีการมาจุดประทัดบนบาน ขอให้ได้ปลากลับมาเต็มลำเรือ อย่าต้องเผชิญกับลมพายุบางครั้งเจอลมพายุกลางทะเลก็จุดธูปบน  เจ้าแม่สาม มุข  ให้รอดปลอดภัยจากอันตรายก็สัมฤทธิ์ผลเรื่อยมา...
   
       จากนั้นเมื่อเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ของ เจ้าแม่สามมุข นั้นแพร่กระจายออกไป ก็มักมีคู่รักชายหญิง มาอธิษฐานขอให้ความรักของตนสมหวัง โดยเขียนชื่อตนกับคนรักไว้บนว่าว แล้วแขวนไว้บริเวณศาลโดยเชื่อกันว่า เจ้าแม่สามมุก จะดลบันดาลให้ทุก คู่รักสมหวัง และไม่พลัดพรากจากกันเหมือนดังในตำนาน  คำว่าเขา"สามมุข" เพี้ยนมาจาก "สาวมุข" 


CR :: postjung
78  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การหายใจล้างพิษ เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 01:07:26 am
ปัจจุบัน ทุกคนล้วนเผชิญหน้ากับสารพิษต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับสารพิษภายนอก อาทิเช่น ควันบุหรี่ ควันท่อไปเสีย ยาฆ่าแมลง สารเคมีจากสิ่งแวดล้อม น้ำดื่มไม่สะอาด อาหารปรุงแต่งต่างๆ และสารพิษภายใน อย่างความเครียด ความกดดัน อารมณ์ที่ก่อให้เกิดความกดดัน ทำให้ร่างกายหลั่งสารพิษที่มีผลต่อกลไกการทำงานต่างๆ ของร่างกาย

     หากร่าง กายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ก็อาจจะขจัดสารพิษออกไปได้ แต่ถ้าสารพิษมีมากเกินไปหรือไม่สามารถขจัดสารพิษออกไปได้ ก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ และสารพิษนั้นก็จะกลับมาทำร้ายร่างกายด้วย โรคภัยต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน จึงต้องมีการล้างพิษเพื่อช่วยบำบัดฟื้นฟูร่างกาย

     การ ล้างพิษมีหลายวิธีด้วยกัน เช่น ล้างพิษด้วยการรับประทาน ล้างพิษทางจิตใจ ล้างพิษมลภาวะด้วยต้นไม้ ล้างพิษด้วยการหายใจ และอีกมากมาย

     การล้างพิษด้วยการหายใจ เป็นการเติมออกซิเจนให้กับร่างกาย และทำให้จิตใจสงบ การหายใจลึกๆ เป็นการประสานการทำงานร่วมกันระหว่างร่างกายและจิตใจ ปอดและกะบังลมทำให้ออกซิเจนหมุนเวียนดีขึ้น

   วิ ธี ก า ร ...

    1. นั่งในท่าสบาย หลังตรง แล้ววางมือขวาบนหน้าอก และมือซ้ายวางบนหน้าท้อง

    2. หายใจเข้าช้าๆ และลึกๆ โดยให้มือซ้ายที่วางอยู่บนหน้าท้องยกขึ้น ขณะมือขวาที่หน้าอกอยู่นิ่ง

    3. กลั้นหายใจชั่วครู่ แล้วผ่อนลมหายใจออกด้วยความเร็วสม่ำเสมอ จนรู้สึกว่าปอดและท้องแฟบ

    4. หายใจเข้าเหมือนเดิมอีกครั้ง แล้วกลั้นหายใจ 2-3 วินาที จึงหายใจออกให้ท้องแฟบมากที่สุด



      ปฏิบัติ เช่นนี้วันละ 5 นาที ล้างพิษด้วยการหายใจ เป็นการกำจัดของเสียออกจากร่างกายวิธีหนึ่ง การหายใจอย่างถูกวิธีจะช่วยขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายได้หมด
79  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวย่านซื่อ เมืองอ่างทองเตรียมอัญเชิญพระประธานวัดเก่าแก่ในตำนาน จมน้ำกว่า 200 ปี เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 01:02:35 am
ชาวย่านซื่อ เมืองอ่างทอง เตรียมอัญเชิญพระประธานวัดเก่าแก่ในตำนาน จมน้ำกว่า 200 ปี ขึ้นจากกลางลำเจ้าพระยา

วันนี้ (13 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากชาวบ้าน ใน ต.ย่านซื่อ อ.เมืองอ่างทอง ว่า วันที่ 16 ม.ค.นี้ ที่บริเวณหน้าวัดโบสถ์ย่านซื่อ จะมีพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปพระประธาน ที่จมอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา มานานกว่า 200 ปี จากการสอบถาม นายเผือก คันทรง อายุ 81 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46 หมู่ 4 ต.ย่านซื่อ เล่าว่า เมื่อก่อนบริเวณนี้เป็นวัดเก่าแก่ มีวิหาร และพระอุโบสถพังลงไปในแม่น้ำ ทำให้พระพุทธรูปจมลงไปด้วย แต่ตนก็ไม่เคยเห็น เพราะเกิดไม่ทัน มีแต่เรื่องเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แต่ที่ฮือฮากันมากเนื่องจากเมื่อหลายวันก่อน หลวงพ่อประเทือง พระลูกวัดดังกล่าว เล่าว่า มีคนไปเข้าฝันว่า ให้นำพระพุทธรูปขึ้นมาจากแม่น้ำ เพราะถูกพระอุโบสถทับ และหายใจไม่ออก

ทางด้าน นางทุเรียน สุขคำผิว อายุ 67 ปี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าว มีอยู่จริง ตนเป็นคนหนึ่งเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ได้ใช้เชือกดึงพระพุทธรูปขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สามารถนำขึ้นมาได้ โดยเรื่องมีอยู่ว่าในตอนนั้น ตนอายุประมาณ 20 ปี มีคนถอดแหดำลงไปในแม่น้ำ แล้วพบพระพุทธรูปจมนอนคว่ำหน้าอยู่ในน้ำ จึงมาบอกชาวบ้าน และดำลงไปใช้เชือกผูกเศียรพระ ให้ชาวบ้านหลายสิบคนช่วยกันดึงจนเชือกขาด แต่ไม่สามารถดึงขึ้นมาได้

ขณะที่ นายสามารถ ชีระภากร นายก อบต.ย่านซื่อ กล่าวว่า ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ จะมีนักประดาน้ำจาก จ.ชลบุรี กว่า 30 คน มาลงสำรวจ และทิ้งทุ่น จากนั้น จะมีพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมา ตนอยากเห็นเหมือนกัน เพราะได้ยินแต่คนรุ่นเก่า ๆ เล่ามาตั้งแต่เกิด.


ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=420&contentID=115350
80  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เวทนาที่ไม่ได้หมายถึงแค่ความรู้สึก เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 08:46:15 am
เวทนาที่ไม่ได้หมายถึงแค่ความรู้สึก

เวทนา 3 (การเสวยอารมณ์, ความรู้สึกรสของอารมณ์ — feeling; sensation)
1. สุขเวทนา (ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม — pleasant feeling; pleasure)
2. ทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์ ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม — painful feeling pain)
3. อทุกขมสุขเวทนา (ความรู้สึกเฉยๆ จะสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ก็ไม่ใช่ เรียกอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา — neither- pleasant-nor-painful feeling; indifferent feeling)

ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=111

เวทนา 5 (การเสวยอารมณ์ — feeling)
1. สุข (ความสุข ความสบายทางกาย — bodily pleasure or happiness)
2. ทุกข์ (ความทุกข์ ความไม่สบาย เจ็บปวดทางกาย — bodily pain; discomfort)
3. โสมนัส (ความแช่มชื่นสบายใจ, สุขใจ — mental happiness; joy)
4. โทมนัส (ความเสียใจ, ทุกข์ใจ — mental pain; displeasure; grief)
5. อุเบกขา (ความรู้สึกเฉยๆ — indifference)

ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=112

ใน พระพุทธศาสนา เวทนาซึ่งเป็นเวทนาขันธ์ไม่ได้แปลว่าความรู้สึกเท่านั้น บางทีเราอาจได้เคยพูดว่าอืมสัตว์ตัวนี้น่าเวทนาจัง โอน่าเวทนาบ้าง เป็นต้น เวทนาไม่ได้หมายความถึงความรู้สึกแบบนั้น เวทนา 3 หมายถึงความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ และเฉย ๆ (คือไม่สุขไม่ทุกข์) ถ้าเป็นเวทนา 5 ก็คือความรู้สึกสุขใจ (โสมนัส (อ่านโสม-มะนัส)) ความรู้สึกทุกข์ใจ (โทมนัส (อ่านโทม-มะ-นัส) สุขกาย (คือสบายกาย) ก็คือแยกความสุข และความทุกข์เป็นความสุขทางกาย ความสุขทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความทุกข์ทางใจ เพิ่มขึ้นอีกสองรวมกับอุเบกขา หรืออทุกขมสุขเวทนา (อ่าน อะ-ทุก-ขะ-มะ-สุข) ก็เป็นเวทนา 5

เมื่อตอนสุขกาย สุขใจเราก็ต้องพึงพอใจความรู้สึกจึงเป็นสุขเป็นโสมนัส ตอนที่ทำบุญทำกุศลเป็นไปได้ที่เราจะสุขใจแต่ก็อาจเป็นไปได้ที่เราเกิดความ รู้สึกเฉย ๆ หรือตอนทำอกุศลจะทราบหรือไม่ทราบก็ตามอาจความโทมนัสเพราะอกุศลเป็นเครื่อง เศร้าหมอง เรื่องของความทุกข์กาย บางคนอาจไปปนกับทุกขสัจจ (ในอริยสัจ 4) เช่นเข้าใจไปว่าการทุกข์กายเป็นทุกขัง ทั้งที่ทุกข์กายเป็นเรื่องเวทนา เป็นความไม่สบายทางกาย เป็นเรื่องความรู้สึกเจ็บปวดทางกาย

วัน ๆ หนึ่งเราไม่ค่อยได้สังเกตุเรื่องเวทนา เรามีความสุขกายสุขใจจากได้กินของอร่อย ได้ซื้อของที่อยากได้แล้วมีความสุข ได้เห็นสิ่งที่สวยงามก็ชื่นชม ได้ยินเพลงที่ไพเราะก็ชอบใจร้องตาม ได้กลิ่นน้ำหอมที่ฉีดก็รู้สึกดี เข้ามาอยู่ในห้องแอร์หลังจากอยู่ในที่รู้สึกร้อนก็ชื่นใจ เหล่านี้เป็นความสุขกาย สุขใจ ในทางตรงกันข้าม ตั้งใจสั่งของอร่อยมากินปรากฏกินเข้าไปแล้วไม่ถูกปาก หรืออาหารที่กินไม่ถูกฝาก ได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าสวยงามเช่น เห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นต่อหน้า หรือเห็นสัตว์พิการเดินผ่านแล้วสลดหดหู่ ได้กลิ่นขยะลอยเข้าจมูกแล้วไม่พอใจ ต้องอยู่ในห้องที่เรารู้สึกว่าเย็นไปร้อนไป เหล่านี้ก็เกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจ นี่เป็นเรื่องของเวทนา ถ้าสังเกตุได้เวทนาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น ได้ลิ้มรส มีการกระทบสัมผัสกาย (ทำให้เกิดความรู้สึกเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว (อาการเคลื่อนไหวของร่างกาย)

ลองคิดย้อน หลังดูครับ เคยได้ทำกุศลอะไรที่ทำให้เกิดโสมนัสมาก ๆ หรือไม่ ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจ หรือถึงขนาดทำให้เกิดปิติขนาดขนลุกชูชัน เคยทำอกุศลมาหรือไม่ เช่นโกรธ เวลาโกรธคนอื่นรู้สึกถึงโทมนัสหรือไม่ ความขุ่นเขือง โกรธมากจนตัวสั่น เหล่านี้เป็นโสมนัส หรือโทมนัสที่รุนแรง ปรากฏอย่างชัดแจ้ง แต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สึกเพราะเป็นกุศล หรืออกุศลทั่ว ๆ ไป ความรู้สึกที่เกิดไม่ได้ปรากฏชัดแจ้งทำให้ยากต่อการระลึกถึง

ลองคิด ดูนะครับวันหนึ่ง ๆ เราเกิดเวทนาอะไรมากที่สุด สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเทเวทนา ลองระลึกเกี่ยวกับความรู้สึกของเรานี่แหละ เราใช้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่ง ๆ โดยไม่ทราบเลยว่าเวทนาที่เกิดขึ้นคืออะไร คงเกิดคำถามเราจะรู้ไปทำไมกันล่ะว่าเกิดเวทนาอะไรในวันหนึ่ง ๆ เวทนาเป็นเรื่องสำคัญ เวทนาเป็นหนึ่งในขันธ์ 5 เวทนาปัสสนาสติปัฏฐานเป็นหนึ่งในสติปัฎฐาน 4 การศึกษาและปฏิบัติศาสนาพุทธคือ การมีสติเข้าใจ สามารถแยกสิ่งที่เราไม่รู้ให้เป็นสิ่งที่รู้ เพื่อให้เราสามารถทราบถึงสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏ เราท่านใช้ชีวิตอยู่วัน ๆ ทำกิจหน้าที่ การงานโดยเข้าใจว่าเราเป็นผู้ทำ เป็นตัวเป็นตน แท้จริงโลกที่ปรากฏถ้าได้ศึกษาและปฏิบัติจะทราบได้ว่าเป็นโลกที่ปรากฏเพียง ทางการเห็น การได้เห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัส (เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว) ทั้งหมด 7 ทาง (ตา หู จมูก ลิ้น (สี่ทาง) กาย (อีกสามทาง) การศึกษาและปฏิบัติศาสนาพุทธเพื่อให้เราสามารถเปลี่ยนจากความไม่รู้ว่าสิ่ง ที่มีสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นโลกทุก ๆ วันนี้ ปรากฏกับเราก็เพราะเราคิดเหมารวมทุก ๆ อย่างที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมารวมว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

เช่นเดียวกับเรื่องเวทนา ถ้าลองพิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้น พิจารณาในขณะที่เกิด ลองพิจารณาดูว่าขณะนี้เกิดเวทนาอะไร ลองพิจารณาในขณะที่เกิด เป็นสุข (กาย ใจ) เป็นทุกข์ (กาย ใจ) หรือแค่เฉย ๆ

เรื่องที่เขียนมาและจะเขียนต่อ ไปก็วนเวียนอยู่แต่โลกที่เกิดจากการกระทบสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อยู่แค่นี้ แต่ทว่าต้องศึกษาและ ปฏิบัติกันไปชั่วชีวิต พระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากว้างขวาง และเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันยิ่ง เช่นเวทนาที่กล่าวมาแล้ว เป็นเรื่องของเจตสิก ขันธ์ สติปัฎฐาน เป็นต้น เรียนเชิญท่านผู้สนใจค้นคว้าและปฏิบัติกันต่อไป ในชีวิตปัจจุบันนี้ ความรู้ทางพระพุทธศาสนาหาได้ไม่ยาก ขออย่างน้อยเมื่ออ่านก็ได้พิจารณาว่าความรู้ที่ได้มาเกี่ยวข้องการเรื่องการ ไม่โลภ อโลภะ (ทำแล้วไม่ต้องขออะไรให้ตนเอง) ไม่โกรธไม่ขุ่นเขืองใจ อโทสะ พ้นจากความไม่รู้ อโมหะ เราศึกษาและปฏิบัติไปเพื่อลด ละ เลิกกิเลสต่าง ๆ ถ้าไปทำอะไรที่เกิดความต้องการ (โลภะ) เช่นขอให้หายป่วย ขอให้โชคดี ขอให้ไม่โกรธ ขอให้สงบ ขอสารพัดขอ การศึกษาและปฏิบัติที่พ้นจากความขุ่นใจ ทำแล้วเกิดไม่สบายใจ (โทสะ) ก็ไม่ใช่การศึกษาและปฏิบัติที่ถูก การศึกษาและปฏิบัติก็เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมะที่ปรากฏแต่ละอย่าง ๆ เมื่อเข้าใจแล้วก็ช่วยให้ลด ละ เลิก เปลี่ยนจากความที่ไม่เคยรู้มาก่อน (โมหะ) เป็นความที่ค่อย ๆ รู้ขึ้น เกิดปัญญาประจักษ์สภาพความเป็นจริง ไม่ต้องคอย ไม่ต้องหวัง ค่อย ๆ ศึกษาไป

ที่มา  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=learning-learning&month=01-2011&date=06&group=1&gblog=6
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 12