ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สูกรมัททวะ คือ อาหารแบบไหน คะ  (อ่าน 2971 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ส้ม

  • ศิษย์ตรง
  • กำลังแหวกกระแส
  • *****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 184
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
สูกรมัททวะ คือ อาหารแบบไหน คะ
« เมื่อ: มีนาคม 24, 2013, 12:03:52 pm »
0
 ask1
สูกรมัททวะ คือ อาหารแบบไหน คะ
  และคนที่ถวาย สูกรมัททวะ ได้บุญหรือได้บาป คะ

  thk56
บันทึกการเข้า
เส้นทางแสนเปรี้ยว จะมีสุขจริงบ้างหรือไม่ ?

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: สูกรมัททวะ คือ อาหารแบบไหน คะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 02:05:02 pm »
0
เช้าวันเพ็ญเดือน ๖ ทรงเสวยมังสะสุกรอ่อนที่บ้านนายจุนทะ นับเป็นปัจฉิมบิณฑบาต

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
๓. มหาปรินิพพานสูตร (๑๖)

    [๑๑๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในโภคนครตามความพอพระทัยแล้ว ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยังเมืองปาวา ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงเมืองปาวาแล้ว ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อัมพวันของนายจุนทกัมมารบุตร ในเมืองปาวานั้น ฯ

    ครั้งนั้น นายจุนทกัมมารบุตรได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงเมืองปาวา ประทับอยู่ ณ อัมพวันของเราในเมืองปาวา จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนายจุนทกัมมารบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา

    ลำดับนั้น นายจุนทกัมมารบุตรอันพระผู้มีพระภาคให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตของข้าพระองค์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาคทรงรับด้วยดุษณีภาพ ฯ

    ลำดับนั้น นายจุนทกัมมารบุตรทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับแล้วลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ หลีกไปแล้ว นายจุนทกัมมารบุตรให้ตระเตรียมของเคี้ยวของฉันอันประณีต และสุกรมัททวะ ๑- เป็นอันมากในนิเวศน์ของตน โดยล่วงราตรีนั้นไป ให้กราบทูลกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้เวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว ฯ

     ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนายจุนทกัมมารบุตร ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้วรับสั่งกะนายจุนทกัมมารบุตรว่า
     ดูกรนายจุนทะ ท่านจงอังคาสเราด้วยสุกรมัททวะที่ท่านตระเตรียมไว้ จงอังคาสภิกษุสงฆ์ด้วยของเคี้ยวของฉัน อย่างอื่นที่ท่านตระเตรียมไว้ นายจุนทกัมมารบุตรทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงอังคาสพระผู้มีพระภาคด้วยสุกรมัททวะ ที่ตนตระเตรียมไว้ อังคาสภิกษุสงฆ์ด้วยของเคี้ยวของฉันอย่างอื่นที่ตนตระเตรียมไว้



    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะนายจุนทกัมมารบุตรว่า
     ดูกรนายจุนทะ ท่านจงฝังสุกรมัททวะที่ยังเหลือเสียในหลุม เรายังไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ซึ่งบริโภคสุกรมัททวะนั้นแล้ว จะพึงให้ย่อยไปด้วยดีได้นอกจากตถาคต

     นายจุนทกัมมารบุตรทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงฝังสุกรมัททวะที่ยังเหลือเสียในหลุม แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคมนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคยังนายจุนทกัมมารบุตรผู้นั่งเรียบร้อยแล้วให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะเสด็จหลีกไป ฯ

      ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยภัตตาหารของนายจุนทกัมมารบุตรแล้วก็เกิดอาพาธอย่างร้ายแรง มีเวทนากล้าเกิดแต่การประชวรลงพระโลหิต ใกล้จะนิพพาน ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นเวทนาเหล่านั้นไว้ มิได้ทรงพรั่นพรึง ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า มาไปกันเถิดอานนท์ เราจักไปยังเมืองกุสินารา ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ

     [๑๑๘] ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระปรีชาเสวยภัตตาหารของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ทรงพระประชวรอย่างหนัก ใกล้จะนิพพาน เมื่อพระศาสดาเสวยสุกรมัททวะแล้ว การประชวรอย่างหนักได้บังเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคลงพระบังคน ได้ตรัสว่าเราจะไปยังเมืองกุสินารา ดังนี้ ฯ
      (คาถาเหล่านี้ พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ในเวลาทำสังคายนา)


@๑. เป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งปรุงด้วยเห็ดอย่างหนึ่งซึ่งเห็ดชนิดนั้นหมูชอบกิน

อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  บรรทัดที่ ๓๐๒๕ - ๓๐๖๖.  หน้าที่  ๑๒๓ - ๑๒๕.
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=10&A=3025&Z=3066&pagebreak=0   
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  บรรทัดที่ ๓๐๖๗ - ๓๐๗๒.  หน้าที่  ๑๒๕.
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=10&A=3067&Z=3072&pagebreak=0   
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=67
ขอบคุณภาพจาก http://84000.org/,http://www.dhammajak.net/



อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค
มหาปรินิพพานสูตร

กมฺมารปุตฺตจุนฺทวตฺถุวณฺณนา
               
    บทว่า กมฺมารปุตฺตสฺส ได้แก่ บุตรของนายช่างทอง.
     เล่ากันมาว่า บุตรของนายช่างทองนั้นเป็นกุฏุมพีใหญ่ผู้มั่งคั่ง เป็นโสดาบัน เพราะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้งแรกเท่านั้น ก็สร้างวัดในสวนมะม่วงของตนมอบถวาย. ท่านหมายเอาสวนมะม่วงนั้น จึงกล่าวว่า อมฺพวเน.


    บทว่า สูกรมทฺทวํ ได้แก่ ปวัตตมังสะของสุกรที่ใหญ่ที่สุดตัวหนึ่ง ไม่หนุ่มนัก ไม่แก่นัก.
     นัยว่า ปวัตตมังสะนั้นนุ่มสนิท. อธิบายว่า ให้จัดปวัตตมังสะนั้น ทำให้สุกอย่างดี
.
     อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ก็คำว่า สูกรมัททวะ นี้เป็นชื่อของข้าวสุกอ่อน ที่จัดปรุงด้วยปัญจโครส และถั่ว เหมือนของสุก ชื่อว่าควปานะ ขนมผสมน้ำนมโค.
     (ปัญจโครส คือ ขีร นมสด, ทธิ นมส้ม, ฆตํ เนยใส, ตกฺกํ เปรียง และโนนีตํ เนยแข็ง)     
     อาจารย์บางพวกกล่าวว่า วิธีปรุงรส ชื่อว่าสูกรมัททวะ ก็สูกรมัททวะนั้นมาในรสายนศาสตร์.


    สูกรมัททวะนั้น นายจุนทะตบแต่งตามรสายนวิธี ด้วยประสงค์ว่าการปรินิพพานจะยังไม่พึงมีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
    แต่เหล่าเทวดาในมหาทวีปทั้ง ๔ ซึ่งมีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ ทวีปเป็นบริวาร ใส่โอชะลงในสูกรมัททวะนั้น.


     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันลือสีหนาทนี้ว่า นาหนฺตํ เพื่ออะไร.
     เพื่อทรงเปลื้องคำว่าร้ายของคนอื่น.
     จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าสดับคำของพวกที่ต้องการจะกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ประทานสูกรมัททวะที่พระองค์เสวยเหลือ ทั้งแก่ภิกษุ ทั้งแก่ผู้คนทั้งหลาย โปรดให้ฝังเสียในหลุม ทำให้เสียหายดังนี้ จึงทรงบันลือสีหนาท เพื่อเปลื้องคำว่าร้ายของชนเหล่าอื่น ด้วยพระประสงค์ว่า จักไม่มีโอกาสกล่าวร้ายได้.

     บทว่า ภุตฺตสฺส สูกรมทฺทเวน ความว่า ความอาพาธอย่างแรงกล้าเกิดขึ้นแก่พระองค์ผู้เสวย แต่ไม่ใช่เกิดเพราะสูกรมัททวะที่เสวยเป็นปัจจัย.
     ก็ผิว่า พระองค์ไม่เสวยก็จักเกิดอาพาธได้ และเป็นอาพาธอันแรงกล้าเสียด้วย. แต่เพราะเสวยโภชนะอันสนิท พระองค์จึงมีทุกขเวทนาเบาบาง. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงเสด็จพุทธดำเนินไปได้.


     บทว่า วิเรจมาโน ได้แก่ พระองค์ทรงออกพระโลหิตอยู่เนืองๆ.
     ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า อโวจ ก็เพื่อประโยชน์แก่ปรินิพพานในสถานที่ที่พระองค์มีพระพุทธประสงค์.
     พึงทราบความว่า ก็พระธรรมสังคาหกเถระตั้งคาถาเหล่านี้ไว้.


ที่มา www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=67&p=3#กมฺมารปุตฺตจุนฺทวตฺถุวณฺณนา
ขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 26, 2013, 02:30:17 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: สูกรมัททวะ คือ อาหารแบบไหน คะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 02:15:26 pm »
0
ask1
สูกรมัททวะ คือ อาหารแบบไหน คะ
  และคนที่ถวาย สูกรมัททวะ ได้บุญหรือได้บาป คะ

  thk56



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค
๓. มหาปรินิพพานสูตร (๑๖)

     [๑๒๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
     ดูกรอานนท์ บางทีใครๆ จะทำความร้อนใจให้เกิดแก่นายจุนทกัมมารบุตรว่า
     ดูกรนายจุนทะ มิใช่ลาภของท่าน ท่านได้ไม่ดีแล้ว ที่พระตถาคตเสวยบิณฑบาตของ ท่านเป็นครั้งสุดท้ายเสด็จปรินิพพานแล้ว ดังนี้
     เธอพึงช่วยบรรเทาความร้อนใจ ของนายจุนทกัมมารบุตรเสียอย่างนี้ว่า


     ดูกร นายจุนทะ เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระตถาคตเสวยบิณฑบาตของท่านเป็นครั้งสุดท้าย เสด็จปรินิพพานแล้ว เรื่องนี้เราได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
    บิณฑบาตสองคราวนี้ มีผลเสมอๆกัน มีวิบากเสมอๆกัน
    มีผลใหญ่กว่า มีอานิสงส์ใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่นๆยิ่งนัก บิณฑบาตสองคราวเป็นไฉน คือ


    ตถาคตเสวยบิณฑบาตใดแล้ว ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ อย่างหนึ่ง
    ตถาคตเสวยบิณฑบาตใดแล้ว เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุอย่างหนึ่ง
    บิณฑบาตสองคราวนี้ มีผลเสมอๆกัน มีวิบากเสมอๆกัน
    มีผลใหญ่กว่า มีอานิสงส์ใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่นๆ ยิ่งนัก

________________________________________________
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7758.0

    ans1 ans1 ans1
    คุณส้มครับ ผมเคยเสนอเรื่องนี้ไปแล้วโดยละเอียด อยู่ในกระทู้นี้ครับ
    "พยากรณ์บิณฑบาต ๒ ครั้ง"
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7758.0

    หากสนใจเรื่องนี้โดยพิสดาร ขอแนะนำ "ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสุกรมัทวะ" ของเสถียร โพธินันทะ คลิกที่นี่ครับ
    http://www.dharma-gateway.com/ubasok/satien/ubasok-28.htm

     :25: :25: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 26, 2013, 02:21:19 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kallaya

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 112
  • ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ถ้ามองเห็นทุกข์.........
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
Re: สูกรมัททวะ คือ อาหารแบบไหน คะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 03:15:46 pm »
0
 st11 st12 thk56
 
   มีประโยชน์ มาก ๆ เดี๋ยวขออ่านให้จบ แล้ว จะมาตั้งคำถาม นะจ๊ะ

  :58:
บันทึกการเข้า
ปัจจุบันสำคัญที่สุด อดีตก็ช่างมัน อนาคตก็ช่างมัน ถ้าเราทำปัจจุบันไว้ดี