เรื่องทั่วไป > ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน)

ประวัติพระอรหันต์ 8 ทิศ

<< < (2/3) > >>

raponsan:

    ๖. พระควัมปติ - ประจำทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ)

        พระควัมปติ เป็นกลุ่มเพื่อนพระยสะ ตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส และได้ออกบวชตาม พระกลุ่มนี้มี ๕๔ รูป แต่ที่ปรากฏชื่อและได้รับจัดเข้าเป็นพระอสีติมหาสาวกมีเพียง ๔ รูป คือ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ และพระควัมปติ

        พระควัมปติ เกิดในวรรณะไวศยะ ในตระกูลเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสี แคว้นกาสี เมื่อท่านทราบว่า ยสะ ออกบวช ท่านและสหาย จึงพร้อมใจกันเดินทางไปหาพระยสะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ด้วยความศรัทธา พระยสะได้พาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า หลังจากกราบทูลให้ทรงทราบถึงประวัติส่วนตัวของแต่ละท่านแล้วได้ทูลขอให้พระ พุทธเจ้าแสดงธรรมให้ฟัง พระพุทธเจ้าได้ตรวจดูอุปนิสัยแล้วก็ได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ให้ฟังตามลำดับ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ทั้ง ๔ ท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน ครั้นแล้วได้ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยวิธีบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาอย่างที่ทรงประทานแก่ พระปัญจวัคคีย์

        หลังจากบวชแล้ว พระพุทธเจ้ายังคงแสดงธรรมโปรดอยู่เนือง ๆ ไม่ช้าก็ได้บรรลุอรหัตผล และอยู่ในคณะพระธรรมจาริกรุ่นแรกที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๖๐ รูป

        พระควัมปติ คราวหนึ่งได้จำพรรษาอยู่ ณ ป่าอัญชนวัน เมืองสาเกตกับพระพุทธเจ้าและ พระภิกษุสามเณรจำนวนมากปรากฏว่า เสนาสนะไม่พอ พระภิกษุและสามเณรที่ไม่ได้เสนาสนะต้องพากันไปจำวัดตามหาดทรายชายฝั่งแม่น้ำ สรภูซึ่งอยู่ใกล้ ๆ วิหาร ตกเที่ยงคืนเกิดฝนตกน้ำหลาก พระเณรต้องหนีน้ำกันจ้าละหวั่น ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรง ใช้พระควัมปติให้ไปใช้ฤทธิ์กั้นสายน้ำช่วยพระและเณรที่กำลังเดือดร้อน ท่านไปตามพุทธบัญชาแล้วใช้พลังฤทธิ์กั้นสายน้ำไม่ให้ไหลมารบกวนพระและเณรอีก อยู่มาวันหนึ่งท่านกำลังนั่งแสดงธรรมให้เทวดาฟัง พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสสรรเสริญท่านว่า เทวดาและมนุษย์ต่างพากันนอบน้อมพระควัมปติ ผู้ใช้ฤทธิ์ห้ามแม่น้ำสรภูไม่ให้ไหล


    พระควัมปติมิได้มีตำแหน่งเอตทัคคะ ทั้งนี้เพราะท่านมิได้ตั้งความปรารถนาตำแหน่งเอตทัคคะใด ๆ ไว้แต่อดีตชาติเช่นเดียวกับพระยสะ เพียงแต่ได้ตั้งจิตปรารถนาเพื่อการเป็นพระมหาสาวกไว้เท่านั้น

    แต่ในหนังสือตำนานพระพุทธสาวก ภาค ๑ โดยพระธรรมโกศาจารย์ นั้นได้เขียนไว้ว่า..พระควัมปติ - ประจำทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) หมายถึง พระมหากัจจายนะ

    พระมหากัจจายนะ เป็นบุตรของพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักพระเจ้าจัณฑปัชโชต กรุงอุชเชนี เมืองหลวงของแคว้นอวันตี พระ กัจจายนะเดิมเป็นคนมีรูปร่างงาม และเป็นคนใฝ่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาคือ ได้ศึกษาพระเวทต่างๆ จนมีความรู้แตกฉาน ต่อมาเมื่อบิดาของท่านได้เสียชีวิตลง ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปุโรหิตในพระราชสำนักสืบแทนบิดาต่อไป

    พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงทราบว่าพระ พุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงมีพระราชประสงค์จะกราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์เสด็จมาโปรดชาวเมืองอุชเช นี จึงรับสั่งให้ท่านกัจจายนะไปกราบทูลเชิญเสด็จ ท่านกัจจายนะได้ทูลของพระบรมราชานุญาตต่อพระเจ้าจัณฑปัชโชตที่จะอุปสมบทด้วย เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ท่านกัจจายนะพร้อมด้วยบริวาร ๗ คน ก็ได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ฟังธรรมเทศนาจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และทูลของอุปสมบท

    หลังอุปสมบทแล้วไม่นาน ท่านพระกัจจายนะได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองเมืองอุชเชนี พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า"เธอไปเองเถิด เมื่อเธอไปแล้ว พระเจ้าจัณฑปัชโชตจักทรงเลื่อมใส"


    พระมหากัจจายนะ พร้อมกับพระภิกษุ ๗ รูปนั้น จึงได้เดินกลับไปยังเมืองอุชเชนี และได้แสดงธรรมให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตและชาวเมืองอุชเชนีฟัง เมื่อพระเจ้าจัณฑปัชโชตได้ฟังธรรมที่พระมหากัจจายนะแสดงนั้น ก็ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้วประกาศตนเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยเป็น สรณะ พร้อมด้วยพสกนิกรเป็นจำนวนมาก
    ท่านพระมหากัจจายนะได้แสดง "ภัทเทกรัตตสูตร" จนได้รับคำชมเชยจากพระพุทธเจ้า และได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าในตำแหน่งเอตทัคคะ(เป็นเลิศกว่าผู้อื่น)ในทางขยายความแห่งภาษิตให้พิสดาร

    พระมหากัจจายนะ มีชื่ออีกชื่อว่า พระควัมปติ แต่มหาชนไม่นิยมเรียก เพราะชื่อไปซ้ำกับสาวกอีกองค์หนึ่งที่เป็นสหายของพระยสะ จึงคงเรียกชื่อท่านตามสกุลว่า “มหากัจจายนะ”แต่เติมคำว่า มหาเข้าไปด้วยท่านเป็นเถระชั้นมหาสาวกเช่นเดียวกับพระมหากัสสปะ

        และการที่ท่านพระมหากัจจายนะเป็นผู้ที่มีรูปงาม ทำให้พระภิกษุอื่นๆ เมื่อเห็นท่านแต่ไกลเข้าใจผิดว่าพระพุทธองค์กำลังเสด็จมา จึงพากันลุกขึ้นยืนต้อนรับบ่อยครั้ง ครั้นเข้ามาใกล้จึงประจักษ์ชัดว่าเป็นพระมหากัจจายนะ(พระควัมปติ) จึงได้พากันให้ชื่อใหม่ท่านว่า “ภควัมปติ” ซึ่งแปลว่า เหมือนพระผู้มีพระภาค เมื่อท่านทราบเรื่องนี้เข้า เกรงว่าจะเป็นโทษซึ่งพาให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดเพราะร่างกายของท่านไปเหมือน พระพุทธเจ้าเข้า ท่านจึงได้อธิษฐานเปลี่ยนรูปเพื่อให้ไม่เหมือนพระศาสดา ด้วยอำนาจแห่งฌานอภิญญา รูปของท่านจึงอ้วนท้องยุ้ยไม่งามเหมือนเมื่อก่อน ใครเห็นก็จำได้ไม่เกิดความเข้าใจผิด

        บ้างก็กล่าวว่า เพราะมีเกิดเรื่องประหลาดขึ้น คือมีบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง เห็นว่าท่านมีรูปงาม นึกอกุศลอยากได้ภรรยาที่มีลักษณะงามเหมือนท่าน ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นสตรีเพศทันที ด้วยความละอายเขาจึงได้ไปอาศัยอยู่ที่เมืองตักศิลาจนมีสามีและบุตร ต่อมาเมื่อได้ไปขอขมาท่านพระมหากัจจายนะ จึงได้กลับเพศเป็นชายดังเดิม ว่ากันว่าตั้งแต่นั้นมา ท่านพระมหากัจจายนะได้อธิษฐานให้ร่างกายของท่านอ้วนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนชาวพุทธยุคหลังได้สร้างรูปพระอ้วนลงพุงเป็นอนุสรณ์ให้แก่ท่าน เรียกกันว่า "พระสังกัจจายน์"หรือ "พระสังกัจจาย"

        พระมหากัจจยานะได้ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังแคว้นอวันตี และได้นำกุลบุตรออกบวชใน พระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ท่านได้นิพพานหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่นานนัก


   
 ๗. พระมหาโมคคัลลานเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีฤทธิ์ – ประจำทิศอุดร (เหนือ)

        พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์นายบ้านในหมู่บ้านโกลิตคาม ได้ชื่อว่า “โกลิตะ” ตามชื่อของหมู่บ้าน มารดาชื่อ โมคคัลลี คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายกับอุปติสสมาณพ เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และยังได้ออกบวชพร้อมกันอีกด้วย

        พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงตามลำดับ ดังนี้:-

        ๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

        ๒. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

        ๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

        ๔. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

        ๕. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

        ๖. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

        ๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

        ๘. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วง ได้


    แล้วได้ประทานพระโอวาทอีก ๓ ข้อ คือ:-

    ๑. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั่น เป็นนี่ เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วยคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้องรับ เธอก็จะเก้อเขินคิดไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ

    ๒. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกันเพราะถ้าเถียงกันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านไม่สำรวม และจิตก็จะห่างจากสมาธิ

    ๓. โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิการคลุกคลีไปทุกอย่าง คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชน ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย

        ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่การสิ้นตัณหา เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบให้จิตติดอยู่ พระพุทธองค์ ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า “ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น ในยามเมื่อเสวยเวทนา อันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง และให้พิจารณาด้วยปัญญา อันประกอบด้วยความหน่าย ความดับ และความไม่ยึดมั่น จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว”


    พระ มหาโมคคัลลานะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และยังพุทธดำริต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยดี เพราะท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่งกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวกเบื้องซ้าย โดยทรงยกย่องให้เป็นอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรว่า:-

    “พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เปรียบเสมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้ว พระสารีบุตร ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงขึ้นไป”

        วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคธชนบทนั้น พวกเดียรถีย์ ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระมหาโมคคัลลานเถระ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ ไปเยี่ยมชมสวรรค์และนรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชน ทั้งหลายจึงพากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นอันเดียวกันว่า “ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา”

        ตกลงกันแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งในป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป


        กล่าว กันว่าในอดีตชาติ พระมหาโมคคัลลานเถระ เกิดเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ ต่อมาเมื่อเจริญเติบโตขึ้นพ่อแม่ทั้งสองประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้ง สองคนเป็นภาระที่ลูกชายคนเดียวต้องปรนนิบัติเลี้ยงดู การงานทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้าน ต่อมาพ่อแม่เห็นลูกชายอยู่ในวัยที่สมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว จึงจัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน ให้มาแต่งงาน

        เมื่อแต่งงานแล้วเวลาผ่านนาน ๆ ไป ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจ จึงหาวิธีกำจัดท่านทั้งสองด้วยการยุแหย่สามีให้เกลียดชังพ่อแม่ “เอาท่านใส่เกวียนไปฆ่าทิ้งในป่า” ภรรยา เสนอความคิดเห็น สามีแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะตนเป็นคนรักและกตัญญูต่อพ่อแม่มาตลอด แต่เมื่อภรรยารบเร้าไม่รู้จบสิ้น จึงใจอ่อนยอมทำตามที่ภรรยาแนะนำ รุ่งเช้า ได้จัดหาอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นอย่างดี แล้วให้พ่อแม่นั่งบนเกวียนออกเดินทาง พอมาถึงกลางป่าส่งเชือกบังคับโคให้พ่อถือไว้แล้วพูดหลอกว่า:-

        “คุณพ่อจับปลายเชือกนี้ไว้ โคจะลากเกวียนไปตามทางนี้ ทราบว่าในป่านี้มีพวกโจรซุ่มอยู่ ลูกจะลงเดินตรวจดูโดยรอบ” เมื่อลงเดินได้สักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเสียงร้องตะโกนประหนึ่งว่าเสียงโจรดักซุ่มอยู่ แล้วเข้ามาทุบตีทำร้ายบิดามารดา ฝ่ายบิดามารดาเชื่อว่าเป็นโจรจริง ๆ แม้จะถูกทุบตีอยู่ก็ยังร้องบอกให้ลูกรีบหนีไป พ่อแม่แก่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจงรักษาชีวิตไว้เถิด ลูกชายพอได้ยินเสียงมารดาบิดาร้องบอกให้รีบหนีไปไม่ต้องเป็นห่วงพ่อแม่ ก็กลับคิดได้ว่าตนทำกรรมหนัก พ่อแม่แม้จะถูกเราทุบตีอยู่นี้ ก็ยังร้องคร่ำครวญด้วยความรักและห่างใยให้เรารีบหนีไปโดยมิได้คำนึงถึงชีวิต ของตนเอง จึงเข้ามาบีบนวดให้แล้วบอกกับพ่อแม่ว่า“บัดนี้พวกโจรหนีไปหมดแล้ว”

        จากนั้นก็นำท่านกลับมาปรนนิบัติดูแลที่บ้านเป็นอย่างดี ลูกชาย เมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่ ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียดอีกหลายร้อยชาติ

        ในชาติสุดท้ายนี้แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั่นเอง

        พระมหาโมคคัลลานเถระ คิดว่า “เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาค ก่อนจึงปรินิพพาน” จึงประสานกระดูกด้วยกำลังฌาน เหาะมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลาปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “โมคคัลลานะ เธอจะปรินิพพาน ที่ไหน เมื่อไร ?”

        “ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า”

        “โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน ด้วยว่าการได้เห็นพระเถระเช่นเธอนี้ จะไม่มีอีกแล้ว”

        พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้นจึงทำปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงพระ ธรรมเทศนาแล้วลงมาถวายอภิวาทกราบทูลลาไปยังกาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วัน

        พระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌาปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมาโดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำสักการะอัฐิธาตุตลอด ๗ วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งพระเชตวัดมหาวิหารนั้น
 

raponsan:


    ๘. พระราหุลเถระ เอตทัคคะในทางผู้ใคร่ในการศึกษา – ประจำทิศอิสาณ

    พระราหุล เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ (พุทธโอรส) กับพระนางยโสธรา หรือพิมพา ประสูติวันเดียวกันกับที่พระบิดาเสด็จออกบวช ดังนั้น ท่านจึงเจริญพระชันษาเติบโตขึ้นมาโดยมิเคยเห็นพระพักตร์รู้จักพระบิดาเลย จวบจนครั้นเมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เสด็จมาโปรดพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ ประทับอยู่ที่นิโครธารามที่พระประยูรญาติสร้างถวาย

        ในวันรุ่งขึ้นเวลาเช้าทรงปฏิบัติ พุทธกิจ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพระบิดาในระหว่างถนน ให้พระบิดาดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล ในวันที่ ๒ เสด็จเข้าไปรับบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระบิดาและพระนางมหาปชาบดีโคตรมี เมื่อจบพระธรรมเทศนาพระบิดาดำรงอยู่ในพระสกทาคามี ส่วนพระนางมหาปชาบดีโคตรมี ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล

        ครั้นล่วงถึงวันที่ ๗ แห่งการเสด็จเยือนพระนครกบิลพัสดุ์ พระนางพิมพาราชเทวี ประดับตกแต่งองค์ราหุลกุมารราชโอรสด้วยอาภรณ์อันวิจิตรแล้วตรัสสอนให้ไปทูล ขอทรัพย์สมบัตินั้นในฐานะเป็นทายาทสืบสันติวงศ์

        เมื่อราหุลกุมาร เสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบถวายบังคมแล้ว ทอดพระเนตรดูพระสัพพัญญู บังเกิดความรักในพระบิดา ทรงปราโมทย์โสมนัสตรัสเรื่องอื่น ๆ โดยมิได้กราบทูลขอทรัพย์สมบัติพระพุทธองค์ ทรงพระพุทธองค์กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว เสด็จกลับสู่นิโครธาราม ส่วนราหุลกุมารก็เสด็จติดตามไปจนถึงอาวาส โดยไม่มีผู้ใดสามารถกราบทูลทัดทานได้ เมื่อสบโอกาสจึงกราบทูลขอทรัพย์สมบัติอันเป็นสิ่งที่รัชทายาทผู้สืบราชสันติ วงศ์สันติวงศ์จะพึงได้รับ



        พระบรมศาสดา ได้ทรงสดับดังนั้นแล้วทรงดำริว่า “ราหุลกุมารปรารถนาทรัพย์สมบัติอันเป็นของพระบิดา ถ้าตถาคตจะให้ขุมทองแก่เธอแล้ว ก็จะเป็นสิ่งชักนำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ด้วยเป็นสิ่งหาสาระแม้สักนิดหนึ่งก็หามีไม่ อย่ากระนั้นเลย เราจะมอบอริยทรัพย์อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดในพระพุทธศาสนานี้แก่เธอ ซึ่งจะจำให้เธอเป็นโลกุตรทายาท สืบสกุลในพุทธวงศ์นี้สืบไป"

        ครั้นแล้วทรงมีพระดำรัสสั่งให้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จัดการบรรพชาให้แก่ราหุลกุมารในวันนั้น ด้วยวิธีให้รับไตรสรณคมน์ และสามเณรราหุล ได้ชื่อว่าเป็นสามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา

        ฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อทราบว่าราหุลกุมารบรรพชาแล้ว ทรงโทมนัสเป็นอย่างยิ่งด้วยหวังไว้แต่เดิมว่า เมื่อพระราชโอรสสิทธัตถะออกบวชแล้วก็หวังจะได้นันทกุมารสืบราชสมบัติต่อ แต่พระบรมศาสนาก็ทรงพานันทะออกบวช ทำให้ผิดหวังเป็นคำรบสอง แต่ก็ยังมีหวังอยู่ว่าจะให้ราหุลกุมารหลานรัก เป็นทายาทสืบราชสมบัติต่อไป แต่แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำไปบวชเสียอีก จึงหมดสิ้นผู้สืบราชสมบัติต่อไป แต่แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำไปบวชเสียอีก จึงหมดสิ้นผู้จะสืบสายรัชทายาท ทรงดำริต่อไปอีกว่า หากเป็นเช่นนี้อีกไม่นาน บรรดากุมารในศากยสกุลก็จะถูกนำไปบวชจนหมดสิ้น อนึ่ง ความทุกข์โทมนัสอย่างนี้ก็จะเกิดแก่บิดามารดาในสกุลอื่น ๆ ด้วยเหตุสิ้นคนสืบสกุล จึงรีบเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่นิโครธาราม กราบทูลขอประทานพระพุทธอนุญาตว่า

        “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับต่อแต่นี้ไป ถ้ากุลบุตรผู้ใดแม้ประสงค์จะบวชในพระพุทธศาสนา หากมารดาบิดายังมิยอมพร้อมใจกันอนุญาตให้บวชแล้วขอได้โปรดงดเสีย อย่าได้ให้บรรพชาแก่กุลบุตรผู้นั้นเลย” พระบรมศาสดา ได้ประทานพรตามที่พระพุทธบิดากราบทูลขอ แล้วถวายพระพรลา พาพระนันทะ และสามเณรราหุล พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จกลับสู่มหานครราชคฤห์

        เมื่อ ราหุลกุมาร บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ตามเสด็จพระบรมศาสดา และพระสารีบุตร เถระอุปัชฌาย์ของตน ไปยังสถานที่ต่าง ๆ เมื่ออายุครบก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ วันหนึ่ง ขณะที่พระราหุลพักอยู่ที่สวนมะม่วง ในกรุงราชคฤห์ พระบรมศาสดาเสด็จไปที่นั่น ทรงแสดงพระธรรมเทศนาราหุโลวาทสูตร ให้ท่านฟังหลังจากนั้นทรงสอนในทางวิปัสสนา ทรงยกอายตนะภายใน และภายนอกขึ้นแสดงพระราหุล ส่งจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล


        พระราหุล เป็นผู้มีอัธยาศัยใคร่ต่อการศึกษาพระธรรมวินัย ทุกวันที่ท่านตื่นขึ้นมาเวลาเช้า ท่านจะกำทรายให้เต็มฝ่าพระหัตถ์แล้วตั้งความปรารถนาว่า “วันนี้ ข้าพเจ้าพึงได้รับคำสั่งสอนจากสำนักพระบรมศาสดา สำนักพระอุปัชฌาย์และสำนักพระอาจารย์ทั้งหลายให้ได้ประมาณเท่าเม็ดทรายใน กำมือของข้าพเจ้านี้” ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา ให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ใคร่ในการศึกษา

        ในขณะเมื่อท่านยังเป็นสามเณรเล็ก ๆ อยู่นั้น ท่านเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่ายจน เป็นที่เลื่องลือในหมู่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยว่า ครั้งนั้นพุทธบริษัททั้งหลาย ฟังธรรมกันยามค่ำคืน โดยมีพระเถระผลัดเปลี่ยนกันแสดงธรรม เมื่อสิ้นสุดการแสดงธรรมแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ต่างก็กลับที่พักของตน ส่วนพระภิกษุผู้บวชใหม่ และสามเณรรวมทั้งอุบาสก ที่ไม่สามารถจะกลับที่พักได้เพราะค่ำมือจึงอาศัยนอนกันในโรงธรรมนั้น เนื่องจากเป็นพระบวชใหม่ จึงไม่สำรวมในการนอน ทำให้เกิดภาพที่ไม่น่าดู รุ่งเช้า อุบาสกทั้งหลายพากันติเตียนและความทราบไปถึงพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์จึงรับสั่งประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท “ห้ามภิกษุนอนร่วมในที่มุงที่บังเดียวกันกับอนุปสัมบัน (อนุปสัมบัน คือ ผู้มิใช่พระภิกษุ) ถ้านอนร่วมต้องอาบัติปาจิตตีย์”

        ครั้นในคืนต่อมา สามเณรไม่สามารถจะนอนร่วมกับพระภิกษุได้ และเมื่อไม่มีที่จะนอน พระราหุลท่านจึงเข้าไปนอนในเว็จกุฏี (ส้วม) ของพระบรมศาสดา เมื่อเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธองค์เสด็จไปพบเธอนอนในที่นั้น และทรงทราบว่าเพราะเธอไม่มีที่นอนอันเนื่องมาจากพุทธบัญญัติทำให้พระองค์สลด พระทัยจึงดำริว่า “ต่อไปภายหน้า สามเณรน้อย ๆ จะได้รับความลำบาก เพราะขาดผู้ดูแลเอาใจใส่” จึงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทเพิ่มเติมว่า:-“ให้ภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๓ คืน ถ้าเกิน ๓ คืน พระภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์”

        ท่านพระราหุลเถระ ดำรงอายุ สังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพานที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก ท่านมีอายุไม่มากนัก เพราะท่านนิพพานก่อนพระพุทธองค์ผู้เป็นพระบิดา ก่อนพระสารีบุตรผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ก่อนพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นพระอาจารย์

        ขอ ให้ผลของกุศลที่ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงเนื้อความมาทั้งหมดนี้ ด้วยความสักการะบูชายิ่ง จงเป็นตบะ เดชะ พลวะปัจจัย ให้ชีวิตของข้าพเจ้า มีความเจริญรุ่งเรื่องในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.


 



ที่มา
การนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ ตอน ๑
http://www.thaimisc....gaew&topic=9983

การนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ ตอน ๒
http://www.thaimisc....gaew&topic=9986

การนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ ตอน ๓
http://www.thaimisc....gaew&topic=9992

การนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ ตอน ๔
http://www.thaimisc....aew&topic=10001

เครดิต   http://larndham.org/



raponsan:
คำกรวดน้ำพระเจ้าพิมพิสารนมัสการพระอรหันต์ ๘ ทิศ

กรวดน้ำอิมินาแปล

(ประธานนำ)หันทะ มะยัง อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ  เส
 
อิมินา  ปุญญะกัมเมนะ                    ด้วยบุญนี้  อุทิศให้
อุปัชฌายา  คุณุตตะรา                      อุปัชฌาย์  ผู้เลิศคุณ
อาจะริยูปะการา  จะ                          แลอาจารย์  ผู้เกื้อหนุน
มาตาปิตา จะ ญาตะกา                      ทั้งพ่อแม่ แลปวงญาติ
สุริโย จันทิมา ราชา                          สูรย์จันทร์  แลราชา
คุณะวันตา  นะราปิ  จะ                       ผู้ทรงคุณ  หรือสูงชาติ
พรัหมะมารา จะ อินทา จะ                    พรหม  มาร และอินทราช
โลกะปาลา จะ เทวะตา                      ทั้งทวยเทพ และโลกบาล
ยะโม  มิตตา  มะนุสสา  จะ                ยมราช  มนุษย์มิตร
มัชฌัตตา  เวริกาปิ  จะ                     ผู้เป็นกลาง  ผู้จ้องผลาญ
สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ               ขอให้เป็นสุขศานติ์,ทุกข์ทั่วหน้าอย่าทุกข์ทน
ปุญญานิ   ปะกะตานิ  เม                      บุญผอง ที่ข้าทำ จงช่วยอำนวย ศุภผล
สุขัง  จะ  ติวิธัง  เทนตุ                      ให้สุข  สามอย่างล้น
ขิปปัง  ปาเปถะ โว มะตัง                   ให้ลุถึง  นิพพานพลัน

                   อิมินา  ปุญญะกัมเมนะ           ด้วยบุญนี้  ที่เราทำ
อิมินา  อุททิเสนะ  จะ                       แลอุทิศ  ให้ปวงสัตว์
ขิปปาหัง  สุละเภ  เจวะ                     เราพลันได้  ซึ่งการตัด
ตัณหุปาทานะเฉทะนัง                       ตัวตัณหา  อุปาทาน
เย  สันตาเน  หินา  ธัมมา                 สิ่งชั่ว  ในดวงใจ
ยาวะ  นิพพานะโต  มะมัง                 กว่าเราจะถึงนิพพาน
นัสสันตุ  สัพพะทา  เยวะ                 มะลายสิ้น  จากสันดาน
ยัตถะ  ชาโต  ภะเว  ภะเว                ทุก ๆ  ภพ ที่เราเกิด
อุชุจิตตัง  สะติปัญญา                     มีจิตตรง และสติ ทั้งปัญญา อันประเสริฐ
สัลเลโข  วิริยัมหินา                        พร้อมทั้ง  ความเพียรเลิศ เป็นเครื่องขูดกิเลสหาย
มารา  ละภันตุ  โนกาสัง                  โอกาส อย่าพึงมี แก่หมู่มารทั้งหลาย
กาตุญจะ  วิริเยสุ  เม                       ป็นช่องประทุษร้าย ทำลายล้างความเพียรจม
พุทธาทิปะวะโร  นาโถ                       พระพุทธะผู้บวรนาถ
ธัมโม  นาโถ  วะรุตตะโม                   พระธรรมที่  พึ่งอุดม
นาโถ  ปัจเจกะพุทโธ  จะ                   พระปัจเจกะพุทธะสมทบ
สังโฆ  นาโถตตะโร  มะมัง                 พระสงฆ์ ที่พึ่งผยอง
เตโสตตะมานุภาเวนะ                        ด้วยอานุภาพนั้น
มาโรกาสัง  ละภันตุ  มา                    ขอหมู่มาร  อย่าได้ช่อง
ทะสะปุญญานุภาเวนะ                      ด้วยเดชบุญ  ทั้งสิบป้อง
มาโรกาสัง  ละภันตุ  มา                    อย่าเปิดโอกาสแก่มาร  เทอญ.



นมัสการพระอรหันต์    ๘  ทิศ

  หันทะ  มะยัง สะระภัญเญนะ  พุทธะมังคะละคาถาโย  ภะณามะ เส.

          สัมพุทโธ  ทิปะทัง  เสฏโฐ              นิสินโน  เจวะ  มัชฌิเม
          โกณฑัญโญ  ปุพพะภาเค จะ         อาคะเณยเย  จะ  กัสสะโป
          สารีปุตโต  จะ  ทักขิเณ                 หะระติเย  อุปาลี  จะ
          ปัจฉิเมปิ  จะ  อานันโท                 พายัพเพ  จะ  คะวัมปะติ
          โมคคัลลาโน  จะ  อุตตะเร             อิสาเณปิ  จะ  ราหุโล
          อิเม  โข  มังคะลา  พุทธา              สัพเพ  อิธะ  ปะติฏฐิตา
          วันทิตา  เต  จะ  อัมเหหิ                สักกาเรหิ  จะ  ปูชิตา
          เอเตสัง  อานุภาเวนะ                    สัพพะโสตถี  ภะวันตุ  โน
                             อิจเจวะมัจจันตะนะมัสสะเนยยัง
                             นะมัสสะมาโน  ระตะนัตตะยัง  ยัง
                             ปุญญาภิสันทัง  วิปุลัง  อะลัตถัง
                             ตัสสานุภาเวนะ  หะตันตะราโย  ฯ
 


คำกรวดน้ำของพระเจ้าพิมพิสาร

อิทัง  เม  ญาตีนัง โหตุ  สุขิตา  โหนตุ  ญาตะโย.
ขอบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลาย ของข้าพเจ้าเถิด
ขอญาติทั้งหลายจงเป็นสุข ๆ เถิด.

ที่มา http://www.watnongjanson.com/Kuad%20nam.htm

saithong:
กำลังจะหาอ่านเรื่องนี้พอดี เลยคะ

ธุลีธวัช (chai173):
อานิสงส์บูชาจัดสร้างพระอนุพุทธอรหันต์ ๘ ทิศ     
  อภิวาทเบื้องหน้าบูรพา   พระอัญญาโกณฑัญญะประจำทิศ
สวดบทขัดยันทุนพระปริตร   จะพิชิตนำชัยกว่าใครโข
    อัญชลีทิศาอาคเนย์   พระภันเตมหากัสสโป
ขัดกรณียะเมตตะสุตโต  ได้เดโชขามเกรงเป็นศักดิ์ศรี
   ทิศทักษิณวันทาสารีบุตร   บริสุทธิ์ปัญญาญาณวิถี
หมั่นเจริญขัดบทสัพพาสี   ปัญญามีเกินล้ำกว่าหมู่ชน
  หรดีอุบาลีนบไหว้   พระผู้ใฝ่วินัยสงฆ์มากล้น
ท่องขัดยะโตหังคาถามนต์   จะช่วยดลหลานบุตรอยู่ว่าง่าย
  บูชาอานนท์พุทธอุปัฏฐาก   ปัศจิมภาคคล่องสูตรสาธยาย
ปุเรนตัมโพจัดไว้อย่าหาย    สมใจหมายหลานเหลนได้รู้รอบ
  อรหันต์ประจำทิศพายัพ   พระควัมปติพึงเพียรคิดนอบ
บทกินนุสันตะสดับไว้ชอบ   ลาภผลกอปร์โชคเพิ่มพูลทวี
  โมคคัลลานะเบื้องซ้ายอุดร   พนมกรพระผู้ทรงฤทธี
ธชัคคะสูตรสวดไว้เป็นศรี   กอบการดีเรืองรุ่งกิจหาญ
  ประณตน้อมมัชฌิมาจารย์ราหุล  พระเลิศคุณใฝ่รู้อยู่อีสาน
ท่องบทโมรพระปริตรพิธาน   ให้ลูกหลานใฝ่เรียนเพียรขยัน
  อานิสงส์ผู้ใดได้สร้างไว้   พึงฝักใฝ่เจริญมนต์นั้นพลัน
อย่ากังขาให้นิวรณ์มาขวางกั้น   ธำรงขันธ์มีชัยสวัสดี...!
                                 ธรรมธวัช....!

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว