มาเรียนธาตุวิตก คือธาตุดิน ให้พุทโธ เกิดที่หน้าผาก-หรือพุทโธเกิดที่ท้อง.....ทําให้ได้ทุกอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน ครูบาอาจารย์ นับ 1-10 เข้าสมาธิ...นับ1-10 ออกสมาธิ ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน ต้องเข้าสมาธิและออกสมาธิได้ทุกขณะจิต(ตั้งจิต-ปล่อยจิตได้ทุกตอน)นั่นเรียกว่า ทรงอุปจารสมาธิ หรือผู้ที่ได้ฌานก็ทรงฌาน.....นี่คือฝึกสําเร็จ ไม่เว้น แม้ขณะพูด-คุย เรียกง่ายว่าทุกอิริยาบทที่มนุษย์มี จะต้องมีวสีนับ1-10 ต้องการเข้านับ1-10 ต้องการออก.........แล้วถึงตอนนั้นถ้าใครจะเอาไปเจริญ สติปัฏฐาน4 อิริยาบท หรือเจริญกายานุปัสสนา เจริญอสุภะ ก็สามารถทําได้ ในทุกอิริยาบท เช่นกัน ถ้าฝึกแนวนี้ก่อน ผลที่อยากได้พระน่าจะมีได้ เป็นได้ เพราะจิตมีกําลัง ตัดกิเลสแล้วทําแบบนี้หมดทุกข์แน่.........แต่ผู้ที่เริ่มฝึกสติปัฏฐาน4เลยแบบไม่ได้ทรงสมถะ ในอิริยาบท ยืนเดินนั่งนอน จิตไม่มีกําลังแตกไตรลักษณ์ได้ คงหมดทุกข์ยาก.....สมาธิขั้นฝึกแต่ตอนต้นนั่นขั้นฝึก(ต้องนั่งหลับตาก่อน) ฝึกได้แล้ว จะไปเดิน เหิน เหยียดแขน เหวี่ยงขา ต้องเข้า-ออกได้ทุกขณะจิต แบบนี้ไม่จําต้องไปนั่งหลับตา.....พระอาจารย์สอนมาใครอยากทราบเพิ่ม.หรืออยากรู้เรื่องการทรงฌาน หรือปล่อยฌานในอิริยาบท ก็ต้องถามเอา .....ครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระองค์เดินฌานกี่เที่ยว เข้าฌาน4 ออกสมาบัติ8 ถอยจาก ฌาน8-กลับมาฌาน1...เดินจากฌาน1 ขึ้นไปฌาน4 ออกจากฌาน4...ยังไม่ทันจะขึ้นฌาน5 ท่านเสด็จดับขันธ์ในระหว่าง ความว่าง ตรงกลางระหว่างฌาน4 จะขึ้นฌาน5นั่นเป็นลีลาที่พระตถาคตของเราได้แสดงไว้...การฝึกไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่างตั้งแต่เริ่มต้น คงไม่มีผลดี ก็คือ หากนั่งฝึก แล้วเจริญทั้งสติและอิริยาบทด้วยนั้นคงทําได้ยาก ถ้าทิ้งคําบริกรรมแล้วไปเจริญอย่างอื่น จิตลอย จิตสลาย พาให้จิตฟุ้งซ่าน เพราะปล่อยปัคคาหนิมิต และไม่เกิดผลอะไร เพราะสภาวะนั้นๆ คงไม่มีแรงพอไป สัมปยุตธาตุ สัมปยุตธรรม อะไรได้ เรียกง่ายๆว่า ไม่เกิดผลเลย ...ยังไงก็ต้องตั้งสมาธิก่อนถ้าจะเอาผลด้วย ก็ต้องให้ได้ลักษณะ รัศมีก่อน อย่างนี้มีผล เพราะจิตที่จะทําวิปัสสนาได้ให้มีผลต้องเป็นจิตระดับไหน ก็คือที่บอกนี้แหละ ...