ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - หมวยจ้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 12
81  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิเวกเป็นสิ่งที่ควรมี พุทธทาสภิกขุ เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 08:40:10 am
วันนี้จะพูดในหัวข้อว่า วิเวกเป็นสิ่งที่ควรรู้จัก และควรมี คำว่า วิเวกนี้ ดูจะเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป บาง คนคิดว่าเป็นคำครึคระ สำหรับพวกอยู่ป่า ฤๅษี ชีไพร ถ้าเคยเข้าใจอย่างนั้น ให้มาศึกษาใหม่ จะมีประโยชน์อย่างมาก มันมีความรับซ่อนอยู่ แล้วคนก็ไม่รู้จัก ไม่ต้องการ ให้เข้าใจคำว่า วิเวก เป็นตัวหนังสือก่อน ภาษาบาลี วิเวก แปลว่า เดี่ยว ไม่มีอะไรรบกวน แต่ภาษาไทยมีแต่จะเปลี่ยนความหมาย เป็นวิเวกวังเวง เป็นไม่ต้องการ ไม่น่าจะพอใจ คนธรรมดาก็ไม่ชอบวิเวก เพราะเขาไม่อยากอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็มีเด็กๆ เพื่อน คนหลายๆคน อบอุ่น นั่นไม่เป็นไร แต่ความหมายวิเวก มันลึกกว่านั้นมาก มันจำเป็นต้องมีด้วยซ้ำไป ถ้าไม่มีเสียบ้าง มันอาจจะตาย ก็ลองคิดดูว่า เดี่ยว และไม่มีอะไรมารบกวน มันจะสบายไหม

วิเวกแบ่งเป็น สามชนิด หนึ่งคือทางกาย คือ กายที่ไม่มีอะไรมารบกวน สองคือทางจิต จิตที่ไม่มีอะไรมารบกวน และสาม อุปธิวิเวก คือไม่มีอะไร มายึดมั่น ถือมั่น หอบหรือถือหนักอะไรเอาไว้ บางทีเปลี่ยนความคิดมาสนใจ พอใจ เรื่องวิเวกบ้างก็ได้

วิเวกทางกาย คือ กายที่ไม่มีใครมารบกวน แต่ในความจริง มันอยากมีอะไรมารบกวน มายุ่งด้วย จะยิ่งดี แต่ก็มีบางเวลาที่ไม่อยากให้มีใครมายุ่ง อยากมีอิสระ อยู่คนเดียว ไม่มีวัตถุ ไม่มีบุคคลมารบกวน สงบสงัด แต่ไปเข้าใจว่า สงัดคือน่าเบื่อ เป็นอย่างนั้นอีก เคยนึกชอบไหม เคยบ้างไหม บางเวลาอยากอยู่เดี่ยว บ้างไหม

ทีนี้ที่สองคือ จิตวิเวก คือวิเวกทางจิต จิตที่ไม่มีอะไรมารบกวน คงจะสังเกตเห็นได้ว่า สิ่งที่รบกวนจิต มันมีมากมาย จิตมันคิดนึกปรุงแต่ง ยกตัวอย่างจำนวนหนึ่ง เป็นเครื่องสังเกต ศึกษา ทดสอบ ก็ได้ เช่น ถ้าความรักมารบกวน มันก็นอนไม่หลับ ไฟมันลนหัวใจเสมอ หรือความโกรธ เป็นไฟชนิดหนึ่ง ทุกคนโกรธมาแล้วทั้งนั้น บางคนไม่อยากโกรธ มันก็โกรธ มันอดไม่ได้ ความเกลียด เกลียดใครไว้ เกลียดภาพอะไรไว้ สิ่งเหล่านั้นมารบกวน ความกลัว ก็กลัวต่างนาๆ กลัวคน กลัวตาย กลัวจะสูญเสียสิ่งที่ไม่อยากให้สูญเสีย มีร้อยแปดอย่าง ความตื่นเต้น มันได้ยิน ได้เห็นอะไร มันก็ตื่นเต้น มันถึงกับนอนไม่หลับได้เหมือนกัน ความวิตกกังวลถึงเรื่องที่มีอยู่ในอดีต มันฝังแน่น ไม่ลือ ในอนาคต คิดถึงเรื่องที่จะเป็นไปได้ ความอาลัยอาวรณ์ คงจะรู้จักกันดี ความอิจฉาริษยา อันนี้หนักสุด ใครมีคนนั้นบาปหนา หาความสงบสุขยาก ความหวง หรือที่เข้มข้น คือความหึง มันรบกวนอย่างยิ่ง ความยกตนข่มท่าน เหล่านี้รู้จักกันดี ความระแวง กลัวทุกคนไม่ชอบเรา กลั่นแกล้งเรา มันก็นึกอยู่คนเดียว โดยที่ฝ่ายนู้นเขาไม่รู้เรื่องก็มี คลุ้มคลั่งอยู่คนเดียว มันรบกวนจิต แล้วจะเป็นวิเวกได้อย่างไร มันจะสงบ เย็น มีเสรีภาพได้อย่างไร

อันที่สาม อุปธิวิเวก แปลว่าสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ แต่เป็นเรื่องทางจิตใจ หอบหิ้วเอาไว้ กอดรัดเอาไว้ เทิดทูลเอาไว้ เป็นเรื่องวัตถุ สังขาร ร่างกาย กามารมณ์ ตัวกู ตัวกู ร้ายกาจที่สุด คนโง่ชอบนักหนา บรมโง่ อย่างนี้เรียกว่า ไม่วิเวก คิดดู ถ้าถือก้อนหินเอาไว้ จิตมันจะสบายได้อย่างไร ที่จัดไว้อันหลังสุด เพราะมันร้ายกาจกว่า สองอันแรก รบกวนทางกายไม่เท่าไร รบกวนทางจิตก็ไม่เท่าไร แต่อุปธิวิเวกรบกวนตลอดเวลา ทุกวินาที เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่ก็ไม่ค่อยรู้กันมากนัก ไม่ปรารถนาที่จะวิเวก วิเวกมันในหน้าที่มันเกี่ยวข้องกับคนทั่วไปธรรมดาสามัญ

วิเวกเมื่อใด มันก็เป็นสุขภาพทางจิตใจเมื่อนั้น ไม่ มีอะไรมารบกวนกาย สุขภาพกายก็ดี ไม่มีอะไรมารบกวนจิต สุขภาพจิตก็ดี พระอรหันต์ไม่มีสิ่งรบกวน ที่เรียกว่า วิเวก อาจจะมีของไปรบกวน คนไปรบกวน สัตว์ไปรบกวน แต่ก็เหมือนไม่รบกวน ทางจิตก็ไม่มีนิวรณ์ไปรบกวน ทางอุปธิ ก็ปล่อยวางหมดแล้ว พระอรหันต์ ท่านก็มีวิเวก ครบสมบูรณ์ นี่ก็เป็นเครื่องเปรียบเทียบ สำหรับให้เรารู้จักพระอรหันต์โดยถูกต้อง และเราก็ไม่ต้องอวดดีว่าจะเป็นพระอรหันต์กันเดี๋ยวนี้ ฉะนั้นควรเอาอย่างท่าน เพื่อสุขภาพอนามัย ที่จริงมันก็มีอยู่ตามสมควร แต่คนโง่มันมองไม่เห็น ถ้าไม่มีวิเวกเลย มันตายไปนานแล้ว มันเป็นบ้า เวลาที่ไม่มีอะไรรบกวนมันพอมี แม้แต่คนกิเลสหนา มันยังพอมี ไม่ใช่มีกิเลสทุกลมหายใจเข้าออก แม้นาทีเดียวก็ถือว่ามี แต่คนมันไม่สังเกตเห็น มันไม่สนใจ มันไปหาสิ่งมารบกวนอีก หาสิ่งที่มาช่วยประโลมใจ ไม่ให้ว่าง

เครื่องประโลมใจ ถ้ามันไปในทางที่ดี ก็ดีอยู่ แต่ถ้าไปในทางที่ไม่ดี ก็วินาศ มีธรรมะเป็นเครื่องประโลมใจ มันก็ดี มีกามารมณ์เครื่องประโลมใจ มันก็วินาศ มนุษย์ทั่วไปมันก็เครื่องประโลมใจ จึงเป็นปัจจัยที่จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยเหมือนกัน จริงในบาลีมีแค่สี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย มันเป็นทางกาย แต่ทางฝ่ายจิตมันมีปัจจัย คือเครื่องประโลมใจ ถ้าไม่มีมันจะกระวนกระวายใจ มันไม่ปกติ ก็พูดให้คิด ให้นึก สวดมนต์ก็ได้ เรียนธรรมะก็ได้ มาประโลมใจ ธรรมะไม่เป็นอันตราย ให้เห็นภาพเหล่านั้น แล้วถูกต้อง พอใจ เป็นสุขภาพทางจิต ทางวิญญาณ เลยขอเรียกว่าเป็นปัจจัยที่ห้า ให้สบายใจ มีกำลังใจ รู้จักใช้ธรรมะเป็นเครื่องประโลมใจ ถ้าใช้กิเลสเป็นเครื่องประโลมใจ มันเขลา มันโง่ มันเป็นการทำลายวิเวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก หรือแม้แต่จิตวิเวก พวกที่ชอบกินเหล้า มันก็เกลียดวิเวก กินเหล้าไปกระตุ้นให้ฟุ้งซ่าน มันก็เลิกไม่ได้ ไม่ยอมเลิก หรือสูบบุหรี่ คนสูบมันก็สบายใจ ให้สิ่งเสพติดมาประโลมใจ ละก็ไม่ได้ มันไม่ต้องการวิเวก ของเสพติดอื่นก็เหมือนกัน น้ำชา กาแฟ เราควรหาอิสรภาพ เสรีภาพ ไม่เป็นทาสต่อสิ่งใด นั่นแหละดี มีสิ่งใดเป็นนาย เหนืออยู่ มันก็ไม่วิเวก มันเป็นสิ่งที่ควรสร้าง แต่เขาไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมทำความรู้สึก แม้ช่วงเวลาที่ว่างจากกิเลสมันก็มีบ้าง แต่มันไม่ยอมรับรสว่า มันประเสริฐอย่างไร

เราสังเกตดูดีๆว่า เมื่อใดที่เรารู้สึกสบายใจที่สุด เวลานั้นจะไม่มีอะไรรบกวนทางกาย จิต และอุปธิ แต่มันก็ผ่านไปโดยไม่มีใครรู้จัก แต่ก็พยายามไปหาโอกาสที่ไม่มีอะไรมารบกวน ไปชายทะเลบ้าง ไปภูเขาบ้าง แต่มันก็แค่ผิวๆ มันยังมีอุปธิ คือตัวกู ลากตัวกูไปเที่ยวทะเล ตัวกูมันไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่ก็รู้สึกอยู่บ้าง ไปริมทะเล มันโล่งอกโล่งใจ ว่างบ้าง มีวิเวกบ้าง แต่ไม่รู้จัก ไม่สร้างมันให้มีตลอดเวลา ฉะนั้นมันเกี่ยวกับความพยายามที่จะสร้างขึ้นมา

ที่ นี้มาพูดเรื่อง ธรรมะปฏิบัติที่จะให้บรรลุมรรคผลนิพพาน เรื่องนิพพานมันคือเรื่องว่าง สงบ วิเวก ศีลก็ทำให้วิเวก ปราศจากสิ่งรบกวนตามระดับของศีล สมาธิก็วิเวกตามระดับของสมาธิ มันจะพอมีตัวอย่างเล็กๆของวิเวกเข้ามา ถ้าเราพอใจที่จะมีมากขึ้นไปอีก พอใจ นั่นคือ ฉันทะ แล้วก็มี วิริยะ จิตตะ วิมังสา ตามหลักของอิทธิบาท ตามหลักศาสนาก็เป็นแบบนี้ แต่ไปเรียกว่า วิมุติบ้าง วิสุทธ์บ้าง แต่ก็มีความหมายคล้ายกัน ไม่มีอะไรมารบกวน ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ถ้ามองเห็นความว่างจะเข้าใจ ไม่ว่างมันบริสุทธิ์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าบริสุทธิ์จากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ทีนี้การบวชเข้ามา เป็นโอกาสอันดีที่จะศึกษาเรื่องเหล่านี้ เมื่ออยู่ที่บ้าน นั้นยากที่ศึกษา ไม่มีโอกาส มีเวลาเล่นหัวคลุกคลีกันอยู่มาก เอาเวลาไปนั่งวิเวกบ้าง อย่าชอบหัวเราะ ชอบคลุกคลี ที่เป็นข้าศึกต่อวิเวก แต่เอาเถอะ มันยากที่จะไม่หัวเราะเลย แต่ให้ระมัดระวังให้ควบคุม อย่าทำลายความสงบ สงัด ของจิตใจ วิเวกของผู้ สันโดษ ถ้าได้ฟังธรรมะของพระอริยะเจ้า มีความเห็นธรรมะนั้น จึงเกิดความวิเวก แล้วเป็นสุข คำๆนี้ตอนสมัยที่อาตมาบวช เค้าเรียกว่า บอกวัตร คือบอกทุกวัน บอกต่อท้ายทำวัตรเช้า และเย็น

ท่านพุทธทาสภิกขุ
ที่มา วิชาการ
82  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ''อยู่อย่างเซน'' ดร.วทัญญู ณ ถลาง เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 08:38:41 am
''อยู่อย่างเซน'' ดร.วทัญญู ณ ถลาง

ดร.วทัญญู ณ ถลาง เป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างกว้างขวาง ในฐานะสถาปนิกผู้ประสบความสำเร็จในวิชาชีพเป็นอย่างสูง เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติคนแรก เป็นนายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และนายกสมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม ทางด้านการเมือง ก็ผ่านงานสำคัญระดับชาติ ทั้งสมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รวมทั้งเป็นอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรมหลายสถาบัน มีลูกศิษย์ลูกหาให้ความเคารพนับถือมากมาย

ถึงวันนี้ วันที่เขาปล่อยวางทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง นำพาตัวเองกลับคืนสู่ความสงบเรียบง่าย ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติในบรรยากาศของชนบทแท้ๆ ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง โดยยังมีสิ่งหนึ่งซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป คือการดำรงตนเป็นประโยชน์ต่อสังคมและผู้คนที่อยู่รอบข้าง ได้รับการยอมรับและความเคารพรักจากทุกคนในสังคมเล็กๆแห่งนี้

"ชาว บ้านที่นี่เขาเรียกผมว่า ''คุณพ่อ'' ความจริงผมไม่ได้ทำอะไรมากมาย เพียงแต่ทำประโยชน์ให้กับชุมชนเท่าที่ความรู้เรามี เท่าที่พอจะทำได้ อย่างเรื่องสิ่งแวดล้อม ผมบอกพวกเขาว่าเราต้องช่วยกันรักษาความสะอาดตามถนนหนทาง จะเห็นว่าที่นี่ไม่มีขยะทิ้งเกลื่อนกลาด เรื่องการชลประทานก็แนะนำให้เขารักษาคูคลองตามธรรมชาติเอาไว้ ไม่ไปถมหรือเปลี่ยนสภาพ จะได้มีน้ำไว้ใช้ทำนาทำไร่กันได้นานๆ" นี่เป็นคำตอบที่ลบข้อสงสัยของผู้มาเยือนลงได้สนิทใจ ว่าทำไมเมื่อเราหลงทาง หาบ้านของอาจารย์ไม่เจอ จึงมีคุณพี่ใจดีกุลีกุจอขี่มอเตอร์ไซด์นำทางมาส่งจนถึงจุดหมาย

"หลัก สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตของผม คือยึดมั่นในศาสนา ปฏิบัติตัวให้ดี ให้ถูกต้อง ตอนอายุ32 ปี คุณพ่อส่งผมไปบวชกับท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ได้เรียนรู้เยอะมากโดยเฉพาะเรื่องของเซน ท่านพูดกับผมว่า
''เซน สำหรับคนมีปัญญา เธอจงเอาหนังสือไปอ่านไป'' ผมอ่านแล้วก็แปลจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย ในชื่อ''คำสอนของฮวงโป'' ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจมาจนทุกวันนี้

"เมื่อศึกษาอย่างลึกซึ้งจึงรู้ ว่า สามารถนำหลักของเซนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ในทุกสถานการณ์ เช่น เวลาจะสนทนากับใคร จงทำจิตให้ว่างแล้วฟังความคิดเห็นของเขา เราจะจับประเด็นและเข้าใจได้เร็ว ยามเหนื่อย ใช้วิธีของเซน คือ ยืนหรือนั่งให้นิ่ง ผ่อนลมหายใจ ก็จะช่วยให้หายเหนื่อยได้ แม้กระทั่งเวลาอดหรือหิวก็ไม่รู้สึกกระวนกระวาย เพราะเราอยู่กับความว่าง ความหิวย่อมไม่เกิด ที่สำคัญพอจิตว่าง สมองจะปลอดโปร่ง เกิดปัญญา ช่วยในการทำงานได้ดีทีเดียว

"ผมถึงชอบความเป็นอยู่ในทุกวันนี้มากที่ สุด อยู่ง่าย กินง่าย อยู่กับธรรมชาติ อยากทำอะไรทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ทำ นี่แหละที่เรียกว่าความอิสระ อิสระที่จะคิดที่จะพูด ที่จะ ''ทำโดยไม่ทำ'' หมายถึงบางครั้งเมื่อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรจะดีกว่า ปล่อยให้ธรรมชาติจัดการด้วยตัวของมันเอง"

ความสนใจหลากหลายของ อาจารย์วทัญญูยังไม่หมดเพียงเท่านี้ การถ่ายภาพธรรมชาติด้วยกล้องดิจิตอล การเลี้ยงสุนัข 8 ตัว แมว 9 ตัว ปลาคาร์ฟในบ่อดินขุดร้อยกว่าตัว รวมทั้งแย้อีกร้อยกว่าตัว ที่อาจารย์เอามาปล่อยไว้ให้ขุดรูอาศัยกันตามสบายในบริเวณรอบๆบ้าน วันดีคืนดียังมีไก่ป่า ผีเสื้อป่าบินขึ้นมาเยี่ยมเยือนถึงเรือนชาน ขณะที่เจ้าของบ้านนั่งวาดภาพสีอะครีลิกอย่างสบายอารมณ์ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม อาจารย์จึงดูกระฉับกระเฉง แข็งแรง สดใส กว่าคนร่วมวัย 78 ปีมากมายนัก

"หลักการดูแลสุขภาพง่ายๆ คือทำสมาธิ กินอาหารชีวจิต ผมกินอาหารในแนวนี้มาก่อนที่เขาจะฮิตกันเสียอีก แล้วก็ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ขี่จักรยานก็เดินวันละ 5 กิโลเมตร ช่วงนี้ไม่ได้ขี่จักรยานเพราะถูกรถมอเตอร์ไซค์ชนจนหลังหัก ความจริงหายแล้วล่ะ แต่เจ้านายยังไม่ให้ขี่" อาจารย์วทัญญูพูดพลางยิ้มพลางหันไปมองคุณผ่องศรี คู่ชีวิตที่อยู่เคียงกันเสมอ ทุกที่ ทุกเวลา

"ทุกวันนี้ผมอาศัยภรรยา เขาเป็นคนเลี้ยงผม เพราะบำนาญเขามากกว่าผม พบกันตั้งแต่ยังทีนเอจอยู่เลย ตอนผมไปเรียนต่อเมืองนอก เขาเซ็นต์หลังรูปให้ว่า''ขอให้ตั้งใจเล่าเรียน เพื่อกลับมารับใช้ประเทศชาติ'' ก็เลยยังรับใช้อยู่นี่(หัวเราะ) ช่วยบอกให้เขาถอนคำสาปทีสิ

"จะว่าไปเราไม่มีอะไรคล้ายกันเลยนะ ตรงข้ามกันเยอะ ผมชอบตรงที่เขาเชยๆน่ารักดี พูดอะไรซื่อๆ ผมไม่ชอบผู้หญิงเปรี้ยวปรู๊ดปร๊าด ซึ่งเขาไม่แต่งตัว สวยแบบธรรมชาติ ที่สำคัญคือทำกับข้าวไม่เป็น ตรงนี้ไม่ได้ชอบหรอกนะ เพิ่งมาทำเป็นตอนมาอยู่ที่นี่แหละ ใช่ไหมจ๊ะ" อาจารย์หันไปเย้าภรรยาอย่างอารมณ์ดี

"ส่วนลูกๆนานๆเขาถึงจะมากันที ลูกสาวคนโต(ดร.สัณฐิตา)เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับลูกชายคนรอง(กรวิชช์) เขาเป็นอาจารย์ที่มหิดล จะมาบ่อยหน่อย พาลูกศิษย์มาค้างบ้างอะไรบ้าง ลูกชายอีกสองคน(จิตวิสุทธ์,อนุตรชัย)ก็อยู่ใกล้บ้านผมที่นนทบุรี

"ผม เป็นพ่อที่ดุนะ ไม่มีใครกล้าออกนอกแถว ตอนเขายังเด็กแน่นอนว่ามีพูดไม่รู้เรื่องกันบ้าง ก็ต้องใช้วิธีเรียนลัดคือ''ตี'' สี่คนโดนตีทุกคน แต่ตีสั่งสอนพอให้รู้สึกไม่ถึงกับเอาเป็นเอาตาย ผมว่าการตียังจำเป็นอยู่ ดังโบราณบอกไว้ว่า ''รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี'' แต่พอโตขึ้นมาหน่อย พูดกันด้วยเหตุผลรู้เรื่องก็ไม่ตีแล้ว"

ในปัจจุบันแม้ว่าอาจารย์วทัญญูจะอาศัยอยู่ที่ลำปางเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังคงสานต่องานด้านการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง

"ที่ ทำอยู่คืองานด้านอนุรักษ์โบราณสถาน ที่ใช้คำว่าศิลปกรรม งานอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ คือแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร บึง รวมทั้งชายฝั่งทะเลที่มีความลึกไม่เกิน 6 เมตร ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาเยอะมาก พื้นที่ชุ่มน้ำบนบกถูกถม ถูกบุกรุกจนกระทั่งแปรสภาพไป บ้างก็กลายเป็นที่ปล่อยน้ำเสีย ที่ทิ้งขยะ ส่วนชายฝั่งทะเล ป่าโกงกาง ป่าเชยเลนก็ถูกทำลายเกือบหมดจนชายฝั่งทรุดตั้งแต่ปากน้ำไปจนถึงหัวหิน ปัญหาเหล่านี้กว่าจะทำให้คนทั่วไปเข้าใจได้ถือว่ายากมาก แต่ก็ถือว่าได้ผลขึ้นมาในระดับหนึ่ง

"พอคิดได้ว่าอยากมาอยู่ต่าง จังหวัด อยู่กับธรรมชาติ ผมก็ลงมือทำเลย เพราะถ้ามัวแต่คิด ตายไปแล้วชาติหน้าก็ยังไม่ได้อยู่ บ้านหลังนี้ผมเลยตั้งชื่อว่า''บ้านสุดขอบฟ้า'' กะว่าไม่ให้ใครตามมาเจอว่างั้นเถอะ แต่นี่กำลังจะเปลี่ยนชื่อเป็น ''บ้านสุดฟากฟ้า'' เพราะบ้านจัดสรรดันมาตั้งชื่อซ้ำกันอีก" อาจารย์พูดพลางหัวเราะสนุก

กว่าที่การสนทนาในวันนั้นจะสิ้นสุดลง ดวงอาทิตย์ก็ราแสงลับเหลี่ยมเขา หลังจากร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นฝีมือคุณผ่องศรี ซึ่งประกอบไปด้วยสลัดผักสดปลอดสารพิษ และอาหารง่ายๆรสอร่อยอีกหลายอย่าง ก็ถึงการแสดงชุดสุดท้าย ที่ธรรมชาติจัดไว้ให้ผู้มาเยือนเช่นเรา อาจารย์วทัญญูเดินไปปิดสวิตช์ไฟจนบ้านทั้งหลังมืดสนิท แล้วชี้ไปยังทุ่งนากว้างใหญ่ที่อยู่ติดด้านหลังบ้าน แสงวอมแวมจากหิ่งห้อยตัวน้อยที่บินวนอยู่ทั่วบริเวณ กระพริบวิบวับเป็นจังหวะแข่งกับแสงของดวงดาวบนท้องฟ้าเบื้องบน แว่วเสียงอาจารย์วทัญญูทิ้งท้ายให้ข้อคิดว่า

"เรื่องการรักษา ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม คนเขาฝากกันเยอะแล้ว ผมคงไม่ต้องฝากอะไรมาก เพียงแต่เตือนให้รู้ว่าอนาคตของเราและลูกหลานของเรา ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ที่ควรจะต้องช่วยกันดูแล"
83  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ในโลกนี้ไม่มีใคร ไม่ถูกนินทา ให้ร้าย เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 08:36:16 am
เกิดเป็นคนก็ต้องทนให้เขาด่า
จะทำดีทำบ้าเขาด่าหมด
ถ้าทำดีเขาก็ด่าว่าไม่คด
ทำเลี้ยวลดเขาก็ด่าว่าไม่ตรง..

อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
แม้องค์พระปฏิมายังราคิน
มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา..



 :25: :25: :25:
84  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / นิทานเซน : อิทธิพลของลิ้น เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 08:34:19 am
นิทานเซน : อิทธิพลของลิ้น




ลิ้น เป็นอวัยวะเล็กๆ ในร่างกายของคนเราที่สำคัญยิ่ง ลิ้น(การพูด)สามารถนำความสุขมาให้ผู้พูด ในทางกลับกัน ลิ้น(การพูด)ก็สามารถทำเรื่องเดือดร้อนให้ผู้พูดได้เช่นกัน


ในอดีตมีพระเซนรูปหนึ่ง เขามีศิษย์เกียจคร้านเอาแต่นอนหลับทั้งวัน วันหนึ่งศิษย์ผู้นี้นอนจนสายก็ยังไม่ตื่น ทำให้พระเซนไม่พอใจ จึงต่อว่าลูกศิษย์ว่า "เวลาสายขนาดนี้ ตะวันส่องจนแม้แต่ฝูงเต่ายังพากันคลานออกนอกบึงบัวมารับแสงแดดกันหมดแล้ว เหตุใดตัวเจ้ากลับมัวแต่นอนอยู่ได้"


เวลาเดียวกันนั้นเอง บริเวณใกล้เคียงมีคนผู้หนึ่งที่กำลังต้องการจับเต่าไปแกงเป็นยาให้มารดาซึ่ง กำลังป่วยรับประทาน เมื่อได้ฟังพระเซนบอกว่ามีเต่าออกมาจากบึง จึงได้รีบไปจับเต่ามาเชือดจากนั้นนำเนื้อมาปรุงเป็นแกงเต่า ทั้งยังแบ่งแกงเต่ามาให้พระเซนเพื่อแสดงความขอบคุณที่ชี้ทางให้อีกด้วย


ฝ่ายพระเซน เมื่อทราบว่าการพูดจาโดยไม่ได้ตั้งใจของตนเอง เป็นต้นเหตุแห่งการตายของบรรดาเต่าก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เพราะหากตนไม่เอ่ยปากพูดไปเช่นนั้นเต่าก็คงไม่โดนพบเห็น พระเซนจึงได้ให้คำมั่นกับตัวเองว่าต่อไปจะไม่เอ่ยปากพูดจาอีกเลยตลอดชีวิต เพื่อเป็นการชดใช้บาปที่ทำไว้ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ขึ้นอีกในภายภาคหน้า


เวลาผ่านไปไม่นาน ขณะที่พระเซนนั่งอยู่บริเวณหน้าวัด เขาพลันพบว่ามีชายตาบอดผู้หนึ่งกำลังเดินหลงทิศ มุ่งหน้าลงไปยังบึงบัวนั้น แต่จนใจที่พระเซนให้สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เปิดปากพูด จึงไม่สามารถร้องเตือนชายตาบอดได้ แต่หากไม่เอ่ยปากตักเตือน ชายตาบอดคงต้องตกลงไปในบึงบัวเป็นแน่


พระเซนเอาแต่ลังเลว่าจะทำเช่นไรดี ปล่อยเวลาผ่านไป ในที่สุดชายตาบอดก็เดินตกลงไปในบึงบัว จมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา


เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระเซนโศกเศร้าเสียใจหาที่เปรียบมิได้ และตระหนักได้ว่าการไม่ยอมพูดจาของตนในครั้งนี้ กลับกลายเป็นการทำร้ายทำลายชีวิตผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างน่าเสียดาย ความผิดสองครั้งที่ผ่านมาของตนคือการพูดในเวลาที่ไม่ควรพูด แต่กลับไม่พูดในเวลาที่ควรพูด


ปัญญาเซน : มนุษย์จำเป็นที่จะต้องใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก แม้แต่การพูดจาก็ต้องใช้ปัญญา นั่นคือพูดสิ่งที่ควรในเวลาที่เหมาะ นอกจากนี้ต้องพึงระลึกว่า ในการดำรงชีวิตของคนเรา ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่การให้อภัยต่างหากที่เป็นสิ่งเหนือธรรมดา คนเราไม่เพียงต้องรู้จักให้อภัยผู้อื่น ทั้งยังต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเอง




ที่มา manager.co.th
85  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คาถาป้องกันน้ำตาไหล เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:58:56 am


คัดลอกจาก
คมธรรมประจำวัน โดยท่านว.วชิรเมธี

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=fourty&month=06-01-2011&group=5&gblog=5
86  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต (นิมิตก่อนตาย) เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:53:07 am
เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต (นิมิตก่อนตาย)

เวลาที่สำคัญที่สุดของนักเรียน นักศึกษา คือตอนสอบไล่
เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเรา คือ อารมณ์จิตก่อนตาย
จะไปสวรรค์ พรหม พระนิพพาน หรือแดนอบายภูมิ
ก็อยู่ที่จิตก่อนตายของท่านจะผ่องใสหรือเศร้าหมอง

ท่าน สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงความตาย ความจริงเรื่องความตายมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า " คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน "

ตาม ที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ แล้วก็คนโบราณ โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรา ก็ไม่ทราบว่า ตำราเล่มไหนเหมือนกัน ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต เรื่องนี้สำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัท ประเดี๋ยวจะเล่าเรื่องสมัยพระพุทธเจ้า คนที่เห็นนิมิตสมัยนั้นมาเล่าสู่กันฟัง คุยกันตอนนี้เสียก่อน

คนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ
๑. เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่า คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
๒. ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓. ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔. ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทานหรือวัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล อย่างนี้ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปสู่สุคติ

ตาม ที่ท่านเขียนมาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์ แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่ว่า มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เมื่อ เวลาสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายก ฯ เวลานั้นก็เกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์ ตามลีลาที่เขาเล่ากันบอกว่า ตั้งใจจะต่อต้านญี่ปุ่น ว่าอย่างนั้นชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลกไม่ได้พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น

ก็เป็นอันว่า เมื่อเลิกสงคราม เธอเลิกงานมาแล้ว ก็ปรากฎว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด
วัน หนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตามไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา เขาบอกว่า จวนป่วยหนัก เป็นเวลาเย็น ประมาณสัก ๔ โมงเย็น ก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตามด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์

ที่ไป เป็นเพื่อนไม่ใช่คิดว่ากลัวใครจะทำร้าย ที่นำไปแบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล คนนั้นจะไปสวรรค์

พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวน ก็อาการหนักจริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่าอาตมาไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม? "
เธอเหลียวหน้ามา ก็พยักหน้าตอบว่า " จำได้ " เสียงเบามาก

ก็ถามเธอว่า " เวลานี้เห็นอะไรไหม? ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง? "
เธอก็ตอบว่า " เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า " เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ

เมื่อ ฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็นไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก ถามว่า " จวน ภาวนา พุทโธ ไหม? "
เธอส่ายหน้าบอกว่า " คิดไม่ออก "

จึงหันไปหาภรรยาเขา อาตมาก็จำชื่อภรรยาไม่ได้ ลืมเสียแล้ว ถามว่า " มีสตางค์ไหม? "
เธอก็บอกว่า " มี "

ก็เลยบอกว่า " ถ้ามีละก็ ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม? "

เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาท มาให้ อาตมาก็ไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือ บอกว่า

" จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตายหรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกัน ๔ องค์ ขอจวน ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท "

เธอก็พูดเบา ๆ ตาม แล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า " คุณทั้งหลาย ถ้าเห็นชอบ ให้ สาธุ พร้อมกันนะ "

พระ ทั้งหลายก็ " สาธุ " พร้อมกัน พอพระสงฆ์ สาธุ พร้อมกัน รู้สึกว่า จิตใจของเธอสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า " จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง "
เธอก็ตอบ " ไฟหายไปแล้ว "

ถามว่า " เธอเห็นภาพอะไร "
เธอบอก " เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค " เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรเป็นประจำ

ถามว่า " เห็นชัดไหม "
เธอก็บอก " เห็นชัด อยู่ใกล้มาก "

ก็บอก " จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ "
แทนที่เธอจะนึกในใจ เธอก็ออกเสียงว่า" พุทโธ ๆ ๆ ๆ " เบา ๆ เธอว่าไปสัก ๓ - ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย

ถามว่า " จวน เวลานี้เห็นพระไหม "
เธอตอบว่า " เห็นพระ "

ถามว่า " ชัดขึ้นไหม "
เธอก็ตอบว่า " ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมาก ใหญ่กว่าเดิมมาก "

บอก " ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์ "
เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า วิมานนี้เป็นของเธอ "

จึงถามเธอว่า " เวลานี้ ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน "
เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า " ต้องการวิมานครับ "

ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป ก็บอกว่า " ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ "
เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า " พุทโธ ๆ ๆ ๆ "

ในที่สุดก็เงีบบไปพร้อมกับคำภาวนา และลมหายใจเข้า - ออก รวมความว่า เธอตายคู่กับพุทโธ

เป็น อันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมาก็มีวิธีเดียววิธีนี้ เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ นี่เป็นอันว่า มนุษย์เราที่ตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน แต่ว่านิมิตที่ดี และก็ถูกตัดเพราะกฎของกรรม




โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ที่มาhttp://board.palungjit.com
87  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พุทโธ กัมมัฏฐาโม กรรมมะจุติสัมพุทโธ เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:49:50 am
พุทโธ กัมมัฏฐาโม กรรมมะจุติสัมพุทโธ (กรรมใดๆๆก็ขอให้อโหสิกรรมต่อกันด้วยอานุภาพพระสัมพุทโธ)

เป็นคาถาที่หลวงพ่อเงินบางคลานท่านได้ เจริญภาวนาทุกวันก่อนบิณฑบาตว่ากันว่าเป็นการแผ่เมตตาไปยังสัตว์โลกด้วย เพราะปรากฏว่าการเจริญพระคาถานี้ทำให้จระเข้ตัวนึงที่ชื่อไอ้สีเลิกอาละวาด ทำร้ายคนเดินเรือในแม่น้ำน่านเพราะว่าหลวงพ่อเงินท่านจะภาวนาทุกทีตอนที่ บิณฑบาต(ทางเรือ)มันจะคอยว่ายน้ำตามเรือไม่ทำอะไรผู้คนจนบางทีถ้าหลวงพ่อ เงินท่านจะข้ามแม่น้ำว่ากันว่ามันจะว่ายมาที่แล้วหลวงพ่อเงินก็นั่งบนหลัง มันข้ามน้ำไปได้(เป็นคาถาเดียวกับที่สมเด็จโช้สะกดจระเข้)ผู้ที่เป็นเจ้าของ วิชานี้คือหลวงพ่อใหญ่มืองพิจิตรหนึ่งในอาจารย์สมเด็จโตและคาถานี้หลวงพ่อ ไป๋วัดท่าหลวงได้ใช้เสกตะกรุดกระดูกแร้งจนลือเลื่องด้วย
ที่มาของพระคาถานี้ว่ากันว่าที่สาวัตถี
มีตายาย สองคนมีอาชีพหาปลาตลอดชีวิตไม่เคยทำความดีเลย
วันหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยปรมาภิเษกสัมโพธิญาณว่า
ตากับยายคู่นี้เคยถวายสังฆทานแก่สมเด็จพระพุทธตัณหังกรมาก่อน
แต่ ก็มีการยักยอกเงินในสัยพระพุทธเมธังกรผลกรรมเลยต้องตกเป็นคนทุกข์ยากหลาย ชาติพระองค์เห็นว่าสองตายายนี้จะต้องตายไปใน7วัน จึงควรจะสอนให้ภาวนา เพื่อไม่ให้ไปทางอบายรุ่งเช้าพระพุทธองค์จึงทรงเสด็จไปที่ตากับยายพักอาศัย พอไปถึงพระองค์ทรงแสดงพระฉัพพรรณรังสีจนตายายสองคนเลื่อมใส่ได้ห่อข้าวยาคู ใส่บาตร พระองค์ทรงถามว่า อยากรวยไหมตากับยายก็บอกว่าอยากพระองค์บอกว่า ตถาคตจะให้คำภาวนาแล้วจะรวยตายายก็ดีใจแต่ต้องนั่งบ่นภาวนาไปนะห้ามจับปลานะ ตายยายทั้งสองก็รับคำก็นั่งภาวนาคำที่พระพุทธเจ้าทรงให้ก็คือ พุทโธ กัมมัฏฐาโมกรรมมะจุติ สัมพุทโธตายายก็ภาวนา ผ่านไปสิ้น7วันทั้งสองก็ตายลงนายนิริยบาลมารับตัวไปแต่จิตที่ภาวนาไว้ก่อน ตายทำให้ดวงวิญญาณทั้งสองจิตจับที่คำภาวนา
ภาวนาไปตลอดทางพอไปสำนักพระยายมราช นายบัญชีก็อ่านความดีความเลวของดวงวิญญาณทั้งสองและเรียกวิญญาณกุ้งปลาเต่า
ที่ ตายายเคยฆ่ามาให้การปรากฏว่าไม่มีใครมาก็มีเต่ามาบอกว่าเธอทั้งสองภาวนาคาถา นี้เป็นการแผ่เมตตาขออโหสิกรรมฉันไม่โกรธเธอหรอกอโหสิกรรมให้
แล้วเต่าก็ เดินจากไปพระยายมราชจึงเสด็จลงมาจากบัลลังก์ตรัสว่า ไม่มีเจ้าทุกข์ตายายใส่บาตรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเกิดที่จาตุมหา ราชิกได้
ตายายก็งงว่าตนได้ฆ่ากุ้งปลาเต่ามามากมายทำไมได้ไปสวรรค์ พระยายมราชบอกว่าก็พระที่พวกเจ้าเจอคือองค์พระพุทธเจ้าและคาถาที่ให้
พุทโธ กัมมัฏฐาโม กรรมมะจุติ สัมพุทโธแปลว่ากรรมใดๆๆก็ขอให้อโหสิกรรมต่อกันด้วยอานุภาพพระสัมพุทโธนะสิพวกโจทก์ก็เลยอโหสิกรรมหมด
ท่านก็ว่าดวงจิตเจ้าทั้งสองผูกกับคำภาวนานี้ผู้ถึงพระพุทโธเป็นพุทธานุสสติกรรมฐานไม่อาจลงอบายภูมิได้ไปได้จตุมหาราชิกาขึ้นไป
หลัง จากนั้นพระโมคคัลานะได้ไปพบเทพบุตรเทพธิดาทั้งสองนี้ จึงได้จดจำพระคาถานี้ไว้ตกทอดมายังพระครูใหญ่วัดเมืองพิจิตรอาจารย์สมเด็จ พระพุฒาจารย์โตและหลวงพ่อเงินบางคลานอีกทีได้เรียนกันจำสืบมา

ขอบคุณเนื้อหา
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nongca&group=20

และขอบคุณรูปภาพจาก
http://www.tumsrivichai.com
88  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ทำผิดศีลไม่กล้าสวดมนต์ - โดยแม่ชีทศพร เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:43:36 am
ทำผิดศีลไม่กล้าสวดมนต์ - โดยแม่ชีทศพร

“ศีล 5 รักษาให้เคร่งครัด เจริญแน่ แต่ถ้าเกิดโยมทำผิดอะไรไปข้อหนึ่ง ศีลอีกสี่ข้อมันยังค้ำโยมอยู่นะ”บางคนบอกว่า เพิ่งกินเหล้ามาจะไปสวดมนต์ได้อย่างไร มันรู้สึกผิดในใจ เพราะว่าเพิ่งทำผิดมาหมาด ๆ กลัวทำไม่ได้ มันจะบาปหนักขึ้นไปอีก แต่มันไม่ใช่ ในนาทีนั้น นาทีที่สมาทานศีล โยมไม่ทำบาปแน่ โยมบริสุทธิ์ในนาทีนั้น ชั่วโมงนั้น ขอให้สมาทานไว้ ถึงแม้วันรุ่งขึ้นจะทำผิดอะไรไปข้อหนึ่ง

สิ่งที่สมาทานไว้ก็ยังเหลืออีกสี่ข้อ ศีลอีกสี่ข้อมันยังค้ำอยู่นะ ก่อนบวชแม่ชีเป็นคนที่เมา
แต่ แม่ชีก็สวดมนต์ แม่ชียังมีจิตใต้สำนึก มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน ถ้าวันไหน ไม่ได้สวดมนต์ ก็จะนอนไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นนิสัยถึงจะเมาอย่างไรก็ลุกขึ้นมาสวด อิติปิโส 108 จบ สวดอิติสุคโต 108 จบ สวดยอดพระไตรปิฎก สวดชินบัญชร สวดทุกอย่างเลย สวดธรรมจักรด้วย แต่ก็เจอกรรม เพราะไม่ได้สมาทานศีล 5 ทุกคนก็เลยปฏิเสธ ไม่มีใครทำผิดพร้อม ๆ กันทีเดียวห้าข้อหรอก ฉะนั้นอย่ากลัวที่จะสวดมนต์

แต่มันจะยาก สำหรับคนที่มีทิฐิในใจ ยังไม่ทันจะสวดเลยตั้งป้อมแล้ว ตั้งมุมแล้ว ตั้งมุมสู้แล้ว แต่เรื่องที่จะมาขัดแย้งกับศีลนะ เรื่องที่มันเป็นอบาย พูดเรื่องคนอื่นทั้งคืน
ประจานคนอื่นทั้งคืนไม่รู้สึกอะไร ทำไมพูดด่าแช่งคนอื่นพูดได้ เรื่องไม่ดีจะด่าใครไม่ต้องจดไม่ต้องจำ มันออกมาจากจิตใต้สำนึกเลยนะ เรื่องของภูมิของเดรัจฉานคือ มันออกมาแบบเป็นสเต็ปเลยคนมักจะไม่เข้าใจเรื่องดีหรอก เพราะเรื่องดีมันต้องใช้ทั้งจดและทั้งจำ แต่พอจะทำดี ศีลแค่ห้าข้อเนี่ย มันสงสัยเสียจนแบบว่าแทบจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้

ที่ย้ำให้สวดมนต์ก่อน นอนเพราะว่าคืนนี้โยมนอนไป โยมไม่ไปทำผิดแน่ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง หมายถึง ขอรับเป็นข้อ ๆ นะ มันลักษณะห้าอย่างเป็นข้อ ๆ พอวันรุ่งขึ้นอานิสงส์ที่สมาทานไว้ จะส่งผลว่าโยมไม่ต้องตัดสินใจในเรื่องของความโลภเลย



หนังสือ ทำอะไรก็เจริญ
จัดทำโดย : บริษัท บี พลัส พับลิชชิ่ง จำกัด
จัดจำหน่ายโดย : บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด(มหาชน)
พิมพ์ที่ : บริษัทไทยยูเนี่ยนกราฟฟิกส์ จำกัด




ที่มาจาก เว็ปไซท์ แม่ชีทศพร
89  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การขอขมา-กิจของผุ้มีบุญบารมีจะพ้นทุกข์ (ตอนที่๑/๓) เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:40:28 am
การขอขมา-กิจของผุ้มีบุญบารมีจะพ้นทุกข์ (ตอนที่๑/๓)

สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ในติณกัฏฐสูตรว่า “เหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น และมีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ ย่อมเที่ยวไปมาหาที่เบื้องต้นและที่สุดไม่ได้”

ดังนั้นการเวียนว่ายตายเกิดจึงมีผลทำให้ก่อกำเนิดสายสัมพันธ์กับบุคคลและสัตว์ต่างๆ ไม่เป็นที่สิ้นสุด หาก เพียงจะคะเนว่าสังสารนี้มีความยาวนาน กำหนดได้อย่างไร ให้ลองจินตนาการถึงการนำทุกยอดหญ้า กิ่งไม้ทุกกิ่ง และใบไม้ทุกใบ ทั่วทั้งชมพูทวีป นำมาทำให้เป็นมัด มัดละ ๔ นิ้ว สมมุติว่านี่เป็นมารดา นี่เป็นมารดาของมารดา ฯลฯ ย่อมไม่ปรากฏว่าจะหมด หรือ สิ้นสุดได้แต่อย่างไร…สังสารนี้ก็เช่นนั้นย่อมกำหนดเบื้องต้นและปลายไม่ได้

ความ สัมพันธ์อันยาวนานตลอดจนการเกี่ยวเนื่องกับบุคคลและสัตว์ทั้งหลาย ย่อมก่อกำเนิดวัฏจักรของกรรม อันเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ และสานต่อวัฏจักรออกไปให้ไม่มีที่สิ้นสุด

ดังนั้นการพบเจอกันของบุคคลต่างๆในภพชาติใดๆก็ตาม จึงคล้ายมีสายใยแห่งกรรมทอประสานบุคคลและสัตว์ต่างๆไว้ด้วยกัน ซึ่งปุถุชนมองไม่เห็น แต่ผู้รู้ท่านเห็นได้


คำว่า"กรรม"ใน ทางพระพุทธศาสนา ท่านหมายเอาถึงการกระทำ ซึ่ง เป็นคำกลางๆ ที่ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นการกระทำที่ดีหรือไม่ดี แต่คนไทยโดยมาก มักหมายความถึง “ความไม่ดี” อันได้แก่ อกุศลธรรม หรือบาปกรรม

คำสอน ในพระพุทธศาสนาชี้ว่า ผลของกรรมเป็นไปตามเหตุของเหตุอันได้กระทำ คือ ผลดีก็เกิดแต่เหตุดี และ ผลชั่วก็เกิดแต่เหตุชั่ว บุคคลทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน..


หนังสือ “อำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม” บทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “อำนาจของกรรมยิ่งใหญ่ในโลก ไม่มีอำนาจใดทำลายล้างได้ แม้อำนาจของกรรมดีก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมชั่ว และอำนาจของกรรมชั่วก็ไม่อาจทำลายอำนาจของกรรมดี"

สายใยกรรมซึ่งมอง ไม่เห็น จึงเป็นพันธการแน่นหนาที่ยากจะถอดถอน ดั่งเช่นบางคนมีเจตนาทางกาย วาจา ใจ อันประกอบไปด้วยความเบียดเบียนกับผู้อื่น จึงเข้าถึงโลกที่ได้รับการเบียดเบียน ได้เสวยเวทนาที่มีการเบียดเบียน อันเป็นทุกข์โดยส่วนเดียว, บางคนไม่มีความเบียดเบียน จึงได้รับสัมผัสที่ไม่มีการเบียดเบียน ได้เสวยเวทนาอันเป็นสุข ส่วนเดียว, ผู้ใดมีวิบากกรรมทั้งดีทั้งไม่ดี ก็จะเสวยทุกข์บ้าง สุขบ้าง ส่วนผู้ใดมีเจตนาละกรรมดีและกรรมไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อสิ้นกรรม

โดย เฉพาะเมื่อประกอบกรรมดำ ย่อมส่งผลให้ต้องมาเสวย เวทนา อันเป็นทุกข์ เดือดร้อน เมื่อกรรมดึงดูดบุคคล และสัตว์ให้ต้องมาชดใช้วิบากกรรมต่อกัน ซึ่งไม่มีทางทราบได้ตั้งแต่แรก ว่าความสัมพันธ์ต่อกัน จะออกมาในลักษณะใด

ดังนั้นมีวิธีใดบ้างที่พอจะถอดถอน และตัดรอนวิบากกกรรมดำที่มีต่อกันได้?

วิธี การหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาวิบากกรรมทางพระพุทธศาสนาได้ ก็คือการเพิ่มพูนบารมีความดีให้มากและสม่ำเสมอในภพภูมินี้ ก็อาจทำให้อำนาจกกรรมชั่วที่ได้ทำมาแล้วตามถึงได้ยาก ดั่งมีเครื่องขวางไว้

ดังเช่นที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสไว้ว่า การเอาเมล็ดเกลือ ใส่จอกน้ำเล็กๆ น้ำในจอกนั้นก็เค็มได้ แต่ถ้าเอาใส่ลงไปในแม่น้ำคงคาก็ไม่เค็ม เปรียบเหมือนพื้นฐานภายในของคนในการอบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา เป็นต้น (ถ้าอบรมมากก็เป็นดังห้วงน้ำใหญ่ ที่ใส่เกลือลงไปแล้วไม่เค็ม)


***โปรดติดตามตอนต่อไป***

ที่มาเนื้อหา
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=tilltomorrow&month=06-01-2011&group=2&gblog=25
90  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / โฆสกเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีแห่งกรุงโกสัมพี แคว้นวังสะ เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:36:33 am
โฆสกเศรษฐี
โฆสกเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีแห่งกรุงโกสัมพี แคว้นวังสะ
มหาเศรษฐีผู้นี้มีชีวิตพลิกผันมาหลายชาติ
ชาติปัจจุบันก็เฉียดตายหลายครั้งตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะมีวิบากจากอกุศลกรรมเก่าตามมาส่งผล
แต่ในที่สุดเมื่อวิบากจากกุศลกรรมส่งผลบ้าง เขาก็ได้เป็นมหาเศรษฐี
และเป็นผู้สร้างโฆสิตารามถวายพระศาสดา


โกตุหลิกทิ้งลูก
    โฆสกเศรษฐีมีชีวิตที่พลิกผันเพราะกรรมที่สร้างไว้ในอดีตชาติหนึ่ง สมัยที่เกิดเป็น โกตุหลิก
    โก ตุหลิกอยู่ในแคว้นอัลลกัปปะ มีภรรยาชื่อ กาลี เมื่อภรรยาคลอดลูกก็พอดีที่แคว้นอัลลกัปปะเกิดทุพภิกขภัย ข้าวปลาอาหารหายาก โกตุหลิกจึงตัดสินใจพาภรรยาและลูกน้อยเพิ่งคลอดเดินทางอพยพไปสู่กรุงโกสัมพี ระหว่างทางอาหารที่มีติดตัวมาเพียงน้อยนิดก็หมดลง โกตุหลิกบอกภรรยาว่าอาหารเราหมดแล้ว เราไม่อาจไปถึงโกสัมพีได้ เราจำเป็นต้องทิ้งลูก วันหน้าถึงโกสัมพีแล้วค่อยมีลูกกันใหม่ แต่นางกาลีไม่ยอม
    สองสามีภรรยาเดินทางต่อไป ผลัดกันอุ้มลูกน้อย คราวหนึ่งโกตุหลิกอุ้มลูกเดินตามหลังปล่อยให้นางกาลีเดินล่วงหน้าไปไกล เมื่อได้โอกาสจึงแอบวางลูกทิ้งไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง นางกาลีหันกลับมาไม่เห็นลูกก็ร้องไห้คร่ำครวญ ให้โกตุหลิกเดินย้อนกลับไปรับลูก โกตุหลิกจำใจย้อนไปรับลูกเดินทางกันต่อไป แต่ด้วยหนทางที่กันดาร อาหารก็ไม่มี ในที่สุดทารกน้อยก็ตายในระหว่างทาง

    เกิดเป็นสุนัข
    โก ตุหลิกกับภรรยาเดินทางต่อไปจนถึงเรือนนายโคบาลคนหนึ่ง ทั้งสองแวะเข้าไปขออาหาร นายโคบาลเป็นคนใจบุญหุงข้าวปายาสไว้ถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกวัน จึงแบ่งข้าวปายาสให้สองสามีภรรยากิน
    นางกาลีแบ่งข้าวปายาสส่วน ของตนให้สามี บอกว่าท่านอดข้าวมาหลายวันให้ท่านบริโภคให้เพียงพอก่อน โกตุหลิกจึงกินข้าวปายาสจำนวนมากให้สมกับที่อดอยากมาถึง ๗-๘ วัน กินไปก็มองดูนางสุนัขของนายโคบาลไป คิดว่าสุนัขตัวนี้มีบุญ ได้กินอาหารแบบนี้ทุกวันจนอ้วนพี ส่วนตนเองนานๆ จึงจะได้กินสักที
    ด้วย การบริโภคมากเกินไป ข้าวปายาสจึงไม่ย่อย คืนนั้นโกตุหลิกจึงทำกาละ และด้วยอกุศลจิตก่อนตายที่อิจฉาความเป็นอยู่ของสุนัข โกตุหลิกจึงไปเกิดในท้องนางสุนัขตัวนั้น ส่วนนางกาลีเมื่อสามีตายหมดที่พึ่งแล้ว จึงอยู่ทำงานในเรือนของนายโคบาลนั้นเอง วันใดได้ค่าแรงเป็นข้าวสาร นางก็จัดการหุงแล้วใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ถ้าวันไหนไม่มีข้าวนางก็ขวนขวายช่วยงานด้วยความเลื่อมใส

    จากสุนัขเป็นโฆสกเทพบุตร
    โก ตุหลิกเกิดเป็นสุนัข ได้รับก้อนข้าวจากพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประจำจึงมีความเคารพรักในพระปัจเจก พุทธเจ้า เมื่อนายโคบาลไปสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้าสุนัขนั้นก็ตามไปด้วย ได้เห็นนายโคบาลเอาไม้ตีพุ่มไม้ข้างทางเพื่อขับไล่สัตว์ร้ายให้หนีไป สุนัขก็จดจำไว้
    วันหนึ่ง นายโคบาลทูลพระปัจเจกพุทธเจ้าว่าหากวันใดไม่สามารถมานิมนต์พระปัจเจก พุทธเจ้าได้ด้วยตนเองก็จะส่งสุนัขตัวนี้มา ขอให้พระปัจเจกพุทธเจ้าพึงทราบด้วย หลังจากวันนั้น เมื่อนายโคบาลไม่ว่างก็จะใช้ให้สุนัขนั้นไปพาพระปัจเจกพุทธเจ้ามารับภัตที่ เรือน สุนัขนั้นก็จะไปที่หน้าที่พำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า เห่า ๓ ครั้งให้รู้แล้วนอนหมอบรออยู่ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าออกมาสุนัขก็จะเดินนำไปข้างหน้า ระหว่างทางสุนัขก็จะเที่ยวเห่าใส่สุมทุมพุ่มไม้และที่รกเพื่อขับไล่สัตว์ ร้ายตามแบบที่จำมาจากนายโคบาล บางครั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าแกล้งเดินผิดทาง สุนัขก็จะไปยืนขวางไว้ บางครั้งก็คาบชายผ้าดึงกลับมาให้ถูกทาง
    กาล เวลาผ่านไป วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกนายโคบาลว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น สุนัขนั้นอาลัยรักพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก ยืนเห่าส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไป พอพระปัจเจกพุทธเจ้าลับไปจากสายตา สุนัขนั้นก็ดวงใจแตกดับ ไปเกิดเป็นเทพบุตรในเทวโลก มีนางอัปสรแวดล้อม ๑,๐๐๐ นาง เป็นเทพบุตรผู้มีเสียงดังมากเพราะอานิสงส์การเห่าไล่สัตว์ร้ายให้พระปัจเจก พุทธเจ้า นามว่า โฆสกเทพบุตร

    เกิดใหม่ในโกสัมพี
    โฆสก เทพบุตรเสวยสมบัติอยู่ในเทวโลกไม่นาน มัวแต่เพลินบริโภคกามคุณจนลืมเสพอาหารทิพย์ จึงจุติไปเกิดเป็นบุตรหญิงงามเมืองในกรุงโกสัมพี แต่การเป็นหญิงงามเมืองหากมีบุตรจะเลี้ยงไว้เฉพาะบุตรสาวเพื่อสืบทอดอาชีพ เมื่อคลอดบุตรเป็นชายนางจึงนำทารกน้อยใส่กระด้งไปทิ้งในกองหยากเยื่อ ด้วยอานิสงส์เคยดูแลไล่สัตว์ร้ายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ามาก่อน ทารกน้อยในกองหยากเยื่อจึงรอดพ้นอันตรายจากสัตว์ร้ายจนมีหญิงคนหนึ่งมาพบ เข้าและนำทารกกลับไปเรือน
    วันนั้น เศรษฐีชาวเมืองโกสัมพีคนหนึ่งเข้าไปในราชสำนัก ได้ยินปุโรหิตบอกว่าเด็กที่เกิดวันนี้เป็นผู้มีบุญมาก อนาคตจะได้เป็นมหาเศรษฐีของเมือง เศรษฐีจึงให้คนใช้กลับไปดูที่เรือนว่าภรรยาของตนซึ่งมีครรภ์แก่คลอดบุตรหรือ ยัง ปรากฏว่าภรรยายังไม่คลอด เศรษฐีจึงให้หญิงคนใช้อีกคนชื่อ กาลี ไปตามหาทารกชายที่เกิดวันนี้ให้พบ พบแล้วให้ใช้ทรัพย์พันหนึ่งแลกทารกนั้นกลับมา ซึ่งนางกาลีก็สามารถหาทารกน้อยนั้นจบพบและพากลับมาให้เศรษฐี
    เศรษฐี เลี้ยงดูทารกนั้นไว้ คิดว่าถ้าลูกของตนเป็นลูกสาว ก็จะให้แต่งงานกับเด็กคนนี้ที่จะได้เป็นมหาเศรษฐี แต่ถ้าเป็นชาย เศรษฐีก็จะฆ่าเด็กนี้ทิ้งเสียเพื่อให้ลูกชายตนเองครองตำแหน่งมหาเศรษฐีแทน

    ถูกทิ้งถูกฆ่าซ้ำแล้วซ้ำอีก
    ต่อมาภรรยาเศรษฐีคลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงคิดจะฆ่าทารกที่เลี้ยงไว้
    เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปวางขวางกลางประตูคอกโค หวังจะให้แม่โคเหยียบให้ตายตอนนายโคบาลปล่อยโคออกจากคอก แต่โคนายฝูงออกมายืนคร่อมทารกไว้ไม่ให้ทารกถูกแม่โคตัวอื่นเหยียบ นายโคบาลสังเกตเห็นผิดปกติที่โคนายฝูงปกติจะออกจากคอกหลังสุด แต่วันนี้กลับออกจากคอกก่อน แถมยังยืนนิ่งขวางทางอยู่จึงเดินไปดู เมื่อเห็นทารกนอนอยู่ก็เกิดความรักนำกลับไปเลี้ยงดู เศรษฐีรู้ว่านายโคบาลนำทารกไปเลี้ยงจึงให้นางกาลีไปไถ่ตัวกลับมาด้วยทรัพย์ พันหนึ่ง
    เศรษฐีสั่งให้นางกาลีนำทารกไปวางขวางทางขบวนเกวียน ๕๐๐ เล่มที่พ่อค้าขับไปค้าขายแต่เช้ามืด แต่โคนำขบวนกลับหยุดขวางทางไว้ไม่ยอมลากเกวียนไปต่อ หัวหน้าขบวนเกวียนรอจนฟ้าสว่างจึงเห็นว่ามีทารกนอนอยู่ เขาจึงนำทารกกลับไปเลี้ยง แต่เศรษฐีก็ให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง
    เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ หวังจะให้ทารกถูกสุนัขป่าหรืออมนุษย์ฆ่าให้ตาย ครั้งนั้นนายอชบาลต้อนฝูงแพะหลายแสนตัวผ่านมา แม่แพะตัวหนึ่งหยุดให้นมทารก นายอชบาลเห็นจึงนำทารกกลับไปเลี้ยง เศรษฐีรู้จึงให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง
    เศรษฐี สั่งให้นางกาลีนำทารกไปทิ้งที่เหวทิ้งโจร แต่ทารกก็ปลอดภัยเพราะตกลงบนพุ่มไม้ไผ่ หัวหน้าช่างจักสานมาตัดไม้ไผ่พบเข้าจึงพากลับไปเลี้ยง เศรษฐีรู้จึงให้นางกาลีไปขอไถ่ตัวกลับมาอีกด้วยทรัพย์พันหนึ่ง
    เศรษฐีพยายามฆ่าเด็กหลายครั้งแต่ไม่ตาย จึงจำต้องเลี้ยงไว้จนเติบใหญ่ มีชื่อว่า โฆสกะ

    ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
    เศรษฐี จำใจเลี้ยงโฆสกะไว้เป็นหนามยอกอก ในใจไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าโฆสกะเลย วันหนึ่งเศรษฐีแอบไปว่าจ้างช่างหม้อคนหนึ่งบอกว่าจะส่งบุตรชาติชั่วมาให้ฆ่า ให้ช่างหม้อจัดการหั่นให้เป็นท่อน แล้วใส่เตาเผาให้หมดอย่าให้เหลือซาก ช่างหม้อเห็นแก่เงินจึงรับจะจัดการให้
    วันรุ่งขึ้น เศรษฐีสั่งให้โฆสกะไปเรือนช่างหม้อ บอกช่างหม้อว่าให้เร่งทำงานที่เศรษฐีสั่งไว้ให้เสร็จเร็วๆ โฆสกะก็ไปเพราะไม่รู้ ระหว่างทางพบลูกชายเศรษฐีกำลังเล่นพนันอยู่กับเพื่อนๆ แต่ลูกชายเศรษฐีแพ้พนันไปแล้วหลายครั้งจึงขอร้องให้โฆสกะช่วยเล่นแทน ส่วนตัวเขาอาสาไปหาช่างหม้อแทน วันนั้นโฆสกะจึงได้อยู่เล่นสนุกตลอดทั้งวัน
    ตก เย็นโฆสกะเลิกเล่นกลับเข้าเรือน เศรษฐีพอเห็นโฆสกะก็ตกใจ สอบถามรู้ว่าบุตรชายของตนไปแทนโฆสกะจึงรีบวิ่งไปเรือนช่างหม้อ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะบุตรชายของตนถูกฆ่าและเผาแล้วไม่มีเหลือ

    โฆสกะแต่งงาน
    เศรษฐี แค้นโฆสกะมากยิ่งขึ้นครุ่นคิดหาวิธีจะฆ่าโฆสกะให้ได้ จึงออกอุบายให้โฆสกะไปส่งจดหมายให้คนเก็บส่วยในชนบท โฆสกะบอกว่าตนยังไม่ได้กินข้าวเลย เศรษฐีบอกว่าระหว่างทางในชนบทมีเรือนของคามิกเศรษฐีซึ่งเป็นเพื่อนกัน ให้โฆสกะแวะกินข้าวที่เรือนนั้น โฆสกะไม่รู้หนังสือจึงเอาจดหมายผูกชายผ้าเดินทางไป
    เมื่อเดิน ทางถึงเรือนคามิกเศรษฐี โฆสกะจึงแวะเข้าไปหาภรรยาคามิกเศรษฐีแนะนำตัวเองว่าชื่อโฆสกะเป็นบุตรของ เศรษฐีในเมืองชื่อโฆสกะ ภรรยาเศรษฐีรู้สึกเมตตาจึงจัดข้าวปลาอาหารให้กิน และให้นางทาสีพาโฆสกะไปนอนพักผ่อน
    นางทาสีคนนั้นเป็นทาสีของ ธิดาเศรษฐี เมื่อนางจัดเตรียมที่นอนให้โฆสกะเรียบร้อยแล้วจึงไปรับใช้ธิดาเศรษฐีตามปกติ ธิดาเศรษฐีถามว่าทำไมวันนี้นางทาสีจึงมาช้านัก นางทาสีบอกว่านายหญิงให้ไปจัดที่นอนให้แขกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปหล่อชื่อ โฆสกะ
    พอธิดาเศรษฐีได้ยินชื่อ โฆสกะ นางก็บังเกิดความรักเฉือนเข้าไปถึงกระดูก เพราะธิดาเศรษฐีนี้คือนางกาลีอดีตภรรยาโฆสกะเมื่อครั้งที่เป็นนายโกตุหลิก นั่นเอง ความรักของนางเกิดขึ้นแล้วเพราะเหตุเคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อน
    ธิดา เศรษฐีแอบไปดูโฆสกะที่นอนหลับอยู่ และหยิบหนังสือที่ชายผ้าเปิดอ่าน ในหนังสือนั้นบอกให้นายส่วยฆ่าโฆสกะทันทีที่ไปถึง ธิดาคามิกเศรษฐีพอรู้ว่าโฆสกะถูกหลอกไปฆ่าจึงคิดวิธีช่วยเหลือ จัดการแปลงสารด้วยข้อความใหม่
    “ลูกชายของเราคนนี้ชื่อ โฆสกะ ท่านจงทำธุระให้เขาทำการมงคลกับธิดาคามิกเศรษฐีด้วยบรรณาการจากบ้านส่วย ๑๐๐ บ้าน ปลูกเรือน ๒ ชั้นให้เป็นที่อยู่ สร้างรั้วให้แข็งแรงและจัดเวรยามดูแลให้ดี แล้วส่งข่าวกลับไปบอกด้วยว่าท่านทำการเสร็จแล้ว เราจักสมนาคุณท่านในภายหลัง”
    เมื่อแปลงสารเสร็จแล้ว ธิดาเศรษฐีก็พับจดหมายคืนที่เดิม
    วัน รุ่งขึ้น โฆสกะเดินทางต่อจนถึงเรือนของนายส่วย เมื่อได้อ่านจดหมายแล้ว นายส่วยจึงจัดงานอาวาหมงคลให้โฆสกะกับธิดาคามิกเศรษฐี แล้วส่งข่าวให้เศรษฐีโกสัมพีทราบว่างานที่สั่งให้ทำสำเร็จแล้ว

    เศรษฐีล้มป่วยเพราะความแค้น
    เศรษฐี อ่านจดหมายนายส่วยจบก็เสียใจและแค้นใจ บุตรชายตัวเองหวังจะให้เป็นมหาเศรษฐีก็มาตาย ส่วนโฆสกะพยายามฆ่ามาหลายครั้งไม่เคยสำเร็จ ด้วยความแค้นและความเสียใจสุมเต็มอกเศรษฐีจึงล้มป่วยลงด้วยโรคลงแดง
    เศรษฐี ตั้งใจว่าจะไม่ยอมยกสมบัติของตัวเองให้โฆสกะอย่างเด็ดขาด จึงส่งคนรับใช้ให้ไปตามโฆสกะมาหา แต่ภรรยาโฆสกะคอยดักไว้ไม่ให้พบ นางถามถึงอาการเศรษฐีว่าเป็นอย่างไรบ้าง คนรับใช้บอกว่ายังมีกำลังดีอยู่ นางจึงจัดที่พักให้บอกว่าให้อยู่ที่นี่ก่อนอย่าเพิ่งกลับ
    เศรษฐีส่งคนรับใช้ไปอีก ภรรยาโฆสกะก็จัดที่พักให้เหมือนคนก่อน
    จน ถึงคนรับใช้คนที่สามมาบอกว่าเศรษฐีอาการเพียบหนักใกล้ตายแล้ว ภรรยาโฆสกะจึงบอกให้สามีเตรียมบรรณาการจากบ้านส่วย ๑๐๐ บ้าน ใส่เกวียนไปเยี่ยมเศรษฐี
    เมื่อไปถึงเรือนเศรษฐี ภรรยาบอกให้โฆสกะไปยืนทางปลายเท้า ส่วนนางยืนทางด้านศีรษะ เศรษฐีเห็นโฆสกะมาแล้วจึงเรียกเสมียนมาถามว่า ในเรือนของฉันมีทรัพย์อยู่เท่าไร นายเสมียนตอบว่ามีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิ และเครื่องอุปโภคบริโภคบ้าน นา สัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้า ยานพาหนะ มีอีกจำนวนหนึ่ง
    เศรษฐีจะประกาศว่า
    “ฉันไม่ให้ทรัพย์แก่โฆสกะ”
    แต่ด้วยอาการไข้หนักเศรษฐีกลับพูดผิดว่า
    “ฉันให้..”
    ภรรยา โฆสกะที่รอท่าอยู่พอได้ยินเศรษฐีพูดเพียงเท่านี้ นางเกรงว่าเศรษฐีจะพูดคำอื่นอีกจึงแสร้งทำเป็นเศร้าโศก โถมศีรษะลงกลิ้งเกลือกบนอกเศรษฐี แสดงอาการร้องไห้คร่ำครวญจนเศรษฐีไม่อาจพูดได้อีก แล้วเศรษฐีก็ขาดใจตาย

    เป็นโฆสกะเศรษฐี
    เมื่อ พระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพีทรงทราบว่าเศรษฐีถึงแก่อนิจกรรมแล้ว จึงรับสั่งให้โฆสกะไปเข้าเฝ้า พระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้สืบต่อจากบิดา โฆสกะรับตำแหน่งเศรษฐีแล้วจึงขึ้นรถแห่ประทักษิณพระนครแล้วกลับมาเรือน
    ภรรยา โฆสกเศรษฐีเล่าให้นางกาลีฟังว่า เพราะนางแอบแปลงจดหมาย วันนี้โฆสกะจึงได้ตำแหน่งเศรษฐี นางกาลีก็เล่าให้นางฟังบ้างว่าเศรษฐีพยายามฆ่าโฆสกะมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่ ยังเป็นทารก ใช้ทรัพย์ไปมากมายแต่ก็ไม่สามารถฆ่าโฆสกะได้ พอรู้ดังนั้นแล้วภรรยาโฆสกะจึงหัวเราะ
    โฆสกเศรษฐีเข้าเรือนมา เห็นภรรยาหัวเราะจึงถามว่าหัวเราะอะไร ภรรยาไม่ยอมบอก โฆสกเศรษฐีชักดาบขู่ว่าถ้าไม่บอกเราจะฟันให้ขาดเป็น ๒ ท่อน ภรรยาจึงบอกว่า สมบัติทั้งหลายนี้ท่านได้มาเพราะดิฉัน
    แล้วภรรยาก็เล่าเรื่อง ราวให้สามีฟัง โฆสกเศรษฐีไม่เชื่อ ภรรยาจึงให้นางกาลีมายืนยันอีกคน ฟังแล้วโฆสกเศรษฐีจึงคิดว่า เราทำกรรมหนักไว้หนอจึงได้ผลเช่นนี้ ต่อไปเราจะไม่เป็นผู้ประมาทอีก
    คิดดังนั้นแล้ว เศรษฐีจึงให้ตั้งโรงทาน สละทรัพย์วันละพันเพื่อสงเคราะห์คนเดินทางไกลและคนกำพร้า มอบหมายให้ นายมิตตะ เป็นผู้ดูแลโรงทาน อีกทั้งยังถวายภัตแด่พระดาบส ๕๐๐ รูป ในป่าหิมพานต์ใกล้กรุงโกสัมพีเป็นประจำ
91  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตำนานกำเนิดเทพหิมะ เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:35:02 am
ตำนานกำเนิดเทพหิมะ

“เทพหิมะ” ในญี่ปุ่นเรียกว่า “เจ้าหญิงหิมะ” เป็นเทพที่มีพลังธาตุน้ำแข็งเย็นเยือกมาก ในบทความนี้ จะขอเล่าเรื่องราวความเป็นมาของ “เทพหิมะ” ดังจะอธิบายต่อไปนี้

เทพและต้นสายพลังแห่งเทพ
เทพ แบ่งได้ ๒ กลุ่มใหญ่ คือ เทพตามปกติ ๑ และเทพที่ออกนอกลู่นอกทาง ๑ กล่าวถึง เทพตามปกตินั้น ล้วนแต่มีพลังธาตุไฟ เป็นพื้นฐานของพลังทั้งสิ้น ดังนี้ เทพทั้งหลายจะกำเนิดจากแม่พราหมณีองค์เดียวกัน ก็คือ แม่เตโช (ธาตุไฟ) เทพจะไม่ถือกำเนิดจากแม่พราหมณีองค์อื่นเพราะพลังธาตุไฟเป็นพลังแห่งแสง สว่างและความอบอุ่นทำให้มีปัญญาและเมตตาได้ ส่วนพลังธาตุอื่นๆ อาจส่งผลให้ออกนอกทางได้ เช่น พลังธาตุดิน อาจจะทำให้ถูกอสูรแทรกได้ง่าย (อสูรกำเนิดจากดิน), พลังธาตุน้ำ อาจทำให้ถูกซาตานแทรกได้ (พวกนี้อาศัยธาตุน้ำชำระบาปเพื่อกำเนิดใหม่) เหล่านี้เป็นต้น สำหรับเทพกลุ่มที่สองนั้น คือ เทพที่ออกนอกลู่นอกทาง เช่น เทพที่ฝึกพลังฤทธิ์ผิดทางแล้วเปลี่ยนไป ไม่อาจทำหน้าที่ดังเดิมได้, เทพที่หนีทัณฑ์สวรรค์ลงไปกบดานในใต้พิภพมนุษย์ซึ่งคือ ซาตาน นั่นเอง สำหรับ “เทพหิมะ” นั้น จัดเป็นเทพกลุ่มที่สองที่ฝึกอิทธิฤทธิ์ผิดพลาดทำให้ออกนอกลู่นอกทางไป เนื่องจากการฝึกฤทธิ์โดยเริ่มจากธาตุน้ำแล้วไม่อาจควบคุมธาตุน้ำได้

การฝึกฤทธิ์ที่ผิดพลาดของเทพหิมะ
ใน ขณะที่เทพหิมะฝึกฤทธิ์อยู่นั้น จะเดินเข้าสู่ธาตุน้ำเป็นพลังต้นสายก่อน ทำให้มีปัญญาและจิตใจใสเย็น เป็นคนใจเย็น ดูเปลือกนอกแล้วน่านับถือ, น่าศรัทธามาก เพราะบุคลิกดี ใจเย็น ทั้งยังมีปัญญาอีกด้วย นั่นเอง (อันเป็นผลมาจากธาตุน้ำ) ทว่า เมื่อมีความรักจะมีความลุ่มหลงมาก (อันเป็นผลมาจากธาตุน้ำ) เมื่อคุมธาตุน้ำไม่ไหว จะลุ่มหลงมากและเจ็บปวดในรักได้ เมื่อมีเรื่องกระทบจิตใจ จะส่งผลต่อพลังธาตุน้ำอย่างมาก และทำให้น้ำบนโลกแปรปรวนได้ ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จิตวิญญาณของเทพหิมะก็คุมธาตุน้ำนั้นโดยฉับพลัน ส่งผลให้ธาตุน้ำที่กำลังจะแปรปรวนถูกแช่แข็งกลายเป็น “ธาตุน้ำแข็ง” ในทันที สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว นับว่าเป็นการฝึกผิดวิธีอีกแบบหนึ่ง (ที่ไม่ใช่ธาตุไฟเข้าแทรก) ผู้ฝึกจะมีอาการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทางร่างกายอาจมีอาการของธาตุน้ำแข็งกำเริบ เช่น ผมขาวโพลนขึ้นในระยะเวลาอันสั้น, ตัวเย็นเยือกผิดปกติ, ร่างไม่ค่อยขยับหรือนิ่งเฉยไม่ค่อยตอบโต้การกระตุ้นใดๆ เป็นต้น ทางจิตใจจะเป็นคนเลือดเย็นมากขึ้น, ใจแข็ง, ใจเย็นผิดปกติ, เย็นชา, เฉื่อยชา, เหมือนคนไร้ชีวิตจิตใจ, ไร้ความรู้สึก นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อโลกในด้านลบอีกด้วย เช่น โลกจะมีหิมะหรือน้ำแข็งมากขึ้น

การฝึกฤทธิ์ที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร
การ ฝึกฤทธิ์ที่ถูกต้องสำหรับเทพ ก็คือ การฝึกพลังธาตุโดยเริ่มต้นจาก “ธาตุไฟ” ไปก่อน เมื่อสำเร็จแล้วอยากเรียนรู้พลังธาตุอื่นอีก ก็จะเดินธาตุไล่ไปดังนี้ คือ ไฟ ไป ลม ไป น้ำ ไป ดิน หรือบางท่านก็ฝึกคู่ตรงข้าม เช่น ฝึกธาตุไฟพร้อมธาตุน้ำไปด้วยกัน ทว่า การฝึกแบบนี้จะเกินกำลังของสายเทพ ทำให้ผิดพลาดและถูกพลังธาตุตรงข้ามแทรก จนทำให้ร่างกายแปรปรวนและเจ็บป่วยได้ ผู้ที่ฝึกคู่ตรงข้ามได้สำเร็จจะต้องมีบารมีขั้นเซียนขึ้นไป (เซียนสูงกว่าเทพ) เช่น เซียนกุมารนาจา เป็นต้น ทว่าในผู้หญิงมักมีพลังธาตุน้ำเป็นฐานโดยธรรมชาติ ดังนี้ การฝึกพลังธาตุไฟจึงต้องอาศัยพลังธาตุจากเพศตรงข้าม ก็คือ เพศชาย โดยการฝึกเป็นคู่ที่เรียกว่า “หยิน-หยางประสานใจ” หรืออาศัยพลังธาตุไฟจากหญิงที่สำเร็จพลังธาตุไฟ คือ แม่เตโชธาตุไฟเป็นอาจารย์ จึงไม่หลงออกนอกทาง หลายท่านไม่เข้าใจจุดนี้ เมื่อผู้หญิงฝึกจิตเองก็มักได้พลังธาตุน้ำเป็นรากฐานเสมอ ผลที่เกิดขึ้นคือ เมื่อคุมธาตุน้ำไม่ได้ก็อาจกลายสภาพเป็น “เจ้าหญิงหิมะ” ที่มีจิตใจเยือกเย็น, เลือดเย็น, ตายด้าน, ไร้ความรู้สึกได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่สอนให้ผู้หญิงฝึกจิตตามลำพัง แม้แต่พระภิกษุณีท่านยังให้เดินตามพระภิกษุไปก่อนอีกด้วย ในการแก้ไขเทพหิมะนี้ จะต้องใช้ชายที่มีพลังธาตุไฟมาก (ใจอบอุ่น) ค่อยสลายพลังน้ำแข็งลงทีละน้อย โลกจะปลอดภัย
92  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / นิทานธรรมะ ตำนานกำเนิดผู้นำทางจิตวิญญาณ เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:31:54 am
นิทานธรรมะ ตำนานกำเนิดผู้นำทางจิตวิญญาณ

“ผู้นำทางจิตวิญญาณ” คือ ผู้นำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องให้ทางโลก หรือมนุษย์สมมุติขึ้น ซึ่งจะเกิดได้จากการบำเพ็ญบารมีจนสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์ ดังต่อไปนี้

๑) โพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
โพธิ สัตว์อวโลกิเตศวรจะดูแล “มนุษย์” โดยตรง เนื่องจากมนุษย์มีอายุขัยสั้นกว่าเทวดา เวลาในการบำเพ็ญบารมีบนโลกน้อยและการบำเพ็ญบารมีให้ถึงพร้อมความเป็นโพธิ สัตว์อวโลกิเตศวรนั้นง่ายและเร็วที่สุด ท่านจึงรับผิดชอบโปรดมนุษย์โดยตรง มักเกิดเป็นผู้นำด้านต่างๆ ตั้งแต่พระราชาลงไปถึงผู้นำครอบครัวก็ได้ทั้งสิ้น แต่ปกติ มักเกิดเป็นผู้หญิง

๒) โพธิสัตว์กษิติครรภ์
โพธิสัตว์กษิติครรภ์ จะดูแล “อบายภูมิสี่” โดยตรง ได้แก่ สัตว์นรก, เปรต, อสูร, เดรัจฉาน สี่เหล่านี้ ท่านจะใช้เวลาบำเพ็ญบารมีนานกว่าพระอวโลกิเตศวร เมื่อลงมาบำเพ็ญบารมีคู่กัน บางครั้ง พระอวโลกิเตศวรจะรับหน้าที่ทางโลกรั้งไว้ก่อน แล้วรอให้พระกษิติครรภ์ได้บารมีครบถ้วน จึงจะโปรดสัตว์ในอบายภูมิต่อได้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริง เนื่องจาก การที่มนุษย์ก่อกรรมมากนั้น ส่วนใหญ่มากจากจิตวิญญาณร้ายในอบายภูมิสี่ก่อกวน หรือครอบงำ การลงโทษมนุษย์โดยวิธีทางโลกนั้นไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริงได้เลยเช่น ถูกจับเข้าคุกแล้วก็จะมีคนต่อไปเรื่อยๆ เพราะจิตวิญญาณร้ายที่แทรกอยู่ในมนุษย์ ยังไม่ถูกใครจัดการ ดังนั้น งานของพระอวโลกิเตศวร จึงเป็นงานที่ทำผ่านกายสังขารมนุษย์เบื้องต้น เพื่อรอให้พระกษิติครรภ์มาสานงานที่ยุ่งยากเกินขอบเขตเรื่องกายสังขารต่อไป นั่นเอง

๓) โพธิสัตว์เมตตรัย
โพธิสัตว์เมตตรัยจะดูแล “เทพเทวดา” โดยตรง ซึ่งมีทั้งฝ่ายมิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิ รวมอีกทั้งพรหมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์อีกด้วย แต่จะใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานกว่าพระกษิติครรภ์ไปอีกคือ มีช่วงเวลาที่ต้องอดทนรอด้วย “ขันติบารมี” ได้รับความยากลำบากหรือถูกทัณฑ์ทรมาน (พระกษิติครรภ์จะมีช่วงเวลาที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นจึงจะหมดกรรมแล้วโปรด สัตว์นรกได้ แต่พระเมตตรัยจะมีช่วงที่เหมือนถูกทรมาน จนกว่าจะหมดกรรมก็ออกมาโปรดสัตว์ได้คล้ายพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้) เมื่อถึงเวลาโปรดสัตว์แล้ว ท่านจะทำหน้าที่บริหารเทพเทวดาที่เกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์ ไม่ได้บริหารมนุษย์โดยตรง และไม่ได้รับผิดชอบจิตวิญญาณในอบายภูมิสี่ ที่อาจแทรกอาศัยร่างมนุษย์หรือไม่ก็ตาม ความรับผิดชอบของท่านจึงตรงต่อสวรรค์โดยตรง คือ สื่อสารกับสิ่งศักดิสิทธิ์เบื้องบนจึงนำมาปรับเพื่อโปรดเบื้องล่าง อย่างเหมาะสม ข้อนี้จึงแตกต่างจากพระกษิติครรภ์มากคือ พระกษิติครรภ์ช่วยผู้ที่ไม่พร้อมจะทำกิจให้พัฒนาจิตวิญญาณตนเองก่อนจนกว่าจะ พร้อม แต่พระเมตตรัยจะนำทางจิตวิญญาณที่พร้อมทำกิจแล้ว มาทำกิจอย่างเหมาะสมต่อไป

ผู้นำทางจิตวิญญาณที่เรารู้จักกันในทางโลก นั้นบ้างเกิดโดยกรรมคือ กระทำกรรมเพื่อให้ตนได้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณก็มี เช่น การเล่นมนต์ดำให้คนนิยมชมชอบในวงกว้าง การแลกวิญญาณกับซาตานเพื่อให้ซาตานช่วยเหลือฯลฯ ซึ่งการได้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณโดยการก่อกรรมนี้ปัจจุบันมีมาก แต่สุดท้ายต้องรับวิบากกรรมมากมาย เพราะความอยากโดดเด่น เป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม ทำให้คนมากมายตกหลุมพรางนี้ แล้วต้องเสียใจในภายหลังโดยไม่อาจถอยหลังกลับได้ ในบทความนี้ จึงกล่าวถึงผู้นำทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญบารมีเท่านั้น อนึ่ง ยังมีจิตวิญญาณอีกมาก ที่มีบารมีพอที่จะเป็นที่พึ่งพิงของสัตว์จำนวนมากได้เช่น พระพรหม, พระยูไล ฯลฯ แต่ในที่นี้ จะไม่ขออธิบายในรายละเอียด ซึ่งแต่ละท่าน จะมีภาระหน้าที่, บุญบารมี, บริวาร ฯลฯ ที่แตกต่างกันออกไป ส่วนพระโพธิสัตว์ทั้งสามองค์ ที่นำเสนอนี้ เป็นแบบที่มนุษย์ส่วนใหญ่ สามารถบำเพ็ญถึงได้มาก ทว่าโพธิสัตว์บางองค์ที่โปรดจิตวิญญาณที่มองไม่เห็นอาจไม่มีสถานภาพที่สูง ส่งนัก อาจเป็นเพียงคนธรรมดาเดินดินไปวันๆ แต่ก็สามารถที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณได้
93  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:27:14 am
ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ

พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก


ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่ จงอยู่ด้วยอานาปานสติ
อย่างพระพุทธเจ้า
จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะกิน ดื่ม ขับถ่าย ทำครัว
ทำความสะอาดบ้าน ขับรถ ทำงานทุกชนิด ให้อยู่กับอานาปานสติ
เดินเล่น พักผ่อน ก็ทำอานาปานสติได้
พูดได้ว่า ชีวิตทั้งหมดนี้ให้อยู่ด้วย อานาปานสติ


เจริญอานาปานสติ เพื่อเป็นการรักษาใจให้เป็นปกติ ให้ใจเป็นศีล
โดยเพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกติดต่อกันอย่าง
ต่อเนื่องและอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลืม ไม่เผลอ แม้แต่ขณะที่เห็นรูป
ได้ยินเสียง ได้ดมกลิ่น ได้รู้รส ได้สัมผัส


การกำหนดรู้ต้องอาศัยจิตใจที่สงบ
จึงจะสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง
ก่อนที่จะฝึกอานาปานสติ ต้องพยายามปล่อยวางความคิดต่างๆ
พยายามทำใจให้นิ่ง ให้สงบเสียก่อน แม้จะเป็นความสงบเพียง
ชั่วคราวก็ตาม


อานาปานสติ ทำได้ในอิริยาบถทั้ง 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน
ให้มีสติระลึกรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกติดต่อกัน
โดยเฉพาะช่วงที่ปรารภความเพียรทำได้ 24 ชั่วโมง ในวันหนึ่ง
ทีเดียว หรือเว้นเฉพาะขณะหลับเท่านั้น


อานาปานสติ สามารถเจริญเป็น สมถกรรมฐาน ให้สมบูรณ์ได้
อานาปานสติ สามารถเจริญเป็น วิปัสสนากรรมฐาน ให้
สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ ได้


ในอิริยาบถบางอย่างไม่สะดวกที่จะเจริญอานาปานสติ หรือ
กำหนดรู้ลมหายใจ เช่น ขณะที่กำลังขับรถบนถนน บนทางด่วน
เราไม่ต้องกังวล คือไม่ต้องระลึกถึงลมหายใจ แต่ให้อยู่ในหลัก
อานาปานสติให้ครบถ้วนคือ


ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด
ปัจจุบัน เป็นสำคัญ
เรื่อง อดีต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง
เรื่อง อนาคต ไม่สำคัญ ไม่ต้องคิดถึง
เรื่องคนอื่น ไม่สำคัญเท่าไร โดยเฉพาะความชั่วของคนอื่นอย่าแบก
ตัวเราเองทำดี ทำถูก นั่นแหละ สำคัญที่สุด


ขอให้ตั้งใจขับรถดีที่สุด อย่าให้เกิดอุบัติเหตุก็ใช้ได้
ใครจะขับรถไม่ดี ไม่รักษากฎจราจร แซงตัดหน้าเรา เกือบชน
เกือบมีอุบัติเหตุก็ตาม น่าโมโหอยู่ แต่ช่างมัน
เรื่องความชั่วของเขา อย่าให้เราเกิดโมโห อย่าให้ใจเสีย
อย่าให้เกิดอุบัติเหตุ
รักษาใจเป็นปกติ ใจดี แล้วทำหน้าที่ให้ดีที่สุด


เมื่อเราเจริญอานาปานสติเป็นประจำ เราจะมีสติตลอดเวลา
สามารถจัดการกับงานหลายอย่างที่เร่งรัดเข้ามาในเวลาเดียวกันได้
เพราะเมื่อรู้สึกวุ่นวาย สติจะกำกับให้กลับมาที่ลมหายใจทันที
โดยอัตโนมัติ จิตจะเริ่มสงบและรับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง
ทีละอย่าง ทำให้เกิดปัญญาที่จะแก้ไข หรือ จัดการกับงานเหล่านั้น
ให้สำเร็จทีละอย่าง และเมื่องานแล้วเสร็จ สติจะกำกับให้กลับมาที่
ลมหายใจทันทีที่ว่างจากงาน เป็นการพักผ่อนด้วยอานาปานสติ


ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ
คือ ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีที่สุด ด้วยใจดี มีสุข


คัดลอกบางส่วนจาก... อานาปานสติ : วิถีแห่งความสุข ๑
(พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)
94  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ใบสมัครเข้าร่วมโครงการ การประกวดนิทรรศการเสมือน อพวช. ประจำปี 2554 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 08:28:46 am


ใบสมัครเข้าร่วมโครงการ การประกวดนิทรรศการเสมือน อพวช. ประจำปี 2554 NSM Virtual Exhibition Award 2011

ดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่นี่
http://www.fwdder.com/out.php?d=http%3A%2F%2Fwww.nsm.or.th%2F
95  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด มักเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 08:08:14 am
สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด มักเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ

    สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด มักเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด
    สิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน เราก้อคิดอยู่ว่าเราก้อต้องเห็นอยู่แบบนั้นต่อไป ไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้มันสำคัญ ไม่เคยเห็นแม้แต่ค่า

    เหมือนกับการที่เราเห็นหน้าใครอยู่ทุกวัน คนๆนั้นวิ่งตามเราอยู่ทุกวัน ใส่ใจเราอยู่ทุกวัน เราก้อมักจะเห็นแค่ว่าใครคนนึงกำลังทำอะไรที่ดูงี่เง่า น่ารำคาญ

    จนวันนึงถ้าเราสูญเสียไป เราก้ออาจจะรู้สึกเสียใจบ้าง เราอาจจะต้องการเรียกร้องให้มาเหมือนเดิม

    หรือบางทีเราก้ออาจจะรู้สึกว่าดีใจที่ได้มีชีวิตที่ปราศจากความรำคาญ แต่จะมีใครที่เคยรู้สึกถึง ความรู้สึกของคนที่ให้อยู่บ้าง

    บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่อาจไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณรำคาญ แต่เขาทำไปเพราะเขารักคุณจริงๆ เหมือนความรักของพ่อแม่ เหมือนความรักของเพื่อนสนิทของคุณ เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ให้คุณด้วยความจริงใจ

    คุณเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญบ้างไหม คุณเคยคิดว่าคุณดูแลพวกเขาดีพอรึยัง คุณให้ความสำคัญกับคนถูกหรือเปล่า คุณให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุคุณมากกว่าความรู้สึกที่ดีหรือเปล่า

    สิ่งที่สำคัญมักมองไม่เห็นด้วยตา แต่ต้องมองด้วยหัวใจ

    แต่เรามักไม่มีเวลาพอที่จะใช้หัวใจมอง เรามองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสิน เรามองดูความรวยความจนของคนที่สิ่งของที่เขาใช้ เรามองความดีของคนตรงที่เขาแสดงให้เราเห็น เรามองอะไรหลายอย่างด้วยตา แล้วเราก้อตัดสินคนเพียงแค่เวลาไม่เกิน 5 นาที

    เราต้องสูญเสียมิตรที่ดีไปเพียงเพราะเราอ้างว่าไม่มีเวลา

    เราไม่มีเวลาก็ต่อเมื่อเราไม่สนใจ เราไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น ต่อคนๆนั้น

    แต่ถ้าลองมองย้อนดู ทำไมเราถึงมีเวลาทำอะไรมากมายหลายอย่างในแต่ละวัน

    เพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ

    ทำไมคุณไม่ลองให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณลืมไป กับคนที่หวังดีกับคุณแต่คุณไม่เคยมอง

    อย่าปล่อยให้มิตรภาพดีๆต้องมีรอยร้าว เพราะเมื่อวันนึงถ้าต่างคนต่างไป

    เราจะได้จากกันด้วยความรู้สึกที่ดี เราจะได้ไม่รู้สึกผิดว่า เรายังทำดีกับเขาไม่เพียงพอ
96  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความเชื่อ กับ ลักษณะของท้องแม่ เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 08:04:58 am
“ท้องแหลม เพื่อนก็ทักว่าได้ลูกชาย ไม่รู้จะจริงหรือเปล่า ไว้รอลุ้นดีกว่าไม่อยากอัลตร้าซาวนด์ค่ะ”

แม่ฝน

“ท้องดูกลม ตอนตั้งท้องมีแต่คนบอกว่าท้องนี้ต้องได้ลูกผู้หญิงแน่ แต่สุดท้ายก็ได้ลูกชาย”

แม่น้องพีทน้องภัทร

 

หลาก ความเชื่อเรื่องการตั้งครรภ์ หนึ่งในนั้นมีเรื่องของลักษณะท้องที่เชื่อว่าสามารถคาดเดาเพศลูกได้ ซึ่งมักจะเชื่อกันว่า ท้องแหลมเป็นลูกผู้ชาย ท้องกลมเป็นลูกผู้หญิง จริงๆ แล้วไม่เคยมีการเก็บสถิติที่ชัดเจนค่ะ แต่เมื่อความเชื่อนั้นไม่ได้กระทบต่อสุขภาพของคุณแม่ท้อง ชาดาจึงได้ไปขอความกระจ่างจาก พญ.กันดาภา ฐานบัญชา สูติแพทย์ โรงพยาบาลบี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ ว่าที่ท้องของคุณแม่มีลักษณะอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับอะไรกัน

 

* * * * * * * * * *

 

เหตุที่ท้องมีหลายลักษณะ

จริงๆ แล้วลักษณะท้องในขณะตั้งครรภ์ที่แตกต่างกันนั้นมีที่มาจากสรีระของตัวคุณแม่นั่นเองค่ะ

ลักษณะท้องของแม่ตั้งครรภ์ที่มักจะพบได้บ่อยคือ ท้องแหลม และท้องกลมหรือท้องป้าน ซึ่งการจะมีลักษณะท้องแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับ

 

1.รูปร่างและลักษณะของมดลูก

คุณ แม่ที่มีมดลูกคว่ำมาทางด้านหน้า เมื่อตั้งครรภ์จะทำให้ท้องแหลมยื่นออกมาด้านหน้า ส่วนคุณแม่ที่มีลักษณะมดลูกคว่ำค่อนไปทางด้านหลัง ท้องจะมีลักษณะท้องกลม

 

2.กล้ามเนื้อหน้าท้อง

หาก คุณแม่มีกล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง (เกิดจากการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ) เมื่อตั้งครรภ์ ท้องจะกลมเพราะกล้ามเนื้อส่วนหน้ามีความกระชับ ส่วนคุณแม่ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย กล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง หรือเป็นท้องหลัง (ท้องที่สองขึ้นไป) การที่กล้ามเนื้อเคยยืดขยายมาแล้ว ก็จะส่งผลให้ท้องยื่นออกมาด้านหน้ามาก หรือที่เราเรียกว่าท้องแหลม

 

ลักษณะท้องบ่งบอกสุขภาพ

อีก ลักษณะของท้องที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายคือ ท้องต่ำ เมื่อท้องขยายขนาด ใหญ่ขึ้น บวกกับการที่กล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง และเป็นท้องหลัง ก็อาจจะทำให้ท้องต่ำ หรือ ท้องย้อย ซึ่งเมื่อท้องย้อยลงมามาก คุณแม่อาจจะรู้สึกหน่วง ทำให้การเดินและการเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว และอาจจะรู้สึกเมื่อยมากกว่าปกติ เพราะไม่มีกล้ามเนื้อหน้าท้องมาช่วยพยุงท้องไว้

 

อายุครรภ์กับขนาดท้อง

 

* ไตรมาสแรก (ประมาณ 0-12 สัปดาห์) ขนาดมดลูกยังไม่ขยาย แต่บางคนที่รู้สึกว่าท้องใหญ่ขึ้นนั้นเป็นเพราะท้องอืด เพราะฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ทำให้แพ้ท้องและมีท้องอืดร่วมด้วย

 

* ประมาณสัปดาห์ที่ 10-12 จะเริ่มคลำขนาดมดลูกที่หน้าท้องได้เหนือหัวหน่าวเล็กน้อย

 

* ช่วงเริ่มเข้าสู่สัปดาห์ที่ 14 มดลูกจะอยู่ 2 ใน 3 นับจากสะดือไปถึงหัวหน่าว (เวลาแบ่งช่วงหน้าท้องทางการแพทย์จะแบ่งจากใต้สะดือเป็น 3 ส่วน เหนือสะดือเป็น 4 ส่วน)

 

* ช่วงสัปดาห์ที่ 20 ยอดมดลูกจะอยู่ที่ระดับสะดือพอดี

 

* หลังจากสัปดาห์ที่ 20 ขนาดของมดลูกจะมีขนาดเท่ากับอายุสัปดาห์ เช่น ถ้าอายุครรภ์ 23 สัปดาห์ จะวัดยอดมดลูกจากเหนือนหัวหน่าวได้ 23ซม.พอดี ซึ่งเป็นวิธีที่หมอสูติใช้ตรวจว่าขนาดมดลูกด้วยว่าเจริญเติบโตเท่ากับอายุ หรือไม่

 

* หลังจาก 37 สัปดาห์ (หรืออาจจะมากกว่านี้กับคุณแม่บางคน) คุณแม่จะรู้สึกว่าท้องเริ่มลด นั่นเป็นเพราะลูกกำลังกลับศีรษะลงในอุ้งเชิงกราน จึงทำให้รู้สึกเหมือนท้องลด ถือเป็นสัญญาณใกล้คลอดให้คุณแม่ได้ด้วย แต่หากเด็กตัวใหญ่มาก ไม่ยอมกลับศีรษะ แต่ใช้ส่วนนำเป็นก้น แม่จะรู้สึกแน่น ตึง เพราะมดลูกค้ำอยู่กรณีนี้จะต้องผ่าคลอดค่ะ

 

นอก จากความเชื่อที่ว่าลักษณะท้องบอกเพศลูกได้แล้ว คุณแม่หลายท่านอาจจะเชื่อว่าการกลัดเข็มขัดที่เสื้อคลุมท้องก็จะช่วยให้คลอด ง่าย แต่ความเชื่อก็ยังเป็นความเชื่อค่ะ หากเชื่อแล้วสบายใจไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคุณแม่ก็คงไม่มีใครห้าม แต่ก็อย่าเชื่อจนละเลยลืมดูแลสุขภาพกันนะคะ

 

 
จาก FWD
97  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 2 ใน 1 กับภาพ เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 07:56:01 am


ภาพนี้ถ้ากลับห้วดูจะมองเห็นทั้ง 2 แบบ คร้า....
98  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 1 ดอลลา ของไทยแพงเป็นแสน เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 07:48:53 am
วันนี้ได้นำธนบัตรหนึ่งดอลลาของไทยฉบับแรกของไทยมาให้ชม

สืบเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งในช่วงนั้นไทยเราได้ยอมเป็นพันธมิตรกับกองทัพญี่ปุ่นโดยการช่วยเหลือให้ กองทัพญี่ปุ่นผ่านประเทศไทย
   
ไปยึดพื้นที่ต่าง ๆ ในเอเซียอาคเนย์รวมทั้งแหลมมลายูไว้ได้
   
ในปี พ.ศ. 2486 รัฐบาลญี่ปุ่นจึงมอบดินแดน 4 รัฐมลายูได้แก่ ไทรบุรี ปะลิส กลันตัน  และตรังกานู ซึ่งดินแดนเหล่านี้เคยอยู่ในความปกครองของไทย แต่ได้ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
   
ญี่ปุ่นจึงมอบดินแดน 4 รัฐดังกล่าวคืนให้ไทย
   
เมื่อไทยได้เข้าไปปกครอง 4 รัฐดังกล่าว จึงได้เตรียมจัดทำเงินตราขึ้นใช้ใน 4 รัฐ ซึ่งมีทั้งเหรียญกษาปณ์ ดีบุกราคา  1 เซนต์  5 เซนต์ และ 10 เซนต์
   
และให้กรมแผนที่ทหารบก นำกระดาษจากโรงงานกระดาษกาญจนบุรี จัดพิมพ์ธนบัตรราคา 1 ดอลลา มี 3 รุ่นเพื่อเตรียมนำไปใช้ใน 4 รัฐดังกล่าว
   
ปรากฏว่าทางรัฐบาลไม่เห็นด้วยเพราะ 4 รัฐดังกล่าวมีเงินตราที่รัฐบาลญี่ปุ่นนำออกใช้อยู่แล้ว
   
เพื่อรักษาไมตรีกับญี่ปุ่นและไม่เสี่ยงเมื่อเลิกสงคราม ไม่เสี่ยงต่ออัตราแลกเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้น จึงไม่ได้นำออกใช้
   
นำเงินตราดังกล่าวเก็บไว้ที่คลังจังหวัดสงขลา
   
ต่อมาเมื่อธนบัตรขาดแคลนจึงนำธนบัตรดอลลาดังกล่าวมา พิมพ์สีดำปิดคำว่าดอลลาทั้งหมด และพิมพ์เลขสีแดงเปลี่ยนแปลงเป็นราคา 50 บาท
   
จึงเรียกว่า “ธนบัตรไว้ทุกข์”
   
ธนบัตรดอลลาที่สมบูรณ์ ได้มีการนำออกประมูลเมื่อเร็ว ๆ นี้  ตั้งราคาไว้ 30,000 บาท แต่มีผู้ให้ราคาสูงถึง 105,000 บาท นับว่าสูงมาก
   
พบกันวันอาทิตย์หน้า.

สมเจตน์ วัฒนาธร

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=536&contentId=114327
99  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สภาเด็กเสนอนายกฯ 5 ประเด็น เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 07:43:44 am
สภาเด็กเสนอนายกฯ 5 ประเด็น

ที่ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ ได้นำประธานสภานักเรียน คณะกรรมการนักเรียน ปี 2554 และผู้แทนองค์กรนักเรียน จากทั่วประเทศ กว่า 200 คน เข้ารับฟังโอวาทจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมกับนำเสนอมติของที่ประชุมสภานักเรียน ที่แสดงความคิดเห็น และสะท้อนมุมมองของเยาวชน ในการแก้ไขปัญหาในด้านต่าง ๆ ต่อรัฐบาล ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่เน้นไปที่ปัญหาด้านสังคม การศึกษา และความขัดแย้งในสังคม ผ่านตัวแทนนักเรียน 5 คน

โดย นายอภิสิทธิ์ ได้ตอบข้อเสนอแนะของเยาวชนโดยภาพรวม ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของเยาวชน ซึ่งในข้อเสนอการแก้ปัญหาเรื่องเพศศึกษานั้น รัฐบาลได้ประสานกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข จัดทำแผนยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาท้องไม่พร้อม รวมทั้งเปิดสายด่วนในการให้คำปรึกษา ซึ่งมีผู้สอบถามเป็นจำนวนมากว่า จะปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์อย่างไร ดังนั้น สภานักเรียนควรจะสะท้อนแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องเพศศึกษามาถึงรัฐบาลอีกทาง หนึ่ง

ส่วนปัญหาเรื่องความรุนแรงนั้น ตนเห็นด้วยที่ภาคส่วนต่าง ๆ ควรมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ปัญหา ซึ่งสังคมมีความเห็นที่แตกต่างได้ แต่ต้องไม่แตกแยก ในส่วนของรัฐบาลได้รณรงค์ในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ยังบังคับใช้กฎหมายกับผู้มีกระทำความผิดอย่างเคร่งครัด ขณะที่ ปัญหาเกี่ยวกับความเสื่อมของสถาบันครอบครัว เรื่องนี้รัฐบาลมีกลไกสมัชชาครอบครัว โดยสร้างสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อให้ครอบครัวเกิดความแข็งแรง โดยมีการให้คำปรึกษา แม่ตั้งครรภ์ การเลี้ยงดู เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศของรัฐบาล ที่ดำเนินการตั้งศูนย์เด็กเล็กในทุกตำบล รวม 480 ตำบล เพื่อให้คำปรึกษา และสอดส่องดูแล

นอกจากนั้น ประเด็นนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงเรื่องของสื่อ ที่รัฐบาลจะเสนอกฎหมายกองทุนสื่อ เพื่อสนับสนุนให้มีการจัดทำสื่อสร้างสรรค์ปลอดภัย โดยจะเสนอเข้าที่ประชุมให้ทันสมัยประชุมนี้ ขณะที่ ปัญหาเรื่องความสมานฉันท์ รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้ รวมทั้งการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเห็นด้วยกับข้อของสภานักเรียน จึงขอให้ชุมชนมีส่วนช่วยในการดำเนินกิจกรรม เพื่อเป็นตัวเชื่อมในการสร้างความสมานฉันท์ สำหรับข้อเสนอของเยาวชนผู้พิการ เรื่องบุคคลกรทางการศึกษานั้น รัฐบาลจะนำข้อเสนอของเยาวชน หารือในที่ประชุม ครม. เพื่อผลักดันในการแก้ปัญหาในเป็นรูปธรรม

หลังจากนั้น นายกฯ ได้ให้โอวาทหลังตอบคำถามของตัวแทนสภานักเรียน ว่า รัฐบาลจะนำข้อเสนอต่าง ๆ ไปพิจารณาเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ และขอให้สภานักเรียนเป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อเป็นแบบอย่างของจิตสาธารณะ ซึ่งการมีส่วนร่วมนี้เป็นการบวนการต้นในแนวทางประชาธิปไตย ซึ่งประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงการเลือกตั้งลงคะแนน หรือใครจะได้คะแนนมาก หรือน้อย แต่เป็นการที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดังนั้น หากเยาวชนชักชวนเพื่อนให้มีส่วนร่วมมากขึ้น มั่นใจว่าการพัฒนาเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติถือเป็นการปูทางเพื่อเป็นรากฐาน ประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี โดยตนขอฝากให้เยาวชนยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์ กตัญญู โอบอ้อมอารี และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว ประหยัดอดออมยึดความพอเพียง ส่วนรัฐบาลให้คำมั่นว่า จะกับการสะท้อนความเห็นของเยาวชน เพื่อนำไปดำเนินการต่อไป
100  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / อันตรายของภิกษุผู้อยู่ป่า เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 02:22:18 am
อันตรายของภิกษุผู้อยู่ป่า

 

พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารนิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ ได้ตรัสกะพระอานนท์ ถึงภุกษุมากรูปคลุกคลีกันเป็นการไม่สมควร เพราะจะไม่พบความสุขอันเกิดจากความสงัด ภิกษุควารใส่ใจความว่างภายใน คือ การทำจิตให้ว่างอยู่เสมอ ตอนหนึ่งได้ตรัสถึงอันตรายของอาจารย์และศิษย์ ที่ปลีกตนออกไปอยู่ในที่สงบสงัด เช่น ป่า โคนไม้ ถ้ำ ภูเขา ป่าช้า ฯ แล้ว

 

ต่อมามีชาวบ้านพากันไปหา ผู้อยู่ป่าจะหมกมุ่นวุ่นวาย เวียนมาเป็นผู้มักมาก ย่อมเป็นอันตราย ความลามกเศร้าหมองย่อมครอบงำ มีความกระวนกรวาย มีทุกข์เป็นผล ต้องเกิดในภพใหม่ไม่พ้นการเกิด แก่ และตาย

 

ถ้าภิกษุที่เป็นอาจารย์หรือเป็นศิษย์ก็ดี เมื่ออยู่ป่าแล้วไม่หลงลืมตัวให้อกุศลธรรมครอบงำได้ ก็จะพ้นจากอันตรายชนะทุกข์ ก้าวหน้าในพรหมจรรย์ต่อไป

 

ในตอนท้ายของสูตรนี้ ได้ทรงกล่าวเตือนภิกษุทั้งหลายผ่านพระอานนท์ว่า

 

“อานนท์! เราจะไม่ประคับประคองพวกเธอ เหมือนช่างหม้อประคับประคองหม้อดินที่ยังเปียกยังดิบอยู่ แต่เราจะข่มแล้วข่มอีก จะยกย่องแล้วยกย่องอีก ผู้ใดมีแก่นสาร ผู้นั้นจะทนอยู่ได้”

 

สุญญตสูตร ๑๔/๒๐๖

 

ดูเอาเถิด ท่านผู้อ่านทั้งหลาย พิษสงของกิเลสตัณหานี้ช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร ไม่มียกเว้นใคร ๆ เลย

การที่ภิกษุท่านหลบไปอยู่ตามป่า เขา หรือที่สงบสงัด ก็เพื่อจะได้มีโอกาสกำจัดกิเลสตัณหาได้สะดวกขึ้น แต่ที่ไหนได้ ถ้าไม่รู้บทบาทและลวดลายของมัน อย่างถูกต้องและแท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ๆ ก็ไม่อาจพ้นอำนาจของมันไปได้

รู้อย่างนี้แล้ว ท่านที่ได้มีโอกาส ได้อยู่ในสถานที่ อันจัดว่าเหมาะแก่การพิชิตกิเลสตัณหาแล้ว ก็อย่าได้หลงลืมตัวมัวเมาในลาภยศชื่อเสียงอยู่เลย กิเลสหรือมารทั้งหลายมันมิได้ยกเว้น ว่าใครจะอยู่ที่ไหนหรอก มันยกเว้นให้อยู่พวกเดียว คือ ผู้ที่มีสติ มีปัญญา เพ่งพิจารณา และไม่ประมาทเท่านั้น.
101  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้ น้องเนย หนูน้อยไร้แขนขา เมืองไทย เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 02:15:54 am


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube.com  , รายการตีสิบ


          ค่ำคืนวันอังคารที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา ผู้ชมรายการ ตีสิบ ทั่วประเทศ ได้พบกับความสดใสน่ารักของ น้องเนย เด็กหญิงไร้แขน-ขา แต่กำเนิด ที่กลับมาเยี่ยมเยือนรายการอีกครั้งในวัยขวบเศษ หลังจากที่ จันทร์จิรา เกิดแก้ว หรือน้องน้ำ ผู้เป็นแม่ เคยอุ้มลูกสาวมาเปิดมุมมองชีวิตของเธอและลูก เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งตอนนั้น น้องเนย มีอายุเพียง 4 เดือน

          น้องเนย หรือเด็กหญิงพลอยประภัส บุญขุนทศ หนูน้อยตากลมโต แก้มยุ้ย ๆ ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มไร้เดียงสา ทำให้ใครต่อใครต่างก็เอ็นดูในความน่ารักของเธอ แม้ว่า น้องเนย จะพิการมาตั้งแต่กำเนิด เกิดมามีแต่หัวกับตัว แขนขวาไม่มี มีเพียงแขนซ้ายที่งอกออกมาเล็กน้อย แต่ด้วยความรักความเอาใจใส่จากผู้เป็นแม่ ก็เพียงพอที่จะทำให้ น้องเนย เติบโตเป็นเด็กเฉลียวฉลาด และมีพัฒนาการที่ค่อนข้างเร็ว


          ทุกวันนี้ น้องเนย อายุ 1 ขวบ 2 เดือน เธอมีความสุขไม่ต่างจากเด็กทั่วไป สามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว โดยแม่ของน้องเนย เล่าว่า ลูกจะใช้วิธีการกลิ้งตัวแล้วใช้แขนซ้ายข้างเดียวที่มีหนีบสิ่งของต่าง ๆ เช่น การหยิบขวดนม-น้ำ เข้าปากดื่มเอง การหยิบตุ๊กตา ปากกา ฯลฯ ซึ่งทุกครั้งที่ผู้เป็นแม่พยายามสอน น้องเนย ก็ไม่อิดออดที่จะทำตามคำสั่งเลยสักครั้ง ทั้งยังเป็นเด็กชอบวาดรูป โดยพยายามใช้แขนซ้ายหนีบปากกา และใช้ปลายนิ้วมือบังคับขีดเขียนบนกระดาษอย่างตั้งใจ

          นอกจากนี้ น้องเนย ยังเป็นเด็กช่างพูด เธอเริ่มบอกความต้องการของตัวเองกับแม่ได้บ้างแล้ว เช่น หิว หรือปวดปัสสาวะ ฯลฯ ขณะเดียวกัน น้องน้ำ ก็พยายามฝึกให้ลูกกินเองได้ ด้วยการใช้มือช่วยกระดกช้อนขึ้น โดยที่ผู้เป็นแม่คอยจับประคองไว้ และด้วยความเป็นเด็กอารมณ์ดีมากถึงมากที่สุด ทุกครั้งยามได้ยินเสียงเพลง ก็จะพบกับใบหน้าเปื้อนยิ้มของ น้องเนย พร้อม ๆ กับการออกจังหวะเต้นโยกย้ายตามสเต็ปเสียทุกคราวไป ซึ่งนี่กระมังที่ช่วยสร้างรอยยิ้มและเติมพลังใจให้กับทุกคนในครอบครัวได้ เป็นอย่างดี

          ภาพความสดใสของ น้องเนย ในวันนี้ เป็นคำตอบได้ชัดเจนว่า ในช่วงที่ผ่านมา หนูน้อยคนนี้ได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นแม่ และครอบครัวของเธอมากแค่ไหน และแม้ว่า น้องเนย จะขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กพิการ แต่เราจะเห็นได้ว่า เธอมีความสุขชนิดไม่แตกต่างจากเด็กทั่วไปเลยสักนิดเดียว




          ทั้งนี้ น้องน้ำ คุณแม่วัย 17 ปี ได้เผยความในใจถึงวินาทีแรกที่รับรู้ว่าลูกคลอดออกมาไม่ครบ 32 ว่า ตอนที่ท้องน้องเนยก็ไม่รู้ถึงความผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่อัลตร้าซาวด์ถึง 3 ครั้ง และคุณหมอเองก็ยังบอกว่าน้องเนยปกติ ร่างกายสมบูรณ์ดี แต่พอคลอดน้องออกมา วินาทีแรกที่เห็นลูก น้ำก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็ทำใจได้ในวินาทีนั้นเลย น้ำเสียใจนะคะ แต่ว่าทุกคนร้องไห้กันหมดแล้ว ถ้าน้ำร้องอีกคนหนึ่ง โตขึ้นมาน้องจะคิดอย่างไร อาจคิดว่าเป็นเพราะเค้าที่ทำให้ทุกคนร้องไห้ เค้าก็จะเสียใจไปด้วย และถึงน้ำร้องไห้ไป ลูกน้ำก็ไม่ได้แขนไม่ได้ขากลับคืนมา

          ขณะที่ เจนรบ บุญขุนทด สามีวัย 19 ปี ทำงานเป็นเสาหลักเพียงคนเดียวของครอบครัว เฉลี่ยเดือนละ 8,000 บาท ซึ่งแม้ว่ารายได้จะไม่พอค่านม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ  แต่ครอบครัวนี้ก็ไม่ได้ย่อท้อ เพราะ น้องเนย เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของทั้งผู้เป็นพ่อและแม่ ที่สำคัญ ทุกคนที่ได้สัมผัสและไปเยี่ยม น้องเนย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้องเนย เป็นเด็กน่ารัก และอารมณ์ดีเอามาก ๆ




          "เคยมีคนมาขอน้องเนย ไปเลี้ยงเหมือนกัน แต่เค้าคือลูกของเรา ออกมาแล้วมันเป็นความรับผิดชอบของเรา ยังไงเราก็ต้องเลี้ยง แต่พอลูกโตขึ้นสิ่งหนึ่งที่กลัวคือ กลัวว่าลูกจะถามว่าทำไมน้องเนยไม่เหมือนคนอื่น ทำไมน้องเนยไม่เหมือนเพื่อน ซึ่งน้ำก็เตรียมคำตอบไว้ให้ลูกได้แล้วว่า คนเราทุกคนไม่จำเป็นที่จะต้องมีครบก็เป็นคนดีได้ ฉลาดได้ เก่งได้ และอีกอย่างหนึ่งคือน้ำอยากให้ลูกได้เรียนสูง ๆ และตัวน้ำเองและตัวพ่อของน้องเองก็จะขยันให้มากขึ้น น้ำก็จะเรียนสูง ๆ ทำงานดี ๆ หาเงินมาทำแขนขาให้น้อง จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด" น้องน้ำ กล่าว

          ในขณะที่บางคนกำลังท้อแท้สิ้นหวังกับโชคชะตา พร้อม ๆ กับคอยโทษดินฟ้าอากาศที่ชีวิตไม่เป็นดั่งใจหวังแต่ในมุมเล็ก ๆ ของสังคม ยังมีชีวิตน้อย ๆ ที่เกิดมาไม่ได้สมบูรณณ์เหมือน ๆ กับคนปกติทั่วไป แต่พวกเขากลับไม่เคยหมดหวังที่จะต่อสู้ และตั้งหน้าตั้งตาดำรงชีพอยู่ในโลกกลม ๆ ใบนี้อย่างมีความสุขที่สุด และน่าชื่นชมที่สุด....ว่าไหม^^
102  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โรคเซ็งเรื้อรัง เป็นภัยชีวิต ทำให้สุขภาพกายเสื่อมได้คร้า... เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 02:10:08 am
หญิงเป็นมากกว่าชาย 4 เท่า


วันนี้ ดูเหมือนไปที่ไหนๆ ก็จะพบผู้คนที่ยิ้มแห้งๆ และบอกว่า "เซ็ง"โดยเป็นที่รู้กันว่า คำว่า "เซ็ง" กินขอบเขตไปถึงเรื่องอะไรบ้าง แต่ในความหมายของโรคเซ็งเรื้อรังที่มีการพูดถึงมากในวงการแพทย์ขณะนี้คือ กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง หรือ Chronic Fatigue Syndrome (CFS) ซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่าโรคเซ็งเรื้อรัง เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย
 

          'เซ็ง' เป็น เรื่องธรรมชาติพวกเราคงเคยมีความรู้สึกเซ็งๆ หรือเบื่อหน่าย อ่อนเพลีย ไม่อยากลุกไปทำงานหรือกิจวัตรประจำวัน เมื่อคิดว่าต้องไปพบกับอะไรกันมาบ้างแล้ว แต่อาการเซ็งของเราจะเป็นๆ หายๆ ตามสภาวะแวดล้อมซึ่งไม่เป็นอยู่นานนัก
 

          ผู้ ที่ป่วยด้วยกลุ่มอาการ "เซ็งเรื้อรัง"ที่ว่านี้จะมีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยอ่อนอยู่เป็นระยะเวลา นาน อาจเป็นเดือน หลายเดือน หรือเป็นปี ภายหลังจากที่ต้องพบกับภาวะเครียดอย่างรุนแรง หรือภายหลังการเจ็บป่วย เช่นไข้หวัดใหญ่ ท้องเดินอย่างแรง เป็นต้นอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของคนปกติมักจะหายไปภายหลังการได้พัก หรือนอนหลับให้เต็มที่ สัก 2-3 วัน แต่ผู้ที่เป็นโรคเซ็งเรื้อรัง ไม่ว่าจะพักผ่อนขนาดไหนหรือบำรุงร่างกายมากเพียงใด ก็ยังมีอาการอ่อนเพลียอย่างมากอยู่ โดยที่ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้
 

          'เซ็งเรื้อรัง' อาการเกินธรรมดา นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ กล่าวว่าโรคเซ็งเรื้อรัง หรือ CFS นี้ มีผู้รายงานในชื่อของอาการอื่นมานานกว่า 1 ศตวรรษโดยในปี ค.ศ. 1860 นพ.จอร์จ เบียร์ด เรียกชื่อกลุ่มโรคนี้ว่า Neurasthenia โดย เชื่อว่าเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่งที่มีอาการอ่อนเปลี้ย เหนื่อยง่ายโดยไม่พบสาเหตุ แพทย์อีกหลายคนวินิจฉัยผู้มีอาการเหล่านี้ว่าเป็นโรคโลหิตจางบ้างหรือน้ำตาล ในเลือดต่ำบางครั้งเลยไปถึงคิดว่า เป็นโรคเชื้อราแคนดิดาทั้งตัวก็มี
 
          ต่อเมื่อวิวัฒนาการทางการแพทย์เลยเจริญขึ้น ในกลางทศวรรษที่ 1980 โรคนี้ถูกขนานนามว่าเป็น "Chronic EBV"โดย เชื่อว่าเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอ็บสไตน์ บาร์ แต่ในปัจจุบันทฤษฎีนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก เพราะเราสามารถตรวจพบระดับแอนติบอดีของไวรัสอีบีวี ที่เพิ่มขึ้นทั้งในผู้มีอาการและคนปกติ และในทางกลับกันผู้ที่มีอาการกลับไม่พบระดับของไวรัสอีบีวีแอนติบอดี หรือไม่เคยติดเชื้อไวรัสอีบีวีเลย
 
          ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเซ็งเรื้อรัง มักจะมีอาการอย่างรวดเร็ว เริ่มต้นโดยอาการปวดศีรษะ เจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลือง ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย และขาดสมาธิ เป็นอาการที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่แต่คงจะอยู่นานกว่า ส่วนใหญ่จะมีอาการภายหลังการเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย เช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบตับอักเสบ บางรายอาจเกิดขึ้นหลังจากมีอาการของโมโนนิวคลีโอซิส หรือโรคจูบ(Kissing Disease) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้พละกำลังของ วัยรุ่นถดถอยลงไปชั่วระยะหนึ่ง ในบางรายอาการจะค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ผู้ป่วยบางรายบอกว่า เริ่มมีอาการหลังจากพบกับความเครียดมากๆ

 
          น่าแปลกที่ว่า โรคเซ็งเรื้อรังจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2-4 เท่า อย่างไรก็ตาม แพทย์ทั่วไปยังคิดถึงโรคนี้น้อยกว่าที่ควร เนื่องจากการวินิจฉัยค่อนข้างยากเพราะมีอาการที่อาจเป็นได้หลายโรคแพทย์ต้อง วินิจฉัยแยกโรคทางกาย ที่มีอาการอ่อนเพลียคล้ายๆ กันไปก่อน เช่นLupus หรือ Multiple Sclerosis ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นว่า โรคเซ็งเรื้อรังอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของโรคที่เป็นติดต่อกันโดยมีภาวะอ่อนเพลียเป็นอาการสำคัญ
 
          โรคเซ็งเรื้อรังยังไม่มีการรักษาที่เฉพาะลงไปได้ มีการให้ยาต้านไวรัสยาต้านอารมณ์เศร้า ยาเพิ่มภูมิคุ้มกันรวมทั้งการให้อิมมูโนโกลบูลินในขนาดสูงๆ บางรายใช้ยาสงบประสาทพวกBenzodiazepine ร่วมด้วย เพื่อลดอาการวิตกกังวลและช่วยให้หลับ นอกจากนี้ ยังใช้ยาเพื่อรักษาอาการ เช่น ยาระงับปวด หรือยาแก้โรคภูมิแพ้
 
          อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า ผู้ที่มีอาการเรื้อรัง ควรพยายามรักษาสุขภาพของตนเอง รับประทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายพอสมควร ที่จะไม่ให้เกิดอาการอ่อนเพลียอีก ผู้ป่วยควรรู้จักที่จะดูแลตนเองให้เหมาะทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา เพราะความเครียดจะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น
 
          ในยุคที่ชีวิตแวดล้อมด้วยเรื่อง "ชวนเซ็ง" อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ การรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง และชวนคนรอบตัวหันไปมองเรื่องดีๆ ที่ให้กำลังใจ ประกอบกับศึกษาหลักความเป็นธรรมดาของโลกน่าจะเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดในการ ป้องกันตนเองและคนรอบตัวให้ปลอดภัยจากโรคที่ไม่มียารักษา แต่มีอานุภาพบั่นทอนสุขภาพได้อย่างรุนแรง
 
          เหนือ ขึ้นไปกว่านั้น การคิดและทำในสิ่งที่ดี บนหลักของการไม่เบียดเบียนและให้ความเคารพต่อเพื่อนร่วมสังคมอยู่เสมอ จะช่วยสร้างภูมิต้านทานการแพร่ระบาดของ "โรคเซ็งเรื้อรัง" ให้แก่สังคมไทยของเราทุกคน
103  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เกี่ยวกับ สัตว์ ไว้อ่านคลายง่วง คร้า... เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 02:08:02 am
เรื่องของสัตว์ที่หลายท่านยังไม่รู้ เอ้อ มันก็น่าทึ่งดีนะขอรับเนี่ย

-หัวใจปลาวาฬเต้นนาทีละ 9 ครั้ง

- แมวใช้หนวดวัดความกว้างของช่องที่มันจะมุด

- ช้างค้นหาแหล่งน้ำในระยะ 5 กิโลเมตรได้ด้วยการดมกลิ่นน้ำ

- ไส้เดือนในออสเตเรียตัวยาว 3 เมตร

- สัตว์ในโลกร้อยละ 80 มี 6 ขา

- ตัวตุ่นสามารถขุดรูยาวถึง 75 เมตรในเวลาชั่วคืนเดียว

- หอยทากมีฟัน 25,000 ซี่

- จิงโจ้กระโดดครั้งเดียว 9 เมตร แต่ถ้าหากไม่แตะพื้น จิงโจ้จะกระโดดไม่ได้

- แมลงวันตามบ้านมีอายุขัย 2 สัปดาห์

- แมงกะพรุนประกอบด้วยน้ำร้อยละ 95

- ดูอุ้ยอ้าย แต่…ฮิปโปโปเมมัสวิ่งเร็วกว่ามนุษย์

- ม้ายืนหลับ

- ลิ้นยีราฟยาว 21 นิ้ว เลียทำความสะอาดหูตัวเองได้

- แมลงปอมีอายุขัยเฉลี่ย 1 วัน

- ลิ้นจระเข้ขยับไม่ได้และเคี้ยวไม่เป็น มันกลืนเหยื่อโดยไม่เคี้ยว

- วัวหนึ่งตัวผายลมมากเท่ากับมนุษย์ 200 คนต่อวัน

- กิ้งก่าเปลี่ยนสีผิวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมได้ แม้ว่ามันจะตาบอด

- ผึ้งงานหรือผึ้งที่ทำงานหนักหาอาหารเลี้ยงครอบครัวคือ “ผึ้งตัวเมีย”

- เจ้าของสัตว์เลี้ยงร้อยละ 40 เคยคุยกับสัตว์เลี้ยงของตนทางโทรศัพท์

- มีความเชื่อผิดๆว่าสุนัขตาบอดสี อันที่จริงสุนัขมองเห็นสีต่างๆ แต่ไม่คมชัด
คล้ายภาพที่เราเห็นยามโพล้เพล้

- ลิ้นแมวมีปุ่มเล็กๆ คล้ายขอจำนวนมาก เราจึงรู้สึกสากเวลาโดนแมวเลีย

- ฉลามน้ำจืดมีอยู่ที่เดียวในโลกคือ แม่น้ำคงคาในอินเดีย

- แมลงสาบหัวขาดอาจมีชีวิตอยู่นาน 9 วัน…กึ๋ย…!!!

- แมลงปอบินได้เร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

- หงส์ทุกตัวในอังกฤษ เป็นสมบัติของพระราชินีอังกฤษ

- เวลามดโดนยาเบื่อตาย มันจะล้มตะแคงขวา

- หมัดกระโดดได้ไกล 350 เท่าของความยาวตัว ถ้าเปรียบกับคน จะเท่ากับกระโดดข้ามสนามฟุตบอลได้

- สีของตัวเหาจะเปลียนตามสีของเส้นผมของคน ที่มันอาศัยอยู่ (เจ้าป้าเรา…จะมีเหาสีอารายน้า…?)

- อนุสาวรีย์ทหารขี่ม้ามีสัญลักษณ์ซ่อนอยู่ดังนี้ ถ้ามียกขาหน้าทั้งสองข้าง แปลว่าผู้ขี่ตายในสนามรบ ถ้ายกขาหนึ่งข้าง แปลว่าผู้ขี่ตายจากบาดแผลสงคราม และถ้าไม่ยกขา แปลว่าผู้ขี่ ตายด้วยเหตุธรรมชาติ

- เสือมองเห็นในที่มืดชัดกว่ามนุษย์ 6 เท่า

- สัตว์กินเนื้อทุกชนิดจะไม่กินเหยื่อที่ตายเพราะถูกฟ้าผ่า

- ตานกกระจอกเทศใหญ่กว่าสมอง 2 เท่า

- สุนัขที่ฉลาดน้อยที่สุดคือ พันธุ์อัฟกัน ส่วนที่ฉลาดมากที่สุดตามลำดับคือ คอลลี่ พูเดิ้ล และโกลเด้นรีทรีฟเวอร์

- สัตว์ที่พลิกโฉมประวัติศาสตร์โลกคือ ตัวหมัด หมัดฆ่าคนยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งใด หมัดเป็นพาหะนำโรคกาฬโรค ซึ่งฆ่าคนมากมายมหาศาลในช่วงศตวรรษที่ 14

เครดิต : http://board.postjung.com/489163.html
104  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชวนขำรอบดึก เกี่ยวกับผี คร้า... เรื่องนี้ไว้ให้อ่านแก้ง่วงนอน คร้า... เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 02:05:48 am
ถ้าคุณกลัวผี ให้ลองวิธีเหล่านี้ดู

 อย่านอนเตียงที่มี ใต้เตียงโล่ง ถ้ากลัวมากๆก็ให้ไปนอนใต้เตียงแทน ปล่อยผีนอนบนเตียงไป

 ถ้ากลัวผีช่องแอร์ให้ เปิดหน้าต่างนอน ให้กระสือมาหลอกแทน

 ถ้ากลัวไฟปิดเปิดเองได้ ให้ถอดหลอดไฟออกทุกดวง เช่นเดียวกับก๊อกน้ำเปิดเอง ก็ให้เปิดมันทิ้งไว้

 ถ้าอยู่ดีๆได้กลิ่นธูป ให้คว้าการบูนมาดม

 ถ้าอยู่ดีๆได้ยินเสียงเพลงไทย ให้เอา ipod มาเปิด hip hop ฟัง

 ถ้าอยู่ดีๆ ได้ยินเสียงเด็กหรือผู้หญิงร้องไห้ ให้ลุกขึ้นมาปลอบใจผี



 ถ้าเพื่อนโดนผีเข้า ให้เมินมันแล้วไปนอน พอไม่มีใครสนใจผีก็จะเซ็งออกไปเอง

 ถ้ามีเงาอะไรผ่าน หน้าต่างไป ให้ไปยืนแถวๆหน้าต่าง ทำเงาผ่านย้อนไปบ้าง

 ถ้ากลัวจะมีใครมายืนอยู่ ปลายเตียง ก็ให้นอนเอาหัวมาไว้ปลายเตียง (ดูซิจะไปยืนไหน)



 ถ้าผีมาขอส่วนบุญ ให้ถามว่าสามารถโอนเข้าบัญชีได้ที่วัดไหน สาขาอะไร รับบัตรเครดิตหรือเปล่า?

 ถ้าผีจะมาให้หวย ให้บอกไปว่า รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?โอกาสหน้ามาใหม่นะ คะ

 ถ้าผีจะตามกลับไปอยู่ที่บ้าน บอกให้ผีไปทำเรื่องย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านในฐานะผู้อยู่อาศัยให้ถูกต้องตาม กฏหมายเสียก่อน



 ถ้าไปแถวพัทยา อย่าลืมเอา Dict ไปด้วย เพราะอาจเจอผีฝรั่ง

 ถ้าเปิดทีวีแล้วเจอภาพบ่อน้ำ ให้เอาทีวีไปวางบนขอบระเบียง (ในกรณีที่เป็นชั้น 3 ขึ้นไป) ผีที่คลานออกมาจากทีวีจะตกระเบียงตายเอง



 ถ้าอยู่ดีๆน้ำ ฝักบัวที่อาบกลายเป็นเลือด ให้เอาถุงมารอง แล้วนำเลือดไปขายตามโรงพยาบาล

 ถ้าอยู่ดีๆภาพหน้าตัว เองในกระจกเป็นหน้าผี อย่าตกใจ ให้รีบหาสีเมจิกมา 1แท่งแล้วเติมหนวดลงไปในกระจก

 ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับผี ในตู้เสื้อผ้า เขียนป้ายแปะไว้ว่า ที่หมานอน

กลัว ผีนั่งทับตัวกลางดึก ให้นอนคว่ำหน้า (ถ้าคิดว่าจะหายใจไม่ออก ให้ใส่ถังสกูบ้านอน) หลังจากนี้ต่อให้ผีมานั่งทับก็จะไม่อึดอัด แถมยังสบายตัวคล้ายนวดกดจุด



 ถ้ากลัวผีในลิฟท์ ให้ยกของหนักๆไปด้วย ผีจะตามมาด้วยไม่ได้เพราะน้ำหนักจะเกิน

 ถ้าถ่ายรูปแล้วติดผี ให้นำหน้าผีไปตัดต่อกับภาพโป๊ ผีจะอายไม่กล้ามาหลอกอีก

 ถ้าคุณเริ่มเอะใจ ว่าผู้หญิงที่โบกรถมากับคุณจะเป็นผีหรือเปล่า ให้เรียกเก็บค่าโดยสารก่อนที่เธอจะหายไป

 ถ้าคุณเห็นภาพผู้หญิง อยู่บนกระจกรถ แวะเข้าปั๊ม แล้วเรียกเด็กมาเช็ดกระจก



 ถ้าอยู่ดีๆคุณเห็นคนนั่ง มาตรงเบาะหลังบนกระจกมองหลัง ถามไปว่า สรุปไปพัฒพงษ์ ใช่ไหมครับ?

ถ้าคุณพบผีเปรตในวันฝน ฟ้าคะนอง ให้ก้มตัวต่ำ ฟ้าจะผ่าโดนผีก่อน

 ถ้าคุณทำตามนี้ได้หมดผีจะไม่มาหลอกคุณเลยเพราะเชื่อได้เลย ว่าคุณบ้ากว่าผีอีก!!!



จาก sanook.com
105  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อ่านเขียนก่อนนอน ทำให้หลับสบาย สบาย สบาย คร้า... เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 02:01:54 am
แนะนำสำหรับผู้ที่นอนยาก คิดเล็กคิดน้อยหลังล้มตัวลงนอน ควรหาหนังสือที่ยกระดับทางจิตวิญญาณมาอ่าน เช่น

หนังสือเกี่ยวกับปรัชญา หรือศาสนา หนังสือประเภทนี้ช่วยจัดระเบียบความคิด ก่อให้เกิดการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ต่างจากการอ่านเรื่องราวที่ชวนให้ประสาทตื่นตัว เช่น นวนิยายแนวลึกลับ หรือแนวสืบสวนสอบสวน แต่ถ้าติดหนังสือประเภทดังกล่าวจนต้องอ่านอย่างต่อเนื่อง แนะนำให้เลือกอ่านเวลาอื่นที่ไม่ใช่เวลาก่อนนอน และควรอ่านเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

สำหรับ สาวๆ ที่ล้มตัวลงนอนทีไรก็ชอบคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ อาจมีผลให้นอนหลับไม่สนิทได้ การเขียนบันทึกจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้มาก เพราะการเขียนบันทึกเป็นการเรียบเรียงความคิด ความรู้สึก บำบัดอาการฟุ้งซ่าน และเยียวยาความเครียดได้ดี

ที่มา : นิตยสารชีวจิต
106  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักหลอกลวง.....เจอเด็กใสซื่อ เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 01:57:29 am
นักหลอกลวงเจอเด็กใสซื่อ
 
 
หนูน้อยคนหนึ่งตามคุณแม่ไปร่วมพิธีทรงเจ้า ณ สำนักแห่งหนึ่ง
ขณะกำลังเริ่มพิธีกรรมอยู่นั้น ร่างทรงได้หันมาถามหนูน้อยด้วยความเอ็นดูว่า
“ว่าไงแม่หนูน้อย.. หนูอยากจะคุยกับใครบ้างหรือเปล่า”
   
“หนูอยากพบคุณย่าค่ะ” หนูน้อยตอบเบา ๆ ด้วยความกลัว
   
“ได้เลย เดี๋ยวยายจะจัดการให้” ร่างทรงให้คำมั่นก่อนจะนั่งขมุบขมิบอยู่สักครู่
และแล้วร่างทรงก็สั่นพั่บ ๆ
   
“แม่หนูน้อย นี่คือย่าของหลาน ย่าอยู่บนสวรรค์ สุขสบายดี
แต่ย่าก็คิดถึงหลานเหลือเกิน หนูมีอะไรจะถามย่าหรือเปล่า”
   
“มีค่ะคุณย่า” เสียงหนูน้อยกระตือรือร้น “ทำไมคุณย่าถึงขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ได้ล่ะคะ
คุณย่ายังไม่ตายสักหน่อย”.
107  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ครม.มีมติให้ปี 2554 เป็นปีแห่งการรณรงค์สวมหมวกกันน็อก 100% เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 01:52:21 am

ไม่เว้นทั้งในตรอกซอกซอย
พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) รับผิดชอบงานจราจร เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา มีมติให้ปี 2554 เป็นปีแห่งการรณรงค์สวมหมวกกันน็อก 100% โดยให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งกำหนดให้บริเวณสถานที่ราชการเป็นพื้นที่สวมหมวก นิรภัย 100% ในการขี่รถจักรยานยนต์ ให้หน่วยราชการทุกภาคส่วน แจ้งกำชับให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติตาม กฎหมาย นโยบายความปลอดภัยทางถนน เรื่องการขี่รถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง หากไม่ปฏิบัติตามถือว่าฝ่าฝืนกฎหมายและให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการลง โทษทางวินัยต่อไป และเพื่อลดความสูญเสียในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการบาดเจ็บและเสียชีวิต จากรถจักรยานยนต์ ได้แก่ กลุ่มเด็ก เยาวชน และกลุ่มผู้ใช้แรงงาน จึงให้กระทรวงแรงงานขอความร่วมมือจากสถานประกอบการในการส่งเสริมให้พนักงาน สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งในการขี่รถจักรยานยนต์ ให้กระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมให้สถานศึกษาทั้งของภาครัฐและเอกชนจัดให้มี มาตรการในการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยของบุคลากรในสังกัด นักเรียน และนักศึกษา รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมทบทวนมาตรฐานหมวกนิรภัยให้เหมาะสมกับสภาพภูมิ อากาศของประเทศไทย

พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวต่อว่า จากมติดังกล่าวจะเห็นว่าเป็นการเน้นรณรงค์ในหน่วยงานราชการเป็นหลัก ทั้งเจ้าหน้าที่และในพื้นที่ราชการ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ประชาชน ส่วนการบังคับใช้กฎหมายมอบนโยบายให้ตั้งด่านกวดขันตามเดิม แต่จะให้มีการเข้มงวดเรื่องการใส่หมวกกันน็อกมากขึ้นขณะขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นในตรอก ซอก ซอย เมื่อขี่จักรยานยนต์จะต้องสวมหมวก ทั้งรถจักรยานยนต์ทั่วไปและรถจักรยานยนต์รับจ้าง หากพบฝ่าฝืนจะต้องถูกปรับตามกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อเข้มงวดให้เกิดความปลอดภัยต่อตัวผู้ขี่เองและผู้ซ้อนท้าย ลดอันตรายจากการเกิดอุบัติเหตุให้มากที่สุด.
108  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เผาปริศนาพระเฒ่า เจ้าสำนักศูนย์ปฏิบัติธรรม ดับสยองคากุฏิ เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 01:46:26 am
เผาปริศนาพระเฒ่า เจ้าสำนักศูนย์ปฏิบัติธรรม ดับสยองคากุฏิ ตำรวจพุ่งปมอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจร แต่ลูกบุญธรรมติดใจ หวั่นถูกฆ่าอำพรางคดี
เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 6 ม.ค. พ.ต.ท.สุชาติ แย้มศักดิ์ สวส.สภ.วังขอนแดง อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี  รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้กุฏิมีพระสงฆ์มรณภาพ ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธัมมะธโร บ้านเขาทราย หมู่  4 ต.บุพราหมณ์   อ.นาดี จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมตำรวจฝ่ายสืบสวน ที่เกิดเหตุเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ตั้งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน พบกุฏิปูนถูกเพลิงไหม้เสียหายบางส่วน ขณะที่เต็นท์สำหรับกางนอนซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณกุฏิ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ไฟฟฟ้าถูกไฟไหม้เสียหายจนหมด และพบภาพสลดใจเป็นร่างไร้วิญญาณของพระสายบัว ผ่องน้อย อายุ 68  ปี เจ้าสำนักศูนย์ปฏิบัติธรรม ถูกไฟคลอกดำเป็นตอตะโกอยู่ใกล้ๆ อยู่ในซากเต็นท์ เจ้าหน้าที่นำศพส่งชันสูตรหาสาเหตุการตายที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ 
     
สอบสวนนายเชิดชัย กิจการ อายุ 37 ปี บุตรบุญธรรมของพระสายบัว ให้การว่า พระสายบัวเป็นชาวจังหวัดนครสวรรค์ บวชเป็นพระมานานกว่า 40 ปี ชอบช่วยเหลือชาวบ้านด้วยการใช้สมุนไพรรักษาโรคทั่วไป จำวัดอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งนี้มานมนาน แต่ละวันจะมีชาวบ้านที่เจ็บป่วยเดินทางมาใช้บริการรักษาโรคจำนวนมาก จนเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน ก่อนมรณภาพเคยบ่นให้ฟังว่ามีปัญหาขัดแย้งกับ “ขาใหญ่” หรือบุคคลคนหนึ่ง และอยู่ระหว่างเคลียร์ปัญหากัน แต่ไม่ได้บอกว่ามีปัญหาหรือขัดแย้งกันเรื่องอะไร ส่วนตนนานๆ จะมาเยี่ยมเยียนหลวงพ่อสักครั้ง แต่ได้ฝากชาวบ้านคอยหาซื้ออาหารมาถวาย ตนยังติดใจสงสัยไม่เชื่อว่าท่านจะมรณภาพเพราะอุบัติเหตุไฟไหม้ คิดว่าท่านอาจถูกฆาตกรรมอำพรางก็เป็นได้
   
อย่างไรก็ดี ในชั้นนี้แม้ตำรวจจะพุ่งประเด็นไปที่เรื่องไฟฟ้าลัดวงจรจากเครื่องใช้ไฟฟ้า อันใดอันหนึ่ง ช่วงที่หลวงพ่อจำวัดนอนหลับสนิทและถูกไฟคลอกมรณภาพ แต่ประเด็นถูกฆ่าเผาอำพรางคดีทำเป็นเหตุเพลิงไหม้ ตำรวจยังไม่ตัดทิ้ง ซึ่งจะประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด และจะสืบสวนให้แน่ใจว่ามีปัญหาขัดแย้งกับใคร รวมทั้งรอผลชันสูตรศพ เพื่อไขปริศนาการมรณภาพว่าเป็นฆาตกรรมหรืออุบัติเหตุต่อไป.

ที่มาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=114046
109  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ยิงแสกหน้าพระลูกวัด 6 นัดซ้อน หลังโดนลวงขึ้นแท็กซี่ แล้วพาไปให้มือปืน สังหารโหด เมื่อ: มกราคม 07, 2011, 01:44:20 am
ยิงแสกหน้าพระลูกวัด 6 นัดซ้อน หลังโดนลวงขึ้นแท็กซี่ แล้วพาไปให้มือปืน สังหารโหด ตำรวจมุ่งปมขัดแย้งส่วนตัว-ขัดธุรกิจบางอย่าง
เมื่อ เวลา 22.00 น. วันที่ 6 ม.ค. ร.ต.อ.สมบูรณ์  ขอบโคกกรวด ร้อยเวร สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี รับแจ้งมีเหตุยิงพระภิกษุเสียชีวิต บริเวณถนนเลียบมอเตอร์เวย์  กม.11 ฝั่งทิศตะวันออก หมู่ 11 ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.เพิ่มเกียรติ  สุริยวงศ์ ผกก. พ.ต.ท.ธีรพรรดิ์ บัณฑิโตหิรัญโชติ สว.สส. แพทย์ร.พ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

ที่เกิดเหตุบริเวณริมถนนดังกล่าว ซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว พบศพพระมนัส แย้มมี อายุ 35 ปี พระลูกวัดตะวันเรือง ซึ่งในย่านที่เกิดเหตุ  นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดอยู่ สภาพสวมสบง ท่อนบนสวมเพียงอังสะ ถูกกระหน่ำยิงด้วยปืนขนาด 9 มม. เข้าที่หน้าผาก หน้าท้อง  ดั้งจมูก ท้ายทอย และขาซ้าย รวม 6 นัด  ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืน 4 ปลอก หัวกระสุนปืน 1 หัว และจีวรตกอยู่อีก 2 ผืน
   
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายชักชวนพระสุพจน์  วงศ์จำปา อายุ 20 ปี พระลูกวัดเดียวกัน ไปหาโยมพ่อ โดยนั่งรถแท็กซี่มิเตอร์ สีชมพู ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ซึ่งมาจอดรออยู่หน้าวัด ลักษณะเหมือนผู้ตายจะรู้จักกับคนขับรถเป็นอย่างดี หลังจากนั้นคนขับได้ขับรถพาผู้ตายกับพระสุพจน์มาถึงบริเวณจุดเกิดเหตุ ก่อนจะลงจากรถไปทั้งสามคน สักครู่เดียวก็มีคนร้ายเป็นชายฉกรรจ์ สวมเสื้อลายพลางทหาร ใส่หมวกไหมพรหม เดินถือปืนออกมาจากป่าละเมาะ ตรงเข้ากระหน่ำยิงผู้ตายที่พยายามวิ่งหนี แต่ไม่รอดถูกคมกระสุนเจาะร่างมรณภาพ

ด้าน นายประยุทธ  แย้มมี อายุ 59 ปี บิดาผู้ตาย เปิดเผยว่า ลูกชายบวชมานานกว่า 11 พรรษา และจำพรรษาอยู่ที่วัดตะวันเรืองมาตลอด โดยศึกษาพระธรรมวินัยถึงขั้นเปรียญธรรม 3 ประโยค อุปนิสัยทั่วไปไม่ใช่คนก้าวร้าว และไม่มีศัตรูที่ไหน ไม่ทราบว่าเหตุใดคนร้ายจึงถึงขนาดไล่ฆ่าลูกชายที่อยู่ผ้าเหลือง อย่างไรก็ดี ในชั้นนี้ตำรวจพุ่งประเด็นสังหารไปที่เรื่องขัดแย้งส่วนตัว หรือเรื่องขัดธุรกิจบางอย่าง และเชื่อว่าคนขับรถแท็กซี่น่าจะลวงผู้ตายว่าโยมพ่อให้มารับไปพบ แต่สุดท้ายหลอกพามาให้คนร้ายยิงทิ้ง ซึ่งตำรวจจะสอบสอบสาเหตุให้แน่ชัดและตามจับกุมคนร้ายมาใจบาปมาดำเนินคดีต่อ ไป.


ที่มาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=114058
110  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 7 อันดับสุนัขที่ดุที่สุดในโลก น่ากลัวมาก โปรดระวังอันตรายมากคร้า.. เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 02:34:04 am
- 7 อันดับสุนัขที่ดุที่สุดในโลก น่ากลัวมาก --


7 . อัลเซเซี่ยน

ถือเป็นสุนัขที่ได้ชื่อว่าดุพอสมควร มีเขี้ยวเล็บแหลมคม แข็งแรงว่องไว เห่าเสียงดัง ขู่ก็น่ากลัว แต่ด้วยความฉลาด
เรียนรู้เร็ว เชื่อฟังคำสั่งทำให้ อัลเซเซี่ยนดูจะดีกว่าสุนัขพันธุ์อื่นอยู่มาก รวมทั้งข่าวคราวในเรื่องเสียหายก็ไม่
ค่อยมี ดังนั้น ในวงการบันเทิงบทของ อัลเซเซี่ยน จึงเป็นสุนัขฉลาดแสนรู้ ซื่อสัตย์ ขนาดเป็นพระเอกก็ยังมี แถม
ยังมีฉากช่วยชีวิตคนอยู่บ่อยๆ (ในชีวิตจริงก็มีบ่อยๆ เหมือนกัน)

 6 . โดเบอร์แมน

เคยได้รับความนิยมช่วงหนึ่งในไทย ก่อนการมาถึงของ พิทบูลและร็อดไวเลอร์ นิยมเลี้ยงไว้เฝ้ายาม
จึงมีนิสัยดุพอสมควร ในยุโรปเป็นสุนัขพันธุ์หนึ่งที่ใช้ล่าเนื้อเพราะความปราดเปรียวของมัน ด้วยรูป
ร่างสูงเพรียว ตัวโตเต็มที่เหมือนกวางตัวย่อมๆ ส่วนเรื่องความเร็วจัดได้ว่าเป็นนักวิ่งตัวหนึ่ง

5 . บางแก้ว

พันธุ์ไทยกันบ้าง บางแก้ว จัดเป็นหมาไทยที่ได้ชื่อว่าดุที่สุดพันธุ์หนึ่ง และไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้
เคยมีข่าวคนใช้ถูกบางแก้วกัดตายเหมือนกัน ทั้งนี้ก็ด้วยพิษสงของเขี้ยวเล็บที่แข็งแรง

4 .  ร็อดไวเลอร์

ร็อดไวเลอร์ จองพื้นที่หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์บ้านเราอยู่เป็นระยะๆ ด้วยนิสัยดุ กัดแหลกของมันทำให้ล่าสุดถึงกับ
มีการสร้างหนังชื่อ ร็อดไวเลอร์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความร้ายกาจของสุนัขพันธุ์นี้

3 . ฟิล่า บราซิเลียโร่

สุนัขล่าเนื้อจากต่างประเทศเข้ามาเลี้ยงตามบ้าน เป็นสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลก โดยมีสายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นสุนัข
พื้นเมืองของบราซิล ที่เลี้ยงในไร่ขนาดใหญ่เพื่อขับไล่เสือหรือหมี

2 . สุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิสส์

เป็น สุนัขสายพันธุ์โบราณ มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Do-khyi ซึ่งแปลว่า สุนัขที่ต้องถูกผูกไว้ (tied dog) เนื่องจากอุปนิสัยที่หวงถิ่นฐาน และดุร้าย จึงต้องผูกไว้เพื่อความปลอดภัยของบุคคลภายนอก พวกมันเป็น 1 ในสายพันธุ์สุนัข ที่ ดุร้ายที่สุดในโลก สายพันธุ์หนึ่ง โดยชาวธิเบต กล่าวว่าพวกมัน ดุร้าย กล้าหาญ และแข็งแกร่งจนสามารถต่อสู้กับหมี หรือ เสือ ที่บุกเขามากินฝูงสัตว์ที่มันดูแลได้ทีเดียว

1 อเมริกัน พิทบูล เทอเรียร์

เป็นสุนัขพันธุ์ที่ดุที่สุดในโลก ถึงขนาดที่ประเทศอังกฤษแบบไม่ให้มีการเลี้ยงกัน เนื่องจากมีข่าวจนเป็นคดีความ
ฟ้องร้องกันไปหลายครั้งหลายครา สุนัขพันธุ์นี้ก็เคยมีข่าวว่ากัดคนตายมาแล้วมากมาย (แต่รักเจ้าของยิ่งชีพ)

 
พิทบูลจับโจรได้เก่งจังเลย ^^  น่ากลัวด้วย 
111  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เศร้า หลวงปู่ วัดป่าอีสาน ทรมานช้าง เอาศพทำของขลัง เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 02:03:30 am
เศร้า หลวงปู่ วัดป่าอีสาน ทรมานช้าง  เอาศพทำของขลัง
!

4ม.ค. เรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยโดยผู้ที่ใช้นามแฝงว่า JaMC โพสข้อมูลในเว็บไซต์พันทิป ดอท คอม โดยระบุว่า มี พระรูปหนึ่ง อ้างว่า อาคมขลัง แห่งอาณาจักร นครจำปาศรี ณ.สวนป่า พุทธสถานสุประดิษฐ์เมธีต.นาข่า อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เช่าที่เพื่อทำโครงการเลี้ยงและช่วยเหลือช้างไทย และได้เรี่ยไร รับบริจาค จากญาติโยมที่เคร่งศาสนา และญาติโยมผู้ใจบุญ เพื่อช่วยเหลือช้าง แต่เงินที่ญาติโยมบริจาคนั้นไม่ถึงช้าง

“ท่าน ได้เอาช้างมาดูแล โดยการให้ช้าง อด เพื่อที่จะได้ตายเร็วๆ และท่านจะนำเอาช้างมาแยกชิ้นส่วน บ้างก้อชำแหละแยกชิ้นส่วน บ้างก็นำไปทิ้งลงบ่อปลาเพื่อให้ปลาดุกกิน และบ้างก็นำไปย่างเพื่อจะนำเอากระดูกช้างไปทำวัตถุมงคล”

ช้าง ที่ท่านนำมาเลี้ยงที่วัด ส่วนใหญ่ตอนนำมาแรกๆ ตัวอ้วน สุขภาพดี แต่ท่านปล่อยให้อด เพื่อที่จะผอมตาย จากข้อมูลพบว่า มีช้างตายแล้ว 3 เชือก

ขอขอบคุณเนื้อหา และภาพ  จากคุณ JaMC เว็บไซต์ pantip.com

โดย Mthai news



ส่วนรูปของขลังนั้นตามไปดูกันเอาเองนะคร้า...

http://www.fwdder.com/out.php?d=http%3A%2F%2Fnews.mthai.com%2F
112  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / รถไฟฟ้าใต้ดินมอบของขวัญวันเด็ก ให้เด็กสูงไม่ถึง 140 ซม.ขึ้นฟรีตลอดเส้นทาง เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 01:40:14 am

รถไฟฟ้าใต้ดินมอบของขวัญวันเด็กแห่งชาติ ให้เด็กสูงไม่ถึง 140 ซม. ขึ้นฟรีตลอดเส้นทาง

วันนี้ (4 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเสาร์ที่ 8 ม.ค.2554 ซึ่งเป็นวันเด็กแห่งชาติ ทาง บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (บีเอ็มซีแอล) ได้มอบของขวัญพิเศษให้เด็ก ๆ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ในการเดินทาง โดยให้สิทธิแก่เด็กที่มีความสูงไม่เกิน 140 ซม. สามารถโดยสารรถไฟฟ้า MRT (รถไฟฟ้าใต้ดิน) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดเวลาให้บริการ ตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น. เพียงแสดงตัวต่อพนักงานประจำสถานี ที่ห้องออกบัตรโดยสาร ทั้ง 18 สถานี  จึงเชิญชวนประชาชนพาบุตรหลาน และสมาชิกในครอบครัว ร่วมกิจกรรมในเทศกาลวันเด็กแห่งชาติ ตามสถานที่ต่าง ๆ ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้า MRT อาทิ กิจกรรมวันเด็กแห่งชาติที่สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ลงที่สถานีสวนจตุจักร

“นิทรรศการ “วันเด็กน้อยฟอร์จูน” ในศูนย์การค้าฟอร์จูน ทาวน์ ลงที่สถานีพระราม 9 งาน Thailand Game Show 2011 มหกรรมเด็กเล่นเกมส์ ครั้งที่ 5 ภายในศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ลงที่สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กิจกรรม “วันเด็กสีขาว เพื่อโลกสีเขียว” ณ ลานอโศกมนตรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรจน์ ประสานมิตร ลงที่สถานีเพชรบุรี สามารถดูรายละเอียดได้ที่ป้ายประชาสัมพันธ์ ภายในสถานีรถไฟฟ้า MRTหรือทาง www.bangkokmetro.co.th.”

113  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อัยการเตรียมสั่งฟ้อง 2 สัปเหร่อ วัดไผ่เงิน ทำลาย 2002 ซากทารก 6 ม.ค. เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 01:32:15 am

อัยการเตรียมสั่งฟ้อง 2 สัปเหร่อ วัดไผ่เงิน ทำลาย 2002 ซากทารก 6 ม.ค. ส่วน ผช.พยาบาลมือทำแท้ง จ่อคิวถัดไป

วันนี้ (4 ม.ค.) ที่สำนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร เข้าพบ นายราฆพ โกสิยานันท์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เพื่อส่งมอบสำนวนการสอบสวน และพยานหลักฐาน จำนวน 153 หน้า พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายสุเทพ ชะบางบอน อายุ 46 ปี สัปเหร่อวัดไผ่เงินโชตนาราม และ นายสุชาติ ภูมี อายุ 38 ปี ผู้ช่วยสัปเหร่อ 2 ผู้ต้องหาในข้อหาร่วมกันทำลายซ่อนเร้นพยานหลักฐานในการกระทำความผิด เพื่อช่วยเหลือให้ผู้อื่นไม่ต้องได้รับโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184  โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีผู้ต้องหาร่วมกันทำลายซากศพทารก จำนวน 2,002 ศพ ภายในวัดไผ่เงินที่เกิดจากการถูกทำแท้ง

นายราฆพ กล่าวว่า คดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชน และสังคม เพราะฉะนั้น การพิจารณาพยานหลักฐานต่าง ๆ จะต้องกระทำด้วยความละเอียดรอบครอบ เป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งจะต้องเสนอให้อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นผู้พิจารณาอนุมัติคำสั่งจะฟ้องผู้ต้องหาหรือไม่ ซึ่งตนมั่นใจว่าอัยการจะมีคำสั่งได้ภายในวันที่ 6 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันครบกำหนดฝากขัง 48 วัน ตามกฎหมาย ทั้งนี้ อัยการต้องพิจารณาว่าการยื่นฟ้องในคดีนี้ เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ หรือว่าเป็นการกระทำผิดเพียงกรรมเดียว สำหรับคดีนี้ถือว่าส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก เพราะที่ผ่านมา ยังไม่เคยปรากฏพฤติการณ์การกระทำผิดเช่นนี้มาก่อน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับ น.ส.ลัญฉกร หรือ โกะ จันทมนัส อายุ 33 ปี ผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งยอมรับว่าเป็นคนลงมือทำแท้ง ที่พนักงานสอบสวน สน.หนองแขม ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องต่อพนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 5 (ตลิ่งชัน) ในข้อหาประกอบสถานพยาบาล และประกอบวิชาเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หญิงอื่นแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน เพื่อให้ตน และผู้อื่นไม่ต้องรับโทษทางอาญาไปนั้น ทาง นายสาวิตร บุญประสิทธิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 5 (ตลิ่งชัน) เปิดเผยว่า วันที่ 5 ม.ค.นี้ ทางพนักงานอัยการจะเดินทางไปศาลจังหวัดตลิ่งชัน เพื่อยื่นฟ้อง น.ส.ลัญฉกร ผู้ต้องหา ซึ่งครบกำหนดฝากขัง 48 วัน ตามกำหนดด้วย.

ขอบคุณที่มาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentID=113525
114  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / พระมหามิตต์ รักษาโรคมารดาด้วย สัจจะแห่งศีล เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 02:07:57 am
   ในวัตถุนิทานพระมหามิต์ตเถรเจ้านั้นว่า วิสคัณ์ฑโรโค โรคคือฝี
อันมีพิษบังเกิดขึ้นแก่อุบาสิกามารดาของพระมหามิต์ตเถรเจ้า อนึ่งธิดาของอุบาสิกา
นี้ก็บวชเปนพระภิกษุนี มหาอุบาสิกาจึงว่าแก่พระภิกษุนีนั้นว่าท่านจงไปสู่สำนัก
แห่งพระผู้เปนเจ้าผู้เปนพี่ บอกว่ามารดาไม่สบาย ให้พระผู้เปนเจ้าหายามารักษา
พระภิกษุนีนั้นก็ไปบอกแก่พระมหามิต์ตเถรเจ้า ๆ จึงกล่าวว่า อาตมาไม่รู้จักที่จะ
ประมวญมาซึ่งเภสัชช์มีรากไม้เปนอาทิ แล้วแลจะได้ปรุงต้มส่งไปให้แก่อุบาสิกา
อนึ่ง เราจะบอกยาให้แก่ท่าน ท่านจงไปเถิดไปกล่าวว่า อหํ ยโต ปัพ์พชิโต เราบวช
แล้วกาลใด จำเดิมแต่กาลนั้นมา เรามิได้ทำลายอินทรียสังวรศีล แล้วและเลงแลดู
ซึ่งวิสภาครูปารมณ์คือรูปแห่งหญิง ด้วยจิตร์อันสหรคตถึงพร้อมด้วยโลภ ด้วยความ
สัจจ์อันนี้ มารดาแห่งข้าจงผาสุกเถิด เมื่อท่านกล่าวคำดังนี้แล้ว จงเอามือปรามาส
ลูบคำสริรกายแห่งอุบาสิกา สา คัน์ตวา ตมัต์ถํ อาโรเจตวา พระภิกษุนีนั้นกลับ
ไปบอกประพฤติเหตุนั้นแก่มารดา แล้วก็กระทำเหมือนคำพระมหามิต์ตเถรเจ้าสั่ง
โรคคือฝีพิษแห่งอุบาสิกาก็ฝ่อไป ดุจดังว่าฟองน้ำอันตรธานหายในขณะนั้นแท้จริง
อุบาสิกาก็ลุกขึ้นทันที เปล่งวจีเภทด้วยจิตร์อันชื่นชมว่า สเจ สัม์มาพุท์โธ ถ้าแล
ว่าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนมอยู่ ดังฤาจะไม่พึงปรามาสศีร์ษะพระ
ภิกษุเห็นปานดุจดังว่าบุตรแห่งเรา ด้วยพระหัตถ์อันวิจิตร์ด้วยพระเลขามีข้ออันตรง
ตั้งอยู่แล้วด้วยอาการดุจดังว่าข่าย อันบุทคลขึงไว้ในช่องหน้าต่าง
   เหตุการณ์นั้น กุลบุตร์อื่นถือตนว่าบังเกิดในสกูลแห่งบุทคลอันเปน
อาจารย์แห่งสกูลทั้งหลาย บรรพชาในพระศาสนาแล้ว พึงตั้งอยู่ในอินทรียสังวรศีล
อันประเสริฐ ดุจดังว่าพระมหามิต์ตเถรเจ้านี้
   อนึ่ง มีคำอุปมาว่า อิน์ทริยสํวโร อินทรียสังวรสีลนั้น พระภิกษุ
พึงกระทำให้บริบูรณ์ด้วยสติอย่างไร อาชีวปาริสุทธิศีลนั้น พระภิกษุพึงกระทำให้
บริบูรณ์ด้วยความเพียรเหมือนอย่างนั้น


 :25: :25: :25:
115  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สลด! แตนมรณะ รุมต่อยครูดับอนาถ หลังเดินออกจากห้องน้ำ เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 02:01:54 am
สลด! แตนมรณะ รุมต่อยครูดับอนาถ หลังเดินออกจากห้องน้ำ
วันนี้ (3 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 2 ม.ค. ร.ต.อ ศุภณัฐ โพธิ์ผึ้ง พงส.(สบ.1) สภ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ รับแจ้งมีคนถูกแมลงสัตว์กัดต่อยเสียชีวิต ที่บ้านเลขที่ 4 หมู่ 1 ถนนเทศบาลพัฒนา 3 ต.ช่องแค อ.ตาคลี จึงนำกำลังไปตรวจสอบ พร้อมหน่วยกู้ภัยร่วมกตัญญูสาขาช่องแค

ที่เกิดเหตุพบศพ นายมานิตย์ สุวรรณเทพ อายุ 52 ปี ครู อส.3 โรงเรียนวัดช่องแค สภาพถูกแตนต่อยเป็นรอยเขียวช้ำที่บริเวณลำคอ และใต้หัวไหล่ด้านซ้ายมีรอยผื่นแดงหลาย ๆ จุด
 
สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายมานิตย์ กำลังนั่งพูดคุยปรึกษาเรื่องกีฬา กับ นายสรวีย์ อินทร์เมรี ครูโรงเรียนบ้านนาขอม อ.ไพสาลี และเพื่อนผู้ตัดสินกีฬาของชมรมเพื่อนครูตาคลี แต่หลังจากพูดคุยได้ไม่นาน นายมานิตย์ ขอตัวเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่พอเปิดประตูห้องน้ำได้ถูกตัวแตนที่ทำรังอยู่บนฝ้าเพดานเหนือประตูห้องน้ำ รุมต่อยตามใบหน้า และลำตัวหลายแห่ง ล้มฟุบอยู่ภายในห้องน้ำ และเสียชีวิตในที่สุด

เบื้องต้น แพทย์สันนิษฐานว่า สาเหตุน่าจะเกิดจากถูกสัตว์มีพิษกัดต่อยจนถึงแก่ความตาย แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องนำศพส่งสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง.

ที่มาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=113377
116  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ก่อนที่จะได้ ธรรมจักษุ อ่านพระสูตรบทนี้ก่อนดีไหมคร้า.... เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 01:54:14 am
 อันธสูตร
    [๔๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๓ จำพวกเป็นไฉน
คือ คนตาบอด ๑
    คนตาเดียว ๑
    คนสองตา ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลตาบอดเป็นไฉน
   บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีนัยน์ตาอันเป็นเหตุได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้  หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น ไม่มีนัยน์ตาเครื่องรู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล รู้ธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษ รู้ธรรมที่เลวและประณีตรู้ธรรมที่มีส่วนเปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าคนตาบอด
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลตาเดียวเป็นไฉน  บุคคลบางคนในโลกนี้  มีนัยน์ตาอันเป็นเหตุได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น แต่ไม่มีนัยน์ตาเป็นเครื่องรู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล รู้ธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษ รู้ธรรมที่เลวและประณีต รู้ธรรมที่มีส่วนเปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าคนตาเดียว
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลสองตาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ มีนัยน์ตาเป็นเหตุได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น ทั้งมีนัยน์ตาเป็นเครื่องรู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศลรู้ธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษ รู้ธรรมที่เลวหรือประณีต รู้ธรรมที่มีส่วนเปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าคนสองตา
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ โภคทรัพย์เห็นปานดั่งนั้น ย่อมไม่มีแก่คนตาบอดเลย และคนตาบอดย่อมไม่ทำบุญอีกด้วย โทษเคราะห์ ย่อมมีแก่คนตาบอดเสียจักษุในโลกทั้งสอง ต่อมา เราได้กล่าวถึงคนตาเดียวนี้ไว้อีกคนหนึ่ง คนตาเดียวนั้นเป็นผู้คลุกเคล้ากับธรรมและอธรรม แสวงหาโภคทรัพย์โดยการคด
โกง และการพูดเท็จ อันเป็นส่วนแห่งความเป็นขโมย ทั้งสองอย่างก็มาณพผู้บริโภคกาม ย่อมเป็นคนฉลาดที่จะรวบรวมโภคทรัพย์  เขาผู้เป็นคนตาเดียว จากโลกนี้แล้วไปนรกย่อมเดือดร้อน  อนึ่ง คนสองตาเรากล่าวว่าเป็นบุคคลที่ประเสริฐสุด คนสองตานั้น ย่อมให้ทรัพย์ที่ตนได้มาด้วยความหมั่นเป็นทาน  แต่โภคะที่ตนหาได้โดยชอบธรรม เพราะเป็นผู้มีความดำริประเสริฐสุด มีใจไม่สงสัย ย่อมเข้าถึงฐานะอันเจริญซึ่ง  บุคคลไปถึงแล้วไม่เศร้าโศก บุคคลควรเว้นคนตาบอด กับ คนตาเดียวเสียให้ห่างไกล แต่ควรคบคนสองตา ซึ่งเป็นบุคคลผู้ประเสริฐสุด ฯ
                       จบสูตรที่ ๙

117  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สถานที่ผู้ปฏิบัติ พึงระลึกถึง ( จากเมล พระอาจารย์ ) เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 01:35:27 am
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สถานที่ 3 แห่งนี้ เป็นสถานที่อันภิกษุพึงระลึกถึงตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกันแล


       สถานที่ 3 แห่งเป็นไฉน คือ
     
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุปลงผมและหนวด นุ่งผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ณ ที่ใด ที่นั้นเป็นสถานที่ 1 อันภิกษุพึงระลึกถึงตลอดชีวิตฯ
           

     อีกประการหนึ่ง ภิกษุรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ณ ที่ใด ที่นี้เป็นสถานที่ 2 อันภิกษุพึงระลึกถึงตลอดชีวิต ฯ
     
     อีกประการหนึ่ง ภิกษุทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ณ ที่ใด ที่นี้เป็นสถานที่ 3 อันภิกษุพึงระลึกถึงตลอดชีวิต ฯ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สถานที่ 3 แห่งนี้แล เป็นสถานที่อันภิกษุพึงระลึกตลอดชีวิต ฯ
118  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ความสงบ ใช่ นิพพาน หรือป่าวคะ เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 01:27:13 am
เวลาที่ใจเรา สงบ ๆ ๆ มาก ๆ อันนี้ใช่นิพพาน หรือป่าวคะ

เพราะไปฟังธรรมะที่วัดมา พระท่านแสดงธรรมว่า ความสงบ นั่นแหละคือ นิพพาน

 :25: :25: :25:
119  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / แนะนำ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จ.น่าน ( ภูชี้ฟ้า เชียงราย ) เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 01:12:25 am















ขอบคุณที่มาของภาพ
http://www.hamanan.com/tour/nan/sunupviewpoint.html
120  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / งานแม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์ครั้งที่ 2 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 01:01:01 am


ไอทีวัลเลย์ ครั้งที่ 2

งานแม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์ครั้งที่ ๒               
                  
   ศูนย์พัฒนาทักษะและการเรียนรู้ ICT อาคารหมอกใหม่ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
๑๔-๑๕ มกราคม ๒๕๕๔
[/size][/color]

ตารางงานติดตามได้จากที่นี่ คร้า..
https://spreadsheets.google.com/pub?key=0Avtx2y8XkxvkdGJ5cVJ6WTJPVk1RV1FCLV9vbWZIenc&hl=en_GB&single=true&gid=0&output=html
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 12