ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กลอนธรรมะ เพื่อคลาย อุปาทาน  (อ่าน 2676 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

สาวิตรี

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +6/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 148
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
กลอนธรรมะ เพื่อคลาย อุปาทาน
« เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 02:51:18 pm »
0
ขอพวกเราทั้งหลายจำไว้เถิด
ว่าการเกิดนี้ลำบากยากนักหนา
ครั้นคนเราได้กำเนิดเกิดขึ้นมา
ก็กลับพากันถึงซึ่งความตาย

(หลวงวิจิตรวาทการ)

ต้องเวียนเกิดเวียนตายตามบุญบาป
เมื่อไรทราบธรรมแท้ไม่แปรผัน
ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายสบายครัน
มีเท่านั้นใครหาพบจบกันเอย

(ท่านพุทธทาสภิกขุ)

กายนี้ท่านเปรียบดั่งท่อนไม้
ครั้นดับไปสมมติว่าเป็นผี
เครื่องเปื่อยเน่าสะสมถมปฐพี
เหมือนกันทั้งผู้ดีและเข็ญใจ

(เจ้าพระยาคลัง หน)

อันรูปรสกลิ่นเสียงนั้นเพียงหลอก
ไม่จริงดอกอวิชชาพาให้หลง
อย่าลืมนะร่างกายไม่เที่ยงตรง
ไม่ยืนยงทรงอยู่คู่ฟ้าเอย

(จากหนังสือเก่าโบราณ)

กลางทะเลอวกาศที่เวิ้งว้าง
สรรพสิ่งได้ถูกสร้างแปลงไว้
จากดินน้ำลมและไฟ
ก่อเกิดเป็นสิ่งใหม่เรื่อยมา

เมื่อถึงคราวแตกดับ
สรรพสิ่งก็หมุนกลับไปหา
ธรรมชาติเดิมแท้นั้นอีกครา
เวียนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น

(สมภาร พรหมทา)

     

    เป็นมนุษย์ หรือ เป็นคน

    *
      เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง
      เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
      ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน
      ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
    *
      ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ
      ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
      เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา
      เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
    *
      ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า
      ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
      เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง
      แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
    *
      คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก
      จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
      ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย
      ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอยฯ

    นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ

    *
      หมู่นกจ้อง มองเท่าไร ไม่เห็นฟ้า
      ถึงฝูงปลา ก็ไม่เห็น น้ำเย็นใส
      ไส้เดือนมอง ไม่เห็นดิน ที่กินไป
      หนอนก็ไม่ มองเห็นคูต ที่ดูดกิน;
    *
      คนทั่วไป ก็ไม่ มองเห็นโลก
      ต้องทุกข์โศก หงุดหงิด อยู่นิจสิน
      ส่วนชาวพุทธ ประยุกต์ธรรม ตามระบิล
      เห็นหมดสิ้น ทุกสิ่ง ตามจริงเอย ฯ

    ความสุข

    *
      ความเอ๋ย ความสุข
      ใครๆทุก คนชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา
      "แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา"
      แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใจ
    *
      ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าจะสุข
      ถ้ามันเผา เราก็ "สุก" หรือเกรียมได้
      เขาว่าสุข สุขเน้อ! อย่าเห่อไป
      มันสุขเย็น หรือสุกไหม้ ให้แน่เอย ฯ

    ศึกษากันเท่าไร?

    *
      โลกยุคนี้ มีศึกษา กันท่าไหน
      ยุวชน รุ่นใหม่ ได้คลุ้มคลั่ง
      บ้างติดยา เสพติด เป็นติดตัง
      บ้างก็ฝัง หัวสุม ลุ่มหลงกาม
    *
      บ้างดูหมิ่น พ่อแม่ ไม่มีคุณ
      บ้างก็เห็น เรื่องบุญ เป็นเรื่องพล่าม
      บ้างลุ่มหลง love free เป็นดีงาม
      บ้างประณาม ศาสนา ว่าบ้าบอ
    *
      บ้างไปเป็น ฮิปปี้ มีหลายชนิด
      บ้างทวงอิส- ระพ้น จนเหลือขอ
      บ้างที่มี ดีกรีมาก โฮกฮากพอ
      โลกเราหนอ ให้ศึกษา กันเท่าไร ฯ

    อาจารย์ไก่

    *
      ถ้าคนเรา เปรียบกับไก่ ดูให้ดี
      มันไม่มี นอนไม่หลับ ไม่ปวดหัว
      ไม่มีโรค ประสาท ประจำตัว
      โรคจิตไม่ มากลั้ว กับไก่น้อย
    *
      คนในโลก กินยา เป็นตันๆ
      พวกไก่มัน ไม่ต้องกิน สักเท่าก้อย
      หลับสนิท จิตสบาย ร้อยทั้งร้อย
      รู้สึกน้อย แห่งน้ำใจ อายไก่เวย
    *
      ได้เป็นคน หรือจึงได้ นอนไม่หลับ
      ควรจะนับ ว่าเป็นบาป หรือบุญเหวย
      มีธรรมะ กันเสียนะ อย่าละเลย
      อยู่เสบย ไม่ละอาย แก่ไก่มัน

    ภัยร้ายของนักเรียน

    * เป็นนักเรียน เพียรศึกษา อย่าริรัก

         ถูกศรปัก เรียนไม่ได้ ดั่งใจหมาย
       สมาธิจะ หักเหี้ยน เตียนมลาย
       ถึงเรียนได้ ก็ไม่ดี เพราะผีกวน

    * แต่เตือนกัน สักเท่าไร ก็ไม่เชื่อ

         มันแรงเหลือ รักร้าย หลายกระสวน
       หลอกพ่อแม่ มากมาย หลายกระบวน
       หน้าขาวนวล ใจหยาบดำ ซ้ำละลาย

    * การเล่าเรียน เบื่อหน่าย คล้ายจะบ้า

         ใช้เงินอย่าง เทน้ำเทท่า น่าใจหาย
       ไม่เท่าไร ใจกระด้าง สิ้นยางอาย
       หญิงหรือชาย เรียนไม่ดี สิ่งนี้เอง

    * มีสัจจะ ทมะ และขันตี

         กตัญญู กตเวที อย่าโฉงเฉง
       รักพ่อแม่ พวกพ้อง ต้องยำเกรง
       เรียนให้เก่ง ให้ยิ้มแปล้ แก่ทุกคน ฯ

     

    ยิ่งเจริญยิ่งบ้า?

    * ถ้าพูดว่า "ยิ่งเจริญ คือยิ่งบ้า"
      ดูจะหา คนเชื่อ ได้ยากยิ่ง
      เพราะต่างชอบ ความเจริญ ที่เกินจริง
      เจริญอย่าง ผีสิง ยิ่งชอบกัน
    * โลกเจริญ เกินขนาด ธรรมชาติแหลก
      เกิดของแปลก แปลงโลก ให้โศกศัลย์
      ทำมนุษย์ ให้เป็นสัตว์ พิเศษพลัน
      คือฆ่ากัน ทั้งบนดิน และใต้ดิน
    * ยิ่งเจริญ ยิ่งดุเดือด ด้วยเลือดอาบ
      ยิ่งฉลาด ยิ่งมีบาป กว่ายุคหิน
      สร้างปัญหา ยุ่งยาก มากระบิล
      โลกทั้งสิ้น สุมความบ้า ว่าความเจริญ ฯ

    โลกคือเครื่องลองและโรงละคร

    *
      โลกนี้คือ เครื่องลอง ของมารร้าย
      ไว้สอบไล่ ว่าใคร ยังหลงใหล
      ว่าใครบ้า ใครเขลา เฝ้าจมใน
      หล่มโลกใหญ่ ติดตัง ทั้งชั่วดี!
    *
      โลกนี้ ที่แท้คือ โรงละคร
      ไม่ต้องสอน แสดงถูก ทุกวิถี
      ออกโรงกัน จริงจัง ทั้งตาปี
      ตามท่วงที อวิชชา ลากพาไป!

    โลกเปรียบศาลาให้อาศัย

    *
      โลกนี้เปรียบ ศาลา ให้อาศัย
      ประเดี๋ยวใจ ผ่อนพัก แล้วจักผัน
      ทางที่ดี เมื่อพราก ไปจากมัน
      ควรสร้างสรร ส่งเสริม เพิ่มคะแนน
    *
      เมื่อเราได้ เกิดมา ในอาโลก
      ได้พ้นโศก พ้นภัย สบายแสน
      จึงควรสร้าง สิ่งชอบ ไว้ตอบแทน
      ให้เป็นแดน ดื่มสุข ขึ้นทุกกาล
    *
      คุณความดี ของท่าน กาลก่อนก่อน
      ที่ท่านสอน ไว้ประจักษ์ เป็นหลักฐาน
      เราเกิดมา อาศัย ได้สำราญ
      ควรหรือผ่าน พ้นไป ไม่คำนึง ฯ

    โลกนี้พัฒนา

    *
      โลกฮึดฮัด พัฒนา บูชาโป๊
      เพราะเผลอโง่ ทีละนิด คิดไม่เห็น
      ไม่มีใคร ตำหนิใคร เพราะใจเป็น
      ในเชิงเช่น เดียวกัน ไม่ทันรู้
    *
      รัฐบาลไหน ในโลก สับโขกมัน
      ดูจะชอบ เหมือนกัน ทำไก๋อยู่
      พวกนักบวช แอบหา ภาพมาดู
      คุณครูรู้ พรางศิลปโป๊ โย้ได้ไกล
    *
      ความก้าวหน้า ทางเนื้อหนัง อย่างนี้เอง
      ครั้นพัฒนา จบเพลง ไม่ไปไหน
      บูชาโป๊ ถึงทูนหัว มั่วกันไป
      โลกยุคใหม่ ต้องไม่โง่ หยุดโป๊ที ฯ

    ความรักของอวิชชา

    *
      มีชายหนึ่ง ลิงหนึ่ง อยู่ด้วยกัน
      คนก็รัก ลิงนั้น เป็นหนักหนา
      ลิงก็รัก คนจัด เต็มอัตรา
      ทั้งสองรา รักกัน นั้นเกินดู
    *
      มาวันหนึ่ง คนนั้น นอนหลับไป
      แมลงวัน มาไต่ ที่กกหู
      ลิงคิดว่า ไอ้นี่ยวน กวนเพื่อนกู
      จะต้องบู๊ ให้มันตาย อ้ายอัปรีย์
    *
      ฉวยดุ้นไม้ มาเงื้อ ขึ้นสองมือ
      ฟาดลงไป เต็มตื้อ แมลงวันหนี
      ฝ่ายเพื่อนรัก ดิ้นชัก ไปหลายที
      ดูเถิดนี่ ความรัก ของอวิชชา ฯ
บันทึกการเข้า