หัวข้อ: เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: tewada ที่ ธันวาคม 27, 2012, 03:41:42 pm เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ
คือไม่ทราบว่า ควรเรียกว่า พราหมณ์ หรือ เรียกว่า พุทธ เพราะอ่านไปหลาย ๆ พระสูตรบางครั้ง พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสเรียก พระอรหันต์ว่า พราหมณ์ บางครั้งก็ เรียก พรหมกาย อย่างนี้ แท้ที่จริง เทวดาทั้งหมดเหล่านี้เป็น พราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ ครับ (http://www.dhammathai.org/articles/data/imagefiles/243.jpg) หัวข้อ: Re: เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 09, 2013, 12:26:20 pm (http://www.bloggang.com/data/angelina-jerrry/picture/1297532673.jpg) พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๔. โสณทัณฑสูตร ว่าด้วยพราหมณ์บัญญัติ ขณะที่ไปเฝ้านั้น โสณทัณฑพราหมณ์เกิดความปริวิตกว่า ตนจะถามปัญหาไม่ได้ดีบ้าง จะตอบปัญหาไม่ได้ดีบ้าง ครั้นจะไปพอใกล้แล้วกลับเสีย ก็จะถูกหาว่าเป็นคนโง่ จึงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้บ้าง ความผิดพลาดแต่ละข้อนี้จะทำให้บริษัทจับผิด เป็นเหตุให้เสื่อมยศ เสื่อมทรัพย์.แต่พระผู้มีพระภาคทรงรู้วาระจิตของพราหมณ์ จึบทรงเลือกถามปัญหาที่โสณทัณฑพราหมณ์เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ คือ ปัญหาไตรเพท ซึ่งทำให้โสณทัณฑพราหมณ์ดีใจมาก คือตรัสถามว่า ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติกี่อย่างจึงบัญยัติว่าเป็นพราหมณ์ และควรเรียกตัวเองได้ว่าเป็นพรามหณ์ โสณทัณฑพราหมณ์ตอบว่า ๑. มีชาติดี คือเกิดจากมารดาบิดาเป็นพราหมณ์ สืบสายมา ๗ ชั่วบรรพบุรุษ ๒. ท่องจำมนต์ในพระเวทได้ ๓. มีรูปงาม ๔. มีศีล ๕. เป็นผู้ฉลาดมีปัญญา. (http://phram.net/images/stories/image.jpg) ตรัสถามว่า ใน ๕ อย่างนี้ ถ้าลดลงเสีย ๑ เหลือ ๔ พอจะกำหนดคุณสมบัติของผู้ควรเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่. โสณทัณฑพราหมณ์ตอบว่า ตัดข้อมีผิวพรรณดีออก. ตรัสถามว่า ถ้าลดลงเสียอีก ๑ เหลือ ๓ จะลดอะไร โสณทัณฑพรามหณ์ ลดข้อท่องจำมนต์. ตรัสถามว่า ถ้าลดลงเสียอีก ๑ เหลือ ๒ จะลดอะไร โสณทัณฑพราหมณ์ ลดข้อที่เกี่ยวกับชาติ คือ กำเนิดจากมารดาบิดาเป็ณพราหมณ์. พอลดข้อนี้ พวกพราหมณ์ที่มาด้วย ก็ช่วยกันของร้องว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น เพราะเป็นการกล่าวกระทบผิวพรรณ กระทบมนต์ กระทบชาติ จะเสียทีแก่พระสมณโคดม. โสณทัณฑพราหมณ์ก็โต้ตอบว่า หลานของตน คือ อังคกะมาณพที่นั่งอยู่ในที่ประชุมนี้ มีผิวพรรณดี ท่องจำมนต์ได้ดี เกิดดีจากมารดาบิดามารดาทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นพราหมณ์สืบต่อมา ๗ ชั่วบรรพบุรุษ แต่ก็ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา. ผิวพรรณ มนต์ ชาติ จะทำอะไรได้. เมื่อใดพราหมณ์เป็นศีล มีปัญญา รวม ๒ คุณสมบัตินี้ จึงควร "บัญญัติว่าเป็นพราหมณ์" และควรเรียกตัวเองว่า "เป็นพราหมณ์." พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ถ้าลดเสีย ๑ เหลือ ๑ พอจะกำหนดคุณสมบัติของผู้ควรเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่. โสณทัณฑพราหมณ์กราบทูลว่า ลดไม่ได้ เพราะศีลชำระปัญญา ปัญญาชำระศีล ในที่ใดมีศีลในที่นั้นมีปัญญา ในที่ใดมีปัญญาในที่นั้นมีศีล ศีลกับปัญญากล่าวได้ว่าเป็นยอดในโลก เปรียบเหมือนใช้มือล้างมือใช้เท้าล้างเท้า ศีลกับปัญญาก็ชำระกันและกันฉันนั้น. พระผู้มีพระภาคตรัส "รับรองภาษิตของโสณทัณฑพราหมณ์ว่า..ถูกต้อง" และตรัสถามต่อไปว่า ศีลเป็นอย่างไร ? ปัญญาเป็นอย่างไร ? โสณทัณฑพราหมณ์จึงกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคตรัสอธิบาย. (http://download.buddha-thushaveiheard.com/images/All_page_04/Picture1-40/05_01.jpg) พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถึงการที่บุคคลเลื่อมใสในพระองค์ ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ ตั้งอยู่ในศีล ๓ ชั้น (ดั่งในสามัญญผลสูตร) บำเพ็ญสมาธิจนได้บรรลุฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และได้วิชา ๘ มีวิปัสสนาญาณ เป็นต้น มีอาสวักขยญาณเป็นที่สุด (ดั่งได้กล่าวไว้แล้วในสามัญญผลสูตร) เป็นอันตรัสอธิบายถึงศีลและอธิบายถึงปัญญา (รอบยอดที่ปัญญาอันทำให้สิ้นอาสวะคือกิเลสที่หมักดองในสันดาน). ......ฯลฯ........... หมายเหตุ : พระสูตรนี้แสดงว่าโสณทัณฑพราหมณ์ยอมตัดความสำคัญเรื่องผิวพรรณ เรื่องมนต์เรื่องชาตกำเนิดพราหมณ์ทิ้ง ให้เหลือแต่ศีลกับปัญญา ก็ทำให้คนเป็นพราหมณ์ได้ อันเข้ากับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคจึงประทานสาธุการรับรองภาษิตของพราหมณ์นั้น. ศาสตราจารย์ ริดส์เดวิดส์ เห็นว่า แม้ทางพระพุทธศาสนาจะเสนอหลักการแบบนี้ ก็ทำการเลิกล้มความคิดเห็นของพราหมณ์ไม่สำเร็จ พราหมณ์ยังคงถือชาติเป็นสำคัญตลอดมา แต่ผู้เขียนเห็นว่า พระพุทธเจ้ามิได้ทรงแทรกแซงความเชื่อถือของพราหมณ์ ใครจะถือก็ถือไป แต่หลักธรรมมีอยู่อย่างนี้ ก็ทรงแสดงให้ฟัง ผลที่ปรากฏก็มีอยู่คือ พราหมณ์ที่เข้ามานับถือพระพุทธศาสนามิใช่น้อย พากันถือตามหลักธรรมพระพุทธศาสนา เข้าทำนองว่า เมื่อเราไม่สามารถจะเกี่ยวหญ้ามุ่งทุ่งทั้งทุ่งได้ อย่างน้อยเอามามุงหลังคาเฉพาะของเราเอง ก็ยังดีกว่าตากแดดตากฝนไปตามคนอื่น ยิ่งในสมัยนี้ รัฐธรรมนูญอินเดียไม่ยอมรับรองสิทธิพิเศษของชาติชั้นวรรณะ ผู้นำอินเดียพากันสดุดีหลักธรรมเรื่องนี้ของพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งเห็นกันขึ้นว่า หลักธรรมนี้เป็นประเสริฐอย่างไร. ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/1.2.html (http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/1.2.html) http://www.bloggang.com/,http://phram.net/,http://download.buddha-thushaveiheard.com/ (http://www.bloggang.com/,http://phram.net/,http://download.buddha-thushaveiheard.com/) หัวข้อ: Re: เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ มกราคม 09, 2013, 12:49:12 pm ในพระสูตร คำเดียวกัน แต่คนละความหมาย มีมาก ต้องไปดูที่เชิงอรรถ ขยายความว่าอย่างไร แนะนำให้อ่านของมหาจุฬา มีเชิงอรรถ ขยายความไว้มาก อ่านแล้วทำให้เข้าใจได้ดี จุดประสงค์ของการกล่าวความไม่ผิดเพี้ยน ส่วนตัวที่ได้อ่านเ้จอมา มีความอีกนัยหนึ่งว่า อริยะ ต้องลอง อ่านดูให้มากหลายๆ พระสูตร จะเห็นความ ต่าง กัน ของในแต่ละพระสูตร
หัวข้อ: Re: เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 09, 2013, 01:08:29 pm (http://www.rmutphysics.com/charud/scibook/buddhist1/buddhist1pic/7.jpg) ภาพจาก http://www.rmutphysics.com/ (http://www.rmutphysics.com/) พราหมณ์ คนวรรณะหนึ่งใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร; พราหมณ์เป็นวรรณะนักบวชและเป็นเจ้าพิธี ถือตนว่าเป็นวรรณะสูงสุด เกิดจากปากพระพรหม สมณพราหมณ์ สมณะและพราหมณ์ (เคยมีการสันนิษฐานว่า อาจแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า พราหมณ์ผู้เป็นสมณะหรือพราหมณ์ผู้ถือบวช แต่หลักฐานไม่เอื้อ) __________________________________________________ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) (http://www.dmc.tv/images/meditationNAW/ja26.94.jpg) ภาพจาก http://www.dmc.tv/ (http://www.dmc.tv/) ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะว่า บรรดาวรรณะทั้งสี่เหล่านั้น ผู้ใดเป็นภิกษุสิ้นกิเลสและอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว ได้วางภาระเสียแล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว สิ้นเครื่องเกาะเกี่ยวในภพแล้ว หลุดพ้นไปแล้วเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นปรากฏว่าเป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายโดยชอบธรรมแท้ มิได้ปรากฏโดยไม่ชอบธรรมเลย ด้วยว่าธรรมเป็นของประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งในเวลาที่เห็นอยู่ ทั้งในเวลาภายหน้า ......ฯลฯ......... [๕๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะเธอทั้งสองคนมีชาติก็ต่างกัน มีชื่อก็เพี้ยนกัน มีโคตรก็แผกกัน มีตระกูลก็ผิดกันพากันทิ้งเหย้าเรือนเสีย มาบวชเป็นบรรพชิต เมื่อจะมีผู้ถามว่า ท่านทั้งสองนี้เป็นพวกไหน เธอทั้งสองพึงตอบเขาว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นพวกพระสมณศากยบุตรดังนี้เถิด ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่นเกิดขึ้นแล้วแต่รากแก้วคืออริยมรรค ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือผู้ใดผู้หนึ่งในโลก ไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่า เป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิดแต่พระโอฐของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่พระธรรม เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า "ธรรมกาย"ก็ดี ว่า"พรหมกาย"ก็ดี ว่า"ธรรมภูต"ก็ดี ว่า"พรหมภูต"ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต ฯ __________________________________________________________ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ๔. อัคคัญญสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1703&Z=2129 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1703&Z=2129) หัวข้อ: Re: เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 09, 2013, 02:03:38 pm (http://www.buddhism-online.org/Images/Sect06A/P07.jpg) ศาสนาฮินดู จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ศาสนาฮินดู (อังกฤษ: Hinduism) เป็นศาสนาแบบพหุเทวนิยมที่พัฒนาการต่อมาจากศาสนาพราหมณ์ จึงมักเรียกรวมกันว่าศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าใครเป็นศาสดา มีคัมภีร์ศาสนาเรียกว่าพระเวท มีศาสนิกชนมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก มีจำนวนประมาณ 900 ล้านคน ประวัติ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า ”พราหมณ์” ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่งเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพุทธ จนมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ศังกราจารย์ได้ปฏิรูปศาสนาโดยแต่งคัมภีร์ปุราณะลดความสำคัญของศาสนาพุทธ และนำหลักปฏิบัติรวมทั้งหลักธรรมของศาสนาพุทธบางส่วนมาใช้และฟื้นฟูปรับปรุงศาสนาพราหมณ์เป็นให้เป็นศาสนาฮินดู โดยคำว่า “ฮินดู” เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุ และเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีป และชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมเทพเจ้าท้องถิ่นดั้งเดิมลงไป เนื่องจากเวลานั้นสังคมอินเดีย แตกแยกอย่างมากเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศอินเดียที่มีลักษณะเป็นกึ่งพหุเทวนิยม คือนิยมนับถือเทวดา ทำให้ทางตอนเหนือนับถือพระศิวะซึ่งเป็นเทพแห่งภูเขาหิมาลัย ทางตอนใต้ชาวประมงนับถือวิษณุซึ่งเป็นเทพที่ให้ฝนและพายุ ชาวป่านับถือพระนิรุทธ และตอนกลางนับถือพระพิฆเนตร คนอินเดียเวลานั้นเริ่มไม่นับถือศาสนาพราหมณ์เป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อต้องการรวมชาติ เมื่อครั้งขับไล่ราชวงศ์โมกุลของอิสลามที่เข้ามายึดครองและสั่งเข่นฆ่าพระสงฆ์คัมภีร์และวัดในพระพุทธศาสนาจนแทบสูญสิ้นไปจากอินเดีย จึงรวมเทพเจ้าแต่ละท้องถิ่นต่างๆมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับศาสนาพราหมณ์ แลัวเรียกศาสนาของใหม่นี้ว่า “ศาสนาฮินดู” เพราะฉะนั้นศาสนาพราหมณ์จึงมีอีก ชื่อในศาสนาใหม่ว่า “ฮินดู” จนถึงปัจจุบันนี้ พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมพราหมณ์ แม้แต่พระพุทธเจ้า และพุทธสาวกสมัยแรกๆ ก็เคยนับถือศาสนาพราหมณ์ หรือเคยเกี่ยวข้องกับวรรณะพราหมณ์มาก่อน และในนิทานชาดก และเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธและพระพุทธเจ้า ก็มักจะมีพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาพุทธและพราหมณ์ จึงมีอิทธิพลต่อกันและกัน ในศาสนาพราหมณ์ คำว่า พราหมณ์ หมายถึง คนในวรรณะที่สูงที่สุดของสังคมอินเดีย มีหน้าที่สอนความรู้เกี่ยวกับพระเวทและทำหน้าที่ติดต่อเทพเจ้า ผู้ที่เป็นพราหมณ์เป็นโดยกำเนิด คือบุตรของพราหมณ์ก็จะมีสถานภาพเป็นพราหมณ์ด้วย (http://www.buddhism-online.org/Images/Sect06A/P06.jpg) แนวคิดคำสอน ศิวลึงค์เป็นความคิดที่พราหมณ์ในสมัยก่อนคิดกันขึ้นมาเพื่อแสดงเป็นสัญลักษณ์ มิใช่ความปรารถนาของพระศิวะที่จะให้พราหมณ์นับถือศิวลึงค์ หรือโยนีสำหรับลัทธิศักติ การบูชาพระศิวะสามารถทำได้ด้วยการกระทำความดีเพื่อถวายแก่พระศิวะ ผู้ที่ปรารถนาที่จะกลับเข้าสู่ความเป็นอาตมันหรือตรัสรู้สามารถทำได้โดยการทำสมาธิ และให้คิดว่าร่างกายนี้เราก็ละในที่สุดก็จะตรัสรู้และมีแสงเป็นจุดกลมๆเป็นฝอยๆสีขาวคล้ายน้ำหมึก ขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตรบางอันก็เล็กกว่า และมีแสงเป็นรูปคล้ายดาวกระจายขนาดประมาณครึ่งนิ้ว แสงที่เห็นจะมีน้ำหนัก มีลักษณะเป็นก้อน เมื่อกระทบวัตถุสามารถเด้งกลับได้ การตรัสรู้ของศาสนาพราหมณ์คือ "การรู้ว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา" ที่มา th.wikipedia.org/wiki/ศาสนาฮินดู (http://th.wikipedia.org/wiki/ศาสนาฮินดู) เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ หากจำกัดความหมายของคำว่า พราหมณ์ อยู่ที่เป็นชื่อของวรรณะ และบัญญัติให้คุณสมบัติของพราหมณ์ มีตามพระสูตรที่แสดงแล้วนั้น พราหมณ์มีทั้งศีลและปัญญา ศีลและปัญญาเหล่านี้จะนำพราหมณ์ไปสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นได้ ส่วนพรหมโลกนั้น เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์โดยตรง เมื่อได้ฌาณก็ไปสู่พรหมโลกได้ ยกเว้นชั้นสุทธาวาส เพราะชั้นนี้ เป็นชั้นนี้ต้องเป็นคนที่ทำตามคำสอนของพุทธศาสนาเท่านั้น หากคนที่มีวรรณะพราหมณ์ หันมาทำตามคำสอนของพุทธแล้วก็สามารถไปสู่สุทธาวาสได้เช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์หรือพุทธ หากปรารถนาไปสู่ภพภูมิใด แม้กระทั่งนิพพาน หากสร้างเหตุปัจจัยได้เหมาะสมและถูกต้องแล้ว ก็สามารถไปสู่ภพนั้นๆได้ ไม่ว่าจะเกิดในวรรณะใดก็ตาม ส่วนเรื่องพรหมกายนั้น ขอให้เข้าใจเพียงแต่ว่า เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าเท่านั้น อย่าไปใช้ในความหมายอื่น ขอให้อ่านบทความต่างๆให้เข้าใจนะครับ ผมจะไม่อธิบายอะไรให้มากความ ไม่เข้าใจอะไรก็ถามได้ ขอคุยเป็นเพื่อนเท่านี้ :25: หัวข้อ: เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ มกราคม 09, 2013, 09:35:15 pm อย่างในบทกรณียเมตตาสูตร
ก็มีที่ว่า ติฎฐัญจะรัง นิสินโน วา สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ หรืออย่างใน บทสวดโมระปริตตัง ที่ว่า เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะธัมเม ในที่นี้จะแปลว่าอะไร นี้เป็นตัวอย่าง หัวข้อ: เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ มกราคม 09, 2013, 10:36:29 pm ภิกขาปรัมปรชาดก
หัวข้อ: Re: เทวดา ตั้งแต่ ชั้น จาตุมหาราชิก จน ถึงพรหมสูงสุด จัดเป็นพราหมณ์ หรือ เป็นพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: komol ที่ มกราคม 10, 2013, 12:28:12 am st11 st12 thk56 st12
|