พิมพ์

[ธัมมะวังโส]

ประกาศ จะรับผู้สนใจเข้าฝึกฝนเข้ากรรมฐานต่อเนื่อง 10 วัน
==========================
ลงชื่อจะมีใครบ้าง
สถานที่ คาดว่าน่าจะมีที่พอเพียงสำหรับ 20 คน
สิ่งที่ต้องเตรียมมา
1. เต้นท์ ที่นอน หมอน ผ้าห่มส่วนตัว ( ไม่เตรียมมาก็ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ) คิดเสียว่ามาปิกนิค แต่ ฝึกฝนกรรมฐาน
2. อาหารการกินต้องรับผิดชอบตัวเอง
 กติกาต้องปิดวาจา ทำตามที่บอก
สิ่งที่คาดว่าจะได้ คือ การเข้ากรรมฐานต่อเนื่องได้ 180-480 นาที
กำหนดวันเวลาสถานที่ จะแจ้งให้ทราบหลังจากมีคนครบ 20 คน
ใครสนใจลงชื่อ ตรงนี้เลย
ส่วนสถานที่ จะแจ้งให้ทราบทีหลัง
( ต้องการคนจริงจังในการฝึกฝนกรรมฐาน )
คำว่า กรรมฐานต่อเนื่อง หมายถึงเมื่อเข้ากรรมฐานก็จะต้องอยู่ในท่านั้นตลอดจนกว่าจะออกกรรมฐานเช่นการนั่ง ก็ต้องนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นต้น

[ธัมมะวังโส]

ถาม คนไม่เคยทำกรรมฐาน นั่งกรรมฐานได้น้อย จะสามารถไปร่วมฝึกได้หรือไม่
ตอบ วัตถุประสงค์ก็คือฝึกฝนคนที่ทำไม่ได้ให้ทำการเข้ากรรมฐานได้ขั้นต่ำ 180 นาที ไม่เคยฝึกฝนหรือไม่เคยทำได้มาก่อน ก็สมควรจะต้องมาฝึกฝน ดังนั้นอันนี้เป็นหลักสูตรสอนคนที่ไม่เป็นให้เป็น ไม่ใช่สอนคนเป็นโดยตรง แต่เป็นการสอนแบบปรับปรุงกรรมฐานพื้นฐานทั้งหมด

[ธัมมะวังโส]

ถาม ขอทราบแนวทางการฝึกฝนหน่อยครับสนใจ แต่แนวทางแบบไหน
ตอบ เป็นแนวทางตามมูลกรรมฐานแบบเร่งรัด หลักสูตรจะแบ่งไปตามวิสัย 3 อย่าง
เข้ากสิณไฟ แล้วเปลี่ยนเป็นพุทธคุณ / เข้าอัญญมณี เปลี่ยนเป็นพุทธคุณ / เข้าอุปัตตา แล้วทำดวงพุทธรัตนะ / เข้าโคจราแล้วทำธรรมรัตนะ จากนั้นทั้งหมด เข้าสุขสมาธิ
และถ้ามีความเป็นไปได้ เข้าสุขสมาธิ เป็น ปฐมฌาน ( 10 วันอย่างเก่งก็น่าจะทำได้แค่นี้ )
แต่ที่คาดหวังไว้ คือ เข้าสุขสมาธิ

[ธัมมะวังโส]

ถาม ทำไมต้องรักษาศีล 3 วันก่อน
ตอบ เพราะว่าศีลเป็นกำลังของสมาธิ หากกายวาจาทุจริต ก็ต้องมีการชำระกายวาจาใน 3 วันเป็นขั้นต่ำ หากไม่ชำระก็ไม่สามารถทำสมาธิ ได้ ที่นี้การชำระกายวาจา 3 วัน ทำได้แค่คนผิดศีลเล็กน้อยแต่หากผิดศีลใหญ่มาก เช่นฆ่าคนตายมาก่อน นี่ต้อง 3 ปี หรือหลอกลวงมิจาฉาชีพมันก็ต้องใช้เวลาชำระกายวาจาให้บริสุทธิก่อน ดังนั้นคนที่ผิดศีลย่อมเข้าสมาธิไม่ได้ เหมือนถูกปิดธรรมเอาไว้นั่นเอง

[ธัมมะวังโส]

ถาม ในระหว่างการฝึกฝน พอจ ให้รักษาศีลอะไร
ตอบ อุโบสถศีล ถึงจะพอเป็นไปได้ใน 3 วัน สำหรับคนผิดศีลเล็กน้อย

[ธัมมะวังโส]

ถาม ถ้าไม่ครบ20คน พอจ.ยังจะจัดมั้ยค่ะ
ตอบ ไม่จัดถ้าเป็นศิษย์ภายในตั้งใจจะทำกรรมฐานให้ได้จริง ๆ ก็ขอพิจารณาก่อน

[ธัมมะวังโส]

ถาม ทำไมต้องใช้ อัญญมณี ในการฝึกฝนกรรมฐาน
ตอบ อันนี้เกี่ยวข้องกับพระสูตร รัตนสูตร ใจความพระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายไว้ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนะ ในความเป็นรัตนะนั้นมีทั้งคุณ มีทั้งมงคล มีทั้งวิถีการภาวนา และลงรวมในมรรค ผล นิพพานในด้านปลายของพระสูตร
ดังนั้นการใช้ อัญญมณี ( แก้วธรรมชาติ ) เข้าถึง นิมิต เป็น ดวงพุทธรัตนะ ดวงธรรมรัตนะ ดวงสังฆรัตนะ ล้วนมีพระสูตรอธิบายรับรองไว้ด้วยแม่บท ในมูลกรรมฐาน มีการอธิบายการฝึกฝน ทั้งทางตรง และทางอ้อม ทั้งแบบเรื่อย ๆ และ แบบฉับพลัน
ดังนั้น การใช้ อัญญมณี ต้องดูความเหมาะสมในการสร้างนิมิต ก่อนเป็น ดวงรัตนะทั้ง 3 ไปตามลำดับ เริ่มจาก ดวงพุทธ ดวงธรรม ดวงผล
คำว่า รัตนะ แปลว่า แก้ว หรือ อัญญมณี ( ไพลิน มุกดาหาร เมฆพัตร พลอย เพชร หยก ได้ทั้งนั้นที่มีลักษณะใสสะท้อนแสงได้แวววาว )
สำหรับการฝึกด้วยอัญญมณีนั้น มีขั้นตอนหลายอย่างไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็จะฝึกแบบนี้ได้ ดังนั้นผู้ที่จะฝึกฝนก็ยังมีขั้นตอนที่สำคัญอยู่หลายอันอยู่ในการฝึกฝนพัฒนาการเข้ากรรมฐานเบื้องต้น

[ธัมมะวังโส]

ถาม ดวงพุทธ ดวงธรรมเข้าใจอยู่ แต่ดวงผลคืออะไรครับ
ตอบ ดวงผล ก็คือ ดวงสงฆ์แต่ว่าไม่เหมารวมเฉพาะสงฆ์เพราะว่าสงฆ์ หมายถึงผู้ที่ไดรับการบรรพชาอุปสมบถ ดวงผล ก็คือ ดวงสงฆ์โสดาบัน ดวงสงฆ์สกทาคามี ดวงสงฆ์อนาคามี ดวงสงฆ์อรหันต์ ถ้าไปเขียนแต่ดวงสงฆ์เฉย ๆ คนก็จะเข้าใจผิดว่า สังฆะรัตนะ คือ พระสงฆ์ปุถุชน ในพระสูตร รัตนะสูตร คำว่า สังฆะรัตนะ ท่านหมายถึง พระสงฆ์ที่ได้รับการบรรพชาอุปสมบถแล้วได้คุณธรรม สำเร็จเป็น พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
ในสังฆคุณนั้นชัดเจนยิ่ง
สุปฏิปันโน หมายถึง พระโสดาบัน
อุชุปฎิปันโน หมายถึง พระสกทาคามี
ญายปฎิปันโน หมายถึง พระอนาคามี
สามีจิปฎิปันโน หมายถึง พระอรหันต์
ทั้ง 4 พระนี้ท่านเรียกว่า เนื้อนาบุญ ควรแก่สักการะ ควรแก่การเคารพ ควรแก่การนบน้อมและเอาเป็นแบบอย่าง
ดังนั้น สังฆะรัตนะ ไม่ได้หมายถึง สงฆ์ที่เป็นปุถุชนเลย ไม่มีข้อความแบบนั้นแม้ในรัตนะสูตร ก็จะกล่าวถึง อริยะบุคคลเท่านั้น
แต่อย่างไร โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ที่เป็นผู้ไม่ได้ออกบวชก็มีอยู่ แต่ไม่จัดว่าเป็น สังฆะรัตนะ เพราะขาดเงื่อนไขเรื่องเดียว คือต้องได้บรรพชาหรือ อุปสมบถก่อน ดังนั้น โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา ไม่เรียกว่า สังฆรัตนะ
แต่อย่างไรผู้ออกบวช แม้เป็นปุถุชนมีการภาวนา ท่านก็จัดว่าเป็น โยคาวจร หรือ อีกนัยหนึ่งผู้ที่ออกบวชศึกษา อริยสัจจะ4 ชื่อว่า เป็นพระโสดาปัตติมรรค เพียงแต่ยังไม่ได้เป็น พระโสดาบันเท่านั้น

[ธัมมะวังโส]

ถาม การเข้ากรรมฐานเบื้องต้นมีอะไรสำคัญมากถึงต้องฝึกฝน
ตอบ การเข้ากรรมฐานเบื้องต้น มีข้อสำคัญเรื่องเวลาและการเข้าสุขสมาธิให้ได้ เพราะการพิจารณาวิปัสสนาในสภาวะที่ไม่เป็นสมาธินั้นย่อมทำให้ตัดกิเลสได้ยาก เพราะ ยถาภูตญาณทัศนะ ต้องการเวลาในอำนาจสมาธิขั้นต่ำอย่างน้อย 180 นาที ( 3 ชม )
ดังนั้นการเข้าอำนาจสมาธิต่ำกว่า 180 นาที ทำให้อำนาจการตัดกิเลสไม่มีกำลัง ยถาภูตญาณทัศนะ ( ติด ๆ ดับ ๆ ) เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ ทำให้ไม่ต่อเนื่องในการทำวิปัสสนาจริง ๆ นั่นคือเหตุผลแรกเลยที่ ผู้ภาวนาใช้เวลาน้อยละกิเลสลึกๆ ไม่ได้ เพราะจิตไม่เป็น เอกัคคตา เพื่อทำ ยถาภูตญาณทัศนะ ให้แจ่มแจ้ง ดวงตาเห็นธรรมจึงไม่บังเกิด
สมาธิรับรองในการเห็นธรรม คือ อุปจาระสมาธิ ขึ้นไป ต่ำกว่านี้ใช้ไม่ได้ ดังนั้น สุขสมาธิ เป็นอุปจาระขั้นละเอียด ผู้เข้าสุขสมาธิจะทำกรรมฐานต่อเนื่องได้ ไม่ต่ำกว่า 8 ชม โดยธรรมชาติของผู้ทำได้ ซึ่งในอำนาจสมาธิแบบนี้ จึงเพียงพอที่จะทำให้เป็น โสดาบัน
ดังนั้น พระพุทธเจ้า รับรองไว้เป็นพระสูตรแม่บทไว้ว่า ผู้ฝึกฝน พุทธานุสสติ ได้ผลสามอย่าง
1. ได้ดวงพุทธรัตนะ ( อุคคหนิมิต )
2. ได้อุปจาระสมาธิ ( สุขสมาธิ )
3. ได้ธรรมจักษุ ( โสดาบัน )
ดังนั้นพื้นฐานของการฝึกอำนาจสมาธิจริง ๆ แล้ว คือเรื่องระยะเวลาในการเข้าออกสมาธิ ที่ต่อเนื่องไม่ควรต่ำกว่า 180 นาทีเลย พระพุทธเจ้าใช้อำนาจสมาธิ ในปฐมยาม ( 18.00 - 22.00 ) ในการเข้าธรรมครั้งที่ 1 ดังนั้นจะเห็นได้ว่า แม้แต่พระพุทธเจ้ายังใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 180 นาที
พุทธสาวกไม่เก่งเกินพระพุทธเจ้า ไฉนจะทำน้อยกว่าพระพุทธเจ้าได้เพื่อบรรลุธรรม ดังนั้นผู้ที่เข้าสมาธิได้นานย่อมได้เปรียบในการเจริญธรรมญาณอันประกอบด้วยสมาธินั่นเอง

[ธัมมะวังโส]

วีดีโอชี้แจงเรื่องการฝึกฝนกรรมฐานต่อเนื่อง

https://www.facebook.com/100095009014141/videos/1075634446907529