ขอบคุณภาพประกอบจาก
http://www.thaimtb.comถ้าท่านทั้งหลายจะได้มีโอกาสพิจารณาข้อความจาก พระวินัยปิฎกเล่ม ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ข้อ ๑๘๐ ซึ่งปรากฏข้อความดังนี้ว่า ....
“สมัย นั้น ภิกษุสองรูปเป็นพี่น้องกัน ชื่อเมฏฐะและโกกุฏฐะเป็นชาติพราหมณ์ พูดจาอ่อนหวาน เสียงไพเราะ เธอสองรูปนั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ ภิกษุทั้งหลายต่างชื่อต่างโคตร ต่างชาติ ต่างสกุลกันเข้ามาบวช พวกเธอจะทำพระพุทธวจนะให้ผิดเพี้ยนจากภาษาเดิม มิฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะขอยกพระพุทธวจนะขึ้นโดยภาษาสันสกฤต
พระผู้มี พระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆะบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า มิฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะขอยกพระพุทธวจนะ ขึ้นโดยภาษาสันสกฤตดังนี้เล่า ดูกรโมฆะบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
ครั้นแล้วทรง ทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงยกพุทธวจนะขึ้นโดยภาษาสันสกฤต รูปใดยกขึ้น ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เล่าเรียนพุทธวจนะตามภาษาเดิม ฯ”
ที นี้ เมื่อพิจารณาข้อความจากพระไตรปิฎกแปลไทย ก็จะได้ความว่า พระพุทธองค์ตรัสห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายยกพุทธพจน์ขึ้นโดยภาษาสันสกฤต !!!!
----------------------------------------------------------------------
เรื่อง ของเรื่องก็คือ จริงๆแล้วพระพุทธองค์ตรัสออกมาตรงๆ ด้วยคำว่า “ฉันท์” ซึ่งลักษณะของฉันท์ก็คือ ข้อความที่ถูกแต่งขึ้นมาเป็นกาพย์กลอน เป็นโศลก เหมือน คัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ แปลความได้ว่า พระบัญญัติที่ตรัสห้ามมิให้ยกพุทธพจน์ขึ้นสู่ฉันท์นั้น มีองค์ประกอบอยู่ ๒ ประการ คือ ….
(๑) ห้ามแต่งพระธรรมวินัยเป็นบทกวี เนื่องจาก ฉันทลักษณ์ ที่บังคับลักษณะทางคำประพันธ์ชนิดนั้นๆ อาจส่งผลทำให้ พุทธพจน์ ถูกบิดเบือนความหมายไปได้ และยิ่งถ้าผู้แต่ง(บทกวี)ไม่แตกฉานในภาษาเพียงพอ ก็จะเป็นการทำร้ายพุทธพจน์(ไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์)
(๒) ห้ามจดบันทึกพระธรรมวินัยด้วยภาษาสันสกฤต เนื่องจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาของชนชั้นสูงในสมัยนั้น ซึ่งจำกัดอยู่แต่ในกลุ่มอภิสิทธิ์ชน ดังนั้นถ้าปล่อยให้ทำได้ นานวันไป พระธรรมคำสอนของพระองค์ก็จะถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูง(กลุ่มน้อย) ซึ่งขัดกับพุทธประสงค์ที่จะตรัสสั่งสอนชาวบ้านรากหญ้าด้อยสิทธิ์ไร้การศึกษา เป็นสำคัญ
ดังนั้น ถ้าจะแปลพระบาลีข้อนี้ให้ตรงต่อความหมายจริงๆแล้ว ควรกล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงยกพุทธวจนะขึ้นโดย “คำฉันท์” รูปใดยกขึ้น ต้องอาบัติทุกกฏ โดยที่พระบัญญัตินี้ จะมีความเข้มงวดมากจำเพาะการแต่งตำราที่ใช้สำหรับศึกษาเล่าเรียน(พระธรรม วินัย)เท่านั้น แต่หากเป็นการแต่งหนังสือในเชิง “สดุดี” เพื่อส่งเสริมศรัทธาปสาทะของศาสนิกชน (ไม่ใช่ตำราสำหรับการศึกษาพุทธพจน์) ก็มักได้รับการผ่อนปรน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยหลัง(มากแล้ว) แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือ มีชาวพุทธบางหมู่เหล่า ไม่เข้าใจความข้อนี้ แต่ได้พยายามที่จะนำเอา “ข้อความ” จากคัมภีร์ที่เป็นบทกวีประกอบด้วยฉันทลักษณ์ ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อเจริญศรัทธาปสาทะในหมู่พุทธศาสนิกชน มาอ้างอิงเพื่อคัดค้านหลักฐานซึ่งอยู่ในชั้นพุทธพจน์ ได้อย่างหน้าตาเฉย !!!!
จำเพาะ “คัมภีร์อปทาน” นั้นก็ชัดเจนอย่างมิต้องสงสัยเลยว่า เป็นของใหม่ มิใช่เป็นมุขปาฐะที่สืบต่อมาจากปฐมสังคายนา เพราะ อปทาน เป็นคัมภีร์ที่แต่งด้วย “คำฉันท์” ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยว่า พระอรหันตเถระ เมื่อสมัยปฐมสังคายนา จะล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระพุทธองค์
ดังนั้น การยกข้อความจาก คัมภีร์อปทาน มาคัดค้านข้อความซึ่งเป็นพุทธพจน์แท้ๆจากพระสูตร จึงย่อมเป็นการกระทำที่โง่เขลาเบาปัญญาโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ ดูเหมือนว่า บรรดาชาวพุทธขี้เท่อเหล่านั้น จะยังไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่า ตนเองกำลังทำความผิดอย่างมหันต์ โดยที่ยังหลงนึกฝันไปว่า ตนกำลังปกป้องพระธรรมวินัย(อะไรๆ) ตามความเชื่อของเขาอยู่อย่างสุดกำลัง และสมควรแก่การสรรเสริญ (!)
แหล่งที่มา
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=janson&date=24-05-2011&group=8&gblog=1ลองไปดูว่าจริงหรือไม่