ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: [1] 2 3 ... 556
1  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 'สภากาชาดไทย' จัดสร้างพระ ‘คุรุรินโปเช’ เพื่อพุทธศาสนา ไทย ภูฏาน เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:30:59 am
.



'สภากาชาดไทย' จัดสร้างพระ ‘คุรุรินโปเช’ เพื่อพุทธศาสนา ไทย ภูฏาน

การจัดสร้าง 'มหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช' เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภ์สภากาชาดไทย เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ และสมทบทุนสภากาชาดไทย

สภากาชาดไทย ร่วมกับ บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด แถลงข่าว โครงการสืบสานมรดกทางพุทธศาสน์ ไทย ภูฏาน เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา จัดสร้าง มหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภ์สภากาชาดไทย

เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 และเพื่อสร้างความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยและประเทศภูฏาน

รวมถึงเผยแผ่พระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมภูฏาน และเพื่อนำรายได้หักค่าใช้จ่ายสมทบทุนโครงการเงินทุนฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ สภากาชาดไทย และเพื่อจัดสร้างวิหาร ณ ประเทศภูฏาน

จัดงานแถลงข่าว จัดสร้าง มหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ณ SCBX Next TECH พารากอน



Cr. Kanok Shokjaratkul

โดยมี ขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย, ม.ร.ว. รุจยาภา อาภากร Chief Operating Officer บริษัทเฟรชแอร์เฟรชติวัล จํากัด, วินิจ เลิศรัตนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเฟรชแอร์เฟรชติวัล จํากัด, อาจารย์วันชัย รวยอารี ที่ปรึกษาโครงการ, Colonel Kuenzang Wangchuk, มยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, ฉัตรชัย แผ่นผา ผู้รังสรรค์ผลงานปฏิมากรรม


Cr. Kanok Shokjaratkul

    • บังเอิญในโลกนี้ ไม่มีอยู่จริง

วินิจ เลิศรัตนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเฟรชแอร์เฟสติวัล จํากัด กล่าวว่า เป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ เป็นแรงบันดาลใจอีกครั้งหนึ่งของชีวิต

"ด้วยบุญบารมี และอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของ มหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช ทุกอย่างในโลกไม่มีความบังเอิญ ทุกอย่างถูกกำหนดมาตั้งแต่เราเริ่มต้นชีวิตแล้ว



Cr. Kanok Shokjaratkul

องค์พระ มหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช เป็นสัญลักษณ์ของความเลื่อมใส ความศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาของทั้งสองประเทศ คือไทยและภูฏาน

ที่สำคัญ จิตวิญญาณ ประเพณี วัฒนธรรม ผู้คน ภูฏานกับไทย เชื่อมติดกัน ยากที่จะแยก ทั้งสองแผ่นดินมีโอกาสจัดสร้างวิหาร ที่จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้เข้าไปนมัสการ และสมทบทุนสภากาชาดไทย



Cr. Kanok Shokjaratkul

เปิดให้จอง และจะมีพิธีพุทธาภิเษก ซึ่งผู้ที่จององค์ใหญ่สุดและองค์กลางจะมีโอกาสได้เข้าร่วมในพิธี และเข้าเฝ้า รับพระราชทานใบเซอร์ทิฟิเคท(Certificate)ด้วย

องค์คุรุรินโปเช มีจำนวนน้อยมาก ผู้ที่สนใจติดต่อได้ที่สภากาชาดไทยและเฟรชแอร์เฟสติวัล"




    • ถ้ามีเงินในกองทุนภัยพิบัติ จะช่วยเหลือคนที่ประสบภัยได้ทันที

ขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย กล่าวว่า สภากาชาด เป็นองค์กรสาธารณกุศล ดำเนินภารกิจด้านมนุษยธรรม มา131 ปีแล้ว

"ให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน ผู้ยากไร้ ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ มาร่วมงานนี้เพื่อหาทุนให้กับกองทุนภัยพิบัติของสภากาชาดไทย

เวลามีอุทกภัย วาตภัย หรือภัยพิบัติเกิดขึ้นกับคนไทยทั่วประเทศ เราสามารถใช้เงินจากกองทุนนี้เข้าไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที โดยที่ไม่ต้องไปหาทุนหรือเรี่ยไรเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น จะสามารถช่วยคนไทยได้อย่างรวดเร็ว



Cr. Kanok Shokjaratkul

มีการจัดสร้างวัตถุมงคล เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์เอกอัครราชูปถัมภก สภากาชาดไทย เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

มวลสารที่ได้มาจากวัดทั่วประเทศในภูฏาน สำนักพระราชวังภูฏานรวบรวม โอกาสที่จะออกมานอกประเทศยากมาก เป็นมวลสารศักดิ์สิทธิ์ ผ่านพิธีจากแต่ละวัด ๆ ที่มีอายุพันกว่าปี มาบรรจุในองค์พระทุกองค์



Cr. Kanok Shokjaratkul

ในการนี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินร่วมพิธีพุทธาภิเษก

พร้อมด้วย สมเด็จพระพันปี เชอริง เพม วังชุก แห่งราชวงศ์ภูฏาน Her Majesty Queen Tshering Pem Wangchuk ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2567"



Cr. Kanok Shokjaratkul

    • ศาสนาพุทธ เป็นหนึ่งเดียวกัน

วันชัย รวยอารี ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า ประเทศภูฏานเป็นประเทศที่สงบและสวยงาม

"พุทธศาสนา เปรียบประดุจสายน้ำที่มาจากต้นน้ำเดียวกัน นั่นคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้แตกแยกลำธารออกมาหลายสายธาร ไม่ว่า มหายาน วัชรยาน เซ็น เถรวาท

ทุกสายน้ำที่แตกแยกออกไป ไปตามสาวกที่มีจิตเจตนาจะถ่ายทอดออกไปตามความเชื่อ

หลักการพุทธศาสนา แยกออกมาได้สองลักษณะคือ หลักของเหตุผล และหลักของความเป็นจริง ตามพระไตรปิฎก



Cr. Kanok Shokjaratkul

แต่อีกสายธารหนึ่งจะเป็นสายธารแห่งจิตวิญญาณ ใช้พลังจิตวิญญาณของตัวเองดำเนินการให้บรรลุในหลักธรรมคำสั่งสอน และบรรลุนิพพาน นั่นคือ วัชรยาน / ตันตระ หมายถึงการร้อยเรียง การเชื่อมโยง ความผูกพัน

องค์พระ มหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช ที่จัดสร้าง มี 2 รูปแบบ ได้แก่ องค์ตั้งบูชาหน้าตัก 4 นิ้ว ความสูงรวมฐานหินอ่อน 19 นิ้ว บูชาองค์ละ 299,999 บาท (จัดสร้างจำนวน 108 องค์)

เหรียญมหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช เนื้อเงินชุบนาค ผลิตจากทองคำบริสุทธิ์ 96.5 หนัก 1 บาท บูชาองค์ละ 199,999 บาท (จัดสร้างจำนวน 593 องค์)"




ฉัตรชัย แผ่นผา ผู้รังสรรค์ผลงานประติมากรรม กล่าวว่า องค์พระ มหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช เป็นตัวแทนศรัทธาผ่านศิลปะของภูฏาน ความอ่อนช้อยสง่างามของลายกนกไทย เชื่อมโยงสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน

ภาพจำลองจากองค์จริง ที่ประดิษฐานอยู่ในโถงถ้ำ ซึ่งสมเด็จพระพันปีหลวง เชอริง เพม วังชุก ทรงสุบินนิมิตเห็นมังกร 9 ตัว บินออกมาจากภูเขา จึงได้มีการสร้างวิหารขึ้นในตำแหน่งนั้น

มังกร 9 ตัว คือสัญลักษณ์แสดงถึงอำนาจจักรพรรดิ วางองค์พระลงบนบัลลังก์ดอกบัว วางฉัพพรรณรังสีไว้ด้านหลังพระเศียร ล้อมด้วยช่อดอกไม้ลายศิลป์ของภูฏาน



Cr. Kanok Shokjaratkul

ผสมผสานกับลายกนกที่เลื้อยสอดรับ กำหนดเส้นโค้งล้อมรอบ แทนความรู้สึกถึงการรวมศูนย์และการแผ่ขยาย สร้างฐานรองรับด้วยก้อนเมฆพันมังกร

มังกรตัวสุดท้ายด้านบนใช้มือทั้งสองข้างกุมก้านดอกบัว 2 ดอก เป็นสัญลักษณ์แทนพุทธะทั้งสองดินแดน และพระนามขององค์ปัทมสัมภวะ



Cr. Kanok Shokjaratkul

วางตำแหน่งของวิหารไว้ด้านหลัง ตั้งรับด้วยก้านกนกเป็นแกนกลางขับเคลื่อนเมฆมังกร โดยมีตราสัญลักษณ์ราชวงศ์ภูฎาน ประดับไว้ส่วนบนด้านหลังวิหาร

องค์มหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช เป็นศูนย์รวมความมหัศจรรย์ ความงดงามแห่งจิตวิญญาณ และความศักดิ์สิทธิ์แห่งพร 3 ประการ อายุวัฒนะ วรรณะเรืองรุ่ง พร้อมซึ่งปัญญา"



Cr. Kanok Shokjaratkul

    • ผู้เกิดจากดอกบัว

จิระนันท์ พิตรปรีชา ผู้จัดทำเนื้อหาในโครงการฯนี้กล่าวว่า มหาสิทธาคุรุปัทมสัมภว คุรุรินโปเช พระนามท่านแปลว่า ผู้เกิดจากดอกบัว เป็นวัชราจารย์ผู้เผยแผ่พุทธศาสนาสายวัชรยาน นิกายญิงมาปะ

ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-14 คุรุรินโปเช เป็นคำเรียกขานท่านในฐานะ รัตนาจารย์ ตามคติพุทธมหายาน ถือว่า คุรุทางจิตวิญญาณคือดวงแก้วลำดับที่ 4 รองจากพระรัตนตรัย

ยกย่องท่านเป็นครูอาจารย์ผู้ประเสริฐสุด เป็นอริยบุคคลผู้ได้รับความเคารพบูชา จากพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายาน ทั้งในทิเบต เนปาล ภูฏาน และประเทศใกล้เคียง มีรูปเคารพอยู่ทั่วไปให้กราบไหว้บูชา ขอพร มากว่าหนึ่งพันปี



Cr. Kanok Shokjaratkul

คาถาบูชา มหาสิทธาปัทมสัมภวะ คุรุรินโปเช

โอม อา หุม วัชร คุรุ ปัทเม สิทธิ หุม

ความหมาย: ด้วย กาย วาจา ใจ น้อมรับ วัชร (สายฟ้า/เพชร สัญลักษณ์ของความแกร่งกล้า ฝ่าฟันบรรลุ จรัสกระจ่าง พ้นจากความมืดบอดในวัฏสงสาร ที่มาของชื่อนิกายวัชรยาน) คุรุ (ครูอาจารย์ผู้มีความสำคัญรองจากพระรัตนตรัย) ปัทมะ (ดอกบัว สัญลักษณ์แทนปัญญาบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสมลทิน และเป็นพระนามของท่านปัทมสัมภวะ) สิทธิ (สำเร็จ/บรรลุ) หุม (คำลงท้ายบทคาถา)

ปราชญ์สายวัชรยานท่านหนึ่งได้อธิบายว่า มนตรา 12 พยางค์นี้ แต่ละพยางค์คือคำศักดิ์สิทธิ์ เสมือนพรอันประเสริฐที่กลั่นกรองจากธรรมะ 12 หมวด (แบ่งย่อย 84000 พระธรรมขันธ์) ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน


Cr. Kanok Shokjaratkul

หนึ่งในศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของประเทศภูฏาน คือ วิหารถ้ำ โกเอน เชอปู เน เป็นจุดหมายของผู้แสวงบุญมานานนับร้อยปี เพื่อบูชาขอพรเรื่องมีอายุยืนยาว เป็นที่ประดิษฐานของ องค์คุรุรินโปเช ปางประทานพร” เชื่อกันว่า การมาบูชา สวดมนต์ภาวนาที่นี่ จะทำให้ได้พรอันวิเศษสุด ทั้งทางโลก และทางธรรม"

ข้อมูลเพิ่มเติม : บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด โทร. 02 117 9634

สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย โทร. 02 256 4623, 02 256 4440-3

รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายสมทบกองทุนฉุกเฉินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ สภากาชาดไทย และเพื่อบูรณะจัดสร้างวิหาร โกเอน เชอปู เน ณ ประเทศภูฏาน







Thank to : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/judprakai/1124976
By กนกพร โชคจรัสกุล | จุดประกาย | 02 พ.ค. 2024 เวลา 16:24 น.
2  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระเจ้าพิมพิสาร | ผลแห่งบุญ : วิธีอุทิศทานแด่เปรตที่เคยเป็นพระญาติ เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2024, 07:23:51 am
.



พระเจ้าพิมพิสาร | ผลแห่งบุญ : วิธีอุทิศทานแด่เปรตที่เคยเป็นพระญาติ

ปริยัติธรรม : หนังสือนิทานบำเพ็ญบุญ 100 เรื่อง



 :25: :25: :25:

พระเจ้าพิมพิสารเคยเป็นเสมียนบำเพ็ญบุญในพระพุทธเจ้าปุสสะ... ชาวบ้านที่ใกล้ชิดกับนายเสมียน ขโมยไทยธรรมกิน...เกิดในนรก

ในสมัยของพระพุทธเจ้าปุสสะ (หรือผุสสะ) ครั้งนั้นพระราชกุมาร ๓ พระองค์ ได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จประทับจำพรรษาในชนบท จากนั้น เหล่าพระราชกุมารตรัสสั่งให้ข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดช่วยกันอุปัฏฐากบำรุงพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ เช่น ให้ดำเนินการจัดการสร้างพระวิหารด้วยกำลังแรงงานของบุรุษจำนวน ๑,๐๐๐ คน

ตลอดกาล ๓ เดือนนั้น พระราชกุมารทั้งสาม ทรงนุ่งห่มผ้ากาสายะ ถวายทาน ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมโดยเคารพ, ส่วนนายภัณฑาคาริก (ผู้จัดการทรัพย์สินของเจ้าชายทั้ง ๓)และภรรยาเป็นผู้มีศรัทธา ก็ร่วมกันถวายทาน และอุปัฏฐากภิกษุสงฆ์ นายเสมียนผู้จัดเก็บรายได้ในชนบทส่งเข้าคลังหลวง ได้เชิญชวนให้ชาวชนบทประมาณ ๑๑,๐๐๐ คน ร่วมกันทำบุญฟังธรรมตลอด ๓ เดือน ซึ่งคนเหล่านั้นก็ขวนขวายบุญโดยเคารพ

ชาวชนบทคนอื่น ๆ ได้เห็นการจัดทำมหาทานใหญ่เพื่อถวายพระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ทุก ๆ วัน ก็เกิดความริษยา จึงขโมยไทยธรรมต่าง ๆ ไปกินบ้าง เมื่อถูกจับขับไล่ออกไปก็แอบกลับมาเผาโรงครัวบ้าง...

พระราชกุมาร ๓ พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วอุบัติในสวรรค์, นายภัณฑาคาริกกับภรรยา, นายเสมียนและชาวชนบทผู้ถวายทานโดยเคารพ ก็บังเกิดในสวรรค์ ส่วนชาวชนบทอื่น ๆ ที่ประทุษร้ายทานก็บังเกิดในนรก

เวลาผ่านไปนานถึง ๙๒ กัป...


@@@@@@@

พ้นจากขุมนรกแล้ว เกิดเป็นเปรตเข้าเฝ้าทูลถามพระพุทธเจ้ากัสสปะถึงกาลที่จะพ้นจากความหิวกระหาย...ตรัสบอกว่ารออีก ๙๒ กัป

ครั้นถึงพุทธสมัยของพระพุทธเจ้า "กัสสปะ" (พระพุทธเจ้าก่อนหน้าพระพุทธเจ้าโคตมะของพวกเรา) พวกเขาพ้นจากนรก เศษบาปทำให้มาเกิดเป็นเปรต

เปรตเหล่านี้ได้เห็นมนุษย์ถวายทานแล้วอุทิศว่า "ขอทานที่ถวายครั้งนี้ จงสำเร็จแก่พวกญาติที่ล่วงลับด้วยเถิด" ได้เห็นเปรตที่เคยเป็นญาติของมนุษย์เหล่านั้นอนุโมทนาแล้วได้รับทิพยสมบัติทิพยสุข เช่น มีข้าว น้ำ ผ้า...พวกเปรตกลุ่มนี้จึงอยากได้ทิพยสมบัติทิพยสุขอย่างเปรตพวกนั้นบ้างจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ ทูลถามว่า "พวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีโอกาสจะได้รับทิพยสุขทิพยสมบัติ อย่างเปรตที่มีญาติอุทิศทานให้บ้างหรือไม่?"

พระพุทธเจ้ากัสสปะ ตรัสตอบว่า "ตอนนี้พวกท่านยังไม่สามารถจะรับได้ แต่จะได้รับในอนาคต ในพุทธสมัยที่พระพุทธเจ้ามีพระนามว่า โคตมะ, กาลนั้นจะมีพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ซึ่งเคยเป็นญาติกับพวกท่าน พระองค์จะถวายทานแล้วอุทิศทานให้แก่พวกท่านพวกท่านต้องรออีก ๙๒ กัป" (=๑ พุทธันดร)

เปรตเหล่านั้นฟังแล้วดีใจอย่างยิ่ง ดุจคิดว่ากาลนั้นจะถึงในวันพรุ่งนี้...

@@@@@@@

อดีตเสมียนมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร... ทรงบรรลุธรรมเป็นพุทธมามกะ ถวายอาหารและพระอุทยาน แต่ทรงลืมอุทิศ พวกเปรตผิดหวังส่งเสียงน่ากลัวให้พระราชาได้ยิน

ครั้นถึงพุทธสมัยแห่งพระพุทธเจ้าโคตมะของพวกเรา

อดีตพระราชกุมารในสมัยนั้น มาเกิดเป็นชฎิล ๓ พี่น้อง (อุรุเวลากัสสปะ นทีกัสสปะและคยากัสสปะ) มีบริวาร ๑,๐๐๐ คน, อดีตคหบดีและภรรยามาเกิดเป็นวิสาขะ (และนางธัมมทินนา) ส่วนนายเสมียนมาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร

หลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วประมาณ ๙ เดือน พระองค์ได้เสด็จเข้าเขตกรุงราชคฤห์โปรดชฎิล ๓ พี่น้อง และบริวาร พวกเขาออกบวชแล้ว ได้เสด็จโปรดพระเจ้าพิมพิสารและหมู่ประชาชนราว ๑๑,๐๐๐ คน พระราชาบรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยโสดาบันแล้วได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ให้เสด็จไปทรงรับมหาทานที่พระราชนิเวศน์ในวันรุ่งขึ้น

หมู่เปรตเหล่านั้นรู้เห็นแล้วพากันดีใจว่า "ใกล้เวลาที่พระราชาจะทรงอุทิศทานให้พวกเราแล้ว พวกเราจะได้พ้นความทุกข์ยากกันแล้ว"

วันรุ่งขึ้น พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายมหาทานแล้ว ทรงสดับธรรมกถาแล้ว ทรงดำริถึงสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้า... แล้วทูลถวายสวนไผ่ "เวฬุวันกลันทกนิวาปะ"(สวนไผ่อันเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่พวกกระรอกกระแต) แต่พระราชาทรงลืมอุทิศทาน มิได้ทรงอุทิศทานให้แก่ใคร ๆ เลย

พวกเปรตเหล่านั้นต่างดีใจ เฝ้ารอคอยการอุทิศทานอยู่ ๑ พุทธันดร เมื่อเห็นพระราชามิได้อุทิศให้ตน ต่างคร่ำครวญว่า "พวกเราเปรตทั้งหลาย อุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตารอคอยรอรับการอุทิศจากท่าน ท่านลืม ท่านพลาดไปได้อย่างไร ความสิ้นหวัง ความผิดหวังความเหือดแห้งใจ ความเศร้าใจ บังเกิดกับพวกเราเป็นหมื่นแสนทวีคูณ ความทุกข์ระทมเกิดกระหน่ำทับถมหัวใจของพวกเรา พระราชาจะทรงรู้ไหมหนอ, หากแม้นเปรตอย่างเรามีหัวใจสักร้อยสักพันดวง.. โอหนอ...ทุกดวงได้ถึงกาลดับแดดิ้นสิ้นไปแล้วในวันนี้ พวกเราจักต้องรอคอยไปอีกนานแสนนานเท่าใดหนอ"

ครั้นตกกลางคืนยังมิทันสงัด ในราตรีนั้น เหล่าเปรตจึงพากันเข้าไปในพระราชนิเวศน์ส่งเสียงโหยหวนกรีดร้องคร่ำครวญด้วยเสียงอันน่าสะพรึงกลัวแบบต่าง ๆ พระเจ้าพิมพิสารทรงได้สดับแล้ว ทรงหวาดกลัว บรรทมหลับไม่สนิท


@@@@@@@

พระพุทธเจ้าตรัสเล่าบุพกรรมของพวกเปรตพระราชาทรงถวายมหาทานแล้วอุทิศพวกเปรตอนุโมทนาแล้วพ้นความหิวกระหาย

เช้าตรู่แล้ว พระเจ้าพิมพิสารเสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องเสียงที่น่าสะพรึงกลัวนั้นว่า จะเป็นนิมิตร้ายแก่ตัวข้าพระองค์หรือไม่? พระพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าความเป็นมาของเปรตเหล่านั้นให้ทรงสดับ, ทูลถามว่า "ถ้าหม่อมฉันจะถวายทานในเช้านี้ เพื่ออุทิศทานให้พวกเขาได้หรือไม่?" ตรัสตอบว่า "ได้สิ มหาบพิตร" พระราชาจึงกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จเสวยภัตที่พระราชนิเวศน์ เพื่อจะอุทิศทานนั้นให้แก่หมู่เปรต

พระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินประทับยังที่เขาจัดไว้ในพระราชนิเวศน์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เหล่าเปรตรู้เห็นแล้วดีใจว่า "วันนี้พระราชาจะทรงอุทิศทานให้แก่พวกเรา ๆ จะได้ทิพยสมบัติ"จึงพากันมายืนอยู่ตามที่ต่าง ๆ บริเวณพระราชนิเวศน์, พระพุทธเจ้าทรงแสดงพุทธานุภาพทำให้พระราชาทอดพระเนตรเห็นเปรตเหล่านั้นท่ามกลางเบื้องหน้าของพระองค์

เมื่อพระราชาประทับนั่งแล้ว ทรงถวายน้ำทักษิโณทกตรัสอุทิศ (เจาะจง) ว่า "ขอทานนี้จงมีแก่หมู่ญาติของเรา" (อิทํ โน ญาตีนํ โหนตุ) "ขอญาติทั้งหลายจงมีสุขเถิด"(สุขิตา โหนตุ ญาตโย) พวกเปรตได้รับการอุทิศทานแล้วอนุโมทนา ทันใดนั้น ก็ปรากฎสระโบกขรณีเต็มไปด้วยดอกบัว เปรตทั้งหลายเห็นก็ดีใจลงอาบและดื่มน้ำระงับความกระหายและขจัดความเศร้าหมองทางกายได้จากสระงามนั้น

พระราชาทรงถวายข้าวยาคู ของเคี้ยวของกิน แล้วตรัสอุทิศอีก เปรตอนุโมทนาแล้วข้าวยาคู ของเคี้ยว ของกิน อันเป็นทิพย์ ก็ปรากฎแก่พวกเปรต พวกเขาพากันบริโภคอาหารทิพย์นั้นจนมีร่างกายอิ่มเอิบ

พระราชาทรงถวายผ้าและเสนาสนะ (ตั่งและเตียงเป็นต้น) เปรตอนุโมทนาแล้วบังเกิดผ้าทิพย์ ยานทิพย์ ปราสาททิพย์ และที่นอนทิพย์ เป็นต้น... พระราชาทอดพระเนตรแล้วทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง

@@@@@@@

องค์ประกอบ ๓ ประการ ที่ทำให้เปรตได้รับความสุขและพระธรรมเทศนา "ติโรกุฑฑสูตร"

ท่านว่า ทักษิณา (การให้, การอุทิศ) จะสำเร็จได้ด้วยองค์ประกอบ ๓ คือ

    1. การอุทิศของทายก (=ผู้ให้ทาน)
    2. เปรตทั้งหลายอนุโมทนาด้วยตนเอง
    3. ผู้รับทานเป็นทักขิไณยบุคคล (เป็นเนื้อนาบุญที่ดี เช่น พระอริยเจ้าทั้งหลาย)

ครั้นพระศาสดาทรงเสวยเสร็จแล้ว ทรงอนุโมทนาด้วยพระธรรมเทศนา "ติโรกุฑฑสูตร" (พระธรรมว่าด้วยหมู่เปรตมายืนอยู่นอกเรือน) สรุปความได้ดังนี้

"หมู่เปรตมายังเรือนญาติ คิดว่าเป็นเรือนของตน ยืนอยู่นอกเรือนบ้าง บานประตูเรือนบ้าง ทาง ๔ แพร่ง และ ๓ แพร่งบ้าง, ญาติทั้งหลายถวายข้าวน้ำแล้ว ลืมอุทิศ ระลึกไม่ได้ เพราะอกุศลกรรมของสัตว์เหล่านั้นเป็นปัจจัย (การไม่ได้รับการอุทิศ เป็นเพราะอกุศลกรรมที่เปรตทำไว้)

แต่ชนเหล่าใด เป็นผู้เอ็นดูญาติผู้ล่วงลับ ให้ข้าวและน้ำแล้ว อุทิศให้หมู่ญาติว่าขอทานนี้แล จงมีแก่ญาติทั้งหลาย ขอญาติทั้งหลายจงมีสุขเถิด

หมู่เปรตที่เป็นญาติมาชุมนุมกันในบริเวณที่ให้ทานนั้น ย่อมอนุโมทนาโดยเคารพดีใจว่า พวกเราได้ทิพยสมบัติ เพราะญาติเป็นเหตุ ขอญาติเหล่านั้นของเราจงมีอายุยืน..."

ในเปตวิสัย (โลกของเปรต) ไม่มีการทำกสิกรรม หรือการค้าขายก็ไม่มี ผู้ได้อัตภาพเป็นเปรต ย่อมดำรงอัตภาพอยู่ได้ด้วยทานที่ญาติให้แล้วจากมนุษย์โลกนี้

น้ำจากที่สูงย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทาน (กุศลทาน) ที่ทายก (ผู้อุทิศ) ให้ไปจากมนุษย์โลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่หมู่เปรต ฉันนั้นเหมือนกัน

ห้วงน้ำที่เต็มแล้วในแหล่งน้ำต่าง ๆ ย่อมยังสมุทรสาครให้เต็ม ฉันใด ทานที่ทายกในมนุษย์โลกนี้ให้ไป ก็ย่อมสำเร็จผลแก่หมู่เปรต ฉันนั้นเหมือนกัน..."

(ดู ขุ.ขุ.ข้อ ๘, ขุทุกก.อ.๒๑๗-๒๙๒, ขุ.เปต.ข้อ ๙๐, เปต.อ.๓๐-๔๖)


@@@@@@@

คติธรรมสำคัญของเรื่อง : ถ้ารู้ชัดวันเวลาพ้นทุกข์ที่แน่นอน ก็ย่อมอยู่กับทุกข์ได้ดีขึ้น






ขอบคุณ : https://www.nirvanattain.com/สิ่งที่ควรรู้/กรรม/พระเจ้าพิมพิสาร-ผลแห่งบุญ-วิธีอุทิศทานแด่เปรตที่เคยเป็นพระญาติ.html
ปริยัติธรรม : หนังสือนิทานบำเพ็ญบุญ 100 เรื่อง โดย นิรนาม - กรรม | 18 เมษายน 2563
3  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เอลนีโญ-ลานีญา คืออะไร และส่งผลต่อสภาพอากาศอย่างไร.? เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2024, 07:08:21 am
.

ที่มาของภาพ, Getty Images


เอลนีโญ-ลานีญา คืออะไร และส่งผลต่อสภาพอากาศอย่างไร.?

สำนักอุตุนิยมวิทยาออสเตรเลียรายงานว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญที่เริ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 2023 ได้สิ้นสุดลงแล้ว

ทว่า ปรากฏการณ์นี้ยังส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซ้ำเติมภาวะโลกร้อนระยะยาวที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์

เอลนีโญคืออะไร.?

เอลนีโญเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์สภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติที่เรียกรวมกันว่า "ความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้เอลนีโญ" (El Niño Southern Oscillation : ENSO) โดยปรากฏการณ์นี้มีสองสถานะตรงกันข้าม ประกอบด้วย เอลนีโญและลานีญา ทั้งสองสถานะส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ

การเกิดเอลนีโญ่สามารถระบุได้จากการวัดค่าต่าง ๆ ดังนี้ :-

    - อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกในเขตร้อนสูงกว่าปกติ
    - ความดันบรรยากาศสูงกว่าระดับปกติที่เมืองดาร์วิน ประเทศออสเตรเลีย (แปซิฟิกตะวันตก)
    - ความดันบรรยากาศต่ำกว่าปกติที่ตาฮิติ หมู่เกาะเฟรนช์โปลินีเซีย ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส (แปซิฟิกตอนกลาง)



ในสภาวะ "ปกติ" น้ำที่ผิวทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกจะเย็นกว่าทางตะวันออกและอุ่นกว่าทางตะวันตก





Thank to : https://www.bbc.com/thai/articles/cp9gj9xvkrzo
Author : มาร์ก พอยน์ทิง และ เอสมี สตอลลาร์ด, บีบีซีนิวส์ แผนกข่าวภูมิอากาศและวิทยาศาสตร์ , 25 เมษายน 2024
4  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ 5 ข้อ ที่ทำให้คนเห็นผี เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2024, 07:00:57 am
.

ที่มาของภาพ, Getty Images


เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ 5 ข้อ ที่ทำให้คนเห็นผี

คนส่วนมากชอบฟังเรื่องผี และหลายคนก็บอกว่ามีประสบการณ์ได้เห็นภูตผีปีศาจในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าในเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ กลับบอกว่ายังไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผีมีจริง แต่มีคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์สยองขวัญที่มีผู้พบเห็นกันมานักต่อนักว่า แท้ที่จริงอาจเกิดขึ้นเพราะสาเหตุทางวิทยาศาสตร์ดังต่อไปนี้

1. ความผิดปกติในการนอน

ประสบการณ์เผชิญหน้ากับวิญญาณที่บอกเล่ากันมาบ่อยครั้งก็คือการถูก "ผีอำ" มองเห็นร่างคนหรือถูกเงาดำกดทับจนขยับไม่ได้ รวมทั้งหูก็ได้ยินเสียงประหลาดต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ความฝันขณะตื่น" (Waking dream ) ซึ่งเป็นภาวะเคลิ้มที่สมองตื่นอยู่แต่ร่างกายยังหลับไม่ตอบสนอง มีความเกี่ยวข้องกับอาการตัวแข็งเป็นอัมพาตขณะหลับอีกด้วย

ดร.โจ นิกเคล นักวิจัยอาวุโสของ "คณะกรรมการซีเอสไอ" (Committee for Skeptical Inquiry - CSI ) ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชนที่ส่งเสริมการตรวจสอบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ บอกว่าภาวะความฝันขณะตื่นทำให้คนมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับความกลัวในจิตใจได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตายไปแล้วหรือมนุษย์ต่างดาว ส่วนมากจะเห็นว่ามีภูตผีมายืนข้างเตียง บ้างอาจรู้สึกว่าถูกกดทับหรือถูกบีบคอจนร้องไม่ออก

"นั่นคือการที่จิตใจเล่นกลกับตัวคุณเอง โดยทำให้เห็นภาพหลอนที่เหมือนจริง ในชีวิตการทำงาน 50 ปีของผม ไม่เคยพบหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่ยืนยันว่าผีมีจริง แต่ตรงกันข้าม ผมกลับพบคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สำหรับเรื่องผีมากมาย ทั้งสาเหตุที่มาจากการได้ยินเสียงในย่านคลื่นความถี่ต่ำ (อินฟราซาวด์) ความผิดปกติทางอารมณ์หรือสมอง รวมทั้งการอดนอนก็มีส่วนสร้างภาพหลอนได้อย่างมาก" ดร.นิกเคลกล่าว

"เวลาที่คุณอดนอนและเหนื่อยล้า ทั้งยังอยู่ในสถานที่ที่บรรยากาศวังเวงน่ากลัว นั่นคือสูตรสำเร็จของการเห็นผีส่วนใหญ่เท่าที่ผมได้เคยตรวจสอบมาเลยทีเดียว"



ที่มาของภาพ, Getty Images , คำบรรยายภาพ, ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้

2. ภาวะกลัวผีและสิ่งลึกลับอย่างรุนแรง (Phasmophobia)

ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้ โดยนายแบรนดอน อัลวิส ผู้ก่อตั้งสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) บอกว่าภาวะดังกล่าวสามารถทำให้เกิดอาการแพนิก (Panic Attack) หรือการตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างรุนแรงควบคุมไม่ได้ จนมองเห็นภาพหลอนขึ้นมา

"คนที่มีภาวะนี้จะมีอาการหายใจขัด หรือหายใจหอบถี่เร็ว จังหวะการเต้นของหัวใจไม่แน่นอน เหงื่อตก คลื่นไส้อาเจียน อันเนื่องมาจากความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจ คนที่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว เมื่อไปอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว ก็มักจะมองเห็นสิ่งเคลื่อนไหวแปลก ๆ แวบไปมาที่หางตาอยู่เสมอ" นายอัลวิสกล่าว

3. การขาดออกซิเจน

การขาดออกซิเจนในสมอง (Cerebral anoxia) สามารถทำให้ประสาทสัมผัสและการรับรู้บิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริงออกไปได้ รวมทั้งยังทำให้มองเห็นภาพหลอนได้ง่ายอีกด้วย โดยนายอัลวิสบอกว่าการขาดออกซิเจนในสมองทำให้ผู้ป่วยหนักรู้สึกถึงประสบการณ์แปลก ๆ ขณะใกล้ตาย และมีความรู้สึกว่าวิญญาณล่องลอยออกจากร่างในหลายกรณีด้วย

"คนที่เข้าไปในอาคารเก่า ๆ หรือสถานที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งมีเชื้อราและสารพิษอื่น ๆ อยู่มาก อาจเกิดการขาดออกซิเจนในสมองขึ้นชั่วขณะได้ แต่ละคนอาจมีอาการมากน้อยต่างกันไป แต่ก็สามารถทำให้คนเหล่านั้นเชื่อได้ว่าตนเองมองเห็นภูตผีปีศาจเข้าจริง ๆ"



ที่มาของภาพ, Getty Images

4. ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์มีความเกี่ยวข้องกับกรณีบ้านผีสิงหลายแห่งมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 แล้ว โดยมีหลักฐานการวิจัยที่ชี้ว่า เมื่อสมองได้รับก๊าซดังกล่าวเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายเกิดอาการวิงเวียนคลื่นเหียน หายใจขัด รู้สึกเหนื่อยล้าสับสน รวมทั้งเห็นภาพหลอนหรือหูแว่วได้ยินเสียงหลอนประสาทได้

คาร์บอนมอนอกไซด์ไม่มีสีและกลิ่น ทำให้ยากที่จะตรวจพบได้ หากสูดดมในปริมาณมากอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต โดยในแต่ละปีมีชาวอเมริกันกว่า 500 คนต้องเสียชีวิตด้วยเหตุนี้

ผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ ยังอาจมีอาการป่วยต่อไปหลังจากนั้นนานหลายปีได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง ทั้งด้านความจำ ความคิด และพฤติกรรม บ่อยครั้งที่มีรายงานว่าผู้ป่วยเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแว่วต่าง ๆ ทั้งเสียงกระดิ่งและเสียงคนวิ่งไล่กัน รวมทั้งรู้สึกถึงสัมผัสประหลาดคล้ายผีมาแตะต้องตัวอีกด้วย

5. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) ยังบอกว่า การที่เกิดจุดอากาศเย็นผิดปกติ หรือมีผู้สัมผัสถึงพลังงานเคลื่อนไหวประหลาดในบางสถานที่นั้น ความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชั่วคราว ซึ่งหลายครั้งก็เป็นผลมาจากฝีมือมนุษย์นั่นเอง

"ภาพหลอนหรือความรู้สึกประหลาดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งหรืออีกยุคหนึ่ง เกิดขึ้นได้จากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าพลังสูง ที่อาจบังเอิญเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือเกิดจากการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองชั่วขณะ" นายอัลวิสกล่าว





Thank to : https://www.bbc.com/thai/international-41819139
31 ตุลาคม 2017
5  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไม การได้รับคำชม ถึงเป็นเรื่องยาก สำหรับบางคน เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2024, 06:35:09 am
.



ทำไม การได้รับคำชม ถึงเป็นเรื่องยาก สำหรับบางคน

คุณทราบหรือไม่ว่า สำหรับบางคน การได้รับคำชมนั้นอาจกลายเป็นเรื่องที่รบกวนจิตใจได้ จนถึงขั้นนำไปสู่สภาวะความกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตัวเอง และความเหนื่อยล้าทางความคิด

วลีที่ถูกพิมพ์บนแผ่นป้ายทางการศึกษาเป็นภาษาดัตช์ที่ว่า "101 manieren om een kind te prijzen" ที่แปลว่า "101 วิธีชมเชยเด็ก" ในคำชมที่แนะนำ ได้แก่ "หนูทำได้ดีมาก..." และ "เก่งมาก"

รองศาสตราจารย์ เอ็ดดี้ บรัมเมลแมน อาจารย์ประจำคณะจิตวิทยาพัฒนาการ มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม ในเนเธอร์แลนด์ บอกว่า วลีดังกล่าวดูเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ แต่เขากลับมองว่า แนวความคิดนี้ไม่ส่งผลด้านบวกต่อเด็กเลย

แนวคิดเหล่านั้นที่ปรากฎอยู่บนป้ายโปสเตอร์อาจจะดูเป็นเรื่องราวไร้พิษภัยใด ๆ และดูเป็นประโยชน์ด้วยซ้ำ แต่สำหรับบรัมเมลแมน เขาคิดว่าคำพูดนี้เป็นการชมเชยเกินจริง และงานวิจัยของเขาชี้ให้เห็นว่า การชมเชยแบบนี้ทำให้เด็ก ๆ ดำดิ่งเข้าสู่วัฏจักรที่ทำให้เด็กประเมินคุณค่าในตัวเองต่ำ (low self-esteem) แม้การชมเหล่านี้จะถูกคิดค้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ก็ตาม

นี่ ไม่ใช่เพียงแค่การชมเชยที่เกินจริงเท่านั้นที่อาจทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงชาวเยอรมันคนหนึ่งที่ปฏิเสธคำชมจากเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเธอ หรือเด็กชายญี่ปุ่นที่ตอบว่า "ไม่ ไม่" เมื่อญาติเรียกเขาว่า เป็นคนที่มีความสามารถ ซึ่งอาจจะถูกมองว่า เขาเป็นคนไม่สำนึกบุญคุณในบางสถานการณ์

จริงอยู่ที่อินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีตอบรับคำชมอย่างเหมาะสม แต่จากงานวิจัยทางจิตวิทยา ชี้ให้เห็นว่า การไม่สนใจคำชม ไม่ได้เป็นข้อเสียเสมอไป

และนี่เป็นข่าวดีสำหรับหลาย ๆ คนที่รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปากเมื่อได้รับคำชม และตำหนิตัวเองที่ดูเหมือนจะตอบกลับไปแบบไม่ดีพอ

@@@@@@@

คำชมแบบเหมารวม

อีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องฝึกเป็นผู้รับคำชมเสมอไปก็คือ บางคำชมนั้นเป็นการดูถูกโดยไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น การชมคนผิวดำชาวอเมริกันว่า "พูดจาคล่องแคล่ว" หรือการชมชาวเอเชียที่เกิดในสหรัฐ ฯ ว่า "เก่งภาษาอังกฤษ" คำชมเหล่านี้เผยให้เห็นอคติของผู้พูด นั่นคือ ความประหลาดใจที่คนกลุ่มน้อยสามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว การชมเชยโดยแฝงไปด้วยความรู้สึกว่า ตัวเองเหนือกว่า (patronizing compliment) ที่อิงกับกลุ่มชาติพันธุ์ (เช่น "คุณเป็นผู้นำที่ดีนะ สำหรับผู้หญิงคนนึง") อาจนำไปสู่ความโกรธและความต้องการเผชิญหน้าได้

เมื่อคำชมยึดตามบรรทัดฐานทางเพศ ซึ่งมักจะเป็นเช่นนั้น บ่อยครั้งที่คำชมที่ไม่เหมาะสมก็สามารถฝังรากลึกให้กับภาพลักษณ์เดิม ๆ การล่วงละเมิดทางเพศอาจถูกแฝงเร้นในคราบการเยินยอ สิ่งนี้มักถูกโยนให้กลายเป็นภาระของผู้หญิงที่ต้องหาทางรับมืออย่างสุภาพ แทนที่จะเป็นหน้าที่ของผู้ชายที่จะไม่ล่วงละเมิดและมองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ

โดยทั่วไป ผู้หญิงได้รับคำชมมากกว่าผู้ชาย เมื่อผู้ชายได้รับคำชม มักจะเน้นที่ความสามารถของพวกเขา ในขณะที่ผู้หญิงมักได้รับคำชมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ คำชมเหล่านี้มีผลกระทบที่แตกต่างกัน "คำชมด้านรูปลักษณ์นำไปสู่การโฟกัสที่รูปลักษณ์และการหมกมุ่นกับรูปร่างกาย" โรเทม คาฮาลอน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาสังคม มหาวิทยาลัยบาร์ อิลาน ในเมืองรามัต-กัน ประเทศอิสราเอล กล่าว งานวิจัยด้านประสาทวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า คำที่สื่อถึงร่างกาย รวมถึงคำชมที่เน้นรูปร่าง จะถูกประมวลผลในสมองได้เร็วและแม่นยำกว่าคำที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับร่างกาย เช่น "ความเป็นมิตร"

ผลที่อาจตามมาอย่างหนึ่งคือ การชะลอความคิดของผู้รับคำชม จริง ๆ ผศ.คาฮาลอน ร่วมเขียนบทความวิจัยนักศึกษามหาวิทยาลัยในอิสราเอล พบว่า ทั้งชายและหญิงที่ได้รับคำชมด้านรูปลักษณ์ ล้วนมีผลการทดสอบคณิตศาสตร์แย่ลงในภายหลัง ถึงแม้ว่าคำชมเหล่านี้อาจฟังดูดี แต่ ผศ.คาฮาลอน ตีความว่า คำชมเหล่านี้อาจสร้างความกังวลเกี่ยวกับตัวเองที่รบกวนสมาธิ ส่งผลต่อประสิทธิภาพทางปัญญา "การหมกมุ่นอยู่กับร่างกายเป็นสภาวะทางจิตที่ส่งผลต่อความสามารถในการคิด" ผศ.คาฮาลอน กล่าว



ที่มาของภาพ, Getty Images , คำบรรยายภาพ, ในงานศึกษาหนึ่งพบว่า การชมเชยอย่างไม่เหมาะสมเพิ่มความกังวลให้กับผู้หญิงแต่ไม่เพิ่มความกังวลสำหรับผู้ชาย

หลักฐานทางจิตวิทยาอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่า คำชมต่อรูปลักษณ์อาจส่งผลกระทบต่อผู้หญิงเป็นพิเศษ ในงานวิจัยที่ให้นักศึกษามหาวิทยาลัยชาวอิตาลีจำลองการสัมภาษณ์งาน คำชมที่ไม่เหมาะสมส่งผลต่อระดับความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในผู้หญิงเพิ่มขึ้น แต่ไม่ส่งผลต่อผู้ชาย ขณะเดียวกัน ผู้หญิงในหลายวัฒนธรรมถูกคาดหวังให้เป็นคนสุภาพเรียบร้อยควบคู่ไปกับการมีรูปลักษณ์ที่ดึงดูด สิ่งนี้สร้างความตึงเครียดเกี่ยวกับวิธีตอบสนองต่อคำชม

โดยรวมแล้ว "คำชมต่อรูปลักษณ์นั้นตอกย้ำบทบาทดั้งเดิมของผู้หญิงอย่างแยบยลในฐานะวัตถุทางเพศที่ต้องมีการดูแลภาพลักษณ์ตลอดเวลา" ผศ.คาฮาลอน กล่าว

ถึงแม้ว่าการชมรูปลักษณ์ภายนอกของผู้หญิงอาจดูเหมือนเจตนาบริสุทธิ์และยังดูเป็นเรื่องที่ดี "แต่มันก็ยังเป็นรักษาสถานภาพทางเพศเอาไว้ ว่าผู้หญิงต้องถูกประเมินโดยอิงจากรูปลักษณ์" เธอกล่าว

@@@@@@@

การตอบรับกับคำชม

ขณะที่งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อคำชมมักศึกษากลุ่มประชากรที่เรียกว่า "Weird" ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก กลุ่มชาวตะวันตกที่มีการศึกษาสูงอยู่ในสังคมอุตสาหกรรม มีความร่ำรวย และเป็นประชาธิปไตย เป็นหลัก และยังมักศึกษากลุ่มนักเรียนนักศึกษามากกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่งานวิจัยในวัฒนธรรมอื่น ๆ แสดงให้เห็นเช่นกันว่าไม่มีวิธีสากลสำหรับการรับมือกับคำชม

ประการแรก ในบางสังคม คำชมไม่ได้ถูกมองในแง่บวก ตัวอย่างเช่น คำชมอาจถูกมองว่าเป็นการข่มขู่ ในชุมชนที่มีความเชื่ออย่างรุ่นแรงทั้งในเรื่องของการอิจฉาและเวทมนตร์

แม้กระทั่งในสังคม ที่คำชมส่วนใหญ่มักถูกมองในแง่บวก นักวิจัยได้บันทึกระดับการยอมรับคำชมที่แตกต่างกัน (ซึ่งมักแสดงออกโดยการพูดแค่ว่า "ขอบคุณ") ตัวอย่างการศึกษาหนึ่งกับผู้พูดภาษาอังกฤษในไนจีเรีย พบว่า 94% ของคำชมที่เก็บรวบรวมนั้นได้รับการยอมรับ เทียบกับตัวเลข 88% ในการศึกษาของชาวแอฟริกาใต้ และ 66% ในการศึกษาของชาวอเมริกัน และเพียง 61% ในการศึกษาของชาวนิวซีแลนด์

อย่างไรก็ตาม มีวิธีตอบสนองต่อคำชมที่หลากหลายนอกเหนือจากการยอมรับหรือปฏิเสธอย่างง่าย ๆ การวิเคราะห์บทสนทนาภาษาเยอรมันพบว่า ในขณะที่ผู้เข้าร่วมการศึกษายอมรับคำชมอย่างท่วมท้น แต่พวกเขามักจะไม่ตอบว่า "ขอบคุณ" ตรงกันข้าม บางครั้งพวกเขาอาจแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำชมนั้นเอง เช่น ตอบว่า "ดีจัง" เมื่อได้รับคำชมว่า "อยู่บ้านคุณในเย็นวันนี้เป็นเรื่องที่ดีจัง" (สิ่งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมความสุภาพของชาวเยอรมัน ที่คำชมมีน้อยกว่าแต่จริงใจกว่า เมื่อเทียบกับในสหรัฐฯ)

นักวิจัยหลายคนได้บันทึกความขัดแย้งภายในจิตใจที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งได้รับคำชม พวกเขาต้องเลือกระหว่างความต้องการให้บทสนทนาราบรื่นโดยการเห็นด้วย แต่ก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการเยินยอตัวเอง ความขัดแย้งนี้อาจรุนแรงเป็นพิเศษในบางสถานการณ์ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมักจะมีแรงกดดันให้ปฏิเสธคำชม 45% ของคำชมที่ระบุไว้ในการศึกษาครั้งหนึ่ง นำไปสู่การตอบสนองเชิงลบ แต่ผู้พูดภาษาญี่ปุ่นมีกลยุทธ์หลากหลายในการตอบรับคำชมโดยไม่ยอมรับหรือปฏิเสธโดยตรง เช่น การพยักหน้าหลายครั้ง หรือพูดติดตลกแซวว่า พฤติกรรมที่ได้รับคำชมนั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องที่ดี

สำหรับคนที่เติบโตในวัฒนธรรมที่คำติชมมักเน้นไปที่วิธีปรับปรุง แทนที่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้ดี อาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้รับคำชม อย่างเช่น เด็กชาวจีน "ได้รับการสอนให้มุ่งเน้นไปที่ข้อบกพร่องของตัวเอง และไม่โอ้อวดความสำเร็จ"

ฟลอร์รี่ เฟย-หยิน อึง ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยาการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง กล่าว "จากมุมมองนี้ ไม่น่าแปลกใจที่เด็กจีนอาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้รับคำชม"



ที่มาของภาพ, Getty Images , คำบรรยายภาพ, การชื่นชมที่มากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อการเห็นคุณค่าของตัวเองของแต่ละบุคคลได้

ในขณะที่วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมจีน ส่งผลให้การยอมรับคำชมในจีน (และในประเทศอื่น ๆ รวมถึงอิหร่าน) เพิ่มมากขึ้นในประเทศจีน

ศ.อึง กล่าวว่า เด็กชาวจีนยังคงสังเกตวิธีที่ผู้ใหญ่ตอบสนองต่อคำชม และปรับใช้พฤติกรรมของเขาตามแบบอย่างนั้น ตัวอย่างเช่น เธออาจสังเกตว่า เมื่อญาติชมพวกเขาต่อหน้าพ่อแม่ พ่อแม่ของพวกเขาเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น ๆ จากคำชมดังกล่าว

แน่นอนว่า การเลี้ยงดูแบบใดแบบหนึ่งไม่ได้ดีกว่าอีกแบบหนึ่งทั้งหมด การชมเชยเด็กอย่างต่อเนื่องโดยไม่คำนึงถึงผลงานที่พวกเขาทำไปจริง ๆ อาจกลายเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์และไร้ประสิทธิภาพ แต่การไม่ชมเลยก็อาจส่งผลเสียต่อการปรับตัวทางอารมณ์ "พฤติกรรมแบบใดที่น่าจะส่งผลต่อผลลัพธ์เชิงบวกของเด็ก ขึ้นอยู่กับขอบเขตที่พฤติกรรมนั้นเป็นที่ยอมรับทางสังคมในโลกสังคมของเด็ก" ศ.อึง กล่าว

สำหรับผู้ใหญ่บางคน คำวิจารณ์อาจเป็นแรงผลักดันมากกว่าคำชม ตัวอย่างเช่น ผู้เชี่ยวชาญมักได้รับแรงกระตุ้นจากคำวิจารณ์เชิงลบมากกว่ามือใหม่

@@@@@@@

เมื่อใดที่คำชมไม่เป็นประโยชน์

แน่นอนว่า ยังมีปัจจัยด้านบุคลิกภาพที่ส่งผลต่อวิธีที่ใครสักคนตอบสนองต่อคำชม คำชมสามารถกระตุ้นความวิตกกังวลในผู้ที่มีความนับถือตนเองต่ำ เนื่องจากคำชมท้าทายมุมมองที่พวกเขามีต่อตัวเอง และทำให้พวกเขารู้สึกว่าถูกเข้าใจผิด นอกจากนี้ ความกลัวการถูกประเมินในแง่ลบยังเพิ่มขึ้นในผู้ที่มีอาการวิตกกังวลทางสังคม

แต่แม้สำหรับคนอื่น ๆ คำชมที่ไม่คาดคิดก็อาจทำให้สับสนได้ "โดยพื้นฐานแล้ว คำชมคือการประเมิน" รศ.บรัมเมลแมนกล่าว แม้จะเป็นการประเมินในแง่บวก "ผู้คนไม่ชอบถูกประเมินเสมอไป ... มันดึงคุณออกจากโฟกัสในปัจจุบัน มันทำให้คุณกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณ"

นอกเหนือจากการกระตุ้นความรู้สึกไม่พึงประสงค์อย่างกะทันหันว่าคุณกำลังถูกตัดสิน คำชมยังสามารถทำให้คุณรับรู้ถึงความแตกต่างของอำนาจได้อย่างฉับพลัน ท้ายที่สุด รศ.บรัมเมลแมนกล่าวว่า "มันเป็นเรื่องปกติที่ครูจะชมนักเรียน แต่ในทางกลับกัน ก็ใช่เป็นเรื่องที่ทั่วไปที่นักเรียนกล่าวคำชมครู ผมคิดว่า คุณก็เห็นสิ่งนี้ในที่ทำงานเช่นกัน"

งานวิจัยเกี่ยวกับเด็กของ รศ.บรัมเมลแมนยังชี้ให้เห็นว่า เด็ก ๆ อาจจะอ่อนไหวต่อวิธีการได้รับคำชมมาก ตัวอย่างเช่น คำชมที่เกินจริงจากครูอาจส่งสัญญาณว่า พวกเขาคาดหวังไม่สูงมากต่อนักเรียนบางคน เช่น เด็กที่มาจากฐานะทางเศรษฐกิจสังคมที่ไม่ดีนัก และได้รับการยกยออย่างมากเกินไปเพื่อชดเชยกับความขาดแคลนดังกล่าว

"จากนั้น นักเรียนจึงตีความคำชมที่เกินจริงว่า เป็นหลักฐานว่าพวกเขาไม่ฉลาดเท่าไหร่" รศ. บรัมเมลแมนกล่าว

ในการศึกษากับกลุ่มเด็กที่ร้องเพลงในเนเธอร์แลนด์ รศ.บรัมเมลแมนและเพื่อนร่วมงานยังพบว่า การยกยอที่ไม่สมเหตุสมผลทำให้เด็กที่มีภาวะวิตกกังวลทางสังคมเกิดความเขินอายได้

"การเขินอายเป็นสัญญาณจริง ๆ ว่า คนอื่นอาจประเมินคุณในแง่ลบ" รศ.บรัมเมลแมนกล่าวและว่า

"มันมักเกิดขึ้นเมื่อเราเป็นจุดสนใจ" ในกรณีนี้ แม้ว่าความวิตกกังวลทางสังคมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกไม่สบายใจ แต่ปัจจัยอีกประการหนึ่งคือ ระดับของคำชม การบอกให้เด็กยอมรับคำชมที่มากเกินไปโดยไม่หน้าแดงนั้นไม่เป็นประโยชน์อะไร



ที่มาของภาพ, Getty Images

เด็ก ๆ แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ถึงความแตกต่างของคำชมตั้งแต่วัยเยาว์มาก "เด็กก่อนวัยเรียน เมื่อพวกเขาเห็นว่าครูชมอย่างฟุ่มเฟือย... โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของงาน พวกเขาเริ่มไว้ใจคำชมของครูเหลือน้อยลง" รศ.บรัมเมลแมนกล่าว ซึ่งอีกนัยหนึ่ง คุณค่าของคำชมจะลดลงหากชมแบบขอไปที

อันที่จริง การให้คำชมที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าผลดี

รศ.บรัมเมลแมนสังเกตว่า "พ่อแม่มักจะให้คำชมกับเด็กที่มีความนับถือตนเองต่ำ เนื่องจากพวกเขาคิดว่าเด็กเหล่านี้ต้องการคำชมเพื่อรู้สึกดีขึ้นเกี่ยวกับตัวเอง แต่นั่นไม่เป็นความจริง" งานวิจัยของเขากับเพื่อนร่วมงานแสดงให้เห็นว่า เมื่อเด็กที่มีความนับถือตนเองต่ำได้รับคำชมที่เกินจริงมากขึ้น ความนับถือตนเองของพวกเขาจะเลวร้ายลงตามกาลเวลา คำชมที่เกินจริงสร้างความคาดหวังที่เป็นไปไม่ได้ที่ทำให้ดีพอ ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณไปยังเด็ก ๆ ว่า คุณค่าของตัวเองควรเชื่อมโยงกับคำชมจากภายนอก

รศ.บรัมเมลแมนสนับสนุนให้ทำลายวงจรที่ชั่วร้ายนี้ด้วยการใช้คำชมอย่างรอบคอบและเหมาะสมยิ่งขึ้น ในขณะที่พ่อแม่บางครั้งมักให้คำชมเพื่อแสดงความสนใจ แต่ก็มีวิธีอื่นที่จะทำได้ เช่น แทนที่จะชมภาพวาดของลูกโดยอัตโนมัติและพรั่งพรูออกมา พ่อแม่สามารถนั่งลงและพูดคุยเกี่ยวกับภาพวาด แสดงความกระตือรือร้น

"เด็ก ๆ ใฝ่ฝันถึงความอบอุ่นและความรักมากกว่าที่พวกเขาใฝ่ฝันถึงการประเมินในแง่บวกของคุณ" รศ.บรัมเมลแมนเชื่ออย่างนั้น

โดยรวมแล้ว "ผมคิดว่าพวกเราประเมินว่าผู้คนชื่นชอบการได้รับคำชมสูงเกินไป" เขากล่าว

@@@@@@@

บรรเทาความกดดันลง

ดังนั้น แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรกล่าวโทษผู้กล่าวคำชม ซึ่งโดยปกติแล้วจะชมบุคคลอื่นด้วยความตั้งใจให้รู้สึกดี คำชมเหล่านั้นก็ควรได้รับการจัดการอย่างดี

ในขณะเดียวกัน ผู้รับคำชมสามารถปล่อยวางตัวเองจากสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกอึดอัด หากพวกเขาไม่มีกำลังเพียงพอที่จะยอมรับคำชมอย่างสุภาพ สิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัยหรือปัจจัยทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก (หรือที่จำเป็น) หรือคำชมบางอย่างอาจเผยให้เห็นถึงเป้าหมายของผู้ให้คำชมมากกว่าความต้องการของผู้ถูกชม

"มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คำชมคุณรู้สึกแย่" บรัมเมลแมนสรุป "ผมเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของใคร ๆ ที่จะเรียนรู้วิธีรับคำชม แต่สิ่งที่อาจเป็นประโยชน์คือ เพียงแค่ฝึกฝนการตอบสนองขั้นมาตรฐานที่คุณจะตอบกลับ และไม่ต้องกังวลมากนัก หากมันทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ" เขากล่าว






Thank to : https://www.bbc.com/thai/articles/c9707g250g0o
ที่มาของภาพ, Getty Images | คริสติน โร, ผู้สื่อข่าวสารคดีพิเศษ , 9 เมษายน 2024
6  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “สมเด็จธงชัย” ชื่นชม “สามเณรทรงพระปาติโมกข์” ผู้ยังหมู่คณะให้งดงาม เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2024, 06:25:53 am
.



“สมเด็จธงชัย” ชื่นชม “สามเณรทรงพระปาติโมกข์” ผู้ยังหมู่คณะให้งดงาม

สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ “สมเด็จธงชัย” กล่าวสัมโมทนียกถาในพิธีปิดโครงการสามเณรทรงพระปาติโมกข์ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าไตร และเครื่องไทยธรรม ภัตตาหารเพลพระราชทานถวายพระสงฆ์ และเครื่องเขียนพระราชทานแด่สามเณรในโครงการสามเณรทรงพระปาติโมกข์ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีปิดโครงการฯ โดยมี พลอากาศตรี สุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง เป็นผู้เชิญมาถวาย สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ “สมเด็จธงชัย” กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ที่อาคารโพธิญาณมหาวิชชาลัย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม

สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี กล่าวสัมโมทนียกถา ว่า โครงการสามเณรทรงพระปาติโมกข์เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการฯ ได้แสดงความงาม 3 ประการให้ปรากฏในสังฆมณฑลนี้ คือ




1.ความงามในเบื้องต้น เพราะการธำรงพระธรรมวินัยให้มั่นคงเป็นหลักฐานในประเทศไทยจะต้องปฏิบัติด้วยบุพเจตนาที่ตั้งไว้ดี มุ่งความดำรงถาวรแห่งพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ โดยไม่ทิ้งหลักการที่ว่า พระธรรมวินัยเป็นพระศาสดา เป็นพระบรมครูผู้แทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตราบใดที่ยังมีพระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่อย่างมั่นคง พระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ตราบนั้น วัดตะโก ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยมีประธานดำเนินงาน อาจารย์ผู้ทรงปาติโมกข์ อาจารย์พี่เลี้ยง รวมถึงภาคราชการผู้สนับสนุน จึงมีสามัคคีธรรม หวังการธำรงอยู่แห่งพระศาสนา ปรารภมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา มาเป็นปฐมเหตุดำริโครงการนี้ นับเป็นกุศลเจตนาที่งดงามในเบื้องต้น

2. ความงามในท่ามกลาง ได้แก่เจตนาและการปฏิบัติหน้าที่ของคณะผู้ทำงานทุกฝ่ายโดยเฉพาะผู้อยู่ประจำยังสถานที่อบรมนี้ตลอดเดือน เม.ย. ที่ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ อดทน มุ่งมั่น ตั้งใจ ใช้สติปัญญาแก้ปัญหาและอุปสรรคข้อขัดข้อง สามารถประคองความเพียรของสามเณรในการท่องเพื่อทรงจำ การทำกิจกรรม กิจวัตรที่กำหนดเป็นหลักสูตรอบรม จนเป็นผู้มีวินัยในตน สามารถท่องปาติโมกข์จบได้รับอนุมัติให้ผ่าน จำนวนตามเป้าหมายที่คาดไว้ การรักษาน้ำใจของหมู่คณะที่ร่วมกันทำงานประสานความร่วมมือโดยถือความสำเร็จของงานเป็นสำคัญ ทั้งการอุปถัมภ์ของท่านพุทธศาสนิกชน ผู้บำรุงด้วยปัจจัย 4 ทำให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่น น่าชื่นชมยิ่ง

3. ความงามในที่สุด ได้แก่ความสำเร็จระยะแรกของโครงการที่สามารถนำสามเณรจากทั่วประเทศรวม 17 จังหวัด มาฝึกหัดอบรมตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมอันเป็นฐานการพัฒนาชีวิตมนุษย์นำไปสู่ความบริสุทธิ์ของจิตต่อไป นับว่าได้ทำให้สามเณรเป็นเยาวชนที่ดีของชาติ เป็นศาสนทายาทที่ดีของพระศาสนา เป็นผู้รักษาสืบทอดพระธรรมวินัย ผ่านวิธีการทรงจำพระปาติโมกข์ ที่มีผู้สอบได้จำนวนมาก เป็นความยากที่สามเณรสามารถทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ จึงจัดเป็น “สังฆโสภณ” ผู้ยังหมู่คณะให้งดงาม เป็นผู้แกล้วกล้าในท่ามกลางสงฆ์ เป็นผู้องอาจ จักประกาศพระวินัยให้ปรากฏสืบไป





ขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3390586/
1 พฤษภาคม 2567 ,8:30 น. | การศึกษา-ศาสนา
7  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดแนวทางจัดการศึกษาระดับประถมฯให้ “สามเณร” เรียนร่วมเด็กทั่วไปได้ เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2024, 06:22:06 am
.



เปิดแนวทางจัดการศึกษาระดับประถมฯให้ “สามเณร” เรียนร่วมเด็กทั่วไปได้

เปิดแนวทางจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับประถมศึกษาของสามเณร สามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาร่วมกับคฤหัสถ์ได้ โดยพิจารณาจัดการเรียนการสอนตามความเหมาะสม

ดร.อรรถพล สังขวาสี เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ผู้ที่บรรพชาเป็นสามเณรมีช่วงอายุระหว่าง 7-20 ปี ต้องได้รับการศึกษาตามกฎหมายการศึกษาภาคบังคับ แต่เนื่องจากการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาในปัจจุบัน ยังเป็นการจัดการศึกษาเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถรับสามเณรเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาได้ ดังนั้นสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้ร่วมกับกรมส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรมวางแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับประถมศึกษาของสามเณร

โดยสามเณรสามารถเข้าเรียนในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาภาคบังคับของทางราชการร่วมกับคฤหัสถ์ได้ โดยให้สถานศึกษาพิจารณาจัดการเรียนการสอนตามความเหมาะสม และเอื้อเฟื้อต่อสถานภาพของสามเณร พร้อมกันนี้กรมส่งเสริมการเรียนรู้สามารถดำเนินการจัดการศึกษาให้กับสามเณรตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2560 ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของคณะสงฆ์ในแต่ละพื้นที่ และเป็นหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเรียนรู้จะได้พิจารณาเป็นรายกรณีไป

นายอรรถพล กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2567 ได้มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า คำสั่ง มส. เรื่อง กรณีพระภิกษุสามเณรเรียนวิชาหรือสอบแข่งขัน หรือสอบคัดเลือกอย่างคฤหัสถ์ พ.ศ. 2564 มีเจตนารมณ์ให้เป็นข้อห้ามพระภิกษุ สามเณร เข้าเรียนวิชาหรือสอบแข่งขัน หรือสอบคัดเลือกอย่างคฤหัสถ์ในระดับอุดมศึกษาเท่านั้น จึงมิได้กระทบต่อการเข้ารับการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับแต่ประการใด





ขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3392485/
1 พฤษภาคม 2567 , 15:36 น. | การศึกษา-ศาสนา
8  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอบคุณที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกวัน | ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2024, 07:58:29 am
.



ขอบคุณที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกวัน | ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

1. Joy Ryan อายุ 85 ปี อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ในรัฐ Ohio คุณยายมีลูกทั้งหมด 3 คน แต่ก็ต้องผ่านการสูญเสียลูก 2 คนตั้งแต่พวกเขาอายุเพียง 40 กว่าปี เมื่อ 20 ปีที่แล้ว สามีของคุณยายเสียชีวิต นับแต่นั้น คุณยายจึงใช้ชีวิตอยู่อย่างเพียงลำพัง

2. คุณยาย Joy มีหลานชายชื่อ Brad Ryan อายุ 23 ปี ตอนที่ Brad เรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนของเขาฆ่าตัวตาย และนั่นก็เป็นแผลในใจของเขา Brad เกิดคำถามว่า ก่อนตัดสินใจแบบนั้น เพื่อนคงจะรู้สึกโดดเดี่ยวมาก โดดเดี่ยวจนรู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ คงเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมาก เขารู้สึกเสียดายที่เพื่อนคนนั้นจะไม่ได้เห็นหรือไม่ได้ทำอะไรอีกหลายอย่าง การเสียชีวิตของเพื่อนทำให้เขากลับมาหาคุณยาย Joy ที่อยู่เพียงลำพัง และทำให้เขารู้ความจริงบางอย่างที่น่าประหลาดใจ

3. Brad พบว่า ตั้งแต่เกิดมา คุณยายของเขาไม่เคยเห็นภูเขาหรือทะเลมาก่อน คงจะดีถ้าเขาทำอะไรบางอย่างเพื่อคุณยายได้ เขาอยากให้คุณยายได้เห็นภูเขา เขาจึงชวนคุณยายไป Road trip ดูภูเขาแรกในชีวิตที่ Great Smoky Mountains National Park ที่อยู่ระหว่าง Tennesse และ North Carolina อยากทำอะไร รีบทำเลย อย่ารอ—Brad ทำแบบนั้น “จะมารับยายกี่โมงล่ะ” คุณยาย Joy ตอบกลับอย่างรวดเร็ว แล้ว Road trip 3 วันเพื่อเดินทางไปดูภูเขาแรกในชีวิตของคุณยาย Joy ก็เกิดขึ้น

4. คุณยาย Joy มีความสุขมากที่ได้เห็นภูเขาครั้งแรก Brad เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ร่วมโมเมนต์นั้น “คุณยายของผมไม่ใช่แค่ไป ‘ดู’ ภูเขา แต่ ‘ปีน’ ภูเขากับผมด้วย” Brad เล่า แม้กระทั่งว่าเจอฝนเทลงมา แต่เขาก็ยังเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคุณยาย

5. จากเดิมที่เขาเคยเจ็บปวดจากการสูญเสียเพื่อน กลายเป็นว่า Road trip กับคุณยายนั้นกลับมาเยียวยาตัวเขาเองด้วย เพราะคุณยายได้สอนให้เขารู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ฝนอาจจะเทลงมาเหมือนฟ้าไม่เป็นใจ เส้นทางอาจจะขรุขระยากลำบากในการก้าวเดินไป แต่คุณยายก็ยังมีรอยยิ้มเสมอ และตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่ได้พบตรงหน้า แล้ว Brad ก็เกิดไอเดียว่า Road trip แบบนี้ไม่ควรจะจบลงเพียงเท่านั้น เขาตั้งเป้าหมายว่า เขาจะพาคุณยายไปดูให้ครบ National Park ทั้ง 63 แห่งทั่วประเทศให้ได้ ยาย Joy ก็บอกว่า งั้นจัดมา.!






6. Brad นำเป้าหมายการเดินทางเพื่อพาคุณยายเดินทางให้ครบ National Park ไประดมทุนใน GoFundMe และได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมายที่อยากให้คุณยาย Joy ได้เห็นโลกกว้างกับหลาน Brad ใช้ IG : Grandmajoysroadtrip ในการเล่าเรื่องราวการเดินทางของเขากับคุณยาย การเดินทางของ 2 ยาย-หลานทำให้คนได้รู้จัก National Park ทั่วประเทศมากขึ้น และสร้างแรงบันดาลใจให้คนรู้สึกกลับไปดูแลครอบครัวให้ดี รวมทั้งพวกเขาเองก็รู้สึกผูกพันเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกันกับ Brad และคุณยาย Joy

7. Road trip ทำให้ Brad นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่เขาได้ใกล้ชิดกับคุณยาย Joy มียายเป็นเพื่อนคอยอยู่กับเขา แต่เมื่อ Brad เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งคู่ก็ห่างกัน บวกกับเมื่อพ่อแม่ของ Brad หย่ากัน ก็ทำให้ Brad กับยายมีช่วงเวลาที่แทบไม่ได้เจอหน้ากันเป็น 10 ปี , Road trip จึงเหมือนการได้กลับมาเจอ “เพื่อนเก่า” และยิ่งเดินทางด้วยกัน ยิ่งได้ใช้เวลาร่วมกัน เขาก็พบว่า คุณยายคือเพื่อนสนิทที่สุดของเขา เช่นเดียวกับที่คุณยาย Joy เองก็รู้สึกว่าหลานชายนี่แหละคือเพื่อนสนิทที่สุด

8. Brad เองก็รู้สึกทึ่งที่คุณยายของเขามีความสมบุกสมบัน สามารถตะลุยไปกับเขาได้ทุกที่ จะปีนเขา จะนอนในเต็นท์ ก็ทำได้หมด ขณะเดียวกัน เขาก็เรียนรู้ที่จะปรับแผนการเดินทางเพื่อให้เหมาะกับคุณยาย เพราะเป้าหมายไม่ใช่แค่ “ไปให้ถึง” แต่คือ “ไปด้วยกันอย่างมีความสุข” คุณยาย Joy เองก็สนุกกับการได้ทำอะไรใหม่ๆ ได้เห็นโลกที่กว้างกว่าเดิม และพยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อการเดินทางครั้งต่อไป แล้วเดินทางแบบนี้ คุณยาย Joy ไม่กลัวหรือ? “ยายไม่เคยคิดว่าตัวเองอายุเท่าไร ยายแค่ทำมันและมีความสุข” คุณยาย Joy บอกไว้ และที่ไหนก็ตามที่มี Brad อยู่ด้วยกัน ที่นั่นคือที่ที่ปลอดภัย

9. ทั้งคู่เดินทางด้วยกันมา 7 ปีแล้ว ผ่านระยะทาง 50,000 กว่าไมล์ไปใน 45 รัฐทั่วสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน คุณยาย Joy อายุ 92 ปีแล้ว ส่วน Brad อายุ 30 ปี เหลือเพียง National Park เดียวที่รอให้พวกเขาไปเยือนในปี 2023 พวกเขาก็จะเดินทางครบเป้าหมาย 63 National Park แล้ว เป็นทริปสุดท้ายที่ทั้งน่าตื่นเต้นและก็น่าใจหาย แต่ทั้งคู่ก็ตั้งใจว่า แม้จะครบเป้าหมายที่เคยตั้งไว้แล้ว แต่ก็จะไม่หยุดเดินทาง ไม่หยุดใช้เวลาด้วยกัน สิ่งสำคัญคือการได้อยู่ด้วยกัน และทำให้คนที่เราอยู่ด้วยได้รู้ว่าเขามีความหมายสำหรับเรา

10. เรื่องสุดท้ายที่ผมจะเล่าคือ มีสิ่งหนึ่งที่ Brad เคยเล่าถึงคุณยายและผมชอบมาก คือ ทุกวันเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา คุณยาย Joy จะบอกกับตัวเองว่า “ขอบคุณที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกวัน” ถ้าเราทำให้ใครรู้สึกได้ว่า “ขอบคุณที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกวัน” ผมคิดว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เราบอกกับตัวเองได้เหมือนกันว่า “ขอบคุณที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกวัน” •










ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 พฤศจิกายน 2565
คอลัมน์ : The Gratitude Diary ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตนี้มีความหมาย
ผู้เขียน : ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2566
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_621262
ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ | https://www.facebook.com/toffybradshawwriter
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สำนวน “ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ” หมายถึงอะไร “เจ็ดย่านน้ำ” มีอะไรบ้าง.? เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2024, 06:10:59 am

เขาพระสุเมรุ ล้อมรอบด้วย เขาสัตตบริภัณฑ์ และสีทันดร (ภาพจาก สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงศรีอยุธยา-ฉบับกรุงธนบุรี เล่ม 1)


สำนวน “ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ” หมายถึงอะไร “เจ็ดย่านน้ำ” มีอะไรบ้าง.?

สำนวน “ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่าเป็นภาษาปาก, เป็นคำวิเศษณ์ หมายถึง “ทั่วทุกแห่งหน” มักใช้ในรูปประโยคเช่น ฉันไปเที่ยวมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้ว โดยนอกจากร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ก็ยังมี ร้อยเอ็ดเจ็ดคาบสมุทร, ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนคร, ร้อยเอ็ดเจ็ดหัวเมือง ซึ่งใช้ในความหมายเช่นเดียวกันทั้งหมด

“ร้อยเอ็ด” ไม่ใช่จำนวน หรือเลข 101 แต่มีความหมายโดยเปรียบเทียบว่ามีจำนวนมากมาย เพราะมากกว่าร้อยไปหนึ่ง หรือ 100+1

ส่วนคำว่า “เจ็ดย่านน้ำ” อาจเชื่อมโยงกับทะเลทั้ง 7 แห่ง ตามคติความเชื่อโบราณ

ใน “ไตรภูมิ” กล่าวถึง “เขาพระสุเมรุ” ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล มีทิวเขาล้อมรอบสลับกันเป็นชั้น ๆ ได้ 7 ชั้น ทิวเขาทั้ง 7 มีชื่อเรียกต่างกัน โดยลำดับคือ ยุคนธร อิสินธร กรวิก สุทัสนะ เนมินธร วินตกะ และอัสกัณ รวมกันเรียกว่า เขาสัตตบริภัณฑ์ (สัตตะ หมายถึง เจ็ด) โดยระหว่างทิวเขาแต่ละแห่งก็จะคั่นด้วยทะเล 7 แห่ง และมีชื่อเดียวกันทั้งหมดว่า “สีทันดร”

เนื่องจากสีทันดรเป็นทะเลที่มีความกว้างใหญ่ไพศาล จึงอาจเป็น “เจ็ดย่านน้ำ” ที่ถูกนำมาเชื่อมกับ “ร้อยเอ็ด” กลายเป็น “ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ”

สีทันดรไม่เพียงมีขนาดกว้างใหญ่ แต่ยังลึกสุดขั้ว ไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้แม้กระทั่งขนนก (แววหางนกยูง) การจะข้ามทะเลแห่งนี้ต้องเหาะเพียงอย่างเดียว ขนาดพญาครุฑยังต้องใช้พละกำลังมากกว่าจะข้ามพ้น ดังที่บทละครเรื่องกากี ได้พรรณนาถึงสีทันดรว่า

……..   สัตตภัณฑ์คั่นสมุทรใสสี
แม้นจะขว้างแววหางมยุรี   ก็จมลงถึงที่แผ่นดินดาล
ด้วยนํ้านั้นสุขุมละเอียดอ่อน   จึ่งชื่อสีทันดรอันไพศาล
ประกอบหมู่มัจฉากุมภาพาล   คชสารเงือกนํ้าแลนาคินทร์
ผู้ใดข้ามนทีสีทันดร   ก็ม้วยมรณ์เป็นเหยื่อแก่สัตว์สิ้น
แสนมหาพระยาครุฑยังเต็มบิน   จึ่งล่วงสินธุถึงพิมานทอง

@@@@@@@

อย่างไรก็ตาม “เจ็ดย่านน้ำ” อาจมีความเชื่อมโยงกับทะเล 7 แห่ง ใน “คัมภีร์อินเดีย” [สุจิตต์ วงษ์เทศ อ้างจากหนังสือ ภูมิศาสตร์สุนทรภู่ ของ กาญจนาคพันธุ์ พิมพ์ครั้งที่สี่ พ.ศ. 2515 หน้า 37-40] ดังนี้

   1. ทะเลน้ำเค็ม เรียกว่า ลาวัณย์ เป็นทะเลล้อมชมพูทวีป (อินเดีย)
   2. ทะเลน้ำอ้อย เรียกว่าอิกษุรโสทะ เป็นทะเลล้อมปลักษะทวีป (หมายถึงพม่า)
   3. ทะเลน้ำผึ้ง เรียกว่าสุรา (บางแห่งเป็นเมรัย) เป็นทะเลล้อมศาลมาลีทวีป (หมายถึงมลายู)
   4. ทะเลเปรียง เรียกว่าสระปี เป็นทะเลล้อมกุศะทวีป (หมายถึงหมู่เกาะซุนดา)
   5. ทะเลน้ำนมเปรี้ยว เรียกว่าทธิมัณฑะ เป็นทะเลล้อมเกราญจะหรือโกญจาทวีป (หมายถึงจีนใต้)
   6. ทะเลน้ำนม เรียกว่าทุคธะ หรือกษิร (เกษียรสมุทร) เป็นทะเลล้อมศักกะทวีป (หมายถึงสยามกัมโพช)
   7. ทะเลน้ำธรรมดา เรียกว่าชล หรือโตยัมพุธิ เป็นทะเลล้อมบุษกรทวีป (หมายถึงจีนเหนือ)

ไม่ว่า “เจ็ดย่านน้ำ” จะหมายถึงมหาสมุทรหรือทะเล 7 แห่งที่ใด เรื่องนี้อาจเป็นเพียง “การลากเข้าความ” เพื่อเชื่อมโยง “เจ็ด” เข้ากับเรื่องหรือคติความเชื่อนั้น ๆ หรือแท้จริงแล้ว คำว่า “เจ็ดย่านน้ำ” ที่ตามมาหลัง “ร้อยเอ็ด” อาจไม่ได้หมายถึงทะเลแห่งใด แต่อาจพูดขึ้นเพื่อให้สัมผัสกับคำว่า “เอ็ด” ตามลักษณะคำคล้องจองของไทย เพียงเท่านั้น…


อ่านเพิ่มเติม :-

    • จับได้ “คาหนังคาเขา” สำนวนนี้มีที่มาอย่างไร?
    • สำนวน “สุ่มสี่สุ่มห้า” กับการใช้ “สุ่มปลา” ที่ให้บทเรียนชีวิตติดปากจนวันนี้




อ้างอิง :-
- เสฐียรโกเศศ. “เล่าเรื่องในไตรภูมิ”. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นายนุ่ม ภูมมะภูติ นางสาวดารณี ภูมมะภูติ ณ เมรุวัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี 7 มิถุนายน 2512
- สุจิตต์ วงษ์เทศ. “เมืองร้อยเอ็ด ไม่ใช่ ‘เมืองสิบเอ็ด’”. เข้าถึงเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566. จาก, https://www.matichonweekly.com/column/article_306966
- สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. “ร้อยเอ็ด”. เข้าถึงเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566. จาก, http://bit.ly/3kSJDsH
- ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ. “กากีกลอนสุภาพ,” ใน วรรณคดี เจ้าพระยาพระคลัง (หน). เข้าถึงเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566. จาก, https://bit.ly/3T12770

ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 8 มีนาคม 2566
URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_103416
10  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไมต้อง “โจรห้าร้อย” คำนี้เขียนเป็นตัวหนังสือไม่ใช่ตัวเลข เพราะเป็นสำนวน เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2024, 05:53:55 am


ภาพประกอบเนื้อหา ภาพชาวบ้านสามัญชนขณะเดินทางค้าขายหรือค้าเร่ มีโจรผู้ร้ายฉุดคร่าชิงทรัพย์และข่มขืนด้วย, จิตรกรรม วัดเขียน จังหวัดอ่างทอง (จากหนังสือ มนุษย์อยุธยา ประวัติศาสตร์สังคม จากข้าวปลา หยูกยา ตำรา Sex)


ทำไมต้อง “โจรห้าร้อย” คำนี้เขียนเป็นตัวหนังสือไม่ใช่ตัวเลข เพราะเป็นสำนวน

มีคำถามว่าทำไม สำนวนไทย ต้อง โจรห้าร้อย.? ความจริงคำว่า “ห้าร้อย” ในความหมายเดิมแท้นั้นไม่ได้หมายถึงหน่วยนับ หากหมายถึง การประมาณว่าจำนวนหนึ่งเท่านั้น

เพราะหน่วยนับของอินเดียแต่โบราณกาลมา ถือหน่วยนับพันเป็นหน่วยสูงสุด เป็นเท่านั้นเท่านี้พัน และความรู้ในการถือหน่วยนับนี้ได้แพร่หลายไปยังดินแดนอื่น รวมทั้งพวกฝรั่ง ดังนั้นพวกฝรั่งจึงนิยมใช้หน่วยนับเป็นพัน

ความหมายของคำว่า “ห้าร้อย” นอกจากจะหมายถึง จำนวนครึ่งหนึ่งของทั้งหมดแล้ว ยังหมายความว่าไม่เต็ม คือไม่เต็มพัน หรือไม่เต็มที่นั่นเอง ดังนั้นในสมัยโบราณจึงเรียกคนที่มีสติไม่สมประกอบว่าคนบ้าห้าร้อย บ้างก็เรียกว่าพวกไม่เต็มเต็ง

หนักๆ เข้าก็กลายเป็นคำด่า เช่นคำด่าที่ว่า ไอ้โจรห้าร้อย มาจากคำว่า โจรบ้าห้าร้อย


@@@@@@@

เพิ่มเติม คำว่าโจรห้าร้อย เดิมเป็นคำกล่าวเปรียบว่าโจรมีจำนวนมาก สำนวนโจรห้าร้อย น่าจะมาจากอรรถกถาของคัมภีร์ธรรมบท กล่าวถึง เดียรถีร์ 500 คนกับโจร 500 คนร่วมกันวางแผนสังหารพระโมคคัลลาน์ เนื่องจากพระโมคคัลลาน์ทำให้สาวกจำนวนมากของเหล่าเดียรถีร์หันมานับถือพระพุทธศาสนา

คำว่า ห้าร้อย นอกจากจะปรากฏในสำนวนว่า โจรห้าร้อยแล้ว ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนายังปรากฏคู่กับคำอื่นอีกด้วย เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐีถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ 500 รูป.

ต่อมาเมื่อใช้คำว่าโจรห้าร้อย มีความหมายว่า โจร, โจรชั่ว เช่น จันทโครพพานางโมราเดินป่าไปพบโจรห้าร้อยผู้หนึ่งระหว่างทาง ปัจจุบันเมื่อตัดใช้แต่เพียง ห้าร้อย ก็หมายถึง คนเกเร คนไม่ดี เช่น ไอ้เด็กห้าร้อย วัน ๆ ไม่เรียนหนังสือ เอาแต่ซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปทั่ว

คำว่า “โจรห้าร้อย” สำนวนไทย เขียนเป็นตัวหนังสือไม่ใช่ตัวเลข เพราะเป็นสำนวน

อ่านเพิ่มเติม :-

    • จับได้ “คาหนังคาเขา” สำนวนนี้มีที่มาอย่างไร?
    • สำนวน “ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ” หมายถึงอะไร “เจ็ดย่านน้ำ” มีอะไรบ้าง?
    • “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” ถ้อยคำบนตาลปัตรสวดศพ สำนวนนี้ของใคร มีที่มาอย่างไร?






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 6 มิถุนายน 2562
URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_33788

อ้างอิง : บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 7.00-7.30 น
11  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระพุธ เทพเจ้าแห่งความเฉลียวฉลาดในอินเดีย เป็นเทพเจ้าแห่งวาจาและการพาณิชย์ในไทย เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 06:10:39 am
.



พระพุธ : เทพเจ้าแห่งความเฉลียวฉลาดในอินเดีย แต่เป็นเทพเจ้าแห่งวาจาและการพาณิชย์ในไทย

“พระพุธ” ไม่เพียงเป็นเทพเจ้าประจำดาวพุธ และเทพผู้ครองวันพุธแต่เพียงเท่านั้น แต่ตามความเชื่อของพ่อพราหมณ์ในอินเดียนั้น ท่านยังเป็นเทพเจ้าแห่งความเฉลียวฉลาดอีกด้วย

ตามปรัมปราคติของพวกพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่า “พระพุธ” ทรงเป็นผู้บุตรของพระโสมะ ซึ่งก็คือ “พระจันทร์” (แน่นอนว่า พระจันทร์ของพวกพราหมณ์เป็นผู้ชาย) กับนางตารา แต่บางตำราก็ว่า พระพุธเป็นบุตรของนางโรหิณี ซึ่งเป็นพระชายาองค์โปรด ในบรรดาชายาทั้ง 27 องค์ของพระจันทร์ต่างหาก

แต่ตำนานที่ว่าเป็นบุตรของนางตารานั้น มีเนื้อหาที่น่าจับใจกว่ามาก เพราะมีรายละเอียดในท้องเรื่องว่า นางตารานั้นไม่ใช่ชายาของพระจันทร์มาแต่เดิม มเหสีของพระพฤหัสบดี เป็นพระจันทร์ท่านไปฉุดคร่าเอาเมียของดาวครูอย่าง พระพฤหัสบดีมาเฉยๆ เสียอย่างนั้น และเมื่อเกิดเรื่องดังนั้นแล้ว พระพฤหัสบดีก็ไปขอเมียคืนจากพระจันทร์อย่างสุภาพชน

แต่พระจันทร์ได้ประกอบพิธีราชสูยะ (คืองานเถลิงราชย์พระราชา ให้เป็นใหญ่เหนือราชาทั้งปวง) ไปก่อนหน้านั้นแล้ว จึงมีฤทธิ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

แน่นอนว่า พระจันทร์ย่อมไม่ยอมคืนให้ เรื่องราวจึงกลายเป็นมหากาพย์ที่ใหญ่โตขึ้นกว่าจะเป็นแค่เรื่องในมุ้งของเทวดาเพียงสองสามองค์ จนถึงขนาดเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่อย่างพระพรหมต้องออกหน้ามาไกล่เกลี่ยให้ พระจันทร์ก็ยังดื้อ ไม่ยอมคืนนางตาราให้กับพระพฤหัสบดี คราวนี้จึงได้เกิดสงครามของเหล่าเทพเจ้าขึ้นในระดับมหากาพย์

“พระศุกร์” ซึ่งทรงหมั่นหนังหน้ากับพระพฤหัสบดี ด้วยท่านเป็นพระครูของเจ้าแห่งอสูร อย่างท้าวพลีสูร (ในขณะที่พระพฤหัสบดีเปรียบได้กับปุโรหิตของเหล่าเทวดา) ตามปรัมปราคติพราหมณ์ ก็ย่อมเข้าข้างพระจันทร์ เช่นเดียวกับบรรดาสานุศิษย์ของพระศุกร์ ไม่ว่าจะเป็น อสูร แทตย์ และทานพ (สองชนิดหลังนี่ที่จริงแล้วทั้งคู่ต่างก็เป็นอสูรประเภทหนึ่งนั่นเอง)


@@@@@@@

ในขณะเดียวกันบรรดาเทวดา ที่นำโดยราชาแห่งเทพอย่าง “พระอินทร์” ก็ย่อมต้องเข้าข้างพระพฤหัสบดี ดังนั้น จึงเกิดเป็นสงครามสวรรค์ครั้งยิ่งใหญ่ รบกันไปรบกันมา โดยไม่ทราบความเสียหาย เพราะไม่มีนักข่าวสำนักไหนรายงาน พระพรหมท่านก็ทรงห้ามทัพได้สำเร็จ สุดท้ายพระจันทร์ก็ทรงต้องจำยอมคืนนางตารา กลับสู่อ้อมอกของพระพฤหัสบดีท่านแต่โดยดี

แต่ปรากฏว่าคืนไม่คืนเปล่า พระจันทร์ยังได้ทรงมอบของแถมให้กับพระพฤหัสบดี คือลูกน้อยๆ ในท้องของนางตาราด้วย แน่นอนว่า เจ้าหนูน้อยคนนั้นชื่อว่า “พระพุธ” ไม่อย่างนั้นผมคงไม่บอกไว้ตั้งแต่ต้นว่า พระพุธเป็นผู้บุตรของพระจันทร์

แต่ก็ไม่มีตำนานฉบับไหนระบุไว้ว่า ระหว่างพระพฤหัสบดี นางตารา และพระพุธ จะมีปัญหาภายในครอบครัวใดๆ อันเกิดแต่สงครามชิงนางครั้งนั้นหรอกนะครับ แถมพระพฤหัสบดีท่านยังใจดีกับเด็กน้อยพระพุธ เพราะนอกจากจะยอมเลี้ยงดูแล้ว ยังสั่งสอนศิลปวิทยาการต่างๆ ให้จนหมดไส้หมดพุง (ย้ำอีกทีว่า พระพฤสบดีนั้นเป็นดาวครู) จนเมื่ออายุครบ 30 ปีพระพุธก็จดจำศาสตร์ได้ทุกแขนง แล้วกลายเป็นเทพเจ้าแห่งความฉลาดปราดเปรื่องไปนั่นเอง

ปรัมปราคติเกี่ยวกับพระพุธ (ที่หาอ่านได้ยากเย็น) ยังมีที่สำคัญอยู่อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของนางอิลา ซึ่งอันที่จริงแล้วนางงามนางนี้ เดิมทีนั้นเป็นผู้ชาย เรื่องของเรื่องก็คือ มีกษัตริย์อยู่องค์หนึ่งชื่อ “ท้าวอิลราช” ได้เสด็จประพาสป่า แล้วหลงเข้าไปในดินแดนลับแลของพระอิศวร ซึ่งขณะนั้นกำลังหยอกเย้ากับพระแม่อุมา ด้วยการจำแลงพระวรกายเป็นหญิงอยู่ แต่ด้วยพลังเวทย์อันรุนแรงของพระองค์ ทำให้อะไรต่อมิอะไรในดินแดนนั้นก็กลายเป็นหญิงไปทั้งหมดด้วย แน่นอนว่า ท้าวอิลราช และคณะผู้ติดตามก็ไม่รอด

เมื่อคณะของท้าวอิลราชกลายเป็นผู้หญิงกันยกชุดก็ตกใจเป็นอย่างมาก จึงพากันไปเข้าเฝ้าพระอิศวร แต่พระอิศวรกริ้วหนัก (คงเพราะพวกท้าวอิลราชไปขัดพระเกษมสำราญ) จึงไม่แก้คำสาปให้ แต่ยังดีที่พระแม่อุมามีจิตเมตตา จึงผ่อนผันโทษให้ โดยให้เป็นชาย 1 เดือน หญิง 1 เดือนสลับกันไป ขณะที่เป็นชายก็ให้ลืมเรื่องราวตอนเป็นหญิง ส่วนในขณะที่เป็นหญิงก็ลืมเรื่องขณะที่เป็นชายเสียให้สิ้น ที่สำคัญคือเมื่อเป็นหญิงจะมีความงามเป็นเลิศ และมีชื่อว่า “นางอิลา”




พระพุธจะเข้ามามีบทบาทในท้องเรื่องก็ตอนต่อจากนี้แหละครับ เพราะต่อมาพวกนางอิลาได้หลงทาง (อีกแล้ว) ไปยังบริเวณที่พระพุธบำเพ็ญตบะอยู่ เมื่อพระพุธได้พบนางอิลาก็ตะลึงในความงามจนถึงขึ้นตบะแตก และสุดท้ายก็ได้นางอิลาเป็นเมีย จนที่สุดนางอิลาก็มีโอรสพระองค์น้อยๆ ให้กับพระพุธ

แน่นอนที่พระพุธย่อมทรงทราบดีว่า นางอิลา เป็นผู้ชายคือ ท้าวอิลราช มาก่อน ต่อมาพระพุธจึงทรงรวบรวมสมัครพรรคพวกไม่ว่าฤๅษีชีพราหมณ์ มาร่วมกันประกอบพิธีอัศวเมธ เพื่อล้างบาปให้กับนางอิลา

“พิธีอัศวเมธ” คือการปล่อยม้าสำคัญ โดยมีกองทัพเดินทางตามไปหนึ่งปี ถ้าม้าตัวนั้นเข้าไปในอาณาเขตของดินแดนใด ผู้ครองแคว้นต้องแสดงความเคารพ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเปิดศึกสงครามกับกองทัพที่ตามหลังม้ามา เมื่อครบหนึ่งปีก็ต้อนม้ากลับเมือง แล้วฆ่าเจ้าม้าตัวนั้นเพื่อบูชายัญ (ดังนั้น ผมจึงไม่แน่ใจว่านี่เป็นการล้างบาป หรือทำบาปเพิ่ม?)

แปลกดีที่พระอิศวรกลับปลื้มปีติกับการที่พระพุธประกอบพิธีนี้เสียอย่างจงหนัก จนถึงขนาดถอนคำสาปให้นางอิลา กลับเป็นท้าวอิลราชตามเดิมมันเสียอย่างนั้น เอาเป็นว่าอย่าไปเดาพระทัยของเทพเจ้ากันเลยครับ ก็แค่ใจมนุษย์ก็เดากันไม่ค่อยจะออกแล้ว

แต่เรื่องของพระพุธที่คนไทยรู้จักกันมากที่สุดคงไม่ใช่ทั้งสองเรื่องที่ผมเล่ามาข้างต้น เพราะส่วนใหญ่แล้วจะรู้จักกันในฐานะเทพนพเคราะห์ (คือเทพเจ้าประจำดวงดาวสำคัญทั้งเก้า) ซึ่งสัมพันธ์อยู่กับเรื่องโหราศาสตร์มากกว่า


@@@@@@@

ตำราโหราศาสตร์ทั้งหลาย ที่ก็แต่งกันขึ้นมาในอุษาคเนย์ แถมเผลอๆ ก็มีที่มาจากในประเทศไทยเองนี่แหละ ระบุว่า พระอิศวรสร้าง ‘พระพุธ’ ขึ้นมาจากช้าง 17 ตัว (ไม่รู้ว่าเป็นตัว หรือเป็นเชือก เพราะตำราไม่ได้ระบุว่าเป็นช้างที่ผ่านการฝึกมาหรือยัง? เพราะช้างป่านับเป็นตัว ส่วนช้างฝึกนับเป็นเชือก) เอามาป่น แล้วปะพรมน้ำมนต์จนเกิดเป็นเทพบุตรคือ “พระพุธ” ที่มีพระวรกายสีเขียวมรกตขึ้นมา

ความตรงนี้ต่างจากปรัมปราคติของพราหมณ์อินเดียที่ว่า พระพุธ ทรงได้ชื่อว่า “ศยามานฺคะ” เพราะมีพระวรกายสีดำ แถมนี่ยังไม่ใช่ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของพระพุธในไทย กับอินเดียอีกด้วยนะครับ

เพราะตามคติไทยจะเชื่อว่าพระพุธนั้นทรง “ช้าง” เป็นพาหนะ แถมยังทรง “ขอสับช้าง” เอาไว้ในพระหัตถ์ข้างหนึ่งเสมอด้วย (ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรนัก เมื่อคำนึงถึงการที่ถูกพระอิศวรปลุกเสกขึ้นมาจากช้างแทบจะยกโขลง) แต่พระพุธในอินเดียจะทรงกริช, คทา และดาบ โดยมีราชสีห์เป็นพาหนะ

ในตำราโหราศาสตร์ของไทยยังถือด้วยว่า พระพุธเป็นเทพเจ้าแห่งวาจา และการพาณิชย์ นี่ก็ต่างไปจากอินเดียที่ถือว่าพระองค์เป็นเทพแห่งความเฉลียวฉลาดอย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ในย่อหน้าแรกของข้อเขียนชิ้นนี้ต่างหาก

เอาเข้าจริงแล้ว ถึงภูมิภาคอุษาคเนย์ และไทยเราจะอิมพอร์ตเทพเจ้าและปรัมปราคติต่างๆ จากอินเดียเข้ามามาก แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนตามความเชื่อ หรือคตินิยมของเราเองอยู่บ่อยครั้ง จนแตกต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิมของชมพูทวีป

เรื่องราวของอะไรที่เรียกว่า “พระพุธ” ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในนั้น •


 


ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ : On History
ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_763791
12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผู้วิเศษเด็ก : เรื่องที่สังคมต้องระวังและไตร่ตรอง เมื่อ: เมษายน 30, 2024, 06:01:28 am
.



ผู้วิเศษเด็ก : เรื่องที่สังคมต้องระวังและไตร่ตรอง

ช่วงนี้มีประเด็นในสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องเด็กที่เกี่ยวพันกับพุทธศาสนา คือกรณี “น้องไนซ์ นิรมิตเทวาจุติ” อายุแปดขวบ ซึ่งมีกลุ่มคนเชื่อว่าน้องไนซ์เป็น “องค์เพชรภัทรนาคานาคราช” ผู้บรรลุธรรมในชั้นอนาคามีลงมาเกิด โดยได้รับพุทธบัญชา และมีเทคนิคพิเศษที่เรียกว่าการ “เชื่อมจิต” จากอาจารย์น้องไนซ์ไปยังสาวกโดยตรง มีผู้ติดตามและไปเข้าร่วมเวิร์กช็อปเป็นอันมาก

พอเกิดเหตุเช่นนี้จึงมีผู้วิจารณ์ ไม่ว่าจากฝั่งพระและฆราวาสทั้งในแง่ตัวคำสอน เช่นที่บอกว่าเป็นอนาคามีแล้วนั้น ตามหลักพุทธศาสนาจะไม่กลับลงมาเกิดอีกแล้ว หรือการเชื่อมจิตว่า ไม่มีในหลักคำสอนของพุทธศาสนา เป็นต้น

อันที่จริงที่เป็นเหตุดราม่าก็เพราะน้องไนซ์มิได้ถูกพูดถึงในแง่อาจารย์สอนธรรมธรรมดาๆ แต่ยังมีมิติของความเป็น “ผู้วิเศษ” เช่น เรื่องการเชื่อมจิต ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ทางธรรมเพียงแค่เอานิ้วมือไปแตะที่หน้าผากเท่านั้น รวมทั้งเรื่องเล่าที่ฝั่งคุณแม่ของน้องเล่าถึงนิมิตต่างๆ ที่น้องจะเกิดมา

ทั้งยังมีภาพที่ดูขัดกับขนบวัฒนธรรมไทยๆ เช่น ภาพผู้ใหญ่ก้มกราบเด็ก ภาพน้องไนซ์เอาน้ำราดหัวผู้มาขอพร หรือเล่นสนุกโดยใช้เท้าเหยียบลงบนตัวผู้เข้าร่วมกิจกรรม เป็นต้น รวมถึงลักษณะวิธีพูดที่ชวนให้สงสัยว่ากำลังถูกผู้ปกครองชี้นำอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าน้องไนซ์อาจแสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสมเองไปบ้าง

ผู้ที่เข้ามาโต้แย้งอย่างเผ็ดร้อนก็มีคุณแพรรี่หรืออดีตพระมหาไพรวัลย์ ซึ่งวางตนเองในฐานะผู้พิทักษ์คำสอนที่ถูกต้องของพุทธศาสนา และทำให้เรื่องนี้ยิ่งขยายวงไปสู่สื่อที่กว้างขึ้น

พอเกิดมีกรณีน้องไนซ์ อีกฝั่งพากันยกเด็กอีกคนที่มีบุคลิกท่าทีตรงกันข้าม คือ “น้องใบบุญ” อายุหกขวบ มาเป็นตัวอย่างแย้ง น้องใบบุญมีชื่อเสียงจากติ๊กต็อกด้วยความเป็นเด็กที่พูดถึงธรรมมะ แสดงความอยากบวชเพื่อเข้าถึงนิพพาน มีบุคลิกนิ่งสงบ อ่อนน้อม

ยิ่งเมื่อพาน้องไปสัมภาษณ์ในรายการดังถึงประเด็นผู้วิเศษและการให้ผู้ใหญ่กราบไหว้ น้องใบบุญก็ปฏิเสธทั้งหมด ยิ่งขับเน้นความตรงกันข้ามกันกับเด็กอีกคนมากขึ้น

@@@@@@@

เรื่องความถูกต้องของคำสอนทางศาสนาและความเชื่อนั้น ผมแสดงจุดยืนไว้หลายครั้งแล้วว่าเป็นสิทธิที่จะเชื่อ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายและการไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และก็เป็นสิทธิที่จะโต้แย้งเช่นเดียวกันโดยไม่มีอำนาจเหนือกว่าไม่ว่าจากรัฐหรือองค์กรใดเข้าไปจัดการ กระนั้นเรื่องนี้ก็ซับซ้อนกว่านั้น เพราะมีประเด็นเรื่อง “เด็ก” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

กรณีข้างต้น ถ้าพูดตรงๆ ผมเห็นว่าเป็นความ “ประสาทแดก” (ขออนุญาตใช้คำนี้นะครับ เพราะไม่เห็นว่าคำไหนจะตรงกว่านี้แล้ว) ของผู้ใหญ่ ที่ไปจับเอาเด็กสองคนมาให้เป็นคู่เทียบคู่ขัดแย้งกันภายใต้ของความขัดแย้งของผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่ควรทำโดยแท้ และยังมีบางประเด็นที่ผมเห็นว่าสังคมควรเอาใจใส่และไตร่ตรองยิ่งกว่านี้อีก ซึ่งจะได้อภิปรายต่อไป

กรณี “ผู้วิเศษเด็ก” นี้ไม่ใช่กรณีแรกนะครับ ถ้าเอากรณีในเมืองไทยที่ดังหน่อย ย้อนไปในอดีตครูบาบุญชุ่มเองก็เคยเป็นผู้วิเศษเด็กเช่นกัน จนได้รับฉายา “เณรน้อยต๋นบุญ” หรือ “เณรน้อยหมอยาคน” ที่เชื่อว่ามีอิทธิปาฏิหาริย์สามารถรักษาโรคภัยให้ผู้คนได้ แม้เหรียญรูปสามเณรของท่านเป็นที่นิยมมากในวงการพระเครื่อง

ยังมีกรณีสองฝาแฝดก๊อดอาร์มี่ ผู้นำกะเหรี่ยงคริสต์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้วิเศษเช่นกันจนสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำกองทัพกะเหรี่ยงเมื่อมีอายุเพียงสิบปี และเป็นทีรู้จักจากกรณีพากำลังเข้าบุกยึดโรงพยาบาลราชบุรี ยังไม่นับกรณีย่อยๆ อีกมากมาย

หากมองไปนอกเมืองไทย ผู้วิเศษเด็กที่โด่งดังและยังดำรงอยู่ คือกุมารีแห่งเนปาลที่ถือว่าเป็นเทพกันยาผู้มอบพรแด่ราชสำนัก แม้เมื่อไม่มีราชวงศ์เนปาลแล้ว ทางการยังคงต้องการกุมารี ทั้งในแง่พรแห่งรัฐบาลและในแง่สิ่งสำคัญทางวัฒนธรรม และกรณี “ตุลกุ” (Tulku) หรือการกลับชาติมาเกิดใหม่ของคุรุทางจิตวิญญาณในทิเบต หรือพระอาจารย์ระดับสูง

กรณีแรกนั้น เขาจะใช้เด็กหญิงจากบางตระกูลที่ถูกเลือก เชื่อกันว่าเธอเป็นกุมารีหรือเทพกันยาในร่างมนุษย์ และจะถูกเคารพกราบไหว้ไปจนกว่าจะมีประจำเดือนจึงจะหมดจากภาวะกุมารี จากนั้นเธอจะไม่ได้รับการกราบไหว้อีกต่อไป




กุมารีหลายคนมีชีวิตที่ยากลำบากเพราะไม่ได้รับการศึกษาตั้งแต่เยาว์วัย หรือเมื่อพ้นสภาพก็ไม่มีคนกล้าที่จะแต่งงานด้วย เป็นกรณีศึกษาที่นักสิทธิเด็กวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย แต่ที่ยังดำรงอยู่นอกเหนือจากเรื่องความเชื่อของคนท้องถิ่น ก็เป็นเรื่องสินค้าทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวนั่นแหละครับ ยูทูบเบอร์และสื่อไทยยังนิยมตามรอยกุมารี เพราะว่ามันไม่เพียงเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่มัน “แปลก” ด้วยนี่แหละ

การที่ผู้ใหญ่กราบไหว้เด็กนี่ราวกับเป็นอะไรที่ขัดกับค่านิยมของเราสุดสุดไปเลย ดูเหมือนเราจะสอนให้คนไหว้กันด้วย วัยวุฒิเป็นหลัก รองมาคือคุณวุฒิ แต่ในขณะเดียวกันเราก็เป็นสังคมที่กราบไหว้อะไรก็ได้ง่ายมาก ขอให้มีคุณวิเศษไว้ก่อน

ความย้อนแยงกลายเป็นลักษณะเด่นของสังคมไทยที่ไม่อาจก้าวไปสู่สังคมที่คิดแบบวิทยาศาสตร์/สมัยใหม่ หรือติดจมอยู่กับอนุรักษนิยม/ความเชื่อไปทั้งหมด เพราะเรานั้น “ก้ำกึ่ง” เสียทุกเรื่องครับ เป็นช่วงเวลาที่คนสองช่วงวัยที่ถือค่านิยม ความคิด ความเชื่อต่างกันดำรงอยู่ไปพร้อมๆ กัน มองในแง่ดีคือเป็นช่วงเวลาใกล้เปลี่ยนผ่าน แต่เราจะเปลี่ยนผ่านไปสู่อะไรและโดยปราศจากความรุนแรงหรือไม่ ผมก็ไม่ทราบ

กรณีของตุลกุ ซึ่งหมายถึง “นิรมาณกาย” อันเป็นวัฒนธรรมพุทธศาสนา “ของทิเบต” โดยเฉพาะ แม้ว่าพุทธศาสนาจะเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ในอินเดียและในที่อื่นๆ ไม่เคยมีธรรมเนียมหรือความเชื่อว่าครูบาอาจารย์ที่บรรลุธรรมในระดับสูงจะสามารถกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งเพื่อทำภารกิจต่อไป

คุรุท่านนั้นจะถูกสรรหาตั้งแต่ยังเป็นเด็กด้วยวิธีการเฉพาะ และเมื่อค้นพบแล้ว จะได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพอย่างสูง มีสถานภาพเหนือเด็กทั่วๆ ไป และมักถูกพรากจากพ่อแม่เพื่อนำไปศึกษาเล่าเรียนในอาราม บางท่านเป็นเพียงเจ้าอาวาสในวัดเล็กๆ บางท่านเป็นถึงประมุขนิกายซึ่งมีอำนาจมากทั้งทางโลกทางธรรม จึงกลายเป็นประเด็นทางการเมือง-ศาสนาที่ร้อนแรงอย่างยิ่ง

เรื่องนี้มีรายละเอียดเยอะและในปัจจุบันถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อวัฒนธรรมนี้ไปสู่โลกตะวันตก ไว้ผมจะเล่าให้ฟังยาวๆ ครับ

@@@@@@@

กลับมาที่เรื่องน้องสองคนในบ้านเรา แม้ว่าน้องใบบุญจะมิได้อ้างตนเองว่าเป็นผู้วิเศษทั้งทางตรงหรือทางอ้อมหรือโดยคนใกล้ชิด แต่การเป็นผู้วิเศษนั้นไม่จำเป็นต้องอ้างก่อนถึงจะเป็นได้ หากมีคุณลักษณะบางอย่างโดยเฉพาะคุณลักษณะที่ขัดแย้งกันเอง ย่อมจะถูกมองว่าเป็นผู้วิเศษโดยสังคมได้ไม่ยาก เช่น เป็นเด็กแต่สนใจธรรม เป็นเด็กแต่รู้ธรรมระดับสูงโดยไม่มีคนสอน อันนี้ก็พอจะเริ่มมีความ “วิเศษ” ขึ้นมาแม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม

ผมเจออีกเคสที่น่าเป็นห่วง คือเด็กที่เป็น “คนทรง” อย่างจีนครับ ทราบกันว่าคนทรงอย่างจีนนั้นจะต้องแสดงอิทธิฤทธิ์โดยการทำสิ่งหวาดเสียวต่างๆ เช่น ลุยไฟ ปีนบันไดมีด ใช้เหล็กแหลมแทงร่างกายหรือลุยกระเบื้อง อันนี้ไม่เพียงเป็นเรื่องผลทางจิตวิทยาแต่ยังเป็นเรื่องสวัสดิภาพและอันตรายที่จะเกิดขึ้นด้วย

กระนั้น ไม่ว่าจะแบบไหน จะโลดโพนโจนทะยานแบบน้องไนซ์หรือจะเรียบๆ เย็นๆ อย่างน้องใบบุญ เด็กต้องได้รับการปกป้อง มีสิทธิที่จะเติบโตโดยไม่ถูกรบกวน มีชีวิตอย่างเด็ก ซึ่งเรียกร้องการมี “ความเป็นส่วนตัว” ตามสมควร

ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์จะต้องไม่เอาเด็กไปสร้าง “คอนเทนต์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงกว้าง แม้ว่าคอนเทนต์นั้นจะเป็นเรื่องธรรมะธัมโมหรือดีงาม เพราะเราต้องไม่ลืมว่าเด็กยังปราศจากวิจารณญาณ ถึงพ่อแม่จะอ้างว่าได้ขออนุญาตเขาแล้วก็ตาม

เมื่อเราจับเด็กโยนลงไปในโลกออนไลน์กับผู้คนมากมายที่เราไม่รู้จักหน้าค่าตา โลกออนไลน์นั้นเร็วและไร้ความปรานี เด็กอาจกลายเป็นประเด็นขัดแย้ง มีผู้แสดงความเห็นที่หลากหลายทั้งดีและไม่ดีหรือถึงขั้นเลวร้าย เราจึงควรปกป้องเขาจากการเผชิญสิ่งเหล่านั้น ยิ่งหากเอาไปเป็นประเด็นขัดแย้งระหว่างกันบนสื่อก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก

อีกประการหนึ่ง เราไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อเขาโตขึ้น สิ่งที่ทิ้งไว้เป็น “ดิจิทัลฟรุตปรินต์” จะทำให้เขารู้สึกอย่างไร กระทบต่อตัวตนของเขาที่เปลี่ยนไปแล้วหรือไม่ เพราะเมื่อโตเขาก็อาจไม่อยากเป็นสิ่งที่เคยเป็นตอนเด็กก็ได้ หรือถึงขั้นอับอาย

ดังนั้น เรื่องนี้จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องและสังคมระวังไหว คือรวดเร็วในการตอบสนอง และไตร่ตรองให้ดีครับ •





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2567
คอลัมน์ : ผี-พราหมณ์-พุทธ
ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_763679
13  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คาถาโลกุตตระธรรม และ สฬากริวิชชาสูตร เมื่อ: เมษายน 29, 2024, 06:38:45 am
.

ขอบคุณภาพจาก : https://buatwatpa.com/ธุดงควัตร๑๓/


คาถาโลกุตตระธรรม

คาถาโลกุตตระธรรมบทนี้ เมื่อภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ ผู้ปฏิบัติ เดินทางเข้าสู่ป่าทางไกลจากบ้านทายก ทายิกา ขัดสนอาหารจะหาทางบิณฑบาตก็ไม่มี ขอให้ท่านทั้งหลายจงใช้พระคาถาโลกุตตระธรรมนี้ เสกใบไม้ซึ่งคนรับประทานได้ 3 จบ รับประทานแทนอาหาร ตามที่เกจิอาจารย์กล่าวไว้ว่า คุ้มได้ 7 วัน
 
    โลกุตตรัง ฌานัง
    โลกุตตรัง มัคคัง ฌานัง
    โลกุตตรัง สติปัฎฐานัง ฌานัง

    โลกุตตรัง สัมมัปปทานัง ฌานัง     
    โลกุตตรัง อิทธิปาทัง ฌานัง      
    โลกุตตรัง อินทรียัง ฌานัง

    โลกุตตรัง พลัง ฌานัง       
    โลกุตตรัง โพชฌงคัง ฌานัง      
    โลกุตตรัง สัจจัง ฌานัง

    โลกุตตรัง สมัตถัง ฌานัง      
    โลกุตตรัง ธัมมัง ฌานัง
    โลกุตตรัง ขันธัง ฌานัง

    โลกุตตรัง อายะตะนัง ฌานัง     
    โลกุตตรัง ธาตุง ฌานัง
    โลกุตตรัง อาหารัง ฌานัง

    โลกุตตรัง ผัสสัง ฌานัง     
    โลกุตตรัง เวทนัง ฌานัง
    โลกุตตรัง สัญญัง ฌานัง

    โลกุตตรัง เจตตะนัง ฌานัง    
    โลกุตตรัง จิตตัง ฌานัง


    @@@@@@@

ภิกษุ สามเณร ชี พราหมณ์ ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย เมื่อข้าไปสู่ป่ามีความสะดุ้งหวาดเสียว หรือกลัวตัวสั่นเป็นไข้ ให้ท่านระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า โดยสัจจะของตน ให้ภาวนาด้วยพระคาถา “สฬากริวิชชาสูตร” ซึ่งเป็นของพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ให้แก่พระอานนท์ มีดังต่อไปนี้

     สฬากริวิชชาสูตร

     อุคคัณหิตวานะ สหิตัง อิมัง สฬากริวิชชาสุตตัง ธาเรนะสหิเต
     อิมัง สฬกริวิชชาสุตตัง วา เจตัง เจสะหิเต อิมัง สฬากริวิชชาสุตตัง
     ยัง ภวิสสติ ภยังวา ฉัมภิตตัตตังวา โลมหัง โสวา โสปหิยิสสติ
     (ให้ภาวนาทุกค่ำเช้า ดีนักแล) 

     ถ้าความกลัวสะดุ้งหวาดเสียวยังไม่หายให้ว่าอีก ดังนี้

     พุทธังองค์ไกล ลูกขอปัจจุไว้ในหัวข้าพเจ้า ภะยัง พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
     ธัมมังองค์ไกล ลูกขอปัจจุไว้ในตัวข้าพเจ้า ภะยัง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
     สังฆังองค์ไกล ลูกขอปัจจุไว้ในอาการ 32 แห่งข้าพเจ้า  ภะยัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

     ถ้ายังไม่หายให้ว่าอีก ดังนี้

     นะโมยะหะ ธายะโหติ
     พุทธังกำจัด ธัมมังกำจาย สังฆังละลาย
     ลิสิ้นสุด ละสิ้นสุด
     พุทธังสูญ ธัมมังสูญ สังฆังสูญ.
     (ใช้ภาวนาหรือทำน้ำมนต์กินก็ได้)

     @@@@@@@

     ต่อไปเป็น คาถาสำหรับกันภัย

     ท่อรันตันติ สิริสมาธิ ท่อรันตันโต กัมมัฏฐานัง ท่อรันตันตัง นะมามิหัง
     (ขณะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ห้ามไม่ให้พูด ให้ภาวนาด้วยพระคาถานี้เสมอไปอย่าได้ขาด กันภัยได้ดี)






ขอขอบคุณ
ที่มา : http://www.luangpochom.com/pochom240.htm
Created on : Sat, Jul 13, 2002
ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลครั้งหลังสุด  : 23/10/2562 , 10:24:15
14  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 8 ความเชื่อ อาถรรพ์เกี่ยวกับลางสังหรณ์ เมื่อ: เมษายน 29, 2024, 06:08:07 am
.


 
8 ความเชื่อ อาถรรพ์เกี่ยวกับลางสังหรณ์

คนไทยเรามีความเชื่อแปลกๆ อยู่มากมาย มีทั้งเรื่องดีที่ช่วยเสริมดวงเสริมโชคลาภ และเรื่องไม่ดีที่คนเฒ่าคนแก่มักจะคอยย้ำคอยเตือนเราอยู่เสมอว่าไม่ควรทำ วันนี้ขอยกมา 8 ความเชื่อแปลกๆ (บางคนอ่านแล้วอาจจะบอกไม่แปลกก็ได้ เพราะ “ฉันก็ยังเชื่ออยู่นะ”) ของคนไทยโบราณ ใครอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ไปดูกัน

@@@@@@@

1. จิ้งจก/ตุ๊กแกร้องทัก

คนที่พอได้ยินความเชื่อนี้ มักกังวลกันว่าห้ามออกจากบ้านเด็ดขาดหากได้ยินเสียงจิ้งจกร้องทัก ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม โดยเฉพาะหากอยู่ด้านหลังหรือตรงกับศีรษะของคุณ จริงๆ แล้วมีรายละเอียดยิ่งกว่านั้น

    - ตุ๊กแกร้อง 9 ครั้ง จะพบความสำเร็จทุกอย่าง
    - ตุ๊กแกร้อง 10 ครั้ง ถือกันว่าเป็นลาง สังหรณ์ที่ดีมาก ทั้งตัวเองและครอบครัวจะมีความสุขความเจริญ ทั้งลาภผลและร่ำรวยเงินทองมากมาย
    - จิ้งจงร้องทัก หากเสียงดังอยู่ เบื้องหน้า ให้รีบเดินทางจะพบโชคลาภความสำเร็จ
    - เสียงดังเบื้องหลังอย่าด่วนรีบไป ควรเปลี่ยนเวลาออกจากบ้าน มิฉะนั้นจะประสบโชคร้ายหรือผิดหวัง
    - เสียงดังจากเบื้องซ้าย การออกเดินทางนอกบ้านจะได้ผลดีประสบความสำเร็จ
    - เสียงดังเบื้องขวา การเดินทางจะไม่ได้ผลดีนักและอาจประสบเคราะห์
    - เสียงดังเบื้องบนศีรษะ อย่าเดินทางไปไกลๆเป็นอันขาด จะประสบความเดือดร้อน
    **ตรงนี้อย่าสับสน ฟังดีๆ อยู่หน้าหรืออยู่บนศีรษะ ฟังผิดชีวิตเปลี่ยนเลยนะคะ**

2. นกแสก

หากอยู่ๆ นกแสกบินมาเกาะที่หลังคาบ้านของคุณถือเป็นลางร้ายหรือจะมีเรื่องร้ายๆ ตามมา หรือหลายคนเชื่อว่าบ้านนั้นจะมีคนเสียชีวิต

เนื่องจากนกแสกเป็นสัตว์ที่มักจะไม่มาปะปนหรือมาให้ผู้คนพบเห็นได้ง่ายนัก คล้ายนกฮูก (จริง ๆ หน้านางก็น่าเอ็นดูอยู่นะคะ แอดว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า) นางตื่นในเวลากลางคืน จึงถือเป็นสัตว์ที่ให้ความอัปมงคลแก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้นะ หากได้ยินเสียงนกแสกร้อง ห้ามเอ่ยทักเด็ดขาด จนกว่ามันจะบินไป

อย่างไรก็ตาม วิธีแก้เคล็ด คือ ให้จุดธูปเทียน พร้อมดอกไม้บูชา และสุรา อาหาร อาจเพิ่มด้วยข้าวสาร ข้าวตอก ผ้าขาวและเงินทอง กล่าวอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ก็จะช่วยให้คนในครอบครัวปลอดภัยได้

3. การได้ยินเสียงคนร้องทักตอนกลางคืน

การได้ยินแบบนี้ ห้ามขานรับเด็ดขาดเพราะเชื่อกันว่าเป็นเสียงของดวงวิญญาณที่อาจจะมาหลอกหลอนหรือมาขอส่วนบุญส่วนกุศล หรือหากมองให้ลึกลงไปอีก หากเราขานรับ จะเปรียบเสมือนเป็นการเชื้อเชิญหรือยอมรับให้ดวงวิญญาณนั้นๆ เข้ามาในบ้าน และอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีได้ (ถึงบ้านเมืองจะเจริญเป็นตึกสูงเต็มไปหมด ยังมีคนได้ยินเสียงกันอยู่นะคะ บางที่เป็นคอนโดยังได้ยินเสียงกันนอกระเบียงเลย)

4. เงาหัวไม่มี/ชะตาขาด

ตามความเชื่อของคนโบราณที่บอกต่อๆกันมา โดยหนึ่งในความเชื่อ ก็คือ “เงาหัวขาด” หากเห็นใครไม่มีหัว นั่นแสดงว่าเขากำลังจะหมดบุญ คือถึงอายุขัยแล้ว หรือบางกรณีก็อาจจะเสียชีวิตกะทันหันเพราะมีเคราะห์หนัก (เสียก่อนถึงอายุขัย)

เห็นคนอื่นคอขาด ไม่มีเงาหัว โบราณว่าเอาไว้ อย่าเพิ่งไปทักคนๆ นั้นให้รู้ตัว แต่ให้รีบนำหมวก หวดนึ่งข้าว ผ้าถุงของแม่ หรืออุปกรณ์อะไรก็ตาม ไปครอบหัวทันทีในตอนนั้น และบอกว่า “ต่อหัวให้แล้วนะ” เป็นเคล็ดต่ออายุให้ยืนยาวออกไป

ส่องกระจก ไม่เห็นหัวตัวเอง แต่ถ้ามองในกระจกหรือมองในน้ำ แล้วไม่เห็นเงาหัวของตนเองก็เช่นกัน ให้เจ้าตัวรีบบอกผู้อื่น นำสิ่งของต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น มาครอบหัวทันที แล้วให้คนๆนั้นพูดว่า “ต่อหัวให้แล้วนะ”

ให้เร่งปล่อยสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า, สวดบทอิติปิโสให้มากกว่าอายุ 1 จบ, สวดมนต์สะเดาะเคราะห์ต่ออายุขัย บท “อุณหิสสะวิชะยะคาถา” ให้สวดทุกๆวันก่อนนอน หรือถ้ามีเวลาควรสวด เช้า – เย็น เพื่อเป็นการต่ออายุขัย และ ถือศีลปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน (อันนี้แอดไม่เล่นนะคะ เหตุการณ์ไม่ได้พบกันบ่อยครั้ง เร่งทำ เชื่อแอด)

5. ห้ามใช้หวีที่หักไปแล้ว

ไม่ว่าจะหวีไม้หรือพลาสติกก็ตาม มีความเชื่อว่าหากหวีผมอยู่แล้วหวีหัก ให้คิดไว้เลยว่าจะมีเรื่องร้ายเรื่องไม่ดีตามมา วิธีแก้เคล็ดคือ ให้ทิ้งไปเสีย อย่าเสียดายและอย่าเก็บกลับมาซ่อมหรือใช้ต่อ (ฉะนั้น ใช้ทรีทเม้นท์หมักผมกันบ่อนๆนะเธอ)

6. ห้ามเคาะจานข้าวเวลาทานข้าว

“เวลาทานข้าวอยู่ ห้ามเคาะจานข้าว” ตั้งแต่ยังเล็ก ผู้ใหญ่มักจะคอยบอกคอยสอนเรามาแบบนี้ เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะเป็นการเรียกเชิญวิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณพเนจรให้มากินกับเราด้วย บางความเชื่อก็ว่าจะทำให้รู้สึกว่าทานเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม

7. ได้กลิ่นธูป

ตามความเชื่อหากได้กลิ่นธูปลอยมาโดยในบริเวณนั้นไม่มีใครจุดธูป เป็นเหตุบอกถึงว่าอาจมีวิญญาณของคนสนิท หรือญาติมาหา ให้จุดธูป 1 ดอก แล้วบอกเล่ากับดวงวิญญาณให้ไปสู่ที่สงบ

8. ห้ามตัดผมวันพุธ

เคยสังเกตกันไหมคะว่าทำไมร้านทำผมร้านตัดผมมักจะปิดวันพุธ เพราะเนื่องจากมีความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณแล้วว่าการตัดผมในวันพุธถือเป็นเรื่องไม่ดี ไม่ควรทำ หากตัดผมในวันนี้ “วันพุธห้ามตัด (โบราณว่าหัวกุดท้ายเน่า) วันศุกร์ห้ามเผา วันเสาร์ห้ามแต่ง”

@@@@@@@

การมีความเชื่อเป็นสิ่งที่ดีนะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องตั้งอยู่บนหลักการของเหตุและผล ความเชื่อบางอย่างคนปัจจุบันก็ยังคงยึดถือและนำมาปฏิบัติกันจนถึงทุกวันนี้ ทำแล้วดีก็ทำกันต่อไป แต่บางความเชื่อก็แปลกจนยากที่จะเชื่อได้ แต่เชื่อเถอะ แอดก็ว่ามันเรื่องจริงนะ แต่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ทำไมโบราณเขาว่ามาแบบนี้อะเนอะ เพราะฉะนั้นหากใครไม่เชื่อ ไม่ลบหลู่จะดีที่สุดนะจ๊ะ (เชื่อแอด ไม่เชื่อแอด ก็เชื่อโบราณเถอะเนาะ)





Thank to : https://www.sanook.com/horoscope/277891/
28 เม.ย. 67 (10:26 น.)
15  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ส่งคืน 35 โบราณวัตถุอายุพันปี จิ๊กซอว์เทพประจำทิศ ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ เมื่อ: เมษายน 29, 2024, 05:59:48 am
.



ส่งคืน 35 โบราณวัตถุอายุพันปี จิ๊กซอว์เทพประจำทิศ ปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์

ส่งคืน 35 โบราณวัตถุอายุพันปี คืนปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ นักประวัติศาสตร์ชี้ จิ๊กซอว์สำคัญ ที่เทพประจำทิศทั้ง 8 มีลักษณะโดดเด่น มีสัตว์พาหนะข้างกาย เป็นปราสาทหินเดียวที่มี เพราะไม่เคยพบลักษณะดังกล่าวในไทยและเขมร



ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร กล่าวว่า หน่วยงานรัฐที่ดูแลพื้นที่ประวัติศาสตร์ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา ส่งคืนโบราณวัตถุ 35 ชิ้น ให้กับปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ เพื่อให้หน่วยงานรัฐไปดูแล จัดแสดงให้อยู่กับปราสาทดั้งเดิม หลังชิ้นส่วนโบราณวัตถุทั้งหมดมีอายุกว่าพันปี ถูกนำไปเก็บไว้ที่โคราชมานาน ก่อนจะมีการจัดส่งคืนให้กับปราสาทหินพนมรุ้ง และเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลประวัติศาสตร์ใหม่



ชิ้นส่วนโบราณวัตถุที่ส่งคืน ส่วนใหญ่เป็นทวารบาล เทพประจำทิศ มีความพิเศษกว่าปราสาทหินที่อื่น เพราะยังไม่เคยพบโบราณวัตถุที่เป็นเทพประจำทิศในลักษณะนี้ ทั้งในไทยและกัมพูชา ถ้าเป็นปราสาทหินปกติ เทพประจำทิศจะอยู่กับทับหลังและหน้าบัน แต่โบราณวัตถุที่ส่งคืน เป็นเทพประจำทิศ ที่มีลักษณะเป็นหินสลักแบบลอยตัวเป็นสัดส่วน



โบราณวัตถุที่ส่งคืนจะมีทั้งแบบเป็นแท่งสี่เหลี่ยม สลักรูปเทพพร้อมพาหนะ เช่น แรด ควาย หงส์ มีความพิเศษจากที่อื่น บ่งบอกถึงการให้ความสำคัญกับเทพประจำทิศทั้ง 8 เพราะปราสาทหินปกติ จะให้ความสำคัญกับเทพที่เป็นศูนย์กลางเพียงอย่างเดียว


ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร

โบราณวัตถุที่ส่งคืนมายังปราสาทพนมรุ้ง เป็นการแสดงให้เห็นประวัติศาสตร์ใหม่ของปราสาทหิน ที่ให้ความสำคัญกับเทพประจำทิศ แสดงให้เห็นว่าตัวปราสาทหลังกลางต้องมีความพิเศษมากกว่าที่อื่น

ลักษณะการตั้งจะวางโดยรอบปราสาทหลังกลาง ที่สำคัญคือแท่งสี่เหลี่ยม ด้านบนมีลักษณะคล้ายกับดอกบัว เหมือนกับโบราณสถานในอินเดีย ที่ทางก่อนเข้าปราสาทชั้นในจะมีแท่น ไว้สำหรับวางสิ่งของที่นำมาบูชาเพียง 1 ทิศ แต่ของปราสาทหินพนมรุ้ง มีแท่นบูชาทั้งหมด 8 ทิศ




“ลักษณะเทพประจำทิศดังกล่าว ไม่เคยเจอในปราสาทหินทั้งที่ไทยและเขมร นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เทพประจำทิศที่ถูกส่งคืนมา จะได้ไขความลับของปราสาทหินพนมรุ้งที่ถูกเก็บงำไว้”

อีกประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจคือ ใบหน้าของทวารบาลปราสาทพนมรุ้ง มีใบหน้าที่ไม่ดุดัน ต่างจากทวารบาลที่เขมร จะมีการถือกระบอง แต่ทวารบาลที่นี่ มือหนึ่งถือสิ่งของลักษณะกลม สันนิษฐานว่าเป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนมืออีกข้างเป็นเหมือนกำอะไรบางอย่าง ซึ่งของที่ถือได้สูญหายไปแล้ว




“โบราณวัตถุทั้ง 35 ชิ้น ตอนนี้ได้ส่งคืนไปยังศูนย์ข้อมูลของปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ จากเดิมที่ถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์พิมาย จ.นครราชสีมา ซึ่งถูกเก็บไว้ในคลังหลายสิบปี แต่พอส่งคืนมายังปราสาทหินพนมรุ้ง ทำให้คนที่อยากศึกษาประวัติศาสตร์ปราสาทหินเห็นภาพมากขึ้น และเห็นความพิเศษของปราสาทหลังนี้ ที่มีที่เดียวในโลก”

การส่งคืนเทพประจำทิศ ทำให้เห็นภาพทางประวัติศาสตร์ของปราสาทพนมรุ้งชัดเจนมากขึ้น และเป็นข้อมูลสำคัญที่นักประวัติศาสตร์ทั้งของไทยและต่างประเทศ จะได้เห็นโบราณวัตถุชัดเจนมากขึ้น แต่พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของปราสาทพนมรุ้งยังค่อนข้างคับแคบ ที่ผ่านมามีความพยายามจะให้ทาง จ.บุรีรัมย์ สร้างพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุของพนมรุ้งแบบครบวงจร เพราะตอนนี้มีโบราณวัตถุอีกหลายชิ้นที่จะถูกส่งคืนมาจากต่างประเทศ และสามารถทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกจะสามารถมาศึกษาได้




ปราสาทพนมรุ้ง เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่เจอหลักศิลาจารึกมากที่สุด เฉลี่ยมีอยู่ 12 หลัก ซึ่งโบราณวัตถุที่ส่งคืนมายังศูนย์จัดแสดงข้อมูลของปราสาทพนมรุ้ง ยังมีข้อมูลไม่มากพอ จึงต้องใช้เวลาศึกษาอีกสักพัก เพราะโบราณวัตถุกลุ่มดังกล่าวเพิ่งถูกส่งคืนมาไม่นาน หลังถูกเก็บไว้ในโกดังโบราณวัตถุที่โคราช นานหลายสิบปี.




https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2781582
บทความโดย ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์
16  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / รู้จักพระไตรปิฎก เพื่อเป็นชาวพุทธที่แท้ เมื่อ: เมษายน 28, 2024, 11:37:14 am




รู้จักพระไตรปิฎก เพื่อเป็นชาวพุทธที่แท้
Somdet Phra Buddhaghosacariya (P. A. Payutto)

พระไตรปิฎกกับการธำรงพระพุทธศาสนา(1-)

ขออนุโมทนาที่ทางมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้จัดทำพระไตรปิฎก ฉบับแปลภาษาไทย สำเร็จเรียบร้อย นับว่าเป็นงานใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่การพระศาสนา คือเป็นเครื่องรักษาพระพุทธศาสนาอย่างสำคัญ ถือว่าเป็นงานที่สมกับเกียรติฐานะของมหาวิทยาลัยสงฆ์

มหาจุฬาฯใช้เวลา ๕ ปี ในการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับนี้ ให้สำเร็จเรียบร้อย นับว่าใช้เวลาไม่นาน เพราะงานที่จัดทำนั้น นอกจากเป็นงานที่ใหญ่ในตัวแล้ว ก็ได้จัดทำให้สมกับเป็นงานวิชาการด้วย หมายความว่า นอกจากเป็นงานสำคัญทางพระศาสนาแล้ว ก็มีความเป็นวิชาการอยู่ในตัว เช่น การที่ได้ทำบทนำ สรุปเนื้อหาสาระ จุดเด่น ลักษณะพิเศษ ของพระไตรปิฎกเล่มนั้นๆ ไว้ด้วย เป็นต้น

เมื่องานนี้สำเร็จลุล่วงไปจึงจัดงานฉลองขึ้น การสมโภชนั้นเท่ากับเป็นการประกาศให้รู้ทั่วกันด้วย คือไม่ใช่ฉลองแสดงความยินดีเท่านั้น แต่เป็นการทำให้ประชาชนได้มีโอกาสรับทราบกว้างขวางออกไป จะได้ช่วยกันใช้พระไตรปิฎกฉบับนี้ให้เป็นประโยชน์ การใช้ให้เป็นประโยชน์ก็คือการนำไปศึกษา เล่าเรียน ค้นคว้า เพื่อเป็นฐานของการปฏิบัติต่อไป

การที่ขอให้แสดงปาฐกถานี้ ก็ขอบคุณที่ให้โอกาส แต่ไม่มีโอกาสที่จะไปร่วมงาน ยิ่งตอนนี้เกิดปัญหาซ้อนเข้ามาเฉพาะหน้า คือเป็นไข้ และคออักเสบอีก คงจะพูดเท่าที่เป็นไปได้ในหัวข้อเรื่อง “พระไตรปิฎกกับการธำรงพระพุทธศาสนา”

คำว่า “ธำรง” ในที่นี้ ถือว่ามีความหมายเหมือนกับคำว่า “รักษา” จะพูดรวมกันไปก็ได้ว่า “ธำรงรักษา” เรื่อง พระไตรปิฎกกับการธำรงพระพุทธศาสนา จึงมีความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นเรื่องของพระไตรปิฎกกับการรักษาพระพุทธศาสนา

• ธำรงพระพุทธศาสนาด้วยการรักษาพระไตรปิฎก

 :25: :25: :25:

รักษาพระไตรปิฎก คือรักษาพระพุทธศาสนา

แม้แต่ในความหมายอย่างง่ายๆ ก็เห็นได้ทันทีว่าพระไตรปิฎกสัมพันธ์กับการธำรงพระพุทธศาสนาอย่างไร
พระพุทธศาสนาคืออะไร ตอบง่ายๆ โดยแปลตามตัวอักษรว่า พระพุทธศาสนา คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระไตรปิฎกคืออะไร พระไตรปิฎก ก็คือคัมภีร์ที่ประมวลเอาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาจารึกไว้ พระไตรปิฎกจึงเป็นที่รวบรวม บรรจุไว้ หรือจารึกไว้ ซึ่งพระพุทธศาสนานั้นเอง

ในเมื่อพระพุทธศาสนาแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และพระไตรปิฎกเป็นที่ประมวลไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น การรักษาพระไตรปิฎกจึงเป็นการรักษาพระพุทธศาสนา

ถ้าตอบอย่างสั้นที่สุด ก็พูดได้ว่า พระไตรปิฎกกับการธำรงพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องเดียวกัน การธำรงพระไตรปิฎก ก็คือการธำรงพระพุทธศาสนานี้ เป็นความหมายอย่างง่ายที่สุด

@@@@@@@

รักษาพระไตรปิฎก เท่ากับรักษาพระพุทธเจ้า

ถ้าพูดให้ลึกลงและให้กว้างออกไป พระไตรปิฎกมีความสำคัญต่อการธำรงรักษาพระพุทธศาสนาอีกหลายอย่าง นอกจากมองพระพุทธศาสนาในความหมายที่เป็นคำสั่งสอนแล้ว พระพุทธศาสนายังหมายถึง การเล่าเรียน การศึกษา การปฏิบัติ และการจัดการต่างๆ ให้มีการเล่าเรียนศึกษาปฏิบัตินั้นทั้งหมด ซึ่งรวมถึงทุกอย่างที่เราเรียกว่า เป็นสถาบันและเป็นพระพุทธศาสนาที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจ ในความหมายนี้พระไตรปิฎกก็มีความสำคัญต่อการธำรงพระพุทธศาสนา ดูง่ายๆ ดังต่อไปนี้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองก่อนปรินิพพาน ซึ่งเราจำกันแม่นทีเดียวว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานล่วงลับไป ไม่ได้ทรงตั้งพระภิกษุองค์ใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่พระองค์ได้ทรงมอบหมายให้ชาวพุทธได้รู้กันว่า พระธรรมวินัยนั้นแหละเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ชาวพุทธจำนวนมากถึงกับจำพุทธพจน์ภาษาบาลีได้ว่า

      “โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา”

      แปลว่า ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายโดยกาลที่เราล่วงลับไป

นี้คือพุทธพจน์ที่ให้เห็นว่า พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัยนี้ก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง พระธรรมวินัยจึงเท่ากับเป็นองค์พระศาสดา และเป็นตัวพระพุทธศาสนา

พระธรรมวินัยนี้ก็ประมวลอยู่ในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกจึงเป็นที่สถิตของพระธรรมวินัย

เมื่อพระไตรปิฎกเป็นที่สถิตของพระธรรมวินัย พระไตรปิฎกจึงเป็นที่สถิตของพระบรมศาสดาของชาวพุทธ เมื่อรักษาพระไตรปิฎกไว้ จึงเท่ากับดำรงรักษาพระพุทธเจ้าไว้ และรักษาพระพุทธศาสนาด้วยนั่นเอง

เพราะฉะนั้น ในความหมายนี้ พระไตรปิฎกก็มีความสำคัญต่อการรักษาพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่

@@@@@@@

รักษาพระไตรปิฎก คือรักษาผลงานและจุดหมายของการสังคายนา

ในแง่ของการสังคายนา ชาวพุทธก็รู้กันอยู่แล้วว่าการสังคายนาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นการประมวลหรือรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

การสังคายนานั้น เริ่มมีมาตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ดังที่พระองค์เคยปรารภกับพระจุนทะว่า ควรจะสังคายนาธรรมทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้ เพื่อให้พรหมจริยะคือพระศาสนาดำรงอยู่ได้ยั่งยืน

พระพุทธศาสนานั้นมีชื่อเรียกได้หลายอย่าง คำเรียกอย่างหนึ่ง คือที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า “พรหมจริยะ” หรือ “พรหมจรรย์” พรหมจรรย์หรือพรหมจริยะนั้น คือพระพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ควรสังคายนาหลักธรรมคำสอนของพระองค์ เพื่อให้พรหมจริยะดำรงอยู่ยั่งยืนนาน เพื่อประโยชน์และความสุขแก่พหูชน

ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสารีบุตรได้ทำสังคายนาเป็นตัวอย่างไว้ ดังปรากฏในสังคีติสูตร ซึ่งอยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม ๑๑

การสังคายนาพระธรรมวินัยเริ่มเอาจริงเอาจังเป็นงานเป็นการใหญ่ของสงฆ์ส่วนรวมขึ้น หลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน เมื่อพระมหากัสสปเถระเป็นประธานทำสังคายนาครั้งที่ ๑

การสังคายนา ก็คือการประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อันได้แก่พระธรรมวินัย มาจัดวางไว้เป็นแบบแผน ให้ทรงจำไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นหลักของพระพุทธศาสนาสืบมา

พระธรรมวินัยที่ได้สังคายนารวบรวมไว้นี้ ต่อมาก็เป็นพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกจึงเป็นผลของการสังคายนา โดยเป็นที่รวบรวมพระธรรมวินัยที่ได้สังคายนาไว้นั้น

ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า ให้สังคายนาพระธรรมวินัย เพื่อให้พรหมจริยะคือพระศาสนายั่งยืน เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก พระไตรปิฎกก็คือผลงานที่เป็นประจักษ์พยานของการสังคายนานี้ เพราะฉะนั้นพระไตรปิฎก จึงมีความสำคัญโดยเป็นที่รักษาพระพุทธศาสนาอยู่ในตัวของมันเอง

@@@@@@@

รักษาพระไตรปิฎก ทำให้พุทธบริษัทมีคุณสมบัติที่จะรักษาพระพุทธศาสนา

ก่อนจะปรินิพพานพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า พระองค์จะปรินิพพานต่อเมื่อพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายทั้งปวง คือพระภิกษุ ทั้งเถระ ทั้งมัชฌิมะ ทั้งนวกะ ภิกษุณีก็เช่นเดียวกัน พร้อมทั้งอุบาสก อุบาสิกา ทั้งที่ถือพรหมจรรย์ และที่เป็นผู้ครองเรือนทั้งหมด ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะรักษาพระศาสนาได้ คือ

1. ต้องเป็นผู้
    ก) มีความรู้ เข้าใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ดี และ
    ข) ประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้อง ตรง เป็นธรรมานุธรรมปฏิบัติ
2. นอกจากรู้เข้าใจเอง และปฏิบัติได้ดีแล้ว ยังสามารถบอกกล่าวแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้ด้วย
3. เมื่อมีปรัปวาทเกิดขึ้น คือ คำจ้วงจาบสอนคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนจากพระธรรมวินัย ก็สามารถชี้แจงแก้ไขได้ด้วย

ถ้าพุทธบริษัททั้ง ๔ มีความสามารถอย่างนี้ พระองค์จึงจะปรินิพพาน ตอนที่พระองค์จะปรินิพพานนั้น มารก็มากราบทูลว่า เวลานี้พุทธบริษัท ๔ มีคุณสมบัติพร้อมอย่างที่พระองค์ได้ตรัสเหมือนกับเป็นเงื่อนไขไว้แล้ว

พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นอย่างนั้น จึงทรงรับที่จะปรินิพพาน โดยทรงปลงพระชนมายุสังขาร

พุทธดำรัสนี้ ก็เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ แต่ต้องมองให้ตลอดด้วยว่า ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัทที่เป็นอย่างไร ซึ่งก็ตอบได้เลยว่า ทรงฝากไว้กับพุทธบริษัทที่มีคุณสมบัติอย่างที่กล่าวมาแล้ว เริ่มด้วยรู้เข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย หรือถูกต้องตามธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

พระธรรมวินัยนี้อยู่ที่ไหน ก็อยู่ในพระไตรปิฎก ถ้าไม่มีพระไตรปิฎก พระธรรมวินัยก็อยู่มาจนถึงปัจจุบันไม่ได้
เพราะฉะนั้น ชาวพุทธจะเป็นผู้มีคุณสมบัติถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าฝากพระศาสนาไว้ ก็โดยมีพระไตรปิฎก และเรียนรู้เข้าใจพระธรรมวินัยจากพระไตรปิฎกนี้แหละ

เป็นอันว่า ในแง่นี้พระไตรปิฎกก็เป็นหลักของพุทธบริษัท ต้องอยู่คู่กับพุทธบริษัท โดยเป็นฐานให้แก่พุทธบริษัท ซึ่งจะทำให้ชาวพุทธเป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้

นี้ก็เป็นอีกแง่หนึ่งที่พระไตรปิฎกมีความสำคัญต่อการธำรงพระศาสนา




รักษาพระไตรปิฎกไว้เป็นฐานของปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ

อีกแง่หนึ่ง ขอให้มองว่าพระพุทธศาสนานี้คืออะไรบ้าง เราพูดกันว่า พระพุทธศาสนานี้ ตัวแท้ตัวจริงถ้าสรุปง่ายๆ ก็เป็น ๓ ดังที่เรียกว่าเป็นสัทธรรม ๓ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ พระศาสนาทั้งหมดก็มีเท่านี้ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ

ปริยัติ ก็คือพุทธพจน์ที่เรานำมาเล่าเรียนศึกษา พุทธพจน์ที่เราจะเล่าเรียนนั้นอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในพระไตรปิฎก ถ้าไม่มีพระไตรปิฎก พุทธพจน์ก็ไม่สามารถมาถึงเราได้ การที่ท่านสังคายนา ก็คือนำพุทธพจน์มารวมไว้ให้อยู่ในพระไตรปิฎกนี่เอง พุทธพจน์ที่รวบรวมไว้เหล่านี้นี่แหละ เป็นปริยัติที่เราเล่าเรียน

ปริยัติเป็นผลจากปฏิเวธ และเป็นฐานของการปฏิบัติ

ที่ว่า ปริยัติเป็นผลมาจากปฏิเวธนั้น หมายความว่า พระพุทธเจ้าทรงปฏิเวธ คือทรงบรรลุผลการปฏิบัติของพระองค์แล้ว จึงทรงนำประสบการณ์ที่เป็นผลจากการปฏิบัติของพระองค์นั้นมาเรียบเรียงร้อยกรองสั่งสอนพวกเรา คือทรงสั่งสอนพระธรรมวินัยไว้ คำสั่งสอนของพระองค์นั้น ก็มาเป็นปริยัติของเรา คือเป็นสิ่งที่เราจะต้องเล่าเรียน

ปริยัติที่เป็นผลจากปฏิเวธนั้น หมายถึงปฏิเวธของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ คือผลการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า และที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับเท่านั้น ไม่เอาผลการปฏิบัติของโยคี ฤาษี ดาบส นักพรต ชีไพร อาจารย์ เจ้าลัทธิ หรือศาสดาอื่นใด

ที่ว่าปริยัติเป็นฐานของการปฏิบัติ ก็คือ ถ้าไม่ได้เล่าเรียนปริยัติ ไม่รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติ ก็เขว ก็ผิด ก็เฉไฉ ออกนอกพระพุทธศาสนา ถ้าปฏิบัติผิด ก็ได้ผลที่ผิด หลอกตัวเองด้วยสิ่งที่พบซึ่งตนหลงเข้าใจผิด ปฏิเวธก็เกิดขึ้นไม่ได้

ถ้าไม่มีปริยัติเป็นฐาน ปฏิบัติและปฏิเวธก็พลาดหมด เป็นอันว่าเหลวไปด้วยกัน

พูดง่ายๆ ว่า จากปฏิเวธของพระพุทธเจ้า ก็มาเป็น ปริยัติของเรา แล้วเราก็ปฏิบัติตามปริยัตินั้น เมื่อปฏิบัติถูกต้องก็บรรลุปฏิเวธอย่างพระพุทธเจ้า ถ้าวงจรนี้ยังดำเนินไปพระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ยังคงอยู่

ปริยัติ ที่มาจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้า และเป็นฐานแห่งการปฏิบัติของพวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี้แหละ

ฉะนั้น มองในแง่นี้ก็ได้ความหมายว่า ถ้าเราจะรักษาปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธไว้ ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกนั่นเอง
ตกลงว่า ในความหมายที่จัดแบ่งตัวพระศาสนาเป็นสัทธรรม ๓ หรือบางทีแยกเป็นศาสนา ๒ คือ ปริยัติศาสนา กับปฏิบัติศาสนานั้น รวมความก็อยู่ที่พระไตรปิฎกเป็นฐาน จึงต้องรักษาพระไตรปิฎกไว้ เมื่อรักษาพระไตรปิฎกได้ ก็รักษาพระพุทธศาสนาได้

@@@@@@@

รักษาพระไตรปิฎกไว้ได้ พระรัตนตรัยจึงจะยังปรากฏอยู่

แม้แต่จะมองในแง่พระรัตนตรัย เราก็เห็นว่าพระไตรปิฎกนี้เป็นที่รักษาพระรัตนตรัยอีกเช่นกัน เราบอกว่าพระรัตนตรัยนั้นเป็นหลักของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นหลักแห่งความเชื่อหรือหลักแห่งศรัทธา

    ๑. พระไตรปิฎกเป็นที่สถิตของพระพุทธเจ้า แม้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เราก็มีพุทธพจน์ตรัสไว้อย่างที่ได้บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า เมื่อพระองค์ล่วงลับไป ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ พระธรรมวินัยก็อยู่ในพระไตรปิฎก แสดงว่า พระศาสดาของเรายังอยู่ พระพุทธเจ้ายังอยู่ และอยู่ในพระไตรปิฎกนั่นเอง ดังที่บอกแล้วว่าพระไตรปิฎกเป็นที่สถิตของพระพุทธเจ้า

    ๒. พระไตรปิฎกทำหน้าที่ของพระธรรม เรารู้จักพระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก พระธรรมวินัยนั้น เราเรียกสั้นๆ ว่า พระธรรม เวลาเราจะแสดงอะไรเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรม เราก็เอาพระไตรปิฎกมาตั้งเป็นเครื่องหมายของพระธรรม เพราะพระธรรมอยู่ในพระไตรปิฎก

    ๓. พระไตรปิฎกเป็นที่รองรับพระสงฆ์ พระสงฆ์นั้นเกิดจากพุทธบัญญัติในพระไตรปิฎก หมายความว่า พระภิกษุทั้งหลายที่รวมเป็นภิกขุสังฆะคือภิกษุสงฆ์นั้น บวชขึ้นมาและอยู่ได้ด้วยพระวินัย

วินัยปิฎกเป็นที่บรรจุไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ กติกา คือพุทธบัญญัติที่รักษาไว้ซึ่งภิกขุสังฆะ สงฆ์อยู่ได้ด้วยวินัย วินัยนั้นเป็นที่ก่อกำเนิดและเป็นที่ดำรงไว้ซึ่งสังฆะ และสังฆะนั้นก็ทำหน้าที่เป็นผู้ที่จะรักษาสืบทอดพระศาสนา สังฆะจึงผูกพันเนื่องอยู่ด้วยกันกับพระไตรปิฎก

รวมความว่า พระรัตนตรัย ต้องอาศัยพระไตรปิฎกเป็นที่ปรากฏตัวแก่ประชาชนชาวโลก เริ่มตั้งแต่พุทธศาสนิกชนเป็นต้นไป พระไตรปิฎก จึงมีความสำคัญในฐานะเป็นที่ปรากฏของพระรัตนตรัย

ดังนั้น การธำรงพระไตรปิฎกจึงเป็นการธำรงไว้ซึ่งพระรัตนตรัย ซึ่งก็คือการธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา

@@@@@@@

รักษาพระไตรปิฎก คือรักษาไตรสิกขา ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเข้าไปอยู่ในชีวิตของชาวพุทธ

อีกแง่หนึ่ง เราอาจมองลึกลงไปถึงขั้นที่เอาพระพุทธศาสนาเป็นเนื้อเป็นตัวของเรา หรือเป็นชีวิตของแต่ละคน
พระพุทธศาสนาในความหมายที่เป็นแก่นสารแท้ๆ ก็คือผลที่เกิดขึ้นเป็นความดีความงาม เป็นความเจริญก้าวหน้างอกงามขึ้น หรือเป็นการพัฒนาขึ้นของไตรสิกขาในชีวิตของเรานี้เอง

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า พระพุทธศาสนาเจริญขึ้นเป็นเนื้อเป็นตัวของเรา หรือเป็นชีวิตของเราที่ซึมซาบเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาไว้ในเนื้อในตัว

พระพุทธศาสนาชนิดที่เป็นเนื้อเป็นตัวเป็นชีวิตของเรานี้ ก็ต้องอาศัยพระไตรปิฎกอีกเช่นกัน เพราะว่าพระพุทธศาสนาในความหมายนี้ หมายถึงการที่สามารถละ โลภะ โทสะ โมหะ ได้ การที่จะละ โลภะ โทสะ โมหะ ได้ ก็ด้วยการปฏิบัติตาม ศีล สมาธิ ปัญญา

ถามว่า : ศีล สมาธิ ปัญญา เรารู้ได้จากไหน.?
ตอบว่า : ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นข้อปฏิบัติที่ต้องมีปริยัติเป็นแหล่งชี้บอก และแหล่งปริยัติที่ชี้บอกนั้นก็คือพระไตรปิฎก

พระไตรปิฎกที่แสดงไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ไว้นั้น ประกอบด้วย

    ๑. พระวินัยปิฎก เป็นแหล่งที่รวมศีลของพระสงฆ์ เพราะศีลของพระภิกษุที่เรียกกันว่าศีล ๒๒๗ อยู่ในพระวินัยปิฎก แต่ที่จริงไม่เฉพาะ ๒๒๗ ที่เป็นศีลในปาติโมกข์เท่านั้น แม้ศีลนอกปาติโมกข์ก็ยังมีในพระวินัยปิฎกนั้นอีกมาก และทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องของวินัยหรือเรื่องศีล คือการฝึกหัดพัฒนาพฤติกรรมที่แสดงออกในความสัมพันธ์ทางกาย และวาจา

    ๒. พระสุตตันตปิฎก ความจริงพระสูตรมีครบหมด มีทั้งศีล สมาธิ และปัญญา แต่เวลาจัดระเบียบเป็นหมวดหมู่ ท่านชี้ให้เห็นจุดเด่นของพระไตรปิฎกแต่ละปิฎก ท่านกล่าวว่า พระสุตตันตปิฎกนี้เน้นหนักในสมาธิ คือ การพัฒนาด้านจิตใจ

    ๓. พระอภิธรรมปิฎก เน้นหนักด้านปัญญา พูดอย่างปัจจุบันว่าเป็นเนื้อหาทางวิชาการล้วนๆ ยกเอาสภาวธรรมที่ละเอียดประณีตลึกซึ้งขึ้นมาวิเคราะห์วิจัย จึงเป็นเรื่องของปัญญา ต้องใช้ปรีชาญาณอันลึกซึ้ง

@@@@@@@

เป็นอันว่า พระไตรปิฎกนั้นท่านเอามาโยงกับข้อปฏิบัติที่เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่เกิดผลเป็นจริงในชีวิตจิตใจของคน อันจะทำให้พระพุทธศาสนาถูกย่อยเข้าไปเป็นชีวิตจิตใจของเรา

ถ้าใครปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก ชีวิตของผู้นั้นจะกลายเป็นเหมือนตัวพระพุทธศาสนาเอง เหมือนดังว่าเรารักษาพระพุทธศาสนาไว้ด้วยชีวิตของเรา เพราะพระพุทธศาสนาเจริญขึ้นมาเป็นเนื้อตัวเป็นชีวิตของเราแล้ว ตราบใดชีวิตเรายังอยู่ พระพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่ เราอยู่ไหน เราเดินไปไหน พระพุทธศาสนาก็อยู่ที่นั่น และก้าวไปถึงนั่น

ข้อนี้เป็นขั้นที่สำคัญมาก คือ ชาวพุทธจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ดีที่สุด ด้วยชีวิตของแต่ละคน

เมื่อแต่ละคนนั้นมีทั้งความรู้ มีทั้งการปฏิบัติ และได้ประจักษ์แจ้งผลของพระพุทธศาสนาแล้ว พระพุทธศาสนาก็เป็นเนื้อเป็นตัวของเขา เป็นชีวิตของเขา ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ พระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ เพราะอยู่ในตัวของแต่ละคน แล้วคนอื่นลูกหลานก็มาสืบต่อกันไป

อย่างนี้เรียกว่าพระพุทธศาสนาอยู่ด้วยวิธีการรักษาอย่างสูงสุด พูดได้ว่า พระไตรปิฎกเข้ามาอยู่ในเนื้อตัวของคนแล้ว ไม่ใช่อยู่แค่เป็นตัวหนังสือ

แต่ก่อนจะมาอยู่ในตัวคนได้ ก็ต้องมีคัมภีร์พระไตรปิฎกนี้แหละเป็นแหล่งบรรจุรักษาไว้ แม้แต่เราจะปฏิบัติให้สูงขึ้นไป เราก็ต้องไปปรึกษาพระอาจารย์ที่เรียนมาจากพระไตรปิฎก หรือจากอาจารย์ที่เรียนต่อมาจากอาจารย์รุ่นก่อนที่เรียนจากพระไตรปิฎก ซึ่งอาจจะถ่ายต่อกันมาหลายสิบทอด ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกเองไม่ได้ ก็ไปถาม
พระอาจารย์ให้ท่านช่วยค้นให้ ถ้าเราค้นเองเป็น เราก็ไปค้นเอง เมื่อค้นได้ความรู้ในหลักคำสอนมาแล้ว เราก็สามารถปฏิบัติให้เจริญงอกงามใน ศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งขึ้นไป

สรุปว่า ชีวิตของเราชาวพุทธอิงอาศัยพระไตรปิฎกโดยตรง ด้วยการนำหลักคำสอนมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตจริง
นี้เป็นความหมายแง่ต่างๆ เกี่ยวกับความสำคัญของพระไตรปิฎก ในการธำรงรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา

เมื่อพระไตรปิฎกดำรงพระพุทธศาสนา เราจะรักษาพระพุทธศาสนา เราก็มาดำรงรักษาพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นการดำรงรักษาพระไตรปิฎกก็เท่ากับดำรงพระพุทธศาสนาไว้ด้วย

@@@@@@@

ธำรงพระพุทธศาสนาได้ เมื่อพระไตรปิฎกอยู่คู่พุทธบริษัท ๔

องค์ประกอบใหญ่ๆ ในการรักษาพระพุทธศาสนา มี ๒ อย่าง คือ

    ๑. ผู้ที่จะรักษาพระพุทธศาสนา ก็คือพุทธบริษัท ๔ การที่จะรักษาก็ต้องมีคนที่จะรักษา ไม่อย่างนั้นจะไปรักษาได้อย่างไร คนที่จะรักษาพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้แล้วว่า ได้แก่ พุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เวลานี้ภิกษุณีไม่มีแล้ว ก็ไม่เป็นไร พุทธบริษัทที่อยู่นี่เราก็ถือว่าเหมือนกับบริษัท ๔ ยังทำหน้าที่กันอยู่ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นบรรพชิต กับคฤหัสถ์ หรือชาววัด กับชาวบ้าน หรือพระสงฆ์ กับญาติโยม พุทธบริษัท ๔ เป็นผู้รักษาพระพุทธศาสนา

    ๒. เนื้อตัวของพระพุทธศาสนาที่เราจะรักษานั้น ก็อยู่ที่พระไตรปิฎก เนื้อตัวของพระไตรปิฎก หรือตัวพระพุทธศาสนาแท้ๆ ที่อยู่ในพระไตรปิฎกนั้น เราเรียกว่าพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยเป็นตัวหลักการ
เป็นอันว่ามี ๒ ฝ่าย คือ

       1. ตัวคนที่จะรักษาพระพุทธศาสนา ได้แก่พุทธบริษัท ๔
       2. ตัวพระพุทธศาสนาอันเป็นหลักการที่เราจะต้องรักษา ได้แก่พระธรรมวินัยที่อยู่ในพระไตรปิฎก

สองอย่างนี้อาศัยซึ่งกันและกัน พระธรรมวินัยที่เป็นหลักของพระศาสนา คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะดำรงอยู่ และจะเกิดผลเป็นประโยชน์ ก็ต้องมาปรากฏที่ตัวพุทธบริษัท ๔ ต้องอาศัยพุทธบริษัท ๔ เป็นทั้งที่รักษาไว้ และเป็นที่ปรากฏผล หรือเป็นที่จะนำไปใช้ประโยชน์

พร้อมกันนั้นในเวลาเดียวกัน พุทธบริษัท ๔ จะมีความหมายเป็นพุทธบริษัทขึ้นมาได้ และจะได้ประโยชน์เจริญงอกงามในพระพุทธศาสนา ก็เพราะมีธรรมวินัยที่รักษาไว้ในพระไตรปิฎกเป็นหลักอยู่

ฉะนั้น สองอย่างนี้จึงต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เท่ากับเป็นเครื่องเตือนใจว่า เราชาวพุทธ หรือพุทธบริษัททั้ง ๔ นี่แหละ คือผู้มีหน้าที่ที่จะรักษาพระพุทธศาสนา และการรักษาพระพุทธศาสนานั้นก็ทำได้ด้วยการรักษา

พระธรรมวินัย และจะรักษาพระธรรมวินัยได้ก็ด้วยการเล่าเรียน ศึกษา ปฏิบัติ ให้พระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกเกิดประโยชน์เป็นจริงขึ้นแก่ชีวิตของตนและแก่สังคมทั้งหมด

เราจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ ก็ต้องให้พระไตรปิฎกยังคงอยู่คู่กับพุทธบริษัททั้ง ๔

@@@@@@@

ที่พูดมานี้มีความหมายว่า พุทธบริษัทจะต้องรำลึกตระหนักถึงความสำคัญของพระธรรมวินัย และพุทธบริษัทนั้นจะต้องรักษาพระธรรมวินัยไว้ด้วยการเล่าเรียน ศึกษา ปฏิบัติ ทำให้เกิดเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของตน และนำไปขยายผลให้เกิดเป็นประโยชน์แก่สังคมและแก่ชาวโลกทั้งหมด

ทั้งนี้ ให้สมกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พรหมจริยะ คือพระพุทธศาสนา ควรจะอยู่ยั่งยืน เพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน ถ้าพูดด้วยภาษาสมัยใหม่ก็คือแก่มวลชน ตลอดจนให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งหมด ตามคติที่ว่า โลกานุกัมปายะ

นั่นคือหน้าที่ของพุทธบริษัท โดยเฉพาะพระภิกษุ ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยเห็นแก่ประโยชน์สุขของชาวโลก
นี่แหละคือความสัมพันธ์ระหว่างพุทธบริษัท ๔ กับพระธรรมวินัย ซึ่งจะต้องระลึกตระหนักไว้ให้ดี

บัดนี้ พวกเราเหล่าพุทธบริษัท ทั้ง ๔ มาประชุมพร้อมกันแล้ว เรากำลังทำหน้าที่ของชาวพุทธ คือการรักษาพระพุทธศาสนา โดยเริ่มต้นด้วยการเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎก วันนี้เราจึงพร้อมใจกันมาร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับพระไตรปิฎก แสดงว่าอย่างน้อยเราเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎกแล้ว แต่อย่าเอาแค่เห็นความสำคัญ

การเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎกนั้น แน่นอนว่าสำคัญอย่างยิ่ง เวลานี้เรารู้จักพระไตรปิฎกกันน้อยไปหน่อย เห็นความสำคัญของพระไตรปิฎกกันน้อยไปหน่อย ต่อไปนี้จะต้องรู้จักพระไตรปิฎกกันให้มาก และเห็นความสำคัญของพระไตรปิฎกกันให้มาก

เมื่อเห็นความสำคัญแล้วก็ชวนกันรักษา ชวนกันรักษาอย่างไร ก็มาเล่าเรียน มาชวนกันอ่าน มาชวนกันเรียน มาเล่าให้กันฟัง มาอธิบายให้กันฟัง ครั้นเล่าเรียนแล้วก็เอาไปใช้ปฏิบัติ โดยนำเอาความรู้เข้าใจที่ได้ศึกษามาแล้วนั้นไปพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา ขัดเกลาพฤติกรรม กาย วาจา ของตน พัฒนาจิตใจของตน พัฒนาปัญญาของตน ให้ชีวิตเจริญงอกงามขึ้นใน ศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะได้รับประโยชน์เสวยผลที่พึงเกิดมีจากพระพุทธศาสนา

ที่กล่าวมานี้คิดว่าเป็นคุณค่าซึ่งจะเกิดขึ้นจากการฉลองหรือสมโภชพระไตรปิฎกครั้งนี้ด้วย หมายความว่า การสมโภช ฉลองพระไตรปิฎกจะเกิดผลแท้จริง ก็ต่อเมื่อไปออกผลแก่ชีวิตและสังคมของชาวพุทธ ตลอดจนคนทั้งโลก เรียกว่านำมาซึ่งประโยชน์สุขแก่ชาวโลกทั้งปวง

ขอให้การสมโภชเฉลิมฉลองพระไตรปิฎกของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยครั้งนี้ จงเกิดผลอำนวยประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา แก่ชีวิตของชาวพุทธทุกคน และแก่ชาวโลกทั้งมวล ให้อยู่ในความดีงามและร่มเย็นเป็นสุข ตลอดกาลยั่งยืนนานทุกเมื่อ

(ยังมีต่อ..)



(1-)ปาฐกถาธรรมของพระธรรมปิฎก โดยวีดิทัศน์ (ถ่ายที่วัดญาณเวศกวัน เนื่องจากพระธรรมปิฎกอาพาธ) ฉายในวันสมโภชพระไตรปิฎก ฉบับแปลภาษาไทย ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ณ วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
17  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เสียงจากผู้ปราชัย เรื่องราวของ “เจ้าอนุวงศ์” ในตำราเรียนลาว เมื่อ: เมษายน 27, 2024, 08:06:08 am
.

อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ ที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว


เสียงจากผู้ปราชัย เรื่องราวของ “เจ้าอนุวงศ์” ในตำราเรียนลาว

“เจ้าอนุวงศ์” กษัตริย์ลาว ผู้ถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏในมุมมองไทย จากการกระทำอันมีลักษณะกระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้าแผ่นดินสยาม แต่ในมุมมอง “คนลาว” นั้น เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมองบรรพชนของตนว่ามีคุณูปการต่อชาติบ้านเมือง การเคลื่อนไหวของเจ้าอนุวงศ์ที่พยายามนำอาณาจักรล้านช้างให้ “แข็งเมือง” ต่อกรุงเทพฯ จึงถูกยกย่องเชิดชูอยู่ใน “ตำราเรียน” ลาว

อาณาจักรล้านช้างในช่วง พ.ศ. 2322 ถึง พ.ศ. 2371 เป็นช่วงที่ตกเป็นประเทศราชของสยาม โดยช่วง พ.ศ. 2322-2421 คนลาวถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานและได้รับความทุกข์ยาก เป็นเหตุให้เจ้าอนุวงศ์นำกำลังรวบรวมครัวลาวกลับคืนนครเวียงจันทน์ เหตุการณ์นี้นำไปสู่การนองเลือดและการทำลายเวียงจันทน์โดยทหารไทยอย่างราบคาบ ใน พ.ศ. 2370

ทั้งนี้ ที่ สปป. ลาว เคยมีงานเสวนาทางวิชาการ “วีระกำพะเจ้าอนุวง” (15-16 สิงหาคม 2543) ของสถาบันค้นคว้าวัฒนธรรม กระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรมแห่ง สปป. ลาว ซึ่งร่วมกับนักวิชาการ นักเขียน นักวิจัยอิสระ  ประเด็นหลักคือการพูดคุยถึงความความเห็นมาและความกล้าหาญของเจ้าอนุวงศ์ แต่ไม่ใช่การโจมตีหรือประณามไทย หากเป็นการปลูกจิตสำนึกความสามัคคีของคนในชาติ เชิดชูความเสียสละของเจ้าอนุวงศ์ในฐานะวีรชนลาว

ผศ. ดร. วริษา กมลนาวิน ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เรียบเรียงประเด็นสำคัญ ๆ จากงานเสวนาข้างต้นมานำเสนอในบทความ “เจ้าอนุวงศ์ในมุมมองของลาว บทสะท้อนจากหนังสือและตำราเรียนลาว” ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม พ.ศ. 2544 ดังนี้ [เว้นวรรคคำ ปรับย่อหน้าใหม่ และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]

สิ่งที่นักประวัติศาสตร์ (ลาว-ผู้เขียน) ย้ำเป็นพิเศษคือ เจ้าอนุฯ ของพวกเขามิได้มีเจตนาจะเดินทัพมายังไทยเพื่อรุกรานและเบียดแย่งเอาดินแดนไทย (ทั้ง ๆ ที่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงก็เคยเป็นที่อยู่ของ “คนลาว” มาก่อน) แต่เพื่อมากวาดต้อนเอาครอบครัวลาวซึ่งถูกใช้ให้ไปขุดลอกคูคลองอย่างหนัก และโดนกระทำทารุณกรรมต่าง ๆ นานากลับไปยังดินแดนของพวกเขา





อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์ ที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว


เจ้าอนุฯ จึงเป็นกษัตริย์ที่กล้าหาญและยอมสละชีพเพื่อชาติ

ที่จริงแล้วเหตุการณ์สมัยเจ้าอนุวงศ์ซึ่งทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องในฐานะเป็นวีรกษัตริย์ของลาวเป็นเรื่องที่รัฐบาลลาวให้ความสำคัญมาตลอด จะเห็นได้จากแบบเรียนสายวิชาสังคมศาสตร์ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา นักเรียนจะได้เรียนเกี่ยวกับบุคคลสำคัญที่พลีชีพเพื่อชาติตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ได้แก่ เจ้าฟ้างุ่ม สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระยาสามแสนไท เจ้าอนุวงศ์

เรื่อยมาจนกระทั่งถึงเหตุการณ์ลาวตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ซึ่งมีวีรบุรุษหลายคน ได้แก่ ท่านไกสอน พมวิหาน เสด็จสุพานุวงศ์ หรือ “ลุงสุพานุวง” ผู้ยึดถือความเสมอภาคของประชาชนอย่างไม่แบ่งชั้นวรรณะทั้ง ๆ ที่พระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นต้น

@@@@@@@

“เจ้าอนุวงศ์” ในตำราเรียนลาว

เด็กลาวจะซึมซับค่านิยมในเรื่องความรักชาติ และความรู้ทางการเมืองผ่านแบบเรียนวิชาภาษาลาวตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้นเลยทีเดียว นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ถึงปีที่ 4 จะได้อ่านบทความสั้น ๆ ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เช่นเรื่อง “อนุสาวะลีนักรบนิละนาม” เพื่อนึกถึงทหารผู้เสียสละเพื่อชาติ เรื่อง “วีระชนสีทอง” ผู้ไม่ยอมจำนนต่อศัตรูในสมัยที่ “จักกะพัดต่างด้าว” (พวกล่าเมืองขึ้น) เข้ามารุกราน จนได้รับนามยศเป็นวีรชนแห่งชาติ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นักเรียนลาวจะได้เริ่มเรียนประวัติศาสตร์ลาวอย่างละเอียดเป็นครั้งแรกจากตำรา “แบบเรียนโลกอ้อมตัวเรา” ชั้นประถมปีที่ 4 ซึ่งกล่าวถึงกษัตริย์ในฐานะวีรบุรุษของลาว ตั้งแต่กษัตริย์พระองค์แรกคือเจ้าฟ้างุ่มซึ่งเป็นผู้รวบรวมอาณาจักรลาวให้เป็นปึกแผ่น เรื่อยมาจนกระทั่งลาวตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม เนื่องจากการขัดแย้งกันเองของกลุ่ม “สักดินาลาว” ตำราได้กล่าวถึงการกระทำของพวกสยามไว้ ดังนี้

“…ในตะหลอดเวลาที่ตกเป็นเมืองขึ้นของสะหยาม ปะชาชนลาวได้ถืกกดขี่อย่างหนักหน่วง พวกเขาเจ้าได้ถืกเก็บเกนไปออกแรงงานเฮ็ดเวียกสับพะทุกในทุก ๆ อย่าง เพื่อรับใช้แก่สักดินาสะหยาม เช่น : ไปขุดคองน้ำป้องกันตัวเมืองหลวงเชิ่งเอิ้นว่า ‘คองแสนแสบ’ และอื่น ๆ ด้านการปกคอง เจ้าชีวิดสะหยามได้เป็นผู้กำหนดแต่งตั้งเจ้าชีวิดลาวโดยตงเพื่อปกคอง พ้อมทั้งบังคับสักดินาลาวต้องร่วมมือกับสักดินาสะหยามดำเนินการปาบปามพวกที่ลุกขึ้นต่อสู้กับสะหยาม…”

แบบเรียนโลกอ้อมตัวเรา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (1997), หน้า 114


@@@@@@@

ในช่วงที่เจ้าอนุวงฯ “ก่อการกบฏ” ในสายตาของคนไทยนี้เอง ตำราเรียนโลกอ้อมตัวเราได้สอนนักเรียนลาวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ช่วงนี้ในอีกแง่มุมหนึ่ง ดังความต่อไปนี้

“…นับแต่เวลาที่อานาจักลาวล้านช้างได้ตกเป็นเมืองขึ้นของสักดินาสะหยาม ได้เกิดมาขะบวนการต่อสู้กู้ชาดของปะชาชนลาวต้านพวกสักดินาสะหยามมาโดยตะหลอด ในนั้นอันเด่นกว่าหมู่ แม่นการลุกขึ้นต่อสู้ในทั่วปะเทด โดยแม่นเจ้าอะนุวงวิละชนแห่งชาดเป็นผู้นำพา ในปี ค.ส. 1827 เถิง 1828

เพื่อต้านคืนกับ นะโยบายของบางกอกที่อยากหันเอาพนละเมืองลาวเป็นพนละเมืองสะหยาม ส่งคอบคัวคนลาวที่ถืกบังคับให้อบพะยบไปอยู่สะหยามแต่คาวก่อน กับคืนมาอยู่ในอานาจักล้านช้างคือเก่า แต่ก็ถืกเจ้าชีวิดสะหยามปะติเสด เจ้าอานุจึ่งได้จัดกองทับแบ่งออกไปเป็น 3 ปีก เดินทางม้งหน้าสู่บางกอก ดำเนินกานบุก ตียึดเอาโคลาด แล้วมาบขู่ว่าจะตีเข้าเมืองหลวงบางกอก แต่ถืกกองทับสะหยามที่นำพาโดยพะยาบอดินตีให้กองทับลาวแตกอยู่บั้นรบทุ่งสำริด

หลังจากนั้นกงทับลาวก็ถอยมาตั้งอยู่เมืองอุบน แต่ถืกเจ้าเมืองอุบนทำการกะบด เจ้าอนุ  พ้อมด้วยแม่ทับในกอง และทะหานได้ถอยทับมาตั้งอยู่หนองบัวลำพู อยู่ที่นี้ กองทับลาวได้ปะทะกับกองทัพสะหยาม และได้ทำกานสู้รบอย่างดุเดือด กองทับสะหยามก็เลยข้ามแม่น้ำของ (แม่น้ำโขง-ผู้เขียน) มายึดเอาพะนะคอนเวียงจันได้

…เพื่อปะติบัดตามบางกอก พะยาสุพาวดีแม่ทัพบสะหยาม ได้นำเอากำลังมาม้างเพทำลายเมืองเวียงจันอย่างราบเกี้ยงจนกายเป็นเมืองร้างในปี ค.ส. 1828

เถิงว่าจะปะลาไช เจ้าอานุก็ยังเป็นกะสัดลาวที่มีน้ำใจรักชาดอันสูงสุด ก้าเสียสะหละทุกอย่างเพื่อกอบกู้ปะเทดชาด นำพาปะชาชนลาวสร้างวีละกำอันล้ำเลิด ทั้งหมดได้สะแดงเถิงมูนเชื้อต่อสู้อันพิละอาดหาน บ่ยอมจำนนต่อสัดตู อันได้กายเป็นมูนเชื้อแบบอย่างแก่เยาวะชนลาวในต่อมา…”

@@@@@@@

แบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เน้นการสดุดีวีรกรรมของกษัตริย์และผู้นำลาวในช่วงสมัยต่าง ๆ ที่นำพาประเทศชาติให้รอดพ้นจากการคุกคามของ “สักดินาสะหยาม” และพม่า

ที่เน้นพิเศษก็คือ การต่อสู้ของคนลาวทุก ๆ ครั้ง เป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินของตนเอาไว้ มิใช่การรุกรานหรือการใช้อำนาจแสดงความป่าเถื่อนต่อชาติอื่น ๆ …

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียน (อ.วริษา) เชื่อว่า คณะผู้แต่งแบบเรียนคงไม่มีเจตนาที่จะปลูกฝังให้เยาวชนลาวเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อไทย เพราะหนังสือยังเขียนประณามกษัตริย์หลวงพระบางในบางสมัยที่ถูกไทยหลอกใช้ให้มาช่วยตีเอาเวียงจัน จุดประสงค์ในการบรรยายเหตุการณ์ดังกล่าวคงจะเขียนเพื่อปลุกจิตสำนึกให้เยาวชนลาวเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่คนในชาติขาดความสามัคคีกันแล้ว ประเทศชาติจะอ่อนแอ เป็นเหตุให้ชาติอื่นที่มีความเข้มแข็งกว่ามารุกรานเอาได้ง่าย ๆ

แบบเรียนภาษาลาวและวรรณคดี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยกระทรวงศึกษาธิการ สถาบันค้นคว้าวิทยาศาสตร์และศึกษาแห่งชาติ กล่าวถึงวรรณกรรมในรูปแบบของกาพย์ชิ้นหนึ่ง ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งและสมัยที่แต่ง

@@@@@@@

แต่คาดว่า ผู้แต่งเป็นเจ้าอนุฯ เพราะมีการบรรยายถึงการรุกรานของพวกศักดินาสยาม

วรรณกรรมเรื่องนี้มีชื่อว่า “สานลึบพะสูน” หรือสานลึบบ่สูน แปลว่า บังดวงตะวัน ดร.สุสด โพทิสาน และท่านหนูไซ พูมมะจัน (วิทยากร/นักวิชาการลาว) กล่าวว่าวรรณกรรมเรื่องนี้ แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ ตอนบังละหัด ตอนสมที่คิด และตอนสุดที่อ่าว

เนื้อหาของกาพย์สะท้อนให้เห็นภาพของดวงจันทร์ซึ่งถูกราหูบดบัง เหมือนดั่งเมืองเวียงจันถูกต่างชาติเข้ายึดครอง นาคถูกครุฑเปล่งรัศมีเข้าครอบ นาคหมายถึงประชาชนลาว ถูกครุฑซึ่งหมายถึงพวกศักดินาสยามเข้ามารุกรานและยึดครองลาว โดยรวมหมายถึงประชาชนสูญเสียเอกราช หนทางเดียวที่จะได้เอกราชกลับคืนคือพร้อมใจกันต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราช เช่น :

“…ปีกซ้ายปีกขวา   โยทาไหลออก
หอกง้าวทั้งปืน   ลูกแม้งดำโดน
เขาโตนออกค่าย   คนร้ายไล่ฟัน
ไทขับไล่ต้อน   เลือดข้อนไหลนอง
ตายกองต้นไม้   พ่องล้มคานไป
เป็นหมู่เป็นกอง   ละวองละวู่…”

กาพย์ในตอนนี้กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งคนลาวถูกกวาดต้อนไปสยาม และได้ถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมาก ส่วนกาพย์ต่อไปนี้ก็บรรยายถึงภาพที่น่าสลดหดหู่ เมื่อถูกคนไทยกวาดต้อนเอาครอบครัวลาวไป

“…พวกเขาตีเขาฟาด   โอกาดเนืองนอง
ร้องคางหิวไห้   เสิกไล่คัวลง
เขาปงคำฆ่า   กินหย้าคังโทม
เสิกโจมแผ่นผ่าน   ไทม่านไทยวน
ทั้งพวนทั้งลาว   หญิงสาวร้องไห้
เสิกได้ปันกับ   น้ำเนตรนองตา
เชียงเดดเชียงงา วัดวาสูนเส้า…”

อ.นู ไซยะสิดทิวง ใน สำมะนาประหวัดสาดลาว : ตามหารอยเจ้าอะนุวง 1997, หน้า 53-54.

@@@@@@@

ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า เป็นธรรมดาที่ชนชาติหนึ่งจะเป็นตัวร้ายในประวัติศาสตร์ของอีกชนชาติ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนยุคปัจจุบันจะต้องเป็นคู่อาฆาตกัน ในยุคที่การกวาดต้อนผู้คน เข่นฆ่า ช่วงชิงทรัพยากร ตลอดจนทำลายเมืองทั้งเมือง เป็น “เทรนด์” ของโลกยุคจารีต คนรุ่นหลังหรือผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ต้องเปิดใจกว้างทำความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์เหล่านี้ รวมถึงชุดความคิดอันนำมาสู่การถ่ายทอดหรือเผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะในสื่อฯ หรือ “ตำราเรียน” ที่สร้างโดยรัฐ

ก็ในเมื่อพม่ายังเป็น “ตัวร้าย” ในประวัติศาสตร์ไทย โทษฐานทำลายกรุงศรีอยุธยา สยามจะเป็นตัวร้ายในประวัติศาสตร์ลาวบ้างก็คงไม่ใช่หนักหนาจนเกินจะยอมรับ…


อ่านเพิ่มเติม :-

   • “ศึกเจ้าอนุวงศ์” สงครามปลดแอกชาติลาว
   • ความปราชัยของ “เจ้าอนุวงศ์” วิเคราะห์เหตุความพ่ายแพ้ของมหาราชชาติลาว
   • พระราชพิธีตัดไม้ข่มนามในสงครามปราบเจ้าอนุวงศ์






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 26 เมษายน 2567
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_131562
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “อคติ” ยอดฮิตที่คนเผลอคิดแบบไม่รู้ตัว เมื่อ: เมษายน 27, 2024, 07:26:18 am
.



“อคติ” ยอดฮิตที่คนเผลอคิดแบบไม่รู้ตัว

ถ้าคุณท่องโลกโซเชียลในช่วงนี้ คุณอาจเห็นคำๆ หนึ่งที่ปรากฏตัวออกมาบ่อยๆ คำๆ นั้นก็คือ “Bias” ที่แปลว่า อคติ หรือก็คือ ความลำเอียง ที่ใจของเราเทไปในทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งมากเกินไป แบบที่ไม่ได้ใช้เหตุผลเข้ามากำกับ แต่ใจมันชอบล้วนๆ หรือบางทีก็อาจมองสิ่งนั้นในแง่ลบมากจนเกินไป

@@@@@@@

3 อคติ หลุมพลางแห่งความคิด และจิตใจตามกลไกสมอง

วันนี้เราจะมาตีแผ่เรื่องที่มีกลิ่นอายความขมของดาร์กไซด์เข้ามาปะปนนิด ๆ เรื่องไหนที่ใจเรามักเผลอคิด “อคติ” ไปแบบไม่รู้ตัว

    1. Blind Spot Bias คนอื่นล้วนมีแต่อคติต่อฉัน!
    เป็นหลุมพรางที่มองว่าตัวเราไม่ได้มีอคติต่อคนอื่นนะ แต่คนอื่นต่างหากที่มักจะมีอคติต่อตัวเรา! ซึ่งจะทำให้เป็นการปิดกั้นความคิดเห็นของคนอื่น ไม่นำสิ่งที่เขาคอมเมนต์มาคิดวิเคราะห์ต่อยอด ซึ่งก็อาจจะทำให้คุณพลาดอะไรไปก็ได้ และยังเป็นการมองตัวเองในแง่ดี “มากจนเกินไป” ด้วย

    2. Fundamental Attribution Error ความผิดเขาเท่าภูเขา ความผิดเราเท่าเส้นผม
    เป็นอคติที่มีความลำเอียงแบบสุด ๆ เลย คนที่มีอคติประเภทนี้ มักมองว่าปัญหาที่คนอื่นก่อขึ้นมันเป็นเรื่องร้ายแรงมาก (ถึงแม้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมันจะไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่คุณคิดก็ตาม) ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวเรา ก็มักจะมีข้ออ้างหรือเหตุผลมาเสริมเสมอ

    3. Stereotypical Bias เหมารวมไปเลย
    เป็นหนึ่งในอคติที่พบมากที่สุด เป็นการเหมารวมเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากประสบการณ์ของตัวเอง เช่น เจอผู้ชายเจ้าชู้ก็เหมารวมว่า ผู้ชายจะต้องเจ้าชู้เหมือนกันหมดทั้งโลก หรือตัวเองเกิดมาในครอบครัวที่ดีมีความรักความอบอุ่น ก็เหมารวมว่าทุกครอบครัวจะต้องเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด ไม่ยอมรับความแตกต่าง ไม่ยอมรับความทุกข์ของผู้อื่น

@@@@@@@

เราทุกคนสามารถเป็นคนที่มีจิตใจที่เปิดกว้างมากขึ้นได้ ขอเพียงแค่ไม่ได้มองแค่มุมตัวเราเพียงฝ่ายเดียว แต่ลอง “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ลองคิดดูสิว่าถ้าเป็นเรา เราจะรู้สึกยังไงในสถานการณ์นั้น และพยายามทำใจให้กว้าง มองโลกในหลายแง่มุมทำความเข้าใจว่าชีวิตของแต่ละคนนั้น “ไม่เหมือนกัน” 

สุดท้าย คุณจะเป็นคนที่เข้าใจโลกได้มากขึ้น ได้พัฒนาความคิดของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น แล้วคุณจะได้เจอสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน





ขอบคุณ : https://www.beartai.com/life/1375140
โดย ภูษิต เรืองอุดมกิจ | 17/04/2024
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สัลเลขสูตร : ว่าด้วย ธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส เมื่อ: เมษายน 26, 2024, 07:55:03 am
.



สัลเลขสูตร

ว่าด้วย : ธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส
เหตุการณ์ : พระมหาจุนทะถามพระพุทธองค์ถึงอุบายการละทิฏฐิต่าง ๆ พระพุทธองค์ทรงให้อุบายการละทิฏฐิแล้ว ทรงแสดงธรรมเรื่องธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ธรรมสำหรับหลีกเลี่ยงคนชั่ว และอุบายการบรรลุนิพพาน




 :25:

อุบายในการละทิฏฐิ

ทิฏฐิเหล่านั้นเกิดขึ้นในอารมณ์ใด นอนเนื่องอยู่ในอารมณ์ใด และท่องเที่ยวอยู่ในอารมณ์ใด ให้พิจารณาเห็นอารมณ์นั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นมิใช่ของเรา เรามิใช่นั่น นั่นมิใช่ตัวตนของเรา

พระผู้มีพระภาคไม่ทรงกล่าวว่า การเข้าฌาน ๑ - ฌาน ๘ เป็นธรรมเครื่องขัดเกลาในวินัยของพระอริยะ เป็นเพียงธรรมเครื่องอยู่สงบระงับ 


ธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส

เธอทั้งหลายพึงทำความขัดเกลากิเลสในข้อเหล่านี้ คือ เธอทั้งหลายพึงทำความขัดเกลาว่า

ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้เบียดเบียนกัน ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่เบียดเบียนกัน
ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้ฆ่าสัตว์ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักงดเว้นจากการฆ่าสัตว์
ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้ลักทรัพย์ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักงดเว้นจากการลักทรัพย์
ชนเหล่าอื่นจักเสพเมถุนธรรม ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักประพฤติพรหมจรรย์

ชนเหล่าอื่นจักกล่าวเท็จ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักงดเว้นจากการกล่าวเท็จ
ชนเหล่าอื่นจักกล่าวส่อเสียด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักงดเว้นจากการกล่าวส่อเสียด
ชนเหล่าอื่นจักกล่าวคำหยาบ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักงดเว้นจากการกล่าวคำหยาบ
ชนเหล่าอื่นจักกล่าวคำเพ้อเจ้อ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักงดเว้นจากการกล่าวเพ้อเจ้อ

ชนเหล่าอื่นจักมักเพ่งเล็งภัณฑะของผู้อื่น ในข้อนี้เราทั้งหลายจักไม่เพ่งเล็งภัณฑะของผู้อื่น
ชนเหล่าอื่นจักมีจิตพยาบาท ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่มีจิตพยาบาท
ชนเหล่าอื่นจักมีความเห็นผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีความเห็นชอบ
ชนเหล่าอื่นจักมีความดำริผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีความดำริชอบ

ชนเหล่าอื่นจักมีวาจาผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีวาจาชอบ
ชนเหล่าอื่นจักมีการงานผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีการงานชอบ
ชนเหล่าอื่นจักมีอาชีพผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีอาชีพชอบ
ชนเหล่าอื่นจักมีความเพียรผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีความเพียรชอบ

ชนเหล่าอื่นจักมีสติผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีสติชอบ
ชนเหล่าอื่นจักมีสมาธิผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีสมาธิชอบ
ชนเหล่าอื่นจักมีญาณผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีญาณชอบ
ชนเหล่าอื่นจักมีวิมุติผิด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีวิมุติชอบ

ชนเหล่าอื่นจักถูกถีนมิทธะกลุ้มรุม ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักปราศจากถีนมิทธะ
ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้ฟุ้งซ่าน ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
ชนเหล่าอื่นจักมีวิจิกิจฉา ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักข้ามพ้นจากวิจิกิจฉา
ชนเหล่าอื่นจักมีความโกรธ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่มีความโกรธ

ชนเหล่าอื่นจักผูกโกรธไว้ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่ผูกโกรธไว้
ชนเหล่าอื่นจักลบหลู่คุณท่าน ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่ลบหลู่คุณท่าน
ชนเหล่าอื่นจักยกตนเทียมท่าน ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่ยกตนเทียมท่าน
ชนเหล่าอื่นจักมีความริษยา ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่มีความริษยา

ชนเหล่าอื่นจักมีความตระหนี่ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่มีความตระหนี่
ชนเหล่าอื่นจักโอ้อวด ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่โอ้อวด
ชนเหล่าอื่นจักมีมารยา ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่มีมารยา
ชนเหล่าอื่นจักดื้อด้าน ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่ดื้อด้าน

ชนเหล่าอื่นจักดูหมิ่นท่าน ในข้อนี้เราทั้งหลายจักไม่ดูหมิ่นท่าน
ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้ว่ายาก ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้ว่าง่าย
ชนเหล่าอื่นจักมีมิตรชั่ว ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักมีกัลยาณมิตร
ชนเหล่าอื่นจักเป็นคนประมาท ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นคนไม่ประมาท

ชนเหล่าอื่นจักเป็นคนไม่มีศรัทธา ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นคนมีศรัทธา
ชนเหล่าอื่นจักไม่มีหิริ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้มีหิริในใจ
ชนเหล่าอื่นจักไม่มีโอตตัปปะ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้มีโอตตัปปะ
ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้มีสุตะน้อย ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้มีสุตะมาก

ชนเหล่าอื่นจักเป็นคนเกียจคร้าน ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้ปรารภความเพียร
ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้มีสติหลงลืม ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้มีสติดำรงมั่น
ชนเหล่าอื่นจักเป็นคนมีปัญญาทราม ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นคนถึงพร้อมด้วยปัญญา

@@@@@@@

ชนเหล่าอื่นจักเป็นคนลูบคลำทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างมั่นคง และสละคืนได้โดยยาก ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่เป็นผู้ลูบคลำทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างมั่นคง และสละคืนได้โดยง่าย

เราย่อมกล่าวแม้จิตตุปบาทว่า มีอุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลาย ก็จะต้องกล่าวไปไยในการจัดทำให้สำเร็จ ด้วยกาย ด้วยวาจาเล่า

เพราะเหตุนั้นแหละ จุนทะในข้อนี้ เธอทั้งหลายพึงให้จิตเกิดขึ้นว่า ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้เบียดเบียนกัน ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่เบียดเบียนกัน ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้ฆ่าสัตว์ ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้ลูบคลำทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างมั่นคง และสละคืนได้โดยยาก ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ลูบคลำทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างมั่นคง และสละคืนได้โดยง่าย


@@@@@@@

การปฏิบัติเพื่อการขัดเกลากิเลส เป็นธรรมเพื่อหลีกเลี่ยงคนชั่ว

    ผู้ที่ตนเองจมอยู่ในเปือกตมอันลึกแล้ว จักยกขึ้นซึ่งบุคคลอื่นที่จมอยู่ในเปือกตมอันลึก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีไม่ได้
    ผู้ที่ตนเองไม่จมอยู่ในเปือกตมอันลึก จักยกขึ้นซึ่งบุคคลอื่นที่จมอยู่ในเปลือกตมอันลึก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้
    ผู้ที่ไม่ฝึกตน ไม่แนะนำตน ไม่ดับสนิทด้วยตนเอง จักฝึกสอน จักแนะนำผู้อื่น จักให้ผู้อื่นดับสนิท ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีไม่ได้
    ผู้ที่ฝึกตน แนะนำตน ดับสนิทด้วยตนเอง จักฝึกสอน จักแนะนำผู้อื่น จักให้ผู้อื่นดับสนิท ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้
    การปฏิบัติเพื่อการขัดเกลากิเลส เป็นเหตุแห่งความเป็นเบื้องบน เหตุแห่งความดับสนิท

แล้วทรงตรัสต่อไปว่า

    เหตุแห่งธรรมเครื่องขัดเกลา เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งจิตตุปบาท เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งการหลีกเลี่ยง เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งความเป็นเบื้องบน เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งความดับสนิท เราได้แสดงแล้ว ด้วยประการฉะนี้  กิจอันใดที่ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์ เอ็นดูอนุเคราะห์ แก่เหล่าสาวกจะพึงทำ กิจนั้นเราทำแก่เธอทั้งหลายแล้ว

    นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งพินิจเถิด อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย นี้เป็นคำสอนของเราสำหรับเธอทั้งหลาย





ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : สัลเลขสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ ข้อที่ ๑๐๐-๑๐๙
URL : https://uttayarndham.org/node/1316
20  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พนักงานลาบวชได้กี่วัน.? ตามกฎหมายแรงงาน เมื่อ: เมษายน 26, 2024, 07:16:51 am
.



HR ต้องรู้! พนักงานลาบวชได้กี่วัน? ตามกฎหมายแรงงาน

HR หลายคนยังคงมีคำถามว่า จริงๆ แล้วตามกฎหมายแรงงาน พนักงานลาบวชได้กี่วัน? และได้รับเงินเดือนตามปกติหรือไม่? มาหาคำตอบในบทความนี้



 :25:

พนักงานลาบวชได้กี่วัน.? ตามกฎหมายแรงงาน

ในส่วนของงานราชการนั้น ถูกระบุไว้ชัดเจนว่า สามารถลาบวชได้ 120 วัน ต้องยื่นขอลาล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วัน โดยจะต้องรับราชการมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน แต่ตามกฎหมายแรงงานยังไม่มีกำหนดเรื่องสิทธิกาลาบวชสำหรับองค์กรเอกชนไว้ใน พรบ.คุ้มครองแรงงาน ดังนั้นองค์กรเอกชนแต่ละองค์กรจึงสามารถกำหนดสิทธิวันลาบวชได้เอง โดย HR สามารถจัดให้เป็นสวัสดิการบริษัทเพิ่มเติมจากที่กฎหมายแรงงานกำหนดได้เลย

ตัวอย่างหลักเกณฑ์สิทธิการลาบวชที่องค์กรเอกชนส่วนมากกำหนดไว้ดังนี้

    1. มีอายุงาน 1 ปีขึ้นไป
    2. ลาบวชได้ 15 วัน โดยได้รับค่าจ้างตามปกติ
    3. ลาบวชได้ไม่เกิน 60 วัน โดยได้รับอนุมัติจากหัวหน้างาน
    4. ใช้สิทธิลาบวชได้ 1 ครั้ง ตลอดอายุการทำงาน

หากไม่ได้กำหนดไว้ ก็สามารถแนะนำให้พนักงานใช้สิทธิลากิจ ลาพักร้อน หรือใช้สิทธิวันลากิจตามที่ พรบ.คุ้มครองแรงงาน ระบุไว้ว่าการลาไปปฎิบัติธรรมทางศาสนาตามธรรมเนียมปฏิบัติ อย่าง งานบวช เป็น วันลากิจประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถลาแบบได้รับค่าจ้าง 3 วันต่อปี




แล้วเมื่อพนักงานเอกชนลาบวช จะได้รับเงินตามปกติหรือไม่.?

คำตอบคือ เมื่อพนักงานเอกชนลาบวช จะได้รับเงินเดือนตามปกติหรือไม่ เป็นเวลากี่วัน ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละองค์กรกำหนดเลย เพราะทางกฎหมายแรงงานก็ไม่ได้มีกำหนดในเรื่องนี้ไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยส่วนมากองค์กรเอกชนทั่วไปมักจะกำหนดสิทธิการลาบวช 15 วัน โดยได้รับค่าจ้าง หรือแล้วแต่การตกลงเป็น Case by case ไปอีกที

สรุปสิทธิการลาบวชตามกฎหมายแรงงานในองค์กรเอกชน

เมื่อกฎหมายแรงงานไม่ได้กำหนดสิทธิการลาบวชไว้ HR จึงสามารถกำหนดสิทธิการลาในองค์กรของตนเองตามความเหมาะสม หรือตามหลักเกณฑ์ที่แนะนำไว้ดังกล่างได้เลย โดยกำหนดไว้ในกฎระเบียบบริษัท เพื่อความเป็นระเบียบและชัดเจนในการทำงานร่วมกัน





ขอบคุณที่มา : https://www.humansoft.co.th/th/blog/ordination-leave?utm_source=Taboola&utm_medium=hms_tab_blog_cpc&utm_campaign=ordination-leave_1&tblci=GiAS-TOUCWbnNlLjdwtnnulcBgB8ML0IJ3ZBMLnbiatvsSDkyGQoj6ry9bzc4IQB#tblciGiAS-TOUCWbnNlLjdwtnnulcBgB8ML0IJ3ZBMLnbiatvsSDkyGQoj6ry9bzc4IQB
14/11/2023 | HR Knowledge
21  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การเสื่อมสลายของ "ปราสาทขอม" ในดินแดนไทย มาจากสาเหตุและปัจจัยใดบ้าง.? เมื่อ: เมษายน 26, 2024, 06:44:15 am
.

พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี


การเสื่อมสลายของ "ปราสาทขอม" ในดินแดนไทย มาจากสาเหตุและปัจจัยใดบ้าง.?

ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงจากการยึดถือศาสนาพราหมณ์ฮินดู ผสมผสานกับพุทธมหายานของขอม มาเป็นพุทธเถรวาทลังกา เมื่อราวต้นพุทธศักราช 1800 ในดินแดนลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก ตลอดจนบริเวณที่ราบสูงอีสาน เราจะพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงช่วงแรกเริ่มของการเปลี่ยนแปลงว่ายังคงยึดถือรูปแบบสถาปัตยกรรมขอมดั่งเดิม นั่นคือ ปรางค์ประธาน ซึ่งเดิมใช้สำหรับประดิษฐานรูปเคารพของพราหมณ์ เปลี่ยนมาเป็นรูปเคารพทางพุทธศาสนาเข้าแทนที่ ส่วนอื่นๆ ของ ปราสาทขอม เช่น มณฑป หรืออาคารด้านหน้าของปรางค์นั้น สามารถดัดแปลงมาเป็นพื้นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาได้

ถึงแม้ว่าจะไม่สอดคล้องกับความต้องการพื้นที่ใช้สอยได้โดยตรง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นทางออกที่ดีสำหรับช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ



สภาพปูนฉาบผิวนอกของปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี ที่สึกกร่อนลงตามกาลเวลา เผยให้เห็นถึงโครงสร้างอิฐก่อชิดย่อมุม อันเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสถาปัตยกรรมปราสาทขอมในยุคแรกเริ่ม

ปราสาทขอมที่ได้รับการดัดแปลงเพื่อประโยชน์ของพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งพบว่ามีจำนวนไม่มากนัก ได้มีการใช้สอยอาคารอย่างต่อเนื่องมาได้ระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยทิ้งร้างไปในที่สุด และเป็นที่น่าสังเกตว่าปราสาทขอมที่ได้รับการดัดแปลงประโยชน์ใช้สอยดังกล่าวนี้ จะอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ในรูปโครงสร้าง ความทรุดโทรมจะถูกจำกัดเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ส่วนปราสาทขอมที่สำคัญอื่นๆ ในบริเวณที่ราบสูงอีสานนั้น กลับไม่พบการใช้ประโยชน์ต่อเนื่อง แต่เป็นการหยุดใช้งานลงโดยฉับพลันในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงศาสนาและการปกครอง จากพราหมณ์ฮินดูมาเป็นพุทธเถรวาทลังกาแทบทั้งสิ้น

ปราสาทขอมที่มิได้รับการดัดแปลงให้ใช้งานต่อเนื่องในบริเวณดังกล่าว จะถูกทิ้งร้างหรือทำลายลงด้วยสาเหตุต่างๆ ซึ่งสามารถแบ่งแยกโดยทั่วไปได้ ดังนี้

1. อาคารถูกทิ้งร้างให้เสื่อมโทรมลงตามสภาพธรรมชาติ
2. อาคารถูกทำลายลงโดยแรงกระทำของธรรม ชาติ เช่น แผ่นดินไหว พายุ น้ำหลาก ฟ้าผ่า
3. อาคารถูกทำลายลงโดยอัคคีภัย
4. อาคารถูกทำลายลงโดยการเสื่อมสภาพของโครงสร้าง
5. อาคารถูกทำลายลงด้วยน้ำมือมนุษย์

ในการพิจารณาการเสื่อมสลายของ ปราสาทขอม ในดินแดนไทยนั้น จำต้องศึกษาโดยละเอียดในแต่ละอาคารถึงสภาพที่เป็นอยู่ในช่วงก่อนได้รับการบูรณะว่ามีสภาพเป็นอย่างไร จากนั้นจึงเปรียบเทียบหลักฐานจากรายละเอียดของชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมที่ขุดหรือค้นพบจากบริเวณโดยรอบอาคาร เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับชิ้นส่วนที่ยังคงสภาพอยู่กับตัวอาคาร เราจะพบความแตกต่างที่บ่งบอกถึงระยะเวลาของการถูกทำลายลงและทิ้งร้างได้ว่ายาวนานไปเพียงไร เนื่องจากชิ้นส่วนของลวดลายต่างๆ มักแกะสลักจากหินทราย ซึ่งเมื่อถูกฝังกลบในชั้นดินแล้วจะคงสภาพเดิมตลอดไป ซึ่งแตกต่างกับลวดลายเหล่านั้นที่ยังคงอยู่บนตัวอาคาร ย่อมสลายตัวลงตามสภาวะการกัดกร่อนของธรรมชาติ

องค์ประกอบอีก 2 ประการ ที่มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับการเสื่อมสลายของตัวอาคาร ได้แก่
    - รูปแบบหรือเทคนิคการก่อสร้าง และ
    - วัสดุที่นำมาใช้ว่ามีความคงทนต่อสภาพดินฟ้า หรือแรงกระทำอื่นๆ อย่างไร



ปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี


1. อาคารถูกทิ้งร้างให้เสื่อมโทรมลงตามสภาพธรรมชาติ

สภาพดินฟ้าอากาศถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการกัดกร่อนผิววัสดุอาคารปราสาทขอม ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบด้วยวัสดุหลัก 4 ประเภท ได้แก่ อิฐเปลือย อิฐฉาบปูน ศิลาแลง และหินทราย ความชื้นและความร้อนถือเป็นตัวการที่สำคัญในการทำลายวัสดุเหล่านี้ให้เสื่อมสภาพ ทุกครั้งที่อาคารเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน และถูกแผดเผาด้วยความร้อนระอุของแสงแดดในเวลาต่อมา ส่วนหนึ่งของอณูที่ยึดประกอบเป็นพื้นผิวของวัสดุจะแตกสลายลง ผิวอาคารประเภทก่ออิฐฉาบปูนจะเริ่มแตกร้าวและสลายตัวลงก่อนในชั่วอายุคน ส่วนผนังที่ก่ออิฐเผาเรียบจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าถึงหลายชั่วอายุคน

ปราสาทขอมที่ก่อสร้างด้วยวัสดุประเภทหินทรายขาว เช่น ปรางค์ประธานปราสาทพิมายนั้น จะมีอายุการใช้งานที่สูงมากนับพันปีขึ้นไปโดยไม่เสื่อมสลาย ถ้าสังเกตให้ดีจะพบลวดลายแกะสลักหินทรายบริเวณเรือนธาตุของปรางค์ประธาน ยังคงสภาพความสมบูรณ์สูงมาก แสดงถึงความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศของวัสดุที่สถา ปนิกหรือวิศวกรผู้สร้างสรรค์เลือกนำมาใช้เป็นอย่างดี

2. อาคารถูกทำลายลงโดยแรงกระทำของธรรมชาติ

นอกจากการถูกกัดกร่อนโดยสภาพดินฟ้าอากาศตามธรรมชาติแล้ว แรงกระทำโดยตรงจากธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว น้ำหลาก ฟ้าผ่า ลมพายุ หรือแม้ แต่การฝังรากลงในตัวอาคารของต้นไม้ใหญ่ ยังเป็นสาเหตุสำคัญในการพังทลายลงของอาคารโดยทั่วไป

สำหรับปราสาทขอมในไทย เราไม่พบการพังทลายโดยน้ำท่วมหรือน้ำหลาก อาจเป็นไปได้ว่าสถาปนิกจะเลือกชัยภูมิที่สูงจึงรอดพ้นสภาวะอันตรายนี้ได้ ส่วนกรณีลมพายุนั้นไม่มีผลต่ออาคารที่มีลักษณะการก่อสร้างมั่นคงด้วยอิฐและหินล้วนได้ สำหรับฟ้าผ่านั้นอาจก่อให้เกิดความร้อนต่อส่วนยอดสุดของปรางค์หรือกลศ มีตรีศูลเป็นโลหะ ทำหน้าที่เสมือนสายล่อฟ้า เป็นเหตุให้กลศอาจแตกสลายลงได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้อาคารพังทลายลงทั้งหลัง

สาเหตุที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อโครงสร้างอาคารปราสาทขอมได้ก็คือแผ่นดินไหว ในขณะที่ผิวโลกเคลื่อนที่ไปมาในแนวราบ ร่วมกับการเคลื่อนไหวในแนวดิ่งเป็นการออสซิเลต (oscil-late) ยังผลให้เกิดความเครียดอย่างมหาศาลในวัสดุที่รองรับมวลน้ำหนักของโครงสร้างทั้งหมดที่อยู่เหนือขึ้นไป ผลก็คือวัสดุประเภทอิฐและหินที่มีความยืดหยุ่นตัวได้น้อย จะแตกร้าวไม่สามารถรับน้ำหนักได้อีกต่อไป และส่วนของอาคารที่อยู่เหนือขึ้นไปจะพังทลายลงมากองกับพื้น โดยทั่วไปแล้วตำแหน่งของจุดเครียดของวัสดุจะอยู่ที่ระดับความสูง 2 ใน 5 ของอาคาร

จากการสำรวจโดยทั่วไปแล้ว ไม่พบข้อบ่งชี้การพังทลายของปราสาทขอมในที่ราบสูงอีสานว่าเกิดจากแผ่นดินไหว ด้วยเหตุว่าหากแผ่นดินไหวเป็นสาเหตุจริง เราจะพบรอยแตกแยกของวัสดุในตำแหน่งดังกล่าวปรากฏอย่างชัดเจน และไม่เพียงแต่ปรางค์ประธานเท่านั้นที่ถูกทำลายลง แต่ปรางค์ข้างเคียงรวมทั้งอาคารส่วนประกอบอื่นๆ และกำแพงแก้วจะพังทลายลงในลักษณะเดียวกันและพร้อมกันอีกด้วย



(ซ้าย) ปรางค์ด้านทิศเหนือของวัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย, (ขวา) ปรางค์ประธานปราสาทนารายณ์เจงเวง จังหวัดสกลนคร


3. อาคารถูกทำลายลงโดยอัคคีภัย

ไฟไหม้จะเป็นด้วยอุบัติเหตุหรือจงใจก็ตาม สามารถทำลายอาคารทั้งหลังลงได้ แต่คงไม่ใช่ในกรณีปราสาทขอมในไทย ด้วยเหตุว่ามีชิ้นส่วนของโครง สร้างไม้ที่เป็นวัสดุติดไฟประกอบอยู่น้อยมากจะมีก็เพียงฝ้าเพดานขนาดเล็กในห้องโถงภายในของปรางค์หรือมณฑป และโครงสร้างหลังคาส่วนประกอบอื่นของปราสาท ที่มิใช่เป็นส่วนโครงสร้างหลัก ดังนั้นประเด็นอาคารพังทลายลงอันเนื่องมาจากอัคคีภัยจึงมิใช่ประเด็นของปราสาทขอมในไทย

@@@@@@@

4. อาคารถูกทำลายลงโดยการเสื่อมสภาพของโครงสร้าง

การเสื่อมสภาพของโครงสร้าง มักเป็นสาเหตุสำคัญของการพังทลายลงในอาคารต่างๆ ที่เห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสื่อมสภาพของฐานราก หรือฐานรากทรุดตัวนั่นเอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในอาคารยุคสมัยเกี่ยวกับปราสาทขอมในไทยคือ บุโรพุทโธ ของอินโดนีเซีย ที่พื้นฐานดาดฟ้าชั้นบนของอาคารทรุดตัวลงอันเนื่องมาจากฐานที่บดอัดไว้ทรุดตัว เป็นเหตุให้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในชั้นบนของอาคารพังทลายลงโดยสิ้นเชิง

แต่จากการตรวจสอบสภาพฐานรากอาคารปราสาทขอมในไทยโดยทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่พบสาเหตุดังกล่าว วิศวกรปราสาทขอมคงตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ และก่อฐานอาคารโดยเฉพาะปรางค์ประธานที่จะสูงใหญ่เป็นพิเศษให้มีความคงทนตลอดไปได้เป็นอย่างดี สาเหตุหลักอีกประการที่พบเห็นเกิดจากการใช้หินทรายแดงเป็นวัสดุโครงสร้าง เนื่องจากหินทรายแดงมีคุณสมบัติที่สามารถกะเทาะร่อนได้ง่าย ดังนั้นการผุกร่อนของวัสดุชนิดนี้ อาจทำให้อาคารทรุดตัวและพังทลายลงได้

@@@@@@@

5. อาคารถูกทำลายลงด้วยน้ำมือมนุษย์

เมื่อธรรมชาติมิใช่สาเหตุการพังทลายของปราสาทขอมในไทยแล้ว สาเหตุสุดท้ายซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักเพียงประการเดียวคือฝีมือของมนุษย์นั่นเอง การรื้อทำลายอาคารประเภทศาสนสถานโดยทั่วไปของมนุษย์ มักเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งดังนี้
    1. ขุดค้นหาสมบัติ
    2. ลักขโมยส่วนประกอบสถาปัตยกรรมของอาคาร
    3. ศึกสงคราม
    4. ความขัดแย้งทางศาสนา

เนื่องจากอาคารปราสาทขอมในไทยมีความแตกต่างจากพุทธสถานในสมัยอยุธยาที่มักจะบรรจุสิ่งสักการะหรือซุกซ่อนของมีค่าไว้ในเจดีย์ ปราสาทขอมจะไม่นิยมซุกซ่อนของมีค่าไว้ นอกจากมงคลวัตถุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ดังนั้นการขุดค้นหาสมบัติจึงมิใช่ประเด็นสาเหตุการพังทลาย

การลักลอบขโมยชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม เช่น ทับหลัง หรือกลีบขนุน หรือส่วนประดับอื่นๆ นั้นมีพบเห็นทั่วไป เป็นเหตุให้อาคารมีลักษณะเว้าแหว่งเช่นที่ปรากฏ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้อาคารทั้งหลังพังทลายลง

การศึกสงครามดูเป็นเรื่องร้ายแรงมากสำหรับอาคารพุทธสถานในสุโขทัย กำแพงเพชร หรืออยุธยา รวมทั้งเมืองต่างๆ ที่ไม่อาจรอดพ้นจากการทำลายล้างของศึกสงครามได้ แต่ดูเหมือนว่าศึกสงครามของกรุงสุโขทัยและของกรุงศรีอยุธยานั้น มิใช่สาเหตุที่เกิดกับปราสาทขอมในที่ราบสูงอีสาน เนื่องจากปราสาทขอมเหล่านั้นได้หมดความสำคัญลงก่อนหน้านั้นนานแล้ว และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปรื้อทำลาย อาจเป็นด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ที่ปรางค์ขอมทั้งสามที่สุโขทัย 1 แห่ง และลพบุรีอีก 2 แห่งนั้นสามารถรอดพ้นการทำลายมาได้ ในขณะที่อาคารพุทธสถานแทบทั้งหมดถูกทำลายลง

ความขัดแย้งทางศาสนาดูจะเป็นสาเหตุหลักที่ผลักดันคนกลุ่มหนึ่งที่นับถือศาสนาหนึ่ง เมื่อความขัดแย้งหรือโกรธแค้นต่อคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นับถืออีกศาสนาหนึ่งเข้ามาถึงจุดแตกหัก ก็จะยกพวกพากันเข้าไปรื้อถอนทุบทำลายศาสนสถานของอีกฝ่ายหนึ่ง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในทุกศาสนา ทุกมุมโลกมาช้านาน ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมาจนจบปัจจุบัน และเมื่อความขัดแย้งนี้ขยายตัวเป็นวงกว้างและทวีความรุนแรงขึ้น ก็กลายเป็นสงครามศาสนา ดังนั้นทฤษฎีของความขัดแย้งหรือการเปลี่ยนแปลงศาสนาจากพราหมณ์ฮินดูผสมผสานกับพุทธมหายาน มาเป็นพุทธเถรวาทลังกาที่เคร่งครัดในยุคปลดแอกอิทธิพลขอมนั้น ดูจะเป็นประเด็นหลักที่มีน้ำหนักมากและยากที่จะปฏิเสธได้

ข้อยืนยันจากหลักฐานโบราณวัตถุ ได้แก่ การพังทลายลงของปราสาทขอมในไทยนั้นเป็นอย่างมีระบบ นั่นคือปรางค์ประธาน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์สูงสุดของศาสนาพราหมณ์หรือวัฒนธรรมขอมจะถูกรื้อทำลาย จากนั้นส่วนยอดของปรางค์บริวารและบางส่วนของโคปุระจะถูกทำลาย ที่เหลือคือส่วนประดับต่างๆ จะถูกทำลาย เช่น หลังคาระเบียงคด สะพานนาคราช และเสานางเรียง เป็นต้น

@@@@@@@

เป็นที่น่าสังเกตว่าการพังทลายของปราสาทขอมแทบทั้งหมดในเขตอีสานสูง เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ยกเว้นอาคารประเภทอโรคยศาล หรือธรรมศาลาต่างๆ ที่สร้างไว้ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ด้อยความสำคัญในแง่สัญลักษณ์ของศาสนา ยังคงสภาพโครงสร้างที่ชัดเจนและสมบูรณ์เป็นส่วนใหญ่มิได้ถูกรื้อทำลาย

ข้อสังเกตที่ชี้ชัดถึงการพังทลายของปราสาทขอมในไทยอีกประการหนึ่งว่าเป็นผลจากการกระทำของธรรมชาติหรือมนุษย์ อยู่ที่ลักษณะของเศษหรือชิ้นส่วนของโครงสร้างที่กองทับซ้อนอยู่กับที่ หรือกระจัด กระจายไปคนละทิศละทาง ในกรณีของการพังทลายโดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะด้วยการเสื่อมสภาพของโครงสร้างหรือแรงกระทำอื่นๆ จากธรรมชาติ ชิ้นส่วนต่างๆ ของอาคารซึ่งประกอบด้วยหินก็ดี อิฐก็ดี จะแยกตัวออกจากกันเมื่อแรงยึดเหนี่ยวของวัสดุหมดไป วัสดุเหล่านั้นจะตกลงมากองที่พื้นโดยแรงโน้มถ่วงของโลก วัสดุจะแตกหักอันเป็นผลมาจากการอัดกระแทกของชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ตกตามกันลงมา การกระจัดกระจายจะอยู่ในวงจำกัด และค่อนข้างจะมีระเบียบในทิศทางของการพังทลาย

ในทางตรงกันข้าม หากการพังทลายนั้นเกิดจากการกระทำของมนุษย์แล้ว วิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดในยุคที่เครื่องจักรหรือระเบิดยังไม่ได้นำมาใช้ คือการใช้เชือกขนาดใหญ่คล้องส่วนต่างๆ ของยอดปรางค์ เช่น กลศ หรือกลีบขนุน และฉุดลากลงมาด้วยแรงมนุษย์หรือช้างงาน จากนั้นชิ้นส่วนที่เหลือจะเริ่มแยกตัวออกจากกันง่ายต่อการฉุดลากลงมา

ผลที่ปรากฏคือ เศษชิ้นส่วนจะกระจัดกระจายไร้ทิศทาง ไร้ระเบียบ ชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมของยอดปรางค์ที่ถูกชักรอกลงมาในลำดับต้นๆ นั้น อาจตกลงดินห่างจากอาคารพอสมควรและอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ในช่วงแรกของการบูรณะอาคารปราสาทหิน กรมศิลปากรได้ขุดค้นพบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่อยู่ในสภาพดีและสามารถนำมาตกแต่งเข้าที่เดิมได้ ซึ่งหากการพังทลายเกิดจากแรงกระทำของธรรมชาติแล้ว โอกาสที่ชิ้นส่วนเหล่านั้นจะอยู่รอดคงสภาพตามที่ปรากฏเห็นนั้นย่อมมีความเป็นไปได้น้อยมาก

@@@@@@@

ผลวิเคราะห์การเสื่อมสลายของ ปราสาทขอม ในไทย

การเสื่อมสภาพและพังทลายลงของปราสาทขอมในไทย แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะที่ชัดเจนคือ เกิดจากการทิ้งร้างและเกิดจากการทำลายโดยมนุษย์ จากการสำรวจพบว่ามีปราสาทขอมจำนวนน้อยที่รอดพ้นจากการทำลายของมนุษย์ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นฝีมือมนุษย์แทบทั้งสิ้น

1. ในส่วนแรกที่เกิดจากการทิ้งร้างให้ผุกร่อนลงตามธรรมชาติ ได้แก่ ปราสาทขอมทั้ง 2 องค์ ในจังหวัดลพบุรี คือพระปรางค์สามยอดซึ่งสร้างด้วยศิลาแลงฉาบด้วยปูนและหินทรายแกะลวดลายในส่วนประกอบสถาปัตยกรรม นักวิชาการเชื่อว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จากนั้นก็ได้รับการปฏิสังขรณ์และสร้างต่อเติมในสมัยพระนารายณ์มหาราชยุคกรุงศรีอยุธยา ส่วนอาคารอีกหลังหนึ่งคือปราสาทปรางค์แขก สร้างด้วยอิฐเผาขัดเรียบวางซ้อนกัน ผิวนอกฉาบปูน เชื่อว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 15 และได้รับการบูรณะต่อเติมภายหลังในสมัยอยุธยา

เป็นที่น่าสังเกตว่า ปราสาทขอมทั้ง 2 องค์นี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เป็นดินทับถมของผิวโลกมีความอ่อนตัวพอสมควร กับทั้งยังก่อสร้างด้วยวัสดุที่มีความคงทนไม่มากนัก คืออิฐและศิลาแลง ฉาบด้วยปูน แต่สภาพอาคารทั้งสองยังอยู่ในลักษณะสมบูรณ์ทางโครงสร้าง จากฐานถึงยอดอาคาร สภาพผิวของอาคาร ปราสาทปรางค์แขก ซึ่งมีอายุมากกว่าปรางค์สามยอด ไม่ต่ำกว่า 200 ปี จะอยู่ในสภาพที่สึกกร่อนมากกว่าตามธรรมชาติของวัสดุที่นำมาใช้ สิ่งที่น่าสนใจคือปราสาททั้งสองนี้ รอด พ้นจากการทำลายของมนุษย์ทั้งๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ของศึกสงครามตลอดระยะเวลา 400 ปีเต็ม ย่อมเป็นหลักฐานยืนยันได้ชัดเจนว่าอาคารปราสาทขอม ได้เลือกใช้เทคนิคและวัสดุการก่อสร้างที่สามารถยืนหยัดต้านภาวะการทำลายของธรรมชาติได้เป็นอย่างดี

อาคารปราสาทขอมอีก 2 องค์ที่รอดพ้นจากการทำลาย และคงสภาพโครงสร้างดั่งเดิมจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ปรางค์ด้านทิศเหนือของวัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย และปรางค์ประธาน ปราสาทนารายณ์เจงเวง จังหวัดสกลนคร ซึ่งอาคารทั้งสองได้มีการใช้งานต่อเนื่องที่ยาวนาน สำหรับปราสาทนารายณ์เจงเวงเป็นศิลปะแบบบาปวน สร้างด้วยศิลาแลงเป็นฐาน จากเรือนธาตุขึ้นไปจนจบส่วนยอดเป็นหินทราย โครง สร้างหลักจากส่วนฐานอาคารจนถึงส่วนยอดยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ส่วนบนของมุมด้านหน้าพังทลายลง สำหรับปราสาทขอมด้านทิศเหนือของวัดพระพายหลวงนั้น ยังคงสภาพโครงสร้างที่ดี เชื่อว่ามีการใช้งานต่อเนื่องระยะหนึ่ง

ส่วนปรางค์ประธานองค์กลางนั้น ได้รับการดัดแปลงเป็นส่วนหนึ่งของอาคารใหม่ที่สร้างต่อเติมเชื่อมเข้าหาจากด้านตะวันออก และสร้างพระพุทธรูปอิงอยู่บนผนังนั้น อาคารทั้งหลังรวมทั้งปรางค์ประธานถูกทำลายลงจากการศึกสงคราม ซึ่งปัจจุบันยังคงเหลือซากอาคารให้เห็นเป็นหลักฐานชัดเจน ส่วนปรางค์ด้านทิศใต้ได้ถูกรื้อถอนทำลายลงก่อนหน้านั้นนานแล้ว ทั้ง 2 อาคารปราสาทขอมเป็นตัวอย่างที่ดีถึงความคงทนถาวรต่อสภาพดินฟ้าอากาศของการก่อสร้าง

2. ส่วนที่ 2 ของปราสาทขอมในไทย เป็นลักษณะของการเสื่อมสลายอันเนื่องมาจากการทำลายของมนุษย์ อาจเรียกได้ว่าอาคารปราสาทขอมแทบทุกอาคารในเขตอีสานสูง อันได้แก่ โคราช บุรีรัมย์ ศรีสะ เกษ สุรินทร์ พังทลายลงโดยฝีมือคน ยกเว้นอาคารประเภทธรรมศาลา หรืออโรคยศาล ซึ่งจำนวนหนึ่งยังคงสภาพโครงสร้างที่ดีและเสื่อมสลายลงตามสภาพธรรมชาติในส่วนที่เป็นรายละเอียดของผิวนอกอาคาร



(ซ้าย) ปราสาทพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ก่อนการบูรณะ, (ขวา) ปรางค์พรหมทัต ปราสาทพิมาย


การพังทลายของปราสาทพิมาย

อาคารปราสาทขอมที่เป็นตัวอย่างชัดเจนของการพังทลายโดยฝีมือมนุษย์ ได้แก่ ปราสาทพิมาย อาคารที่โดดเด่นที่สุดของสถาปัตยกรรมขอมในไทย ตั้งอยู่ที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมานั่นเอง

ภาพถ่ายของสิ่งก่อสร้างก่อนการบูรณะโดยกรมศิลปากร จากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งมีศาสตรา จารย์ หม่อมเจ้ายาใจ จิตรพงศ์ ผู้อำนวยการบูรณะ และนายแบว์นาร์ด ฟิลลิปป์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสร่วมอยู่ด้วย ในช่วงปี พ.ศ. 2507-12 เป็นหลักฐานที่ดี ภาพถ่ายได้แสดงถึงอาคารหลักที่สำคัญทั้งสาม ได้แก่ ปรางค์ประธาน ปรางค์หินแดง ปรางค์พรหมทัต ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าปรางค์ประธานนั้น ส่วนยอดจะขาดหายไป คงเหลือแต่เฉพาะชั้นล่างสุดของวิมานที่ยังปรากฏครบสมบูรณ์ทั้งนาคปักและบันแถลง รวมถึงรายละเอียดสถาปัตยกรรมอื่นๆ ส่วนปรางค์หินแดงนั้น โครงสร้าง พังทลายลงมาเป็นแนวตั้งส่วนหนึ่ง สำหรับปรางค์พรหมทัตยังสมบูรณ์ทางโครงสร้างหากรายละเอียดสถาปัตย กรรมนั้นไม่ปรากฏให้เห็น



ปรางค์หินแดง ปราสาทพิมาย

ในลักษณะโครงสร้างของอาคารทั้งสาม เป็นการก่อด้วยหินสกัดผิวเรียบวางซ้อนกันจากฐานถึงส่วนยอดของโครงสร้างในลักษณะเดียวกันหมด ส่วนวัสดุที่นำมาใช้นั้นแตกต่างกันออกไป ปรางค์ประธานใช้หินทรายขาว ปรางค์พรหมทัตใช้ศิลาแลง ส่วนปรางค์หินแดงใช้หินทรายแดง

ในแง่วัสดุนั้นอาจกล่าวได้ว่ามีความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศและกาลเวลาที่แตกต่างกันออกไป หิน ทรายขาวจะมีความคงทนสูงสุดต่อดินฟ้าอากาศและอายุใช้งานยาวนานหลายพันปีไม่เสื่อมสภาพ ส่วนหินทรายแดงจะมีจุดอ่อนตรงที่สามารถแตกล่อนได้เมื่อกระทบความชื้นและแสงแดดสลับกันไป และศิลาแลงนั้น ถึงแม้จะมีความแกร่งน้อยกว่าหินทรายแดง แต่ก็ไม่แตกล่อนได้ง่าย

ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบภาพถ่ายดั่งเดิมก่อนการบูรณะกับคุณสมบัติของวัสดุที่นำมาใช้แล้ว ภาพของปรางค์หินแดงและปรางค์พรหมทัตดูจะสอดคล้องกันดี เนื่องจากการแตกตัวของหินทรายแดงจะทำให้บางส่วนของโครงสร้างอ่อนตัวไม่สามารถรับน้ำหนักตัวเองได้ และพังทลายลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกในแนวตั้ง ส่วนปรางค์พรหมทัตยังคงยืนหยัดต่อไปจากฐานถึงส่วนยอดอาคารอีกได้นานนับพันปี

ในส่วนของภาพถ่ายที่ไม่สอดคล้องกับความจริงของคุณสมบัติของวัตถุ และค้านกับกรรมวิธีการก่อสร้าง นั่นคือ ปรางค์ประธานที่สร้างด้วยหินทรายขาวซึ่งในความเป็นจริงแล้วปรางค์ประธานควรจะมีสภาพที่สมบูรณ์แบบดังภาพถ่ายปัจจุบันหลังการบูรณะ มิใช่ภาพที่เห็นก่อนการบูรณะ เนื่องจากความแข็งแกร่งทนทานอันเป็นคุณสมบัติเด่นของหินทรายขาว จากการพิจารณาภาพถ่ายก่อนการบูรณะ เราจะพบเส้นแนวฐานอาคารที่ตรงไม่ทรุดเอียง แสดงว่าไม่มีปัญหาของฐานรากทรุดตัว

ในบริเวณโครงสร้างหลักที่รับน้ำหนักจากส่วนยอดอาคารหรือเรือนธาตุนั้น ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ราวกับเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน จากการสำรวจด้วยตาเปล่า ไม่พบรอยแตกอันเกิดจากแรงเค้นของแผ่นดินไหว แสดงให้เห็นว่าแรงกระทำของธรรมชาติมิใช่ปัญหา ดังนั้นคำตอบเดียวที่ยังคงเหลือก็คือฝีมือมนุษย์ ซึ่งหากไม่มีการกระทำของมนุษย์แล้วปรางค์ประธานจะอยู่ในสภาพโครงสร้างที่สมบูรณ์ ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน



ปรางค์สีดา จังหวัดนครราชสีมา

อาคารปราสาทพิมาย เป็นหนึ่งในจำนวน 37 อาคารสิ่งก่อสร้างแบบปราสาทขอมที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทำเนียบโบราณสถานขอม ในเขตจังหวัดนครราชสีมา และเมื่อศึกษาดูจะพบว่าโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นการทำลายโดยฝีมือมนุษย์ ซึ่งในจำนวนนี้อาจมีแรงกระทำของธรรมชาติร่วมอยู่ด้วย เช่น ปรางค์บ้านสีดา ที่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เราจะพบรอยร้าวเริ่มจากฐานขึ้นไปและแยกตัวเพิ่มขึ้นจนถึงส่วนบนของโครงสร้างที่ยังคงเหลืออยู่ อันเป็นหลักฐานของการทรุดตัวของฐานราก และเป็นสาเหตุหลักของการพังทลาย ปัญหาการทรุดตัวของฐานรากยังพบที่ปราสาทหินโนนกู่ และปราสาทหินเมืองเก่า อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา แต่โดยภาพรวมแล้วปัญหาการพังทลายยังคงมาจากมนุษย์เป็นสาเหตุหลัก

นอกจากปราสาทขอมที่จังหวัดนครราชสีมาจำนวน 37 แห่งแล้ว ยังมีที่บุรีรัมย์อีก 50 แห่ง ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้คือปราสาทพนมรุ้งที่รู้จักกันดี ส่วนที่สุรินทร์มีอยู่จำนวน 31 แห่ง จังหวัดชัยภูมิ 6 แห่ง จังหวัดร้อยเอ็ด 14 แห่ง จังหวัดศรีสะเกษ 11 แห่ง และจังหวัดอุบลราชธานีอีก 6 แห่ง รวมเป็นปราสาทขอมในอีสานสูงทั้งสิ้น 155 แห่ง ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทำเนียบโบราณสถานขอมในไทย ของกรมศิลปากร และยังคงทิ้งหลักฐานของการพังทลายให้ศึกษาต่อไปในอนาคต



ปราสาทพิมายระหว่างการบูรณะ


สรุปข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเสื่อมสลายของ ปราสาทขอม ในไทย

เป็นที่น่าสังเกตว่าอาคารปราสาทขอมที่สำคัญทั้งสองในลพบุรีและปรางค์วัดพระพายหลวงในสุโขทัยนั้นยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์รอดพ้นจากการถูกทำลาย แต่ส่วนที่ได้รับการต่อเติมของปรางค์ทั้งสามในสมัยอยุธยาเพื่อพิธีกรรมทางพุทธศาสนากลับถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงจากศึกสงคราม

แต่ในทางกลับกันอาคารปราสาทขอมอีกจำนวนมากมายในบริเวณที่ราบสูงอีสานเกือบจะเรียกได้ว่าทั้งหมดของจำนวน 155 แห่งถูกทำลายลง ยกเว้น อโรคยศาลและธรรมศาลา จำนวนเพียง 3-4 แห่งที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในกลุ่มปราสาทตาเมือนทั้งสาม ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊จ และปราสาทตาเมือน ที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์นั้น ปรางค์ประธานของปราสาทตาเมือนธม อันเป็นศาสนสถานของพราหมณ์ฮินดูที่มีความสำคัญมาก และเป็นที่ประดิษฐานของสวยัมภูลึงค์ หรือองค์ศิวลึงค์จากแท่งหินธรรมชาติ



ปราสาทพิมายหลังการบูรณะ

สำหรับปรางค์ประธานและอาคารสิ่งก่อสร้างโดยรอบซึ่งสร้างขึ้นจากหินทราย เป็นวัสดุหลักได้ถูกรื้อทำลายลง ในขณะที่ปราสาทตาเมือนโต๊จและปราสาทตาเมือนซึ่งเป็นอโรคยศาลและธรรมศาลาที่สร้างขึ้นในยุคสมัยเดียวกันและตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ด้วยศิลาแลงอันเป็นวัสดุที่ด้อยคุณภาพและมีความคงทนน้อยกว่าหินทรายมาก เรากลับพบปรางค์ประธานปราสาทตาเมือนโต๊จยังคงสภาพเดิม ส่วนปราสาทตาเมือนนั้น เราพบด้านหน้าของอาคารพังทลายลงบางส่วนในแนวตั้ง เผยให้เห็นลักษณะโครงสร้างอาคารอย่างชัดเจนจากภาพถ่ายระหว่างการบูรณะ

ข้อสรุปพอจะกล่าวได้ว่า อาคาร ปราสาทขอม ในบริเวณที่ราบสูงอีสานโดยรวมมิได้เสื่อมสลายลงตามธรรมชาติหรือถูกทำลายลงด้วยพลังธรรมชาติอันได้แก่ พายุ น้ำท่วม เพลิงไหม้ หรือแผ่นดินไหว ส่วนการเสื่อมสลายของโครงสร้าง หรือการทรุดตัวของฐานอาคารก็มิใช่สาเหตุหลัก ซึ่งผลของการศึกษานี้กลับชี้ให้เห็นว่า การพังทลายของปราสาทขอมในบริเวณที่ราบสูงอีสาน เป็นการกระทำของมนุษย์นั่นเอง และหลักฐานจากตัวอย่างที่พบเห็นนั้นชัดเจนมาก แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีปรางค์ประธานของปราสาทขอมองค์ใดบริเวณที่ราบสูงอีสานที่รอดพ้นจากการทำลาย



ปรางค์ประธานปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์

ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า อาคารสถาปัตยกรรมหลักของปราสาทขอมที่มีความสำคัญมากในบริเวณที่ราบสูง อีสาน อันได้แก่ ปราสาทพิมาย ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ รวมถึงเขาพระวิหาร ซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษนั้น ปรางค์ประธานซึ่งเปรียบเหมือนหัวใจของปราสาทขอมจะถูกทำลายมากที่สุด จากนั้นส่วนที่มีความสำคัญรองลงมา เช่น ปรางค์บริวาร โคปุระ กำแพงแก้ว หรือบรรณาลัยจะถูกทำลายบางส่วนตามลำดับเหมือนกันหมด

ส่วนอาคารปราสาทขอมอื่นๆ ที่ด้อยความสำคัญลงมา ถูกทำลายด้วยความรุนแรงที่ไม่ด้อยลง ผลคืออาคารส่วนใหญ่ถูกทำลายลงจนแทบไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็น

หลักฐานของการทำลายล้างทั้งหมดคล้ายกับจะบอกคนรุ่นหลังถึงเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งที่มาเยือนดินแดนแห่งนี้ เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดถอนรากถอนโคน โดยไม่อาจหวนกลับมาใหม่ของวัฒน ธรรมขอมในดินแดนไทย

คงเป็นเรื่องที่นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ต้องขบคิดและขุดค้นหาหลักฐานเรื่องราวอีกมากว่าเกิดอะไรขึ้นในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนจากการนับถือพราหมณ์ฮินดู และพุทธมหายาน มาเป็นพุทธเถรวาทลังกา พร้อมกับการเปลี่ยนจากอารยธรรมขอมมาเป็นสยาม



ธรรมศาลาปราสาทตาเมือน ระหว่างการบูรณะ

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบรุนแรงและฉับพลันในบริเวณอีสานสูงนั้นมีความเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใดกับสงครามปลดแอกของพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนบางกลางหาวที่สุโขทัย และเหตุการณ์ที่มิอาจ มองข้ามไปได้คงเป็นเรื่องราวจากบันทึกจดหมายเหตุโจวต้ากวาน เลขาท่านทูตจีนผู้ไปเยือนกัมพูชาในปี พ.ศ. 1839 ที่กล่าวถึงกองทัพเสียมที่เข้าปิดล้อมพระนครหลวง มีการรบพุ่งกันจนหมู่บ้านกลายเป็นที่โล่ง และส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงศาสนาและการปกครองในกัมพูชา ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดของอิทธิพลอารย ธรรมขอมและพราหมณ์ฮินดู มาเป็นระบบกษัตริย์ ตามพุทธคติและการนับถือพุทธศาสนาในแบบฉบับของเถรวาทลังกาเป็นหลัก

ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้มีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่บริเวณอีสานสูงอย่างไร คำถามต่างๆ คงไม่สิ้นสุดลงจนกว่าจะได้คำตอบว่าอะไรเป็นเหตุแห่งแรงบันดาลใจให้มีการปฏิบัติการครั้งสำคัญนี้ และใครเป็นแกนนำของขบวนการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คำถามอาจเลยเถิดไปถึงว่าแกนนำที่สำคัญเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับแกนนำที่ไปปลดแอกสุโขทัย และกองทัพเสียมที่ไปปิดล้อมพระนครหลวงกัมพูชาตามคำบอกเล่าของ โจวต้ากวานอย่างไร เนื่องจากช่วงเวลาของเหตุการณ์สำคัญทั้งสุโขทัยก็ดี ที่ราบสูงอีสานก็ดี และที่พระนครหลวงก็ดี ต่างมีความคาบเกี่ยวกันในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ตามมาจากการทำลายล้างอิทธิพลขอมในบริเวณที่ราบสูงอีสานได้ปิดฉากวัฒนธรรมขอมที่ฝังรากลึกไม่น้อยกว่า 400 ปีในดินแดนแห่งนี้ลงโดยสิ้นเชิง และเปิดศักราชใหม่ให้แก่วัฒนธรรมที่มีพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจากลังกาเป็นแบบฉบับและเจริญงอกงามมาจนปัจจุบัน
22  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “สมเด็จพระมหาวีรวงศ์” ย้ำวัดต้องสร้างศรัทธา-ทำประโยชน์ต่อสังคม เมื่อ: เมษายน 26, 2024, 06:20:00 am
.



“สมเด็จพระมหาวีรวงศ์” ย้ำวัดต้องสร้างศรัทธา-ทำประโยชน์ต่อสังคม

"สมเด็จพระมหาวีรวงศ์" ประธานกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมกล่าวให้โอวาทต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ประจำปี 2567

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณูปการของ มส. ประธานกรรมการอำนวยการ ขับเคลื่อนโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ประจำปี 2567 เพื่อขับเคลื่อนโครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) ที่วัดเขียนเขต จ.ปทุมธานี พร้อมทั้งกล่าวให้โอวาทเปิดการประชุม ว่า

โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข เป็นหนึ่งในกิจการพระพุทธศาสนา มุ่งพัฒนาวัดและชุมชนให้สะอาด เรียบร้อย รื่นรมย์ เป็นศูนย์การเรียนรู้และการพัฒนาจิตใจของประชาชน รวมทั้งไปถึงการจัดการมรดกวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2561 จนถึงปัจจุบัน มีการลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ 15 หน่วยงาน หัวใจของโครงการนี้ คือ การสร้างสายสัมพันธ์ความร่วมแรงร่วมใจของวัด ชุมชน และภาคเครือข่ายในท้องถิ่นด้วยอุดมการณ์ร่วมกัน คือ ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และให้วัดเป็นสถานสัปปายะ สำหรับผู้เข้ามาพึ่งพาบำบัดทุกข์และเสริมสร้างความสุขทั้งแก่กายและใจ




สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวต่อไปว่า เราอยากให้ทุกคนมองวัดด้วยความเชื่อ ความศรัทธา เลื่อมใส ให้สำนึกว่าวัดเป็นสมบัติของทุกคน จะได้เกิดการมีส่วนร่วมในการเข้ามาพัฒนาวัดทั้งด้านกายภาพและจิตใจ ในการบ่มเพาะคุณธรรม เกิดสุขภาพจิตที่ดี โครงการนี้เราพยายามจะทำให้ชาวบ้านมาร่วมเป็นเจ้าของวัด ช่วยดูแลวัด และต้องทำให้คนรุ่นใหม่เห็นว่า วัดทำประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างไร เป็นผู้นำทางศีลธรรม จริยธรรม ได้อย่างไร

ขณะเดียวกัน เราต้องทำให้พระสงฆ์เป็นผู้นำทางคุณธรรม จริยธรม ประพฤติดี ปฏิบัติชอบด้วย อย่าให้มัวหมองแก่พระศาสนา ยิ่งในปัจจุบันเด็กเกิดน้อยลง ซึ่งกระทบถึงคณะสงฆ์ด้วย เพราะจะทำให้คนเข้ามาบวชน้อยลงไปอีก ซึ่งในประมาณ 10 ปีข้างหน้า จะเกิดปัญหามากขึ้นแน่นอน จึงอยากให้ช่วยกันคิดด้วยว่าในเรื่องบุคลากรของคณะสงฆ์จะดำเนินการอย่างไร




พระธรรมรัตนาภรณ์ ประธานกรรมการบริหารกลางขับเคลื่อนโครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข กล่าวว่า สำหรับพันธกิจของโครงการที่กำหนดไว้ คือ

   1. พัฒนาพื้นที่ทางกายภาพของวัดและชุมชนให้สะอาด ร่มรื่น สวยงาม เป็นสถานที่สัปปายะ
   2. พัฒนาพื้นที่ทางสังคมและการเรียนรู้ของวัด ชุมชน ด้วยวิถีวัฒนธรรมเชิงพุทธ
   3. การพัฒนาพื้นที่จิตใจและปัญญาของวัดและชุมชนตามแนวพระพุทธศาสนา โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้าง “วัดสวยด้วยความสุข” และ “การสร้างวัดในใจคน”

นอกจากนี้ ยังเสนอแนวทางยกระดับการพัฒนาโครงการฯ ในส่วนของการพัฒนาพื้นที่ทางสังคมและจิตใจ การเสริมกิจกรรม Big Cleaning day และเจริญพระพุทธมนต์ ในวันสำคัญต่าง ๆ รวมถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ลงในแผนปฏิบัติการประจำปีของโครงการด้วย





Thank to : https://www.dailynews.co.th/news/3374178/
25 เมษายน 2567 ,13:55 น. | การศึกษา-ศาสนา
23  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แนะหลักธรรมก้าวพ้น ‘ขัดแย้ง’ ยก ‘โลกธรรม 8’ เป็นแนวทางนักการเมือง เมื่อ: เมษายน 25, 2024, 09:44:01 am
.

พระไพศาล วิสาโล

พระไพศาล วิสาโล แนะหลักธรรมก้าวพ้น ‘ขัดแย้ง’ ยก ‘โลกธรรม 8’ เป็นแนวทางนักการเมือง



 :25:

แนะหลักธรรมก้าวพ้น ‘ขัดแย้ง’ ยก ‘โลกธรรม 8’ เป็นแนวทางนักการเมือง

ในทำเนียบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยุคนี้ ชื่อของพระไพศาล วิสาโล วัย 67 ปี เจ้าอาวสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ ก็อยู่ในนั้นด้วย ท่านบวชมา 41 พรรษา นอกจากเป็นพระนักเผยแผ่ด้วยการเทศน์และการเขียนหนังสือหลายเล่มแล้ว ท่านยังเป็นพระอนุรักษ์ป่าที่ทำให้ผืนป่าใน จ.ชัยภูมิกลับมาเขียวขจี มีโอกาสไปกราบนมัสการท่านที่วัดป่ามหาวัน จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นอีกวัดที่ท่านดูแลอยู่ เลยได้สนทนากับท่านในหลากหลายหัวข้อ

พระไพศาลเล่าว่า ที่ผ่านมาเขียนหนังสือหลายแนว ตั้งแต่เรื่องสิ่งแวดล้อม สันติวิธี เหตุแห่งความขัดแย้ง เรื่องปฏิรูปพระพุทธศาสนา เรื่องการรักษาป่า และเรื่องธรรมะ เรื่องของการฝึกจิตฝึกใจในการแก้ปัญหาชีวิต แก้ปัญหาความทุกข์ ในแต่ละเล่มเนื้อหาแตกต่างกันไป

ใจความสำคัญคือให้คนได้เกิดความตระหนักในเรื่องส่วนรวม และช่วยกันทำให้สังคมดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้รู้จักการแก้ปัญหาส่วนตัว ทั้งในระดับครอบครัว จนถึงระดับจิตใจ

ซึ่งอาตมาเน้นในการเปลี่ยนแปลงสังคม แก้ปัญหาสังคมกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง แก้ปัญหาตัวเอง ซึ่งก็เรื่องเดียวกันแหละ โดยอาศัยธรรมะ อาศัยมุมมองต่อชีวิตและสังคมที่มีจุดร่วมเดียวกันคือว่า ความเมตตา ความมีสติ ความรู้สึกตัว และการเข้าใจความจริงของชีวิตและโลก ซึ่งเป็นแกนกลางที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้


@@@@@@@

พระพุทธศาสนาแกนกลางอยู่ที่ธรรมะ ธรรมะก็มีอยู่ 2 ความหมาย
    ที่หนึ่ง คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงและโลก ในความจริงของชีวิตและโลก ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไร ถ้าพูดง่ายๆ หลักการใหญ่ๆ อันนี้เรียกว่าสัจธรรม
    อีกอันหนึ่งคือ ข้อปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ในการเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ที่เรียกว่าจริยธรรม
    โดยหลักการแล้ว สัจธรรมและจริยธรรมก็ยังใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย

กับคำถามที่ว่า เวลานี้ในสังคมไทยมีความแตกแยกกันเยอะ ควรใช้หลักธรรมคำสอนอย่างไรที่จะทำให้สังคมลดความแตกแยกลงได้

เจ้าอาวสวัดป่าสุคะโตอธิบายว่า ต้องเปิดใจฟังให้มากขึ้น และอย่าด่วนตัดสิน เพราะว่าสิ่งที่ได้ฟังมาผ่านสื่อ อาจไม่ใช่ความจริง หรืออาจเป็นแค่ความจริงเพียงส่วนเดียว และคนทุกวันนี้รับรู้ความเป็นจริงผ่านสื่อ ซึ่งมีการตีความ มีการกลั่นกรอง รวมทั้งอาจมีอคติเข้ามาแทรก จึงไม่ควรด่วนสรุปในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทางสื่อ

ควรเปิดใจรับฟังข้อมูลจากสื่อต่างๆ ที่หลากหลาย เพราะสื่อยุคนี้มักเลือกข้าง เพราะถ้าเลือกข้างจะอยู่ได้ ถ้าไม่เลือกข้างเลยอยู่ยาก ฉะนั้น ในยุคปัจจุบันผู้คนไม่สามารถที่จะพึ่งพาสื่ออันใดอันหนึ่งได้ แต่ต้องรับรู้ผ่านสื่อที่หลากหลาย และมาใคร่ครวญ กลั่นกรองและหาข้อสรุป

ต้องมีสิ่งหนึ่งที่ทางพุทธเรียกว่า สัจจานุรักษ์ คือ หลักธรรมที่ว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปความคิดของตัวเองเท่านั้นที่ถูก ต้องเปิดใจกว้าง ไม่ด่วนสรุป หรือปักใจเชื่อว่าความคิดความเห็น ข้อมูลข่าวสารของเราเท่านั้นที่ถูก ตรงนี้สำคัญมาก บางคนเรียกว่ามีขันติธรรม คือ ใจกว้าง ไม่คับแคบ ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือการมีสติ และต้องมีปัญญาในการใคร่ครวญ เพื่อแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร

@@@@@@@

อย่างไรก็ตาม ปัญญาจะใช้การได้ต้องมีหลักธรรมข้อหนึ่ง ที่เรียกว่า กาลามสูตร จะมี 10 ข้อ เป็นข้อทักท้วงหรือตักเตือน อาทิ อย่าเชื่อเพียงเพราะได้ยินเสียงเล่าลือ และอย่าเชื่อเพราะเป็นครูของเรา ฯลฯ

เมื่อให้ท่านแนะนำหลักธรรมคำสอนที่อยากให้นักการเมือง หรือผู้บริหารในประเทศปฏิบัติเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี และเพื่อให้บ้านเมืองเจริญ-สงบสุข

    “อยากให้ตระหนักถึงหลักธรรม เรื่องโลกธรรม 8 ก็มีอยู่ 2 ส่วน คือ โลกธรรมฝ่ายบวก และฝ่ายลบ ซึ่งแยกจากกันไม่ออก ได้ลาภกับเสื่อมลาภเป็นของคู่กัน ได้ยศกับเสื่อมยศเป็นของคู่กัน สรรเสริญกับนินทาว่าร้ายเป็นของคู่กัน สุขและทุกข์ ตอนนี้นักการเมืองจำนวนมาก เขาหลงใหลเรื่องของยศ ทรัพย์ อำนาจกันมาก และคิดว่าถ้ามียศ มีทรัพย์ มีอำนาจ สามารถจะทำอะไรได้ทุกอย่าง และจะได้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดในชีวิตของเขา มีความสุข”

    “แต่อันนี้เป็นความหลง เพราะถ้านำมาเป็นสรณะแล้ว จะนำไปสู่การคอร์รัปชั่น ไปสู่การแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่คนที่เข้าใจเรื่องโลกธรรม 8 เขาก็จะใช้หน้าที่และอำนาจเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม ซึ่งจะทำให้เขามีความสุขอย่างแท้จริง”

    “และทำให้ชีวิตของเขามีคุณค่าและมีความหมาย”



พระไพศาล วิสาโล

ในชีวิตการบวช 41 พรรษา พระไพศาลเล่าถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ที่นำมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องว่า มีหลายท่าน ตอนเป็นวัยรุ่นก็มีพระอาจารย์พุทธทาส และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ต่อมาก็มีหลวงพ่อเทียน จิตตะสุโภ หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ และครูบาอาจารย์ที่อาตมาได้เรียนรู้ผ่านหนังสือ อย่างหลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นต้น ท่านเหล่านี้คือครูบาอาจารย์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตการบวชของอาตมา ทำให้อาตมาบวชได้นานถึงทุกวันนี้

สิ่งที่ได้สำคัญๆ ทำให้เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรม ไม่ใช่เรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องของสัจธรรมความจริงที่เป็นสากล และที่สำคัญอีกอย่างคือ ได้ค้นพบวิธีในการฝึกจิตฝึกใจ ให้มีความทุกข์น้อยลงคือ มีธรรมะมากขึ้น

    “คำสอนของหลวงปู่ชาก็ได้หลายอย่าง อย่างเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่า เรื่องการฝึกจิต เรื่องเจริญภาวนา รวมทั้งการให้ความสำคัญกับสังฆะ เรื่องธรรมวินัย ส่วนคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสที่ว่าไว้ ชีวิตที่ดีที่สุดคือชีวิตที่สงบและเป็นประโยชน์ นี่คือหลักการสำคัญเลยที่ช่วยประคับประคอง หล่อหลอมชีวิตการบวชของอาตมาให้มาถึงจุดนี้ ถ้าเกิดเราสามารถเข้าถึงภาวะที่สงบเย็น และใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ได้ ก็ไม่มีคำถามแล้วว่าเกิดมาทำไม อยู่ไปทำไม”

ถามว่า มองอย่างไรตอนนี้ชาวต่างชาติเข้ามาบวชเรียนพระพุทธศาสนาในบ้านเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสายวัดป่า สายวิปัสสนา

พระไพศาลกล่าวว่า อาตมามองว่าเป็นภาพสะท้อนว่าความสะดวกสบาย ความมั่งคั่ง หรือว่าความสำเร็จในทางโลก ไม่ใช่คำตอบที่แท้ของชีวิต อาจจะช่วยทำให้เข้าถึงคำตอบของชีวิตได้ แต่ไม่ใช่ตัวคำตอบที่แท้ ชาวต่างชาติที่ได้ประสบภาวะที่พรั่งพร้อมทางวัตถุ แม้ว่าจะเป็นสังคมที่ให้หลักประกันทางด้านสันติภาพ และสิทธิหลายอย่างที่น่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่พอ

@@@@@@@

สิ่งที่ขาดหายไปคือความหมายในทางจิตใจ หรือถ้าพูดง่ายๆ เป็นรูปธรรมคือ ความสงบทางจิตใจ ความพรั่งพร้อมทางวัตถุ ความสะดวกสบายที่เทคโนโลยีไม่สามารถทำให้เกิดความสงบอย่างแท้จริงในจิตใจ คนเราถ้าขาดความสงบในจิตใจ ก็ไม่มีทางที่จะพบความสุขที่แท้ได้ และท่านเหล่านั้นพบว่าพระพุทธศาสนาให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ ทำให้พบความสงบในจิตใจ

การที่มีชาวต่างชาติมาศึกษาพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะลงมาปฏิบัติด้วยตนเอง เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ยังมีคนที่เห็นคุณค่า และสามารถจะนำมาใช้ในการแก้ทุกข์ของตัวเองได้อย่างแท้จริง ธรรมะในพระพุทธศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องล้าสมัย ยังทันยุคทันสมัย ไม่ว่าโลกจะพัฒนาไปในทางใด สุดท้ายคนก็ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น ท่านเหล่านั้นก็เป็นหลักฐานว่า หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามีอีกอย่างหนึ่งคือสมสมัย รวมทั้งยังเหมาะกับคนในยุคปัจจุบัน และยุคต่อๆ ไปด้วย

ประเด็นที่ว่าเวลาผู้คนในบ้านเราดูเหมือนจะมุ่งไปสายมูมากกว่าปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนในทางพุทธศาสนา หลายวัดเน้นสร้างวัตถุกันมาก

พระไพศาลพูดถึงเรื่องนี้ว่า “อาตมาไม่ค่อยแน่ใจว่าคนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา นับถือศาสนาบริโภคนิยมมากกว่า จุดมุ่งหมายส่วนใหญ่ คือ รวย รวย รวย จริงๆ แล้วโดยแก่นแท้เขานับถือศาสนาบริโภคนิยม ศาสนาวัตถุนิยม ซึ่งอาจถูกห่อคลุมด้วยลัทธิธรรมเนียมทางพระพุทธศาสนา รูปแบบเป็นพระพุทธศาสนา แต่เนื้อในเป็นบริโภคนิยม และเพราะเหตุนี้วัดหรือพระ จึงตอบสนองความต้องการในเชิงบริโภคนิยมของญาติโยม ด้วยการสร้างวัดวาอารามแบบนั้น หรือการขายวัตถุมงคล หรือที่เรียกว่า พุทธพาณิชย์


@@@@@@@

และนี่คือเหตุว่าทำไมความเชื่อที่เรียกว่าสายมูจึงแพร่ระบาด เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาศรัทธานับถือจะนำมาซึ่งโชคลาภ ความสำเร็จทางโลก ทำให้มั่งมี ทำให้ร่ำรวย ในเมื่อมีความเชื่อแบบนี้ การที่จะหวังพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อดลบันดาลให้สมปรารถนาจึงเป็นเรื่องที่แพร่ระบาด

อย่างญาติโยมที่มาวัดอาตมาบางคนก็คอยเฝ้าดูว่าอาตมาจะให้เลขอะไรหรือเปล่า หรือไม่ก็มาวัดมาทำบุญ เพราะคิดว่าจะช่วยให้มีโชคมีลาภ มาถวายสังฆทาน เพราะคิดว่าบุญจะแปรเป็นโชคเป็นลาภได้ ถึงวันพระก็ใส่บาตรกันเยอะมาก เพราะคิดว่าถ้าใส่บาตรแล้วจะได้บุญ บุญจะทำให้ถูกล็อตเตอรี่ ยิ่งวันที่ 16 หรือ 1 ของเดือน คนจะใส่บาตรกันเยอะกว่าปกติ

ท่านเองเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย อยากให้ผู้คนตระหนักเรื่องนี้อย่างไร

“อาตมาเน้นเรื่องชีวิตก่อนความตาย โดยเฉพาะในระยะสุดท้าย จะเผชิญกับความตายอย่างไรด้วยใจสงบ คิดว่าคนไทยยอมรับความตายได้มากขึ้น ตามโรงพยาบาลก็ตอบรับในเรื่องนี้ การยื้อชีวิตเพื่อหนีความตายเริ่มลดลงแล้ว เริ่มยอมรับกระบวนการทางการแพทย์ที่ไม่ได้ยื้อชีวิต แต่เป็นไปเพื่อให้เผชิญความตายได้ดีที่สุดคือ การดูแลแบบประคับประคอง”






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 เมษายน 2567
คอลัมน์ : รายงานพิเศษ โดย ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง
เผยแพร่ : วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_762625
24  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บทสวด ในลีลา เฮฟวี่ เมทัล การรุกคืบ ในทาง “ความคิด” เมื่อ: เมษายน 25, 2024, 09:25:53 am
.



E-DUANG : บทสวด ในลีลา เฮฟวี่ เมทัล การรุกคืบ ในทาง “ความคิด”

การนำเอา”บทสวดมนต์” มาทำเป็น”ดนตรี”ด้วยท่วงทำนองอย่างที่เรียกว่า”เฮฟวี่ เมทัล” ก่อให้เกิดอาการ”ช็อค”ในทาง ”ความรู้สึก” อย่างแน่นอน และที่ ”ช็อค” รุนแรงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทำให้เห็นว่าเป็นการบรรเลงและร้องโดยวงดนตรีที่เป็น ”สมณะ” ในเครื่องแบบเหลืองอร่ามงามจับตา

นี่ย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าเป็น”วงดนตรี”อันประกอบส่วนขึ้นจากพระสงฆ์อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นการนำเอา”บทสวดมนต์”มาเป็น”เพลง”

แม้จะมีหลายคนออกมาอธิบายในลักษณะแก้ต่างว่ามิได้เป็นพระสงฆ์จริงๆหรอก หากแต่เป็นพระที่สร้างมาจาก AI หรือที่เรียกว่า “ปัญญาประดิษฐ์” กระนั้น หากมองในแง่ของ”พุทธศาสนิก”ก็ถือได้ว่าไม่เหมาะ สม เป็นการจาปจ้วงละเมิด ไม่เพียงแต่ต่อ”พระ”หากแต่ท้าทายต่อความศักดิ์สิทธิ์ของบทสวดมนต์

ยิ่งติดตามการนำเสนอผ่านโลกโซเชียลยิ่งเห็นว่า มิได้เป็นเรื่องประเภทวูบๆวาบๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากแต่ดำรงอยู่อย่างจำหลักและหนักแน่น


@@@@@@@

ทุกบทสวดมนต์ที่ถือว่า ศักดิ์สิทธิ์ล้วนได้รับการปรับแต่งให้เป็นเนื้อร้องผ่านบทเพลงที่คิดประดิษฐ์สร้างและนำเสนอโดยช่องทางที่ชื่อว่า MICKDANCE STUDIOS ทั้งสิ้น ไม่ว่า”มาสวดมนต์คาถาชินบัญชรกันเถอะ” ไม่ว่า”บทสวดปฏิจจสมุปบาท”

ไม่เพียงปรากฏผ่านท่วงทำนองในแบบที่รู้จักในนามเฮฟวี่ เมทัล อึกทึกกึกก้อง หากมีการทดลองผ่านท่วงทำนองอย่างที่รู้จักว่าเร็กเก้ ยิ่งกว่านั้นยังมีการนำเอาบทกลอนของ”สุนทรภู่”อันเป็นอาขยานซึ่งอยู่ใน”พระอภัยมาณี”มาสะท้อนทั้งในแบบบอซซาโนว่า แบบป็อบ และแบบริทึ่ม แอนด์ บลู

เพียงได้ยิน”บทสวด”ก็รู้ว่าคนทำมีความสนใจด้านใด เมื่อนำเอาอาขยายจากนิทานคำกลอน”พระอภัยมณี” ยิ่งสัมผัสได้ในรากฐานทางวรรณคดีและในทางศาสนา เมื่อประสานเข้ากับประสบการณ์ในการเล่นเกม ในการไล่ฟ์เกมจึงดำเนินไปเพื่อทำให้”การสวดมนต์ไม่น่าเบื่อกันอีกต่อไป”

ปรากฏการณ์แห่งการประยุกต์นำเอา”บทสวดมนต์”มาทำเป็นเพลงโดยการบรรเลงของวงดนตรีในชุด”เหลือง”จึงเป็นการรุกคืบ รุกคืบเข้าไปในพื้นที่ของ”ศาสนา” เข้าไปในพื้นที่”เพลง”

ในเบื้องต้นอาจเป็นเรื่องอันมาพร้อมกับ”ปัญญาประดิษฐ์” แต่หากเมื่อใดสามารถรุกคืบเข้าไปในแต่ละพื้นที่ทาง”อารมณ์” และในทาง”ความคิด” นั่นหมายถึงการยึดครอง การยึดครองทาง”ความคิด” ยึดครองทาง”วัฒนธรรม”


 


ขอบคุณ : https://www.matichonweekly.com/e-duang/article_764071
เผยแพร่ : วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ.2567
25  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มิตรเทียม-มิตรแท้ | "สมานมิตร" ด้วยการแบ่งโภคสมบัติออกเป็น ๔ ส่วน เมื่อ: เมษายน 25, 2024, 07:59:07 am
.



มิตรเทียม-มิตรแท้ | "สมานมิตร" ด้วยการแบ่งโภคสมบัติออกเป็น ๔ ส่วน

มิตรเทียม ได้แก่ คน ๔ จำพวก ซึ่งควรเว้นให้ห่างไกล คือ คนปอกลอก คนดีแต่พูด คนหัวประจบ และคนชักชวนในทางฉิบหาย

   • คนปอกลอก ได้แก่ มิตรโดยสถาน ๔ คือ คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว เสียให้น้อยคิดเอาให้ได้มาก ไม่รับทำกิจของเพื่อนในคราวมีภัย และคบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว

   • คนดีแต่พูด ได้แก่ มิตรโดยสถาน ๔ คือ เก็บเอาสิ่งที่ผ่านไปแล้วมาพูด อ้างเอาสิ่งที่ยังมาไม่ถึงมาพูดสงเคราะห์ด้วยสิ่งที่หาประโยชน์ไม่ได้ และแสดงความขัดข้องเมื่อมีกิจเกิดขึ้น

   • คนหัวประจบ ได้แก่ มิตรโดยสถาน ๔ คือ ตามใจเพื่อนให้ทำความชั่ว ตามใจเพื่อนให้ทำความดี ต่อหน้าสรรเสริญ และลับหลังนินทา

   • คนชักชวนในทางฉิบหาย ได้แก่ มิตรโดยสถาน ๔ คือ ชักชวนให้ดื่มน้ำเมา ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ชักชวนให้เที่ยวดูการมหรสพ และชักชวนให้เล่นการพนัน

@@@@@@@

มิตรแท้ มีใจดี พึงเข้าไปนั่งใกล้โดยเคารพ ได้แก่ มิตร ๔ จำพวก คือ มิตรมีอุปการะ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มิตรแนะประโยชน์ และมิตรมีความรักใคร่

   • มิตรมีอุปการะ ได้แก่ มิตรโดยสถาน ๔ คือ รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว เป็นที่พึ่งได้เมื่อมีภัย และเพิ่มทรัพย์ให้สองเท่าเมื่อมีกิจที่ต้องทำเกิดขึ้น

   • มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ได้แก่ มิตรโดยสถาน ๔ คือ บอกความลับแก่เพื่อน ปิดความลับของเพื่อน ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย และแม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์เพื่อนได้

   • มิตรแนะประโยชน์ ได้แก่ มิตรโดยสถาน ๔ คือ ห้ามจากความชั่ว ให้ตั้งอยู่ในความดี ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง และบอกทางสวรรค์ให้

   • มิตรมีความรักใคร่ ได้แก่ มิตรโดยสถาน ๔ คือ ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน และสรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน

@@@@@@@

ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีลย่อมรุ่งเรือง เมื่อบุคคลออมและสะสมโภคสมบัติแล้ว พึงแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ย่อมสมานมิตรไว้ได้

    • โดยใช้สอยโภคสมบัติด้วยส่วนหนึ่ง
    • ประกอบการงานด้วยสองส่วน และ
    • เก็บส่วนที่สี่ไว้ในยามอันตราย




ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : พระสุตตันตปิฎกเล่ม ๓ ข้อ [๑๗๒] ถึงข้อ [๒๐๖] สิงคาลกสูตร
ข้อธรรม : https://uttayarndham.org/node/1579
26  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การ ฝึก สร้าง ความ คิด เชิง บวก เมื่อ: เมษายน 24, 2024, 08:55:34 am
.

ขอบคุณภาพจาก : https://www.vibhavadi.com/Health-expert/detail/421


ความคิดเชิงบวก
นำเสนอโดย เทพ สงวนกิตติพันธุ์ ศูนย์วิทยพัฒนา มสธ.อุดรธานี



 :welcome:

กายกับใจนั้นเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน แน่นอนว่าการมีร่างกายที่เจ็บป่วยอาจทำให้ใจห่อเหี่ยว แต่ใจที่ป่วยจากการคิดร้าย มีแต่ความเคียดแค้นเกลียดชังก็นำมาซึ่งโรคทางกายได้เช่นเดียวกัน ทางการแพทย์เรียกว่า Psychosomatic disorder หรือการเจ็บป่วยทางกายอันเนื่องมาจากจิตใจ ดังที่มีคำกล่าวที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

     • การมองสิ่งต่างๆ ในด้านลบ ไม่เพียงแต่ทำให้จิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวายเท่านั้น หากยังส่งผลกระทบให้สมองส่วนล่างเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางลบ คือ ฮอร์โมนความเครียดหลั่ง หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูง กรดในกระเพาะสูง ภูมิต้านทานต่ำลง 

     • ในขณะที่การมองด้านบวก จิตจะสั่งการสมองส่วนล่างด้วยคำสั่งอีกแบบหนึ่ง คือทำให้ฮอร์โมนความสุขหลั่ง หัวใจเต้นช้าลง ความดันเลือดลดลง หายใจช้าลง และภูมิต้านทานสูงขึ้น

ความคิดเชิงบวก (positive thinking)

หมายถึง ความคิดที่เกิดจากการมองสิ่งต่างๆ อย่างเข้าใจ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราทั้งในทุกเรื่อง และหากเป็นเรื่องไม่ดีก็รู้จักคิดและพยายามหามุมมองที่เป็นประโยชน์ทางด้านบวกจากสิ่งนั้นๆ ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น

การคิดเชิงบวกเป็นการหามุมมองที่เป็นบวก มุมมองที่ทำให้เรานั้นมีแง่คิดที่ดี มุมมองที่ทำให้เรามีกำลังใจ มุมมองที่ทำให้เรารู้สึกมีความทุกข์น้อยลง มุมมองที่ทำให้เรามีความสุขมากขึ้น มีแรงจูงใจที่จะต่อสู้กับชีวิต กล้าที่จะเผชิญชีวิต หรืออยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้นถ้าสามารถคิดในเชิงบวกได้ตลอดเวลา แปลว่าเราสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณภาพและความสุข

ประโยชน์ของการคิดเชิงบวก

การคิดเชิงบวกเป็นการหามุมมองที่เป็นบวก มุมมองที่ทำให้เรานั้นมีแง่คิดที่ดี ซึ่งให้ประโยชน์ดังนี้
1. ทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น
2. ทำให้เรารู้สึกมีความทุกข์น้อยลงมีความสุขมากขึ้น
3. ทำให้เรามีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดียิ่งขึ้น
4. ทำให้เรามีแรงจูงใจที่จะต่อสู้กับชีวิต หรือพร้อมที่จะเผชิญชีวิต
5. ทำให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและพร้อมที่จะเสียสละเพื่อสังคมมากขึ้น

@@@@@@@

การฝึกสร้างความคิดเชิงบวก

ก่อนที่จะเรียนรู้ถึงวิธีคิดเชิงบวก ลองถามตัวเองดูก่อนว่าอยากเป็นคนที่มีความสุขมากกว่านี้ไหม หรือกำลังมีความทุกข์เพราะความคิดของตัวเองตลอดเวลาหรือเปล่า หากคำตอบคือ "ใช่" นั่นคือหัวใจสำคัญของการฝึกฝน เพราะ "ความตั้งใจ" เท่านั้นที่จะทำให้การฝึกความคิดเชิงบวกเป็นผลสำเร็จได้

บันไดขั้นที่ 1 : มองตัวเองในแง่ดี

การที่คนเราจะมองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ดีได้ ต้องมาจากพื้นฐานที่มองและเชื่อว่าตัวเองดีเสียก่อน ขั้นตอนเพื่อการมองตัวเองว่าดี มีดังต่อไปนี้
     - หาข้อดีของตนเอง ลองสำรวจพิจารณาข้อดีของตนเอง (ไม่ใช่การเข้าข้างตัวเอง) อาจเป็นความดีเล็กๆน้อย เช่น พาคนแก่ข้ามถนน ช่วยลูกนกที่ตกต้นไม้ ฯลฯ เพื่อให้เกิดความรักและความภาคภูมิใจในตัวเอง
     - ถ่อมตัว การมองเห็นความดีของตนเองนั้นมีไว้เพื่อบอกตัวเราเองให้เกิดความพอใจในตัวเอง รักตัวเอง แต่ไม่ใช่เพื่อข่มหรือคุยทับคนอื่น การถ่อมตัวจึงเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่พึงจะมีควบคู่กัน
     - นอกจากจะรู้จุดแข็ง(ข้อดี) แล้ว ยังต้องสำรวจจุดอ่อนของตนเองอีกด้วย เมื่อเรายอมรับได้ว่านั่นคือข้อบกพร่องของเราจริงๆ ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด
     - เพิ่มความดี แม้จะรู้ว่าตนมีข้อดีในด้านใดบ้าง ก็ไม่ควรหยุดตัวเองไว้เพียงเท่านั้น แต่ควรเพิ่มคุณสมบัติอื่นๆที่ดีให้มากยิ่งขึ้น อาจเริ่มต้นโดยการตั้งเป้าหมายเป็นข้อๆ ว่าอยากจะทำอะไรดีๆเพิ่มขึ้นอีกบ้าง แล้วค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละข้อ

บันไดขั้นที่ 2 : มองคนอื่นในแง่ดี

เมื่อผ่านบันไดขั้นแรกมาแล้ว จะทำให้เราเริ่มตระหนักว่าคนทุกคนล้วนแต่ไม่สมบูรณ์ ย่อมมีข้อบกพร่องมากน้อยแตกต่างกันออกไป ( แม้แต่ตัวเราก็ยังมีข้อเสีย) ดังนั้น การมีชีวิตที่มีความสุขจึงหมายถึงการอยู่ร่วมกันโดยเลือกมองและใช้ประโยชน์จากความดีที่ผู้อื่นมีอยู่ โดยไม่ใช่การเสแสร้ง แต่เห็นความดีของเขาจริงๆ

บันไดขั้นที่ 3 : มองวิกฤติให้เป็นโอกาส

เมื่อเกิดปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ขึ้น ลองมองความทุกข์หรือปัญหานั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วย่อมกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่เราสามารถนำมาพิจารณาได้ว่าในวิกฤติที่เราพบนั้นมีข้อดีอะไรแฝงอยู่หรือจะใช้ประโยชน์จากปัญหานั้นได้อย่างไรบ้าง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งรู้สึกว่า รักตัวเองมากขึ้น เลิกทำอะไรไร้สาระ แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจมากขึ้น โดย การฝึกสมาธิ ช่วยงานการกุศล เป็นต้น

บันไดขั้นที่ 4 : หมั่นบอกกับตัวเองในเรื่องที่ดี

ขึ้นชื่อว่าเป็นความคิดก็มักจะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความคิดก็มักเป็นต้นทางและบ่อเกิดของการกระทำ ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทำให้ความคิดดีๆ อยู่กับเราตลอดเวลา เช่น บอกตัวเองว่าเป็นคนเก่งทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จ แม้จะเป็นเพียงความสำเร็จเล็กน้อย บอกตัวเองว่าเพื่อนร่วมงานก็เป็นคนดีคนหนึ่งแม้เขาจะมีข้อบกพร่องอีกหลายอย่าง บอกตัวเองว่าเราโชคดีที่ได้ทำงานยากๆแม้ค่าตอบแทนจะน้อยแต่ก็ทำให้เราได้ประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ ฯลฯ

บันไดขั้นที่ 5 : ใช้ประโยชน์จากคำว่า “ขอบคุณ”

เคยมีคำสอนจากอาจารย์ รศ.ดร.ทัศนา เเสวงศักดิ์ ได้กล่าวว่า เมื่อต้องพบเจอเรื่องร้าย จงยิ้มแล้วกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” เพราะนั่นคือ บททดสอบที่ดีของการมีชีวิตที่เข้มแข็ง หากมีคนด่าว่าคุณ แทนที่จะโต้ตอบให้กล่าวคำว่าขอบคุณ มันจะช่วยลดท่าทีความรุนแรงลงได้เกือบทั้งหมด ทั้งยังทำให้บุคคลนั้นแปลกใจและอาจกลับไปพิจารณาพฤติกรรมของตัวเองได้ โดยที่คุณไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มเติมอีก

หากเราตั้งสติและพินิจพิเคราะห์อุปสรรคต่างๆ อย่างมากพอ เราจะรู้สึกขอบคุณต่อข้อขัดข้องเหล่านั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เข้าใจถึงความผิดพลาดว่า ใดไม่ควรทำ และช่วยให้รู้จักมีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดนั้นซ้ำอีก

โธมัส อัลวา เอดิสัน เคยบอกกับผู้ช่วยของเขาในระหว่างการทดลองประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าว่า

    "เราไม่ได้ล้มเหลวจากการทดลอง 700 กว่าครั้งที่ผ่านมา แต่เรากำลังเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่า มี 700 วิธีที่ไม่ควรทำ และเราใกล้จะพบคำตอบแล้ว"



ขอบคุณภาพจาก : https://dwf.go.th/contents/36361


คิดบวก ชีวิตบวก

ท่าน ว. วชิรเมธี (พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี) ได้ให้คำสอนในเรื่องการ คิดบวก ชีวิตบวก ไว้ดังนี้

     1. เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
     2. เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
     3. เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
     4. เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ
     5. เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

     6. เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
     7. เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
     8. เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
     9. เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
   10. เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

   11. เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
   12. เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความจริงที่ว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
   13. เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
   14. เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
   15. เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

   16. เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
   17. เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบว่าที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"
   18. เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"
   19. เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
   20. เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์





ขอบคุณที่มา : https://www.stou.ac.th/main/index.html
เอกสารดาวน์โหลดเรื่อง "การ ฝึก สร้าง ความ คิด เชิง บวก" ของ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ดาวน์โหลด Doc.file ได้ที่ด้านล่าง

อ้างอิง :- 
1. รศ. ดร.ประดินันท์ อุปรมัย การคิดเชิงบวกเพื่อคุณภาพชีวิต : www.vibhavadi.com/health399.html
    วันที่สืบค้น 28/12/2559
2. ดร.สิทธิชัย-จันทานนท์ การคิดเชิงบวก-positive-thinking : www.facebook.com/notes/โรงเรียนศรีวิกรม์
    วันที่สืบค้น 28/12/2559
27  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ช้าก่อนโยม! วัดสุดทน ติดป้ายบอก นักบุญสายหิ้ว ให้เลี้ยงอาหารคนในโรงทานก่อน เมื่อ: เมษายน 24, 2024, 06:28:57 am
.



ช้าก่อนโยม! วัดสุดทน ติดป้ายบอก นักบุญสายหิ้ว ให้เลี้ยงอาหารคนในโรงทานก่อน

ช้าก่อนโยม! วัดสุดทน ติดป้ายบอก นักบุญสายหิ้ว ให้เลี้ยงอาหารคนในโรงทานก่อน เหตุสายหิ้วแห่ขนกลับบ้าน จนอาหารคนที่มาโรงทานไม่เพียงพอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีวัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี ถึงกับต้องทำป้ายประกาศขอความร่วมมือจากบรรดานักบุญสายหิ้วของโรงทาน ขอให้เลี้ยงแขกที่มาเยือนให้อิ่มก่อน ค่อยหิ้วกลับบ้าน ทำเอาบรรดาเจ้าภาพโรงทานพากันอมยิ้มกับป้ายประกาศครั้งนี้กันทุกราย

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ วัดห้วยขานาง หมู่ 1 ต.หนองยาง อ.หนองฉาง หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม วัดหลวงปู่พลอย หนึ่งในอดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัด

โดยวันนี้ที่วัดมีการจัดงานประจำปีด้วยกัน 5 วัน บรรดาผู้มีจิตศรัทธาพากันมาร่วมกันทำบุญที่วัด และมีการตั้งโรงทานเพื่อไว้เลี้ยงต้อนรับคนที่มาร่วมบุญที่วัดในครั้งนี้

@@@@@@@

ซึ่งพบว่า ที่บริเวณจุดตั้งเลี้ยงโรงทานของวัดนั้น มีการแขวนป้ายสีแดงแผ่นใหญ่ มีการเขียนข้อความไว้ว่า “โรงทานวัดห้วยขานาง หยุดก่อนอย่าเพิ่งใส่ถุง เลี้ยงแขกผู้มาเยือนให้อิ่มก่อน ขอความร่วมมืออย่างเคร่งครัด” เพื่อป้องกันไม่ให้มีการขนอาหารกลับบ้านจนไม่เพียงพอสำหรับผู้มาร่วมงาน

นายวรภัทธ์ วะชูสิทธิ์รัตน์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 15 กล่าวว่า แม่ครัวที่วัดทำอาหารอร่อยมาก จึงเป็นที่หมายปองของผู้ที่ชื่นชอบการนำอาหารกลับบ้าน งานวัดที่เคยจัดครั้งก่อนหน้านี้มักจะมีการขนอาหารกลับไปบ้านกันเยอะมาก เกรงว่าอาหารและขนมจะไม่เพียงพอ จึงได้ปรึกษากับทางกรรมการวัดและทางพระ จึงได้ทำป้ายเตือนสติในการเข้ามาในโรงทาน เนื่องจากงานวัดจัดติดต่อกันหลายวัน จึงจำเป็นต้องติดป้ายดังกล่าวไว้ให้เห็นเด่นชัด ซึ่งตั้งแต่มีป้ายนี้ ผู้ที่มาวัดก็ไม่กล้าขนอาหาร หรือขนมกลับไปกันอีกเลย





ขอบคุณ : https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_8199823
23 เม.ย. 2567 - 22:53 น.
28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง เมื่อ: เมษายน 24, 2024, 06:05:13 am
.



พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง

อ่านแล้วเก็บรักษา บุญรักษาเนืองนอง รู้แล้วบอกทั่วกัน บุญกุศลเรืองรอง

        1. ชีวิตย่อมเป็นไปตามลิขิต (ละชั่วทำดี)    ...วอนขออะไร
        2. วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้    ...กลุ้มเรื่องอะไร
        3. ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์    ...เคารพทำไม
        4. พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา   ...ทะเลาะกันทำไม
        5. ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต    ...ห่วงใยทำไม
        6. ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ   ...ร้อนใจทำไม
        7. ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย    ...ทุกข์ใจทำไม
        8. ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้    ...อวดโก้ทำไม
        9. อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร   ...อร่อยไปใย
      10. ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้   ...ขี้เหนียวทำไม

      11. ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง    ...โกงกันทำไม
      12. โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย    ...โลภมากทำไม
      13. สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต    ...ข่มเหงกันทำไม
      14. ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน    ...หยิ่งผยองทำไม
      15. ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต   ...อิจฉากันทำไม
      16. ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ    ...แค้นใจทำไม (บำเพ็ญไวไว)
      17. นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ   ...เล่นการพนันทำไม
      18. ครองเรือนด้วยความประหยัดดีกว่าไปขอพึ่งผู้อื่น   ...สุรุ่ยสุร่ายทำไม
      19. จองเวรจองกรรมเมื่อไรจะจบสิ้น   ...อาฆาตทำไม
      20. ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก    ...คิดลึกทำไม

      21. ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้    ...รู้มากทำไม
      22. พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด    ...โกหกทำไม
      23. ดีชั่วย่อมรู้กันทั่วไปในที่สุด    ...โต้เถียงกันทำไม
      24. ใครจะป้องกันมิให้มีเรื่องเกิดขึ้นได้ตลอด    ...หัวเราะเยาะกันทำไม
      25. ฮวงซุ้ยที่ดีอยู่ในจิตไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา    ...แสวงหาทำไม
      26. ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ    ...ถามโหรเรื่องอะไร
      27. ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย    ...วุ่นวายทำไม




ขอขอบคุณ :-
ข้อธรรม : https://84000.org/pray/orrahan_jeekong.shtml
ภาพ : https://www.silpa-mag.com
29  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจดีย์ถล่มพังครืน.! วัดล้านขวด ญาติโยมเศร้าเศษซากกองกับพื้น เมื่อ: เมษายน 24, 2024, 05:48:29 am
.



เจดีย์ถล่มพังครืน.! วัดดังระดับโลก ญาติโยมเศร้าเศษซากกองกับพื้น ชาวบ้านไม่พลาดตีเลขหวย

ชาวพุทธเศร้า เจดีย์วัดล้านขวดพังถล่มครืนลงมากองกับพื้น รักษาการเจ้าอาวาส เผยต้องรื้อเศษวัสดุออกให้หมดแล้วเริ่มสร้างใหม่ เพื่อบรรจุอัฐิหลวงพ่อลอด พระผู้สร้างวัดจนโด่งดังไปทั่วโลก

วันที่ 23 เม.ย.2567 ที่วัดล้านขวด ต.สิ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ญาติโยมพากันเศร้าใจ หลังเกิดเหตุเจดีย์พังถล่มลงมากองราบอยู่กับพื้นเมื่อเวลา 03.00 น. คืนวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งวัดล้านขวดแห่งหนี้เป็นวัดชื่อดังและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางพุทธศาสนาที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของ จ.ศรีสะเกษ

เนื่องจากเป็นวัดที่สร้างด้วยขวด ฝาขวดน้ำอัดลม และฝาเครื่องดื่มบำรุงกำลังทุกชนิด จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากพากันมาเที่ยวชมและกราบไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา




พระไวพจน์ ธรรมะปาโร รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดล้านขวด เล่าว่า เจดีย์แห่งนี้เริ่มก่อสร้างช่วงเดือน พ.ย.2566 อาตมาก่อสร้างด้วยตนเอง ต่อมาด้วยสุขภาพที่แก่ชราแล้วจึงจ้างช่างมาช่วยก่อสร้าง ใช้เงินไปแล้ว 1 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินที่ได้มาจากศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวอ.ขุนหาญ และชาวพุทธทั่วประเทศ ร่วมสมทบทุนก่อสร้าง เป็นเจดีย์กว้าง 10 เมตร ยาว 10 เมตร สูง 15 เมตรก่อสร้างไปแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่เพียงประดับตกแต่งภายในเจดีย์ และปรับตกแต่งภูมิทัศน์โดยรอบเท่านั้น



“สาเหตุที่เจดีย์พังลงมานั้น เนื่องจากเสารับน้ำหนักของมุขมีเพียง 2 ด้าน อีก 1 ด้านไม่มีเสารับน้ำหนัก อีกทั้งเป็นเสาขนาดเล็ก เหล็กที่นำเอามาใช้ก่อสร้างก็เป็นเหล็กขนาดเล็ก เพราะว่า อาตมาสร้างเจดีย์ขึ้นมาตามกำลังปัจจัยที่ได้รับบริจาคมาค่อนข้างจำกัดมาก ทำให้ต้องใช้เหล็กเส้นขนาดเล็ก จากนี้ไปต้องรื้อซากเศษวัสดุที่พังออกไปให้หมดแล้วก่อสร้างเจดีย์ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บอัฐิของหลวงพ่อลอด พ่อของอาตมาเองที่เป็นพระผู้สร้างวัดแห่งนี้จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และจะยังคงใช้ขวดก่อสร้างเจดีย์เช่นเดิม เพราะว่าหลวงพ่อลอดชอบใช้ขวดก่อสร้างวัด”

ด้านคุณยายบรรจงจิตร อายุ 77 ปีชาว อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี บอกว่า มาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้ตั้งแต่หลวงพ่อลอดสร้างวัดนี้ขึ้นมาใหม่ๆ ยายนอนอยู่ที่ศาลาติดกับเจดีย์ห่างกันแค่ 3 เมตรเท่านั้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 03.05 น.ตื่นขึ้นมาสวดมนต์ ปรากฏว่า




” ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวฝุ่นกระจายคลุ้ง ตกใจมากเมื่อออกมาดูก็เห็นเจดีย์ที่กำลังก่อสร้างพังลงมากองอยู่กับพื้นดินแล้ว ยายและผู้ที่มาปฏิบัติธรรมทุกคนรู้สึกเศร้าเสียใจมาก เพราะเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสถานที่บรรจุอัฐิของหลวงพ่อลอด พระผู้สร้างวัดล้านขวด ”

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ชาวบ้านที่ทราบข่าวพากันเศร้าใจ แต่ก็ไม่พลาดแห่ตีเลขหวยนำไปหาซื้อลอตเตอรี่ลุ้นรางวัลงวดนี้




... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_8199586
23 เม.ย. 2567 - 18:32 น.
30  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มส.ปรับปรุงลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธี และรัฐพิธี เมื่อ: เมษายน 24, 2024, 05:43:28 am
.



มส.ปรับปรุงลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธี และรัฐพิธี

ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เห็นชอบปรับปรุงการจัดลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธี และรัฐพิธี

เมื่อวันที่ 23 เม.ย. เว็บไซต์มหาเถรสมาคม ได้เผยแพร่มติมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 09/2567 มติที่ 302/2567 เรื่อง ขอความเห็นชอบปรับปรุงการจัดลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธี และรัฐพิธี ระบุว่า ในการประชุม มส. ครั้งที่ 9/2567 เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2567 เลขาธิการมหาเถรสมาคม เสนอว่า ในการประชุม มส. ครั้งที่ 6/2541 เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2541 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธี และรัฐพิธี และคณะสงฆ์ได้ปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน

ตามที่ได้มีการประกาศใช้กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ประกอบกับ มส. ได้มีมติเห็นชอบ ในการประชุม ครั้งที่ 6/2541 เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2541 เรื่อง ลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธี และรัฐพิธี การแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ และการขอพระราชทานสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตร ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานสมณศักดิ์เพิ่มอีก

เช่น พระครูที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ พระครูเทียบเจ้าคณะอำเภอ และพระครูสัญญาบัตรสายวิปัสสนาธุระ (เพิ่มบางตำแหน่ง) ซึ่งทำให้ไม่สอดคล้องกับการจัดลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธี และรัฐพิธี ที่ มส. ได้มีมติให้ความเห็นชอบไปแล้ว นั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เห็นควรนำเสนอ มส. เพื่อโปรดพิจารณา รายละเอียดดังนี้

ลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธีและรัฐพิธี ตามมติ มส. มติที่ 302/2567 ครั้งที่ 9/2567 เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2567

@@@@@@@

สมเด็จพระราชาคณะ

1.สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
2.สมเด็จพระสังฆราช
3.สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ

พระราชาคณะ

4.รองสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นหิรัญบัฏ
5.รองสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสัญญาบัตร
6.พระราชาคณะชั้นธรรม
7.พระราชาคณะชั้นเทพ
8.พระราชาคณะชั้นราช
9.พระราชาคณะชั้นสามัญ พระราชาคณะ ปลัดขวา-ปลัดกลาง-ปลัดซ้าย พระราชาคณะ รองเจ้าคณะภาค พระราชาคณะ เจ้าคณะจังหวัด พระราชาคณะ รองเจ้าคณะจังหวัด พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ป.ธ. 9-8-7-6-5-4-3 พระราชาคณะชั้นสามัญเทียบเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระราชาคณะชั้นสามัญเทียบเปรียญพระราชาคณะชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระราชาคณะชั้นสามัญยก (เฉพาะพิธีรับผ้าพระกฐินพระราชทาน เจ้าอาวาสนั่งหน้าพระภิกษรูปอื่นซึ่งแม้จะมีสมณศักดิ์สูงกว่า)

พระครูสัญญาบัตร

10.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะจังหวัด (จจ.)
11.พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะจังหวัด (รจจ.)
12.พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (จล.ชอ.)
13.พระครูสัญญาบัตร ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (ทป.จอ.พ.วิ.)
14.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จอ.ชพ.วิ.)
15.พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (ทจอ.ชพ.วิ.)

16.พระครูสัญญาบัตร ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (ทป.จอ.ชพ.)
17.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (จอ.ชพ.)
18.พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นพิเศษ (ทจอ.ชพ.)
19.พระครูปลัดของสมเด็จพระราชาคณะ
20. พระเปรียญธรรม 9 ประโยค

21.พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (จล.ชท.) 22.พระครูสัญญาบัตร ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (ทป.จอ.ชอ.วิ.) 23.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จอ.ชอ.วิ.) 24.พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (ทจอ.ชอ.วิ.) 25.พระครูสัญญาบัตร ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (ทป.จอ.ชอ.)

26.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (จอ.ชอ.) 27.พระครูสัญญาบัตร เทียบเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (ทจอ.ชอ.) 28.พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี (จล.ชต.) 29.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (จอ.ชท.) 30.พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก (รจล.ชอ.)

31.พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท (รจล.ชท.) 32.พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นตรี (รจล.ชต) 33.พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือเทียบเท่า (ผจล.ชพ. วิ. หรือ ทผจล.ชพ. วิ.) 34.พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษ หรือเทียบเท่า (ผจล.ชพ. หรือ ทผจล.ชพ.) 35.พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ หรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ. วิ. หรือ ทผจล.ชอ. วิ.)

36.พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก หรือเทียบเท่า (ผจล.ชอ. หรือ ทผจล.ชอ.) 37.พระครูปลัดของพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ 38.พระครูปลัดของพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นสัญญาบัตร 39.พระครูฐานานุกรม ชั้นเอก ของสมเด็จพระสังฆราช 40.พระเปรียญธรรม 8 ประโยค

41.พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นโท หรือเทียบเท่า (ผจล.ชท. หรือ ทผจล.ชท.) 42.พระเปรียญธรรม 7 ประโยค 43.พระครูปลัดของพระราชาคณะ ชั้นธรรม 44.พระครูฐานานุกรม ชั้นโท ของสมเด็จพระสังฆราช (พระครูปริตร) 45.พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นเอก (รจอ.ชอ.)

46.พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าคณะอำเภอ ชั้นโท (รจอ.ชท.) 47.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จต.ชอ. วิ.) 48.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นเอก (จต.ชอ.) 49.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จต.ชท. วิ.) 50.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นโท (จต.ชท.)

51.พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นตรี (จต.ชต.) 52.พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จร.ชอ. วิ.) 53.พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นเอก (จร.ชอ.) 54.พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (จร.ชท. วิ.) 55.พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท (จร.ชท.)

56.พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัคราษฎร์ ชั้นตรี (จร.ชต.) 57.พระครูสัญญาบัตร รองเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ (รจร.) 58.พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ (ผจร.) 59.พระเปรียญธรรม 6 ประโยค 60.พระเปรียญธรรม 5 ประโยค

61.พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นเทพ 62.พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นราช 63.พระครูวินัยธร 64.พระครูธรรมธร 65.พระครูคู่สวด

66.พระเปรียญธรรม 4 ประโยค 67.พระปลัดของพระราชาคณะ ชั้นสามัญ 68.พระเปรียญธรรม 3 ประโยค 69.พระครูรองคู่สวด 70.พระครูสังฆรักษ์

71.พระครูสมุห์ 72.พระครูใบฎีกา 73.พระสมุห์ 74.พระใบฎีกา 75.พระพิธีธรรม

ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงการจัดลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม เปรียญ ในงานพระราชพิธี และรัฐพิธี ตามที่เสนอ และให้ดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม





ขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3367910/
23 เมษายน 2567 , 13:37 น. | การศึกษา-ศาสนา
31  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รถยนต์สีขาว ฮิตจริงฮิตจัง เปิดที่มาของรถสีขาว ทำไมถึงมีแต่คนชอบ เมื่อ: เมษายน 23, 2024, 05:33:05 am
.



รถยนต์สีขาว ฮิตจริงฮิตจัง เปิดที่มาของรถสีขาว ทำไมถึงมีแต่คนชอบ

ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เราจะเห็นได้ถึงรถยนต์บนถนนนั้น ที่ค่อนข้างคั่บคั่งหนาแน่นมากเป็นพิเศษ เนื่องจากหลาย ๆ บ้านก็เดินทางออกจากต่างจังหวัด มีวันหยุดยาวได้ออกไปทำธุระปะปังกัน ทำให้รถยนต์เยอะมากบนถนนต่าง ๆ

ลองมาสังเกตดูจากการที่รถติด ๆ นั่งมองเพลิน ๆ จะเห็นได้ว่ารถยนต์สีขาวนั้นมากกว่าสีอื่นบนถนน นั่งนับ ๆ ดู เอ๊ะ! ทำไมเยอะจัง ที่มาที่แท้จริงเป็นอย่างไรกันนะ

เรารวม ๆ คำตอบจากหลายๆ หลายแหล่งที่มา บอกว่ารถยนต์สีขาวในยุคก่อน ๆ มีราคาถูกที่สุด ผู้คนจึงมักซื้อสีนี้ พอจำนวนผู้ใช้มากขึ้น ก็เป็นเหมือนเทรนด์การใช้ ทำให้ผู้ใช้รายอื่นเห็นและซื้อตาม ๆ กันมา มองไปมองมาก็สวยดี  จนดันให้สีขาวของรถยนต์ ถูกพัฒนาสี จากสีขาวธรรมดา เป็นขาวแบบพิเศษ มีเมทัลลิก มีประกายเงางามมากกว่าเดิม เพิ่มความนิยมมากขึ้นไปกว่าเดิม จากรุ่นล่างสุดกลายมาเป็นตัว TOP ที่สุดในรุ่น และต้องเพิ่มเงินค่าสีกันด้วยซ้ำ

    - ข้อดีของรถยนต์สีขาวถึงจะเลอะจากคราบสกปรกต่าง ๆ ได้ง่ายมาก แต่ก็สามารถมองเห็นและทำความสะอาดได้ง่ายเช่นเดียวกัน

    - รถยนต์สีขาวสามารถเห็นตัวรถได้ง่าย ในเวลาที่ขับใช้งานในช่วงกลางคืน และดูหรูหรา ไม่แก่จนเกินไป ดูไม่ตกยุคสมัย และสามารถจับมาแต่งองค์ทรงเครื่องได้ง่ายกว่าสีอื่น จับสีไหนมาคู่ก็ดูเข้ากัน

    - รวมไปถึงอาจจะเป็นสีที่ถูกโฉลกกับวันเกิดของผู้ใช้รถบางคนอีกด้วย





Thank to : https://www.amarintv.com/article/detail/63929
Powered by อมรินทร์ นิวส์ - ยานยนต์ | 21 เม.ย. 67
32  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มท.-วัดระฆังโฆสิตาราม พร้อมเครือข่าย เอ็มโอยู โครงการพื้นที่ต้นแบบอารยเกษตร เมื่อ: เมษายน 23, 2024, 05:26:48 am
.



มท.-วัดระฆังโฆสิตาราม พร้อมเครือข่าย เอ็มโอยู โครงการพื้นที่ต้นแบบอารยเกษตร

มท. วัดระฆังโฆสิตาราม จ.นครนายก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เอ็มโอยู โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบอารยเกษตร

เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่พระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย(มท.) เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตร ตามแนวพระราชดำริ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ระหว่างกระทรวงมหาดไทย วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจังหวัดนครนายก โดยได้รับเมตตาจากพระมหาปรีชา ปสนฺโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร เลขานุการวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร เป็นผู้แทนพระเทพประสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ร่วมลงนาม

โดยมี รศ.สุพจน์ ศรีนิล รองอธิการบดี ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และนายสุภกิณห์ แวงชิน ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก ร่วมลงนาม โอกาสนี้ พระพิพัฒน์วชิโรภาส เจ้าอาวาสวัดป่ามหาธีราจารย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต พระครูพิพิธวรกิจจาทร พระครูสังฆรักษ์อำพล จตฺตมโล พระครูวินัยธรสมชาย ปุปฺผโก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม พระเถรานุเถระ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก นายเปลี่ยน แก้วฤทธิ์ รกน.ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ กรมที่ดิน นายสุรพล เจริญภูมิ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นางสาวชัชดาพร บุญพีระณัช รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง นายบูรณิศ ยุกตะนันทน์ ผู้อำนวยการองค์การตลาด ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่าย ร่วมในพิธี




นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตรตามแนวพระราชดำริ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ระหว่างกระทรวงมหาดไทย วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจังหวัดนครนายก เป็นเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะออกแบบ พัฒนา วางแผนและบริหารจัดการการใช้ประโยชน์พื้นที่ ในที่ดินของวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร โฉนดที่ดินที่ 2623 จำนวน 100 ไร่ และโฉนดที่ดินที่ 2624 จำนวน 50 ไร่ รวมจำนวน 150 ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองใหญ่ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตร ตามแนวพระราชดำริ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

โดยจัดตั้งเป็น “ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต ตามแนวทางพุทธอารยเกษตร สู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน” อันจะเป็นพื้นที่ตัวอย่างแห่งความยั่งยืนให้กับกระทรวง กรม และจังหวัดต่าง ๆ ในการน้อมนำหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่อารยเกษตร หรือโคก หนอง นา โดยได้รับเมตตาจากพระเทพประสิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร มอบหมายให้พระครูสุภัทรธรรมโฆษิต (พระครูต้น) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ได้บริหารจัดการที่ดินแปลงนี้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและภาคีเครือข่าย เพื่อให้เกิดประโยชน์ตามความร่วมมือในครั้งนี้




“พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงคิดค้นทฤษฎีใหม่เป็นจำนวนมากเพื่อยังคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับพสกนิกรของพระองค์ ทั้งนี้ เกษตรทฤษฎีใหม่เป็น 1 ใน 40 ทฤษฎี ธรรมชาติมีแหล่งน้ำ มีนา ปลูกข้าวกินเอง เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นอาหาร มีไม้ยืนต้น พืชผักสวนครัว โดยทรงใช้วัดเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี เป็นพื้นที่ทดลอง เพราะพื้นที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหินปูน โดยทรงใช้องค์ความรู้มาคิดค้นคว้า แบ่งพื้นที่ว่าชีวิตจะอยู่ได้ “น้ำคือชีวิต” จึงทรงหาวิธีการที่ทำให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยทำให้พื้นที่ทำมาหากินต้องมีน้ำ เกษตรทฤษฎีใหม่ 30% ของพื้นที่ทำแหล่งน้ำ 30% เป็นพื้นที่เกษตรผสมผสาน 30% เป็นพื้นที่สร้างความร่มเย็น ไม้เป็นอาหาร ไม้ใช้สอย ด้วยไม้ยืนต้น และแหล่งมรดกสร้างที่อยู่อาศัย และอีก 10% ทำที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ และต่อมา ทรงคิดทฤษฎีใหม่อื่น ๆ อาทิ เลี้ยงดินให้ดินเลี้ยงพืช ป่าเปียก หลุมขนมครก อธรรมปราบอธรรม

โดยต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา และต่อยอด จึงพระราชทานโครงการโคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวังให้แก่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และต่อมากระทรวงมหาดไทยได้น้อมนำไปขับเคลื่อน “โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา” โดยทรงนิยามคำว่า “อารยเกษตร” เพราะพื้นที้ที้เราพัฒนาแล้วจะเกิดความสวยงาม ทั้งภาพลักษณ์ และอรรถประโยชน์ มองทางไหนก็เหมือนอยู่ในรีสอร์ท มีคลองไส้ไก่คดเคี้ยวเลี้ยวลด มีผืนแผ่นดินทำมาหากิน อยู่อาศัย ที่มีต้นไม้สูง กลาง ต่ำ เตี้ย เรี่ยดิน อันจะทำให้คนมีกิน มีใช้ และดูแลให้คนในครอบครัวมีความสุข โดยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้มอบหมายให้ รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ และ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล เป็นผู้นำภาคีเครือข่ายภาควิชาการ ในการออกแบบขยายผลจนเกิดมรรคผลทั่วประเทศในขณะนี้” นายสุทธิพงษ์ กล่าว




นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการในครั้งนี้ จะทำให้พวกเราทุกคนได้มีโอกาสร่วมสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังพระปฐมบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” และพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และแนวทางการพัฒนาพื้นที่ตามพระราชดำรัส “อารยเกษตร” เป็นแนวทางหลักในการบริหารจัดการดิน น้ำ ป่า คน ภูมินิเวศและภูมิวัฒนธรรม อันเป็นความสำเร็จที่ทำให้พสกนิกรชาวไทยได้มีความสุขในชีวิตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างรูปแบบการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่มีความเป็นอารยะ พร้อมน้อมนำหลัก บวร (บ้าน วัด ราชการ) ในการสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนา ตลอดจนการพัฒนาพื้นที่ให้มีรูปแบบทางภูมิสถาปัตยกรรมที่สวยงาม

โดยมุ่งมั่นบูรณาการความร่วมมือพร้อมด้วยสรรพกำลังตามความเชี่ยวชาญอย่างเต็มที่ในการพัฒนาที่ดิน การสำรวจพื้นที่เพื่อนำมาพัฒนาและออกแบบ ภายใต้โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตร ตามแนวพระราชดำริ เพื่อให้เป็น “ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต ตามแนวทางพุทธอารยเกษตร สู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน” ที่เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ต้นแบบการบริหารจัดการน้ำ การสร้างความมั่นคงทางอาหาร การพัฒนาพื้นที่เพื่อการพึ่งตนเองตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็นแหล่งรวมปัจจัย 4 ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน และยารักษาโรค ตลอดจนการพัฒนาดินเพื่อช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและสัตว์ สร้างสภาพแวดล้อมให้ร่มเย็นเพื่อช่วยสร้างสมดุลของระบบนิเวศและลดภาวะโลกร้อน เป็นต้น

นอกจากนี้เราจะได้ส่งเสริมให้เกิดการน้อมนำหลักธรรมตามพระพุทธศาสนา ให้เกิดการเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติธรรม และเรียนรู้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และอารยเกษตรอีกด้วย ซึ่งจะทำให้พื้นที่แห่งนี้เป็นใบบุญในการทำให้คณะสงฆ์ ตลอดจนประชาชนคนไทยได้มีโอกาสที่ดีของชีวิตในการน้อมนำพระราชดำริสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน




“พื้นที่แห่งนี้จะเป็นต้นแบบทำให้ผู้คน ประเทศชาติ และโลกใบเดียวนี้อยู่รอด จะทำให้ผู้คนได้เรียนรู้ว่า “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ไม่ได้ทำให้คนแค่พอมี พอกิน แต่จะทำให้คนเป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อ มีจิตอาสา ดูแลสังคม และสามารถทำให้เกิดความมั่งคั่งร่ำรวยได้ ตามหลักทฤษฎีบันได 9 ขั้นของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4 ขั้นแรกทำให้พอกิน พออยู่ พอใช้ พอร่มเย็น ขั้นต่อไปเมื่อมีเหลือใช้ก็แบ่งทำบุญ กับพระสงฆ์ ทำทานกับผู้ยากไร้ และขั้นต่อมา คือ การแปรรูป ถนอมอาหาร และรวมผลผลิต และรวมตัวกันทำการตลาด อันจะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่อย่างยั่งยืน โดยการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย คือ ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ขับเคลื่อนพื้นที่แห่งบุญกุศลไปสู่ต้นแบบแห่งการอยู่ดีมีสุขตามพระราชดำริต่อไป”นายสุทธิพงษ์ กล่าว

พระมหาปรีชา ปสนฺโน กล่าวว่า วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหารในฐานะเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นที่ดินที่วัดได้ซื้อไว้ตั้งแต่ก่อนปี 2500 แปลงหนึ่ง และเป็นแปลงที่ทายาทอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ ถวายให้กับวัดแปลงหนึ่ง โดยเมื่อวัดได้รับทราบว่ากระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นร่วมพัฒนาที่ดินตามหลักพุทธอารยเกษตร ซึ่งเป็นความตั้งใจที่ดีงาม โดยเฉพาะชื่อโครงการที่ถือเป็นไปตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ อันเป็นสิ่งที่จะเกิดประโยชน์อย่างไพบูลย์กับประเทศชาติ พระศาสนา และประชาชน จึงขออนุโมทนากับการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ในวันนี้ และขออำนวยพรให้ประสบความสำเร็จตามความมุ่งมั่นตั้งใจทุกประการ

รศ.สุพจน์ กล่าวว่า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้รับเกียรติในการสนับสนุนให้ รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ และ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรมและการวางแผน คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการขยายผลการพัฒนาพื้นที่ตามหลักอารยเกษตรตามแนวพระราชดำริมาต่อเนื่องกว่า 10 ปีในลักษณะ “นักวิชาการจิตอาสา” ซึ่งสถาบันฯ มีความภูมิใจและชื่นชมยินดีกับอาจารย์ทั้ง 2 ท่านที่มีส่วนในการพัฒนาความยั่งยืนให้กับประเทศชาติและประชาชน โดยพิธีการในวันนี้ พวกเราผู้มีจิตใจที่ดีงาม จะได้ร่วมกันทำให้ประเทศชาติก้าวไปสู่ความเจริญอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยสถาบันฯ จะมุ่งมั่นถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างมากที่สุดและดีที่สุดเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณตลอดไป




นายสุภกิณห์ กล่าวว่า จังหวัดนครนายก ในฐานะพื้นที่มีความมุ่งมั่นในการร่วมกับภาคีเครือข่ายน้อมนำแนวทางการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตร ตามแนวพระราชดำริ เพื่อยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนตามนโยบายกระทรวงมหาดไทย เจตนารมณ์ของวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ตลอดจนถึงสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และความมุ่งมั่นตั้งใจของภาคีเครือข่ายอย่างเต็มกำลังความสามารถ

การพัฒนาที่ดินของวัดระฆังโฆสิตาราม ขนาด 150 ไร่ ที่คลอง 15 อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ตามบันทึกข้อตกลงฯ ครั้งนี้ จะนำไปสู่การจัดทำแบบแนวความคิดในการพัฒนาพื้นที่สู่การเป็น “ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต ตามแนวทางพุทธอารยเกษตร สู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน” ซึ่งถือเป็น 1 ใน 6 พื้นที่ทั่วประเทศที่กระทรวงมหาดไทยได้คัดเลือกดำเนินการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ทำให้ประชาชนคนไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน





ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/politics/news_4537767
วันที่ 22 เมษายน 2567 - 17:15 น.   
33  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คณะสงฆ์กทม.ติวเข้มทักษะไอทีพระภิกษุสามเณร เผยแผ่พุทธศาสนาออนไลน์ เมื่อ: เมษายน 23, 2024, 05:19:41 am
.



คณะสงฆ์กทม.ติวเข้มทักษะไอทีพระภิกษุสามเณร เผยแผ่พุทธศาสนาออนไลน์

คณะสงฆ์กรุงเทพฯ จัดโครงการอบรมพัฒนาบุคลากร เพิ่มพูนทักษะทางไอที หนึ่งวัดหนึ่งเว็บไซต์ รุ่นที่ 2

พระธรรมวชิรมุนี วิ. กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กล่าวในการเป็นประธานเปิดโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรเพิ่มพูนทักษะทางไอที หนึ่งวัดหนึ่งเว็บไซต์ ของคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร (รุ่นที่ 2) เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567 ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า โครงการดังกล่าว เพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจด้านไอทีที่จำเป็นให้กับพระภิกษุสามเณรของวัดในเขตกรุงเทพฯ ต่อจากรุ่นแรกที่ได้ดำเนินการไปเมื่อปี 2566 ทั้งยังเป็นโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค. 2567

“มีผู้กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีก้าวไกล พระสงฆ์ไทยควรก้าวให้ทัน ใจความสำคัญคือ พระภิกษุสามเณร จะดึงศักยภาพด้านเทคโนโลยีมาใช้ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เกิดประโยชน์อย่างไร เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะว่าเทคโนโลยีนี้เป็นของใหม่ และทันสมัย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีก็ยังเป็นอุปกรณ์ในการประชาสัมพันธ์ผลงาน ศาสนกิจ ของแต่ละวัดได้ และช่วยให้ผู้สนใจ พุทธศาสนิกชน ได้เข้าถึงข้อมูลที่สำคัญของวัดได้ตลอดเวลา ด้วยแต่ละวัดมีงานต้องดำเนินการตามนโยบายคณะสงฆ์ การอบรมครั้งนี้ เพื่อให้เป็นต้นแบบของการพัฒนาศักยภาพของพระภิกษุสามเณร อีกทางหนึ่ง ซึ่งละเลยไม่ได้ เพราะการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางเว็บไซต์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถทำให้คนทั่วโลกเข้าถึงได้” เจ้าคณะกรุงเทพฯ กล่าว






ด้านพระครูภาวนาวิธาน วิ. หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานเจ้าคณะกรุงเทพฯ ประธานโครงการฯ กล่าวว่า เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการประกอบธุรกรรมทางสังคม และการดำเนินชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีแนวโน้มว่าจะก้าวหน้า รวดเร็ว และก้าวไกลมากยิ่งขึ้น องค์กรที่พึ่งพาเทคโนโลยี จำเป็นต้องทำการพัฒนาบุคลากร ให้มีความรู้ความเข้าใจ ใช้ประโยชน์ให้ตรงกับภาระงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนเจ้าคณะกรุงเทพฯ และคณะสงฆ์กรุงเทพฯ จึงเห็นควรให้มีการอบรมดังกล่าวขึ้น ระหว่างวันที่ 20-24 เม.ย. ที่ตึกมหาธาตุวิทยาลัย ชั้น 1 วัดมหาธาตุฯ

โดยกำหนดขอบเขตเนื้อหาในการอบรมเกี่ยวเนื่องกับการเผยแพร่ศาสนาผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ด้วยการจัดทำเว็บไซต์ประจำวัดในเขตปกครอง เพิ่มความรู้เบื้องต้นงานสิ่งพิมพ์ การประชาสัมพันธ์กิจกรรมวัด การถ่ายภาพเพื่อการทำรายงานศาสนกิจ รวมทั้งเพื่อขับเคลื่อนกิจการและการเผยแพร่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์กรุงเทพฯ ให้ก้าวหน้า รวดเร็วและทันสมัย อีกทั้งเป็นการพัฒนาบุคลากรด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น





ขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3364547/
22 เมษายน 2567 ,13:03 น. ,การศึกษา-ศาสนา
34  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดอภัยทายาราม อนุสรณ์ 200 ปี สมานฉันท์ จักรี-ธนบุรี เมื่อ: เมษายน 22, 2024, 06:14:56 am
.

พระอุโบสถวัดอภัยทายาราม ที่บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่บนฐานเดิม เมื่อปี พ.ศ. 2489 ภาพนี้ถ่ายจากอาคารพัชรกิติยาภา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม, เมษายน 2549)


วัดอภัยทายาราม อนุสรณ์ 200 ปี สมานฉันท์ จักรี-ธนบุรี

“วัดอภัยทายาราม” หรือที่ชาวบ้านยังเรียกกันในปัจจุบันว่า “วัดมะกอก” ตั้งอยู่ติดกับเขตโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หันหน้าเข้าสู่คลองสามเสน ใน พ.ศ. 2549 เป็นวาระที่วัดอภัยทายารามมีอายุครบ 200 ปี ซึ่งวัดแห่งนี้มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์

สาเหตุอย่างหนึ่งอาจมาจากประวัติวัด “อย่างเป็นทางการ” ของกรมการศาสนาซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือ ประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม 2 ก็ใช้อ้างอิงไม่ได้ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างวัดแห่งนี้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่หลายข้อ รวมไปถึงการระบุเจ้านายผู้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ผิดองค์

ประวัติการปฏิสังขรณ์วัด “ตัวจริง” ได้ถูกจารึกเป็นเพลงยาวไว้บนแผ่นไม้สักลงรัก เขียนทอง เก็บรักษาไว้ที่วัดมาตลอดโดยมิได้เคลื่อนย้ายไปไหน แต่ก็มิได้มีการอนุรักษ์ ซ่อมแซม จนปัจจุบันเพลงยาวที่จารึกไว้ได้ลบเลือนจนยากที่จะอ่านได้ความ

อย่างไรก็ดีคุณบุญเตือน ศรีวรพจน์ แห่งสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้พบเพลงยาวฉบับตัวเขียนในสมุดไทย เก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ ซึ่งเนื้อหาตรงกันกับเพลงยาวที่จารึกไว้บนแผ่นไม้ของวัด และได้เขียนแนะนำไว้พอสังเขปแล้วในหนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนเมษายน 2548 ทำให้เราได้ “ความสมบูรณ์” ในการปฏิสังขรณ์วัดอภัยทายารามเมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ 1 นอกจากนี้ ทัศน์ ทองทราย ก็ได้บันทึกประวัติวัด “จากคำบอกเล่า” ของเจ้าอาวาสวัดองค์ปัจจุบัน ไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดียวกัน

แต่ในวาระที่วัดอภัยทายารามมีอายุครบ 200 ปี ในปี 2549 นอกจากประวัติการปฏิสังขรณ์วัดจากเพลงยาวและประวัติวัดจากคำบอกเล่าแล้ว ยังควรพิจารณาแง่มุมอื่นๆ ที่ยังไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน โดยเฉพาะในประเด็นของ “ชื่อวัด” และวัตถุประสงค์ในการปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้



แผ่นไม้สักขนาดใหญ่ลงรักเขียนทอง จารึกประวัติการสร้างและฉลองวัดอภัยทายาราม อายุกว่า 200 ปี https://www.nlt.go.th


ปฏิสังขรณ์วัดบ้านนอก เสมอด้วยวัดหลวง

วัดอภัยทายาราม เดิมเป็นวัดที่ทรุดโทรม ซึ่งน่าจะสร้างมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมา “เจ้าฟ้าเหม็น” พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และยังเป็นพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ คงเสด็จมาพบเข้า เห็นวัดนั้นเสื่อมโทรมไม่สมกับเป็นที่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ ดังที่เพลงยาวได้กล่าวไว้ดังนี้

ในอารามที่ปลายซองคลองสามเสน   เหนบริเวณเปนแขมคาป่ารองหนอง
ไม่รุ่งเรืองงามอรามด้วยแก้วทอง   ไร้วิหารท้องน้อยหนึ่งมุงคา
ไม่ควรสถิศพระพิชิตมาเรศ   น่าสังเวทเหมือนเสดจ์อยู่ป่าหญ่า
ทั้งฝืดเคืองเบื้องกิจสมณา   พระศรัดทาหวังประเทืองในเรืองธรรม

เมื่อเสด็จมาพบเข้าดังนี้ ก็มีพระประสงค์จะทำการกุศล จึงทรงสั่งการให้เกณฑ์ไพร่มาเตรียมการปฏิสังขรณ์ใหญ่ ณ วัดแห่งนี้ ตั้งแต่ปีจุลศักราช 1159 (พ.ศ. 2340)

ครั้นถึงปีจุลศักราช 1160 (พ.ศ. 2341) เจ้าฟ้าเหม็นจึงเสด็จถวายพระกฐินและวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ เป็นการเริ่มต้นการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ คือ สร้างใหม่ทั้งวัด อย่างไรก็ดีวันเดือนปีที่ปรากฏในเพลงยาวนั้นยังคลาดเคลื่อนกับปฏิทินอยู่บ้างเล็กน้อย คือ กำหนดพระฤกษ์วันเสด็จในการถวายพระกฐินและวางศิลาฤกษ์เพลงยาวได้ระบุว่าเป็น “สุริยวารอาสุชมาล กาลปักทวาทัสมี ปีมเมียสำฤทศกปรมาร” ถอดคำแปลออกมาเป็น วันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 12 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1160 ซึ่งตามปฏิทินนั้นเดือนแรม ดังกล่าวจะตรงกับวันจันทร์ ไม่ใช่วันอาทิตย์

นอกจากนี้ในบทอื่นๆ ที่กล่าวถึงวันเดือนปีก็จะคลาดเคลื่อนทุกครั้ง จึงเป็นการยากที่จะถอดวันเดือนปีในเพลงยาว ให้เป็นวันเดือนปีในปฏิทินสุริยคติที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

วัดอภัยทายาราม เมื่อแรกปฏิสังขรณ์นั้นยิ่งใหญ่ และงดงามอย่างยิ่ง เสนาสนะทุกสิ่งอันล้วนวิจิตรบรรจงและอลังการ เทียบเคียงได้กับวัดสำคัญๆ ในสมัยนั้น และสิ่งที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าวัดนี้เป็น “วัดสำคัญ” นอกกำแพงพระนครคือ “พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์” เสด็จพระราชดำเนินมาในการพระราชกุศลด้วยพระองค์เอง คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ และ “วังหน้า” กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความขัดแย้งและหวาดระแวง

ที่ตั้งของวัดจะอยู่ค่อนข้างไกลจากศูนย์กลางของเมืองในขณะนั้น สามารถจัดได้ว่าเป็น “วัดบ้านนอก” ดังนั้นการเสด็จทั้ง 2 พระองค์ในครั้งนี้ย่อมมีนัยยะอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งต้อง “สืบสวน” กันอย่างละเอียดเพื่อหาเหตุผลของการเสด็จพระราชดำเนินมายัง “วัดบ้านนอก” ในครั้งนั้น



ภาพถ่ายทางอากาศ บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2489 ที่ลูกศรชี้คือพระอุโบสถวัดอภัยทายารามหลังเก่าที่ “เจ้าฟ้าเหม็น” ทรงสร้าง (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม, เมษายน 2549)

ขณะที่ “พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์” เสด็จพระราชดำเนินนั้น วัดยังอยู่ระหว่างก่อสร้างคือเมื่อ เดือนยี่ ปีจุลศักราช 1163 (พ.ศ. 2344) จึงไม่ได้เสด็จมาเพื่อเฉลิมฉลองหากแต่มาทรงผูกพัทธสีมา “จผูกพัดเสมาประชุมสงฆ” แต่ถึงกระนั้นก็เสด็จมาทางชลมารคด้วยกระบวนเรือ “มหึมา”

สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวทั้งสององค์   ผู้ทรงธรรม์อันสถิศมหาสถาร
ก็เสดจ์ด้วยราชบริพาน   กระบวนธารชลมาศมหึมา
ถึงประทับพลับพลาอาวาสวัด   ดำรัดการที่สืบพระสาสนา
สท้านเสียงดุริยสัทโกลา   หลดนตรีก้องประโคมประโคมไชย
เสจพระราชานุกิจพิทธีกุศล   เปนวันมนทณจันทรไม่แจ่มไส
ประทีปรัตนรายเรืองแสงโคมไฟ   เสดจ์คันไลเลิกกลับแสนยากร

การปฏิสังขรณ์ใหญ่วัดอภัยทายารามใช้เวลาทั้งสิ้น 8 ปี จึงแล้วเสร็จในเดือน 3 ปีจุลศักราช 1168 (พ.ศ. 2349) ผ่านมาครบ 200 ปีในปีนี้พอดี เมื่อการปฏิสังขรณ์สำเร็จบริบูรณ์จึงมีการเฉลิมฉลองขึ้น เป็นงานใหญ่ 7 วัน 7 คืน มีมหรสพ ละคร การละเล่นอย่างยิ่งใหญ่ และเทียบเท่ากับงานเฉลิมฉลองระดับ “งานหลวง” ทั้งสิ้น องค์ประธานองค์ประธานผู้ทรงปฏิสังขรณ์ วัดเสด็จร่วมงานฉลองครบทุกวันจนจบพิธี แล้วขนานนามวัดว่า “อไภยทาราม”

ส้างวัดสิ้นเงินห้าสิบเก้าชั่ง   พระไทยหวังจไห้เป็นแก่นสานต์
ตั้งทำอยู่แปดปีจึ่งเสจการ   ขนานชื่อวัดอไภยทาราม

สิ่งที่น่าสนใจและเป็นปริศนาชวนให้ค้นหาคำตอบของ วัดอภัยทายาราม ทั้งที่ปรากฏอยู่ในเพลงยาว และอื่นๆ ไม่ใช่การปฏิสังขรณ์อย่างยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การสร้างเสนาสนะอย่างวิจิตรบรรจง หรือแม้แต่งานฉลอง 7 วัน 7 คืน ด้วยการละเล่นดุจเดียวกับงานหลวง สิ่งเหล่านี้มีฐานะเป็นแต่เพียง “พยาน” สำคัญ ที่จะนำไปสู่การไขคำตอบสำคัญ ซึ่งก็คือเหตุอันเป็นที่มาของชื่อวัด “อไภยทาราม” นั่นเอง

@@@@@@@

วัดอไภยทาราม ไม่ได้ตั้งตามพระนามเจ้าฟ้าเหม็น

นามวัด “อภัยทายาราม” เป็นนามที่ตั้งขึ้นใหม่ในชั้นหลัง เดิมนามวัดตามที่ปรากฏในเพลงยาวขนานนามว่า “อไภยทาราม” ซึ่งก็น่าจะเป็นนามพระราชทาน ชื่อ “อไภยทาราม” นี้อาจจะดูเหมือนว่าเป็นการตั้งตามพระนามของเจ้าฟ้าเหม็น ผู้ทรงปฏิสังขรณ์วัด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับพระราชทานพระนามจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ แต่พระนาม “เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์” ของเจ้าฟ้าเหม็นนั้น มิได้ใช้โดยตลอด เนื่องด้วยมีพระราชดำริเห็นว่าเป็นนามอัปมงคล!

ที่มาที่ไปของพระนามอัปมงคล เริ่มต้นและเกี่ยวพันกับพระชาติกำเนิดของเจ้าฟ้าเหม็น ในฐานะผู้ที่ทรงอยู่กึ่งกลางระหว่างความขัดแย้งของพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชบิดา และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ คือพระอัยกา หรือ “คุณตา” ซึ่งได้สำเร็จโทษพระราชบิดาเจ้าฟ้าเหม็นเมื่อคราวเปลี่ยนแผ่นดิน

เจ้าฟ้าเหม็นเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและเจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ พระสนมเอก ท่านผู้นี้เป็นธิดาของเจ้าพระยาจักรี หรือต่อมาเสด็จขึ้นปกครองแผ่นดินเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ รัชกาลที่ 1 ในพระราชวงศ์จักรี

เจ้าฟ้าเหม็นประสูติในแผ่นดินกรุงธนบุรีในปีพุทธศักราช 2322 ต่อมาอีกเพียง 3 ปี “คุณตา” เจ้าพระยาจักรี ก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัว สถาปนาพระราชวงศ์ใหม่ โดยได้สำเร็จโทษ “เจ้าตาก” พระราชบิดาของเจ้าฟ้าเหม็น พร้อมกับพระญาติบางส่วนในเหตุการณ์ครั้งนั้น ถือเป็นอันสิ้นแผ่นดินกรุงธนบุรี

หลังจากเหตุการณ์ล้างครัว “เจ้าตาก” จบลงยังเหลือพระราชวงศ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกบางส่วนที่ได้รับการยกเว้น รวมทั้งเจ้าฟ้าเหม็นด้วย เนื่องจาก “คุณตา” ทรงอาลัยหลานรักพระองค์นี้ยิ่งนัก ดังนั้นตลอดรัชกาลที่ 1 แม้เจ้าฟ้าเหม็นจะทรงถูก “ตัด” ออกจากราชการบ้านเมืองทั้งสิ้น แต่ก็ยังทรงเป็น “พระเจ้าหลานเธอ” พระองค์โปรดของพระเจ้าแผ่นดินอยู่ตลอดรัชกาล

พระนามพระราชทานแรกของเจ้าฟ้าเหม็น ที่เป็นนาม “พ่อตั้ง” คือ เจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ พระนามนี้ใช้ในแผ่นดินกรุงธนบุรี ครั้นต่อมาเมื่อเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ก็มีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนพระนามเจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ในแผ่นดินก่อน ด้วยไม่สมควรที่จะใช้เรียกขานในแผ่นดินใหม่นี้

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์ว่าเจ้าตากขนานพระนามพระราชนัดดาให้เรียก เจ้าฟ้าสุพันธวงษ์ ไว้แต่เดิมนั้น จะใช้คงอยู่ดูไม่สมควรแก่แผ่นดินประจุบันนี้ จึ่งพระราชทานพระนามใหม่ว่า สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าอภัยธิเบศ นเรศรสมมติวงษ พงษอิศวรราชกุมาร”

อย่างไรก็ดีพระนามเจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ ที่คาดว่าเป็นพระนามที่นำไปขนานนาม “วัดอไภยทาราม” นั้น ตามความเป็นจริงพระนามนี้ใช้อยู่เพียงระยะสั้น ก็มีพระราชดำริให้เลิกเสียและเปลี่ยนพระนามใหม่อีกครั้ง

“ภายหลังข้าราชการกราบบังคมทูลหาสิ้นพระนามไม่ กราบทูลแต่ว่า เจ้าฟ้าอภัย จึ่งทรงเฉลียวพระไทย แล้วมีพระราชดำรัสว่า ชื่อนี้พ้องต้องนามกับเจ้าฟ้าอภัยทัต เจ้าฟ้าปรเมศ เจ้าฟ้าอภัย ครั้งแผ่นดินกรุงเก่า ไม่เพราะหูเลย จึ่งพระราชทานโปรดเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ์ร นเรศว์รสมมติวงษพงษอิศวรราชกุมารแต่นั้นมาฯ” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ฉบับตัวเขียน), อมรินทร์, 2539, น. 43)

เหตุการณ์นี้บันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ฉบับตัวเขียน) ในช่วงปีจุลศักราช 1145 (พ.ศ. 2326) เป็นปีที่ 2 ในรัชกาลที่ 1 จึงเท่ากับว่าพระนามเจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ ใช้อยู่ไม่เกิน 2 ปี จึงยกเลิกเสีย ด้วยว่าเป็นพระนามอัปมงคลแก่ผู้เป็นเจ้าของ กล่าวคือพระนาม “เจ้าฟ้าอภัย” ที่ใช้ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยานั้น เจ้าของพระนามล้วนแต่ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ทุกพระองค์

นอกจากนี้หลักฐานการเปลี่ยนพระนามยังสอดคล้องกับการอ้างถึงพระนามที่เปลี่ยนใหม่ เมื่อทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกให้ “ทรงกรม” ในปีพุทธศักราช 2350 หลังจากที่ทรงปฏิสังขรณ์วัดอไภยทาราม 1 ปี ขณะนั้นทรงใช้พระนามเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์อยู่แล้ว

“โปรดตั้งพระราชนัดดา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ เป็นกรมขุนกษัตรานุชิต 1 สมเด็จพระเจ้าหลานพระองค์นี้ ครั้งกรุงธนบุรีมีพระนามว่า เจ้าฟ้าสุพันธวงศ์ ครั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระราชทานพระนามใหม่ว่า เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ ข้าราชการขานพระนามโดยย่อว่า เจ้าฟ้าอภัย ได้ทรงสดับรับสั่งว่า พ้องกับพระนามเจ้าฟ้าอภัยทัต ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ และเจ้าฟ้าอภัย ครั้งแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ซึ่งไม่เป็นสวัสดิมงคลแก่ผู้มีพระนามนั้น จึงโปรดให้เปลี่ยนพระนามใหม่ว่า เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์, กรมศิลปากร, 2531, น. 102)

ดังนั้นหากกำหนดระยะเวลาโดยสังเขปเกี่ยวกับ พระนามเจ้าฟ้าเหม็น ควรจะได้ดังนี้ เจ้าฟ้าเหม็น เป็นพระนามลำลอง คงใช้ตลอดพระชนมายุ เจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ ใช้แต่แรกเกิดในสมัยกรุงธนบุรีถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2322-5) เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ ใช้เมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์เป็นเวลา 2 ปี (พ.ศ. 2325-6) เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ใช้เรื่อยมาจนกระทั่งทรงกรม (พ.ศ. 2326-50) และกรมขุนกษัตรานุชิต ใช้เป็นพระนามสุดท้าย (พ.ศ. 2350-2)

ระยะเวลาของการใช้พระนามแต่ละพระนามนั้นชี้ให้เห็นว่า พระนามเจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์นั้นถูกยกเลิกโดยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2326 หรือเป็นปีที่ 2 ในรัชกาลที่ 1 ก่อนที่จะทรงปฏิสังขรณ์วัดอไภยทารามในปีพุทธศักราช 2349 เป็นเวลานานถึง 23 ปี นอกจากนี้พระนามอภัยธิเบศร์ ยังได้รับพระราชวิจารณ์ว่า “ไม่เป็นสวัสดิมงคลแก่ผู้มีพระนามนั้น” จึงไม่มีเหตุผลสมควรที่จะนำพระนามที่เลิกใช้ไปนานแล้วและเป็นอัปมงคลกลับมาใช้ใหม่ โดยนำไปตั้งเป็นชื่อวัด อันควรแก่นามสิริมงคลเท่านั้น

ดังนั้นหากชื่อวัดอไภยทารามไม่ได้ตั้งตามพระนามเจ้าฟ้าเหม็นแล้ว ชื่อวัดแห่งนี้ย่อมจะมีนัยยะอย่างใดอย่างหนึ่งแอบแฝงไว้หรือไม่?

@@@@@@@

แผนการ “ตา” ปกป้องหลาน

เมื่อเริ่มมีการลงมือปฏิสังขรณ์วัดนั้นตกอยู่ในปีพุทธศักราช 2341 ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มีพระชนมพรรษามากแล้วถึง 62 พรรษา แม้จะไม่ถึงเกณฑ์ชรามากนัก แต่ก็ไม่สามารถประมาทได้ ด้วยเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “วังหน้า” และ “วังหลวง” ยังคงมีแฝงอยู่ตลอดรัชกาล

ซึ่งต่อมาอีกเพียง 10 ปีหลังจากการปฏิสังขรณ์วัด ก็สิ้นรัชกาลที่ 1 ด้วยพระชนมพรรษา 72 พรรษา จึงเป็นไปได้ว่าการที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงเห็นชอบให้ปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้อย่างยิ่งใหญ่ เพราะมีพระราชประสงค์มากไปกว่าการสร้างวัดเพื่อการกุศลเท่านั้น

ย้อนกลับไปเมื่อปีมะโรง พุทธศักราช 2334 เกิดเหตุใหญ่ขึ้นที่เรียกว่า “วิกฤตวังหน้า” ถึงขั้นที่กรมพระราชวังบวรฯ ไม่เสด็จลงเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 เหมือนอย่างเคย เหตุจากความหวาดระแวงที่สะสมกันเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อมีพิธีตรุษ วังหลวงได้ลากปืนใหญ่ขึ้นป้อมเล็งตรงมายังวังหน้า กรมพระราชวังบวรฯ เห็นว่าวังหลวงอาจจะมีประสงค์ร้าย ก็มีรับสั่งให้คนไปสืบความ ครั้นได้ความว่า ปืนนั้นเพื่อการพิธีตรุษ ก็ทรงคลายพระพิโรธลง เหตุการณ์ครั้งนี้หมิ่นเหม่ถึงขั้นที่จะเกิดศึกกลางเมือง ตามที่ปรากฏอยู่ในนิพานวังน่า ดังนี้

เพราะพระปิ่นดำรงบวรสถาน   กระหึ่มหาญทุนเหี้ยมกระหยับย่ำ
เหมือนจะวางกลางเมืองเมื่อเคืองคำ   พิโรธร่ำดั่งจะรุดเข้าโรมรัน
ครั้นทรงทราบว่าพระจอมบิตุลา   ให้พลกัมพูชาลากปืนขัน
ประจุป้อมล้อมราชวังจันทร์   จึงมีบันฑูรสั่งให้สืบความ

ตรัสให้มาตุรงค์ตรงรับสั่ง   มิไปฟังราชกิจก็คิดขาม
มาสืบเรื่องพระไม่ปลงจะสงคราม   ก็ประณามทูลบาทไม่พาดพิง
ว่าคำขอมน้อมพจมานสาร   ไม่หาญเสน่หาพระนุชยิ่ง
แต่พิธีตรุศยืนลากปืนจริง   ยังนึกกิ่งกริ้วนั้นพอบันเทา

ยังมีเหตุการณ์ใหญ่อีกครั้งหนึ่งอันเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพี่น้องสองวัง คือในปีพุทธศักราช 2338 หลังการถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิ สมเด็จพระชนกนาถ เมื่อวังหน้า “ลักไก่” ซ่อนฝีพายฝีมือจัดไว้ในงานแข่งขันเรือพาย ฝ่ายข้าราชการวังหลวงทราบเข้าก็ถวายรายงานให้พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ จึงมีพระราชดำรัสว่า เล่นดังนี้จะเล่นด้วยที่ไหนได้ และทรงให้เลิกการแข่งเรือระหว่างสองวังตั้งแต่นั้นมา เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้กรมพระราชวังบวรฯ ไม่เสด็จลงเฝ้าอีกเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ข้อบาดหมางหวาดระแวงยังเกิดขึ้นอีกหลายเรื่อง รวมไปถึงการที่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงกราบทูลขอพระราชทานเบี้ยหวัดเพิ่ม สำหรับแจกจ่ายข้าราชการ แต่ก็ทรงถูกปฏิเสธ

แม้ว่าการกระทบกระทั่งกันอยู่เนืองๆ เช่นนี้ ที่ไม่ถึงขั้นตัดรอนขาดจากกัน ก็เพราะมีสมเด็จพระพี่นางทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็น “กาวใจ” ประสานความแตกร้าวนี้อยู่เสมอ

อย่างไรก็ดีเหตุการณ์สุดท้ายที่เป็นหลักฐานว่า พี่น้องสองวังนี้ยังคง “คาใจ” กันอยู่จนวาระสุดท้าย เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เสด็จมาทรงเยี่ยมพระอาการประชวรของกรมพระราชวังบวรฯ ก็ยังมีเหตุการณ์กระทบกระทั่งของทหารรักษาพระองค์ทั้ง 2 วัง จนกระทั่งกรมพระราชวังบวรฯ ได้ทรงแสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อมีพระราชปรารภในช่วงปลายพระชนมายุ ที่ทรงห่วงวังหน้าและลูกหลานวังหน้า เกรงว่าจะถูกเบียดเบียนจากวังหลวง

“ของใหญ่ของโตดีดีของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุนให้แรง กูสร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครมิใช่ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง ขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข” (ประชุมพงศาวดารภาคที่ 13, คุรุสภา, 2507, น. 47)

แน่นอนว่าไม่ใช่แต่เพียงวังหน้าเคืองวังหลวงเท่านั้น เหตุการณ์ “กบฏวังหน้า” ก็ทำให้วังหลวงเคืองวังหน้าด้วยเช่นกัน ถึงขั้นตัดรอนไม่เผาผีกัน

“รักลูกยิ่งกว่าแผ่นดิน ให้สติปัญญาให้ลูกกำเริบจนคิดประทุษร้ายต่อแผ่นดิน เพราะผู้ใหญ่ไม่ดีจะไม่เผาผีแล้ว” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์, กรมศิลปากร, 2531, น. 95)

เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวังหน้านี้ ย่อมส่งผลทางตรงต่อสวัสดิภาพของเจ้าฟ้าเหม็นโดยตรง หากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เสด็จสวรรคตเสียก่อนกรมพระราชวังบวรฯ เนื่องจากกรมพระราชวังบวรฯ ทรงเป็นผู้ถวายคำแนะนำให้ “กำจัด” เจ้าฟ้าเหม็นเมื่อคราวปราบดาภิเษก ทรงเป็นเจ้าของวรรคทองที่ว่า “ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก” นั่นเอง

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังฯ เสด็จลงมาเฝ้า กราบทูลว่าบรรดาบุตรชายน้อยๆ ของเจ้าตากสินจะรับพระราชทานเอาไปใส่เรือล่มน้ำเสียให้สิ้น คำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า” (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, คลังวิทยา, 2516, น. 460)

แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วถึง 19 ปี แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีใครลืมความเป็น “ลูกเจ้าตาก” ของเจ้าฟ้าเหม็นได้ ซึ่งต้องทรงแบก “แอก” นี้ ไว้จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต

ย้อนหลังไป 2 ปี ก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงผูกพัทธสีมาที่วัดอไภยทาราม สมเด็จพระพี่นางทั้ง 2 พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลงในปีเดียวกัน โดยเฉพาะกรมสมเด็จ พระเทพสุดาวดี พระพี่นางพระองค์ใหญ่ ที่ทรงชุบเลี้ยงเจ้าฟ้าเหม็นแทนพระมารดามาแต่ประสูติ เท่ากับร่มโพธิ์ร่มไทรหรือเกราะป้องกันภัยของเจ้าฟ้าเหม็นได้สิ้นลงไปด้วย เหลือแต่เพียง “คุณตา” พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ อีกเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

การที่ “พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์” จะเสด็จพระราชดำเนินพร้อมกันได้นั้น ตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารมักจะเป็น “งานยักษ์” เช่น ในงานพระศพสมเด็จพระพี่นาง (พ.ศ. 2342) หรือในงานฉลองวัดพระเชตุพนฯ ปีเดียวกับที่เสด็จวัดอไภยทาราม ดังนั้นการที่พระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาบำเพ็ญพระกุศลพร้อมกันที่ “วัดบ้านนอก” ของ “ลูกเจ้าตาก” จึงไม่ใช่เรื่องปรกติในเวลานั้น

@@@@@@@

วัดอไภย คือวัดไม่มีภัย

คำว่า อไภย พจนานุกรมฉบับหมอบรัดเลย์เริ่มทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แปลไว้ว่า ไม่มีไภย, เช่นคนอยู่ปราศจากไภย มีราชไภย เปนต้นนั้น. พจนานุกรมฉบับหมอคาสเวลในสมัยรัชกาลที่ 3 แปลว่า อะไภย นั้นคือขอโทษ เหมือนคำพูดว่าข้าขออไภยโทษเถิด ส่วนพจนานุกรมสมัยใหม่ฉบับมติชนแปลว่า ยกโทษให้ไม่เอาผิด และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า ยกโทษให้, ความไม่มีภัย

จากความหมายของชื่อวัดดังกล่าวนี้ กับการที่กรมพระราชวังบวรฯ ผู้ที่ทรงเคยสังฆ่าเจ้าฟ้าเหม็น โดยเสด็จฯ มายังวัดแห่งนี้พร้อมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ มายัง “วัดอไภย” ซึ่งไม่ใช่ตั้งตามพระนามของเจ้าฟ้าเหม็นนี้ ย่อมมีนัยยะแห่งการ “สมานฉันท์” ระหว่างกรมพระราชวังบวรฯ กับเจ้าฟ้าเหม็น ประการหนึ่ง และอาจหมายรวมถึงการ “ยกโทษ” หรือ “ขอโทษ” แก่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปด้วยในเวลาเดียวกัน

จะเห็นได้ว่าวัดอไภยทาราม เมื่อแรกปฏิสังขรณ์ นั้นไม่ใช่แค่การ “สร้างวัดให้หลานเล่น” แน่ แต่เป็นการสร้างขึ้นอย่างจริงจัง มีเสนาสนะครบบริบูรณ์อย่างวัดหลวง มีพระอุโบสถ เจดีย์ใหญ่ ลวดลายจิตรกรรมวิจิตรบรรเจิด มีการเกณฑ์ไพร่มาทำงานนับพันคน นิมนต์พระสงฆ์เกือบ 2,000 รูป มีงานฉลอง การละเล่น ละคร ของหลวง 7 วัน 7 คืน สิ่งเหล่านี้คงไม่ได้สะท้อนเพียงเพราะองค์ผู้ปฏิสังขรณ์เป็น “เจ้าฟ้า” หรือ “หลานรัก” เท่านั้น แต่สิ่งอันยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้วนแต่เหมาะสม กับการยกโทษหรือขอโทษ สำหรับราชภัยในอดีต

อย่างไรก็ดีเมื่อวัดนี้สร้างเสร็จจนมีงานฉลองในปีพุทธศักราช 2349 นั้น กรมพระราชวังบวรฯ ก็ทิวงคตไปก่อนหน้าแล้วในปีพุทธศักราช 2346 แผนการสมานฉันท์จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป และวัดอไภยทารามก็ไม่สามารถคุ้มครองเจ้าฟ้าเหม็นได้ตามพระราชประสงค์ความพยายามที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ในการปกป้องหลานรักจบลงเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต

เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เจ้าฟ้าเหม็นก็ถูกสำเร็จโทษสิ้นพระชนม์ในต้นรัชกาลที่ 2 แห่งพระราชวงศ์จักรี

อ่านเพิ่มเติม :-

    • 13 กันยายน 2352 วันสิ้นพระชนม์ “เจ้าฟ้าเหม็น” โอรสพระเจ้าตาก
    • เจ้านายผู้เป็น “ลูกกษัตริย์-หลานกษัตริย์” กลับมีพระนามอัปมงคล





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2549
ผู้เขียน : ปรามินทร์ เครือทอง
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 16 กันยายน 2565
URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_93185
35  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เศรษฐกิจสายมู ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ส่งออก ‘พระเครื่อง’ ไกลถึง ‘จีน’ เมื่อ: เมษายน 22, 2024, 05:42:51 am
.



เศรษฐกิจสายมู ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ส่งออก ‘พระเครื่อง’ ไกลถึง ‘จีน’

“พระเครื่อง” และจักรวาลแห่งความเชื่อในวงการพุธศาสนาไทยกำลังแสดงมนต์ขลังด้วยการเป็น “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” เพราะดารานักแสดงทั่วโลกให้ความสนใจ แบบที่ไม่ต้องโปรโมท และกำลังกลายเป็นเศรษฐกิจสายมูที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท

หรือ "ซอฟต์พาวเวอร์ไทย" จะมาในรูปแบบ "พระเครื่อง" เพราะกำลังดังไกลถึงจีน ถึงขั้นที่ดารานักแสดงชื่อดังในจีนให้ความสนใจแบบไม่ต้องโปรโมท จนพลังศรัทธาใน “พุทธคุณ” และ "ความเชื่อเรื่องมูเตลู" ทำให้เกิดการเช่าบูชาพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง จนกลายเป็น "เศรษฐกิจสายมู" ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในแง่มุมของการท่องเที่ยวและพุธพาณิชย์ที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท


@@@@@@@

• “พระเครื่อง” สินค้าส่งออกที่ไม่ธรรมดา

“พระเครื่อง” ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุมงคลที่ผู้คนเคารพสักการะ แต่ในปัจจุบันนี้ปฎิเสธไม่ได้ว่ากลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ตลาดพระเครื่องในประเทศไทยมีมูลค่าการเช่าพระ (ซื้อขาย) หมุนเวียนปีละหลายหมื่นล้านบาท และกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยว “ชาวจีน” ที่มีที่มีความเลื่อมใสในพุทธคุณและนิยมสะสมพระเครื่อง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ในปี 2562 คาดว่าตลาดพระเครื่องในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1.7-2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดจากการจำหน่ายให้กับเฉพาะคนไทยที่ยังไม่นับรวมที่จำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือการส่งออกไปต่างประเทศ

@@@@@@@

• จากความเชื่อและศรัทธา ต่อมากลายเป็นธุรกิจ

โทมัส แพตตัน นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยซิตี้ เผยว่าเริ่มเห็นร้านค้าเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังในฮ่องกงครั้งแรกในปี 2551 และ 2552 ซึ่งชาวฮ่องกงที่หลงใหลในโลกแห่งเครื่องรางมากที่สุด และเวทมนตร์ของไทยเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ คือชนชั้นแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกในปี 2551

ขณะเดียวกัน “เปรมวดี อมราภรณ์พิสุทธิ์” หรือ “บีบี” แม่ค้าคนไทยไลฟ์สดขายสินค้าไทยไปประเทศจีนใน ผ่าน Tiktok จีน หรือ โต่วอิน เผยว่าแต่เดิมทีชาวจีน ไม่ว่าจีนแผ่นดินใหญ่หรือจีนไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า รวมทั้ง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ล้วนมีความเชื่อและความศรัทธา ที่ต้องการบูชาพระพุทธคุณในเรื่องโชคลาภเป็นทุนเดิม แต่พระเครื่องกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อดาราจีนและฮ่องกงออกงานพร้อมกับสวมใส่ “พระเครื่อง” แทนเครื่องประดับ

เริ่มต้นจากดาราฮ่องกงอย่าง “เฉิน หลง” ใส่พระเครื่องในการแสดงหนัง รวมทั้งฉากบู้อยู่หลายครั้ง จนเกิดอุบัติเหตุระหว่างการถ่ายทำแต่ไม่มีการบาดเจ็บทำให้คนทั้งกองถ่ายแปลกใจจนให้ความสนใจกับพระเครื่องที่อยู่บนคอของเฉิน หลง คือ หลวงพ่อแพร วัดพิกุลทอง “ หรือ"จาง ป๋อ จือ" นักแสดงหญิงชาวจีน เดินทางมาเมืองไทยและตัดสินใจเช่าพระเครื่ององค์หนึ่งด้วยเงิน 150,000 ดอลลาร์ฮ่องกงฯ รวมทั้งเลี้ยง “กุมารทอง”เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ฉินเฟิน” ไอดอลหนุ่มชาวจีน ร่วมเดินพรมแดงในเทศกาลหนังเมืองคานส์ใส่เลสหลวงพ่อรวยกับสูทสีดำ

โดย“หลวงพ่อรวย” เป็นพระเครื่องได้รับความนิยมจากชาวจีนมากเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งมีพุทธคุณช่วยเสริมความมั่งคั่ง ร่ำรวย เห็นผลกลับมามีชื่อเสียงโด่งดังอีกครั้ง ทำให้ชาวจีนหลั่งไหลกันมาที่วัดตะโก วัดชื่อดังแห่งอำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อกราบไหว้ หลวงพ่อรวยพระเกจิอาจารย์แห่งกรุงเก่าที่เด่นดังด้านมหาลาภ เมตตามหานิยม และแคล้วคลาดปลอดภัย

    “คนจีน” มีความสนใจพระเครื่องที่มีพุธทคุณ “เรียกทรัพย์ ร่ำรวย ค้าขาย การพนัน” นิยมเล่น พระปิดตาเงินล้าน หลวงปู่โต๊ะ เซียนแปะ พระกริ่ง หลวงพ่อรวย วานรสี่หูห้าตา ยี่กอฮง และหลวงปู่ทิม

“ยีนส์ เมืองนนท์” เซียนพระในห้างสรรพสินค้าในนนทบุรี เปิดเผยกับทางกรุงเทพธุรกิจว่า ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาสอบถามพระเครื่องรวมทั้งเครื่องรางของขลังของคนไทยเป็นจำนวนมากทั้งหน้าร้านและช่องทางออนไลน์ ซึ่งมีสัดส่วนเทียบเท่ากับลูกค้าชาวไทย แม้ว่าจะไม่มีความชำนาญด้านการส่องพระแท้ หรือปลอม แต่มีความเชื่อใจผู้ประกอบการชาวไทยเพราะการมีใบรับรองพระแท้

หลายครั้งลูกค้าชาวจีนเปิดเผยโดยตรงว่าเป็นการนำพระเครื่องจากประเทศไทยไปปล่อยเช่าต่อในประเทศจีน พร้อมทั้งเผยว่าชาวจีนมีความนิยมและมีความต้องการพระเครื่องไทยอย่างมาก แต่ถือว่ายังน้อยหากเทียบกับสัดส่วนประชากรในประเทศที่มีมากถึงพันกว่าล้านคน

@@@@@@@

• จักรวาลความเชื่อ=ซอฟต์พาวเวอร์ไทย

สิ่งทีี่น่าสนใจ ถ้าหากชาวจีนกำลังจะกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของตลาดพระเครื่องไทย 3 สิ่งสำคัญที่สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน คือ

1. การขยายตลาดพระเครื่องไทยให้ใหญ่ขึ้น เพราะในปัจจุบันตลาดพระเครื่องไทยใหญ่ที่สุดในเอเชีย

2. จีนมีกำลังซื้อ สู้ราคาและต้องการจำนวน ทำให้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพียงแค่พระเก่าแก่อายุหลายร้อยปีเท่านั้น

3. พระไทย ต้องมาซื้อที่ไทยซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยวและเม็ดเงินที่หมุนเวียนในเศรษฐกิจมูเตลู

ไม่เพียงพระเครื่องเท่านั้นที่กำลังกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ไทย แต่จักรวาลความเชื่อที่เกิดขึ้นในวงการพุทธศาสนากำลังแสดงมนต์ขลังแบบที่ไม่ต้องโปรโมท เช่น ดารานักแสดงระดับโลกอย่าง "แองเจลินา โจลี" และ "แบรด พิตต์" รวมถึง “ฟาบิโอ คันนาวาโร” อดีตกองหลังทีมชาติอิตาลี ต่างหลงใหลการ“สักยันต์”ของอาจารย์หนู กันภัย หรือ “เอ็ด ชีแรน” นักร้องดังชาวอังกฤษ ได้สักยันต์กับอาจารย์เหน่งระหว่างมาทัวร์คอนเสิร์ตที่ไทย





ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : scmp อายุน้อยร้อยล้าน
URL : https://www.bangkokbiznews.com/world/1123076
21 เม.ย. 2024 ,เวลา 11:37 น.
36  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดดังสมุทรสงครามไอเดียเก๋ให้ชาวบ้านนำขยะมาแลกไข่ไก่-ผักสด อย่างคึกคัก เมื่อ: เมษายน 21, 2024, 06:10:17 am
.



วัดดังสมุทรสงครามไอเดียเก๋ให้ชาวบ้านนำขยะมาแลกไข่ไก่-ผักสด อย่างคึกคัก

คณะสงฆ์วัดอินทาราม แม่กลอง จ.สมุทรสงคราม ร่วมกับผู้นำท้องที่ท้องถิ่น จัดโครงการพลังบวรเปลี่ยนขยะแลกผักปันสุขพัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยพระเมธีวัชรประชาทร ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 15 เจ้าอาวาสวัดอินทาราม เป็นประธานบรรยายธรรมถึงอานิสงค์ของการให้

จากนั้นชาวบ้านที่มารับมอบได้ตั้งเป็น 2 แถว เดินเข้ารับผักปันสุขที่วัดอินทารามแจกทุกวันเสาร์ มาเป็นปีที่ 4 กันเป็นระเบียบเรียบร้อย

หลังจากชาวบ้านรับผักเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้ที่นำขวดน้ำ จะนำมาแลกไข่ในอัตราขวดใหญ่ 10 ใบแลกได้ไข่ 2 ฟอง ขวดธรรมดา 15 ใบ แลกไข่ได้ 2 ฟอง กระป๋องอลูมิเนียม 5 ใบแลกไข่ได้ 2 ฟอง โดยขวดที่ได้จะนำไปขาย เพื่อนำเงินมาซื้ออาหาร เลี้ยงไก่ในสวนพุทธเกษตร โคกหนองนาวัดอินทารามต่อไป โดยมีชาวบ้านนำขวดน้ำมาแลกไข่กันอย่างคึกคัก ในจำนวนนี้มีคุณยายปทุม มิร่อน อายุ 78 ปี ที่ขับรถจักรยานไฟฟ้าลากรถซาเล้งบรรทุกขวดน้ำจำนวน 405:ใบ ได้ไข่ไก่ได้ 27 ฟอง








คุณยายปทุม บอกว่า พอทราบว่าขวดน้ำแลกไข่ได้ก็ไปเก็บขวดน้ำตามสถานที่ต่างๆมาแลกไข่ซึ่งตนชอบมาก ดีกว่าเอาขวดน้ำไปขาย แต่นำมาแลกไข่ไก่ได้เยอะกว่า จึงไปเก็บชวดมาแลกไข่เป็นประจำ

พระเมธีวัชรประชาทร กล่าวว่า โครงการพลังบวรเปลี่ยนขยะแลกผักปันสุขพัฒนาสิ่งแวดล้อม เป็นการต่อยอดโครงการแจกผักที่วัดอินทารามดำเนินการมาตั้งแต่ ปี 2563 เป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 มาถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว โดยวัดอินทารามได้เลี้ยงไก่ ในสวนพุทธเกษตร โคกหนองนาวัดอินทาราม มีไข่ไก่จำนวนมาก จึงนำมาเป็นวัตถุดิบในการสนับสนุนโครงการ

ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลายประการ คือ อิ่มบุญที่ได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์ อิ่มท้องคือได้รับผักหลากหลายชนิด และไข่ไก่ไปทำอาหาร รวมทั้งยังได้ช่วยกัน ลดปัญหาขยะล้นเมือง ส่งเสริมให้ประชาชนคัดแยกขยะ รักษาสิ่งแวดล้อม ในระยะแรกเริ่มจากการรับขวดน้ำ ขวดอลูมิเนียม ก่อน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้การคัดแยกขยะ จากนั้นจะเริ่มขยายเป็นลังกระดาษ และขยะรีไซเคิลอื่นๆ ต่อไป

อย่างไรก็ตามในอนาคต จะส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกผักกินเองในครัวเรือน โดยวัดอินทาราม ร่วมกับภาคราชการ จะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ผัก ซึ่งจะติดตามการปลูกผัก หากประสบความสำเร็จ วัดอินทารามจะมีรางวัลให้ด้วย













ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/region/news_4535121
วันที่ 20 เมษายน 2567 - 18:50 น
37  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 วิธีสร้างรายได้บนโลกออนไลน์ด้วย AI ในปี 2024 เมื่อ: เมษายน 21, 2024, 05:51:01 am
.



5 วิธีสร้างรายได้บนโลกออนไลน์ด้วย AI ในปี 2024

เผยแนวทางการสร้างรายได้ และอาชีพบนโลกออนไลน์ด้วย Generative AI ของคนรุ่นใหม่ในปี 2024 นี้

AI ปัญญาประดิษฐ์ หนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามาปรับพฤติกรรมของมนุษย์ และพลิกโฉมการใช้ชีวิต และการทำงานของเราในเกือบทุกด้าน ตั้งแต่การสื่อสารทางการทำงาน และธุรกิจที่เป็นลายลักษณ์อักษร การดำเนินการทางการตลาด การบริการลูกค้า การเป็นเจ้าภาพการประชุม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการดำเนินการวิจัยตลาด AI ที่ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีอิทธิพลอย่างแท้จริง

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับ Generative AI คือ มีการนำ AI มาใช้กันอย่างรวดเร็ว แถมยังมากไปด้วยศักยภาพ แม้ว่าจะมีความรู้ทางเทคโนโลยีที่จำกัดก็ตาม แต่ก็สามารถนำอาชีพมาประยุกต์ใช้กับ AI ได้อย่างลงตัว จนมีการพัฒนา และเพิ่มรายได้อย่างมีนัยสำคัญ

Generative AI มีความสามารถที่เกือบจะเหมือนมนุษย์ ที่ทำให้สามารถทำงานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาอันสั้นกว่าปกติ และ ลดระยะเวลาแถมยังประหยัดเงินได้ในขณะเดียวกัน




ปัจจุบันมี Generative AI ที่มีความสามารถที่หลากหลาย และเฉพาะตัว ทำให้เกิดการนำไปสร้างรายได้ เริ่มสิ่งใหม่ๆ เช่น การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ทั้งหมดนั้นไม่เพียงเป็นไปได้เท่านั้น แต่ยังง่ายกว่าเดิมมากขึ้นอีกด้วยในโลกออนไลน์

AI ช่วยให้คุณสร้างรายได้ออนไลน์ได้ ที่ผู้คนนิยมใช้กันเลย คือ การใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ เพื่อรับรายได้ทางที่สอง เช่น หากคุณเป็นบล็อกเกอร์อยู่แล้ว ก็จะสามารถใช้เครื่องมือ AI เพื่อช่วยในสร้างไอเดียเนื้อหาใหม่ๆ และแนะนำวิธีการใหม่ๆ ในการขยายการเข้าถึงไปยังผู้ชมในวงกว้างขึ้น ปรับปรุง SEO และการจัดอันดับบน Google หรือ สามารถนำ AI ไปสร้างแหล่งรายได้ใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการหาไอเดียแนวคิดการเริ่มต้นธุรกิจ และแผนธุรกิจที่ครบครัน

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่ประโยชน์เล็กๆ ของ Generative AI เท่านั้นซึ่งสามารถใช้นำมาต่อยอดเพื่อเป็นประโยชน์ในการสร้างรายได้ในอนาคตที่เพิ่มมากขึ้น ตามข้อดังกล่าวด้านล่างต่อไปนี้




    • สร้าง AI Chatbot

หนึ่งในทักษะสำคัญสำหรับการสร้างรายได้บนโลกออนไลน์ หากมีทักษะการเขียนโปรแกรม และการเขียนโค้ดที่ดี ก็อาจสามารถสร้างรายได้ผ่านความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแชตบอตที่ออกแบบตามความต้องการสำหรับธุรกิจ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการภายใน เช่น สำหรับการแบ่งปันความรู้สำหรับพนักงาน

นอกจากนี้สำหรับการขาย และการบริการลูกค้า ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ AI Chatbot นี้ก็สามารถเป็นตัวช่วยในการสรรหาคำต่างๆ เพื่อมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มยอดการขาย และกำไรได้

    • ใช้ AI เพื่อสร้างหลักสูตร

การพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ เป็นวิธีที่ดีในการสร้างรายได้เป็นงานเสริม แต่จะดียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อใช้ AI เพื่อช่วยเร่งกระบวนการหลักสูตรได้เช่นกัน โดยอัลกอริทึมต่างๆ จาก AI จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ในกระบวนการที่ต้องใช้เวลานานอย่างเช่น ขั้นตอนการวิจัยตลาดในการพัฒนาเนื้อหาของหลักสูตร

นอกจากนี้เครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ บางอย่างยังสามารถช่วยวางแผนโครงร่าง และโครงสร้างทั้งหมดของเนื้อหา พร้อมด้วยคำถามและกิจกรรมการอภิปราย และยังสามารถใช้เครื่องมือ AI เพื่อสร้างการประเมินหลักสูตรได้ภายในไม่กี่นาที โดยที่ไม่ต้องสร้างแบบทดสอบ และแบบทดสอบด้วยตนเอง




    • ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์

ปัจจุบันการใช้ AI เพื่อประเมิน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของตัวเองเป็นสิ่งที่นิยมทำกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการสร้างรายได้โดยการนำ AI มาพัฒนา เพิ่มทางเลือก และแก้ไขสินค้า ให้ตรงความต้องการของตลาดเพื่อปิดการขาย นอกจากนี้ยังสามารถนำ AI ไปออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับกลุ่มลูกค้า ธีมของสินค้า เป็นต้น

    • การให้คำปรึกษาด้าน AI

AI เป็นเทคโนโลยีนี้ค่อนข้างใหม่ จึงยังคงมีธุรกิจต่างๆ ที่กำลังต้องการการแนะนำ รู้ผู้ที่มีความรู้เพื่อนำมาบูรณาการ และนำปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง หากตนเองมีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญในการใช้ AI มาบ้าง ก็จะสามารถนำไปต่อยอด ที่นอกจากการทำการตลาดด้วย AI ของตัวเองแล้ว ยังสามารถนำความรู้ที่มีไปเป็นอาวุธเสริมในฐานะที่ปรึกษา AI ที่เข้าไปช่วยปรับแต่งบริการ และเพิ่มทางเลือกในการบูรณาการ ปรับใช้ AI ให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของบริษัทนั้นๆ ได้ เพื่อเป็นหนึ่งในอาชีพเสริมที่ใข้ประสบการณ์ได้อีกทางหนึ่ง

    • ใช้ AI บนงานกราฟิก

หนึ่งในสิ่งที่ AI สามารถช่วยออกแบบไอเดีย หรือแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องภาพ และกราฟิกในเวลาที่เร่งรีบ เพื่องานการตลาดดิจิทัล หรือโซเชียลมีเดีย AI นี้เองสามารถช่วยคุณออกแบบกราฟิกสำหรับโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และโฆษณาได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้หากทำงานเกี่ยวกับศิลปะ ก็สามารถนำมายึดเป็นแนวทาง และแรงบันดาลใจได้ไวมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ AI ลดกระบวนการรวบรวมข้อมูล ซึ่งจะทำให้ระยะการทำงานนั้นสั้นลง และเกิดกระบวนการสร้างสรรค์ที่ง่ายมากขึ้น เพื่อที่จะนำชิ้นงานต่างๆ ไปต่อยอด เพื่อสร้างกำไรได้ในลำดับถัดไป





Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2779484
19 เม.ย. 2567 18:22 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ > ไทยรัฐออนไลน์
ข้อมูล : forbes | ภาพ : istock
38  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 เพชรคำสอน...2 มหาบุรุษ...1 ครูผู้ถ่อมตน.! เมื่อ: เมษายน 21, 2024, 05:26:54 am
.



5 เพชรคำสอน...2 มหาบุรุษ...1 ครูผู้ถ่อมตน.!

เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์ กับ 5 คำสอนดั่งเพชรในชีวิต จาก 2 มหาบุรุษ และ 1 ครูผู้ถ่อมตน

นับตั้งแต่การกำเนิดของมนุษย์ยุคใหม่โฮโมเซเปียนส์คนแรกๆ ตามทฤษฎีแม่อีฟ เมื่อประมาณสอง-สามแสนปีมาแล้วในแอฟริกา ถึงวันนี้ มนุษย์โฮโมเซเปียนส์กำเนิดขึ้นมาแล้วประมาณหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันล้านคน...

แต่มีมนุษย์เพียงไม่กี่คน ที่ได้รับการยกย่องเป็น “มหาบุรุษ” และก็มีมนุษย์อีกจำนวนหนึ่งมากกว่ามหาบุรุษ ที่ได้รับการยกย่องเป็น “ครู”  แต่ก็ลดจำนวนลงไปอีก เมื่อจำเพาะลงไปที่ “ครูผู้ถ่อมตน”

“เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์” วันนี้ ขอนำท่านผู้อ่านไปสัมผัสกับ “5 เพชรคำสอน” ของ “มหาบุรุษ” และ “ครูผู้ถ่อมตน” เพียง 3 คน...




2 คนเป็นมหาบุรุษ คือ พระเยซูคริสต์ และ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีก 1 คนเป็นครู คือ ขงจื๊อ

เชื่อว่าหลายท่านที่เห็นชื่อ 2 มหาบุรุษ และ 1 ครูผู้ถ่อมตน ก็จะนึกถึงเรื่องของศาสนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ไม่ผิด เพราะบุคคลทั้งสามที่ผู้เขียนยกมากล่าวถึง ทั้งพระเยซูคริสต์และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ ส่วนขงจื๊อก็ได้รับการกล่าวถึงในฐานะเป็นศาสดาของศาสนาขงจื๊อ...

ผู้เขียนจึงขอรีบเรียนท่านผู้อ่านว่า เรื่องของเราวันนี้ มิใช่เรื่องการลงลึกถึงหลักศาสนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพราะผู้เขียนไม่มีความรู้มากพอที่จะให้กับท่านผู้อ่านได้...แต่ที่เป็นความตั้งใจของผู้เขียน คือ แบ่งปันสิ่งที่ผู้เขียนได้เก็บเกี่ยว และได้อาศัยเป็นเข็มทิศวิเศษนำทางชีวิตตลอดมา

@@@@@@@

2 เพชรคำสอนของพระเยซูคริสต์

ผู้เขียนมิใช่ชาวคริสต์โดยกำเนิดและการประกาศตน แต่ผู้เขียนโชคดีที่มีเพื่อนชาวคริสต์หลายคน ทั้งที่เป็นชาวคริสต์ตั้งแต่เกิด คนไทยที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาประมาณเจ็ดปีครึ่ง (ระหว่างปี ค.ศ. 1962-1970) ที่มหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และประมาณสี่เดือนเศษ (ระหว่างเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1973-มกราคม ค.ศ. 1974) ที่มหาวิทยาลัยอุปซาลา (Uppsala University) เมืองอุปซาลา ประเทศสวีเดน ซึ่งทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสทั้งเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกับนักศึกษา, อาจารย์ และบาทหลวง ลงลึกในเรื่องของศาสนาคริสต์ (และเรื่องของศาสนาพุทธเปรียบเทียบกับศาสนาคริสต์และศาสนาอื่นๆ ของโลก)

คริสต์ศักราช หรือ ค.ศ. เริ่มต้นจากปีประสูติของพระเยซูคริสต์ ถึงปัจจุบันก็เป็น ค.ศ. 2024 แต่รากเหง้าของศาสนาคริสต์ย้อนหลังไปถึงศาสนายิวกับผู้นำคนสำคัญ ดังเช่น โมเสส ผู้ได้รับบัญญัติ 10 ประการ สลักบนแผ่นหินสองแผ่น จากพระเจ้าบนเขาซีนาย เมื่อประมาณ 1,440 ปีก่อน ค.ศ. เพื่อให้ “ลูกหลานอิสราเอล” ยึดปฏิบัติให้พ้นวิถีแห่งบาป

น่าสนใจว่า ในบัญญัติ 10 ประการนั้น มีบัญญัติ 6 ข้อที่ตรงกับ “ศีล 5” ของศาสนาพุทธ คือ :-
    *ห้ามฆ่าคน
    *ห้ามผิดประเวณี (แยกละเอียดเป็น 2 ใน 10 ข้อ)
    *ห้ามลักขโมย
    *ห้ามพูดเท็จใส่ร้ายผู้อื่น
    *ห้ามโลภในทรัพย์สินของผู้อื่น
แต่ที่มีอยู่ในศีล 5 โดยไม่มีในบัญญัติ 10 ประการ คือ ศีลข้อ 5 : ห้ามดื่มสุรายาเมา

ศาสนาคริสต์ในปัจจุบัน เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก คือ ประมาณ 31% ตามด้วยอันดับสอง ศาสนาอิสลาม ประมาณ 25% กลุ่มผู้ไม่ประกาศตนว่านับถือศาสนาอะไร ประมาณ 16% ศาสนาฮินดู ประมาณ 15% และศาสนาพุทธเป็นอันดับห้า มีผู้นับถือทั่วโลกประมาณ 7%

ถึงแม้ศาสนาคริสต์ในปัจจุบัน จะแบ่งเป็นนิกายต่างๆ หลายนิกาย แต่หลักใหญ่ของศาสนาคริสต์ล้วนตรงกัน กล่าวคือ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งความรัก...

ความรักที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเฉพาะความรักระหว่างชายกับหญิง และเพชรเม็ดงามแห่งคำสอนของพระเยซูคริสต์ ที่ผู้เขียนตกผลึกจากการเรียนรู้กับเพื่อนๆช าวคริสต์ ก็เป็นคำสอนเกี่ยวกับความรัก





เพชรเม็ดที่หนึ่ง : พระเจ้าจะอยู่กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์

เพชรเม็ดแรกแห่งคำสอนของพระเยซูคริสต์นี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก (ที่โคราช เมืองย่าโม) เพราะชอบไปร่วมในกิจกรรมเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่โบสถ์ศาสนาคริสต์ ที่จัดบ่อยหรือแทบเป็นประจำในวันอาทิตย์ โดยมีเด็กๆ และผู้ปกครอง รวมทั้งคนวัยหนุ่มสาวไปร่วมจำนวนมาก

ที่ผู้เขียนชอบไป มิใช่เป็นเพราะสนใจอยากเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่เป็นเพราะบรรยากาศที่สนุกสนาน มีสีสัน มีการร้องเพลง มีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ โดยไม่มีการชักชวนให้นับถือศาสนาคริสต์อย่างตรงๆ

ผู้เขียนชอบฟังเรื่องราวที่เหมือนกับ “นิทาน” อยู่แล้ว และในงานก็มี “ของกินมากมาย” แล้วก็ที่สำคัญและที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษก็คือ การ์ดเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ แบบเดียวกับการ์ดคริสต์มาส เป็นภาพเขียนสวยงาม

จากการไปร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก นอกเหนือไปจากเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกติดอยู่ในสมองตั้งแต่นั้นมาก็คือ คำสอน...แบบเป็นคำกล่าวเล่าเรื่อง...ว่า พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าอยู่ทุกหนแห่ง และอยู่กับทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า

อย่างไรก็ตาม คำสอนนี้สำหรับผู้เขียนก็ไม่ “ติดใจ” อะไรมากมายนักในช่วงวัยเด็ก และเป็นวัยรุ่น เพราะคิดว่าก็เป็นเพียงวิธีการชักชวนให้คนนับถือพระเจ้าของศาสนาคริสต์

ต่อๆ มา เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสศึกษาศาสนาคริสต์อย่างจริงจังมากขึ้น จนกระทั่งถึงวันนี้ ผู้เขียนจึงคิดว่าพอจะเข้าใจและนำมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่านในวันนี้

ที่มาจริงๆ ของคำสอนนี้ เป็นหลักสำคัญของศาสนาคริสต์ ซึ่งกล่าวถึงความหมายและความสำคัญของ “พระเจ้า” ในฐานะเป็นพระเจ้าองค์เดียว จากพระเจ้า (พระบิดา), พระบุตร (พระเยซู) และพระจิต ตามหลักตรีเอกานุภาพ หรือ Trinity ของศาสนาคริสต์ (แตกต่างจากเทพเจ้าสามพระองค์ หรือ Trinity ของศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาฮินดู) ซึ่งรวมเป็น “พระเจ้าองค์เดียว” ของศาสนาคริสต์ และเป็น “พระเจ้าองค์เดียว” ที่รัก “ทุกคน” และจะอยู่กับ “ทุกคน” ที่เชื่อและรักพระองค์

ความวิเศษของคำสอนนี้สำหรับผู้เขียน คือ หลักคิดที่ “ทรงพลัง” อย่างที่สุดของมนุษย์ทุกคน ที่จะช่วยให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และเผชิญกับปัญหาความทุกข์ยากทุกอย่างได้อย่างไม่ต้องโดดเดี่ยว เพียงขอให้ยึดมั่นหลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ถูกทาง ไม่ทุจริต ไม่คิดร้ายใคร เพราะพระเจ้าจะ “ทราบ” และจะช่วยให้ผ่านความทุกข์ยากทุกอย่างได้อย่างมีศักดิ์ศรี ในขณะเดียวกัน คนที่คิดร้าย คิดในทางทุจริต พระเจ้าก็จะทราบและจะถูกลงโทษเสมอ

อย่างเป็นรูปธรรม ตามความคิดของผู้เขียน คำสอนนี้บอกว่า “ความลับไม่มีในโลก ทุกคนรู้ตัวดีเสมอว่ากำลังคิด และทำอะไรอยู่ ยกเว้นคนเสียสติ หรือคนบ้า”





เพชรเม็ดที่สอง : ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มอีกข้างให้เขาด้วย

เพชรเม็ดที่สองที่เป็นคำสอนของมหาบุรุษคือ พระเยซูคริสต์ มีที่มาชัดเจน เป็นพระวรสารบันทึกโดยมัทธิว (ข้อที่ 39 บทที่ 5 คือ มัทธิว 5:39) หนึ่งใน 12 สาวกผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งในสี่ของผู้ที่พระเยซูคริสต์ทรงเลือกให้เป็นผู้บันทึกคำสอนของพระองค์

มัทธิวเป็นชาวยิว ทำงานเป็นผู้เก็บภาษีชาวยิว ส่งให้จักรวรรดิโรมันมาก่อน ทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังของชนชาวยิว วันหนึ่ง พระเยซูคริสต์ทรงเดินผ่านมา และก็ทรงเรียกมัทธิวให้ตามพระองค์ไป มัทธิวก็ลุกขึ้นออกจากโต๊ะที่กำลังทำงานเก็บภาษีอยู่ แล้วก็ตามพระเยซูคริสต์ไป ทำให้ชาวยิวไม่พอใจพระเยซูคริสต์ด้วย

คำสอนของพระเยซูคริสต์ข้อนี้ ผู้เขียนก็ได้ยินมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก จากการเข้าร่วมกิจกรรมวันอาทิตย์ที่โบสถ์คริสต์ แต่ก็ไม่ “ลึกซึ้ง” อะไรเลย จริงๆ แล้ว กลับรู้สึกหัวเราะ หึหึ ในใจ...

จนกระทั่งเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตและทำงานอย่างเต็มตัว ได้พบผู้คนหลากหลายอุปนิสัยและพฤติกรรม ความเป็นเพชรของคำสอนที่สองนี้จึงเด่นชัดขึ้น...

และมาตกผลึกเป็นหนึ่งใน “12 ข้อคิดเพื่อร่างกายกับจิตใจ” เป็นบทสรุปสุดท้าย ข้อที่ 8 (เมตตาให้คนคิดร้าย) ในหนังสือ “ผ่ามิติจินตนาการ” ของผู้เขียน (ผ่ามิติจินตนาการ, ชัยวัฒน์ คุประตกุล, พาบุญมา, 2553 : รางวัลหนังสือดีเด่นประเภทสารคดีประจำปี พ.ศ. 2554 จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่รู้จักเรียกกันเป็น รางวัลหนังสืองานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ)

คำสอนของพระเยซูคริสต์ เพชรเม็ดที่สองนี้ สะท้อนความเป็น “ศาสนาแห่งความรัก” ของศาสนาคริสต์อย่างลึกซึ้ง และเพราะ “เมื่อเราถูกยั่วยุให้โกรธ ถ้าเราตอบโต้อย่าง...ตาต่อตา...ฟันต่อฟัน...ความเป็นสันติแห่งชีวิตก็จะหายไป แต่ถ้าเราตอบโต้ด้วย...ความรัก...ความมีเมตตา...การให้อภัย สมองและชีวิตของเราก็จะปลอดโปร่ง สามารถมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริงได้"

@@@@@@@

2 เพชรคำสอนของพระพุทธเจ้า

ผู้เขียนก็เช่นเดียวกับชาวพุทธทุกคน ที่เห็นเพชรมากมายในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สำหรับการค้นหาเพชรคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงสองคำสอน ผู้เขียนยอมรับว่า ก็เป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดกับผู้เขียนเอง ที่มองเห็นเพชรงามที่สุดสองเม็ดในสายตาของผู้เขียนอย่างไม่ยากเย็นเลย

ทำไม.? เพชรคำสอนสองเม็ดขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ผู้เขียนได้พบ คืออะไร.?





เพชรเม็ดที่สาม : ตน...เป็นที่พึ่งแห่งตน

ผู้เขียนพบเพชรเม็ดที่สามเร็วพอๆ กับที่ได้ยินได้ฟังเรื่องของเพชรเม็ดที่หนึ่งและที่สอง แต่ไม่ต้องรอนาน จึงเห็นคุณค่าของเพชรเม็ดที่สาม

จริงๆ แล้ว ที่มาของการพบเพชรเม็ดที่สาม คือ การที่ผู้เขียนไม่สามารถจะหาซื้อหนังสือได้ตามใจชอบในช่วงสมัยเป็นเด็ก (ดู “ตามล่า...หาขุมทรัพย์ทางปัญญา”, เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์, ไทยรัฐออนไลน์, วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566) ผู้เขียนจึง “อ่านแหลก” หนังสือในห้องสมุดและที่อื่นๆ รวมทั้งร้านกาแฟ และ “จดแหลก” ข้อมูลความรู้และความคิดดีๆ ของปราชญ์ และนักคิดชั้นยอดของโลก

เพชรเม็ดที่สามเป็นเพชรที่ชาวพุทธทุกคนรู้จักกันดี เพราะเป็นพุทธวจน “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” แปลว่า “ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน” ที่คุ้นเคยกันดี แต่สำหรับผู้เขียน จำได้ว่า ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้ “พบ” และ “จด” พุทธวจนนี้ ก็รู้สึกว่าเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่ ที่มีคุณค่า และผู้เขียนก็ได้พยายาม “ยึด” ตามพุทธวจนนี้...

และยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็น “เข็มทิศวิเศษ” นำทางชีวิต ให้สามารถมีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและภาคภูมิใจได้จริง

อย่างแน่นอน การดำเนินชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ล้วนต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น การยึดมั่นในพุทธวจน อัตตา หิ อัตตโน นาโถ มิได้หมายความว่า มนุษย์ทุกคนจะสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นเลย เพราะอย่างน้อย ทุกคนก็ต้องพึ่งพาคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งถึงวันเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ต้อง “รับผิดชอบตนเอง” เต็มที่...

แต่หมายความว่า ต้องมุ่งดำเนินชีวิตโดย “พึ่งตนเอง” เป็นหลัก ไม่แสวงหาผลประโยชน์ ความก้าวหน้าของหน้าที่การงาน โดยหวังพึ่งคนอื่น





เพชรเม็ดที่สี่ : การเป็นหนี้ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เพชรเม็ดที่สี่ที่ผู้เขียนนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านวันนี้ ก็คล้ายกับเพชรเม็ดที่สาม คือ เป็นพุทธวจน “อิณา ทานัง ทุกขัง โลเก” แปลตรงๆ คือ “การเป็นหนี้  เป็นทุกข์ในโลก” ที่ผู้เขียน “จด” จนขึ้นใจเป็น “การเป็นหนี้ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง”

ที่มาของการค้นพบเพชรเม็ดนี้ สำหรับผู้เขียน ก็คล้ายกับกรณีของเพชรเม็ดที่สาม คือ พบตั้งแต่วัยเด็กที่ “อ่านแหลก” และ “จดแหลก” แล้วก็สะดุด (ชอบ) เมื่อพบพุทธวจนนี้

แต่ที่แตกต่างไปจากเพชรเม็ดที่สาม คือ ในขณะที่ความตระหนักในความเป็นเพชรของเม็ดที่สามค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ความเป็นเพชรของเม็ดที่สี่ “สว่างวาบ” ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และก็ไม่เคยลดความสว่างเลยถึงทุกวันนี้

อย่างตรงๆ เพชรเม็ดที่สี่ เป็นคำสอนที่ผู้เขียนยึดอย่างจริงจัง ตั้งแต่เด็ก...จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อย่างไร.? เช่น :-
    *ไม่มี (เงิน) ก็ไม่ซื้อ (ทุกอย่าง)
    *ไม่มี (เงิน) ก็ไม่กิน (แล้วอยู่ได้หรือ? ผู้เขียนตอบได้เลยว่า อยู่ได้!)
    *ไม่อยากได้ อยากมี สิ่งที่ไม่ควรได้ ไม่ควรมี
    *ไม่รับของขวัญจากชาวกรีก (ดู “ระวัง...ของขวัญจากชาวกรีก!”, เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์, ไทยรัฐออนไลน์, วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566)

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยอมรับว่า คำสอนอันเป็นเพชรเม็ดที่สี่นี้ ก็มีขีดจำกัดสำหรับการใช้ประโยชน์อย่างน้อยหนึ่งกรณี คือ นักธุรกิจ รวมทั้งนักลงทุน เพราะตามหลักธุรกิจและการลงทุน ย่อมจำเป็นจะต้องมีการระดมทุนหรือหาเงินทุน ซึ่งโดยปกติก็จำเป็นจะต้อง “กู้” (เป็นหนี้) ธนาคาร...

แต่สำหรับหลายอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการ ที่ทุ่มเทให้กับงานราชการอย่างสุจริต ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยเป็นระดับเศรษฐีร้อยล้าน...พันล้าน...ได้ แต่ถ้าใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม ดังเช่นการยึดมั่นในคำสอนที่เป็นเพชรเม็ดที่สี่นี้ ผู้เขียนก็บอกอย่างมั่นใจได้ว่า...“จะไม่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็จะไม่จน!”





เพชรเม็ดที่ห้า : ปัญญาเหมือนน้ำของขงจื๊อ

ขงจื๊อ เป็นหนึ่งในสองของ “ครู” หรือ “ปราชญ์” คนสำคัญของจีน คู่กับเหลาจื๊อ เป็น “เจ้า” ลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าตามลำดับ

ขงจื๊อ มีประวัติชีวิตและคำสอนบันทึกชัดเจน ลัทธิหรือศาสนาขงจื๊อ เน้นความสัมพันธ์อันดีงามของทุกภาคส่วนของสังคม (ชนชั้นผู้ปกครอง, ประชาชน, ...) ที่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม จารีตประเพณีอันดีงาม และการเคารพนับถือบรรพบุรุษ...

ส่วนเหลาจื๊อ มีประวัติที่บันทึกไว้จริงๆ น้อย แต่ชัดเจนในหลักของลัทธิหรือศาสนาเต๋า เน้นความสำคัญของการดำรงชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ ตาม “วิถีแห่งธรรมชาติ” (เต๋า หรือ Tao เป็นภาษาจีน แปลว่า วิถี หรือ way)

ขงจื๊อกับเหลาจื๊อ มีชีวิตร่วมสมัยกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยขงจื๊อเกิด 8 ปีก่อนการเสด็จสู่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ส่วนเหลาจื๊อมีอายุมากกว่าขงจื้อประมาณ 50 ปี

ขงจื๊อและเหลาจื๊อพบกันหนึ่งครั้ง โดยขงจื๊อเป็นฝ่ายเดินทางไปหาเหลาจื๊อ ขณะที่ขงจื๊อมีอายุประมาณ 35 ปี และเป็นอาจารย์ที่เริ่มมีชื่อเสียง มีสำนัก มีลูกศิษย์มากมาย

เพชรเม็ดที่ห้าที่ผู้เขียนคัดมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านเป็นคำตอบของขงจื๊อที่ตอบลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่ถามว่า “อาจารย์เป็นครูมีชื่อเสียง มีความรู้ที่คนทั่วแผ่นดินยกย่อง แล้วทำไมอาจารย์จึงต้องเดินทางไกลไปหาเหลาจื๊ออีก?”

คำตอบของขงจื๊อคือ “สายน้ำที่ใสสะอาดก็เพราะน้ำไม่เคยหยุดไหล ถ้าน้ำหยุดนิ่ง น้ำใสก็จะกลายเป็นน้ำขุ่น นานๆ เข้าก็จะเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว”

เป็นคำตอบที่แสดงอย่างชัดเจนของคนมีความรู้ระดับคนเป็นครู เป็นปราชญ์ มีลูกศิษย์มากมาย แต่ก็ยัง “ถ่อมตน” ในความรู้ที่ตนมี และยังต้องแสวงหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ

สำหรับผู้เขียน คำตอบของขงจื๊อต่อลูกศิษย์เป็นคำตอบที่ “เตือนสติ” ของผู้ใฝ่รู้ว่า ความรู้ไม่มีหยุดนิ่ง ถ้าไม่มุ่งหาความรู้ใหม่เสมอ ความรู้ที่มีอยู่ก็จะไร้ประโยชน์ เหมือนน้ำนิ่งที่กลายเป็นน้ำเสีย!

@@@@@@@

5 เพชรคำสอนของมหาบุรุษและครูผู้ถ่อมตนที่ผู้เขียนนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านวันนี้ มีเพชรเม็ดใดตรงกับของท่านผู้อ่านบ้างครับ...และตัวท่านผู้อ่านเอง มีเพชรคำสอนของ “ใคร” “อย่างไร” บ้างครับ?





ขอขอบคุณ :-
บทความโดย : ชัยวัฒน์ คุประตกุล  นักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ , เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์
URL : https://www.thairath.co.th/scoop/world/2779139
20 เม.ย. 2567 09:03 น. | สกู๊ปไทยรัฐ > WORLD > ไทยรัฐออนไลน์
39  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สาธยายธรรม กับ สวดมนต์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร.? เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 07:51:53 am
.

ขอบคุณภาพจาก : https://www.pinterest.ca/


สาธยายธรรม กับ สวดมนต์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร.?

สาธยายธรรมกับสวดมนต์ โดยทั่วไปสำหรับชาวพุทธ มีความหมายไม่ต่างกัน แต่ในรายละเอียด(โดยเฉพาะบาลี)มีความหมายต่างกัน ดังนี้






บาลีวันละคำ : สาธยาย

สาธยาย อ่านว่า สา-ทะ-ยาย และ สาด-ทะ-ยาย

บาลีเป็น “สชฺฌาย” อ่านว่า สัด-ชา-ยะ
“สชฺฌาย” รากศัพท์มาจาก ส (มี, พร้อม, ของตน) + อธิ (ยิ่ง, ใหญ่, ทับ) อิ (ธาตุ = สวด, ศึกษา) + อ ปัจจัย, แปลง อธิ เป็น อชฺฌ, แปลง อิ เป็น ย, ทีฆะ (ยืดเสียง) อ (อะ) ที่ –ฌ เป็น อา : ส + อธิ > อชฺฌ = สชฺฌ + อิ > ย = สชฺฌย > สชฺฌาย แปลตามศัพท์ว่า “การสวดพร้อมหมดอย่างยิ่ง” “การศึกษาอย่างยิ่ง (ซึ่งมนตร์) ของตน”

“สชฺฌาย” หมายถึง การสาธยาย, การสวด, การท่อง (repetition, rehearsal study)
“สชฺฌาย” สันสกฤตเป็น “สฺวาธฺยาย”

สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า (สะกดตามต้นฉบับ)
“สฺวาธฺยาย : (คำนาม) การอัธยายมนตร์เงียบๆ หรือสังวัธยายมนตร์ในใจ ; เวทหรือพระเวท ; การอัธยายหรือศึกษาพระเวท ; inaudible reading or muttering of prayers ; the Vedas or scripture ; perusal or study of the Vedas.”

@@@@@@@

“สชฺฌาย” ในภาษาไทยใช้อิงรูปสันสกฤตเป็น “สาธยาย”

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า
“สาธยาย : (คำนาม) การท่อง, การสวด, การทบทวน, เช่น สาธยายมนต์, (ภาษาปาก) การชี้แจงแสดงเรื่อง เช่น สาธยายอยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักจบเสียที. (ส. สฺวาธฺยาย; ป. สชฺฌาย).”

สชฺฌาย > สฺวาธฺยาย > สาธยาย หรือการท่องจำเป็นขั้นตอนแรกๆ ในกระบวนการศึกษาตามวัฒนธรรมของชาวชมพูทวีป คือขั้นการรับรู้และซึมซับข้อมูล ต่อจากนั้นไปจึงเป็นการวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูล สังเคราะห์ ประมวลข้อมูล แล้วสรุปผลลงเป็นหลักวิชาแล้วนำไปใช้ตามประสงค์

และสุดท้ายก็วนกลับไปที่ “สาธยาย” อีก คือการทบทวนเพื่อมิให้ลืมเลือนกฎหรือสูตรของวิทยาการนั้นๆ รวมทั้งเป็นการสรุปความก้าวหน้าหรือข้อบกพร่องไปด้วยในตัว


@@@@@@@

ควรเข้าใจให้ตรงกัน

   ๑. นักคิดบางสำนักในบ้านเราโจมตีวิธีท่องจำว่าเป็นการสอนคนให้เป็นนกแก้วนกขุนทอง คิดอะไรไม่เป็น จึงสอนนักเรียนโดยไม่ให้มีการท่องจำ

   ๒. ตามธรรมชาติ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภท “ปัญจโวการภพ” (ปัน-จะ-โว-กา-ระ-พบ) คือ มีองค์ประกอบ 5 ส่วน ได้แก่
       (1) ร่างกาย (corporeality)
       (2) ความรู้สึก (feeling; sensation)
       (3) ความจำ (perception)
       (4) ความคิด (mental formations; volitional activities)
       (5) ความรู้เข้าใจ (consciousness)

   ๓. วิธีสาธยายหรือท่องจำเป็นการใช้งานตามธรรมชาติของชีวิต และเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งเท่านั้นของกระบวนการศึกษา ไม่ใช่ทั้งหมดของการศึกษา และไม่ใช่จบลงเพียงแค่ท่องจำ แต่ยังจะต้องส่งต่อไปยังความคิด ความรู้เข้าใจต่อไปอีก

   ๔. การจะให้เกิดผลคือจำข้อมูลได้ การ “สาธยาย-ท่องจำ” นับว่าเป็นวิธีตามธรรมชาติของมนุษย์สากล สำหรับมนุษย์ที่รังเกียจวิธีนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะคิดค้นวิธีอื่นได้อีก แต่จะไม่ให้มนุษย์ต้องจำอะไรเลยนั้นคือผิดธรรมชาติ

อุปมาอุปไมย

    "การสาธยายเป็นกระบวนการเก็บข้อมูลความรู้ไว้ในสมอง เมื่อถึงเวลาต้องการ ก็เปิดออกมาใช้ได้ทันที ฉันใด การทำบุญก็เป็นกระบวนการเก็บเสบียงไว้ในใจ เมื่อถึงเวลาต้องจากไป ก็พร้อมเดินทางได้ทันที ฉันนั้น"




ขอบคุณ : https://dhamtara.com/?p=3311
tppattaya2343@gmail.com | 15 พฤษภาคม 2015






บาลีวันละคำ : สวดมนต์

สวดมนต์ ภาษาบาลีว่าอย่างไร

(๑) “สวด” เป็นคำไทย ตรงกับบาลีว่า “สชฺฌาย”
     “สชฺฌาย” อ่านว่า สัด-ชา-ยะ รากศัพท์มาจาก ส (มี, พร้อม, ของตน) + อธิ (ยิ่ง, ใหญ่, ทับ) อิ (ธาตุ = สวด, ศึกษา) + อ ปัจจัย, แปลง อธิ เป็น อชฺฌ, แปลง อิ เป็น ย, ทีฆะ (ยืดเสียง) อะ ที่ –ฌ เป็น อา (สชฺฌ > สชฺฌา) : ส + อธิ > อชฺฌ = สชฺฌ + อิ > ย = สชฺฌย > สชฺฌาย แปลตามศัพท์ว่า “การสวดพร้อมหมดอย่างยิ่ง” “การศึกษาอย่างยิ่ง (ซึ่งมนตร์) ของตน”

    “สชฺฌาย” หมายถึง การสาธยาย, การสวด, การท่อง (repetition, rehearsal study)

(๒) “มนต์”
     บาลีเป็น “มนฺต” อ่านว่า มัน-ตะ รากศัพท์มาจาก
     (1) มนฺ (ธาตุ = รู้) + ต ปัจจัย : มนฺ + ต = มนฺต แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เป็นเหตุให้รู้”
     (2) มนฺต (ธาตุ = ปรึกษา) + อ ปัจจัย : มนฺต + อ = มนฺต แปลตามศัพท์ว่า “การปรึกษา”

@@@@@@@

“มนฺต” ในภาษาบาลีมีความหมาย ดังต่อไปนี้

   1. ความหมายเดิม คือ คำพูดหรือคำตัดสินของเทพเจ้าบนสวรรค์ แล้วกลายมาเป็นประมวลคำสอนที่เร้นลับของศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้แก่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพราหมณ์ หรือคัมภีร์พระเวท (a divine saying or decision, hence a secret plan)
   2. คัมภีร์ศาสนา, บทร้องสวด, การร่ายมนตร์ (holy scriptures in general, sacred text, secret doctrine)
   3. ศาสตร์ลี้ลับ, วิทยาคม, เสน่ห์, คาถา (divine utterance, a word with supernatural power, a charm, spell, magic art, witchcraft)
   4. คำแนะนำ, คำปรึกษา, แผนการ, แบบแผน (advice, counsel, plan, design)
   5. เล่ห์เหลี่ยม, ชั้นเชิง (a charm, an effective charm, trick)
   6. สูตรวิชาในศาสตร์สาขาต่างๆ (เช่น H2O = น้ำ หรือแม้แต่สูตรคูณ ก็อยู่ในความหมายนี้) (law)
   7. ปัญญา, ความรู้ (wisdom, knowledge, insight, discernment)


@@@@@@@

“มนฺต” ใช้ในภาษาไทยว่า มนต์, มนตร์ (มน) และเข้าใจกันแต่เพียงว่าหมายถึง “คำเสกเป่าที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์”

“สวดมนต์” ตรงกับคำบาลีว่า “มนฺตสชฺฌาย” (มัน-ตะ-สัด-ชา-ยะ)

มนฺต + สชฺฌาย = มนฺตสชฺฌาย แปลตามศัพท์ว่า “การสาธยายมนต์” หรือแปลตรงตัวว่า “สวดมนต์” นั่นเอง

การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนามีมูลเหตุมาจากการสาธยายพระสูตรหรือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อมิให้ลืมเลือนอย่างหนึ่ง และเพื่อตรวจสอบข้อความให้ถูกต้องตรงกันอีกอย่างหนึ่ง

   สวดมนต์เพื่อทบทวนความรู้ จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ
   สวดมนต์เพื่อเจริญสมาธิสติ ธรรมะก็ผลิเบ่งบาน
   สวดมนต์เพื่อขลัง ยังต้องนุงนังไปอีกนาน


(อธิบายเร่งด่วนตามประสงค์ของพระคุณท่าน So Phom)




ขอบคุณ : https://dhamtara.com/?p=3796
tppattaya2343@gmail.com | 29 ตุลาคม 2015
40  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ข้องใจวัดพระธาตุดอยคำ เชียงใหม่ เก่าแก่กว่า 1,300 ปี เผยเพิ่งขอเป็นวัดได้สำเร็จ เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 05:30:29 am
.



ณพลเดช ข้องใจวัดพระธาตุดอยคำ จ.เชียงใหม่ เก่าแก่กว่า 1,300 ปี เผยเพิ่งขอเป็นวัดได้สำเร็จ

ณพลเดช ข้องใจวัดพระธาตุดอยคำ จ.เชียงใหม่ เก่าแก่กว่า 1,300 ปี เผยเพิ่งขอเป็นวัดได้สำเร็จ ยกเครดิตให้ กมธ.ศาสนาฯ

เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่วัดพระธาตุดอยคำ ต.แม่เหียะ อำเภอเมือง จ.เชียงใหม่ นายณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประจำกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าสักการะ พระครูสุนทรเจติยารักษ์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยคำ โดยพระครูสุนทรเจติยารักษ์ ได้อนุโมทนาหลังจากที่กรมอุทยานอนุมัติให้ใช้พื้นที่ป่าสร้างวัดได้

ขณะนี่้ได้ยื่นขอวิสุงคามสีมาแล้ว ตนได้โทรศัพท์ถึงอธิบดีกรมอุทยาน และได้ขอบคุณที่ได้ดำเนินตามกระบวนกฎหมาย ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่ประสบความสำเร็จ ที่ได้วัดในพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องเพิ่มมาอีกวีดหนึ่ง






นายณพลเดช กล่าวต่อไปว่า วัดพระธาตุดอยคำ เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์เป็นวัดสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ มีคนนำดอกมะลิไปไหว้เป็นจำนวนมาก อายุเก่าแก่กว่า 1,300 ปี น่าจะออกโฉนดที่ดินและขอวิสุงคามสีมา ได้มานานแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นวัดที่ไม่มีวิสุงคามสีมา ภายหลังผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 จ.เชียงใหม่ ก็ได้ให้ความสะดวกและดำเนินการตามกรอบกฎหมาย

ทั้งนี่ได้ที่ดินวัดที่เป็นโฉนดราว 7 ไร่ กำลังอยู่ในขั้นตอนขอวิสุงคามสีมา ซึ่งจะทำให้สามารถ บวชพระ และประกอบศาสนกิจของสงฆ์ได้ตามพุทธวินัยได้ต่อไป อีกทั้งจะสามารถดำเนินกิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรม ที่ได้สืบต่อกันมา

อย่างไรก็ดี ต้องขอให้เครดิตกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎรในชุดก่อน และชุดปัจจุบันที่ทำงานงานอย่างหนัก โดยเฉพาะ ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ที่ทุ่มเทงานอย่างมาก




ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/region/news_4528031
วันที่ 15 เมษายน 2567 - 23:24 น.   
หน้า: [1] 2 3 ... 556