ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้ผู้รู้อธิบาย เรื่อง สุขาวดี คะ  (อ่าน 2689 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

สุกัญญา

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 66
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อยากให้ผู้รู้อธิบาย เรื่อง สุขาวดี คะ
« เมื่อ: มิถุนายน 10, 2011, 03:04:55 pm »
0
เรื่อง สุขาวดี นี้เป็นเช่นเดียวกับ นิพพาน หรือไม่ใช่ คะ
ถ้าอาศัยพระพุทธวจนะ ว่า

  นิพพานัง ปรมัง สุขัง  นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

มีใครอธิบาย เรื่อง สุขาวดี ได้บ้างคะ

 :c017:
บันทึกการเข้า
อยากให้โลกนี้สดใส ด้วยเสียงเพลงแห่งสันติ
อยากให้โลกนี้สดชื่น ด้วยเสียงธรรมที่สดใส
อยากให้โลกนี้สุขกายสบายใจ
อยากให้โลกนี้ร่มเย็น เหมือนแดนนิพพาน

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28499
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากให้ผู้รู้อธิบาย เรื่อง สุขาวดี คะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2011, 07:22:51 pm »
0
สุขาวตี อยู่ที่ไหน??


โดย... พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก

สวรรค์ของทุกศาสนา ชื่อว่าเป็นสถานที่มีความสุข บุถุชนทั้งหลายปรารถนาจะไปเกิดที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ตามมติของศาสนาใดๆ ไม่เว้นแต่ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกของเรา ที่ชาวสวรรค์จะมีแต่ความสุขที่ประณีต แต่ไม่พ้นจากวัฏสงสาร เพราะสุขนั้นเจือด้วยราคะกิเลส แต่ความสุขแบบคติของสุขาวตี หรือพุทธเกษตรอื่นๆ นั้น มิได้สุขเพราะเจือด้วยราคะกิเลส แต่เป็นสุขที่เบาบางจากกิเลสต่างหาก เป็นสุขเพราะคนอื่นสุข ไม่ใช่สุขเพราะตัวเอง เรียกว่าเป็นความสุขแบบโพธิสัตว์

หากเราจะเอาราคะกิเลสของตนเองมาพิเคราะห์ธรรมเกี่ยวกับเรื่องสุขาวตี ก็ย่อมจะไม่เข้าถึงสุขาวตี เพราะที่นั้นเต็มไปด้วยสิ่งยั่วใจของบุถุชน เช่น พื้นดิน สิ่งก่อสร้าง อิฐหินกรวดทราย ล้วนเป็นทองคำอัญมณี นี่คือเราเอากิเลสของบุถุชนในโลกแห่งนี้มองอิฐหินกรวดทรายของสุขาวตีแห่งนั้น แล้วตั้งใจไปเกิดเพราะมีแต่สิ่งมีค่าสวยงาม จึงเรียกว่าไปเกิดที่สุขาวตีด้วยแรงกิเลส ไปด้วยความไม่มีปัญญา

ดังนั้นผู้จะไปถึงสุขาวตี หรือเข้าใจสุขาวตีและพุทธเกษตรอื่นๆ แม้นจะยังกำจัดอาสวะในจิตไม่สิ้นจนถึงขั้นอรหันต์ ก็ยังนับว่าเป็นผู้เบาบางจากกิเลสบางประการ อัตตา บัญญัติ เพราะเป็นผู้มีความเห็นว่าทองคำอัญมณีในโลกนี้ หรือโลกไหนๆ ก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร

ในสูตรว่าด้วยเรื่องสุขาวตี ก็กล่าวไว้ว่า ดินแดนอันสุขารมณ์นั้น เป็นเพียงมายาภาพที่พระอมิตาภะ ทรงนิรมิตขึ้นเพื่อสั่งสอนธรรมแก่สัตว์มีมีจริตอัธยาศัยอย่างหนึ่ง ข้อนี้จึงไม่ต่างอะไรกับโลกแห่งนี้ ที่ล้วนเป็นมายา ที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสรู้เพื่อสอนธรรมเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระกรุณา พระปัญญา และพระอุปายะที่ไม่มีประมาณในการสอนสัตว์ของพระพุทธองค์

ดังนั้น ตามมติของชนทั้งหลายที่วิพากษ์วิจารณ์นั้น ล้วนเกิดขึ้นจากความไม่รู้และคาดเดาเอามาจากเหตุผลที่ตนเองได้ศึกษามา ส่วนนี้คือปัญหาสำคัญว่า เราศึกษามาถูกหรือไม่ ครบถ้วนหรือไม่ และตนเองนั้นเข้าใจถ่องแท้หรือไม่

หากเราได้ศึกษา พระธรรมหรืออรรถกถาของโบราณาจารย์ของมหายานที่กล่าวถึงสุขาวตี ที่สุดแล้วก็คือ ให้ย้อนกลับเข้ามาในตน ให้ได้ฟังธรรมจากพระพุทธะในตนเอง เพราะทุกคนมีธาตุพุทธะ คือสามารถรู้แจ้งได้ เพียงแต่เหตุปัจจัยยังไม่ถึงพร้อม ให้ได้มีพุทธเกษตรของตนเองคือให้พากเพียรบำเพ็ญจนตนเองได้บรรลุพุทธภาวะ สามารถอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายที่มาเกิดในพุทธเกษตรของตนได้ ฯลฯ

จนมีหลายประโยคของนิกายสุขาวตีกล่าวว่า 浄土世間 ความหมายคือ โลกแห่งนี้คือวิสุทธิภูมิพุทธเกษตร นี่คือคำกล่าวของผู้ที่พ้นสมมติบัญญัติ มีมติเห็นโลกธาตุทั้งหลายว่าไม่ต่างกัน ว่าสุขาวตีและโลกแห่งนี้ก็ไม่ได้ต่างกัน เพราะเป็นไตรลักษณ์ เป็นมายา หากเราท่านหมายมุ่งพิจารณาตนเองให้รู้จักตนเองอย่างแท้จริงแล้ว จะอยู่โลกไหนก็ไม่ต่างกัน เพราะทุกข์ของโลกแห่งนี้ และสุขของโลกแห่งนั้นไม่อาจทำให้จิตของตนเองหวั่นไหวได้เลย ต่างกันเพียงอุปายะวิธีเท่านั้นเอง

ตราบใดที่ยังสละบุคลาธิษฐาน เข้าถึงปุคคลศูนยตา ละธรรมธิษฐาน แล้วรู้แจ้งธรรมศูนยตาแล้ว ก็อย่าได้วิจารณ์ด้วยความแน่นอนเลย..

ที่มา  http://dangsuka.blogspot.com/2011/04/blog-post_2129.html


เรื่องแดนสุขาวดีนี้ ผมได้ฟังมาจากครูอาจารย์ เกี่ยวข้องกับเรื่องนิพพานแน่นอน แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้

หากมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสม จะพูดให้ฟังต่อไป ผมแนบไฟล์หนังสือมาให้เล่ม เรื่อง "สุขาวดีวยุหสูตร"

หวังว่าคงจะประทับใจ

 :welcome: ;) :49: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 10, 2011, 07:45:54 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28499
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: อยากให้ผู้รู้อธิบาย เรื่อง สุขาวดี คะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2011, 07:34:46 pm »
0
พระอาจารย์​จี้กงเมตตา

เยือนแดนสุขาวดี เข้าเฝัานมัสการอมิตพุทธเจ้า
    ออกจาก“สวรรค์ชั้นดุสิต” อาตมาท่องปรมัตถ์สูตรตามเคยแท่นดอกบัวพลันปรากฏที่ใต้เท้า พาตัวอาตมาเหินลอยท้องฟ้านภากาศ ตลอดทางได้ยินแต่เสียงลมพัดอื้อ แต่ไม่รู้สึกว่ามีแรงลมปะทะอัตราความเร็วนั้น บรรยายไม่ถูก ทัศนียภาพแดนวิมานอันงามวิจิตรเบื้องหน้าเรา จะแวบผ่านตัวเราไป พริบตาเดียวก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังลิบลับ

ชั่วไม่กี่นาทีก็เห็นเบื้องล่างใต้แท่นดอกบัวลงไปเป็นพื้นราบเกลื่อนด้วยทรายทอง ต้นไม้ยักษ์เป็นแถวเป็นทิว แต่ละต้นสูงหลายร้อยฟุต กิ่งทองใบหยก ใบเป็นรูป 3 เหลี่ยมบ้าง 5 เหลี่ยมบ้าง 7 เหลี่ยมก็มีล้วนออกดอกเป็นแสงได้ทุกต้น วิหกนกไพรนานาชนิด ล้วนมีแสงในตัว นกบางตัวมี 2 หัวกระทั่งหลายหัว 2 ปีกกระทั่งหลายปีก

พวกมันโผผินบินว่อนล้อลมอย่างอิสระเสรี ขับลำนำเป็นนามศักดิ์สิทธิ์ของอดีตพุทธเจ้า รอบ ๆ รั้วลูกกรงตกแต่งด้วยสีสันต่าง ๆ 7 สี พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า “ร่างแห 7 ชั้น กับแนวพฤกษ์ 7 แถวที่กล่าวถึงในพุทธคัมภีร์นั้นก็คืออาณาจักรนี้นั่นเอง”

     ข้างหูแว่วเสียงผู้คนสนทนากันเอ็ดอึง แต่ภาษาฟังไม่รู้เรื่องพระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า “ภาษาต่างๆ ท่านอมิตยัสพุทธะท่านฟังรู้เรื่องหมด” ตลอดทางยังเห็นเจดีย์สูงใหญ่มากมาย ล้วนประกอบขึ้นจากรัตนะ 7 เปล่งประกายวาววาม เราคงมุ่งหน้าต่อไป ชั่วครูก็มาถึงเบื้องหน้าภูเขาทองลูกหนึ่ง ภูเขาทองลูกนี้สูงใหญ่กว่าภูเขาเอ๋อเหมย(ง่อไบ๊) ของจีนหลายต่อหลายเท่านัก

     มิพักต้องสงสัย ตอนนี้เราได้มาถึงใจกลาง “แดนสุขาวดี” แล้วพระโพธิสัตว์กวนอิมยกพระหัตถ์ชี้ไปเบื้องหน้ากล่าวว่า “ถึงแล้วอมิตพุทธเจ้าก็อยู่เบื้องหน้าท่าน ท่านเห็น ไหม”

     อาตมาประหลาดใจถามว่า “อยู่ไหน อาตมาเห็นแต่ผาหินขวางอยู่ข้างหน้า”
ที่ไหนได้ คำตอบของพระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่เหนือความคาดหมายของอาตมามาก ท่านตอบว่า “ขณะนี้ท่านกำลังยืนอยู่บนปลายพระบาทของอมิตพุทธเจ้าแล้ว”


     อาตมากล่าวว่า“ พระธรรมกายของอมิตพุทธเจ้าสูงใหญ่ปานนั้น อาตมาจะเห็นได้อย่างไรล่ะครับ
     จะว่าไปแล้ว ภาวะเช่นนี้ก็เปรียบดังมดน้อยตัวหนึ่งยืนใต้ตึกระฟ้าสูง 100 กว่าชั้นของอเมริกา ไม่ว่าจะแหงนมองอย่างไรก็ไม่มีทางมองเห็นโฉมหน้าส่วนทั้งหมดของตัวตึกฉันใดก็ฉันนั้น

     พระโพธิสัตว์กวนอิมแนะให้อาตมาคุกเข่าลงอธิษฐานขอพรอมิตพุทธเจ้าชักนำอาตมาไปยังแดนสุขาวดีประจิม อาตมารีบคุกเข่าลงแล้วตั้งจิตอธิษฐาน พริบตาเดียว รู้สึกว่าร่างกายตัวเองพลันสูงใหญ่ขึ้น ๆ จนเสมอพระนาภี (สะดือ) ของอมิตพุทธเจ้า ในระดับความสูงดังกล่าวอาตมาจึงได้มองเห็น อดีตพุทธเจ้า ยืนอยู่ข้างหน้าอาตมาจริง ๆ ท่านยืนอยู่บนแท่นดอก.บัวนับชั้นไม่ถ้วน กลีบดอกแต่ละชั้นล้วนมีรัตนเจดีย์เปล่งสัพรังสี ภายในรังสีมีพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางประกายสีทอง

ขณะเดียวกันอาตมายังเห็นพระมหาวิหารวิจิตรงดงามอร่ามเรืองหลังหนึ่ง เพ่งสายตามองออกไปอีก อาตมาก็เห็นโฉมหน้าส่วนทั้งหมดของแดนสุขาวดีประจิม


     ยามนั้น ท่านธรรมาจารย์หยวนกวนก็ได้แปลงกายกลับสู่พระธรรมกายตัวจริงของพระโพธิสัตว์กวนอิม ทั้งสรรพางค์กายเป็นแก้วผลึกสีทองโปร่งใส อาภรณ์ห่มกายเปล่งฉัพพรรณรังสี จำแนกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายกันแน่ พระธรรมกายของท่านสูงใหญ่กว่าอาตมา สูงเสมอไหล่ของอมิตพุทธเจ้า

     อาตมายืนอยู่ ณ ที่นั้นมองภาพอภินิหารนี้จนเคลิบเคลิ้มใหลหลงเลยนึกไม่ออกว่าสมควรจะกล่าววาจาอย่างไร เวลานี้จะให้อาตมาบรรยายภาพอภินิหารในขณะนั้นอย่างละเอียด สงสัยจะต้องใช้เวลาบรรยายสัก 7 วัน 7 คืน เอาเฉพาะพระธรรมกายที่สง่าเคร่งขรึมสุดประมาณของอมิตพุทธเจ้า พูดครึ่ง วันก็พูดไม่จบ เป็นต้นว่าพระธรรมลักษณะของท่านอย่างพระเนตรคู่นั้นของท่านก็ดูประหนึ่งห้วงมหรรณพอันเวิ้งว้างไพศาล พูดไปอาจไม่มีใครเชื่อก็ได้

แต่จริงๆ พระเนตรคู่นั้นของท่านกว้างใหญ่เหมือนทะเลในแดนมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน อาณาจักรของแดนสุขาวดีประจิม ตามที่กล่าวไว้ในพุทธคัมภีร์บอกว่า อยู่ห่างไกลถึง 10 ล้านล้านพุทธภูมิ ถ้าคำนวณเป็นเวลา สมมุติว่าในแต่ละนาทีของคนเรา เดินได้ 1 ปีแสง ก็ต้องใช้เวลาเดินถึง 15,000 ล้านปีแสง จึงจะไปถึงได้

อีกนัยหนึ่งก็คือ ดูจากชั่วอายุขัยของคนๆ หนึ่งแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ ว่า จะไปยังแดนสุขาวดีประจิม ขอเพียงตั้งจิตอธิษฐาน ชั่วแวบเดียวก็ไปถึงได้ ถ้ากล่าวจากด้านวัตถุ อาศัยร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อออกเดินเพื่อไปสู่แดนสุขาวดีประจิม ต่อให้โลกทั้งโลกตั้งแต่เริ่มเกิดจนแตกดับ ใช้เวลาในการเดินทางยาวนานขนาดนั้นก็ยังไปไม่ถึงอยู่ดี ดังนั้น ต้องอาศัยพลังจิตอธิษฐาน บวกกับอมิตพุทธเจ้าประทานพร เพียงชั่วพริบตาเดียวก็สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้
   
      อาตมากราบนมัสการอมิตพุทธเจ้าขอให้ท่านประทานพรประทานสติปัญญาแก่อาตมาเพื่อการหลุดพ้นจากสงสารวัฎ อมิตพุทธเจ้าแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า "พระโพธิสัตว์กวนอิมนำพาเจ้ามาถึงที่นี่ เพื่อทัศนาจรยังสถานที่ต่าง ๆ เจ้าก็ไปเถอะ แต่หลังจากนี้เจ้าต้องกลับโลกมนุษย์"

    ขณะนั้น อาตมารู้สึกติดตรึงกับความสวยงามน่าอภิรมย์ของแดนสุขาวดีประจิม รู้สึกว่าโลกมนุษย์มีแต่ความทุกข์เวทนา ไม่คิดอยากกลับไปยังโลกมนุษย์อีกแล้ว ดังนั้นอาตมาจึงวิงวอนว่า“ แดนสุขาวดีประเสริฐยิ่ง ข้าพุทธเจ้าไม่คิดหวนกลับไปอีกแล้ว ขออมิตพุทธเจ้าโปรดแผ่เมตตากรุณา รับข้าพุทธเจ้าไว้ด้วยเถิด"


     อมิตพุทธเจ้าตรัสว่า "ไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าข้าไม่รับเจ้าหรือเจตนาขับไล่ไสส่งเจ้า หากเป็นด้วยว่า 2 กัลป์ก่อนเจ้าได้ไปเกิดยังสุคติภพแล้ว และด้วยเหตุที่เจ้าได้ตั้งปณิธานไว้เองว่าจะกลับไปจุติยังโลกมนุษย์เพื่อดับทุกข์เข็ญแก่เวไนยสัตว์ ฉะนั้นปัจจุบัน เจ้ายังจำเป็นต้องกลับไป เพื่อทำตามปณิธานที่ตั้งไว้ให้บรรลุเสียก่อน จงนำสภาพที่ได้พบเห็นในแดนสุขาวดีไปบอกกล่าวถ่ายทอดให้มนุษย์โลกได้รับรู้สั่งสอนพวกเขาให้รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ"

     อดีตพุทธเจ้ายังประทานปริศนาธรรมอีกว่า “เจ้าได้เกิดเมื่อ2 กัลป์ก่อน เพราะเจ้าตั้งปณิธานโปรดเวไนยสัตว์ บิดามารดารวมทั้งญาติโกโหติกาในชาติต่าง ๆ ปฏิญาณจะช่วยพวกเขาไปยังบัว9 ชั้นด้วยกัน
     ครั้นอมิตพุทธเจ้าประทานปริศนาธรรมจบ อาตมาก็รู้สึกว่าทั้งตัวสั่นสะท้านขึ้นคราหนึ่ง ระลึกถึงสภาพที่ไปเกิดยังสุคติภพเมื่อ 2กัลป์ก่อนโน้น ภาพเหล่านั้นปรากฏออกมาภาพแล้วภาพเล่า แจ่มแจ๋วเหมือนติดอยู่กับตา


     อมิตพุทธเจ้าตรัสกับพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า “ท่านนำเขาไปเที่ยวชมยังสถานที่ต่าง ๆ เถิด” อาตมาก้มลงกราบแทบเท้าอมิตพุทธเจ้า 3 ที จากนั้นก็ออก.จากประตูใหญ่ของเวทีแสดงธรรม


     ยามนั้น อาตมาเห็นประตูใหญ่ทุกบาน ระเบียง ขอบสระ รั้วลูกกรง ภูเขา พื้นดิน ล้วนประกอบขึ้นจากรัตนะ 7 มีแสงในตัวทั้งสิ้น เหมือนกับไฟฟ้าหลอดไฟฟ้านีออนยังไงยังงั้น ที่แปลกประหลาดก็คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มองดูคล้ายมีรูปร่างเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่โปร่งใสไร้กีดขวาง สามารถเดินผ่านทะลุได้ บนประตูใหญ่มีตัวอักษรสีทอง 4 ตัว สองข้างประตูก็มีกลอนคู่ติดอยู่ อาตมาอ่านไม่ออก

แต่จนบัดนี้ยังจำได้ตัวหนึ่ง อีก 3 ตัวจำไม่ได้แล้วพระโพธิสัตว์กวนอิมอธิบายว่า “อ่านออกเสียงเป็นภาษาจีนจะได้ความหมายว่า ต้าสงเป่าเตี้ยน (รัตนบัลลังก์มหาชาตรี) จะหมายถึงพุทธแห่งอายุวัฒนะก็ได้”

     มหาวิหารวิจิตรงดงามอร่ามเรืองหลังนั้น ใหญ่โตมโหฬารสุดจะเปรียบปาน มีคนหลายหมื่นคนอยู่ภายในมหาวิหารหลังนั้น ขณะเดียวกัน ก็เห็นพระโพธิสัตว์จำนวนมาก นั่งบ้างยืนบ้าง บ้างอยู่ภายในวิหารบ้างอยู่นอกวิหาร พระธรรมกายแต่ละรูปล้วนเป็นสีทองโปร่งใส ความสูงของพระโพธิสัตว์ต่ำกว่าอมิตพุทธเจ้าเล็กน้อย ในบรรดาพระโพธิสัตว์ อาตมายังเห็นพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อกับ พระโพธิสัตว์ฉางจิงจิ้นเป็นต้นรวมอยู่ด้วย

     พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า “เอาล่ะ อาตมาจะพาท่าน ไปเที่ยวชมบัว 9 ชั้น เริ่มจากชั้นล่าง ชั้นกลาง ไปจนถึงชั้นสูง”
     เดินไปตามทาง ปรากฏว่าร่างกายเราค่อย ๆ หดเล็กลงทีละน้อย เห็นปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้แล้วอาตมาก็เรียนถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า“เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้ ร่างกายคนเราไฉนหดเล็กลงได้”

     พระโพธิสัตว์กวนอิมตอบว่า “เวไนยสัตว์แต่ละชั้นในแดนสุขาวดี เนื่องจากอาณาจักรต่างกัน ความเล็กใหญ่ต่ำสูงของร่างกายก็แตกต่างไปด้วย ขณะนี้เรากำลังเริมจากชั้นสูงสุด (ที่พำนักของอมิตพุทธเจ้า) ไปหาชั้นต่ำสุดในบัว 9 ชั้น บัวชั้นสูงจะสูงใหญ่กว่าบัวชั้นกลาง บัวชั้นกลางก็สูงใหญ่กว่าบัวชั้นล่าง ตอนนี้เราจะไปยังบัวสั้นล่าง

ดังนั้นร่างกายจึงค่อย ๆ หดเล็กลงจนได้สัดส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับร่างกายของเวไนยสัตว์ในบัวชั้นล่าง อย่างเช่นโลกมนุษย์ร่างกายคนเราสูงไม่เกิน 8 ฟุต แต่เทวดาในแดนสวรรค์กลับสูงใหญ่ถึง 30 กว่าฟุต ที่เรียกว่าประสานสอดคล้องกับภูมิภาพ”

ที่มา http://thai.mindcyber.com/anut/sukavadee/1124.php
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 11, 2011, 10:44:21 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ