ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 11:33:43 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 2 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:52:08 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ฤดูฝนนี้ไทยจะเป็นอย่างไร หากเอลนีโญกำลังจากไป และลานีญากำลังจะมาแทน

Summary

  • โลกร้อนขึ้นจนหลายคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนและกำลังมาพร้อมภัยธรรมชาติที่กำลังกระทบไปทั่วโลก
  • ปัจจุบันองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) คาดการณ์ว่าเอลนีโญจะสิ้นสุดในช่วงนี้จนถึงเดือนมิถุนายน และจะเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์ลานีญาระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม
  • โอกาสที่ปรากฏการณ์ลานีญาเข้ามาแทนเอลนีโญจึงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่ารัฐไทยจะมีแผนรับมืออย่างไรกับพายุฝนและน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนที่กำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้า
   


 :96: :96: :96:

โลกร้อนขึ้นจนหลายคนสัมผัสได้อย่างชัดเจนและกำลังมาพร้อมภัยธรรมชาติที่กำลังกระทบไปทั่วโลก ซึ่งไม่กี่เดือนมานี้ หลายคนอาจเห็นข่าวคราวที่น่าผวากับภัยธรรมชาติในหลายประเทศ เช่น น้ำท่วมดูไบเพราะฝนตกหนักที่สุดในรอบ 75 ปี และเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่อินโดนีเซียและคำเตือนว่าจะเกิดสึนามิ

หลังจากเมื่อปีที่แล้วสำนักอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียคาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) จะมีความรุนแรงมากในช่วงสิงหาคม 2566-มีนาคม 2567 และจะลดลงไปสู่ระดับอ่อนถึงปานกลางในพฤษภาคม 2567 ซึ่งถ้าเอลนีโญปรับระดับเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567 ก็อาจยาวนานยืดเยื้อไปถึงปี 2568

แต่ปัจจุบันองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) กลับคาดการณ์ว่าเอลนีโญจะสิ้นสุดในช่วงนี้จนถึงเดือนมิถุนายน และจะเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม

หากใครยังจดจำกันได้ ลานีญา (La Niña) เคยเกิดขึ้นในไทยมาแล้ว และเป็นสาเหตุน้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 ช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและฝนตกหนัก




ส่วนเอลนีโญเป็นผลตรงกันข้ามคือทำให้ประเทศไทยขาดฝนและเกิดความแห้งแล้ง เนื่องจากทิศทางกระแสลมทำให้กระแสน้ำอุ่นไปทางฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ส่งผลให้ฝั่งอเมริกาใต้ฝนตกมากขึ้น ซึ่งความรุนแรงของเอลนีโญและลานีญาจะแตกต่างออกไปในแต่ละปี เช่น เมื่อปี 2020 ก็เกิดปรากฏการณ์ลานีญา แต่มีกำลังอ่อนทำให้ฝนตกหนักกว่าปี 2019 เท่านั้น

แต่เนื่องด้วยวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเมื่อปี 2023 กลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่ปี 1850 และกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การพยากรณ์เป็นไปอย่างยากลำบาก อีกข้อสำคัญคือการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพยากรณ์เอลนีโญและลานีญาทำให้การคาดเดาผลกระทบอาจเป็นไปได้ยากในสภาพอากาศที่แปรปรวนหนักขึ้นเรื่อยๆ

โอกาสที่ปรากฏการณ์ลานีญาจะเข้ามาแทนเอลนีโญจึงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่ารัฐไทยจะมีแผนรับมืออย่างไรกับพายุฝนและน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนที่กำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้า



ประเทศไทยจะกระทบหนักแค่ไหน.?

หากประเทศไทยเกิดลานีญาย่อมมีผลกระทบแน่นอน ซึ่งผลคาดการณ์เดือนเมษายน 2024 ของ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมอุณหภูมิสูงกว่าปกติ และปริมาณฝนมีค่าใกล้เคียงกับค่าปกติ แต่จะมีฝนตกชุกบริเวณภาคกลางตอนล่าง และฝั่งตะวันตกของภาคอีสาน

อีกทั้งยังคาดว่า จะเกิดปรากฏการณ์เอนโซ (ENSO : El Niño-Southern Oscillation) หรือสภาวะที่เป็นกลาง หมายความว่าเป็นช่วงที่ทั้งเอลนีโญและลานีญาไม่ได้มีพลังอยู่ ซึ่งก็คือในช่วงนี้ที่สภาวะเอลนีโญกำลังอ่อนลงและเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน หลังจากนั้นมีโอกาสถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2024




นอกจากนี้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณเขตศูนย์สูตรก็เริ่มเย็นลงในเดือนที่ผ่านมา แต่ยังคงอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เป็นผลต่อเนื่องจากเอลนีโญที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม องค์กรทั่วโลกยังคงบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังคงต้องติดตามต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด ซึ่งองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) แนะนำว่าควรสังเกตการใช้แบบจำลองในการคาดการณ์ เพราะบางแบบจำลองตามฤดูกาลมีประสิทธิภาพต่ำ

สิ่งสำคัญคือ เอลนีโญและลานีญาไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศโลกและท้องถิ่น การประเมินแนวโน้มต้องคำนึงถึงผลกระทบ และปัจจัยทางสภาพอากาศอื่นๆ ในท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย

แม้พยากรณ์จากหลายสำนักจะคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เรายังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเมื่อสภาพภูมิอากาศยากจะคาดเดาขึ้นเรื่อยๆ การเตรียมแผนรับมือจึงเป็นสิ่งที่ไม่ไกลตัวพวกเราทุกคน และความประมาทต่อสภาพภูมิอากาศในยุคโลกรวน อาจนำไปสู่หายนะที่ไร้หนทางแก้ก็เป็นได้






ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : thehill.com , climate.copernicus.eu , media.bom.gov.au
URL : https://plus.thairath.co.th/topic/naturematter/104388
Thairath Plus › Nature Matter › Environment | 25 เม.ย. 67 | creator : ณัฏฐ์นรี เฮงสาโรชัย 

 3 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:28:18 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan



ที่เที่ยวสายบุญ Unseen ภูเก็ต วัดพระทอง ไหว้พระผุด หนึ่งเดียวของไทย

ที่เที่ยว ในภูเก็ต ไม่ได้มีแค่ทะเลและบรรดาเกาะที่สวยงาม ครั้งนี้เราพาขึ้นบก ไหว้พระผุด ที่วัดพระทอง ที่เที่ยวสายบุญ Unseen หนึ่งเดียวของไทยที่หลายคนยังไม่รู้จัก




วัดพระทอง หรือ วัดพระผุด ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต มองภายนอกอาจดูเหมือนวัดพุทธทั่วไป แต่ภายในวัดมีพระพุทธรูปประดิษฐานในรูปแบบที่แตกต่างไปจากที่อื่น นั่นคือ พระผุด พระพุทธรูปองค์ใหญ่แต่โผล่พ้นผืนดินเพียงครึ่งองค์เท่านั้น ส่วนเรื่องราวความเป็นมานับว่าน่าสนใจมากทีเดียว






ประวัติวัดพระทอง

วัดพระทอง เดิมที่ตั้งวัดเป็นที่นา มีน้ำไหลผ่าน มีลำคลอง มีทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงโด กระบือ ชาวเมืองถลางในสมัยนั้นเรียกทุ่งนี้ว่า "ทุ่งนาใน" น้ำในลำคลองไหลมาจากน้ำตกโตนไทรเทือกเขาพระแทว มีหมู่บ้านบ่อกรวดและหมู่บ้านนาใน อยู่สองข้างลำคลอง ต่อมาทุ่งนาในมีคนอยู่อาศัยมากขึ้น ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนี้ว่า "บ้านนาใน" จนถึงปัจจุบัน

วัดพระทองตั้งวัดเมื่อปี พ.ศ.2328 ต่อมาในปี พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ขณะดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราช ได้พระราชทานนามวัดนี้ว่า "วัดพระทอง" วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 27 ตุลาดม 2523 เขคพระราชทานวิสุงคามสีมา อยู่ระหว่างอุโบสถกับวิหารพระทอง(พระพุด) กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร วัดมีเนื้อที่ 35 ไร่ 68 ตารางวา









ประวัติหลวงพ่อพระทอง (พระผุด)

มีคำบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ในจังหวัดภูเก็ต เล่าว่า เมื่อสมัยสองพันปีเศษ ตระกูลเจ้าเมืองจีน (เซี่ยงไฮ้) ได้หล่อองค์พระด้วยทองคำ เดิมมีชื่อว่า "กิมมิ่นจ้อ" ต่อมาเซี่ยงไฮ้ได้พ่ายแพ้สงครามแก่ชนชาติทิเบต ชาวทิเบตจึงนำองค์หลวงพ่อลงเรือมาทางทะเลผ่านมาทางมหาสมุทรอินเดีย เพื่อนำกลับประเทศทิเบต ระหว่างการเดินทางเกิดพายุพัดทำให้เรือล่มบริเวณชายฝั่งแถบจังหวัดพังงาเรือและองค์หลวงพ่อจึงจมลงทะเล

ด้วยเวลาที่ยาวนานเกิดการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ทำให้บริเวณที่เรือจมเกิดเป็นแผ่นดินขึ้น คือเกาะภูเก็ตในปัจจุบัน ต่อมาชั้นดินบริเวณองค์หลวงพ่อเกิดทรุดตัวลงเนื่องจากอยู่ใกล้ลำคลอง องค์หลวงพ่อจึงผุดขึ้นมาให้เห็นเพียงพระเกตุมาลา สูงประมาณ 1 ศอก คนจีนเรียกว่า "พู่ฮุก" ส่วนองค์พระนั้นยังดงอยู่ใต้ดินจนถึงปัจจุบัน ภายหลังจึงได้หล่อองค์พระพุทธรูปครึ่งองค์สวมองค์พระทอง (พระผุด) ไว้

@@@@@@@

ตำนานเรื่องเล่า พระผุดศักดิ์สิทธิ์

มีตำนานเล่าต่อกันมาด้วยว่า แต่เดิมบริเวณที่พบองค์หลวงพ่อพระทองที่เป็นทุ่งนานั้น ได้เกิดพายุพัด ฝนตก น้ำท่วม วันหนึ่งหลังจากฝนหยุดแล้ว ได้มีเด็กชายคนหนึ่งนำกระบือไปเลี้ยงยังทุ่งนาใน เด็กหาที่ผูกเชือกกระบือใกล้ริมลำคลองไม่ได้ แต่พบเห็นสิ่งหนึ่งลักษณะเหมือนไม้แก่นอยู่ใต้โคลนตม จึงได้นำเชือกกระบือไปผูกไว้ ต่อมาเด็กคนดังกล่าวกลับมาบ้านได้เกิดเจ็บป่วยเป็นลมลัมตายในเวลาเช้านั้นเอง และกระบือที่ผูกไว้ก็ตายไปเช่นเดียวกัน

พอตกกลางคืน พ่อของเด็กชายฝันว่าเด็กได้นำเชือกกระบือไปผูกไว้กับพระเกตุมาลาของพระพุทธรูปทองคำที่จมอยู่ในดิน เช้าวันต่อมาพ่อของเด็กและชาวบ้านจึงได้นำน้ำไปล้างขัดถู จึงพบว่าที่ผูกเชือกเป็นพระเกตุมาลาของพระพุทธรูป ชาวบ้านจึงได้แห่กันกราบไหว้บูชาและแจ้งให้เจ้าเมืองทราบ เจ้าเมืองได้สั่งการให้ขุดพระพุทธรูปขึ้นมาเพื่อบูชา แต่ขุดอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ด้วยเกิดเหตุอาเพศ เช่น ตัวต่อ ตัวแตน มาทำร้ายผู้ชุด จึงได้สั่งให้จัดทำสถานที่กราบไหว้บูชาไว้แทน โดยมุงหลังดาเพื่อบังแดดบังลมไว้ก่อนที่จะมีการตั้งวัดขึ้นในเวลาต่อมา

ปัจจุบันพระผุดเป็นองค์พระพุทธรูปปิดทองเหลืองอร่ามสวยงาม แม้ผุดขึ้นมาจากพื้นเพียงครึ่งองค์ แต่เป็นที่เคารพของชาวพุทธในพื้นที่เป็นอย่างมาก

นอกจากการกราบสักการะพระผุดแล้ว ที่วัดแห่งนี้ยังมี พิพิธภัณฑสถานวัดพระทอง ที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของชาวภูเก็ตในยุคแรก ๆ ให้ชมอีกด้วย







วัดพระทอง หรือ วัดพระผุด

    ที่ตั้ง : หมู่ที่ 7 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
    เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.30 น.
    โทร : 076 274126
    พิกัด : https://maps.app.goo.gl/PjZGKNYAA1GZbKNy5

ชมภาพทั้งหมดได้ : https://www.sanook.com/travel/1447739/gallery/





Thank to : https://www.sanook.com/travel/1447739/
Uranee Th. : ผู้เขียน | 13 พ.ค. 67 (15:28 น.)

 4 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:20:31 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



“พระพรหมเสนาบดี” ย้ำพระธรรมทูต ต้องรักษาวินัยตามแบบคณะสงฆ์ไทย

"พระพรหมเสนาบดี" เปิดประชุมสหภาพพระธรรมทูตไทยในเอเชียตะวันออก พร้อมนำคณะสงฆ์ไทยร่วมงานเฉลิมฉลองวิสาขบูชา ที่ไต้หวัน

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ มอบหมายให้ พระพรหมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา กรรมการ มส. เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา ในฐานะรองประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ รูปที่ 1 ไปเป็นประธานการประชุมสหภาพพระธรรมทูตไทยในเอเชียตะวันออก (UTEA) สมัยสามัญครั้งที่ 2/2567 ที่วัดพระธรรมกายไทเป กรุงนิวไทเป สาธาณรัฐจีน (ไต้หวัน)

โดยมีพระธรรมทูตไทยจากสมัชชาสงฆ์ไทยในญี่ปุ่น สหภาพพระธรรมทูตไทยในยุโรป สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ โอเชียเนีย อินโดนีเชีย แอฟริกา วิทยาลัยพระธรรมทูต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เข้าร่วมประชุมจำนวน 100 รูป/คน เมื่อวันที่ 10 -13 พ.ค.




ทั้งนี้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้มีสารแสดงธรรมคติ ในการประชุมสหภาพพระธรรมทูตไทยในเอเชียตะวันออก (UTEA) สมัยสามัญครั้งที่ 2/2567 ว่า งานพระธรรมทูตนั้น เป็นมรดกธรรมที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดประทานไว้ให้แก่พุทธบริษัท ซึ่งได้มอบหน้าที่อันสำคัญ คือ การบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อการเกื้อกูลแก่พหุชนเป็นอันมาก พร้อมทั้งสามารถเป็นหลักใจ และเป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชนชาวไทย และสาธุชนนานาอารยประเทศ เป็นเครื่องหล่อหลอมความสามัคคี เพิ่มพูนความดีเป็นบ่อเกิดแห่งคุณธรรม จริยธรรมของสังคม เป็นศูนย์รวมแห่งวิถีชีวิตของพุทธบริษัท การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตในต่างประเทศนั้น

นอกจากจะเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว ยังจะต้องนำเอาศิลปวัฒนธรรม ภาษา และประเพณีไปเผยแพร่อีกด้วย และส่งเสริมการสร้างสันติภาพด้วยสันติธรรม พระธรรมทูตจึงเป็นผู้สร้างสันติภาพโดยแท้ ในโอกาสนี้ ขอย้ำจริยาของพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ให้พึงตระหนักในสมณภาวะ คือ การใช้สติ และปัญญา ให้สมดุลกัน หมายถึงเราอาจจะรู้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่สู้รู้ตัวว่า เรามีภาวะ ฐานะ หน้าที่ของตน เป็นอะไร การวางตน การปฏิบัติหน้าที่ผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ มีวิสัยทัศน์ มีภาวะผู้นำ เสียสละ รับฟัง ให้โอกาสผู้น้อย ผู้ปฏิบัติ ด้วยความเคารพและซื่อสัตย์ สุจริต อุดมด้วยสามัคคีธรรม น้อมนำบนพื้นฐานแห่งสาราณียธรรม ย่อมยังให้เกิดแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ




พระพรหมเสนาบดี กล่าวสัมโมทนียกถาเปิดการประชุม ว่า พระธรรมทูตมีหน้าที่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รักษาพระธรรมวินัย อีกทั้งเป็นผู้นำวัฒนธรรมไทยสู่นานาชาติ เมื่อดำเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่างประเทศซึ่งมีความแตกต่างด้านศาสนาและวัฒนธรรม ดังนั้นจึงควรรักษาน้ำใจของคณะสงฆ์ ชุมชนชาวพุทธนานาชาติ และผู้นำศาสนาในประเทศนั้นๆ ขณะเดียวกันก็ให้รักษาพระธรรมวินัยในแบบพระสงฆ์ไทย เพื่อแสดงถึงวิถีชาวพุทธที่พระพุทธองค์ทรงให้แนวทางไว้ เพื่อเผยแผ่หลักพุทธธรรมคำสอนให้กว้างไกลในนานาชาติ ในการทำงานฝ่ายมหานิกาย เรามีบูรพาจารย์ที่เป็นต้นแบบให้เดินตาม

อาทิ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร), สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ), สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ, เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ องค์ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ต่างยึดพระวินัยเป็นหลัก ยึดความเป็นเถรวาท บูรณาการในการทำงานกับทุกภาคส่วน แต่มีเป้าหมายร่วมกัน การทำงานเผยแผ่ในต่างประเทศต้องไม่ทำให้เสียวินัยและเสียมารยาท




พระสุธีรัตนบัณฑิต คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มจร. ในฐานะผู้แทนของ มจร. กล่าวว่า มจร. โดยวิทยาลัยพระธรรมทูต มีหน้าที่ในการฝึกอบรมพระธรรมทูตปีละ 120 รูป เพื่อส่งไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย ปัจจุบันมีการอบรมพระธรรมทูตไปแล้วจำนวน 30 รุ่น



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระพรหมเสนาบดี รองประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ยังได้นำพระธรรมทูตไทย พร้อมกับคณะสงฆ์และคณะภิกษุณีชาวไต้หวันเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวิสาขบูชาที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ โดยมี ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เป็นประธาน และมีชาวไต้หวันกว่า 20,000 คนเข้าร่วมงาน เพื่อร่วมกันเฉลิมฉลองวัน The Buddha’s Day เมื่อที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่มณฑลพิธีอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน ด้วย



ทั้งนี้ สำหรับสหภาพพระธรรมทูตไทยในเอเชียตะวันออก (UTEA) ประกอบด้วยวัดสมาชิกใน 5 ประเทศ คือ จีน เกาหลี มองโกเลีย เวียดนาม และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) โดยมีวัดจำนวน 14 วัด มีพระสงฆ์จำพรรษาประมาณ 45 รูป ดำเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กับประชาชนชาวไทยและผู้ที่สนใจทั่วไป ขณะที่ในส่วนของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) มีคนไทยอาศัยอยู่จำนวนประมาณ 100,000 คน มีวัดไทยจำนวน 6 วัด





ขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3426336/
13 พฤษภาคม 2567 , 11:13 น. , การศึกษา-ศาสนา

 5 
 เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2024, 09:02:52 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 6 
 เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2024, 05:41:17 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 7 
 เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2024, 10:40:55 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 8 
 เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2024, 07:06:05 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



จิตประภัสสร | อารมฺมณํ จินฺเตตีติ จิตฺตํ

จิตคืออะไร.? จิต คือ สิ่งที่คิดถึงเรื่องราว ดังคํานิยามที่ว่า อารมฺมณํ จินฺเตตีติ จิตฺตํ จิตคือ ธรรมชาติที่คิดถึงอารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตคิด 5 ประการ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์(จินตภาพ) เมื่อจิตคิดถึงสิ่งใดก็ตาม จะประกาศเปิดเผยสิ่งนั้นให้ปรากฏในโลก

ถ้าโลกนี้ไม่มีจิตสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ก็ไม่ถูกรับรู้ สิ่งเหล่านี้มีก็เหมือนไม่มี เช่น ต้นหญ้าไม่รู้ว่าตัวเองอยู่บนแผ่นดิน แผ่นดินไม่รู้ว่ามีภูเขา ภูเขา ไม่รู้ว่ามีลําธารอยู่ข้างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความลับดํามืด เพราะ ไม่มีการรับรู้ซึ่งกันและกัน แต่เพราะโลกนี้มีจิต ความมีอยู่ของสิ่งต่างๆ จึงถูกประกาศเปิดเผยออกมา

จิตจึงเหมือนแสงไฟส่องสว่างโลกนี้ จิตคิดไปทางใด โลกก็ถูก เปิดเผยในทิศทางนั้น เช่นเดียวกับเวลาที่เราขึ้นเฮลิคอปเตอร์ในคืนเดือนมืด เฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือภูเขา เราฉายไฟสปอตไลต์ลงบน ยอดเขา แสงไฟสปอร์ตไลต์พุ่งไปที่ใด ที่นั่นก็ถูกเปิดเผยให้ปรากฏออกมา จิตเหมือนกับแสงไฟสปอตไลต์นี้ ท่านจึงเรียกว่า ประภัสสร แปลว่า ส่องแสงสว่าง

@@@@@@@

ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
   "ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ"
    แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย จิตประภัสสร แต่จิตนั้นแลถูกอุปกิเลสที่จรมา ทําให้เศร้าหมอง


จิตได้ชื่อว่าประภัสสร เพราะส่องสว่างให้สิ่งต่างๆ ในโลกปรากฏ จิตเหมือนแสงไฟฉายที่สาดส่องไปในความมืดมิดแล้วเปิดเผย สิ่งต่างๆ บางครั้งแสงไปอาจเปลี่ยนสีไปตามสีของกระจกที่ครอบดวงไฟ ถ้ากระจกสีเขียว แสงไฟจะเป็นสีเขียว และสิ่งที่ถูกเปิดเผยก็จะ เป็นสีเขียวตามสีของแสงไฟ ถ้ากระจกครอบสีแดง แสงไฟจะมีสีแดง และภาพของสิ่งที่ถูกเปิดเผยก็จะเป็นสีแดงเช่นกัน ถ้ากระจกสีขาวสดใส แสงก็จะประภัสสรผ่องใส ภาพที่แสงไฟไปกระทบก็ไม่ถูกบิดเบือน

จิตของคนเช่นเดียวกับดวงไฟฉาย กิเลสต่างๆ เหมือนกับกระจกสีที่ห่อหุ้มดวงไฟนั้น จิตที่มีความโลภห่อหุ้มก็จะมองแต่สิ่งที่ น่าปรารถนาน่าอยากได้ จิตที่มีความโกรธห่อหุ้มก็มักจับผิดคนอื่น จิตที่มีกิเลสห่อหุ้มจะไม่สามารถเปิดเผยสิ่งต่างๆ ให้ปรากฏตามความเป็นจริง เช่นเดียวกับดวงไฟที่มีกระจกครอบเป็นสีเขียว แสงไฟจึงเป็นสีเขียว และทําให้สิ่งต่างๆ ปรากฏเป็นสีเขียวไปด้วย

จิตของปุถุชนที่ถูกกิเลสห่อหุ้ม มักบิดเบือนภาพที่ปรากฏให้ต่างจากความเป็นจริง เมื่อเรามองใครสักคน เรามักตัดสินเขาไปตามอํานาจกิเลสว่าสวยหรือไม่สวย น่ารักหรือน่าชัง ถูกชะตาหรือไม่ถูกชะตา

@@@@@@@

นี่แสดงว่า เราไม่ได้มองเขาตามความเป็นจริง เราปรุงแต่งไปตามอํานาจกิเลส สิ่งที่ปรุงแต่ง จิตมีทั้งฝ่าย และฝ่ายเลว นักอภิธรรมเรียกสิ่งที่ปรุงแต่งจิตว่า เจตสิก ดังคํานิยามที่ว่า เจตสิกนิยุตต์ เจตสิก ธรรมชาติที่ประกอบเข้ากับจิต เรียกว่า เจตสิก ซึ่งมีจํานวน ๕๒ ชนิด มีทั้งฝ่ายดี ฝ่ายเลว และฝ่ายเป็นกลาง

จิตของปุถุชนมองโลกต่างจากจิตของพระอรหันต์ ปุถุชนมักมองโลกด้วยเจตสิกฝ่ายไม่ดีจึงปรุงแต่งเป็นรักชอบหรือเกลียดชังไปตามสถานการณ์ ภาพของโลกที่จิตมองจึงถูกบิดเบือน แต่พระอรหันต์ ผู้ตัดกิเลสได้ขาด ไม่มีการปรุงแต่งเป็นชอบหรือชัง ทั้งนี้เพราะท่าน รู้เห็นตามความเป็นจริง (ยถาภูติ ปชานาติ)

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ท่านพาหิยะทารุจีริยะว่า
    “พาหิยะ ในกาลใดเมื่อท่านเห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อฟังสักแต่ว่าฟัง เมื่อทราบสักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้สึกแต่ว่ารู้ ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในกาลใดท่านย่อมไม่มี ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์"

    จิตปุถุชนประกอบด้วยเจตสิกทั้งฝ่ายดี(กุศล) และฝ่ายเลว(อกุศล)
    เจตสิกฝ่ายอกุศลที่สําคัญคือ โลภะ โทสะ และโมหะ
    ตัวโมหะนี้ คือ อวิชชา เป็นหัวหน้าของกิเลสทั้งหลาย
    เจตสิกฝ่ายกุศลที่สําคัญ ก็คือ อโลภะ อโทสะ และปัญญา
    เจตสิกทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีต่อสู้ แย่งชิงพื้นที่ในจิตมนุษย์
    เราเรียกเจตสิกฝ่ายดีว่า "คุณธรรม" หมายถึง คุณสมบัติที่ดีในจิต
    และเรียกเจตสิกฝ่ายไม่ดีว่า "กิเลส"





กิเลส ๓ ชั้น

กิเลส หมายถึง สิ่งที่ทําให้จิตเศร้าหมอง ตามปกติจิตนี้ประภัสสร ผ่องใสตามธรรมชาติ แต่ต้องเศร้าหมองเพราะมีกิเลสเข้ามาแปดเปื้อน กิเลสมี ๓ ชั้น คือ อนุสัยกิเลส ปริยุฏฐานกิเลส และวีติกกมกิเลส

๑) อนุสัยกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่ตกตะกอน นอนอยู่ก้นบึ้งส่วนลึกของจิต กิเลสชั้นนี้มักไม่ปรากฏเด่นชัด ท่านจึงเปรียบอนุสัยกิเลส เหมือนตะกอนที่นอนอยู่กันตุ่มน้ำ ในที่มีตะกอน นอนอยู่กันตุ่มนั้น น้ำในตุ่มมีลักษณะใสข้างบน แต่เมื่อใครไปกวนเข้า ตะกอนข้างล่างจะฟุ้งขึ้นมา น้ำก็จะขุ่น

จิตก็เหมือนกัน เมื่อยังไม่ถูกอารมณ์ภายนอกมากระทบ จิตจะสงบอยู่ได้ อนุสัยกิเลสก็ไม่ฟุ้ง จิตก็ดูบริสุทธิ์และประภัสสรผ่องใส เหมือนความใสของน้ำในตุ่มก่อนที่ ตะกอนจะฟุ้งขึ้นมา เมื่อจิตถูกอารมณ์ยั่วยวน อนุสัยที่เป็นตะกอนจะฟุ้งขึ้น จิตก็ขุ่นมัว

ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า จิตประภัสสรผ่องใส แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมากระทบ ในที่นี้จิตประภัสสรยังมีอนุสัยกิเลสอยู่ แต่ดูบริสุทธิ์ผ่องใส เพราะกิเลสตกตะกอนนอนอยู่ในส่วนลึก เมื่อมีอะไรมากวนกิเลสส่วนนี้ให้ฟุ้งขึ้นมา จิตก็เศร้าหมอง

      อนุสัยกิเลสมี ๓ ชนิด คือ
      ก. ราคานุสัย คือ เชื้อแห่งความกําหนัดหรือความอยากได้
      ข. ปฏิฆานุสัย คือ เชื้อแห่งความชัง
      ค. อวิชชานุสัย คือ เชื้อแห่งความหลง

๒) ปริยุฏฐานกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างกลางที่กลุ้มรุมจิต ให้อยู่ไม่เป็นสุข ได้แก่ อนุสัยกิเลสที่ถูกกวนให้ฟุ้งขึ้นมาในระดับหนึ่ง นั่นคือ
     - ราคานุสัยฟุ้งออกมาเป็นราคะ
     - ปฏิฆานุสัยฟุ้งออกมาเป็นโทสะ และ
     - อวิชชานุสัยฟุ้งออกมาเป็นโมหะ

กิเลส ๓ กองนี้ คือ ราคะ โทสะ โมหะ เปรียบเหมือนโจรปล้นใจ ทําให้หาความสงบไม่ได้ เช่น เราถูกยั่วให้โกรธ  ความโกรธเป็นโทสะที่ทําให้หงุดหงิด จนนอนไม่หลับ

นี้คือ ปริยุฏฐานกิเลสที่ปล้นความสงบใจ ถ้าควบคุมไว้ได้ก็เพียงแต่อึดอัดกลัดกลุ่ม มีสภาพเช่นเดียวกับน้ำเดือด ที่มีตะกอนหมุนวนอยู่ภายในหม้อน้ำ แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ กิเลสก็กระฉอกออกมา เป็นเหตุให้ประกอบกรรมชั่วต่างๆ กลายเป็นกิเลสชั้นที่ ๓

๓) วีติกกมกิเลส คือ กิเลสอย่างหยาบที่ควบคุมไม่ได้ จึงกระฉอกออกมา ทําการล่วงละเมิดศีลธรรม ข้อนี้หมายความว่า เมื่อ ราคะมีกําลังแรงขึ้นกลายเป็นอภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้ของของผู้อื่น เมื่อโทสะมีกําลังแรงขึ้นก็กลายเป็นพยาบาท คือ คิดทําร้ายผู้อื่น ลําพังโทสะยังไม่คิดทําร้ายใคร เป็นแค่ความขัดเคืองอยู่ในใจ เมื่อใดโมหะมีกําลังแรงมากขึ้น ก็กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ เห็นผิดเป็นชอบ เช่น ความเห็นผิด ๑๐ ประการดังได้กล่าวข้างต้น

อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ ทั้ง ๓ อย่างนี้เป็น วีติกกมกิเลส คือ เป็นกิเลสที่จะทําให้ล่วงละเมิดศีลธรรมทางกายและทางวาจา พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นกิเลสที่กระฉอกออกมาแปดเปื้อนรบกวนคนอื่น










ขอบคุณที่มา :-
ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/
ข้อธรรม : หนังสือ ปลดบ่วงชีวิต พิชิตกรรม โดย พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ยกมาแสดงบางส่วน หน้าที่ ๓๗-๔๓ , จาก ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ปลดบ่วงชีวิต พิชิตกรรม” บรรยายเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ ณ อาคารเรียน มจร. วัดศรีสุดาราม ในกิจกรรมเสริมหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาชีวิตและความตาย รุ่นที่ ๓

 9 
 เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2024, 09:17:23 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 10 
 เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2024, 04:32:58 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

หน้า: [1] 2 3 ... 10